ตอนที่ 13
เวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปเร็ว อย่างที่วันนี้เป็นวันหยุดพิเศษวันสุดท้าย
เมื่อถึงคราแยกย้ายกลับบ้าน ธาราฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ติณณ์ก็มีบ้านตัวเองเหมือนกัน
นี่เป็นเวลา2-3เดือนแล้วที่เด็กน้อยมาอยู่อาศัยกับเขา ธาราจำได้ว่าจุดประสงค์ของตัวเองคืออะไร ที่ติณณ์ต้องมาอยู่ในความดูแลของเขาเพราะอีกฝ่ายทำร้ายตัวเอง สุขภาพกายและสุขภาพจิตน่าเป็นห่วง กลัวว่าอยู่คนเดียวแล้วจะเกิดอะไรไม่ดีขึ้นมา เมื่อถึงวันที่เด็กคนนี้ดีขึ้นถึงจะอนุญาตให้กลับบ้าน ธาราจำได้ดี
ใช่ ตอนนี้ติณณ์ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนประมาณหนึ่ง แต่เขากลับอยากให้เด็กคนนี้ยังอยู่ด้วยกัน ซึ่งธาราเองก็ไม่ได้รู้สึกอยากอยู่กับใครแบบนี้มานานแล้ว
อยากให้อยู่ในสายตา อยากเห็นทุกการกระทำ เป็นห่วงถ้าหากเขาไม่สบายใจ มีความสุขเวลาเขายิ้ม อยากทะนุถนอมและอยากปกป้อง แบบนี้สามารถเรียกว่าความรักได้หรือไม่?
ถ้าเป็นความรักในเชิงอากับหลาน ก็พอจะเข้าข่ายอยู่
แต่อาที่ไหนคิดอยากจะแตะเนื้อต้องตัวหลานกัน...
หากติณณ์จะต้องอยู่ในวงโคจรอันใกล้แบบนี้ต่อไป ธาราไม่รับปากหรอกนะว่าจะไม่ทำอะไรๆกับเด็กคนนี้ ทั้งๆคนที่หลับคาเบาะรถข้างๆไม่ได้จัดอยู่ในสเปคเขาด้วยซ้ำ
ธาราชอบคนหน้าหวาน แต่ติณณ์หน้าออกไปทางหล่อ
ธาราชอบคนที่เด็กกว่า แต่ติณณ์เด็กเกินไป
ธาราชอบคนที่เจนโลก แต่ติณณ์สุดจะไร้เดียงสา
ธาราชอบคนเก่งเรื่องอย่างว่า แต่ติณณ์คงจะทำอะไรไม่เป็นเลย
หรือเป็นเพราะนิสัย การกระทำ อิริยาบท คำพูดคำจา เลยทำให้เขารู้สึกอยากฟัดเด็กคนนี้ให้จมเตียง
ทั้งๆที่ไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่ความธรรมดาและความไร้เดียงสานั่นมันทำให้เด็กคนนี้พิเศษ
คนที่กำลังขับรถเข้าสู่กรุงเทพถอนหายใจเฮือกใหญ่ คิดเรื่องนี้เมื่อไหร่เป็นอันต้องปวดหัว พยายามลบล้างเรื่องนี้ออกจากสมองแล้วตั้งใจขับรถเป็นเวลานับชั่วโมง กระทั่งรถส่วนตัวและรถตู้มาจอดที่บริษัท
"ติณณ์...ติณณ์ตื่นก่อนเร็ว" ธาราสะกิดคนที่หลับใหล
"อือ..." คนถูกปลุกค่อยๆลืมตาขึ้นพลางงึมงำ พอมองออกไปนอกรถก็พบว่าที่นี่คือที่ทำงานของอาธาร "มาที่นี่ทำไมหรอครับ?"
