...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)  (อ่าน 278866 ครั้ง)

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
 :katai2-1: มาแล้ว รอตั้งนานค่า
องค์เตชต้องรุกบ้างแล้วล่ะ องค์สนไม่เคยจะรู้อะไรเล้ย

ออฟไลน์ ลิงน้อยสุดเอ๋อ

  • ถึงจะเหงา แต่ไม่ได้ง่าย
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1993
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-2
    • Fanpage
อ๊าย  คิดถึงองค์เตช กับ องค์สนที่สุด

สองพี่น้องวางแผนกัน  รอลุ้นว่าองค์สนจะเป็นชายาแบบไหน อิอิ

june55

  • บุคคลทั่วไป
กลับมาอัพบ่อยๆนะ สนุกมากเลย

ออฟไลน์ urmein

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 871
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-2
พี่น้องคู่นี้น่ารักจัง ช่วยเหลือกันดีมาก 55555+
สู้ๆนะองค์เตช

ออฟไลน์ nongrak

  • ยังไงก็รักคาเมะจังที่สุด
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +912/-14
องค์เตชต้องให้องค์เจษสอนวิธีเอาใจท่านสนด้วยหรือเปล่าเนี่ย
จะมีเมียแล้วนะ 5555

ออฟไลน์ วัวพันปี

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1309
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +540/-3
เชียร์เงียบๆข้างตำหนักอิฐ ให้องค์สน ชายตาดูองค์เตชสักที

ออฟไลน์ hibatsumoe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
รอลุ้นต่อไปด้วยคนนะคะ
ชายาไม่ได้มีหน้าที่เลี้ยงหอยอย่างเดียว
องค์เตชสู้ๆ ><

ออฟไลน์ =นีรนาคา=

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2546
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +296/-6
และแล้วก็ได้รู้สาเหตุที่ทำให้องค์เตชหลงรักองค์สน อิอิ
แต่แบบอ่านแล้วสงสารองค์ชายเตชอ่าาา

ต้องเอาองค์สนมาเป็นชายาทั้งทางนิตินัยและพฤตินัยให้ได้ องค์เตชสู้ๆ 
:mew1:

ออฟไลน์ ophena

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
สู้ๆนะองค์เตช

ออฟไลน์ namminzz

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 79
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
ชอบองค์สนจัง น่ารัก
รอตอนต่อไปค่า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ SenzaAmore

  • Where troubles melt like lemon drops....
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 713
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +79/-0
 :hao5: องค์สนเป็นคนดี อรุณาน่าจะเข้าใจองค์สนเร็วๆน้าา

ชอบองค์เจษจริงๆ. อยากรู้ว่าแผนที่คิดออกมาจะเป็นยังไงน้าา :laugh:

มาต่อเร็วๆน้าา  :mew1:

ออฟไลน์ zaszaq

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-4
 :hao7:   :hao7: รอ ร้อ รอ 

รออ่านแผนการเผด็จศึกของพี่น้องจ้า  :mew1:

OneMoment

  • บุคคลทั่วไป
เพิ่งเข้ามาอ่าน เจอหอยมุกก็ขำแล้ว ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆ ค่ะ จะติดตามต่อนะคะ

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
จะเปงยังไงต่อไปน้อออ

ออฟไลน์ krit24

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-3
อรุณาเนี่ย เกินจะเยียวยาแล้วรึเปล่า เป็นพี่น้องกันแท้ๆ

ออฟไลน์ sukaz

  • I Will Love You Unconditionally
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1431
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
อรุณา คงแก้ยากกกกก

ออฟไลน์ maxiyorka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 117
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
มาลงเพิ่มแล้ว ดีใจมากเลย
ติดเรื่องนี้งอมแงม ตลก สนุกมากเลยค่ะ

Anyann

  • บุคคลทั่วไป
เอาใจช่วยองค์เตชค่ะ อิอิ

ออฟไลน์ chompoonut139

  • สุดท้ายก็ไม่เหลือใคร
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-2
ไม่ต้องรีบ ถือมีดจ่อข้างหลังอิอิ

ออฟไลน์ Lily teddy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-2
การเจรจาไม่ยืดเยื้ออย่างที่คิด คงเพราะองค์สนก็รู้แก่ใจอยู่แล้ว ว่าใครเป็นฝ่ายผิดผีกันแน่
แต่ตอนแรกหลงคิดว่าชีวินรู้เห็นกับองค์สน ที่แท้ชีวินก็เข้าใจผิดเหมือนกันเหรอเนี่ย
แล้วพึ่งรู้ชีวินนี่เองที่วางยาหอยคู่บ้านคู่เมือง จนหอยป่วย ดีที่หอยไม่เป็นอะไรแค่นอนพะงาบ ๆ อยู่เฉย ๆก็น่าสงสารพอแล้ว
แล้วองค์เตชนี่ต้องขอบคุณองค์หญิงอรุณาเลยนะเนี่ยที่ทำให้องค์สนเลือกจะเป็นสะใภ้ของอนันตราชง่าย ๆแบบนี้
ไม่รู้จนจบองค์หญิงอรุณาจะสำนึกได้บ้างรึเปล่า พอบอกว่าจิตใจสั่นไหวนิดนึงตอนราชินีบอกเรื่ององค์สน
ก็แอบหวังให้สำนึกได้เพราะยังไงก็เป็นพี่น้องกันนี่นะ แต่ตอนนี้ไม่รู้องค์หญิงเรียกคุณท้าวมาวางแผนอะไรอีกนี่สิ
แล้วองค์เตชจะเอาชนะใจองค์สนได้ไหมเนี่ย แอบหลงรักมาตั้งนานจนตอนนี้จะได้แต่งกันแล้วแต่ดูองค์สนจะไม่แคร์องค์เตชเลย
มีการจะแต่งมาเป็นชายาเพื่อเลี้ยงหอยอย่างเดียวด้วย น่าสงสารองค์เตชจังทั้งที่ตอนแรกก็ดูองค์สนจะมีใจด้วยแล้วแท้ ๆ
อย่างงี้ต้องรอว่าองค์เจษกะองค์เตชจะมีแผนอะไรให้องค์สนยอมเป็นชายาที่เคียงบ่าเคียงไหล่องค์เตชจริง ๆได้นะ
รอติดตามและเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนต่อไปค๊า  :pig4:  :L2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-10-2013 18:31:25 โดย Lily teddy »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ sam3sam

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2562
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +247/-4
คงดึงอรุณากลับมาไม่ได้แล้วล่ะ
มันหยั่งรากลึกฝังไปในความคิดแล้วจิตใจจนไม่มีใครเข้าถึงแล้ว :เฮ้อ:
รอดูว่าองค์เตชจะทำยังไงต่อไป :hao7:

ออฟไลน์ BaZkon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 319
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ชอบๆๆๆ หาเรื่องแนวนี้อยู่พอดี สนุกมากเลยค่ะ มาต่อไวๆนะคะจะรอนะคะ o13

ออฟไลน์ mooping-7

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-5
 :call:  :call:  รอจ้ารอ

ออฟไลน์ BaZkon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 319
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
มารอด้วยคนเค่อะ แบบว่าคิดถึง อยากอ่านต่อแว้วววว :hao7:
(ขอถามนะคะ มีโอกาสที่นายเอกจะมีลูกมั้ยคะ แบบว่าแอบหวังอ่ะค่ะ แหะแหะ) :o8:

ออฟไลน์ Dezair

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 533
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1543/-8
บทที่ 10

   ‘อันดับแรก…เจ้าต้องเป็นฝ่ายรุกเขา แต่คนอย่างนี้จะรุกแบบอ้อมๆไม่ได้ เพราะเขาหูตาไว ประสาทรับรู้ดีเยี่ยม เขารู้ว่าเจ้าอ้อมมา เขาก็จะอ้อมหนีไป ถ้าเจ้าอยากให้เขาหนีไม่ถูก เจ้าต้องบุกทะลุอย่างตรงไปตรงมาเท่านั้น!!’

