ภูผายิ้มให้กับร่างบางที่เอาแต่ซุกซบซอกคอตนอย่างเขินอายด้วยความรู้สึกรักใคร่ และตอนนี้ก็เกิดอาการหมันเขี้ยวอยากจะแกล้งร่างเล็กขึ้นมาเนื่องๆ
“ลองอีกครั้งมั้ย แล้วจะสอนว่าต้องทำยังไง ไม่ต้องไปอ่านอะไรแบบนั้นให้ยุ่งยากหรอก ฉันอยู่นี่ทั้งคน ถามฉันสิ” ร่างสูงยิ้มใส่ตาอีกฝ่ายที่ผงะตัวออก
“ทะลึ่ง!”
“หึๆ”
ก่อนที่ภูผาจะได้รุกคืบไปมากกว่านี้ เสียงรถมอเตอร์ไซด์ที่เข้ามาจอดหน้าบ้านทำให้ทั้งคู่ผละออกจากกัน แล้วเดินออกไปดูชายหนุ่มที่ยืนตะโกนเรียกชื่อเจ้านายเสียงดัง
“มีอะไร ฉัตร” ภูผาร้องบอกก่อนจะเปิดประตูออกไปดูคนงานที่อาศัยอยู่ในบ้านพักของทางไร่ทำหน้าตาตื่น เดินตรงเข้ามาถึงบริเวณที่แสงไฟนีออนหน้าบ้านสาดส่องจนเห็นใบหน้าแขกผู้มาเยือนยามวิกาลชัดๆ แต่ก่อนที่จะได้เห็นหน้า ผู้เป็นเจ้าของไร่กลับเรียกชื่อคนงานที่มีอยู่เป็นร้อยๆได้อย่างแม่นยำ จนวนัสอดนึกนิยมชมชอบไม่ได้ เพราะนั้นหมายถึงความใส่ใจ
“ไอ้รอยครับ ไอ้รอยมันไปฉุดนังดาวมานอนที่บ้านพักคนงานแน่ะนาย แล้วยายติ๋มแม่นังดาวตามมาเจอก็โวยวายใหญ่เลย ตอนนี้ยายติ๋มจะลากไอ้รอยไปหาตำรวจแล้วละนาย” คนงานหนุ่มพูดเร็วๆให้เจ้านายรับรู้
รอยนะเหรอ.............วนัสคิดอย่างตกใจแกมสงสัย ขายาวก้าวตามร่างสูงเพื่อจะไปดูสถานการณ์ที่บ้านพักคนงานด้วย แต่ถูกภูผาห้ามไว้และขอให้อยู่เป็นเพื่อนลูกๆของตนที่บ้านจนกว่าเขาจะกลับมา วนัสจึงต้องจำใจเดินกลับไปนั่งดูทีวีรอฟังเหตุการณ์จากชายหนุ่มอย่างเงียบๆ
\\\\\\\\\\\\\\
“ใจเย็นๆน้าติ๋ม”
ภูผาเมื่อมาถึงก็พบคนงานกลุ่มใหญ่มุงกันอยู่บริเวณหน้าบ้านพักยาวเหยียดที่รอยอาศัยอยู่ และตอนนี้คนก่อเรื่องก็หน้าซีดเหลือ 2 นิ้ว พร้อมเด็กสาวคู่กรณีที่เกาะหลังมารดาร้องห่มร้องไห้หน้าตาแดงก่ำ โดยมารดายืนทำหน้ายักษ์ถมึงทึงรออยู่ก่อนแล้ว ก็น่าโมโหอยู่หรอกลูกสาวทั้งคน
“ใจเย็นเหรอ!..........คนงานคุณภูผามาฉุดลูกสาวน้าแบบนี้จะให้ใจเย็นไหวหรือคุณ!” ยายติ๋มแผดเสียงใส่ร่างสูงอย่างเหลืออด
