Part 17
ความอบอุ่นที่คอยกกกอดตลอดคืน แม้ยามครึ่งหลับครึ่งตื่นก็ยังรู้สึกถึงวงแขนที่กอดกระชับร่างตนเองไว้ ตอนนี้กลับว่างเปล่าจนรู้สึกอะไรบางอย่างขาดหายไป
ร่างบางค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นมองหน้าต่างที่สว่างจ้ารับแสงอรุณยามเช้า เสียงงึมงำเหมือนคนคุยกันภายนอกห้องแววเข้ามาให้ร่างบางได้ยินแต่ไม่ถนัดนัก วนัสจึงขยับกายลุกขึ้น
“ซีด!.....................” อาการระบมไปทั่วร่าง ทำให้ร่างบางเพียงขยับตัวพิงหัวเตียงกวาดตามองหาเสื้อผ้าตัวเอง เมื่อคืนรู้สึกว่าภูผาไม่คิดจะยังมือกับร่างกายเขาบ้างเลย
โกหกๆ ไม่เห็นจะค่อยเป็นค่อยไปอย่างที่พูดเลย หลักสูตรเร่งรัดชัดๆ มือเล็กสัมผัสเบาๆตามร่างกายตน รอยจ้ำสีแดงจางเป็นที่สะดุดตาอยู่หลายที่ แม้แต่ที่โคนขาอ่อน
เฮ้อ........เขาก็ทำไปได้นะ
เจ้าของความคิดเกิดอาการอายตัวเองขึ้นมาซะเฉยๆ จนต้องยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตาตัวเอง แล้วประตูห้องก็ถูกเปิดออก ภูผาสวมเพียงกางเกงนอนตัวเดียวเดินส่งยิ้มมาให้เมื่อเห็นร่างเล็กตื่นแล้ว
“ตื่นแล้ว? หรือแสงมันแยงตา เดี๋ยวฉันปิดม่านให้นะ” ไม่พูดเปล่า ร่างสูงใหญ่เดินไปรูดม่านกรองแสงตะวันให้เสร็จสรรพ แล้วกลับมานั่งข้างๆร่างที่ยังกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียง พร้อมกับนิ้วมือใหญ่ช่วยเสยผมที่ปรกบริเวณใบหน้าให้อย่างเบามือ
คนที่พึ่งตื่นมองร่างสูงชั่วครู่ ก่อนจะขยับกายคลายความเมื่อขบ แต่ความเสียวปลาบแปลบส่วนล่าง ร่างบางจึงทำหน้าเหยเกให้ภูผาเลิกคิ้วฉงน แล้วค่อยคลี่ยิ้มตามมา จนวนัสรู้สึกกระดากอายขึ้นมาไม่ได้
“อย่าทำแบบนี้อีกนะครับ” วนัสเอ่ยเสียงเรียบกับความเอาแต่ใจของอีกฝ่าย
ภูผาที่รู้ตัวดีอยู่แล้วกับการกระทำของตนเมื่อคืนไม่ตอบ แต่โน้มศีรษะเข้าแนบริมฝีปากบางแผ่วๆเชิงเอาใจ
“วันนี้วันอาทิตย์นอนต่อเถอะ เดี๋ยวจะบอกป้าหยดไม่ให้เข้ามากวน”
“คุณภูผาจะไปไหนหรือครับ” เพราะร่างสูงพูดเหมือนคนจะออกไปข้างนอก วนัสจึงเอ่ยปากถามออกไป
“จะไปดูงานก่อสร้างที่รีสอร์ทหน่อย ปล่อยให้หัวหน้าคุมงานมารายงานอย่างเดียวมาหลายอาทิตย์แล้ว” ภูผายกมือขึ้นลูบไล้ต้นขาเรียวเบาๆ
“แล้วเด็กๆละครับ”
“เช้านี้ลุงชัดพาเข้าไปในไร่แล้วน่ะ แต่ช่วงบ่ายฝากนัสดูด้วยนะ”
“ได้ครับ......แต่ผมว่าจะกลับไปบ้านหน่อย คงเอาเด็กๆไปด้วยนะครับ”
“อืม.......มีอะไรก็โทรมานะ ตอนนี้นอนต่อเถอะ เพลียไม่ใช่เหรอ” ภูผายิ้มกว้าง
“..........เพราะใครละ!” วนัสต่อว่าด้วยรู้สึกฉุนคนหน้าทน
ภูผาคว้าร่างบางที่ดูอิดโรยเข้ามาโอบกอดแรงๆก่อนจะกระซิบชิดริมใบหูนิ่ม
“ทำบ่อยๆเดี๋ยวก็ชินนะนัส” คำพูดโอ้โลมแกมหยอกเย้าทำให้วนัสหน้าเขียว
“..........!” นี่ไม่คิดจะออมมือเลยจริงๆใช่มั้ย!
