{OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ แจ้งข่าวรวมเล่ม p.10
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ แจ้งข่าวรวมเล่ม p.10  (อ่าน 47591 ครั้ง)

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
ว้าว  มีความสุขกันซักที

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ปลื้มปริ่ม  จบด้วยดี :katai2-1:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ดีใจที่ทุกคนมีความสุขสักที ขอบคุณมากเลยนะคะ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
จันทร์กลับมาแล้วววววววว งื้ออออ ดีใจมากกกก
อยากเห็นคู่จันทร์วิ่งในทุ่งลาเวนเดอร์มั่ง อิอิ
ส่วนเด็กๆ ก็น่ารักจริงๆ ดีใจที่สุดท้ายแล้วทุกคนมีความสุข
ปล.มีคำผิดนิดนึงนะคะ ชื่อน้องเมฆสองสาสที่ แล้วก็ตอนที่คุณเหมันต์ขอดูรูปที่น้องน่านเอามาอวดจ้าว
ปล2. เราก็คิดถึงคุณ foggy time มากๆ ช่วงนี้งานเข้าแบบร่างจะแหลกสุดๆ


ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
ฮอลลลล จบแล้วติดตามมาตั้งแต่ตอนแรกๆ

ดรามาหนักมาก แต่สุดท้ายก็แฮปปี้

ขอบคุณที่แต่งเรื่องดีๆมาให้อ่านนะคะ

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
 :o12: น้ำตาคลอตามสุริยะ  :sad4: ดีใจที่จันทร์หายดี

ดีใจที่ในที่สุดจ้าวก็มีความสุขจริงๆ สักที และในที่สุดก็มาถึง

ตอนจบ ขอบคุณนะคะ ขอบคุณมากเลย  :hao5:

ต่อไปคงคิดถึงเรื่องนี้มากแน่เลย ฮือ เหมือนอยู่ด้วยกันมานานมาก


ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0


ร้องไห้แปป

คือมันดีอ่ะ

มันแตกต่าง

แต่มันใช่

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ


ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
เย้ๆ
พี่ซัน ทำสำเร็จ

ออฟไลน์ Another Night

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
โอ้โห เป็นนิยายอีกหนึ่งเรื่องที่บีบใจน้องมาก อ่านไปน้ำตาซึมไป
เนื้อเรื่องก็พลิกมากค่ะ อ่านๆไปพลิกไปซ้าย อ่านๆไปพลิกไปอีกทาง //ปาดเหงื่อ กว่าจะจบอ่านนี่ลุ้นแล้วลุ้นอีก
ขอบคุณนักเขียนที่แต่งนิยายเรื่องนี้ขึ้นมานะคะ //ไหว้ย่อ

Love
Another Night
 :L2: :pig4: :L1: :3123: :กอด1:

ออฟไลน์ it.the.world

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เป็นเรื่องที่สนุกมั่กๆเลย บีบหัวใจด้วย แงงง เสียน้ำตาไปหลายตอนเลยย สงสารทั้งจันทร์และจ้าวเลย แต่พอจบแบบแฮปปี้ก็สบายใจ โล่งเลยค่ะ  :hao5:

ปล.มีพี่เสือกับกวางน้อยโผ่ลมาด้วย พี่เสือดุดันเหมือนเดิมเลยย ขอบคุณสำหรับนิยายค่ะ  :3123: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ mint_852

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 734
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
อ่านรวดเดียวจบเลย
ติดงอมแงมมาก
อยากอ่านตอนพิเศษจัง
อยากอ่านจันทร์กับจ้าวเจอกันอีกครั้ง
รออ่านนะคะ

ออฟไลน์ nikpook

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
จบแล้วยังไม่อยากให้จบเลย สนุกมากๆ รออ่านตอนพิเศษอยู่นะคะ  :oni2: อยากอ่านตอนพิเศษของจันทร์+พี่ซันมากๆเลยค่ะ :impress2:

ออฟไลน์ Sohso

  • You are my precious thing And I will always love you.
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1372
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
โอ้ ดราม่าหนัก แต่ก็สนุก

ออฟไลน์ dadt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
อยากอ่านเรื่องนี้อีกรอบในมุมมองของจันทร์ จ้าวคงกลายเป็นตัวละครที่ร้ายกาจน่าดู // ขอบคุณสำหรับนิยายค่ะ