“ครับๆ ผมเข้าใจนะน้า แต่ขอผมสอบถามก่อนได้มั้ยน้า รับรองถ้าไอ้รอยมันทำ ผมจะเอามันส่งตำรวจกับมือผมเองเลย อีกอย่างดาวก็อายุมากกว่าจะมาพรากผู้เยาว์แล้วนะครับ ยังไงคุยกันก่อนเถอะครับ” ชายหนุ่มเจ้าของไร่พยายามไกล่เกลี่ย
“คุณภูผาก็เห็นๆอยู่ น้านะเห็นว่านังดาวมันหายไปตั้งแต่บ่าย มันบอกว่าจะมาส่งของที่นี่ ก็มิสทงมิสทีนอะไรของมันนั่นละ แต่ส่งภาษาอะไร เย็นแล้วก็ยังไม่ยอมกลับบ้านกลับช่อง จนน้าปิดร้านมันก็ยังไม่กลับบ้าน ก็เลยออกมาตามมันที่นี่ละ น้าตามหาก็ไม่เห็นมัน ก็เลยให้คนงานช่วยๆกันถามหาดู น้ากลัวลูกน้ามันจะเป็นอะไร แล้วพอคนงานของคุณไปเคาะประตูถามหาที่ห้องไอ้รอย มันก็อย่างที่เห็นนี่ละ มันมาปู้ยี่ปู้ยำลูกน้า น้าจะลากคอมันส่งตำรวจ ให้มันติดคุกหัวโตเลย” เสียงยายติ๋มเล่าเป็นฉากๆจนเห็นภาพ แต่ก็สะดุดใจภูผาอยู่ไม่น้อย จนร่างสูงสั่งให้คนงานชายคุมตัวเจ้ารอยไว้ก่อน ส่วนตัวเองเดินเข้าไปดูสภาพภายในห้องพักของคนงานหนุ่มที่เป็นเรื่องอยู่ตอนนี้
ภายในห้องพักยังคงสภาพเหมือนห้องชายโสดทั่วๆไปคือ รก แต่ไม่มีร่องรอยความเสียหายจากการต่อสู้ขัดขืน ข้าวของทุกชิ้นยังคงสภาพปกติ จะมีก็แต่กองขวดเหล้าแม่โขง 2 กลมกับอีก 1แบน พร้อมโซดา กระติกน้ำแข็งเสร็จสรรพตั้งอยู่กลางห้องตำตา ถ้าจะยังไงๆอยู่นา....... แล้วจึงเดินกลับออกไป คนที่จะตอบคำถามเขาได้ดีที่สุดก็คือเด็กดาวนั้นละ
ระหว่างเดินออกมาจากห้อง ภูผาเหลือบมองเด็กสาวที่พยายามจะชวนแม่กลับบ้านอย่างร้อนรน ก็หัวเราะขึ้นจมูกออกมาทันที
คงไม่ต้องถึงตำรวจแล้วละงานนี้
\\\\\\\\\\\\\\
ภูผากลับเข้าบ้านเมื่อเลยเวลาเที่ยงคืนไปเล็กน้อย โดยมีวนัสออกมารับพร้อมอาการอยากรู้ประทับบนใบหน้า
“เป็นยังไงบ้างครับ”
“ขออาบน้ำก่อนนะ แล้วจะเล่าให้ฟัง” ร่างสูงปลดกระดุมเสื้อไปพลางๆ
“แต่...........” วนัสกังวลถึงเวลาที่ล่วงเลยจนดึกดื่นก็ยังไม่ได้กลับบ้าน เขาไม่อยากยื้อเวลาออกไปอีก ถึงแม้แถวนี้จะไม่เคยเกิดเหตุร้ายก็ตาม แต่การขับรถกลางคืนในทางเปลี่ยวๆมันก็ใจคอไม่ค่อยดีได้เหมือนกัน
“วันนี้ค้างที่นี่เถอะนะ มันดึกแล้ว” ภูผาเดินเข้ามาสวมกอดคนที่ทำตาค้อนเข้าให้
“คุณ........!”