   คำสั่งสอนของผู้เป็นพี่นั้น องค์ชายเตชินทร์ทรงจำมาใช้อย่างละเอียด เริ่มด้วยมื้อเย็นในวันนั้นที่จะมีงานเลี้ยงต้อนรับราชินีวารีวาทและองค์หญิงอรุณาที่ตำหนักหลวง องค์ชายเตชินทร์ก็รีบเสด็จจากห้องเสวยตำหนักหลวงที่พระองค์ทรงดูแลทุกขั้นตอนในการจัดการด้วยตัวพระองค์เอง แล้วเสด็จกลับไปที่ตำหนักอิฐทันที

   “อ้าว…” 

ว่าที่ชายาของพระองค์กำลังเสด็จออกจากตำหนักพอดี และทันทีที่ฝ่ายนั้นเห็นเตชินทร์ ก็มีเพียงเสียงสั้นๆเสียงเดียวแสดงอาการแปลกใจ

   …ไม่มีความหวานแหววออเซาะออดอ้อนที่ได้พบหน้ากันเลยแม้แต่น้อย…แบบนี้ยิ่งทำให้เอาหัวใจขององค์ชายหนุ่มแห่งอนันตราชยิ่งนึกหึกเหิมกว่าเดิมว่าพระองค์จะต้องทำให้อีกฝ่ายขวนขวายและเรียกหาพระองค์ให้ได้มากกว่านี้!...

   “กำลังจะไปที่ตำหนักหลวงหรือ” เขาตั้งคำถามกับชายชาวสมุทราตรงหน้า   

   “ใช่”

   “ถ้าอย่างนั้นก็ไปพร้อมกัน”

   “ได้สิ” องค์ชายสนธยารับคำง่ายๆ ทำเอาคนชวนถึงกับใจเต้นระรัวด้วยความดีใจที่จะได้เดินไปตำหนักหลวงด้วยกันเพียงลำพัง ประเดี๋ยวเดินผ่านสวนดอกไม้ เตชินทร์ก็จะชี้ชวนให้ชมต้นไม้งามๆ หากเดินไปพบเมฆก้อนใดหน้าตาแปลกๆก็จะชี้ชวนให้ออกความคิดเห็นว่ามันหน้าตาเหมือนอะไร

   …แหม! แค่คิดก็หวานหยดเสียแล้ว!!...

   “องค์สน จะไปกันเลยไหม” ทว่า…ไม่ทันที่องค์ชายเตชินทร์จะได้มีความสุขกับจินตนาการของพระองค์มากไปกว่านั้น เสียงของสตรีนางหนึ่งก็ดังขึ้นเบื้องหลัง เจ้าของตำหนักอิฐหันขวับไปมองด้วยความตกใจที่ได้ยินเสียงของบุคคลที่สาม หากแต่เมื่อเห็นว่าเป็นใคร องค์ชายหนุ่มแห่งอนันตราชก็ทำได้เพียงค้อมกายทำความเคารพ

   “องค์ชายเตชินทร์…” ราชินีวารีวาทเองก็ทรงแปลกพระทัยเช่นกันที่พบเตชินทร์

   “เรากำลังจะไปพร้อมกับเสด็จแม่…เสด็จแม่ องค์ชายเตชินทร์จะไปตำหนักหลวงพร้อมพวกเรา เอ? เมื่อครู่นี้ท่านก็อยู่ดูแลงานที่ตำหนักหลวงไม่ใช่หรือ แล้วกลับมาทำไม” ท้ายประโยคนั้น สนธยาหันมาตั้งคำถามกับร่างสูงอย่างหน้าซื่อ

   “เอ่อ…ก็…ก็…” องค์ชายหนุ่มแห่งอนันตราชได้แต่ตะกุกตะกัก จะให้บอกได้อย่างไรว่า ‘มารับ’ แล้วไหนจะราชินีวารีวาทที่ประทับอยู่ด้วยนี่ก็อีก จากที่คิดเอาไว้ว่าจะชมนกชมไม้ไปตำหนักหลวงกันเพียงสองคน กลายเป็นมี ‘แม่’ มาเพิ่มอีกหนึ่ง

   สตรีสูงวัยแห่งสมุทราทรงอ่านสถานการณ์ออกเพียงเสี้ยวอึดใจ พระองค์สรวลน้อยๆ ก่อนจะทรงเสนอ

   “องค์ชายเตชินทร์คงจะเสด็จกลับมาเปลี่ยนฉลองพระองค์กระมัง ถ้าอย่างนั้น เรารออยู่ตรงนี้ดีไหม องค์สน ให้องค์ชายเตชินทร์ทรงเปลี่ยนฉลองพระองค์เสียก่อน แล้วค่อยไปตำหนักหลวงพร้อมกัน… ‘สามคน’ …”

   ดวงเนตรสีน้ำตาลอ่อนของมารดาและบุตรแห่งสมุทรามองสบกัน ก่อนที่ฝ่ายคนเป็นลูกจะยอมพยักหน้าตกลงที่จะ ‘รอ’ อยู่หน้าตำหนัก

   องค์ชายเตชินทร์ได้แต่รับฟังคำว่า ‘สามคน’ อย่างดุษฎี ด้วยเพราะไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจเสด็จไปพร้อมกับองค์ชายสนธยาเพียงลำพังแน่แล้ว พระองค์ได้แต่อ้อมแอ้มขอเวลาสักครู่ ก่อนจะหายลับเข้าไปในตำหนักสีเหลืองอ่อนที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า และทันทีที่ร่างสูงสง่าลับสายตาไปแล้ว ผู้เป็นมารดาก็หันมาทางโอรสที่ประทับอยู่ข้างกาย

   “รู้ใช่ไหม ว่าเขามารับ”

   “รู้พระเจ้าค่ะ” ไม่รู้ก็เห็นจะโง่เกินทน ในเมื่อรู้เช่นเห็นชาติว่าเตชินทร์คิดอย่างไรกับตน

   “ถ้าแม่ไม่อยู่ตรงนี้ เจ้าจะไปกับเขาไหม”

“โธ่ เสด็จแม่…ลูกชอบสตรีเพศพระเจ้าค่ะ”

“แต่อีกหน่อยก็ต้องเสกสมรสไปกับองค์ชายเตชินทร์ ลูกควรเรียนรู้ที่จะไม่มีสตรีเพศใกล้มือ แต่สามารถขวยขวายบุรุษอย่างองค์ชายเตชินทร์ได้ทุกเวลาสิ ถึงจะถูก”

คนเป็นลูกฟังคำว่า ‘ขวนขวายบุรุษ’ แล้วขนลุกตั้งชันไปทั้งแนวสันหลัง ในขณะที่ผู้เป็นมารดาหัวเราะน้อยๆอย่างชอบใจ ชักนึกสนุกอยากรู้ว่าโอรสของพระองค์จะหลบลี้หนีหน้าไปจากองค์ชายเตชินทร์ไปได้อีกนานแค่ไหน ในเมื่ออีกไม่ช้าไม่นานจะต้องเปลี่ยนสถานะไปเป็น ‘ชายาในองค์ชายแห่งอนันตราช’

“องค์สน แม่รู้ว่าลูกเอาตัวรอดเก่งเพียงใด แต่…ไม่วันใดก็วันหนึ่ง การเอาตัวรอดจะไม่อาจทำได้อีกแล้ว หากเจ้าทิ้งหัวใจเอาไว้ที่ใครสักคน หากคิดจะเอาตัวรอดให้ได้ตลอดไปก็จงระมัดระวังหัวใจตัวเองให้ดี แต่ถ้าเมื่อไรที่หากคิดจะเอาตัวรอด แต่กลับห่วงใยคนข้างกายก่อนตัวเจ้าเอง ก็จงพึงระลึกเอาไว้เถอะ ว่าเมื่อนั้น…เจ้าทิ้งหัวใจของเจ้าเอาไว้ที่เขาเสียแล้ว”