\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\
ร่างสูงใหญ่ที่บอกกับร่างบางก่อนออกจากบ้านว่าจะไปดูงานที่รีสอร์ทสร้างใหม่ กลับมานั่งทอดอารมณ์อยู่ที่ร้านอาหารริมทะเลที่ตนเป็นหุ้นส่วน และตอนนี้ยังไม่เปิดให้บริการ เนื่องจากมีเวลาเปิดตั้งแต่เที่ยงวันไปจนเที่ยงคืน ภายในร้านจึงเงียบสงบปราศจากผู้คน
เจ้าของร่างสูงใหญ่ยังคงนั่งมองคลื่นซัดเข้าหาฝั่งอย่างเงียบๆเพียงลำพัง เหมือนกำลังรออะไรบางอย่าง
ใช่แล้วละ เขารอเวลาจัดการเรื่องทุกอย่างให้มันจบลงเสียที และเวลาแห่งการรอคอยก็สิ้นสุดลงเมื่อมีเสียงรถยนต์แล่นเข้ามาจอดบริเวณหน้าร้าน เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นเป็นจังหวะดังก้องท่ามกลางความเงียบของร้านที่ยังไม่มีผู้มาใช้บริการ
ร่างของหญิงสาวที่เคยแนบสนิทชิดใกล้ เคยบอกกับตัวเองว่าจะรักและดูแลตราบเท่าชีวิตจะหาไม่ ปรากฏเข้ามาในสายตา เมื่อภูผามองตามที่มาของเสียง
อะไรทำให้ความรู้สึกเหล่านั้นกลับกลายเป็นแบบนี้ไปได้ มันไม่น่าจะมีวันนี้เลยด้วยซ้ำ
“นัดมาตอนที่ร้านยังไม่เปิด ไม่คิดจะเลี้ยงข้าวอดีตภรรยาเลยรึคะ”
ร่างสมส่วนงดงามทรุดนั่งตรงข้ามฝ่ายชาย รอยยิ้มชนิดที่ว่าถ้าไม่เคยรู้จักนิสัยใจคอกันมาก่อนคงหลงเสน่ห์เข้าเต็มเปาประดับบนริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงสด
“คุยจบฉันจะไปทำงานต่อ” คำพูดไม่เหลือความห่วงหาอาทรในน้ำเสียงทำให้ใบหน้าที่ตกแต่งมาอย่างประณีตบึ้งตึง
“ยังยุ่งเหมือนเดิมนะคะ” นรีพูดแดกดันพร้อมรอยยิ้ม
ร่างสูงไม่ตอบแต่สายตาคมกริบที่ทอดมองมาทำให้หญิงสาวรู้สึกระแวงอยู่ในที
“เข้าเรื่องเลยละกันนรี”
นรีที่รู้สึกถึงความแปลกพิกลในอากาศรอบตัวขยับกายอย่างอึดอัด เมื่อก่อนหล่อนไม่เคยรู้สึกเกรงกลัวผู้ชายตรงหน้านี้แม้แต่น้อย ด้วยถือตัวคิดว่าตัวเองเป็นแม่ของลูกๆภูผา แต่นาทีนี้ความรู้สึกนั้นกำลังคืบคลานเข้ามาสั่นคลอนความมั่นใจนั้นลง
“อย่าได้เข้าไปใกล้นัสอีก ฉันเตือนเธอครั้งนี้ครั้งเดียว แล้วจะไม่มีการพูดคุยกันอีก”
คำบอกกล่าวของอดีตสามียังความตกตะลึงแก่หญิงสาวจนระงับอาการไว้ไม่อยู่ ดวงตาคู่งามเบิกกว้าง ก่อนจะหรี่ลงมองชายตรงหน้าอย่างใช้ความคิด
หึ...ไม่เป็นไปตามที่คิดไว้หรือนี่ ไอ้เด็กนั้นมันเอาไปฟ้องจริงๆซะด้วย ฉลาดดีนี่! คิดว่าจะโง่เหมือนพวกนางเอกในนิยายที่ตีโพยตีพายวิ่งหนีไปซะอีก
“ฮึ! ฉันคิดว่าฉันปกป้องลูกๆในส่วนที่ฉันพอจะทำได้อยู่นี่คะ ฉันไม่ต้องการให้แกมีพ่อเป็นเกย์!”
“แต่มันคงไม่เกี่ยวกับที่ดินอะไรนั่นไม่ใช่หรือ...นรี”
คำพูดที่เคยโกหกเด็กหนุ่มไว้ย้อนกลับมาทิ่มตำในอกให้เจ็บปลาบแปลบ และสีหน้าเจื่อนไปในทันที แต่ก็ยังตีหน้ายิ้มพราย
“มันก็ออกจะเกินไปหน่อย แต่ฉันก็อยากให้เด็กนั้นตัดใจไปจากคุณง่ายๆ ดีกว่าต้องมานั่งใช้เงินฟาดหัวกันทีหลัง”
“นั้นมันเธอ!”
“ภูผา!”