“พรุ่งนี้จะไม่ห้ามเลย” ริมฝีปากได้รูปรีบกดแนบลงบนขมับร่างโปร่งราวกับจะเอาอกเอาใจ ว่าไม่ได้เจตนาจะให้เป็นแบบนี้ จนวนัสถอนหายใจกับคนเล่ห์เหลี่ยมจัดพลางพยักหน้าหงึกๆแบบไม่ค่อยจะสบอารมณ์เท่าไรนัก ให้คนตัวใหญ่ยิ้มอย่างได้ใจ
“งั้นอาบน้ำด้วยกันนะ”
“ห๋า!.........ไม่!” ได้คืบจะเอาศอกจริงๆเลย วนัสคิดอย่างฉุนๆ พลางเดินตัวปลิวเข้าไปในห้องนอนร่างสูง แต่ก่อนจะเปิดประตูห้องน้ำ ร่างโปร่งก็หันมาพูดกับเจ้าของบ้านที่เดินยิ้มกริ่มตามมา
“ถ้าเข้ามาในห้องน้ำจะฆ่าให้ตายเลย”
เสียงขู่ฟ่อๆทำให้ภูผาที่นั่งแหมะลงบนเตียงฉีกยิ้มกว้างขึ้นไปอีก รู้ทันจริงๆ
หลังวนัสผลุบเข้าไปในห้องน้ำ ภูผาก็หงายหลังล้มตัวนอนมองเพดานอย่างสุขใจ ฟังเสียงน้ำไหลรินไปเรื่อยๆจนเจ้าของร่างโปร่งบางเปิดประตูออกมา พร้อมกลิ่นหอมของแป้งเด็กที่เขามีติดห้องไว้ ภูผาลุกขึ้นเดินไปหาวนัสที่ยืนเช็ดผมลวกๆอยู่หน้าห้องน้ำ
“ดึกแล้วไม่น่าสระผมเลยน้า...........ที่เป่าผมอยู่หน้ากระจกนะ” มือใหญ่ยื่นมาช่วยวนัสซับหยดน้ำบนศีรษะทุยอย่างเบามือ จนร่างบางไล่ให้ไปอาบน้ำจึงไปผละจากไป พอออกมาก็พบวนัสนั่งรออยู่บนเตียง ผมนุ่มสลวยแห้งสนิทแล้ว และดวงตากลมดำก็กำลังมองมาอย่างบังคับกลายๆ
“เล่าได้รึยังครับ”
“หือ........ใจร้อนจริงๆ” ภูผาพาดผ้าเช็ดตัวกับพนักเก้าอี้ แล้วจึงเดินมานั่งบนเตียงพลางคว้าตัวร่างบางให้ล้มตัวนอนในอ้อมกอดของตน
“คุณ!...........”
“เล่าแล้วๆ” ภูผารีบบอกเพราะไม่อยากให้วนัสหัวเสียไปมากกว่านี้ ก็แค่อยากนอนกอดไปเล่าไปก็เท่านั้น อย่าขี้ฉุนนักเลย
“เจ้ารอยมันไม่ได้ไปข่มขืนเด็กดาวนั้นหรอก” ภูผาหยุดมองใบหน้าขาวนวลนิด แล้วประทับริมฝีปากบนเรือนผมหอมกลิ่นแชมพู ก่อนจะเล่าต่อ
“เจ้ารอยมันเสียใจที่น้องนุ่นอะไรของมันไม่ยอมรับรักมันวันนี้ ก็เลยซื้อเหล้ามากินย้อมใจในห้องของมัน แล้วช่วงที่นั่งดื่มอยู่คนเดียว เด็กดาวที่มาส่งของมิสทีนอะไรนั้นมาเห็นเข้า ก็ขอเข้ามาดื่มด้วย เห็นเจ้ารอยมันบอกว่า ดาวนั่งร้องห่มร้องไห้ ไม่รู้ไปเสียอกเสียใจที่ไหนมา พอเหล้าเข้าปากก็อย่างที่รู้นั้นละ คงปลอบกันไปปลอบกันมาก็เลยลงเอยแบบนั้น ก็นะ หนุ่มๆสาวๆ มันเหมือนน้ำมันกับไฟละนะ” ภูผามองคนที่นิ่งเงียบผิดปกติในวงแขน
“.............”
