“นัส คุณภูผาสั่งไว้ว่า ตอนเย็นช่วยเตรียมบัญชีรับ~จ่ายให้นายดูด้วยจ๊ะ” พี่พินพนักงานรุ่นพี่บอกเมื่อวนัสมาถึงที่ทำการไร่
“ครับ แล้วคุณภูผาออกไปแล้วหรือครับ”
“จ๊ะ เห็นว่าจะไปโรงเลื่อย”
“เหรอครับ” วนัสพยักหน้ารับรู้ ใจหนึ่งก็รู้สึกโล่งอกที่ไม่ต้องพบหน้าร่างสูงในตอนนี้ จะด้วยเหตุผลอะไรก็บอกไม่ได้เหมือนกัน
“พี่พิน เรื่องหนังสือตอบรับขอความร่วมมือจัดแปลงสาธิตจากหน่วยเกษตรอำเภอเป็นยังไงบ้างครับ” วนัสเปลี่ยนเข้าเรื่องการทำงาน
“ก็เรียบร้อยแล้วนะ เดี๋ยวพี่จะให้คนงานไปส่งหนังสือที่อำเภอ”
ร่างโปร่งบางยิ้มรับ แม้จะดูเยาว์วัยหากเทียบประสบการณ์ในการทำงาน แต่เขาก็สามารถแยกแยะเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานออกจากกันได้ดี เพราะอย่างน้อยการทำงานก็ทำให้ใจเขาสงบลงได้ ไม่ฟุ้งซ่านไปกับคำพูดเชือดเฉือน จี้ใจดำที่กรอกหูเขาเมื่อเช้า
แต่เมื่อถึงเวลาเย็น วนัสกลับเตรียมเอกสารวางไว้บนโต๊ะรับแขกที่บ้านของภูผา พร้อมแปะกระดาษโน้ตบอกไว้เพียงสั้นๆว่ามีธุระ แล้วรีบออกไปก่อนภูผาจะกลับเข้ามา จะบอกว่าไม่กล้าเผชิญหน้าก็ว่าได้ เขาไม่กล้ามองหน้าภูผาตรงๆ ขอกลับไปทำใจก่อนเถอะ
ร่างโปร่งกลับมายืนมองพื้นดินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตน แววตาไหววูบจนไม่อาจระงับไว้ได้ ราวกับมีน้ำใสๆเอ่อขึ้นขังขอบตา ปลายจมูกเริ่มอุ่นร้อนจนเขาอยากจะยกมือขึ้นปิดหน้าร้องไห้ ให้มันหายอึดอัดใจ และเขาก็ทำมันจริงๆ
นี่นะหรือ สิ่งที่เขาต้องพบเจอเมื่อเขาได้กระโดดเข้ามาอยู่ในสังคมคนกลุ่มน้อย สายตาประณามหยามเหยียด มองว่าผิดปกติ มันไม่ใช่จะให้ใครๆมายอมรับกันได้ง่ายๆ เขาก็รู้ ถ้าเขาคิดจะอยู่ตรงนี้ เขาต้องรับต้องทนสิ่งพวกนี้ให้ได้...................ใช่มั้ย?
คุณบอกผมหน่อยสิ คุณภูผา ว่าผมจะต้องพบเจอกับเรื่องพวกนี้ต่อไปอีกเรื่อยๆ ผม.................................. ความอดทนมันมีจำกัด............เหมือนกันนะคุณภูผา
แม้จะไม่เชื่อในเรื่องที่นรีพูดมา แต่ความระแวงคลางแคลงใจจุดเล็กๆก็ทำให้ใจสั่นสะท้านได้ง่ายๆ เพราะอะไร ก็เพราะพื้นที่ที่เขายืนอยู่ในสังคมมีเล็กนิดเดียว มันรู้สึกไม่มั่นคงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามที่เข้ามากระทบ ก็สามารถทำให้จิตใจของเขาแกว่งไหวได้ง่ายๆ
คำว่ารักของคุณมันช่วยอะไรผมได้มั้ย มันช่วยให้ผมหลุดพ้นจากคำตราหน้าจากใครๆได้มั้ย หรือผมมาอยู่ผิดที่ผิดทางเอง ผมควรจะจัดการกับตัวเองยังไงดี? วนัสคิดวนไปเวียนมา พาลโกรธภูผา โกรธตัวเอง ที่ให้นรีมาว่าสาดเสียเทเสียใส่หน้า
ร่างบางยืนนิ่งอยู่กับที่ จนแม้ค่ำมืดก็ยังไม่เข้าบ้าน หากแต่ความเงียบสงบและเสียงจิ้งหรีดเรไรกลับช่วยทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย หรืออาจเพราะร้องไห้จนน้ำตาแห้งแล้วแห้งอีก มันถึงได้รู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้างก็ไม่รู้
วนัสล้วงคว้ากุญแจรถในกระเป๋ากางเกงขึ้นมามองนิ่งเนิ่นนาน ก่อนจะเดินตรงไปยังรถยนต์ที่จอดนิ่งสนิทมาหลายชั่วโมงแล้วขับกลับไปยังทางเก่าที่จากมา
เขาจะไม่หนีไปไหนทั้งที่ยังรู้สึกค้างคาใจแบบนี้ ขอให้เขาได้รู้ ได้ฟังจากปากอีกฝ่ายแล้วค่อยหนีก็ยังไม่สาย.................ไม่ใช่หรือ
จะได้จบกันเสียที ไอ้ความรู้สึกไม่ดีทั้งหมดนี้.......................................