“…และเมื่อใดที่เจ้าทิ้งหัวใจเอาไว้ที่ใคร…เมื่อนั้น ไม่ว่าเขาจะเป็นสตรีเพศหรือบุรุษเพศ หัวใจของเจ้าก็ไม่อาจดิ้นหนีไปจากคนผู้นั้นได้อีก” สนธยารู้ดีว่าราชินีวารีวาทกำลังเตือนพระองค์เรื่องใด แต่ก็ยังทำเป็นยิ้มสรวลตลกกลบเกลื่อน

“เสด็จแม่ทรงทำนายอนาคตแม่นราวกับทอดเนตรไม่ใช่หรือ ถ้าเช่นนั้นทรงทำนายกระหม่อมที ว่าจะเอาตัวรอด เอาใจรอดจากอนันตราชไปได้หรือเปล่า” ราชินีวารีวาททรงยิ้มบางเบาแล้วตบหัตถ์ลงกับไหล่ของสนธยา

“องค์สน…พวกเราเป็นชาวสมุทรา เราเป็นชาวทะเล เรามองฟ้า เราก็รู้ว่าอะไรจะเกิดบนผืนดิน ดังนั้น…ตั้งแต่วันที่เจ้าเกิด แม่รู้ แม่เห็น…เจ้าเกิดในสมุทราก็จริง แต่สุสานของเจ้าจะอยู่ในแผ่นดินอื่นที่ไม่ใช่สมุทรา คนอื่นที่ไม่ใช่พี่ใช่น้องจะรักเจ้าบูชาเจ้าเยี่ยงเป็นพี่น้อง แต่คนที่เป็นพี่น้องกับเจ้า จะเกลียดชังเจ้าเข้ากระดูกดำ” เมื่อตรัสถึงตรงนี้ พักตร์ของราชินีวารีวาทก็หมองหม่นลงอย่างน่าเวทนา

“…น่าเสียดาย แม่รู้ แม่เห็น แต่แม่ตัดไฟแต่ต้นลมไม่ได้ แม่แก้ไขเรื่องราวในภายภาคหน้าไม่ได้  ที่แม่ทำได้ คือส่งลูกขึ้นฝั่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะได้ไม่ต้องผจญกับพายุในทะเลอีกต่อไป” สนธยารู้ซึ้งถึงความห่วงใยของผู้เป็นมารดา แต่อย่างไรก็ตามเพราะอรุณาก็เป็นธิดาองค์หนึ่งของราชินีวารีวาท ไม่ว่าจะโอรสหรือธิดา ให้อย่างไรก็ตัดไม่ขาด

“ตอนนี้ เจ้าขึ้นฝั่งแล้ว แม่ก็ไม่มีอะไรต้องห่วงอีก”

“เสด็จแม่ตรัสราวกับว่า ฝั่งที่พระองค์ทรงส่งกระหม่อมขึ้นไปนั้นปลอดภัยอย่างไม่อาจมีที่ใดเปรียบ” สนธยาหยอกเย้า อย่างที่ทำเอาราชินีวารีวาทได้แต่สรวลเบาๆ

“เจ้าเชื่อแม่เถอะ ฝั่งที่เจ้าขึ้น เป็นฝั่งที่ปลอดภัยที่สุด ที่แห่งนี้จะโอบกอดเจ้าด้วยความรัก ปกป้องเจ้าด้วยความอ่อนโยน เมื่อไหร่ที่เจ้ารับรู้ถึงความรักความอ่อนโยนที่เขามี เจ้าจะรีบกลับมาอวดแม่แทบไม่ทัน”

สนธยาทำหน้าปุเลี่ยน เหตุใดก็ไม่รู้ พอได้ยินได้ฟังคำทำนายของผู้เป็นมารดาแล้ว สนธยาก็จินตนาการไปถึงร่างกายบึกบึนเปลือยเปล่าขององค์ชายเตชินทร์ แล้วพลันนั้นก็เหมือนหนังศีรษะจะขดแน่นเข้าหากันจนเส้นผมแทบลุกชัน!

“เอ้า! องค์ชายเตชินทร์เสด็จออกมาแล้ว” ราชินีวารีวาทหันไปทอดเนตรองค์ชายเจ้าของตำหนักอิฐที่เสด็จออกมาในฉลองพระองค์ชุดใหม่ก็ส่งรอยแย้มสรวลเล็กน้อยไปให้ ก่อนที่ทั้งสามพระองค์จะเสด็จออกจากตำหนักอิฐไปยังตำหนักหลวงเพื่อร่วมมื้อค่ำ แน่นอนว่าองค์ชายสนธยาเต็มใจเป็นอย่างยิ่งที่จะรั้งท้าย แล้วรอบมองบุรุษที่เสด็จเคียงข้างมารดาของตน

…อุตส่าห์หา ‘ฝั่ง’ ให้ไปพักพิงทั้งที เหตุใดจึงไม่หา ‘ฝั่ง’ ที่รูปงาม นามเพราะ เรือนกายอรชรอ้อนแอ้นและเป็นสตรีเพศหนอ เสด็จแม่ทรงเลือกมาได้ไม่ดูรสนิยมกระหม่อมเลย…

………………………….

งานเลี้ยงมื้อค่ำที่ตำหนักหลวงนั้นถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ในห้องเสวยกว้างขวางที่มีโต๊ะอาหารยาวสำหรับคณะของเจ้าเมืองและคณะของอาคันตุกะ มุมหนึ่งของห้องเสวยถูกใช้สำหรับวงดนตรีที่บรรเลงเพลงจากเครื่องดนตรีพื้นเมืองให้บทเพลงอ่อนหวานประกอบไปกับเสียงพูดคุยของเจ้าบ้านและอาคันตุกะ

“เป็นอย่างไรบ้าง ราชินีวารีวาท ห้องหับที่เตรียมเอาไว้ให้ พอจะอยู่สบายไหม เราไม่ได้ลงไปดูแลท่านด้วยตัวเอง หวังว่าจะไม่ถือสา พักนี้อนันตราชมีงานหลวงงานราษฎร์มาไม่ขาด ก็เลยยุ่งมากไปหน่อย” กษัตริย์วิภูตรัสถามอย่างห่วงใย พระองค์กับสวามีของราชินีวารีวาทซึ่งล่วงลับไปแล้วนั้น มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นจนถึงขั้นที่สวามีของราชินีวารีวาทเคยช่วยเหลือพระองค์กู้ราชบัลลังก์เสียด้วยซ้ำ

“สบายเพคะ ราวกับได้มาพักผ่อนเชียว” นอกจากตำหนักหรูหราที่ทางอนันตราชใช้เป็นสถานที่รับรองแล้ว ของเสวยบนโต๊ะก็ยังเป็นอาหารพื้นเมืองตำรับชาววังของอนันตราชที่ขึ้นชื่อลือชาด้วยเนื้อวัวชั้นดีย่างไฟจนสุก รับประทานคู่กับผักสดและข้าวสวยหุงร้อนหอมกรุ่น

“ไว้มีเวลาเมื่อไหร่ จะมาพักผ่อนอีกก็ได้ อีกหน่อยโอรสของท่านก็จะเป็นส่วนหนึ่งของอนันตราชแล้ว ก็ไม่ต่างอะไรกับที่สมุทราและอนันตราชจะรวมกันเป็นหนึ่งหรอก” กษัตริย์วิภูตรัส ทว่าสายเนตรกลับทอดเลยไปยังองค์หญิงอรุณาที่ประทับถัดจากราชินีวารีวาท องค์หญิงอรุณารับรู้ถึงสายเนตรของผู้เป็นใหญ่แห่งอนันตราช ทว่าพระองค์กลับทำเพียงสบสายเนตรตอบกลับไปอย่างนิ่งเฉย

…อนันตราชและสมุทราจะไม่มีวันรวมกันเป็นหนึ่ง…สมุทราจะต้องเป็นของพระองค์ และอนันตราชจะต้องไม่มีวันย่างกรายเข้ามายุ่มย่ามความเป็นไปของราชสำนักสมุทราเป็นอันขาด!!