“มีอะไรรึเปล่า” ร่างสูงผงกศีรษะขึ้นมอง
วนัสเหลือบมาสบตาร่างสูง ก่อนจะเอ่ยสิ่งที่คิดอยู่ในใจ
“ก็เมื่อบ่ายๆนะสิครับ ผมพูดว่าดาวไปหลายคำ แล้วดูเหมือนเขาจะโกรธผมมากอยู่ จะเพราะเรื่องนี้รึเปล่าก็ไม่รู้ที่ทำให้เขาไปกินเหล้าจนเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น” ร่างบางขมวดหัวคิ้วจนย่นติดกัน
“เด็กนั้นมาหานายด้วยรึ” ร่างสูงลงเสียงหนักถามอีกฝ่าย
“ครับ ดาวเขามาส่งของช่วงที่คนงานยังไม่เลิกงาน ก็เลยมารออยู่กับผม แล้วเกิดคุยกันไม่รู้เรื่อง ผมเลยติงเขาไปหลายคำ”
”อืม..........จะใช่หรือไม่ใช่ มันก็เป็นเรื่องที่เราป้องกันอะไรไม่ได้หรอกนะ อย่าไปกังวลเลย” ดีแล้วที่เป็นเจ้ารอยไม่ใช่นาย ไม่งั้นฉันคงอกแตกตายแน่ อ้อมแขนใหญ่โอบรัดคนตัวเล็กกว่าแน่นขึ้นพลางลอบถอนหายใจยาว
“เฮ้อ.......แล้วยังไงต่อกันครับ”
“จะยังไง........พรุ่งนี้ฉันก็ต้องเป็นผู้ใหญ่ไปสู่ขอเด็กดาวให้กับเจ้ารอยมันนะสิ”
“หือ..........” วนัสตาโตกับคำบอกเล่า เพราะยายติ๋มที่เขารู้จักอยากให้ลูกเป็นฝั่งเป็นฝากับคนมีเงิน แล้วเจ้ารอยมันรวยเสียเมื่อไรกันละ
“ไม่หือละ........เรื่องมันแดงขนาดนี้ น้าติ๋มแกก็เสียหน้ามากอยู่ เลยต้องจำใจรับเจ้ารอยเป็นลูกเขย ฉันก็คิดว่ามันเป็นทางออกที่ดีนะ แล้วนี่ฉันว่าจะช่วยเรื่องสินสอดทองมั่นให้เจ้ารอยมันด้วย ถือซะว่าให้ทุนมันไปตั้งต้นชีวิตใหม่น่ะ”
วนัสรู้สึกถึงปลายนิ้วมือใหญ่กำลังพันเส้นผมของตนเล่นไปมา นี่คงเอ็นดูเจ้ารอยไม่น้อยเลย คิดไปก็นึกถึงหน้าคนต้นเหตุขึ้นมา
“ได้เมียสมใจเลยนะ” วนัสพึมพำอย่างขำๆ ก่อนจะผงะหน้าหนีอีกฝ่ายที่เคลื่อนเข้ามาใกล้
“ดึกแล้วเลิกคุยเรื่องคนอื่นเถอะนะ” ภูผาซุกไซร้ใบหน้ากับซอกคอขาวเป็นการตัดบท แล้วกดริมฝีปากบนผิวนุ่มหอมระเรื่อยจนถึงริมฝีปากบางที่เผยอรอให้เขาเข้าไปชิมความหวานซ่าน มือใหญ่ลูบคลำบั้นท้ายแน่นตึงไปมา ก่อนจะสอดมือเข้าไปใต้เนื้อผ้าเพื่อลูบไล้ผิวเนื้ออุ่นลื่นมือ
“คะ...........คุณภูผา”
“อะไรฮึ” ร่างสูงส่งเสียงครางถาม ขณะยังเคล้าเคลียติงหูนิ่มไม่ห่าง
“ผม..........ขอ......นอนเฉยๆได้มั้ยครับ?”