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
เรื่องนี้มีคนผิดมากมาย ยกเว้นน้องสาวของจ้าว
จ้าวผิดที่ละเลยและใจร้ายไปตอนเด็ก ด้วยความคิดไม่ถึง
จันทร์ก็ฝังใจจากพี่ที่รักและพึ่งพาได้ กลายเป็นคนชัง

วันเวลาผ่านไป คนนึงคิดทำลาย คนนึงเข้าใจไปเองว่าทุกอย่างดี
สุดท้าย พ่อแม่คือคนร้ายที่แท้จริง ที่ไม่แก้ปัญหา และไม่ช่วยเหลือ

จ้าวกับจันทร์ร้ายคนละอย่าง เจ็บคนละแบบ
และทำร้ายกันเองทั้งคู่

เห็นมุมจ้าวแล้ว คือเจ็บปวด เคยทำผิดก็จริง
แต่ถึงขั้นจะทำลายกันแบบนี้เลยหรอ
แต่พอดูจากมุมจันทร์นิดนึง ความคิดวัยเด็ก
ล่อหลอมให้จันทร์เจ็บปวดมาก และแค้นหนัก

เหมันต์เป็นคนที่เข้ามาได้ถูกเวลา และให้ใจมาก
มั่นคงและไม่คาดหวัง รอคอยถึงจะไม่รู้ผล
จ้าวได้เจอเหมันต์คือความโชคดีมากแล้ว
น่านเหมือนเป็นเฮียสามไหม ให้อารมณ์แบบนั้น
เด็กน้อยสามหน่อ ติดแม่น่าดู
ปลื้มค่ะ ทำจ้าวมีความสุขเพิ่มขึ้นจากที่มีเหมันต์อยู่แล้ว

ว้าวว จันทร์เซอร์ไพรส์พี่ซันหนักมากค่ะ ช็อคไปแล้วมั้ง

ขอบคุณมากนะคะ เรื่องราวพีคตลอดเวลาเลย
บางอย่างคิดไม่ถึงเลยด้วยค่ะ เช่น เรื่องพ่อจ้าวจันทร์
ตอนพิเศษ อยากอ่านตอนจ้าวจันทร์เจอกันตอนหาย
และมาจากมุมของจันทร์ อยากให้เจอหลานด้วยค่ะ




ออฟไลน์ mickeyz.min

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
น้ำตาแตกทุกตอน ไม่เศร้ามากๆ ก็ กดดันมากๆ โอ๊ยยย หน่วง จิตตกทุกตอนเลย สนุกมากๆด้วย

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 694
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
รอตอนพิเศษน๊าาาาาาาาาา
สนุกมากๆๆ :z3:

ออฟไลน์ Riik

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ปูเรื่องดีมากกกกกกกกก ปรบมือ

ออฟไลน์ $VAN$

  • Moderator
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-6
สนุก เข้มข้นมากค่ะ สงสารทั้งจ้าวและจันทร์ที่มีพ่อแม่แบบนี้
สงสารพวกโอเมก้าที่โดนทำร้ายอย่างไร้เหตุผลด้วย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
ตอนพิเศษ : ครอบครัวสุขสันต์
   
ครั้งแรกที่จ้าวรู้ว่าตัวเองท้องคือตอนที่กำลังนั่งแต่งเพลงอยู่ในสวนหลังบ้านแล้วเผลอวูบไปกลางคันทั้งๆ ที่อากาศไม่ได้ร้อนและกินอาหารครบทุกมื้อดี
   
“ยินดีด้วยนะครับ คุณจ้าว”
   
“..ครับ”
   
จ้าวกระพริบตาปริบขณะที่นอนอยู่บนเตียงโรงพยาบาลและมองหน้าออสตินที่ส่งยิ้มบางมาให้อย่างเอ๋อๆ ยังคงงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและตามไม่ทัน ถึงแม้จะพูดเรื่องท้องกันบ่อยมากกับพี่เหมันต์แต่นี่ก็เขาก็ไม่ท้องสักทีจนเขามักจะแซวพี่เหมันต์อยู่บ่อยๆ ว่าแก่แล้วเชื้อไม่แรง
   
ซึ่งแรงไม่แรงไม่รู้แต่ที่แน่ๆ อายุครรภ์ของเขาก็มากพอที่จะตรวจเพศได้แล้วและในมือเขาตอนนี้ก็คือภาพอัลตราซาวด์ลูกที่หมอแถมมาหลังจากที่พาเขาทำอะไรไม่รู้เยอะแยะมากมาย
   