"พวกน้าๆอาๆเขาจอดรถไว้ที่บริษัทก่อนขึ้นรถตู้น่ะ อาเลยมาส่งพวกเขา แล้วติณณ์ต้องลงไปลาน้าๆอาๆด้วยนะ"
เรียวขาสวยก้าวลงจากรถอย่างเซนิดๆเพราะผลจากการเพิ่งตื่น ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับลุงป้าน้าอากำลังทยอยลงจากรถตู้ จุดโฟกัสแรกของคนกลุ่มนี้คือคนเป็นหัวหน้าของพวกเขา การกล่าวลากันเทไปทางธาราเป็นคนแรกๆ เมื่อติณณ์เห็นคนรอบข้างยกมือไหว้เขาก็ต้องยกมือขึ้นตามโดยอัตโนมัติ
คนอายุน้อยที่สุดไหว้ลาคนอายุมากกว่าโดยที่มือแทบจะไม่ตก แม้ว่าจะไม่รู้จักใครเลยนอกจากพี่ซีก็เถอะ เมื่อมาถึงคราวต้องกล่าวลารุ่นพี่อัธยาศัยดีแล้ว อีกฝ่ายกลับไม่รับไหว้ กลับมีสีหน้าที่เหมือนเพิ่งนึกอะไรสักอย่างออก หันซ้ายขวาเพื่อให้มั่นใจว่าน้องติณณ์ไม่ได้อยู่ในสายตาของหัวหน้า จากนั้นก็คว้าข้อมือเล็กโดยไม่บอกไม่กล่าว
ไม่ทันจะได้ตั้งคำถามอะไร นักศึกษาหนุ่มลากรุ่นน้องออกจากฝูงชนมาได้ไม่ไกล เพื่อได้สนทนาเป็นการส่วนตัว
"ติณณ์ พี่ขอไลน์หน่อยดิ" ซีไม่อ้อมค้อมแต่อย่างใด
"ห...หา?" ติณณ์ถึงกับจับต้นชนปลายไม่ถูก
"เด๋ออะไรเนี่ย พี่บอกว่าขอไลน์เราหน่อย ได้ไหม ได้เถอะนะ"
ติณณ์มองโทรศัพท์ที่โชว์หน้ากรอกไอดีไลน์ให้เสร็จสรรพสลับกับคนตรงหน้า ซีเองก็มีท่าทางเซ้าซี้และเว้าวอนโดยที่ไม่รู้ตัวว่ามีสายตาคู่อื่นกำลังจับจ้องมาทางนี้
สายตาแรก คือของธารา
สายตาที่สอง คือของไตรภพ
หนึ่งในผู้บริหารมองเหตุการณ์เหล่านั้นจากที่ไกลๆ แต่แม้ว่าตนจะมีระยะห่างจากคนกลุ่มนั้นเพียงใด สายตาของธารากลับเด่นชัดท่ามกลางความวุ่นวาย ดวงตาคู่นั้นจับจ้องไปที่เด็กน้อยกับใครสักคนที่น่าจะอายุห่างกับติณณ์ไม่กี่ปี ไตรภพไม่ทราบว่าสองคนนั้นคุยอะไรกัน แต่ที่มั่นใจก็คงเป็นสายตาราวอยากดึงเด็กคนนั้นออกมาจนใจจะขาด
คนตำแหน่งสูงเหยียดยิ้ม มองภาพนั้นพลางรอเวลาให้คนในแผนกแยกย้ายขึ้นรถส่วนตัว กระทั่งเหลือเพียงคนต่างวัยยืนอยู่คู่กัน เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสมแล้วเขาจึงเดินเข้าไปทักทายสองคนนั้น ภาพแรกที่เห็นก็คือ ติณณ์ดูตกใจเขา
"อ้าว สวัสดีครับพี่" ธาราเอ่ยทักทายด้วยสรรพนามเป็นกันเองเมื่ออยู่นอกเวลางาน "มาทำอะไรที่บริษัท นี่มันวันหยุดนี่?"