\\\\\\\\\\\
ร่างสูงใหญ่เจนตาออกมาเปิดประตู เมื่อได้ยินเสียงรถยนต์คุ้นหูในเวลาผิดปกติ ออกจะทำให้ภูผาแปลกใจอยู่ไม่น้อย เมื่อตอนเย็นเห็นโน้ตสั้นๆที่ร่างบางทิ้งไว้ ก็คิดว่าคงมีธุระตามนั้นเขาจึงไม่คิดจะเซ้าซี้ ไว้ก่อนนอนค่อยโทรหา เพราะเขาอยากให้เวลาวนัสปรับตัวปรับใจเข้าหาเขาอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ถึงจะแปลกใจ แต่เมื่อเห็นร่างโปร่งบางเดินเข้ามาหาก็อดดีใจไม่ได้ บางทีวนัสอาจเป็นฝ่ายต้องการเขาขึ้นมาเองบ้างก็เป็นได้
“มาซะมืดเชียวนัส”
เพราะวนัสเอาแต่ก้มหน้าก้มตา ภูผาจึงไม่ทันสังเกตความผิดปกติบนใบหน้านวล ชายหนุ่มเอื้อมมือโอบเอวบางไว้หลวมๆ พาเดินเข้าบ้านพร้อมกับหอมที่ขมับอีกฝ่ายเสียฟอดใหญ่
“อือ!” วนัสเอียงคอหนี
“มืดแล้วไม่มีใครเห็นหรอก” ภูผาอมยิ้มเมื่ออีกฝ่ายร้องท้วง “กินข้าวเย็นรึยังหือ?”
ร่างบางที่เอาแต่ก้มศีรษะส่ายหน้าช้าๆ เมื่อภูผาพามานั่งที่โซฟารับแขก ทำให้ร่างสูงนึกเอะใจ เชยคางมนขึ้นมองใบหน้า
“นัส!” เสียงครางหลุดรอดออกจากปากร่างสูงทันทีเมื่อเห็นดวงตาแดงก่ำบวมช้ำอย่างคนผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก
“เป็นอะไรฮึ เจ็บตรงไหน บอกฉันสิ” ภูผาถามอย่างร้อนรน พลาจับแขนเรียวทั้งสองข้างดึงเข้ามาใกล้
วนัสมองความห่วงใย ร้อนรน ที่สะท้อนออกมาจากดวงตาคู่คมเมื่อเห็นเขาเจ็บช้ำ แล้วสิ่งนี้มันโกหกกันได้หรือ............. ถ้าใช่ก็คงต้องให้ตุ๊กตาทองเลยเชียวละ ร่างบางยกมือตนเองขึ้นจับมือใหญ่ที่ยึดจับท่อนแขนตนไว้ พลางนำมากุมไว้ที่กลางอกตนเองด้วยความรู้สึกสั่นไหว
“เกิดอะไรขึ้น” ภูผามองมือเล็กกุมมือตนไว้สั่นระริก ริมฝีปากบางขบเข้าหากันแน่น ดวงตาชอกช้ำคู่นั้นเงยขึ้นประสานสายตาเขาแน่วแน่ แล้วยิ้มฝืดเฝื่อนออกมา
“ผม..........มีเรื่อง....อยากจะถามคุณภูผาหน่อยน่ะครับ”
น้ำเสียงสั่นเครือของร่างบางที่นั่งอยู่ตรงหน้า ทำเอาใจภูผาหล่นไปกองอยู่ที่พื้น แม้ความสงสัยจะมีอยู่เต็มอก แต่ก็ยิ้มปลอบใจให้กับร่างบาง
“เอาสิ” ภูผาพยักหน้าอนุญาต
วนัสข่มกลั้นกลืนก้อนแข็งๆที่จุกบริเวณลำคอลง ก่อนจะเปล่งเสียงแหบแห้งถาม