“เรื่องฤกษ์สู่ขอและเสกสมรส เราให้ทางกรมวังดูแลอยู่ จะเร่งให้โดยเร็วที่สุด แต่จะไม่ช้าเกินกว่าฤดูหนาวปีหน้า หรือท่านต้องการให้เร็วกว่านั้นไหม”

ฤดูหนาวปีหน้า ก็คือนับจากนี้ไปอีกหนึ่งปี นั่นหมายความว่าสนธยาจะดำรงตำแหน่งองค์ชายแห่งสมุทราได้ไม่เกิน 1 ปี นับจากนี้ไป

…พอคิดว่าต้องสละตำแหน่งองค์ชายไปใช้ตำแหน่ง ‘ชายา’ แล้ว สนธยาก็นึกหวงตำแหน่งองค์ชายของตัวเองขึ้นมาเสียอย่างนั้น…

“ไม่! ม…ไม่ต้องรีบพระเจ้าค่ะ!!”

คนที่ต้องเป็นฝ่าย ‘เสกสมรส’ ร้องขึ้นมาเสียเอง ทำเอาทั้งโต๊ะต้องหันมองมาที่สนธยาเป็นตาเดียว และพอตกเป็นเป้าสายตาตั้งแต่กษัตริย์ รัชทายาท ราชินี จนถึงทหารอารักขาทั้งหลาย ก็ทำเอาสนธยาต้องกลืนน้ำลายอีกอึกใหญ่ แล้วอ้อมแอ้มอธิบาย

“คือ…เอ่อ…ช้าๆได้พร้าเล่มงามนะพระเจ้าค่ะ”

กษัตริย์วิภูสรวลน้อยๆ ดูก็รู้ว่าว่าที่ลูกสะใภ้ของพระองค์นั้น อยากเสกสมรสเสียจนเนื้อตัวสั่น ถึงขั้นเสนอให้จัดพิธีให้ช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้

“ช้าไปก็ไม่ดีหรอก องค์เตชก็อายุไม่น้อยแล้ว ปีนี้จะยี่สิบห้า พวกทหารรุ่นน้องยังตบแต่งมีเมียมีลูกเป็นสิบนำหน้าไปแล้ว แต่อย่าว่าถึงพวกทหารรุ่นน้องเลย กระทั่งเจ้าเองก็มีสนมนับร้อยใช่ไหมล่ะ” พอถูกย้อนถามเรื่องสนม สนธยาก็ได้แต่ก้มหน้าเงียบ

“แล้ว…จะทำอย่างไรเรื่องสนมล่ะ ทิ้งเอาไว้เป็นร้อยอย่างนี้หรือ ทั้งๆที่แต่งกับโอรสของเราแล้ว”

กษัตริย์วิภูทรงตั้งคำถามอย่างไม่จริงจังนัก เพราะทรงคิดว่าสนธยาคงไม่อุตริกลับไปหอบสนมนับร้อยที่สมุทรามาอยู่ที่ตำหนักอิฐในอนันตราชหรอก หรือถ้าคิดจะทำเช่นนั้นจริง เตชินทร์ที่เลือดอนันตราชเต็มตัวคงไม่มีวันยอมให้ผู้หญิงที่ไหนเข้ามายุ่มย่ามในตำหนักของตัวเองโดยเด็ดขาด

“ไม่ต้องห่วงเพคะ ก่อนที่องค์สนจะมาที่นี่ เขาได้ทำการลาสนมทั้งหมดเรียบร้อย ไม่มีความอาลัยอาวรณ์ใดๆเหลืออีกแล้วเพคะ” ราชินารีวาทรีบตรัส ด้วยเพราะเกรงว่าโอรสของตนจะกล้าได้กล้าเสียทูลขอสนมทั้งร้อยกว่าคนจากสมุทรามาอยู่ปรนนิบัติที่อนันตราช

“จากนี้ไป องค์สนจะเหลือเพียงองค์ชายเตชินทร์เท่านั้น…” สนธยาไม่ได้เป็นคนพูดประโยคนี้ หากแต่เป็นมารดาที่พกลมมาตรัสที่โต๊ะอาหารจนไม่เหลือความจริงเลยแม้แต่นิดเดียว

กษัตริย์วิภูสรวลเสียงดังอย่างชอบใจ สดับประโยคที่ราชินีแห่งสมุทราตรัสแล้วทอดเนตรพักตร์ขององค์ชายสนธยา ทว่ามันกลับขัดแย้งกันเสียจนน่าขัน จากนี้ไปคงจะเป็นภาระใหญ่หลวงของเตชินทร์ที่จะทำให้สนธยาไม่เหลือความอาลัยให้แก่สตรีนางใดอีก

“ฟังท่านว่ามาถึงเพียงนี้แล้ว เราก็ชักอยากจะเร่งงานมงคลให้เร็วขึ้นเสียแล้วสิ นี่ถ้าเป็นสตรี เราจะเร่งให้แต่งใบไม้ผลิปีหน้า แล้วมีลูกปีถัดไปเลย น่าเสียดายที่ท่านเป็นชาย อดเห็นลูกขององค์เตชก็ไม่เป็นไร เพราะเราเชื่อว่าเจ้ากับองค์เตชจะต้องมีเรื่องให้เราติดตามเป็นรายวันเชียวล่ะ!” สนธยาได้แต่หน้าเจื่อนพูดอะไรไม่ออกอีก

…ก็ถ้าจะอยากรู้อยากเห็นอยากตามข่าวกันเป็นรายวันเช่นนี้ ราชสำนักอนันตราชก็ควรถูกเรียกว่าเป็นราชสำนักบ้าสะใภ้ เพี้ยนบรรลัยพอๆกับตอนที่บ้าหอยนั่นล่ะ!

………………………………….

หลังการเสวยเสร็จสิ้น กษัตริย์วิภูและราชินีวารีวาทมีการเจรจากันเพียงลำพัง กษัตริย์วิภูจึงมีรับสั่งให้องค์ชายเตชินทร์พาองค์ชายสนธยากลับตำหนักอิฐไปก่อน ในขณะที่องค์หญิงอรุณามีขบวนนำโดยท้าวสุภาผู้รับใช้ใกล้ชิดนำเสด็จกลับตำหนักรับรองไปก่อนแล้ว

เมื่อเหลือกันเพียงแค่สองคน กับทางเดินที่ปูด้วยแผ่นหิน คบไฟให้ความสว่างเป็นช่วงกับความมืดสลัวในคืนที่พระจันทร์สาดส่อง นายทหารเวรยามยืนประจำจุดอยู่ไม่ไกลนัก แต่ก็พอจะเป็นส่วนตัวอย่างที่องค์ชายเตชินทร์ทรงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นถึงการมีตัวตนของพวกทหารเหล่านั้น แล้วให้ความสนใจคนข้างกายอย่างเต็มที่

“อาหารเมื่อครู่สู้ฝีมือคุณท้าวเอิบที่ตำหนักของพวกเราไม่ได้เลยสักนิด คิดเช่นนั้นไหม”

สนธยาหันมอง ดวงเนตรสีอ่อนจับจ้องใบหน้าของเตชินทร์นิ่งนาน เสียจนคนถูกจ้องเริ่มร้อนรน ริมฝีปากแห้งผาดเสียจนต้องเม้มเลียอย่างอึดอัด และเมื่อสนธยายิ่งเห็นอีกฝ่ายอึดอัด คราวนี้เจ้าตัวเลยยิ่งแผ่ซ่านความน่าขามเกรงออกมาไม่หยุดด้วยการยกสองมือขึ้นกอดอกยืดตัวตรงแล้วจ้องเขม็ง

“เอ่อ…ม…มีอะไรหรือ”

“ท่านไม่คิดจะบอกอะไรหน่อยหรือ สารภาพผิดสักนิดก็ยังดีว่าเรื่องทั้งหมดนี้เริ่มต้นขึ้นที่ไหน ที่ท่านหรือที่เสด็จแม่ของเรา”

“เอ่อ…เรื่องนั้น…” แค่ถูกคั้นเล็กน้อยด้วยน้ำเสียงเข้มข้นและสายตาจ้องจับผิดก็ทำเอาเตชินทร์รู้สึกเหมือนถูก ‘ภรรยา’ สอบสวนอย่างไรชอบกล

“ว่าอย่างไร จะแต่งงานวันนี้วันพรุ่งอยู่แล้ว เรื่องเท่านี้ก็ปิดบังหรือ?”