ความเงียบเข้าแทรกกลางระหว่างคนทั้งสองที่อยู่ในอารมณ์โกรธเกรี้ยว จนต้องหันหน้าหนีเพื่อระงับอารมณ์พุ่งพล่านดังกล่าว ก่อนที่ฝ่ายหญิงสาวจะยกเหตุผลขึ้นมาอ้างต่อเพื่อสร้างภาพพจน์ให้กับตนใหม่
“ฉันไม่อยากให้ลูกอยู่กับพ่อที่เป็นเกย์ ต่อไปแกจะหลงผิดได้ แล้วฉันผิดหรือไงคะที่ทำแบบนี้ ถึงมันจะดูรุนแรงไปก็เถอะ คุณเองก็น่าจะเข้าใจจุดนี้นะคะ”
ภูผากวาดสายตามองอดีตภรรยาอย่างนึกรังเกียจ เมื่อหญิงสาวปั้นน้ำจบ
“เกิดรักลูกขึ้นมากะทันหันว่างั้นเถอะ”
“ฉันรักแกมาตลอด แต่คุณเองที่กีดกันไม่ให้ฉันได้เจอลูกไม่ใช่รึคะ” นรีหน้าม่านเมื่อถูกเสียดสีจากชายหนุ่ม
“แม่ที่มักมากอย่างเธออย่าเจอละดีแล้ว” ภูผามองนรีนั่งตัวแข็งเมื่อเขาพูดจบ อย่ามาเสียเวลาพ่นน้ำลายใส่กันเลย คำพูดคำขอร้องจากเขามันคงเข้าไปไม่ถึงหัวใจดำๆของผู้หญิงคนนี้อีกแล้ว เพราะฉะนั้น
“อย่ามาพูดกันเรื่องนี้อีกเลย เรื่องลูกเธอก็รู้อยู่เต็มอก ถ้าอยากได้ลูกไปอยู่ในความปกครองก็ฟ้องศาลเอาก็แล้วกัน แต่เรื่องของวนัสก็ตามที่ฉันพูดมานั้นละ อย่าให้ฉันเห็นเธอเข้าไปใกล้วนัสอีกเป็นครั้งที่สอง.........” ดวงตาสีดำสนิทดูลึกจนมองไม่เห็นแววความปราณีจากชายหนุ่ม อดรนทนไม่ไหวหญิงสาวที่นั่งตัวเกร็งจึงเป็นฝ่ายเอ่ยถามเสียงเอง
“จะทำไมคะ” ลำคอระหงยืดขึ้นเชิงท้าทายอีกฝ่าย เพราะยังคิดปลุกปลอบใจตัวเอง ภูผาไม่เคยลงมือลงไม้กับเธอแม้สักครั้ง ที่ผ่านมามีแต่สงครามน้ำลายทำลายประสาทกันมากกว่า
ภูผาเห็นความดื้อแพ่งในดวงตาของหญิงสาวก็ให้คิดตัดใจ อะไรก็เยียวยาจิตใจผู้หญิงคนนี้ไม่ได้แล้ว จากความบกพร่องของเขาในตอนนั้นทำให้เห็นภายใต้ดวงหน้างดงามยังมีความเห็นตัว มักมาก โลภไม่มีที่สิ้นสุด จะว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายที่ได้รู้ส่วนดำมืดในใจของหญิงสาวดีละ
ถ้ายังใจอ่อนเหตุการณ์ทุกอย่างจะวนกลับมาเหมือนเดิมไม่มีที่สิ้นสุด แล้วชีวิตของเขาทั้งชีวิตจะต้องทนทุกข์ทรมานเพราะคนเห็นแก่ตัวเพียงคนเดียวนะหรือ ยังมีลูก แล้วก็ยัง.....คนรัก ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรด้วยต้องมาเจ็บช้ำใจ จะคุ้มมั้ยถ้าไม่มีผู้หญิงคนนี้อยู่ในโลก
“อย่าทำให้ฉันหมดความอดทน นรี” น้ำเสียงเหี้ยมเกรียมพูดเน้นย้ำช้าชัดทุกคำ จนนรีเองรู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาทันที
ภูผาเบือนสายตาจากใบหน้างามมองทะเลสีฟ้าไล่ระดับไปถึงสีน้ำเงินเข้ม แสดงถึงความลึก ก่อนจะหันกับมาสบตาหญิงสาวแน่วนิ่ง แล้วยกยิ้มมุมปากอย่างไม่อนาทรร้อนใจ
“ทะเลที่นี่กว้างแล้วก็ลึกดีจัง เธอว่ามั้ย”
“.......................!”
“เสร็จธุระแล้วฉันกลับละ” ร่างสูงลุกขึ้นพลางตวัดตามองหญิงสาวที่บัดนี้ใบหน้าซีดเผือก ริมฝีปากสั่นระริกขบเข้าหากันแน่นมองเขาเหมือนเห็นผีก็ไม่ปาน
นรีรู้สึกเหมือนทุกย่างที่หวังไว้พังทลายลงตรงหน้า กับคำพูดตัดขาดเหี้ยมเกรียมนั้น มือเรียวบางยกขึ้นลูบใบหน้าระเรื่อยจนถึงลำคอแห้งผาก
เขี้ยวเล็บที่เธอไม่เคยเห็นจากผู้ชายท่าทางอบอุ่นคนนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว บอกใคร ใครเขาจะเชื่อว่าภูผาขู่จะฆ่าเธอ!