ให้มันรู้กันไปเลยว่าเขาจะถูกหลอกซ้ำหลอกซากจากผู้ชายที่เขาคิดว่า รักและปรารถนากับเขาตามที่อีกฝ่ายคอยพร่ำบอก และหากพูดโกหกออกมาแม้แต่น้อย มันก็น่าจะแสดงออกมาทางหน้าตาท่าทางให้จับพิรุธได้มั่งหรอก เขาจึงเลือกมาถามกันซึ่งๆหน้า จะได้จำ จำไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ
“คุณภูผาเคยติดต่อซื้อที่ดินของผมมาก่อนใช่มั้ยครับ”
“ใช่” คำตอบกลับอย่างไม่ต้องคิดของร่างสูง ทำให้วนัสสะท้านในอก ยัง.........มันยังไม่ใช่ข้อสรุป วนัสจึงฝืนกล่ำกลืนถามสิ่งที่ค้างคาอยู่ในอก
“ที่มาทำดีกับผม มาบอกรักผม เพราะต้องการที่ดินผืนนั้นหรือครับ”
คำถามตรงเป้าเข้าประเด็นและแทงใจร่างสูง ทำให้ภูผาผงะตกใจกับคำกล่าวหาของคนรัก ดวงตาคู่คมกริบหรี่มองพินิจใบหน้านวลอย่างตรึกตรองชั่วครู่ แล้วจึงรวบร่างที่รอคำตอบด้วยแววตาหวั่นไหวเข้ามาไว้ในอก
“เธอพบนรีมาหรือ?” ภูผามองแผ่นหลังที่อยู่ในอ้อมกอดอย่างรักใคร่ปนเจ็บปวด
ไม่มีทางที่อยู่ๆวนัสจะลุกขึ้นมาถามคำถามที่ทำร้ายจิตใจกันแบบนี้ ถ้าไม่มีใครมาทำให้เด็กนี่สงสัย หรือหวั่นไหวกับอะไรบางอย่างที่ร้ายแรง และตอนนี้คนที่คิดทำเรื่องน้ำเน่าแบบนี้มีอยู่คนเดียว อดีตภรรยาของเขานั่นเอง เรื่องนี้เดาได้ไม่ยากสักนิด คราวก่อนนรีคงจะเจ็บแค้นเขานักหนา แต่ทำอะไรเขาไม่ได้ เป้าหมายที่น่าจะเล่นงานต่อไปก็คือคนที่สั่นสะท้านในอ้อมแขนเขาตอนนี้ไง หึ............ยังคิดอยู่ว่าผู้หญิงคนนั้นจะมาพ่นพิษใส่เขาอีกเมื่อไร และก็ทำเสียจริง
ถ้าเป็นเรื่องหึงหวงกันธรรมดา คนอย่างวนัสคงไม่สนใจร้อนรนถึงขนาดนี้ แต่ถ้าเจาะเอาเรื่องผลประโยชน์ หลอกใช้ ครอบครัว จำพวกนี้มาต่อรอง ก็ไม่แปลกใจที่วนัสจะหวั่นไหวไปง่ายๆ เพราะรักของพวกเขามันจำกัดอยู่ในวงแคบ ลำพังเรื่องนี้วนัสก็คงอึดอัดพออยู่แล้ว เขาจึงไม่โกรธเลยที่ถูกถามแบบนี้ ดีซะอีกที่มาพูด มาถามกันตรงๆ ที่ผ่านมาเขากลัว............กลัวเหลือเกินว่าเด็กคนนี้จะหนีหายไปจากเขาโดยไม่ฟัง ไม่พูดคุยกันเสียก่อน ภูผาก้มมองคนในอ้อมแขนอีกครั้ง
ไม่เสียแรงที่รักมากขนาดนี้ ภูผาเพิ่มแรงกอดรัดร่างโปร่งบางมากขึ้น ส่วนนรี คงต้องทำอะไรให้มันเด็ดขาดลงไปเสียที ให้จบเรื่องนี้ก่อนเถอะ!