“หือ?” ร่างสูงชะงัก คงเป็นคำถามที่ประหลาดที่สุดในความรู้สึกของภูผา ร่างสูงจึงได้ผละศีรษะออกห่าง มองลึกลงในดวงตาคู่อ่อนโยนจึงได้เห็นแววความหวาดหวั่นซุกซ่อนภายใต้ความสงบนิ่ง ก่อนจะยกยิ้มให้ร่างบางคลายความวิตกกังวล
“อืม....หอมทีนะ” ภูผากลั้นใจจูบลงบนหน้าผากมน แล้วจึงทรุดตัวลงนอนก่ายกอดร่างบางไว้แต่เพียงหลอมๆ
“หลับซะ ถ้าไม่หลับเดี๋ยวเปลี่ยนใจนะ” ภูผาพูดหยอกเย้าเมื่อวนัสยังคงลืมตาแป๋วในความใจกว้างของตน
เขาไม่อยากจะหักหาญน้ำใจของร่างบางอีก เพราะตัววนัสเองก็มีปฏิกิริยาในทางที่ดีขึ้นกว่าเดิมมาก เพียงแต่ต้องให้เวลาในการปรับตัวปรับใจแก่อีกฝ่ายบ้างเท่านั้น
วนัสเพียงพยักหน้าในอ้อมแขนแข็งแรง พลางซ่อนรอยยิ้มโล่งใจไว้ เขาดีใจที่อีกฝ่ายคิดถึงความรู้สึกของเขา แล้วค่อยๆหลับตาลงในความอบอุ่นที่โอบล้อมรอบตัวอย่างสบายใจ
\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\
“ตั้งเชียงใหม่เชียวนะพี่” วนัสคุยโทรศัพท์กับพี่สาวผ่านสมอล์ทอล์ก นิ้วมือเรียวยาวยังคงกดแป้นคีย์บอร์ดรัวเร็ว
“คิดถึงสิครับ คิดถึงเจ้าสองคนนั่นด้วย” ใบหน้าขาวใสดูอิ่มเอิบ เมื่อได้พูดคุยกับคนในครอบครัวที่เหลือเพียงคนเดียวในโลก แม้จะห่างไกล แต่พี่สาวของเขาก็ยังโทรมาถามสารทุกข์สุกดิบอยู่แทบทุกวันไม่ได้ขาด
“โธ่พี่ก็........... เอางี้ เดี๋ยวผมขอถามเจ้านายก่อนว่าจะหยุดได้กี่วันนะ แล้วผมจะโทรไปบอก ฝากหวัดดีพี่ยศด้วยนะพี่” พอตัดสัญญาณโทรศัพท์ วนัสก็เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ทอดสายตามองผ่านกระจกใสออกไปภายนอกที่เขียวชอุ่มไปด้วยต้นข้าวโพดอ่อนอายุไม่ถึงเดือน
เกือบปีแล้วสิ ที่ไม่ได้ขึ้นไปเยี่ยมพี่ที่เชียงใหม่ ก็ตั้งแต่ทำงานที่นี่ละนะ ปานนี้ลูกของพี่คงโตขึ้นเยอะเชียว แต่จะขอลาพักได้รึเปล่าก็ไม่รู้เหมือนกัน คิดไปก็เหลือบตามองพี่พิน พนักงานหญิงที่เคยเป็นพี่เลี้ยงสอนงานตอนเข้ามาใหม่ๆ นั่งรื้อค้นเอกสารอยู่มุมหนึ่งของสำนักงาน
“พี่พินครับ”
“อะไรหรือจ๊ะ” หญิงสาวขานรับโดยไม่หันหน้ามามอง ยังคงง่วนอยู่กับกองเอกสารตรงหน้า