"มีธุระที่ต้องจัดการนิดหน่อย บังเอิญเห็นนายเลยแวะมาทักทาย"
ไตรภพไม่ได้เข้ามาทักทายธาราหรอก
เขาแค่อยากเข้ามาแหย่คนตัวเล็กเล่นๆเท่านั้นเอง...
นัยน์ตาแพรวพราวเหลือบมองคนบริสุทธิ์ที่ดูกระอักกระอ่วน ก่อนที่จะยกมือไหว้เขาอย่างมีมารยาท ไตรภพรับคำทักทายนั้นพลางสังเกตรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยของเด็กคนนี้ ร่างกายที่เคยผอมซูบเริ่มมีน้ำมีนวล สมส่วนชวนมอง ใบหน้าสดใสไม่ได้โทรมอย่างเก่า และสิ่งที่เปลี่ยนไปอีกประการ คือเด็กคนนี้ดูท่าทางอยากจะวิ่งหนีเขาไปไกลๆ
"ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ..." ร่างสูงขยับเข้าใกล้ โน้มใบหน้าลงให้อยู่ระดับเดียวกันกับคนอ่อนวัยให้ได้เห็นผิวนวลเนียนเต็มตา "...น่ารักขึ้นเยอะเลย"
การกระทำเหล่านั้นทำให้ภาพเก่าๆย้อนมาให้ความทรงจำ ติณณ์ถอยตัวไปหลบหลังคนที่ไว้ใจอย่างหวาดระแวง อย่างที่ธาราเห็นแล้วก็สั่งให้ติณณ์ขึ้นไปรอบนรถ
"อะไรกัน แค่ชมนิดหน่อยไม่เห็นต้องหวงขนาดนี้เลย" ไตรภพแค่นหัวเราะหลังจากที่เด็กน้อยหนีขึ้นรถไปเรียบร้อย
"พี่ทำอะไรไว้ล่ะ" ธาราเริ่มไม่พอใจ
"ก็ยอมรับว่ายังอยากได้เด็กคนนี้อยู่" เขาลอยหน้าลอยตา "แล้วนายล่ะ...ยอมรับไหมว่าอยากได้"
"ผมไม่จำเป็นต้องตอบ"
"อ่าฮะ ไม่ต้องพูดก็รู้ เพราะสายตานายมันฟ้อง"
"พูดเรื่องอะไร"
"คิดว่าฉันไม่เห็นหรือ...สายตาที่นายมองติณณ์กับไอ้หนุ่มนั่น"
"...!?"
"หวงขนาดนั้น แสดงความเป็นเจ้าของไปหรือยังล่ะ"
"มันไม่ใช่เรื่องของคุณ ไตรภพ"
"มันเป็นเรื่องของผมสิ คุณด่าว่าผมเลวอย่างนั้นเลวอย่างนี้ แต่อีกหน่อยคุณก็จะไม่ต่างจากผมหรอกธาร...เนื้ออ่อนๆ แถมยังหอมและหวาน ใครมันจะไปทนไหว ขนาดผมยังทนไม่ได้เลย"
"หมายความว่ายังไง?"
"ผมยังไม่ได้บอกหรือ ว่าผมชิมเด็กคนนั้นไปนิดๆหน่อยๆ อย่าเพิ่งโมโหล่ะ ไม่ได้เกินเลยถึงขั้นนั้น เพียงแค่รู้ว่าริมฝีปากนั้นนุ่มอย่างกับปุยนุ่น น้ำลายก็หวานฉ่ำเหมือนกับน้ำผึ้ง"
ธารากำหมัดแน่นเมื่อได้รับรู้ว่าคนแปดเปื้อนอย่างไตรภพบังอาจมาแตะต้องเด็กดีของเขา แต่ไม่อาจทำอะไรได้เพราะติณณ์ยังคงอยู่บนรถ ไม่อยากให้เจ้าตัวเห็นภาพคนที่น่าจะมีวุฒิภาวะกลับมาใช้กำลังเหมือนกับคนไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ หัวหน้าแผนกส่งสายตาวาวโรจน์ไปยังคนตำแหน่งสูงอย่างไม่เกรงกลัว ก่อนจะหันหลังกลับขึ้นรถโดยไม่กล่าวลาสักพยางค์หนึ่ง ยิ่งยืนฟังไปก็ยิ่งพาลทำให้หงุดหงิด
"อาธารโอเคไหมครับ?" ติณณ์ถามคนข้างๆอย่างเป็นห่วง เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าเครียด
"โอเคครับ ไม่มีอะไรหรอก กลับบ้านกันนะ"
ใช่ ธาราจะพาติณณ์กลับบ้าน แต่ไม่ใช่บ้านของเจ้าตัวแน่
ต่อให้โดนตราหน้าว่าเห็นแก่ตัว กักขังอิสระภาพคนอื่น แต่ในเมื่อติณณ์ไม่ได้เรียกร้องอะไรก็อย่าหวังว่าเขาจะปล่อยให้เด็กคนนี้อยู่นอกสายตา....