ดวงตาของหญิงสาวเอ่อล้นด้วยน้ำใสๆจนหยาดหยดลงอาบแก้มนวล
“ภูผา” นรีเรียกชายหนุ่มไว้ก่อนจะเดินพ้นจากไป
“คุณก็รู้ว่าฉันไม่มีที่ไป เงินทองก็ไม่มี แล้วคุณยังจะใจร้ายกับฉันอีกหรือคะ”
ชายหนุ่มยกยิ้มมุมปากอีกรอบ ไม้แข็งใช้ไม่ได้เลยมาใช้ไม้อ่อนแล้วรึ
“ฉันจะไม่ให้อะไรกับเธออีกแล้ว เธอเองก็มีสามีเป็นตัวเป็นตน ถึงแม้จะไม่ค่อยได้เรื่องก็ตาม แต่ก็ไปหาทำกินกันเองเถอะ อย่ามามัวแบมือขอเงินฉันให้เสียศักดิ์ศรีสามีเธอดีกว่า” ภูผาพูดไปมองหญิงสาวมีสีหน้าบิดเบี้ยวจนไม่เหลือเค้าความงามให้เห็นและก่อนจะผละจากไป
“ถ้ากลับบ้านไม่ไหวฉันจะให้คนของฉันไปส่ง ถือซะว่าเป็นความช่วยเหลือครั้งสุดท้ายจากฉันก็แล้วกัน”
เพียงแค่ชายหนุ่มหันหลังเดินออกไปจากร้าน บรรดาชายหนุ่มที่นรีไม่รู้สึกตัวว่าอยู่บริเวณนี้ด้วยก็ปรากฏตัวขึ้น และแต่ละคนก็ไม่ต้องให้เจียระไน เหมือนเพิ่งออกมาจากคุกทั้งนั้น!
////////////////////////////////////////
มารดาก้องภพมองรถนอกคันหรูแล่นปราดเข้ามาในบ้าน หลังจากแม่บ้านไปเปิดประตูรั้วเหล็กให้ ร่างสูงขาวลงมาจากรถทำให้หญิงสูงวัยฉีกยิ้มต้อนรับแขก ซึ่งเข้าใจว่าเป็นเพื่อนสนิทลูกชายที่พักนี้ไปมาหาสู่บ่อยๆ แถมยังมีของฝากติดไม้ติดมือมาทุกครั้ง ถึงจะเกรงใจแต่ก็อดชื่นชมไม่ได้ เอาใจคนแก่เก่งจริงๆ
“มาหาก้องหรือลูก” หญิงสูงวันเอ่ยทักภาคภูมิที่เดินมายกมือไหว้ แถมในมือยังยื่นส่งอาหารเสริมมาให้เป็นของกำนัล
“เอามาให้อีกแล้ว แม่บอกแล้วว่าไม่ต้อง เกรงใจจริงๆ จะมาก็มาเถอะลูก วันหลังไม่ต้องแล้วนะ” มารดาก้องภพตีแปะที่ต้นแขนชายหนุ่ม
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ แค่นี้ยังน้อยไป.......ที่บ้านผมเขาชอบสรรหาของบำรุงพวกนี้มาทานกัน ซื้อกันมาทีเยอะมาก อันไหนผมเห็นว่าดีก็เอามาฝากให้แม่สุขภาพดีไปด้วยกันไงครับ”
“ช่างพูดเอาใจคนแก่ เข้าบ้านเถอะลูก แล้วนี่นัดไปสถานทูตด้วยกันหรือ?” มารดาก้องภพพาภาคภูมิเข้าบ้านโดยไม่ได้มองหน้าอีกฝ่าย ว่ามีสีหน้าตกใจเพียงใดเมื่อตนพูดจบ
“เปล่าหรอกครับ ผมมาทำธุระใกล้ๆแถวนี้เลยแวะเข้ามาหาด้วย” ภาคภูมินั่งลงที่เก้าอี้รับแขก พลางมองขึ้นไปบนชั้นสองด้วยใจระส่ำ “แล้วก้องเขาจะไปสถานทูตทำไมหรือครับ”
“อ้าว......นี่ไม่ได้คุยกันเลยหรือลูก แม่ก็นึกว่ารู้แล้ว ก้องเขาอยากจะไปเรียนต่อที่อังกฤษนะ เลยจะไปเดินเรื่องที่นั้น”
“หะ......เหรอครับ พอดีสองสามวันนี้ไม่ได้คุยกันนะครับ” ภาคภูมินั่งนิ่งมองหญิงสูงวัยเดินเอาของฝากไปไว้บนโต๊ะ ก่อนจะบอกให้แม่บ้านไปตามลูกชายที่ยังอยู่บนห้องลงมา
“พอดีแม่จะให้ก้องเขาพาแม่ไปเยี่ยมคุณสมร แล้วค่อยให้เขาเลยไปสถานทูต ก็พอดีภาคมานี้ละ”
“งั้นผมอาสาไปส่งให้ดีกว่าครับ ยังไงก็ต้องไปกับก้องอยู่แล้ว” ภาคภูมิรีบอาสาด้วยหวังจะหาโอกาสถามไถ่สิ่งที่ได้ยินมาด้วยใจประหวั่น
“แม่ยังไงก็ได้จ๊ะ” มารดาผู้ไม่รู้เรื่องอะไรยิ้มให้ แล้วจึงหันไปมองบุตรชายที่เดินหน้าตึงลงมา
“แม่จะไปแล้วหรือครับ” ก้องภพเดินเข้ามานั่งใกล้ๆมารดา
“จ๊ะลูก แต่ภาคเขาอาสาจะไปส่ง ยังไงลูกก็ต้องไปด้วยกันอยู่แล้วใช่มั้ย ”
ก้องภพตวัดสายตามองภาคภูมิทันที ยุ่ง!
