“ผมชอบที่คุณตีความแบบนั้น” เขาว่า ยิ้มมุมปาก
“ผมแค่ไม่ใส่น้ำเสียงลงไปในเท็กซ์ก็เท่านั้น” ผมว่า พอเห็นเขาขมวดคิ้วเลยอธิบายอีกครั้ง
“ผมไม่แน่ใจว่าถูกต้องตามหลักการสื่อสารไหม แต่สำหรับผมนะ ถ้าไม่เห็นหน้า ไม่ได้ยินน้ำเสียง ผมจะอ่านข้อความหรือตัวอักษรทุกชนิดบนโลกใบนี้แบบไม่มีน้ำเสียงดังในหัว มันจะเป็นอารมณ์แบบกูเกิลอ่ะคุณ คืออ่านจับใจความและวิเคราะห์เรียบ ๆ โดยปราศจากการใส่น้ำเสียงทุกชนิดลงไป เพราะการสื่อสารผ่านตัวอักษรมันเป็นการสื่อสารที่ไม่สมบูรณ์สำหรับผม
มันขาดองค์ประกอบที่เรียกว่าอารมณ์ร่วมในการสนทนา เพราะงั้นแล้ว จะเป็นข้อความแบบไหน สำหรับผมมันก็แค่อ่านแล้วตีความเจตนารมณ์ของคนเขียน โดยปราศจากอคติทั้งบวกและลบก็เพียงพอแล้ว สุดท้ายแล้วเราต้องถามใจตัวเองอยู่ข้างในลึก ๆ เสมอ เวลาที่คิดว่าคนอื่นเขามาเหยียดหยามเราเนี้ย ต้องถามตัวเองก่อนว่าเขาเหยียดเราจริง ๆ หรือเรากำลังเหยียดตัวเองอยู่
เช่นที่คุณยกตัวอย่างมา ถ้าคิดว่าเขากำลังเหยียดหยามตัวคุณแค่เพราะคำว่า ‘คนบ้านนอก’ คุณต้องถามตัวเองก่อนว่าทำไมคุณถึงรู้สึกว่าคำว่าบ้านนอกมันให้ความรู้สึกแบบเป็น negative เพราะในความหมายจริง ๆ คนบ้านนอกมันก็แค่คำที่อธิบายถึงคนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในพื้นที่ ๆ ห่างไกลความเจริญออกไป
แล้วการเป็นคนในพื้นที่ ๆ ห่างไกลความเจริญออกไป มันถือว่าเป็นเรื่องแย่ยังไง ในเมื่อมันไม่ใช่ความผิดของพวกคุณที่อยู่ในพื้นที่ ๆ ไม่ได้รับการพัฒนาและการดูแลจากภาครัฐมากเพียงพอ ผมไม่เห็นว่าจำเป็นจะต้องเป็นเดือดเป็นร้อนเพราะแค่เราเกิดมาในพื้นที่ ๆ ขาดโอกาสในการพัฒนาตัวเองแค่นั้นเอง”
ผมเหยียบเบรกอีกครั้งหลังเห็นสัญญาณไฟจราจรเป็นสีเหลือง ได้ยินเสียงแตร่รถจากด้านหลังบีบมานิดหน่อย แต่ผมไม่สนใจ สัญญาณไฟจราจรสีเหลืองนะคือให้เตรียมหยุด ไม่ใช่ให้เร่งเดินทางเสียหน่อย
“เฮ้อ” โชถอนหายใจ พร้อมไถตัวลงไปนอนเล่นกับเบาะรถ
“เป็นอะไรคุณ?” ผมถาม เจ้าตัวนากเผือกยิ้มแก้มป่องก่อนจะย่นจมูกแล้วมองหน้าผม
“เหอะ ๆ ‘ผมมันคนธรรมดา’ เอย ‘คุณแค่ตื่นตาตื่นใจ’ เอย คุณพูดแบบนั้น ในขนาดที่แอตติจูดของคุณเรืองแสงจนแทบจะทำผมตาบอดเนี้ยนะ? คุณนะ มันบียอร์นไปไกลมากกว่าแค่คนที่พกสปอร์ตไลท์ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดไว้แล้ว รู้ตัวไว้ซะบ้างว่าตัวเองนะเป็นคนพิเศษ ใส่ไข่ด้วยก็ได้เลยเอ้า” เขาว่าพลางกระแทกปลายเสียงสุดท้ายหยอกล้อผม