“แต่งพรุ่งนี้เลยก็ได้หรือ?!!” คนหูดีไม่รอฟังให้จบประโยคก็รีบร้องถามด้วยดวงตาพราวระยับ จนสนธยาอยากจะข่วนหน้าอีกฝ่ายเพื่อเป็นการเรียกสติดูสักที

“เราเปรียบเปรย!” ดวงตาวิบวับเมื่อครู่หมองลงทันควัน ทว่าสำหรับคนที่มีสนมนับร้อยอยู่ใต้ปกครอง มีหรือจะไม่รู้จักมารยามากเล่ห์เหล่านี้ สนธยาจึงทำเป็นไม่สนใจท่าทางหมองเศร้าที่จัดฉากขึ้นมานั่น

“…เอาล่ะ จะเล่าได้หรือยังว่าเรื่องมันเริ่มที่ตรงไหน”

“ตรงไหนก็ไม่รู้หรอก รู้แต่ว่ามันพอเหมาะพอดี ราวกับมีใครอยากให้เราได้คู่กัน” เตชินทร์ส่งสายตาหวานหยดมาให้ราวกับมันจะตกผลึกเป็นน้ำตาลอย่างไรอย่างนั้น สนธยาถอนหายใจเฮือก บอกแล้วว่ามีสนมเป็นร้อย ไอ้ท่าทางทอดสะพานหรือมารยาร้อยเล่มเกวียน ทำอะไรเขาไม่ได้หรอก

“เราจะพูดแค่ครั้งเดียว ท่านเตช…เรามีสนม 121 คน สนมทั้ง 121 คนของเราต่างมีกิริยาและวาจาฉอเลาะออดอ้อนไปคนละแบบ เราเรียนรู้มาทั้ง 121 แบบ แล้วท่านคิดว่า เราจะหลงคารมท่านไหม?” สนธยาถามตรง ตามด้วยสายตารู้เช่นเห็นชาติ ทว่าเตชินทร์กลับยิ้มกรุ่มกริ่ม

“ท่านมีสนมเป็นสตรีทั้งหมดใช่ไหม”

“แน่นอน!”

“ถ้าอย่างนั้น…ก็คงไม่ชินมารยาของบุรุษ” จบประโยค มือใหญ่ก็กวาดไปโอบเอวของอีกฝ่ายเข้ามาแนบกายทันควัน ทำเอาสนธยาสะดุ้งโหยง รีบยกสองมือดันอกอีกฝ่ายออกห่าง ทว่าร่างกายของเตชินทร์นั้นสูงใหญ่เกินไปที่สรีระของชาวสมุทราอย่างเขาจะจัดการได้ด้วยแรงของแขนที่แทบจะถูกรวบเข้าไปอยู่ในอ้อมอกหนาแกร่งนั่นแล้ว

“ท่านคิดจะทำอะไร”

“ไม่ได้คิด แค่อยาก…” สนธยาถอนหายใจอีกเฮือกด้วยความเหนื่อยระอา

…ทำไมหนอ…เรื่องมันไปเริ่มต้นที่ตรงไหน เหตุใดผู้ชายคนนี้ถึงได้ผูกใจเอาไว้กับเขานัก…

“อยากกอดเรางั้นรึ?” เตชินทร์ไม่ตอบ หากแต่เพียงแค่ยิ้ม และเพียงแค่ยิ้ม สนธยาก็ต้องเบือนสายตาทิ้งไปทางอื่น

…ไม่ว่าอย่างไรก็แพ้รอยยิ้มของรัชทายาทแห่งอนันตราช แบบนี้เห็นทีจะแย่ แค่อีกฝ่ายยิ้ม สนธยาก็แพ้ทางเขาเสียแล้ว…

เมื่อเห็นอีกฝ่ายเบือนหน้าหนีสายตาของเขา เตชินทร์จึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้สนธยารับรู้ความรู้สึกทั้งหมด

“เราอยากกอดท่าน อยากดูแลท่าน อยากทำให้ท่านสุขสบายทั้งใจทั้งกาย เมื่อใดที่ท่านทุกข์ เราก็อยากจะช่วยอีกแรง เมื่อใดที่ท่านสุข เราขอเพียงแค่ท่านยิ้มให้เราบ้าง” เขากล่าวแล้วได้แต่ยกมือเกาศีรษะแก้เก้อ เชษฏาแนะนำให้เขาพูดจาตรงไปตรงมาเพื่อเอาชนะคนเอาตัวรอดเก่ง ทว่า…เมื่อถึงเวลาที่ต้องทำจริงๆแล้ว แล้ว เขากลับรู้สึกหมดมาดอย่างไรชอบกล

สนธยาหันกลับมามองใบหน้าของอีกฝ่ายนิ่งนาน มันช่างน่าประหลาดที่เขารู้สึกซาบซึ้งไปกับคำพูดพวกนี้ มากกว่าจะรู้สึกขบขันน่าหัวเราะ

…ชีวิตของสนธยา แม้จะเกิดมาในฐานะองค์ชายแห่งสมุทรา มีแม่นมคอยอุ้มชู แต่นางก็จากไปตั้งแต่เขายังเล็ก และเขาก็ไม่เคยต้องการแม่นมคนใหม่อีกเลย เมื่อไม่มีแม่นมคนใหม่ สนธยาจึงเติบโตขึ้นมาเพียงลำพัง จริงอยู่ว่าเขาสนิทสนมกับพวกทหารทั้งหลาย แต่เมื่อกลับเข้าตำหนัก แม้จะมีสนมกำนัลรับใช้มากเพียงใด เขาก็เหลือเพียงตัวคนเดียว…

…บางที…การมีใครสักคนเอาไว้ค้ำจุนยามเหนื่อยล้า มีใครสักคนเอาไว้หัวเราะไปพร้อมๆกันกับความสุข อาจเป็น ‘โอกาส’ ของชีวิตก็ได้…

“ถ้าท่านพูดจาเช่นนี้ให้สนมทั้ง 121 คนของเราฟัง เราเชื่อว่าพวกนางจะต้องแปรพักตร์มาอยู่กับท่านกันหมดแน่”

“ถ้าพวกนางมาแล้ว แล้วท่านล่ะ ไม่อยากแปรพักตร์มาอยู่กับเราด้วยหรือ” เตชินทร์ได้ทีหยอดเล็กหยอดน้อยเสียจนสนธยาได้แต่ส่ายศีรษะไปมาอย่างเอือมระอา

“โธ่ สักนิดนึงก็ไม่คิดจะมาอยู่กับเราเลยหรือ” เมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่เงียบ เตชินทร์ก็ได้แต่บริพาธเสียงเบาอย่างอ่อนใจ

“เราหนาว เราอยากกลับตำหนักแล้ว” สนธยาอ้างไปเรื่อย ทว่าลมเย็นก็ช่างเป็นใจพัดหอบมาพอดี เตชินทร์จำยอมต้องปล่อยองค์ชายหนุ่มแห่งสมุทราออกจากอ้อมกอด ทว่าไม่ทันที่อีกฝ่ายจะเดินนำออกไป สนธยาก็หันกลับมากล่าวกับร่างสูงเป็นคำรบสุดท้าย

“ถ้าเราไม่คิดจะมาอยู่กับท่าน เราหนีออกจากตำหนักนานแล้ว”

ไม่มีคำพูดอื่นใด เตชินทร์ยิ้มกว้างราวกับความดีใจมาเต้นระบำอยู่เบื้องหน้า สนธยาหมุนกายเดินนำกลับตำหนัก ในขณะที่ร่างสูงใหญ่ที่ติดตามอยู่เบื้องหลังนั้นยิ้มเสียจนปากแทบจะกว้างไปถึงรูหูทั้งสองข้าง

…และนั้น…กลายเป็นเรื่องเล่าปากต่อปากของทหารในวังหลวง…เกี่ยวกับสถิติความกว้างของรอยสรวลขององค์ชายรัชทายาทลำดับที่ 2 ซึ่งกว้างที่สุดยามที่พระองค์มีองค์ชายสนธยาเคียงข้างนั่นเอง

…………………………..