วนัสพยักหน้ากับอกหนา และรอฟังคำตอบ คำชี้แจง จะเรียกอะไรก็ช่าง แต่เขาอยากฟังอะไรก็ได้ที่จะทำให้เขาเข้าใจอะไรได้มากกว่านี้
ภูผาไม่ตอบแต่กลับฉุดวนัสให้ลุกขึ้น จูงมือให้เดินตามเข้าไปในห้องนอน แล้วจึงกดร่างโปร่งบางให้นั่งรอที่เตียง ส่วนตัวเองเดินเลี่ยงไปยังตู้ที่ฝังอยู่ในผนังห้อง
วนัสมองภูผาเปิดประตูไม้นั้นออก และได้ยินเสียงกุกกักเหมือนกำลังเปิดประตูเหล็กดังอยู่ชั่วครู่ จึงเห็นภูผาหยิบแผ่นกระดาษออกจากตู้ปึกใหญ่ และเลือกออกมาหนึ่งแผ่นขึ้นมาเขียนอะไรบางอย่างแล้วรวบรวมกระดาษในมือเดินมานั่งข้างๆเขาอีกครั้ง
วนัสมองภูผายื่นส่งกระดาษปึกนั้นมาตรงหน้าให้เขารับไว้
กระดาษที่เขามองเห็นไกลๆเมื่อครู่ มีเนื้อแข็งสีเหลืองด้วยเก่าเก็บ บนหัวกระดาษพิมพ์ตัวอักษรที่แสดงถึงคุณค่าของมัน โฉนดที่ดิน
ร่างบางเหลือบมองภูผาแวบหนึ่ง ก่อนจะไล่สายตาไปตามข้อความบนกระดาษเร็วๆ
เส้นตรงๆเฉียงๆแสดงจำนวนเนื้อที่ของไร่ภูผาแปลงใหญ่ปรากฏบนกระดาษอย่างชัดเจนในมือเล็กสั่นระริก
ให้เขาดูทำไม? วนัสเงยหน้ามองภูผาที่ส่งยิ้มมองเขาอยู่ก่อนแล้ว มือใหญ่ยังเอื้ออาทรไกล่เกลี่ยเส้นผมที่ปรกใบหน้านวลให้อย่างเบามือ ความรู้สึกบางอย่างทำให้วนัสพลิกโฉนดที่ดินดูด้านหลัง
“.............!”
ข้าพเจ้านายภูผา เกียรติอุดมนิตย์ ขอยกที่ดินที่ระบุไว้ในโฉนดฉบับนี้แก่ นายวนัส วงศ์ไพบูลย์ ด้วยสติสัมปชัญญะครบถ้วน
ลงชื่อ นายภูผา เกียรติอุดมนิตย์
“คุณ....................ภูผา!” แค่อ่านปราดเดียววนัสก็ตกอยู่ในอาการขนลุกซู่ ถึงกับสลักหลังโฉนดที่ดินของไร่ภูผาเชียวหรือ!
ในหัวสมองร่างโปร่งบางว่างเปล่า ได้แต่มองใบหน้าคมเข้มที่ก้มเข้ามาใกล้ด้วยริมฝีปากสั่นระริก
“พรุ่งนี้ให้ลุงชัดหรือใครก็ได้มาลงชื่อเป็นพยานอีกสองคน ก็ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว” ภูผายกมือขึ้นประคองใบหน้าขาวซีดเซียวไว้ในอุ้งมือ จ้องมองลงในดวงตาหวั่นไหวคลอขังด้วยหยาดน้ำแวววาว
“ฉันไม่รู้หรอกว่านรีพูดอะไรกับเธอไว้บ้าง แต่แค่คำพูดของฉัน มันอาจจะกลายเป็นคำแก้ตัวไปเลยก็ได้ เพราะฉะนั้น แบบนี้ละ ดีที่สุดแล้ว”
วนัสมองภูผายิ้มให้ตัวเองด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก แต่สิ่งที่มันรุมเร้าอัดแน่นอยู่ในตัวก่อนหน้านี้กลับหายไปหมด โดยที่ไม่ต้องฟังคำอธิบายใดๆจากภูผาแม้แต่น้อย เพราะสิ่งที่เห็นมันเหนือความคาดหมาย จนเขานึกประหวั่นใจเสียเอง
“ยังมีโฉนดของไร่ภูผาอีกหลายใบ ฉันจะสลักหลังไว้ให้ แต่ทำกับทนายจะดีกว่านี้ ไว้พรุ่งนี้ฉันจะเรียกมา” ภูผาหยุดพูดไปชั่วขณะมองคนตัวเล็กแน่วนิ่ง “แต่ฉันขออะไรอย่างนะนัส” ร่างสูงเอ่ยเสียงหนักแน่น
อะไร? วนัสมองร่างสูงอย่างงุนงงด้วยยังไม่สามารถปรับตัวปรับใจตามสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทัน
“หากฉันเป็นอะไรปุบปับ ฝากลูกฉันด้วยนะ พวกเขายังเด็ก อย่าทิ้งเขานะ”
วนัสหลับตาลงเมื่อฟังประโยคนั้นจบ แล้วน้ำตาก็ร่วงไหลหล่นเหมือนสายธาร
เสียงสะอื้นไห้จนตัวโยนอย่างไม่อาจห้ามใจได้ของร่างบางทำให้ภูผายกนิ้วขึ้นเกลี่ยน้ำตาให้อย่างเบามือ
วนัสเพียงลืมตาขึ้นมาสบตากับร่างสูงในระยะใกล้จนปลายจมูกแทบจะชนกันผ่านม่านน้ำตา
ดีแล้ว ดีแล้วที่ได้คุย ดีแล้วที่ไม่หนีไปทั้งๆที่ยังไม่ได้ฟังอะไร มันน่าจะเพียงพอแล้วสำหรับการอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น คุณนรี คุณโกหก! คุณใจร้ายมาเลยนะที่มาปลุกปั้นให้คนเขาเข้าใจผิดกัน ผมเกลียดคุณ!
ร่างบางโถมกายกอดคอร่างสูงไว้แน่น และอีกฝ่ายก็สวมกอดไว้อย่างแนบแน่นเหมือนกัน
“ยังมีโรงงานอีก แต่ฉันขอไว้เป็นสมบัติติดตัวลูกฉันเถอะนะ” ภูผาเอี้ยวหน้าจูบลงเส้นผมนุ่มหอม แต่วนัสกลับสั่นสะท้านด้วยแรงสะอื้นหนักขึ้นไปอีก
“ขอโทษ ผมขอโทษ” วนัสตะโกนขัดขึ้นกับอกหนา พลางส่ายหน้าไปมาจนน้ำตาเปรอะเปื้อนเสื้อนอนเป็นด่างเป็นดวง
“แล้วยังมีเงินสดของฉันในธนาคาร พรุ่งนี้จะให้เขาเพิ่มชื่อนัสเข้าไปด้วย” ภูผากระซิบบอกข้างใบหูเล็ก เหมือนพยายามทำให้คนที่ร้องไห้เชื่อใจตัวเองมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ไม่....เอา....” วนัสครางเสียงอ่อนระโหยก้มหน้าก้มตาร้องไห้กับอกอีกฝ่าย เขาอาย เขารู้สึกอายตัวเองที่ทำตัวดูไม่ได้เอาเสียเลย
“ส่วนรีสอร์ทที่กำลังสร้างก็แบ่งคนละครึ่งกับลูกฉันนะ” ภูผายังคงพูดต่อไปเรื่อยๆไม่สนใจคำปฏิเสธของวนัส
“ไม่เอา!”