ธารากลับเข้าคอนโดมิเนียมด้วยพลังงานที่ไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ มันส่งผลมาจากการที่เขาทำงานหนักและสะสมมาตลอด ไหนจะต้องมาปวดหัวกับความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อติณณ์ เขาไม่ได้สับสนว่าความรู้สึกนี้คืออะไร ด้วยอายุและประสบการณ์ที่มากพอที่จะรู้ว่าเขาคิดเกินเลยกับเด็กคนนี้มากกว่าหลาน
เพียงแค่สับสนว่าควรไปต่อหรือหยุดไว้เท่านี้...
หากว่าจะหยุด คงเป็นการยากที่จะห้ามใจ เขาเก็บความรู้สึกได้ในขณะนี้แต่ไม่ได้แปลว่าจะซ่อนมันไว้ได้ตลอดไป ทางออกที่ดีที่สุดน่าจะเป็นการเว้นระยะห่าง ไม่ได้โคจรรอบๆกันอย่างที่เป็นตอนนี้
แต่หากให้อยู่นอกสายตา ความรู้สึกเป็นห่วงว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรนั้นกลับมีพลังมากกว่า อยากให้ติณณ์ได้ใกล้ชิดกับเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งช่วงนี้ธารามักจะดึงเด็กคนนี้มาใกล้ชิดมากเกินไป ถึงขั้นแตะเนื้อต้องตัว แต่เขาไม่ได้คิดจะย่ำยีแล้วปล่อยละเลยแบบไตรภพ
สิ่งที่กลัวคือกลัวว่าจะอดใจไม่ไหวแล้วทำเรื่องคาวๆต่างหากเล่า...
"อาธารเป็นอะไรหรือเปล่าครับ" ติณณ์เอ่ยถามเมื่อเห็นอาธารสีหน้าไม่ค่อยดี แถมยังนวดขมับบ่อยๆตอนนั่งอยู่บนโต๊ะทำงาน
"ปวดหัวนิดหน่อยน่ะ" เขาพูดเพื่อให้เด็กสบายใจ ทั้งๆที่ตัวเองปวดหัวจนแทบจะระเบิด
"งั้นนอนเลยดีไหมครับ ดึกแล้ว"
"ติณณ์นอนก่อนเลย อาขอทำงานต่ออีกนิดหน่อย"
"แต่...อาธารทำงานหนักเกินไปแล้วนะครับ น่าจะพักผ่อนสักหน่อย"
"ไม่หนักหรอก อีกแค่นิดเดียวเอง"
"อาธารดื้อ"
ดื้อ? ธาราเนี่ยนะดื้อ ช่างเป็นคำที่ไม่เหมาะสมกับวัยของเขาจริงๆ
"ดื้อหรอ?" ธาราหัวเราะให้กับคำนั้น
"ครับ อาบอกไม่ให้ผมดื้อ แต่อาธารกลับดื้อเสียเอง" ติณณ์ทำหน้ามุ่ยโดยไม่รู้ตัว "ผมแค่อยากให้อาพักบ้างเท่านั้นเอง"
"โอเคครับ เข้าใจแล้วครับ จะไปนอนเดี๋ยวนี้ล่ะครับ"