แน่นอนว่าหลังเปิดเผยความในใจอย่างตรงไปตรงมา องค์ชายเตชินทร์ทรงรุกคืบว่าที่พระชายาอย่างหนักหน่วงยิ่งกว่าเก่า หลังจากพระองค์หายพักตร์ไปหนึ่งวันเต็มๆ เพื่อจัดแจงเรื่องงานเสกสมรสของพระองค์เอง องค์ชายเตชินทร์ก็ทรงมาเคาะเรียกองค์ชายสนธยาที่ห้องบรรทมแต่เช้า

และในเมื่อเป็นยามเช้าตรู่ที่พระอาทิตย์ยังไม่ทันโผล่พ้นขอบฟ้า คนที่มาเปิดประตูต้อนรับจึงไม่ใช่องค์ชายสนธยา แต่เป็นองครักษ์หนุ่มนามว่าชีวิน

“ถวายบังคมฝ่าบาท” ชีวินน้อมกายต่ำ เตชินทร์พยักหน้ารับรู้ ทว่าสายเนตรสอดส่องเข้าไปในห้อง ที่แท่นบรรทมไกลลิบนั้น ยังมีมุ้งตลบลงคลุมทั้งสี่ด้าน ผ้ามุ้งทำให้ร่างบนแท่นบรรทมเนื้อนุ่มนั้นเลือนลาง แต่ก็บอกให้รู้ชัดเจนว่าเจ้าของห้องยังคงพักผ่อนอยู่

“ปกติ องค์ชายสนธยาทรงตื่นบรรทมกี่โมง”

“ถ้าเป็นปกติยามประทับที่สมุทรา ก็มักจะทรงตื่นเมื่อแสงแรกจับขอบฟ้าพระเจ้าค่ะ แต่ที่นี่เป็นอนันตราช ซ้ำยังเข้าฤดูหนาว ทำให้สว่างช้า กระหม่อมเกรงว่า น่าจะอีกพักใหญ่ๆ” ชีวินทูล แต่เมื่อพบว่าสายเนตรขององค์ชายเตชินทร์ยังจับจ้องไปยังแท่นบรรทม เขาก็พอจะรู้ว่าเจ้าของตำหนักอิฐ ทรงประสงค์ให้องค์ชายสนธยาตื่นบรรทมเสียเดี๋ยวนี้

“ถ้าอย่างไร ให้กระหม่อมปลุกองค์ชายสนธยาดีไหมพระเจ้าค่ะ” ทว่าไม่ทันที่เตชินทร์จะได้ตอบอะไร ร่างที่นอนอยู่บนแท่นบรรทมก็ลุกพรวดขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ใช้ศีรษะชนผ้ามุ้งทั้งสี่ทิศรอบด้านราวกับคนเมา

“ชีวิน! นั่น…องค์ชายสนธยาทำอะไร” ชีวินหันกลับไปมอง เขาเลิกคิ้วเล็กน้อยที่เห็นองค์ชายเหนือหัวของตนล้มกายลงไปนอนแล้วยกสองขาชี้เพดานแทน องครักษ์หนุ่มแห่งสมุทราหันกลับมามองผู้เป็นเจ้าของตำหนัก แล้วเอ่ยสั้น

“เกรงว่า…องค์ชายสนธยาจะละเมอพระเจ้าค่ะ”

“ละเมอ!!” องค์ชายเตชินทร์ทรงครวญ เนตรสีเข้มยังจับจ้องภาพคนบนแท่นบรรทมที่ยกเท้าชี้เพดาน แล้วฉีกขาสองข้างออกจากกันก่อนจะหุบมันเข้าหากัน ทำเป็นจังหวะราวกับกำลังออกกำลังกายอย่างไรอย่างนั้น

“เรื่องนี้ พระองค์คงยังไม่ทรงทราบสินะพระเจ้าค่ะ องค์ชายสนธยาทรงเป็นโรคละเมออย่างร้ายกาจ วันดีคืนดีก็ลุกขึ้นมาซ้อมดาบก็มีพระเจ้าค่ะ” องค์ชายเตชินทร์ทรงเบิกเนตรเหลือกโตด้วยความตกพระทัย

“ซ้อมดาบเชียวหรือ?”

“พระเจ้าค่ะ” คนฟังกลืนน้ำลายอึกใหญ่ด้วยความเสียวสันหลังชอบกล ดูเหมือนจะมีหลายเรื่องขององค์ชายสนธยาที่พระองค์ยังทรงไม่รู้

“แล้ว…นอกจากละเมอแล้ว…เอ่อ…เขายังมี ‘อย่างอื่น’ อีกบ้างมั้ย” ชีวินทำท่านิ่งคิด ก่อนจะทูลตอบ

“ก็…บางทีถ้าทรงตื่นเช้ามากๆก็จะมีอาเจียนเลอะเทอะไปหมด หรือไม่ก็...ถ้าเสวยอะไรซ้ำๆเดิมๆบ่อยๆ พระองค์ก็จะทรงเกรี้ยวกราดทำลายข้าวของพระเจ้าค่ะ” องค์ชายเตชินทร์ทรงขมวดขนงแน่น เริ่มรู้สึกผิดปกติโดยเฉพาะประโยคสุดท้ายของชีวิน

…คนอยู่ง่าย กินง่ายอย่างสนธยาน่ะหรือ ที่ทานอะไรซ้ำๆแล้วจะเกรี้ยวกราด? ถ้าเช่นนั้น คุณท้าวเอิบก็น่าจะโดนตะเพิดนานแล้ว เพราะรายนั้นเมื่อรู้ว่าใครชอบทานอะไร ก็มักจะทำอย่างนั้นให้ทานซ้ำๆอย่างน้อยสามวันเป็นต้นไปทีเดียว…

ออฟไลน์ Dezair

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 533
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1543/-8
องค์ชายเตชินทร์มองสบดวงตาของชีวิน ทว่ากลับมีแต่ความนิ่งเฉยอยู่ในดวงตาสมกับเป็นทหารหาญที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี แต่…พระองค์เองก็ถูกฝึกฝนอย่างชายชาติทหารเช่นกัน มีหรือจะไม่รู้ว่าในความว่างเปล่านิ่งสงบของคนเป็นทหารนั้น ภายใต้หน้ากากที่ไม่มีอะไรคือระบบประมวลผลและความรู้สึกนึกคิดชั้นยอด

…ใต้ทะเลมีคลื่นฉันใด ก็เหมือนใต้หน้ากากเรียบเฉยมีอุบายฉันนั้น…

“หมายความว่า ถ้าเราเข้าไปปลุกเขาตอนนี้ เขาจะลุกขึ้นมาอาเจียนใส่เราอย่างนั้นใช่ไหม” ชีวินอ้าปากจะรับคำ หากแต่เมื่อเห็นสีพระพักตร์ที่ดูเหมือนจะรู้เท่าทันทั้งหมดแล้ว ก็ได้แต่ตอบกลับไปอีกอย่าง