“ธรรมดา” ผมว่า
“ไม่ธรรมดา” เขาตอกกลับ
“ปกติทั่วไป” ผมไม่ยอมแพ้
“เพิ่งเข้าใจว่าเด็กปกติทั่วไปเขามานั่งวิเคราะห์หลักภาษาศาสตร์และความสัมพันธ์อำนาจในการปกครองของภาครัฐกับการกระจายความเจริญไปสู่ชนบท” โชแซะคืนกลับมาอีกครั้งพร้อมย่นจมูกใส่ผม
“คนทั่ว ๆ ไปเขาก็คิดแบบผม”
“ขอเอาหัวหมูเป็นเดิมพันว่าถ้าคนที่อายุเท่ากันกับคุณ มีไม่ถึง 10 % ที่คิดแบบนั้น” ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวทำท่าฟันธงฉับเป็นการประกอบคำพูด
“ทำไมชอบพูดให้ผมเป็นคนพิเศษ?” ผมถามอย่างเหลืออดก่อนจะหันไปมองหน้าคนข้าง ๆ ตรง ๆ ผมไม่ได้โกรธ แต่ไม่ชอบที่ถูกย้ำบ่อย ๆ ว่าผมแตกต่างจากคนทั่วไป
“ก็คุณเป็นคนพิเศษ”
“..............”
“อย่างน้อยที่สุด คุณก็พิเศษสำหรับผม ...โอเคไหม?” โชพูดเสียงเบาหวิว จนผมไม่ทันได้ยินประโยคหลังสุดอย่างชัด ๆ
“อะไรโอเคนะครับ?” ผมถามกลับ
“เปล่าครับ ผมบอกว่าโอเคก็โอเค คุณเป็นคนจืดจางธรรมดาแบบที่คุณอยากเป็นก็พอแล้ว” เขาตอบ ผมพยักหน้าแล้วคิดตาม
“คนแบบที่ผมอยากจะเป็น...เหรอ?”
“อืม”
“จะตลกไหม ถ้าผมจะตอบคุณว่า เอาเข้าจริง ๆ ผมก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าผมอยากจะเป็นคนแบบไหน จริง ๆ แล้วผมอาจจะแค่อยากเป็นคนธรรมดาทั่วไปด้วยซ้ำ” พอนั่งคิดตามกับที่เขาพูดแล้ว ผมก็เพิ่งจะเอ๊ะใจกับตัวเองเหมือนกันแหะ...
“คุณประหลาดดี ตอนอยู่กับคุณบางครั้งผมรู้สึกว่าคุณเข้าใจเรื่องยาก ๆ ได้ง่ายมาก ๆ ในขณะที่เรื่องง่าย ๆ ทั่วไปคุณกลับเข้าใจยากหรืออาจจะไม่เข้าใจมันเลยด้วยซ้ำ” โชบ่น ผมหัวเราะร่วนก่อนจะตอบกลับเขาอย่างอารมณ์ดี
“ก็ถูกต้องนะ ผมโดนบ่นแบบนั้นบ่อย ๆ เหมือนกัน แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงดี อยากแก้นิสัยตัวเองแบบนั้นเหมือนกัน แต่ก็นึกไม่ออกว่าจะแก้ยังไงดี”
เพราะโชไม่ใช่คนแรกที่พูดกับผมแบบนั้น ผมเลยทำได้แค่หัวเราะกับไปสถานการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ เป็นประจำ สุดท้ายแล้วคนที่รู้จักเราดีมากที่สุดอาจจะไม่ใช่ตัวเราเองด้วยซ้ำไปในบางแง่มุมของชีวิต
หลังจากคุยเล่นหยอกล้อฟังเพลงพักเหนื่อยกันไปพอสมควร อีกไม่กี่กิโลก็จะถึงสถานที่ตั้งของโครงการที่ผมเข้าร่วมการเป็นสมาชิกเพื่อรับยา PrEP แล้ว ผมจึงกระทุ้งบอกเขาอีกครั้งเผื่อมีอะไรตกหล่นอีกที่เขายังไม่ได้ถามผม