“นัส”
“ไม่เอา ไม่เอาอะไรทั้งนั้น คุณภูผาอย่าทำอย่างนี้” เสียงแหบแห้งครางเครือ
“เอาไปเถอะ ใครๆเขาก็อยากให้คนรักอยู่สุขสบายกันทั้งนั้นละ หือ?” ภูผาคลอเคลียใบหน้ากับเส้นผมสลวย
“ก็บอกว่าไม่เอาไง!” ร่างบางร้องประท้วงจับเสื้ออีกฝ่ายแน่น อย่าทำให้เขารู้สึกรังเกียจตัวเองไปมากกว่านี้เลยนะคุณภูผา
“เดี๋ยวนี้ดื้อกับฉันแล้วรึไง ผิดกฎนี่” ภูผาทวงกฎที่ตนเคยตั้งให้ร่างบางทำตามหน้าตาเฉย
ปุบปับวนัสก็ดิ้นฮึดฮัดเงยหน้ามองภูผาในระดับใต้สายตาอีกฝ่าย อารมณ์ติดจะบูดบึ้งแทนความเศร้าเสียใจเมื่อครู่
“ผมแค่มาถาม ถ้าไม่ใช่อย่างนั้นก็......ก็แล้วไป ผมจะกลับแล้ว” เพราะไม่อยากอยู่ประจานความโง่เขล่าของตน ร่างบางจึงขยับตัวออกห่าง
“หือ” ภูผากระชับวงแขนแน่น ก่อนที่วนัสจะได้สะบัดตัวลุกหนี พร้อมกับกดริมฝีปากกับอีกฝ่ายแนบแน่น ส่งลิ้นอุ่นเข้าไปเว้าวอนให้อีกฝ่ายหยุดดิ้นรน แล้วค่อยๆถอนริมฝีปากออกพลางยิ้มใส่ดวงตาคู่อ่อนโยนที่ตอนนี้แดงก่ำจากการร้องไห้ จนใบหน้าซีดเซียวเริ่มแดงเรื่อ
“ฉันรักเธอ” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยย้ำกับร่างเล็ก
ผม...........อย่าพูดคำนี้ออกมาเลย..............วนัสหลับตาลงก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง
“ผมขอโทษ ขอโทษจริงๆ” วนัสสงบนิ่งไม่ได้หลบสายตาคู่คมที่ทอดมองมา อยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขารู้สึกเสียใจ เสียใจเหลือเกินที่ตีโพยตีพายไปเอาความกับผู้หญิงขี้อิจฉานั่น รู้ทั้งรู้แล้วยัง.......................
ภูผาไม่ได้โกรธยังคงยกยิ้มเบาบางให้วนัส
“ไม่มีอะไรต้องขอโทษ มีอะไรก็มาถามได้เสมอ ไม่ว่านัสจะรักหรือไม่รักฉัน แต่ขอให้รู้ว่า ฉันรักนัส นัสมีค่ามากกว่าทรัพย์สมบัตินอกกายพวกนั้น เพราะถึงไม่มีมันก็หาเอาใหม่ได้ แต่นัสมีแค่คนเดียว ไม่มีใครมาแทนได้.............................นะ” คำพูดหนักแน่นทำให้คนฟังรู้สึกว่าตัวเองมีค่ามากมายจนหัวใจพองโต
วนัสกระพริบตาปริบๆสูดลมหายใจเฮือกใหญ่แล้วจึงพยักหน้ายิ้มรับคำพูดตรงๆเหล่านั้นด้วยท่าทางกระดาก ความไม่สบายใจทั้งหลายดูจะมลายหายไปสิ้น และกลับนึกรังเกียจตัวเองขึ้นมาครามครัน มีสมบัติแค่นิดๆหน่อยๆกลับโวยวายกลัวใครเขาจะมาเอา ทั้งๆที่เขาก็มีมากมายกว่าไม่รู้กี่เท่า นี่ละน้า...โบราณเขาว่า มีทองเท่าหนวดกุ้ง นอนสะดุ้งจนเรือนไหว แค่ถูกยุยงเข้าหน่อยก็ติดกับเขาซะแล้ว น่ารังเกียจจริงๆ
“แล้วทีนี้บอกได้รึยังว่า เจอนรีที่ไหน” ภูผาก้มถามร่างในอ้อมกอด
“เมื่อเช้านี้เองครับ เธอมาหาผมที่บ้าน”
ภูผาครุ่นคิดพลางลูบศีรษะอีกฝ่ายเบาๆก่อนจะพูดต่อ “เอาเถอะ ไว้ฉันจะพูดกับเขาเอง ไม่ให้มาวุ่นวายกับเธออีก”
“ช่างเถอะครับ จะไม่มีเรื่องแบบนี้แล้วละ” วนัสเงยหน้ามองอีกฝ่ายเหมือนให้คำสัญญา
“จริงนะ” ภูผาจูบเบาๆที่ริมฝีเบาบาง “แต่ตอนนี้ต้องขอค่าปลอบใจก่อนละกัน ทำฉันใจหายหมด”
“ปลอบใจ?” วนัสทวนคำพูดอีกฝ่ายงงๆ
ไม่พูดต่อภูผาก็ฉวยดึงรั้งร่างบางล้มตัวบนที่นอน พลางสอดมือเข้าไปลูบไล้เนื้อเนียนใต้เสื้อหนักๆจนอีกฝ่ายร้องคราง พร้อมทั้งตะครุบมือใหญ่ไว้แน่นไม่ให้รุกล้ำไปมากกว่านี้
“อย่า”
“ทำไมละ อย่าบอกนะว่าจะกลับบ้าน มืดขนาดนี้แล้วฉันไม่ยอมให้กลับเด็ดขาด”
วนัสส่งสายตาค้อนขวับให้คนที่กำลังตีหน้าบึ้งแกมโกง ก็รู้อยู่แล้วละว่า คุณจะพูดแบบนี้ถ้าผมขอกลับบ้าน แต่เรื่องที่พูดเมื่อกี้ยังคุยกันไม่จบเลยไม่ใช่หรือ อย่ามาตัดบททำทะลึ่งเชียวนะ ก่อนจะทำสีหน้ากังวลอีกครั้ง
“โฉนดเมื่อกี้ลบออกได้มั้ยครับ” ความกังวลถึงความสำคัญของโฉนดที่ดิน ที่ภูผาเพิ่งสลักหลังไปหยกๆ มันหมายถึงกรรมสิทธิ์ในพื้นที่ไร่ภูผาเป็นของเขา
“เอกสารสำคัญแบบนี้ใครเขาเขียนแล้วลบกันเล่า ฮึ?” ภูผาหัวเราะขึ้นจมูก
“แล้วเขียนไปทำไมละครับ! แค่อธิบายให้ผมเข้าใจก็พอแล้ว พรุ่งนี้ให้ทนายมาจัดการเลยนะ” วนัสเผลอตวาดใส่ร่างสูงที่ดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนจนหงุดหงิดเสียเอง
“ปล่อย ปล่อยนะ” มือเล็กพยายามจะแกะมือเหนียวหนึบอย่างกับตีนตุ๊กแกออก
“อย่าเพิ่งโกรธสิ โกรธแบบนี้ คนอาศัยอย่างฉันก็แย่นะสิ” ภูผานอนกอดร่างบางแน่น
“ล้อเล่นแบบนี้ผมไม่ชอบเลยนะครับ!”
“ก็ใครว่าล้อเล่นละ”
วนัสเหมือนเป็นคนบ่อน้ำตาตื้นขึ้นมาฉับพลัน มันถึงได้เอ่อล้นไหลจากหางตาเป็นทางยาว จนเปียกชุ่มไรผมบริเวณขมับ
คำพูดของภูผายิ่งทำให้วนัสรู้สึกถึงความน่าเกลียดในจิตใจตัวเอง รู้ทั้งรู้ก็ยังจะถาม ถามให้คนที่รักเขาต้องเสียใจ
ต้องรู้สึกเสียใจแน่นอน เพราะแม้แต่ตอนนี้เขาก็ยังไม่เคยบอกรักภูผาเลยสักแม้สักคำ แต่ภูผาก็ยัง.................ยังรักเขา แล้วเขาก็ยังมาทำเหมือนไม่ไว้ใจอีกฝ่าย ให้ตายเถอะ! วนัสนึกบริภาษตัวเอง
ภูผายิ้มบางมองวนัสทำหน้ายุ่ง
“นัส จะวันนี้หรือวันหน้า ฉันก็จะเอาชื่อเธอไปห้อยท้ายทรัพย์สมบัติทั้งหมดของฉันอยู่ดีนั้นละ เพราะฉะนั้นเลิกกังวลได้แล้ว แล้วมาคิดอย่างนี้ดีกว่า”
อะไร? ช่างเจ้าสำบัดสำนวน ช่างคิดกฎเกณฑ์ซะเหลือเกินนะพ่อคุณ วนัสนึกบ่นในใจ
“คิดอะไรครับ”
“ก็คิดว่าทำยังไงฉันถึงจะมีความสุข”
“หือ? ยังไงครับ” วนัสเอียงคอถาม
“นั่นไง......ไม่รู้ใช่มั้ย........จะบอกให้ อันดับแรกเลยก็.........” ภูผาทำท่าอมภูมิ จนเป็นที่หมันไส้ของวนัสอย่างยิ่ง แต่เพราะอยากจะลบล้างความผิดในใจจึงได้แต่มองอีกฝ่ายตาปริบๆ
“รักกับฉัน รักกับฉันด้วยความต้องการของเธอ อย่าทำเหมือนตกกระไดพลอยโจน ฉันไม่อยากนอนกับท่อนไม้ มันหนาวนะ” ภูผายกยิ้มเจ้าเล่ห์ เขาจะทำให้วนัสค่อยๆต้องการเขาทีละน้อยๆ
รักกับฉัน? ท่อนไม้? วนัสคิดทวนประโยคเหล่านั้นในสมอง แล้วใบหน้าขาวๆก็ค่อยๆซับสีเลือดขึ้นเรื่อยๆจนแดงก่ำ
ทะลึ่ง!