“ถ้าโชคร้าย ก็จะเป็นเช่นนั้นพระเจ้าค่ะ”

อันที่จริงแล้ว ตั้งแต่เขาถูกพาเข้ามาเลี้ยงในตำหนักที่สมุทรา จนกระทั่งกลายมาเป็นองครักษ์รักษาพระองค์ในองค์ชายสนธยา ชีวินไม่เคยเห็นองค์ชายเหนือหัวของตนนำสิ่งใดออกจากโอษฐ์เลยแม้แต่ครั้งเดียว พระองค์เป็นองค์ชายที่อยู่ง่าย กินง่าย ไม่มากเรื่อง ยามออกทะเลไปกับทหารทั้งกองทัพก็เสวยข้าวหม้อเดียวกับทหารชักใบเรืออย่างไม่เคยเจ้ายศเจ้าอย่าง ตอนจะบรรทม ก็บรรทมบนผืนแข็งได้อย่างไม่มีปากมีเสียง

“แหม นึกอยากโชคร้ายขึ้นมาทีเดียว” องค์ชายเตชินทร์ตรัสเช่นนั้น ก่อนจะเสด็จเข้าไปในห้องบรรทมของว่าที่พระชายา ทรงหยุดอยู่ใกล้แท่นบรรทม จากนั้นก็ตลบมุ้งขึ้นฝั่งหนึ่งแล้วทรุดองค์ลงประทับที่ข้างกายของคนที่ยังนอน ทว่าสายเนตรของพระองค์กลับทอดมายังชีวินที่ยืนอยู่ไม่ไกล

“เรามีอีกเรื่องที่จำเป็นต้องบอกท่าน ท่านชีวิน”

ตรัสด้วยเสียงอันดัง ราวกับจะตรัสให้รับรู้ทั้งชีวินและองค์ชายสนธยาที่บัดนี้พลิกกายตะแคงหันหลังให้พระองค์ไปแล้วเรียบร้อย

“อีกไม่นาน องค์ชายของท่านก็จะกลายมาเป็นชายาของเรา หากมีเวลาเป็นส่วนตัว รบกวนท่านช่วยเตือนเขาล่วงหน้าที ว่าเราชอบตื่นก่อนคนที่นอนข้างๆ และชอบจุมพิตเป็นของขวัญยามเช้าให้กับคนที่ยังไม่ตื่นเสมอ”

สิ้นประโยค ร่างที่นอนอยู่บนแท่นบรรทมก็ถึงกับลุกพรวดกลับมาจ้องหน้าคนพูดตาเหลือกโต

“อ้าว ตื่นแล้วรึ?” องค์ชายเตชินทร์ทำเป็นตั้งคำถาม ทั้งๆที่รู้แก่ใจว่าที่อีกฝ่ายตื่นพรวดขึ้นมาในทันทีทันใดเป็นเพราะคำพูดของตนเอง

“เอ่อ…ต…ตื่นแล้ว…” ตั้งใจจะทำให้อีกฝ่ายแขยง ที่ไหนได้ กลับถูกตลบหลังบุกประชิดตัวถึงเพียงนี้ สนธยาชักจะเริ่มโทษตัวเอง หากสมัยก่อนยอมให้พวกอาจารย์ทั้งหลายสอนวิชากลยุทธพิชิตข้าศึก ก็คงมีปัญญามากกว่านี้หลายเท่า!

“ตื่นแล้วก็ดีแล้ว เราจะมาชวนท่านไปตำหนักขาวที่เราทำงานอยู่ สนใจไหม”

“มีใครไปบ้าง เราพาเสด็จแม่ไปด้วยได้ไหม” สนธยาไม่วางใจที่จะไปกับอีกฝ่ายเพียงลำพัง เพราะหนึ่งคือองค์ชายเตชินทร์ออกโอษฐ์ชัดเจนว่ามี ‘มารยาบุรุษ’ ซึ่งสนธยายอมรับว่าไม่คุ้นชินกับมารยาที่ว่านั่น

“ท่านสน…ใจหนึ่งของเราก็อยากให้ราชินีวารีวาทเสด็จด้วยหรอก แต่อีกใจ…เราก็อยากไปกับท่านแค่สองคน ให้เวลาเราได้จีบท่านสักนิดได้ไหม ขอแค่วันนี้วันเดียวก็ได้ ที่ท่านจะมีเพียงเรา และเราจะมีเพียงท่าน แล้วไว้พรุ่งนี้ เราจะพาราชินีวารีวาทไปด้วย” วาจาตรงไปตรงมา ทว่าอ่อนโยนในความรู้สึกนั้น คือวิธีการที่องค์ชายหนุ่มปรึกษากับผู้เป็นเชษฐาอย่างองค์ชายเจษฎาแล้ว ว่าน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเข้าหาว่าที่ชายาซึ่งมักจะมีแผนการหมกเม็ดและพยายามปัดป้องความรู้สึกที่เตชินทร์พยายามส่งให้ตลอดมา

 “ได้ไหม ให้เวลาเราได้อยู่กับท่านสักนิด ขอแค่วันเดียวก็ยังดี”

สนธยามองคนที่พูด ไม่ว่าจะด้วยความใจอ่อน หรือเหตุผลที่ต้องการคบหาดูใจกันก่อนจะถึงวันเสกสมรส แต่สุดท้าย องค์ชายแห่งสมุทราก็ทรงพยักพักตร์ยอมตกลง

“ก็ได้” เตชินทร์ยิ้มพรายกับคำตอบนั้น ก่อนจะลุกจากเตียงราวกับจะเปิดทางให้สนธยาได้แต่งเนื้อแต่งตัว

“เราจะรอที่ห้องอาหาร” จบประโยค ใบหน้าขาวก็ก้มลงมอบจุมพิตแผ่วหวานลงกับแก้มสีน้ำผึ้งอย่างที่ทำเอาสนธยาถึงกับร้องลั่น

“เฮ้ย!!!”

เตชินทร์ถอนใบหน้าออกมา เขาอมยิ้มน้อยๆเมื่อพบว่าร่างโปร่งนิ่งชะงักตกตะลึงพรึงเพริดไปแล้ว ชีวินรีบขยับเข้ามาหานายเหนือหัวของตน ในขณะที่เตชินทร์ยอมถอยห่าง ทว่าก็ยังตบไหล่นายทหารองครักษ์อย่างปลอบประโลม

“ไม่ต้องกังวล อีกหน่อยเขาก็ต้องชิน”

… ‘ต้องชิน’ ประโยคนี้แทรกเข้าไปในการรับรู้ของสนธยาอีกครั้ง และครั้งนี้มันทำให้องค์ชายแห่งสมุทรานิ่งชะงักยิ่งกว่าเก่า เพราะคำว่า ‘ต้องชิน’ แปลความหมายได้ในทางเดียวว่าเตชินทร์จะทำเช่นนี้ต่อไป จนกระทั่งเขาต้องเป็นฝ่ายชินไปเอง!...