“ที่นี่เขาให้ลาพักร้อนได้ใช่มั้ยครับ”
“จ๊ะ ปีหนึ่งก็ลาพักร้อนได้ 10 วัน เฉพาะพนักงานประจำอย่างเราๆนะจ๊ะ พวกคนงานรายวันรายเดือนไม่มีหรอก”
“เหรอครับ ถ้าผมจะลาก็ยืนใบลาที่คุณภูผาใช่มั้ยครับ”
“จ๊ะ.....แต่ว่าจะไปไหนเอ่ย” พี่พินหันมายิ้มแซว
“ว่าจะไปเยี่ยมพี่สาวที่เชียงใหม่นะครับ”
“แหม...พี่ก็นึกว่าจะแอบไปหาแฟนที่ไหนซะอีก”
“โธ่.........พี่พิน” วนัสหัวเราะกับคำกระเซ้าแหย่ของพี่พิน แล้วจึงเดินไปหยิบฟอร์มใบลามากรอก เขียนเสร็จก็เอาใส่แฟ้มเสนอเซ็นนำไปวางไว้บนโต๊ะทำงานของภูผา รอให้เจ้าตัวมาเซ็นอนุญาต หรือไม่อนุญาตก็เท่านั้น
ภูผากลับเข้ามาที่ทำการไร่ภูผาเมื่อใกล้เลิกงาน แล้วก็อย่างที่วนัสคาดไว้ ร่างบางถูกเรียกตัวเข้าไปในห้องทำงานของภูผาทันทีที่ร่างสูงเห็นกระดาษภายในแฟ้มเสนอเซ็น
“จะไปไหนหรือนัส ลายาวเลยนะนี่” ภูผาก้มมองใบลาพักร้อนในมือที่กำหนดจำนวนวันลาไว้ถึง 7วันอีกครั้ง
“จะไปเยี่ยมพี่สาวที่เชียงใหม่นะครับ” วนัสตอบพลางใจเต้นตึกๆ เขาอยากให้ภูผาอนุญาตมากๆ
“อืม.........7 วัน” ร่างสูงพึมพำเบาๆ พร้อมกับอาการครุ่นคิดจนวนัสเกิดอาการเกรงใจขึ้นมา เนื่องจากก็รู้ว่าตนเองลาติดต่อกันหลายวันจะลำบากเพื่อนร่วมงานคำอื่นที่ต้องทำงานแทนด้วยเหมือนกัน
“มากไปหรือครับ งั้นผมไว้ลาติดช่วงวันหยุดนักขัตฤกษ์คราวหน้าก็ได้ครับ จะได้ไม่กินแรงเพื่อนร่วมงานด้วย”
“เปล่าหรอก” มือใหญ่ดึงปากกาที่เสียบไว้ในกระเป๋าเสื้อออกมาเซ็นสองจึก แล้วปิดแฟ้มลงเหมือนเดิม
“เพียงแต่..............” ร่างสูงเดินอ้อมโต๊ะมาหยุดตรงหน้าร่างบางก่อนจะก้มตัวหอมแก้มนวลเร็วๆ ไม่ทันให้อีกฝ่ายได้หลบทัน
“มันคิดถึงน่ะ”
“..................พูดเหมือนพวกเจ้าชู้ไปได้” วนัสบ่นอุบอิบกับกิริยาไม่ค่อยจะสำรวมเวลาอยู่นอกบ้านของร่างสูง แต่ภูผาก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้พลางยิ้มใส่ตาเขาด้วยซ้ำ
“งั้นวันนี้ไปกินข้าวเย็นในเมืองกันมั้ย “
อยู่ๆภูผาก็เอ่ยชวนวนัสไปกินข้าวนอกบ้านอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้วนัสมองสบตาร่างสูงอย่างพินิจพิเคราะห์