“งั้นคุณภาคไปส่งแม่ดีกว่า เดี๋ยวผมไปสถาทูตเลย จะได้เร็วๆไงแม่ แล้วผมค่อยไปนัดเจอคุณภาคข้างหน้า ไปบ้านป้าสมรรถติดจะตายเดี๋ยวผมก็ช้าพอดี” ก้องภพยกแม่น้ำทั้งห้ามาเฉไฉ เขาไม่ยอมนั่งรถไปกับเจ้านี่อีกหรอก
“จะขับไปสองคันสามคันทำไมละก้อง ก็ไปซะด้วยกันนี่ละ รถไม่ติดขนาดนั้นหรอก นี่มันไม่ใช่ช่วงเวลาเร่งด่วนนะ เนอะแม่เนอะ” ภาคภูมิหันไปพยักพเยิดหน้ากับมารดาก้องภพ
หน่อยแก ทำตีซี้แม่ฉันเรอะ ไอ้กระล่อน! แม่ก็ดีนัก ไปยิ้มรับทำไมละแม่! อยากให้ลูกเป็นเกย์รึไง โธ่.........
สุดท้ายก็ต้องนั่งรถไปด้วยกันตามความเห็นดีเห็นงามของคนทั้งสอง โดยก้องภพต้องไปนั่งเสนอหน้าคู่คนขับอย่างเสียไม่ได้ เพราะพอเขาจะตามแม่เข้าไปนั่งข้างหลัง ก็ถูกแม่ดุ ไล่ให้ไปนั่งหน้าซะงั้น บอกว่าคุณภาคเขาไม่ใช่คนขับรถ โธ่แม่... ถ้าเจ้านี่เป็นคนขับรถ ผมจะเหยียบให้จมดินเลย หมันไส้มานานแล้ว
ระหว่างไปบ้านป้าสมรโดยการบอกทางของก้องภพ ภาคภูมิก็อดที่จะชำเลืองมองคนนั่งข้างไม่ได้ ซึ่งเจ้าตัวก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เสียร่ำไป นี่ถึงอยู่กันตามลำพังก็คงไม่คิดจะบอกกันดีๆแน่เจ้าดื้อ! จะหนีไปเรียนถึงเมืองนอกเมืองนาเชียวรึเนี่ย ภาคภูมิคิดแล้วรู้สึกเสียวปลาบแปลบในอก
“จะไปเรียนอะไรหรือก้อง” ร่างสูงเอ่ยถามเสียงเรียบ แต่รออยู่หลายอึดใจก็ไม่ได้คำตอบจากร่างเล็ก จึงเหลียวไปหามารดาก้องภพแทน
“แม่ครับ...”
“นี่!” ก้องภพส่งเสียงแทรกเหมือนวัวสันหลังหวะ ก็เจ้าหมอนี่ชอบขู่ว่าจะเอาเรื่องความสัมพันธ์มาบอกแม่เพื่อรับผิดชอบอยู่เรื่อย บ้านะสิ! ดวงตาคู่ดำสนิทขึงตาใส่อีกฝ่ายก่อนจะหันไปฉีกยิ้มให้มารดาแล้วค่อยกลับมาพูดกับร่างสูงต่อ ”จะไปเรียนจิตวิทยาไว้รักษาคนบ้าน่ะ”
ภาคภูมิเลิกคิ้วขึ้นถามอย่างแปลกใจในกริยาของร่างเล็ก ไม่เห็นจะต้องทำเสียงดังเลย เขาแค่จะถามแม่แทนก็เท่านั้น ก็ตัวเองเล่นไม่ตอบนี่นา
“อ้าวลูก...ไหนบอกแม่ว่าจะเรียนด้านภาษาๆอะไรของลูกไงละ” หญิงสูงวัยชะโงกหน้าถามลูกชาย ทำให้ก้องภพต้องหัวเราะอย่างเก้อๆ
“ล้อเล่นกันน่ะแม่” ก้องภพพลางชำเลืองมองร่างสูง
“น่าตีจริงเรานี่ ล้อเล่นไม่รู้จักเวล่ำเวลาเลย พี่เขาเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ” มารดาก้องภพค้อนลูกชายขวับ
ผู้ใหญ่ตายละ ก้องภพเบ้หน้าไม่ให้มารดาเห็น
“แล้วติดต่อที่เรียนไว้แล้วหรือครับ” ภาคภูมิถามเอากับมารดาก้องภพต่อ
“จ๊ะ อีกสองสามเดือนก็เดินทางได้แล้วละ นี่แม่ยังกลัวว่าจะไปคว้าแหม่มมาเป็นสะใภ้อยู่นี่ละ ฮะๆ” ร่างท้วมหัวเราะอย่างอารมณ์ดีไม่ได้จริงจังกับสิ่งที่ตนพูด แต่คนขับรถกลับนิ่วหน้ากังวลใจอย่างหนัก ซึ่งก็ไม่ได้รอดพ้นสายตาก้องภพที่แอบมองอยู่ ร่างบางจึงยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ รักก็รักไปคนเดียวเถอะ ไอ้คนเห็นแก่ตัว!