……………………………

ตำหนักขาวอันเป็นสถานที่ทำงานขององค์ชายเตชินทร์เป็นอาคารก่อปูนแล้วทาทับด้วยสีขาวล้วนทั้งตำหนัก บานหน้าต่างและประตูทรงโค้ง มีเสาค้ำเบื้องหน้าอาคารที่มีระยะห่างพอดีกันทุกเสา สนธยาเงยหน้ามองอาคารตำหนักใหญ่โตเบื้องหน้าด้วยความตื่นตะลึงกับสถาปัตยกรรมและความโอ่อ่าหรูหรา

“งามไหม”

“งามมาก” สนธยาว่าอย่างนั้น แต่จับจ้องไม่วางตา

   “เราเป็นคนออกแบบเอง ตอนแรกตั้งใจจะให้เล็กกว่านี้สักหน่อย แต่เสด็จพ่อบอกว่ากรมวังมีงานมากมาย ก็เลยให้สร้างใหญ่อีกสักหน่อย เพื่อจะได้รองรับขุนนางนายทหาร”

   “ท่านออกแบบอาคารเป็นด้วยหรือ? สอนเราหน่อยสิ! เราเคยแต่ออกแบบเรือ ไม่เคยออกแบบพวกอาคารบ้านเรือนเลยสักครั้ง” ราวกับถูกชื่นชมด้วยคำพูดเยินยอนับล้าน แม้จะเป็นเพียงคำชื่นชมที่แฝงมาในการเรียกร้องขอให้สอน แต่เตชินทร์กลับยิ้มไม่หุบ

   “ได้สิ แต่ตอนนี้เข้าไปในตำหนักก่อนเถอะ จากห้องทำงานของเรา ชมพระอาทิตย์ขึ้นสวยเชียวล่ะ”

   “มิน่า คุณท้าวเอิบเคยบอกว่าท่านไม่ค่อยกลับตำหนักอิฐ คงเพราะค้างที่นี่เพื่อจะชมอาทิตย์ขึ้นสินะ” เตชินทร์หันกลับมามอง สายเนตรอ่อนหวานไม่ปิดบัง

   “แต่หลังจากนี้ เราจะกลับไปทุกๆที่ที่ท่านอยู่เพื่อชมพระอาทิตย์กับท่านทุกวัน”

   “เอ่อ…ถ้าอย่างนั้นก็รีบพาเราไปดูพระอาทิตย์ เราเริ่มอยากดูแล้ว” หรืออีกนัยหนึ่งคือไม่อยากยืนนิ่งอยู่ตรงนี้ให้อีกฝ่ายขยันหยอดหวานเล็กหวานน้อยไปอีกนาน

   เตชินทร์อมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะแตะรอบเอวคนข้างกายให้ออกเดินเข้าไปในตำหนักขาว สนธยาแทบอยากจะบิดเอวตัวเองออกห่าง ทว่า…มือหนาใหญ่นั้นเหนียวหนึบและแข็งแรงที่ยังโอบกระชับแน่น พร้อมด้วยวาจาสำทับทีเล่นทีจริง

   “ไหนๆ วันนี้ท่านก็อนุญาตให้เราได้อยู่กับท่านแล้ว ก็ให้เราแตะนิดแตะหน่อยแล้วกันนะ”

   …ยังมีหน้ามาพูด ได้คืบจะเอาศอกจริงๆ!!...

……………………………..

   พระอาทิตย์ขึ้นที่ทางทิศตะวันออก ตำหนักขาวนั้นแม้จะหันหน้าสู่ทิศเหนือก็จริง แต่ห้องทรงงานขององค์ชานเตชินทร์มีหน้าต่างอยู่ทางตะวันออก ดังนั้น ในวันนี้ ที่มุมหน้าต่างบานกว้าง จึงมีโต๊ะเสวยเล็กๆ พร้อมด้วยคุณท้าวเอิบ หัวหน้านางรับใช้คนสำคัญในตำหนักอิฐมาคอยปรณนิบัติดูแลถึงที่ แต่…ทุกอย่างจะต้องเป็นการดูแลอย่างห่างๆเท่านั้น เนื่องจากองค์ชายเตชินทร์ต้องการให้ที่โต๊ะเสวยมีแค่พระองค์และองค์ชายสนธยาเพียงลำพัง

   แสงสีทองทอกระจ่างที่ขอบฟ้าไกล ขับไล่ความมืดมิดที่ปกคลุมมาทั้งคืน เกิดเป็นแสงเงาของภูเขา ต้นไม้ และทอแสงระยิบล้อกับผืนน้ำในแม่น้ำสายเล็กที่ไหลเอื่อยอยู่ไม่ไกลจากตำหนัก

   “สวยใช่ไหม”

   “สวย สวยคนละแบบกับที่สมุทรา” สนธยาเหลือบสายตากลับมามองคนข้างกาย

   “ที่สมุทราเป็นเช่นไร”

   “เป็นพระอาทิตย์ที่โผล่ขึ้นจากขอบมหาสมุทร ผิวน้ำทะเลเป็นระยิบเชียวล่ะ ยามถูกแสงพระอาทิตย์สาด”

   “เราอยากเห็น” สนธยาทำสีหน้าเจ้าเล่ห์

   “มิใช่เคยเห็นแล้วหรอกหรือ ได้ข่าวว่าเคยไปสมุทรา?” เตชินทร์หัวเราะน้อยๆ ก่อนจะยอมตอบ

   “เคยไป แต่ไม่เคยดูพระอาทิตย์ขึ้นที่สมุทรากับคนของสมุทรา”

   “แล้วไว้เราจะพาท่านไปก็แล้วกัน” ราวกับคำสัญญา สนธยาเอ่ยยามที่แสงทองสาดเข้ามาในห้อง กระตุ้นความสนใจให้พวกเขาหันกลับไปจับจ้องมันพร้อมกัน ภาพเบื้องหน้านั้นราวกับสวรรค์สร้าง แสงสีทองทอดไปทั้งผืนหญ้าผืนป่าและแม่น้ำที่ไหลผ่านเขตตำหนัก และหลังจากแสงนี้สาดส่องเพียงครู่เดียว ผู้คนในเขตตำหนักก็เริ่มเดินไปมาขวักไขว่ ทั้งขุนนางนายทหาร และนางกำนัลทั้งหลาย บ้างเดินพูดคุยอ้อล้อ บ้างเดินชมธรรมชาติยามเช้า หากแต่…มีบางคนที่วิ่ง

   “นั่นท่านสมิตใช่ไหม ดูรีบร้อนจริง” 

สนธยาชี้ร่างที่กำลังวิ่งกระเสือกกระสนมาทางตำหนักขาว เตชินทร์ขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัย ปกติสมิตไม่ใช่คนรีบร้อน ต่อให้ใกล้ถึงเวลานัดหมายเพียงใดก็ไม่เคยกระเสือกกระสนถึงเพียงนี้ เหตุใดหนอ…เหตุใด…

   และเพียงแค่อึดใจต่อมา ร่างที่วิ่งอยู่ข้างล่างเมื่อครู่ก็เปิดประตูพรวดเข้ามาในห้องทรงงานขององค์ชายเตชินทร์

   “แย่แล้วพระเจ้าค่ะ! องค์ชาย!!!” องค์ชายเตชินทร์ทรงลุกขึ้นอย่างว่องไว รอรับฟังเรื่องราวจากปากองครักษ์ ทว่าสมิตกลับหันไปทางองค์ชายสนธยาแทน

   “ราชินีวารีวาททรงถูกลอบวางยาพระเจ้าค่ะ!!!”



ติดตามตอนต่อไป

ออฟไลน์ greenapple

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-5
 ตามมาจากจอมร้าย สนุกมาก แปะไว้ก่อนค่ะ :L1: :pig4: 

ออฟไลน์ mur@s@ki

  • อยากรัก..แต่ใจไม่กล้า
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1899
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-5
เอาล่ะสิ ไม่อยากจะคิดเลยว่าใครทำ
เลวร้ายเกินไปแล้ว

 :กอด1:

ออฟไลน์ SenzaAmore

  • Where troubles melt like lemon drops....
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 713
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +79/-0
องค์สนนอนละเมอได้เจ๋งมาก องค์เตชสู้ๆน้าา5555

โอยยยย เรื่องจะเป็นยังไงต่อเนี่ย กำลังเข้มข้นเลย :hao7:
มาต่อเร็วๆน้าา :mew1:
ปล.หายปวดข้อมือเร็วๆน้าาา :mew1:

ออฟไลน์ kongxinya

  • Skt KS
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0

เอาใจช่วยองค์เตชจีบองค์สน  :3123:

อย่าบอกนะว่าอรุณาวางยาแม่ตัวเอง  :katai1:

 :L2: :กอด1: :pig4: :L2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด