“นายจะบ้าเหรอ........ถ้านายพูดอะไรออกไป ฉันจะฆ่านาย” ก้องภพจ้องตาภาคภูมิเขม่ง ราวกับจะฉีกเนื้ออีกฝ่ายให้เป็นชิ้นๆถ้าทำได้
แต่ยังไม่ทันได้โต้เถียงกันต่อ วนัสก็กลับเข้ามาขัดตาทัพไว้ซะก่อน ทำให้ก้องภพจำต้องสงบปากกินข้าวต่อไปเงียบๆ
ภาคภูมิมองคนทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อย่างขำๆ แต่ในเมื่อจับจุดอ่อนของอีกฝ่ายได้แล้วจะปล่อยโอกาสนี้ไปก็ยังไงอยู่ ร่างสูงวางมือตนเองบนต้นขาเพรียวใต้โต๊ะ ให้ร่างผอมส่งสายตาเขียวๆพูดอะไรไม่ออกมาให้ เพราะมีเพื่อนนั่งอยู่ตรงข้าม ปลายนิ้วแข็งแรงค่อยๆลากเขียนตัวอักษรที่ละตัวๆ บนต้นขาก้องภพหนักๆ จนร่างผอมจับใจความในภาษานั้นได้
พรุ่ง.......นี้.......เจอ......กัน......ถ้า....ไม่.........ตก..........ลง.........ฉัน....จะ....บอก...........นัส..........ว่า..........เรา...........คบ..........กัน..............อยู่.........นัส.........คง..........ดี....ใจ........กับ............เรา
กว่าจะเขียนจนครบก็ทำเอาก้องภพแทบกลั้นใจตาย กับเนื้อหาใจความที่ภาคภูมิส่งถึง
ไอ้บ้า ก้องภพโกรธจนหน้าเขียว แต่ไม่สามารถลุกขึ้นไปบีบคอคนเจ้าเล่ห์ได้ จึงจำต้องเคี้ยวข้าวในปากแรงๆระบายอารมณ์โกรธ และภาคภูมิยังคงสะกิดต้นขาเบาๆขอคำตอบ ทำให้ก้องภพไม่อยากเสี่ยงวัดใจกับคนบ้า จึงส่งเสียงตอบลอดไรฟันออกไป แล้วแอบปัดมือใหญ่ออกจากต้นขาโดยเร็ว
“รู้แล้ว!”
\\\\\\\\\\\\\\\\\\\
“นัส”
“หือ?”
ร่างชายหนุ่มสองคนนอนคุยกันบนเตียงก่อนนอน เป็นเรื่องปกติของวนัสกับก้องภพเวลาที่อยู่ด้วยกัน ต่างฝ่ายต่างเล่าเรื่องสัพเพเหระสู่กันฟังอย่างเพลิดเพลิน เมื่อก่อนเวลามีเรื่องอะไรอึดอัดคับข้องใจก็จะปรึกษาหารือกันตลอด ไม่เคยปิดบัง แต่ ณ วันนี้ทั้งคู่กลับมีความลับที่ไม่สามารถจะเล่าสู่กันฟังได้อย่างปกติ ความอึดอัด ต้องระวังคำพูดที่กลัวจะหลุดอะไรออกไปให้อีกฝ่ายล่วงรู้ ทำให้สองหนุ่มหลีกเลี่ยงการพูดเรื่องส่วนตัว
ฝ่ายวนัสเองอาจจะพยายามเพียงแค่เลี่ยงการพูดเรื่องส่วนตัวเท่านั้น เพราะตัวเองยังไม่พร้อมจะเปิดเผยความสัมพันธ์ของตนกับภูผาให้เพื่อนรู้ตอนนี้ แต่สักวันเขาจะเล่าให้เพื่อนคนนี้ฟังแน่นอน แต่ฝ่ายก้องภพสิ ไหนจะต้องปกปิดเรื่องของตัวเองกับภาคภูมิแล้ว ยังจะคันปากอยากถามสิ่งที่เห็นก่อนกลับจากไร่ภูผาคราวก่อนอีกต่างหาก