“ข้าวฝีมือของป้าหยดก็อร่อยดีแล้วนี่ครับ” คำตอบแบบซื่อๆทำเอาภูผาต้องรวบร่างบางเข้ามากอดแน่นๆเสียทีหนึ่ง
“ไม่ใช่อย่างนั้น แค่อยู่มาตั้งนาน ไม่เคยพาออกไปเที่ยวไหนเลย ฉันกลัวเธอจะเบื่อน่ะ”
คำพูดที่ดูเป็นห่วงเป็นใยของร่างสูงไม่ได้ทำให้วนัสรู้สึกตามนั้น เขาโตมากับที่นี่แล้วเขาจะคิดเบื่อได้ยังไง
“คุณภูผา...............ที่ผมลาไปเชียงใหม่นี่ผมไปเยี่ยมพี่สาวนะครับ ผมไม่ได้ไปเพราะเบื่อที่นี่ ผมคิดถึงพี่สาวผมเหมือนกันนะ” น้ำเสียงของวนัสเริ่มจะรวนๆ เพราะรู้สึกว่าตัวเองถูกอีกฝ่ายมองว่าเป็นพวกขี้เบื่อหลงแสงสี
“อย่าเพิ่งโกรธสินัส ฉันแค่อยากพาไปเปิดหูเปิดตาบ้าง ทำงานทุกวันมันจะเครียดสะสมได้นะ” ภูผาก้มลงจูบศีรษะทุยหนักๆ “แล้วอีกอย่าง ประสบการณ์มันสอนให้ฉันไม่ควรละเลยเรื่องเล็กๆน้อยๆพวกนี้ ฉันไม่อยากให้มันซ้ำรอยเดิมอีก นัสอาจจะมองว่าบางครั้งฉันจู้จี้จุกจิก หรือไม่ก็ดูเป็นห่วงจนเกิดเหตุ นั้นก็เพราะฉันอยากให้ความสำคัญกับคนที่ฉันรัก ฉันอยากให้นัสพอใจ และอยากอยู่กับฉันไปนานๆ อยากอยู่ด้วยกันตลอดไป ฉันไม่อยากมองข้ามเรื่องพวกนี้จนวันหนึ่งมันอาจกลายเป็นปัญหาได้น่ะ”
วนัสยืนนิ่งรับฟังร่างสูงพูดจบก็ถอนหายใจออกมายาวๆ เขาเข้าใจละว่า ชีวิตครอบครัวของภูผาเคยล้มเหลวมาก่อน ทำให้ภูผาพยายามจะลดช่องว่างที่เคยพลาดพลั้งเหล่านั้น แต่คำว่าล้มเหลว มันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะคนเพียงคนเดียว หากอีกฝ่ายเข้มแข็งและพร้อมจะอดทน ต่อสู้ผ่านช่วงเวลาเลวร้ายไปด้วยกัน ก็คงไม่จบแบบนี้ ถึงจะรู้สึกซาบซึ้งในความเอาใจใส่แต่มันก็อดฉุนไม่ได้อยู่ดี
“ผมก็คือผม อย่าเอาผมไปเปรียบเทียบกับใคร ถ้าผมอยากจะไปเที่ยว ผมจะบอกคุณ แล้วถ้าคุณไม่ว่าง ผมก็ไปเองได้ เอาเด็กๆไปด้วยก็ได้ หายเบื่อผมก็จะกลับ..............กลับมาเองละ” วนัสพูดตะกุกตะกักในตอนท้าย ก่อนจะถูกภูผาประกบริมฝีปากดูดกลืนถ้อยคำที่เหลือไปสิ้น
“ไปแล้วรีบกลับมานะ”
TBC
งานหนักมากกกก คลายเครียดด้วยนิยาย เฮ้อ สบายใจ
มาต่อให้เเล้วจ้า ขอตัวไปอ่านนิยายก่อนนะ บาย
ฝันดีกันทุกคนค่ะ