คนอายุมากกว่าพูดสุภาพอย่างติดตลก ไม่น่าเชื่อว่าวันนึงต้องมาเชื่อฟังเด็กตัวเล็กๆที่ไม่ได้มีอำนาจมาจากไหน หากคนที่ทำงานมาเห็นเข้าคงจะถูกหัวเราะเยาะ ก็ดูเอาเถอะ ใครมันจะไปทนสายตาเว้าวอนนั่นไหวกัน
ร่างบอบบางถูกเจ้าของเตียงดึงเข้ามากอดอย่างเคย เขาชินแล้วที่ได้เป็นหมอนข้างให้ใครอีกคน ชินเสียจนรับรู้ว่าอุณภูมิร่างกายของร่างแกร่งนั้นเปลี่ยนไปจากอุณหภูมิปกติของมนุษย์ มันอุ่นกว่าเดิม ไม่ใช่ความอุ่นที่รู้สึกอบอุ่น แต่กลับเป็นสัญญาณกลายๆว่า อาธารอาจมีไข้อ่อนๆ
ข้อศอกแหลมถูกใช้ยันลำตัวขึ้น ดวงตากลมมองคนที่หลับใหลผ่านความมืด แสงจันทร์อันน้อยนิดส่องให้เห็นโครงหน้าได้รูป มือเรียวเอื้อมไปนาบลงบนหน้าผากอย่างใคร่รู้อุณภูมิว่าจะร้อนสักแค่ไหน สุดท้ายก็พบว่ามันร้อนจนเสี่ยงเป็นไข้จริงๆ
ซึ่งธารายังคงมีสติอยู่
มือเย็นๆจากคนที่ไม่ต้องเดาว่าใครคอยสัมผัสหน้าผากและลำคอซ้ำไปซ้ำมาเพื่อวัดอุณหภูมิ ไม่นานนักก็เป็นเสียงถอนหายใจตามมา พื้นที่อันว่างเปล่าในอ้อมกอดเป็นเครื่องยืนยันว่าติณณ์ยังคงนั่งอยู่ แต่ธาราก็รู้สึกได้ว่าดวงตาคู่สวยกำลังจดจ้องมาทางนี้ บรรยากาศเป็นแบบนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่คนตัวเล็กจะเข้ามาซุกในอ้อมอกเขาอย่างเคย
มันไม่ใช่การกระทำที่หวือหวาหรือพิเศษอะไรสักนิด
แต่ธาราไม่เข้าใจ ว่าทำไมตัวเองต้องใจเต้นกับสัมผัสที่อ่อนโยนนั้น...
เวลาตีห้าครึ่ง เป็นเวลาที่อาธารมักจะตื่น และปลุกให้ติณณ์เตรียมตัวไปโรงเรียน แต่ไม่ใช่วันนี้
กว่านักเรียนจะยกเปลือกตาอันหนักอึ้งขึ้นมาได้ ก็ล่วงเลยไปหกโมงนิดๆแล้ว ภาพแรกที่เห็นคืออาธารยังคงหลับไม่ได้สติ ดวงตาที่เคยสะลึมสะลือเบิกกว้างเมื่อเราทั้งคู่ตื่นช้ากว่าปกติ จึงรีบสะกิดคนข้างๆอย่างกลัวสาย
"อาธารครับ อาธาร หกโมงกว่าแล้วครับ!"
"..."
"ตื่นได้แล้วครับ เดี๋ยวจะสายเอานะครับ!"