“นะ”
ยังจะมานะมาแนะอีก ก็ทำแบบนั้นอยู่แทบทุกวัน แล้วจะให้เขาทำยังไงอีก จะให้บริการยังไงอีก จะให้เต็มใจขนาดไหนกันห๊า!
ฝ่ายที่ถูกรุกคิดอย่างอายๆผสมโมโหคนที่กำลังไล่ต้อนตนเองให้จนมุม และยิ่งต้องเบิกตากว้างเมื่อร่างสูงนำพามือตนเองไปสัมผัสความรุ่มร้อนกลางลำตัวจนผงะชักมือออก แต่ก็ถูกยึดข้อมือไว้ซะก่อน
“อืม....” เสียงครางพออกพอใจของร่างสูง ทำให้ร่างบางเหลือบตามองใบหน้าคมเข้มแสดงออกถึงความสุขที่ได้รับจากสัมผัสของตนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ทำไมต้องแสดงออกว่าต้องการถึงขนาดนี้ คุณไม่อายแต่ผมอายนะ! วนัสคิดด้วยใจหวั่นไหว พลางกระหวัดนึกไปถึงบทความที่ตนเคยค้นหาในอินเตอร์เน็ต บทความที่เคยอ่านผ่านๆตาด้วยใจร้อนรน ยังคิดว่าจะไม่ทำแบบนั้นกับใครเด็ดขาด คุณภูผาก็ภูผาเถอะ! ก็ไอ้ที่ต้องขึ้นไปเขย่มอยู่ข้างบนหรือไม่ก็การทำออรัลเซ็กซ์ ถึงเขาจะเขียนบอกไว้ว่าสามารถช่วยลดความเจ็บปวดระหว่างการร่วมรักก็เถอะ! โอ๊ย! อยากจะบ้าตาย แล้วสิ่งที่คุณต้องการนี่ มันรวมถึงไอ้ที่ว่ามารึเปล่าคุณภูผา............วนัสครางอ่อนระโหยในใจ
“นัส....” เสียงกระเส่าครางเร่งเร้าให้มือเล็กช่วงปลดปล่อยความอึดอัดภายในตัว ภูผากดมือบางให้แนบสนิทไปกับแก่นกายนูนพองผ่านเนื้อผ้าบางแล้วคลึงไปมา
“อือ.......” เสียงร้องประท้วงเบาๆของร่างบางทำให้ภูผาเปิดเปลือกตาที่ดำดิ่งในห้วงอารมณ์ขึ้นมองใบหน้าแดงก่ำ แล้วก้มลงจูบบนริมฝีปาก กดย่ำแทรกลิ้นเข้าไปซอกซอนหาความอิ่มในรสสัมผัส ลิ้นเล็กๆสีชมพูสดตอบรับการกระหวัดเกี่ยวกึ่งกล้าๆกลัวๆ
“ผมอยู่เฉยๆ....ผะ.....ผม” วนัสเหลือบตามองภูผาสลับร้อนสลับหนาวเหงื่อออกท่วมตัว แต่ดวงตาหมายมาดเต้นระริกก็ทำให้ร่างบางอยากร้องไห้เสียเฉยๆ ก่อนจะรีบซุกหน้ากับอกหนา
“ผม......ผมทำไม่เป็นหรอก” วนัสกลั้นใจร้องประท้วงร่างสูงที่เคลื่อนสะโพกวนหนักๆ
“จะสอนให้” เสียงกระซิบบอกข้างหูทำให้วนัสผงะสุดตัว เพ่งมองใบหน้าคร้ามแดดยิ้มกริ่ม
ไม่คิดจะอ่อนข้อเลยเรอะ!
TBC
ฝันดีค่ะ