“ใกล้ถึงแล้วนะคุณ มีอะไรที่อยากถามผมไว้ไหม เพื่อข้อมูลตรงไหนขาดคุณจะได้สอบถามกับเจ้าหน้าที่” ผมว่า โชเปิดแลปท็อปขึ้นมาก่อนจะคลิกเลื่อนข้อความดูไม่กี่ครั้งแล้วถามผมมาอีกข้อ
“ผมเกือบลืมถามไปแล้ว คุณมีอาการผิดปกติอะไรบ้างไหมครับหลังทานยานะ ผมหมายถึง Side effect หลังจากการใช้ยานะครับ แบบ ยังไงยามันก็เป็นสารเคมีประเภทหนึ่งนะ ถึงแม้จะบอกว่ามันเป็นยาก็เถอะ” เขาตั้งประเด็นคำถามได้ดีจากส่วนที่สัมภาษณ์ผมไปช่วงแรก ผมชมเขาเงียบ ๆ ในใจก่อนจะตอบกลับไปเท่าที่ตัวเองรู้
“ต้องบอกแบบนี้ก่อน ก่อนการรับ PrEP มาทานนะ จะมีแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำก่อนอยู่แล้วว่าสารเคมีทุกชนิดล้วนมีผลข้างเคียง คนที่ทาน PrEP เองบางคนช่วงแรก ๆ ก็มีอาการคลื่นไส้ เวียนหัว อาเจียนบ้างเพราะร่างกายปรับสภาพกับสารเคมีที่ได้รับจากฤทธิ์ของยา แต่บางคนก็ไม่มีผลกระทบอะไรเลยเช่น ผมเป็นต้น
อ่อ แล้วก็นะ มันเคยมีช่วงหนึ่งมีข่าวลือเหมือนกันว่า PrEP นะ ทานมาก ๆ แล้วทำให้กระดูกพรุน แต่จนแล้วจนรอด ผมพลิกแผ่นดินตามหาเปเปอร์ก็ยังไม่มีอันไหนที่บ่งชี้หรือมีการพิสูจน์ว่าการทาน PrEP นับว่าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้กระดูกเกินการพรุนได้ ดังนั้นถ้าต้องตอบตามข้อมูลที่มีอยู่ ผมคงบอกว่าตัวผมไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากการทาน PrEP มาเกือบ ๆ ปีหนึ่ง เพราะผมตรวจเลือดและตรวจค่ามวลกระดูกทุก ๆ สามเดือนด้วยแหละ”
ไม่รู้ว่าผมอธิบายละเอียดมากพอไหม แต่โชก็ยังพยายามก้มหน้าก้มตา ตั้งใจจนทุก ๆ คำพูดของผมไว้เป็นอย่างดี เสียงพิมพ์กุกกัก ๆ ดังขึ้นระรัว ก่อนเขาจะเว้นช่วงแล้วหันมาถามผมอย่างหนักแน่น
“แล้วคุณต้องกินยาไปถึงเมื่อไหร่?”
“........”
“ผมหมายถึง...คุณเคยคิดบ้างไหมว่าสักวันอยากจะเลิกเป็นแอคเค่อ?”
time talk : 4 วันถัดมาก็ลงต่อได้อย่างปากว่าจริง ๆ นะครับ อิอิ ตอนนี้จะหนักนิดหนึ่งนะ แต่พ่อแมวก็พยายามทำให้มันบาลานซ์เท่าที่จะเป็นไปได้แล้ว คือไม่อยากให้เครียดไป แต่ก็ไม่อยากให้เบาไปเช่นกัน คิดกำลังอ่าน FUN FACT สนุก ๆ แล้วกันนะครับ
Ps ข้อมูลตรงไหนที่คิดว่ามีข้อผิดพลาด สามารถแจ้งให้ตรวจสอบแก้ไขได้เลยนะครับ โดยเฉพาะข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ เพราะจากที่รีเสิร์จมาก็เกือบ ๆ สองเดือนได้แล้วครับ เพื่อมีอะไรอัปเดตใหม่ ๆ เนาะ ขอบคุณครับสำหรับทุก ๆ กำลังใจ
ตอนนี้ยาวจนต้องลงสองช่องอ่ะ 5555555555555