เสียงงุ้งงิ้งๆเหมือนแมวร้องเงี้ยวๆทำให้ธาราลืมตาขึ้นมาอย่างยากลำบาก ความรู้สึกแรกคือเหมือนกับหัวเขาจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ อีกทั้งลมหายใจที่ร้อนกว่าปกติเป่ารดบนกระจับปาก พอขยับร่างเล็กน้อยก็ได้รู้ว่าปวดเมื่อยไปทั้งตัว เขาวินิจฉัยสุขภาพเช้านี้ด้วยตัวเองในใจ สุดท้ายก็ได้ผลสรุปว่าคงต้องลางานหนึ่งวัน
"อาปวดหัวน่ะติณณ์ คงไม่ได้ไปทำงาน" ธาราว่าแล้วยันตัวขึ้นมาอย่างเชื่องช้า
"ปวดมากไหมครับ ไปหาหมอไหม??"
"ไม่ๆ แค่นอนพักก็น่าจะดีขึ้นแล้ว" เขายกยิ้มให้เด็กที่มีท่าทางเป็นแมวตื่นตูม "ส่วนเราน่ะ ไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้ว เดี๋ยวอาไปส่ง"
"ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมนั่งแท็กซี่ก็ได้ อาธารนอนพักเถอะครับ"
"ไม่ได้อาการหนักขนาดนั้นสักหน่อย แค่ขับรถไปส่งเอง"
"ผมไปเองได้จริงๆนะ ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอก" ติณณ์ยังคงยืนกราน
"เอาหน่า ให้อาไปส่งเถอะ—"
สองฝ่ามือขาวๆดันลงบนไหล่ทั้งสองข้างของธารา แรงกระทำนั้นดันลงให้ร่างแกร่งนอนราบไปกับพื้นเตียงนุ่มอีกครั้ง "พักเถอะนะครับ ตอนนี้คนที่สุขภาพน่าเป็นห่วงกลายเป็นอาธารแทนแล้วนะครับ"
"..."
"เชื่อใจผมนะ ผมโตแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ"
แม้ว่าธาราอยากจะดื้อดึงไปส่งมากแค่ไหน แต่การทำสงครามประสาทต่อไปไม่ใช่ทางออก เขายกธงขาวยอมแพ้คนอายุน้อยกว่าอย่างง่ายดาย การแพ้ครั้งนี้ทำให้ติณณ์ฉีกยิ้มออกมาอย่างสบายใจ ซึ่งธาราไม่เคยแพ้แล้วรู้สึกดีขนาดนี้มาก่อน
คนป่วยหลับตาลงเพื่อพักผ่อน โสตประสาทยังคงได้ยินเสียงเด็กเดินไปเดินมาอยู่นอกห้อง คาดว่ากำลังอาบน้ำแต่งตัวอยู่ ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงเปิดปิดประตูห้องที่เขานอนอยู่ ตามด้วยเสียงฝ่าเท้าที่ใกล้เข้ามาทางนี้ แถมยังมีเสียงกุกกักเหมือนมีสิ่งของบางอย่างวางลงบนตู้ข้างๆ และสุดท้ายเป็นเสียงเหมือนกับกำลังบิดน้ำออกจากผ้า
สัมผัสนุ่มๆเย็นๆวางลงบนหน้าผากของธารา เขาประมวลผลได้ว่ามันคือผ้าชุบน้ำ เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนเขาก็ได้ยินเสียงใครบางคนเดินออกจากห้องนี้ไป
ธาราลืมตาขึ้นมาอย่างใคร่รู้ เขาเอื้อมมือมาจับเพื่อเช็คว่าสิ่งที่แปะหน้าผากอยู่คือผ้าชุบน้ำจริงๆ พลันหันไปมองสิ่งที่อยู่บนตู้เตี้ยๆ คือยาพาราเม็ดขาวๆในแก้วใบเล็ก ส่วนอีกแก้วหนึ่งบรรจุน้ำสะอาดไว้เต็มแก้ว
ความรู้สึกปวดหัวมาถูกแทนที่ด้วยความอิ่มเอมใจ
นานเท่าไหร่แล้วนะ ที่ไม่ได้ถูกดูแลแบบนี้
(ต่อด้านล่างค่ะ)