“ไม่ดีเหรอแม่ ได้หลานหัวทองตาสีฟ้า น่ารักดีออก” ร่างผอมๆพูดสำทับแทบจะทำให้ภาคภูมิกระอักเลือดเลยทีเดียว
“อืม...ก็ดีเหมือนกัน แม่จะได้มีหลานล้อมหน้าล้อมหลังตอนแก่” มารดารับมุขลูกชายโดยที่ภาคภูมินั่งเหงื่อแตกท่วมตัว
“โฮ้แม่...มีไอ้สามตัวนั่นยังไม่พออีกเหรอแม่” ก้องภพพูดถึงบรรดาหลานๆสามคน
“ยังหรอกลูก มีลูกมีหลานเยอะๆ อบอุ่นดีออก แม่ว่านะ แล้วบ้านภาคมีพี่น้องเยอะมั้ยลูก” มารดาก้องภพหันไปคุยกับภาคภูมิ
“ก็เยอะครับ นี่ผมมีหลานห้าคนเข้าไปแล้วละครับ”
“แล้วมีฟงมีแฟนรึยังละลูก”
“ฮะๆ กำลังตามจีบอยู่ครับ แต่เขาไม่ได้รักผมหรอก แล้วแววมาว่าจะไปเรียนเมืองนอกเหมือนกัน ผมเลยไม่รู้จะทำยังไงดีครับแม่” ร่างสูงเหลือบมองร่างเล็กทำหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง ดูจะสนุกเหลือเกินนะ เห็นเขาเสียใจแล้วสนุกนักหรือไง
“โธ่ลูก ครบเครื่องออกแบบนี้ ยังมีคนเขาปฏิเสธลูกด้วยเหรอ ตาถั่วจริงๆเลย” มือขาวอูมยกขึ้นลูบไหล่หนาราวกับช่วยปลอบอกปลอบใจชายหนุ่มรุ่นลูก แต่ลูกตัวเองกับสะดุ้งโหยงกับคำกระทบของมารดา
“ยังงี้ต้องตื้อลูก เดี๋ยวเขาก็ใจอ่อนเองละ” มารดาก้องภพหัวเราะชอบใจ “อะ! เลี้ยวเข้าซอยหน้านี่ละลูก ดูสิคุยกันเพลิน”
เมื่อส่งมารดาที่บ้านป้าสมรเสร็จ ก้องภพก็นั่งหน้าตายมาตลอดทาง บรรยากาศภายในเงียบสนิทจนก้องภพนึกทนไม่ได้ขึ้นมา ถ้าเป็นปกติเจ้านี่จะต้องเต้นผ่างๆไปแล้ว
“นี่...จอดหน้าป้ายรถเมล์หน้านี่ละ นายจะไปทำอะไรก็ไปเถอะ” ก้องภพพูดโดยไม่เหลือบมองคนขับ
“ไม่เป็นไร ฉันว่าง” ภาคภูมิตอบโดยไม่ได้หันกลับมามองร่างเล็กเหมือนกัน เขากำลังจะสูญเสียคนๆนี้ไปจริงๆนะหรือ ภาคภูมินั่งคิคมาตลอดทาง
ก็รู้ตัวว่าที่ทำทุกวันนี้เป็นการบังคับอีกฝ่ายมากเกินไป แต่เจ้าตัวก็ไม่เคยลงให้ ไม่เคยยอมคุยกันดีๆสักครั้งเหมือนกัน แล้วจะให้เขาทำยังไง... แล้วนี่จะไปเรียนถึงเมืองนอกห่างหูห่างตาขนาดนั้น เขากลัวจริงๆ กลัวว่าจะมีใครมาทำให้ก้องภพหวั่นไหว เพราะทุกวันนี้เขาก็ไม่ได้ใจมาแม้แต่น้อย แม้จะนอนกกกอดกันแต่มันก็ยังรู้สึกหนาวสะท้านในอก ทำให้เขาต้องยึดสิ่งที่ยึดถือได้ไว้ก่อน เขาจึงดูเหมือนคนเห็นแก่ตัวในสายตาของใครต่อใครละมั่ง
ภาคภูมิพาก้องภพมาถึงสถานทูต และร่างเล็กก็ดูกุลีกุจอรีบลงจากรถซะเหลือเกิน จนภาคภูมิต้องรีบคว้าแขนเล็กไว้ก่อนจะลงจากรถ
“ฉันจะรออยู่ตรงนี้นะ” ภาคภูมิไม่ได้เหนี่ยวรั้งก้องภพไว้อีก มือใหญ่ค่อยๆปล่อยมือเล็กไปหลุดจากไป โดยไม่มีแม้แต่คำตอบรับ แต่ชายหนุ่มก็ยังคิดจะรออยู่ที่เดิม เฝ้ามองร่างเล็กเดินเข้าไปภายในตัวอาคาร โธ่เว้ย....... ร่างสูงครางพลางซบศีรษะลงกับพวงมาลัย
ก้องภพที่เดินลับหลังเข้าไปในตัวอาคาร แอบเดินถอยหลังมาลอบมองร่างสูงภายในรถด้วยรู้สึกแปลกๆในอก เจ้านั่นตกใจจนช๊อกไปจริงๆหรือ ไปเรียนนะไม่ได้ไปตายที่ไหน แค่สองสามปีก็กลับมาแล้ว...เอ๊ะ! ทำไมต้องพูดเหมือนกับจะให้เจ้านั้นคอยด้วยละ