วนัสคบหากับคุณภูผา คุณภูผาที่เป็นผู้ชายอะนะ สนิทสนมกันมาตั้งนานไม่เคยเห็นเพื่อนจะมีท่าทีชอบเพศเดียวกันเลย หรือว่าถูกบังคับอย่างเขาแล้วเลยตามเลย แต่คุณภูผาไม่เหมือนเจ้าภาคภูมิซะหน่อย คงไม่ทำนิสัยเสียอย่างนั้นหรอก อยากจะถามเพื่อนตรงๆก็กลัวเพื่อนจะรู้สึกไม่ดี แล้วจะทำยังไงดีละ
“มีอะไรหรือก้อง” วนัสถามเพื่อนที่จู่ก็เงียบไป”
“ก็.........ก็เป็นห่วง อยู่คนเดียวสบายดีแน่เหรอ ไม่ได้ฝืนทำอะไรอยู่ใช่มั้ย” ก้องภพลองเรียบเคียงถาม
“เปล่านี่..ฉันสบายดี พูดเป็นพี่สาวฉันไปได้” วนัสนอนมองฟ้ามืดๆนอกหน้าต่าง พลางอมยิ้มในความขี้ห่วงของเพื่อน
“แล้วคนรอบๆข้างเขาดีกันนายรึเปล่า”
“อืม”
“แล้วคุณภูผาเขาดีกับนายมั้ย เขาบังคับอะไรนายรึเปล่า”
“.................................” วนัสไม่ตอบในทีเดียว แต่หันกลับมามองเพื่อนพร้อมรอยยิ้ม
“รายนั้นน่ะนะ ดีจนฉันเกรงใจที่สุดเลยละ” น้ำเสียงแสดงความชื่นชมคนที่พูดถึงอย่างจริงใจ ทำให้ก้องภพที่คิดกังขาในความรู้สึกตนเอง ต้องยอมกลืนคำถามที่ยังสงสัยอื่นๆลงท้อง
ในเมื่อเพื่อนมีความสุขแล้วจะฟื้นฝอยให้เพื่อนกระอักกระอ่วนใจไปทำไม เรื่องแบบนี้เขาไม่มาพูดบอกกันสุ่มสี่สุ่มห้าหรอก แต่ซักวันเมื่อเพื่อนพร้อม เพื่อนคงจะเล่าให้ฟัง
ก็ดูตัวเขาเองสิ ยังไม่กล้าจะปรึกษาเรื่องภาคภูมิกับเพื่อนเลย ก็มันไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหนดี เจ้าบ้านั้นก็เร่งรัดทุกวี่ทุกวันจนเขาสับสน ร้อนรน คิดอะไรไม่ออก ได้แต่ปล่อยให้มันเลยตามเลยไปเรื่อยๆ แต่ ณ วันนี้ เขาพูดได้เลยว่า ไม่ได้รังเกียจภาคภูมิ แต่ทุกอย่างมันรวดเร็วจนเขาตั้งตัวไม่ทัน ไม่รู้ว่าควรจะเดินไปทางไหนถึงจะดี เขาอยากหาจุดยืนของตัวเองให้เจอจัง
“กังวลอะไรอยู่รึเปล่า” วนัสเอ่ยถามเพื่อนที่ดูเหมือนจะเหม่อคิดอะไรอยู่คนเดียว
ก้องภพหันมองหน้าเพื่อนในระยะใกล้ แล้วจึงส่ายหน้าช้าๆ
“กำลังคิดว่านายจะมีความสุขมั้ย อยู่แบบนั้น”
“หือ......ฉันว่าก้องห่วงตัวเองดีกว่า ตอนนี้ก้องดูเหมือนกังวลอะไรอยู่ก็ไม่รู้” วนัสหรี่ตามองคนที่ทำหน้าเนือยๆ
“ฉัน...........ดูเป็นยังงั้นเหรอ?”