ร่างผอมที่ดูจะตกใจกับความคิดของตัวเองรีบเดินจ้ำเข้าไปภายในอาคารก่อนที่จะคิดอะไรแผลงๆออกมาอีก
“โห...ไมขั้นตอนมันเยอะจัง” ก้องภพเหลือบมองนาฬิกาข้อมือเมื่อเวลาล้วงพ้นมาหลายชั่วโมง ร่างผอมบางเดินออกมาจากตัวอาคารแล้วต้องชะงัก ก่อนจะค่อยๆหลบกายเข้ากับมุมตึกแล้วชะโงกหน้ามองบริเวณที่รถภาคภูมิจอดอยู่
โห ...เจ้าบ้านั้นยังรออยู่เลย ไม่เอาอะ ไม่อยากกลับกับเจ้านั่น เดี๋ยวก็บังคับพาเขาไปไหนอีก ร่างเล็กค่อยๆแอบย่องเดินเลียบกำแพงจากไป แต่ก่อนจะพ้นตัวอาคาร ศีรษะทุยก็หันกลับไปมองร่างตะคุ่มๆที่ยังฟุบอยู่กับพวงมาลัยรถอีกครั้ง อะไรบางอย่างเอ่อขึ้นมาจุกที่ลำคอ
เป็นอะไรรึเปล่าเจ้านั่น ทำไมถึงฟุบหน้าลงไปแบบนั้น ทำยังกับเสียใจนักหนา นี่!...ให้มันน้อยๆหน่อย ทีเวลาทำกับเขาละไม่คิด ทีเวลานี้ละทำมาเสียใจ คอยดูจะหาเมียมาเย้ยให้...ไอ้บ้า ถึงจะคิดอย่างโมโหในใจ แต่เท้ากลับก้าวเดินไปยังรถนอกคันหรูที่จอดคอยอยู่
“ก๊อกๆ” ก้องภพเคาะกระจกฝั่งคนขับ ด้วยเขามายืนใกล้ๆข้างรถได้สักพักแล้ว เจ้าของรถก็ยังไม่มีท่าทีจะรับรู้แม้แต่น้อย มัวแต่ก้มหน้าก้มตาจูบพวงมาลัยรถอยู่นั้นแหละ อย่าบอกนะว่าหลับ! ถ้าเป็นยังงั้นจะตืบให้ คนอุตส่าห์เป็นหะ... เฮ้ย! ไม่ๆ อย่าคิดๆ
ภาคภูมิเงยหน้าขึ้นมองร่างเล็กที่ยืนอยู่ข้างรถด้วยดวงตาแดงก่ำ แล้วยกยิ้มบางเบาให้ ก้องภพรู้สึกเหมือนมีอะไรมาบีบในอก เสียงปลดล๊อกดังขึ้นขัดความคิด ร่างเล็กเปิดประตูขึ้นไปนั่งเคียงคู่
“กลับบ้านเลยนะ” ภาคภูมิเอ่ยเสียงเบาแล้วทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
ก้องภพชำเลืองมองคนนั่งข้างๆด้วยความรู้สึกหลากหลาย ด้วยใจหนึ่งก็คันปากอยากจะถามว่าเป็นอะไร อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากจะสนใจคนช่างบังคับคนนี้เลย แต่ทุกอย่างมันแปลกไปจนเขาใจหาย ไม่มีการต่อว่า ไม่มีการถามไถ่ ไม่มีการบังคับไปคอนโดอย่างเช่นที่ผ่านมา เพราะภาคภูมิมาส่งเขาถึงหน้าบ้านแล้วตอนนี้
แสงไฟสาดส่องยังตัวบ้าน ก้องภพชั่งใจก่อนจะเก็บของเตรียมตัวลงจากรถพลางชำเลืองมองร่างสูงที่ทอดสายตามองมาแต่ไม่ยอมพูดอะไร มันหงุดหงิดนะโว้ย
“ก้อง” เสียงเรียกเย็นเฉียบทำให้ก้องภพหยุดมองอีกฝ่าย ก่อนจะถอนหายใจออกมา พูดได้ซะทีนะเจ้าบ้า
“จะไปจริงๆเหรอ” ภาคภูมิมองร่างเล็กด้วยสายตาอ่อนระโหย
“เออ” คำตอบแบบกระแทกๆไม่เห็นหัวผู้ใหญ่ไม่ได้ทำให้ภาคภูมินึกโกรธขึง
“แล้วทำไม” ก้องภพเหลือบตามองคนหน้าเหลือสองนิ้ว รอฟังอีกฝ่ายพูดต่อไป
“ไม่ไปไม่ได้หรือ” ภาคภูมิรวมมือเล็กขึ้นมากอบกุมมองใบหน้าอีกฝ่ายแน่วนิ่ง ทำให้ก้องภพต้องหยุดคิดไปชั่วขณะ ก่อนจะทอดเสียงอ่อน
“ไม่ได้ ฉันอยากไป...จริงๆนะ” ก้องภพมองมือใหญ่ที่กอบกุมมือตนไว้แน่น ขืนอยู่อย่างนี้ต่อไปเขาคงหาตัวเองไม่เจอ เพราะคอยแต่จะหลงไปกับคำรักหวานรื่นหูนั่น โดยที่เขาไม่รู้ว่าเขาคิดยังไงกับเจ้านี้กันแน่ ที่สำคัญ เขารักใครรักจริง ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนหน้าไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น ถ้าเขาจะคบกับใครซักคน เขาต้องรัก รักอย่างสุดหัวใจ
ภาคภูมิมองร่างเล็กด้วยแววตาร้าวราน แต่ถ้าขืนเขายังจะเอาแต่ใจ บังคับอีกฝ่ายในครั้งนี้ เขาคงเสียก้องภพไปตลอดกาล ตอนนี้เขาควรจะปล่อยสายปานให้ว่าวตัวน้อยๆตัวนี้ขึ้นไปเล่นลมแรงบนฟ้าใช่มั้ย แล้วถ้าลมพัดแรงจนกระชากสายปานที่เขายึดจับไว้ขาด เขาจะตามเก็บกับมาได้มั้ยนะ
“ก้อง...ฉันรักก้องนะ” ร่างสูงเอ่ยย้ำเสียงหนัก เขารู้ว่าเขาทำให้ก้องภพตัดสินใจแบบนี้เอง เขาต้องยอมรับมัน ก่อนที่ทุกอย่างจะพังทลายลงตรงนี้
“นายบอกฉันเป็นครั้งที่ร้อยแล้วมั้ง” ก้องภพเสมองไปทางอื่นด้วยพวงแก้มอุ่นวาบ
ภาคภูมิยกยิ้มให้กับคำพูดของคนรัก ดื้อจนหยดสุดท้ายจริงๆ
“จะกี่ครั้งฉันก็จะพูด” ร่างสูงยกมือเล็กขึ้นมาจุมพิตหนักๆ
“นาย!...” ก้องภพชักมือกลับ ซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมปล่อยแต่โดยดี “ก็พูดไปคนเดียวเถอะ”
ช่างตอกย้ำจริงๆนะ ภาคภูมิคิดอย่างเจ็บหยอกในอก แต่ก็สู้ฝืนยิ้มเย็นให้อีกฝ่าย พลางยกมือขึ้นลูบศีรษะเล็กแผ่วเบา
“ไปแล้วตั้งใจเรียนนะ ฉันคงตามไปกวนประสาทนายไม่ไหวหรอก สบายใจได้” ร่างสูงมองคนตัวเล็กนั่งนิ่ง มือใหญ่ยังคงลูบศีรษะเล็กไปมา ตอนเจอกันใหม่ๆ ผมยังสั้นกุดอยู่เลย แต่ตอนนี้เริ่มยาวขึ้นมากแล้ว ไม่อยากจะเชื่อเลย
ก้องภพสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ส่งผ่านมาทางฝ่ามือใหญ่ เขา...
“นี่”
“หือ”
“รักฉันจริงๆเหรอ”
“จริงสิ”
ก้องภพหันมองภาคภูมิเต็มตาด้วยหัวใจเต้นระทึก
“ถ้ารักฉัน ก็ทำตัวสงบเสงี่ยมรอฉันกลับมาอยู่ที่นี่ละ อย่าได้ไปขี้หลีใครที่ไหนนะ ถ้าฉันรู้ ก็ไม่ต้องมาให้เห็นหน้าเลย เจ้าบ้า!” พูดจบก้องภพก็รีบเปิดประตูวิ่งหายเข้าไปในบ้าน ปล่อยให้ภาคภูมิอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน
“เดี๋ยวก้อง! หมายความว่าฉันยังมีความหวังอยู่ใช่มั้ย ก้องอยากให้ฉันรอใช่มั้ย” ภาคภูมิตะโกนไล่หลัง แต่ก็มีเพียงความเงียบตอบกลับมา ก้อง... ภาคภูมิยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองพลางหัวเราะลงคอ ด้วยรู้สึกว่าสิ่งที่อัดแน่นในสมองมลายหายไป
ให้ตายเถอะเด็กคนนี้ ชอบทำให้เขาแปลกใจอยู่เรื่อง หัวใจแทบวายแน่ะ รู้มั้ย เมื่อมองเข้าไปภายในบ้านก็ไม่พบการเคลื่อนไหวใดๆ ทำให้ร่างสูงยอมล้าถอยไม่เข้าไปคาดคั้นสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ ใช่...ยังมีเวลา ค่อยเป็นค่อยไปคงจะดีกันทั้งสองฝ่าย
แสงไฟหายลับไปจากบริเวณบ้าน ก้องภพจึงได้ชะโงกหน้าออกมาดู
“เจ้าบ้า! ตะโกนมาได้” ก้องภพทำปากยื่นไม่สบอารมณ์ก่อนจะหันตัวเดินขึ้นห้องตัวเอง
มือเล็กเปิดม่านมองถนนมืดมิดที่รถยนต์คันใหญ่เพิ่งแล่นจากไป
“แล้วฉันจะคอยดูความจริงใจของนาย”
TBC
มาเเล้วๆ งานเยอะได้อีก
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนิยายพี่สาเก
ไม่กี่ตอนก็จะจบเเล้วเเละมีตอนพิเศษอีกสองถึงสามตอน
นอนละ บายยยยยยยย