“อืม”
“สงสัยคงจะว่างมาก ไม่มีอะไรจะทำเลยฟุ้งซ่านละมั้ง แต่ฉันสบายดีนะ ไม่ต้องมาห่วงฉันหรอก นายนั้นละอยู่คนเดียว ดูแลตัวเองให้ดีๆละ” ก้องภพเสหัวเราะเก้อๆ
“มีอะไรก็บอกนะก้อง” สัญชาตญาณในตัวมันบอกว่าเพื่อนยังคงมีเรื่องอะไรบางอย่างที่คิดไม่ตกอยู่ในใจแน่ จะเค้นถามก็คงจะเป็นการไปกดดันเพื่อน ซึ่งก็คงไม่ดีนัก ตอนนี้ทำได้ก็แค่รอให้เพื่อนเปิดใจพูดออกมาเองเท่านั้น
“แล้วพรุ่งนี้คุณภูผามารับรึเปล่า” ก้องภพเปลี่ยนเรื่องคุยเมื่อรู้สึกว่าเพื่อนยังแคลงใจในตัวเอง
“อืม.......... เห็นว่างั้น”
“งั้นนอนเถอะ พรุ่งนี้ได้นั่งรากงอกแน่” ก้องภพสะบัดผ้าห่มคลุมร่างตัวเองและเพื่อนก่อนจะพากันหลับใหลในที่สุด
\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\
“ครับ ถึงเพชรบุรีแล้วครับ ไว้ใกล้ๆถึงแล้วผมจะโทรไปบอกนะครับ ครับ แล้วเจอกัน”
เสียงพูดคุยผ่านโทรศัพท์มือถือแผ่วเบา เพราะอยู่ในรถทัวร์ที่บรรดาผู้โดยสารต่างหลับกันเป็นส่วนใหญ่ ภายในห้องโดยสารจึงเงียบสนิท ภูผาโทรมาเช็คเป็นระยะๆว่าวนัสถึงไหนแล้วจนร่างบางคิดว่า กว่าจะถึงชุมพรเขาคงต้องถือโทรศัพท์มือแข็งแน่ๆ เล่นโทรมาทุกชั่วโมง หลังจากวางสาย ร่างบางก็ปรับระดับพนักเก้าอี้เอนลงแล้วหลับตาด้วยความง่วง
พอถึงจุดหมายปลายทางวนัสก็พบร่างสูงใหญ่ของภูผามารอรับอยู่ก่อนแล้ว ร่างสูงมีสีหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่อเห็นร่างโปร่งบางลงมาจากรถทัวร์ ร่างที่ไม่ได้เห็นมาเป็นอาทิตย์ ทำให้หัวใจร่างสูงเต้นรัว เหมือนเด็กหนุ่มเริ่มริรักไม่มีผิดจนอดขำตัวเองไม่ได้ ภูผาเดินเข้าไปช่วยวนัสถือข้าวของแล้วนำพาไปยังรถตนที่จอดอยู่อีกฝั่งหนึ่งของสถานีขนส่ง
เหมือนช่วงเวลารอคอยสิ้นสุดลง ร่างโปร่งบางยิ้มให้ร่างสูงด้วยหัวใจแช่มชื่น ไม่คิดเลยว่าจะรู้สึกดีใจเมื่อได้เห็นหน้าชายหนุ่มลูกสองได้มากขนาดนี้ แม้เวลานี้เขาจะไม่กล้ายอมรับว่าตัวเองรักผู้ชายคนนี้ก็ตาม แต่ความรู้สึกสุขใจนี้ มันคือความจริง
“หิวมั้ย ไปหาอะไรทานก่อนกลับไร่กันเถอะนะ” ภูผาพาวนัสไปร้านอาหารริมทะเล บรรยากาศเงียบๆ ผู้คนไม่พลุกพล่าน ชวนให้ผ่อนคลายความเมื่อยล้าจากการนั่งรถเป็นเวลานานๆได้เหมือนกัน ร่างบางเลือกโต๊ะที่มองเห็นชายทะเลยามเย็นได้ถนัดๆ ก่อนจะสั่งอาหาร 3-4 อย่างมาทาน ส่วนร่างสูงก็ได้แต่พยักหน้าเห็นดีด้วยทุกอย่าง
วันหลังจะสั่งลาบเลือดมาให้กิน ดูสิ จะกินได้มั้ย วนัสคิดค่อนขอดอีกฝ่ายอยู่ในใจ เพราะรู้ว่าภูผาไม่ชอบกินของสุกๆดิบๆ
ตลอดเวลาที่ทานข้าว ภูผาได้แต่นั่งมองใบหน้าขาวๆ เคี้ยวข้าวตุ้ยๆ ด้วยความรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ จนอีกฝ่ายต้องก้มหน้าก้มตาตักข้าวอย่างเก้อเขิน หลังจากอิ่มหนำสำราญกับอาหารทะเลที่แสนอร่อย ภูผาจึงพาวนัสกลับบ้าน
รถแลนด์โรเวอร์ของภูผาไม่ได้พาวนัสกลับบ้าน แต่พาเลยไปยังไร่ภูผา ทำให้ร่างบางมองอีกฝ่ายฉงน
“มีอะไรหรือครับ” วนัสเอ่ยถามเมื่อรถแล่นเลยทางแยกเข้าบ้านตน
“อย่าอยู่คนเดียวเลยนะนัส วันนี้ไปให้เด็กๆเห็นหน้าที่บ้านฉันดีกว่า แล้วพรุ่งนี้ค่อยเอาของมาเก็บบ้านนะ”
วนัสไม่ต้องเสียเวลาตีความ ก็รู้ว่าร่างสูงปรารถนาจะอยู่กับตนในคืนนี้
ภูผาเหลือบมองใบหน้านวลมีสีเข้มขึ้นเล็กน้อย จึงเอื้อมมือไปคว้ามือเล็กนุ่มขึ้นมากุมไว้หลวมๆ ให้ใจร่างบางเต้นโครมครามจนต้องเสมองออกไปนอนรถ ก่อนจะเอ่ยเตือนอีกฝ่าย
“อันตรายครับ” วนัสเตือนให้ภูผาปล่อยมือตน เพราะแม้จะชำนาญทางขนาดไหน แต่การขับรถมือเดียวมันประมาทเกินไป
พอมาถึงไร่ภูผา ลูกลิงสองตัวก็รีบโผเข้ามาเกาะหน้าเกาหลังปีนป่ายร่างโปร่งเป็นการใหญ่ด้วยความคิดถึง
“มากอดให้หายคิดถึงหน่อยสิ น้าไม้มีของมาฝากด้วยนะ” วนัสถูกเด็กๆตามติดหนึบเลยต้องอยู่เล่นหกคะเมนตีลังกากันพักใหญ่ จนเจ้าทโมนทั้งสองเหนื่อยหลับคาตักต้องอุ้มเข้าไปนอนด้วยกันทั้งคู่ แล้วจึงได้เข้าไปจัดการกับเนื้อตัวตนเองบ้าง
“เป็นไง ถูกรุมซะเหนื่อยเลยสิ” ร่างสูงทักเมื่อวนัสก้าวเข้ามาในห้องนอนหลังจากกล่อมพวกเด็กๆหลับไปแล้ว มือใหญ่ปิดหนังสือในมือแล้วก้าวลงจากเตียงไปหาร่างบางที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ
“อาบน้ำเลยมั้ย”
“ครับ”
เพราะเปิดเพียงไฟหัวเตียงไว้เท่านั้น ภายในห้องจึงมีเพียงแสงสีนวลอ่อนสลัวอำพรางพวงแก้มนวลซับสีโลหิตจางๆไว้จากสายตาคมกริบ แต่น้ำเสียงแหบพร่าก็แสดงชัดถึงอารมณ์สั่นไหว วนัสจึงเลี่ยงเดินไปหยิบชุดนอนเพื่อผลัดเปลี่ยนหลังอาบน้ำ แต่กลับถูกมือใหญ่ยึดไว้พลางลงมือปลดกระดุมเสื้อให้อย่างช้าๆ จนวนัสต้องกลั้นหายใจตั้งรับกับท่าทีแสดงออกถึงความต้องการของร่างสูงที่มีต่อตน
ภูผาเพียงปลดเปลื้องเสื้อผ้าให้ร่างโปร่งบาง แล้วจูงเข้าไปในห้องอาบน้ำ มือใหญ่ค่อยๆลูบไล้ไปตามผิวกายขาวนวลอย่างทะนุถนอม สายตาคู่คมตรึงร่างกายวนัสให้นิ่งงัน ปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามที่ใจคิด มีเพียงสายตาเท่านั่นที่กลิ้งกลอกมองร่างสูงก้มๆเงยๆ ขัดถูผิวกายตัวเองโดยไม่เอื้อนเอ่ยใดๆออกมา
ผิวกายนุ่มเนียนซึมซับความอ่อนหวานที่ร่างสูงใหญ่ส่งสื่อมาให้ทั้งทางสายตา และสิ่งที่กระทำราวกับเขาเป็นแก้วบางใสที่ต้องคอยทะนุถนอมประคับประคองอย่างดี แล้วจะให้ปฏิเสธได้ลงคอยังไงกัน
สายน้ำเย็นฉ่ำชำระล้างฟองสบู่ขาวลื่นออกจากผิวกายเนียนเรียบจนหมดจด ริมฝีปากได้รูปโน้มแนบหน้าผากมนอย่างรักใคร่ พลางหยิบผ้าเช็ดตัวที่คล้องคอตนเองขึ้นซับหยดน้ำบนผิวกายร่างเล็ก
วนัสมองมือใหญ่ค่อยๆสัมผัสผิวกายตนอย่างนุ่มนวลด้วยอาการเต็มตื้อในหัวใจ ก่อนจะถูกจูงออกมานั่งบนเตียง โดยมีร่างสูงทรุดกายนั่งตรงข้ามแล้วโน้มตัวแนบริมฝีปากกับหน้าผากมนอีกครั้ง ก่อนจะเคลื่อนไปที่เปลือกตา พวงแก้ม แล้วกดแผ่วพลิ้วบนริมฝีปากสีสด ส่งปลายลิ้นอุ่นเข้าไปชิมรสสัมผัสหวาน ความสุขล้ำทำให้ร่างสูงกดย้ำดุนดันจนศีรษะทุยผงะหงายหลัง
“อืม.........คุณภูผา” วนัสครางเครือเมื่อหลังสัมผัสกับที่นอนนิ่ม
“คิดถึง” ภูผาเอ่ยย้ำข้างติงหูขาว
“อืม” เสียงตอบสั่นสะท้าน เมื่อมือใหญ่ลูบไล้หนักหน่วงจากชายโครงสู่กลางลำตัวที่อ่อนนุ่ม แรงอารมณ์พัดโหมเข้าใส่จนวนัสต้องยืนแขนเข้าโอบกอดลำคอหนาไว้แน่น ให้คนหน้าคมยกยิ้มเอ็นดู แล้วจึงค่อยๆขยับลูบรั้งแกนกายร่างบางจนแข็งชัน
“นัส.....แยกขาอีกนิด อย่าเกร็งนะไม่เจ็บหรอก” ร่างสูงพูดปลุกปลอบร่างเล็กที่พยายามหนีบต้นขาตนเองแน่น กันมือใหญ่ที่พยายามรุกคืบสู่เบื้องล่างอย่างขัดๆเขิน
ภูผาลูบต้นขาขาวช้าๆก่อนจะสอดมือแยกเรียวขาออกจากกัน แล้วแทรกปลายนิ้วไล้วนช่องทางแคบ นวดคลึงจนอ่อนนิ่ม ก่อนจะค่อยๆแทรกผ่านกลีบเนื้ออย่างค่อยเป็นค่อยไปให้ร่างบางคลายความกังวล
“นัส...........” เสียงเรียกชื่อสั่นกระเส่าจนดวงตาที่ปิดสนิทเปิดขึ้นมองภูผาขยับตัวขึ้นคร่อมร่างกายตนเองเต็มเนื้อเต็มตัว แล้วค่อยๆกดกายใหญ่เข้าช่องทางอุ่นร้อนอย่างช้าๆ
“อือ...............!” แม้จะไม่รู้สึกเจ็บแต่ความคับแน่นอึดอัดก็ทำให้สะโพกมนยกสูง พยายามปรับร่างกายตนเองให้สอดรับกับการสอดแทรกสิ่งใหญ่โตเข้ามาในตัว
“อย่าเกร็งนัส..............นั่นละ.......ดีมาก” เสียงภูผาพูดปลอบเบาๆใกล้ติงหูนิ่ม จนใบหน้านวลต้องขยับหนีปลายลิ้นอุ่นที่แทะเล็มซุกไซร้ จนเสียวสะท้านไปทั้งร่าง
“แฮกๆ...................อือ”
เสียงขยับเข้าออกซ้ำๆสะท้อนดังเข้าหู จนวนัสอยากจะหยิบผ้าห่มขึ้นมาปิดบังใบหน้าตัวเองตอนนี้เสียจริง มันคงแสดงออกให้อีกฝ่ายเห็นว่าเขาก็รู้สึกต้องการความสุขนี้มากมายเช่นกัน
“ยังงั้นละ” ภูผางึมงำเมื่อวนัสปรับร่างกายให้สอดรับไปกับจังหวะการสอดแทรกของตน ร่างสูงโถมกายเข้าหาร่างบางแนบแน่น เนิบนาบ เหมือนค่อยๆซึมซับความหวานรัญจวนเข้ามาในหัวใจ
ทำไมถึงรู้สึกได้ขนาดนี้นะ ร่างขาวบางสั่นสะท้านในวงแขนกำยำคิดวนอยู่ในใจ รู้สึกอยากจะกอดแผ่นหลังนี้ให้แน่นๆ จูบปลายคางสากปุ๋มที่เข้ามาคลอเคลียพวงแก้มให้แสบระคาย อยากจะทำทุกๆอย่างให้อีกฝ่ายพอใจ ความรู้สึกที่มันเอ่อล้นนี้ทำให้ร่างบางเพิ่มแรงโอบกอดแน่นขึ้น จนภูผาต้องผละหน้าจากซอกคอหอมกรุ่นมองใบหน้าเนียนที่หลับตาแน่นหอบหายใจแรง แล้วก้มจูบที่เปลือกตาบางหนักๆ
“ดีมั้ย.........นัส”
เสียงถามน่าอายพร้อมกับมือที่ไต่แตะบดบีบยอดอกสีเข้ม ทำให้คนที่พยายามสะกดกลั้นเสียง หันหน้าซุกหมอนเป็นการใหญ่ไม่คิดจะตอบคำถามอีกฝ่ายแน่นอน
เมื่อเห็นร่างเล็กหลบเลี่ยง ภูผาจึงถอนกายตนเองออกจากช่องทางอุ่น ทำให้วนัสลืมตามองร่างสูงด้วยความงุนงง
“อือ..........อา”
แกนกายร้อนผ่าวของร่างบางเข้าไปอยู่ในโพรงปากชุ่มชื้น ลิ้นอุ่นตวัดดูดกลืนขบเม้นปลายแกนกายเบาๆให้ร่างบางร้องคราง ต้นขาขาวสั่นสะท้านยกหยัดสะโพกเข้าหาริมฝีปากที่มอบความสุขสมมาให้ จนความรู้สึกพวยพุ่งสองมือเล็กจึงกดขยุ้มศีรษะร่างสูงไว้แน่นระบายความอึดอัด
“ชอบมั้ย”
บงการ! สายตาแวววาวตวัดค้อนร่างสูงที่เหลือบมองคอยคำตอบ จะให้ตอบให้ได้ใช่มั้ย เจ้าเล่ห์นักนะ
“อือ!” คำตอบห้วนสั้นติดฉุนๆจนภูผายิ้มขำ ก่อนจะผละริมฝีปากออกจากกายร้อนผ่าวแข็งชันพร้อมปลดปล่อย แล้วฝั่งกายตนลงสู่ช่องทางอุ่นแน่นอีกครั้ง
สะโพกแกร่งค่อยๆขยับเร็วขึ้นจนร่างเล็กครางไม่ได้ศัพท์ แขนเรียวสวมกอดไหล่หนาไว้แน่น ยึดร่างสูงเป็นหลักประคองตัวจากการโยกไหว
“รักนะ” คำบอกรักหนักหน่วงของร่างสูง วนัสทำได้แต่เพียงพยักหน้ารับรู้ ด้วยอารมณ์ใกล้ถึงจุดสูงสุด
“อ๊า..............”
เสียงครางกระเส่าเกร็งร่างทั้งร่าง ปลดปล่อยสายน้ำอุ่นขาวออกมาให้ร่างสูงรับรู้และกระแทกกายพาตัวเองถึงจุดสุดยอดตามร่างบางไปติดๆ แล้วทรุดกายกอดร่างเล็กไว้หลวมๆหอบหายใจยาว ทุกสิ่งทุกอย่างกลับคืนสู่ความเงียบอีกครั้ง
วนัสที่เหนื่อยอ่อนกำลังจะเคลิ้มหลับทั้งๆที่มีอีกฝ่ายค้างคาในร่าง ด้วยวันนี้เดินทางมาทั้งวันต้องรู้สึกสะดุ้งขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อริมฝีปากของภูผาเข้ามาเคล้าเคลียประทับจูบดุนดันสอดลิ้นเข้ามาตวัดพันเกี่ยวลิ้นอุ่นของตนอีกครา
“คุณภูผา!?”
“ยัง..............ฉันยังต้องการนัสอีก ต้องการอีกหลายๆครั้ง”
“อือ!”
\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\
เสียงรถยนต์แล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านภูผาในเวลาสาย แสงแดดที่เริ่มแรงกล้าไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มที่นอนหลับใหลรู้สึกตัวแม้แต่น้อย ยิ่งคนตัวบางไม่ต้องพูดถึง สลบสไลไปตั้งแต่ร่างสูงยังไม่ได้ถอนกายออกในครั้งหลังสุดด้วยซ้ำ
ป้าหยดที่มาทำงานบ้านแต่เช้าตามปกติได้ยินเสียงจึงเดินกลับมาจากสวนหลังบ้านที่ตนกำลังเด็ดพริกชี้ฟ้าเอาไปทำแกงเขียวหวานไก่ เมนูวันนี้ เดินเข้ามาทางประตูหลังบ้านเพื่อจะออกไปต้อนรับแขกที่หน้าบ้าน
“ใครมาแต่เช้าเชียว” ยังไม่ทันได้เดินไปถึงประตูหน้าบ้าน แค่เพียงก้าวเท้าเลยผ่านห้องครัวมองเลยไปทางประตูหน้าห้องนอนเจ้านายก็ต้องชะงักงัน เมื่อแขกผู้มาเยือนเข้ามาถึงในบ้านเสียแล้ว และที่สำคัญยังถือวิสาสะเปิดประตูห้องนอนของเจ้านายตนไปแล้ว
“คุณนรี!”
TBC
มาเเล้วๆ ขอบคุณทุกคอมเมนท์