“พี่เหมันต์ใกล้ถึงรึยัง ออสติน”
   
จ้าวถามขณะที่ดูรูปในมือรู้สึกประหลาดใจนิดๆ ที่มีเจ้าตัวเล็กอยู่ในท้องแล้ว มันเป็นความรู้สึกที่ประหลาดสำหรับเขาเพราะเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะมีครอบครัวที่สมบูรณ์อย่างคนอื่น เขาเคยชินกับการใช้ชีวิตอยู่คนเดียวมาตลอดยี่สิบสองปี ถึงแม้จะมีผู้คนมากมายรอบตัวแต่เขาก็ไม่เคยรู้สึกว่ามันจะมากพอที่จะทำให้ความฝันเล็กๆ ของเขาเป็นจริง
   
ตอนเด็กๆ เขามักจะฝันถึงครอบครัวที่สมบูรณ์ อาจจะไม่ใช่ในรูปของการมีลูก เขาแค่อยากได้ครอบครัวที่อบอุ่น ที่ๆ อยู่แล้วชวนให้รู้สึกสบายใจไม่โดดเดี่ยว ซึ่งพี่เหมันต์ก็ได้เข้ามาเติมเต็มส่วนนั้นของเขาพอดี ทำให้ตัวตนที่ขาดวิ่นของเขากลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง
   
“อีกสามชั่วโมงครับ”
   
“..อืม”
   
จ้าวพยักหน้ารับรู้สึกเสียดายนิดหน่อยที่พี่เหมันต์ไม่ได้อยู่ตอนที่รู้ว่าเขาท้องซึ่งทั้งเขาทั้งออสตินก็ไม่ได้คาดการณ์ถึงเรื่องท้องเหมือนกัน คิดว่าเป็นลมธรรมดาๆ แต่ที่ไหนได้เมื่อลองตรวจดูกลับพบว่าสิ่งที่เฝ้ารอมาตลอดกลายเป็นความจริง
   
มือบางลูบท้องตัวเองเบาๆ ด้วยรอยยิ้ม
   
ในนี้มีเจ้าตัวเล็กอยู่สินะ
   
“จ้าว! ”
   
จ้าวสะดุ้งสุดตัวเมื่ออยู่ๆ ประตูเปิดออกมาพร้อมกับร่างของคนที่เพิ่งบินไปคุยงานที่ฮ่องกงแต่กลับมาอยู่ที่นี่ซะได้ นัยน์ตาโศกมองค้อนออสตินที่หัวเราะหึๆ โดยไม่ปิดบังหัวเราะได้สักพักออสตินก็ขออนุญาตออกไปรอนอกห้องเพื่อให้เวลาส่วนตัวกับนายทั้งสองของตัวเอง
   
“พี่ไม่คุยงานแล้วเหรอ”
   
“พี่แคนเซิลงานไปแล้ว”
   
เหมันต์ลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ และดึงมือจ้าวมากุมด้วยรอยยิ้มทั้งแววตาจนคนมองอดหน้าแดงไม่ได้ ถึงแม้พี่เหมันต์จะไม่ได้พูดอะไรแต่เขาก็สัมผัสได้ถึงความสุขที่พี่เหมันต์กำลังรู้สึก
เพราะมันก็เป็นความรู้สึกแบบเดียวกับเขา
 
“พี่ดีใจมากเลยจ้าว”

เหมันต์พูดเสียงพร่ามือที่กุมจ้าวอยู่สั่นเทา แทบควบคุมตัวเองให้อยู่เฉยๆ ไม่ได้

“ผมก็ดีใจเหมือนกัน” จ้าวพูดด้วยรอยยิ้มดึงมือหนาของเหมันต์มาวางบนหน้าท้องของตัวเองซึ่งดูแทบไม่ออกเลยสักนิดว่ากำลังมีเจ้าตัวเล็กซุกซ่อนตัวอยู่ข้างใน

“ผู้ชายใช่ไหม”

เหมันต์ยิ้มพูดเสียงนุ่ม

เขากำลังจะเป็นพ่อคนสินะ…

นัยน์ตาสีเทาเปล่งประกายระยับอย่างมีความสุข หลายสิ่งหลายอย่างถาโถมเข้ามาในหัว ทั้งเรื่องการเลี้ยงลูก ชื่อลูก ของเล่นเด็ก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวของกับลูกอยู่ในหัวของเหมันต์จนกระทั่งมาหยุดที่ความคิดหนึ่งที่ทำเอาใบหน้าคมคายเริ่มขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ

 “ครับ หมอบอกว่าเป็นโอเมก้าด้วย”

จ้าวเลิกคิ้วแปลกใจนิดๆ เมื่อเห็นพี่เหมันต์มีสีหน้าบึ้งตึงและยังไม่ทันถามก็โดนถามเข้าซะก่อน

“จ้าวว่าพี่ตอนไว้หนวดน่ากลัวไหม”

จ้าวหลุดหัวเราะทันที “พี่ค่อยถามผมตอนลูกโตดีกว่าไหม” นัยน์ตาโศกมองคนที่หวงลูกตั้งแต่อยู่ในท้องเชิงล้อเลียนแกมขบขัน
ใบหน้าคมคายหลุดมาดนิดหน่อยเมื่อถูกหัวเราะ “อย่าขำสิ พี่จริงจังนะ พี่ไม่ยอมให้ใครมาทำลูกร้องไห้หรอก”

“ครับๆ ไม่ขำก็ไม่ขำ” จ้าวยังคมยิ้มจนตาหยี “ผมเลือกชื่อได้แล้วนะ”

นัยน์ตาโศกเหลือบมองหน้าต่างเห็นท้องฟ้าที่ดูจะปลอดโปร่งกว่าทุกวัน

“ลูกจะชื่อว่าน่านฟ้า”

ชื่อที่เขาและจันทร์เคยคิดเอาไว้ถ้าเกิดว่าน้องที่เกิดมานั้นเป็นผู้ชาย



“ฮึก ผมบอกแล้วพี่ว่าอย่าปิดประตูเสียงดัง ฮืออ ผมไม่ชอบ”

“เอ่อ จ้าว พี่ขอโทษ”

เหมันต์นั่งหน้าซีดอยู่บนพื้นอย่างพินอบพิเทา แทบจะกราบจ้าวเพื่อขออภัยในความผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิตเพราะเผลอปิดประตูเสียงดังตอนที่จ้าวกำลังนอนอยู่ เล่นเอาอีกฝ่ายสะดุ้งตื่นมาโวยวายเขาเลยทีเดียว
ซึ่งปกติจ้าวของเขาก็ไม่ได้ร้องไห้ง่ายแบบนี้หรอก

“ฮึก ทำไมพี่กลับมาไวล่ะ พี่บอกว่าวันนี้ไม่กลับไม่ใช่เหรอ”

นัยน์ตาโศกคลอไปด้วยน้ำตาที่ไม่แน่ใจว่าพรั่งพรูมาจากไหนนักหนา ร่างโปร่งตอนนี้อ้วนขึ้นมากเพราะต้องกินให้มากขึ้นและถูกบำรุงอย่างดีแต่ถึงกระนั้นสภาพอารมณ์ของจ้าวนั้นก็แกว่งจนน่ากลัว

“พอดีลูกค้ายกเลิกกะทันหันครับ พี่เลยรีบกลับมาหาจ้าว”

เหมันต์พูดอย่างละมุนละม่อม ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วตัวเองหงุดหงิดมากกับการโดนเลื่อนนัดซ้ำๆ ของลูกค้ารายใหญ่ซึ่งครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่สามแล้ว ราวกับว่ากำลังเล่นสนุกและวัดว่าเขาจะทนได้ขนาดไหน แน่นอนว่าด้วยวุฒิภาวะของเขา เขาก็ต้องอดทนเพราะเขากับลูกค้ารายนี้ยังต้องพึ่งพากันอีกมาก

แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังเผลอหงุดหงิดใส่ประตูอยู่ดี

“ฮึก ผมงี่เง่ามากใช่ไหม พี่เหมันต์”

เหมันต์ย้ายตัวเองจากพื้นไปบนเตียงแล้วดึงตัวจ้าวมากอดซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรเพราะกำลังร้องไห้จนตัวโยน มือกำแน่นจนเหมันต์ต้องรีบแกะมือจ้าวออกมากุมเองเพราะรู้ดีว่าลึกๆ จ้าวยังคงติดนิสัยทำร้ายตัวเองอยู่

“ไม่ครับ ไม่งี่เง่า”

น้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลทำให้อารมณ์ของจ้าวดีขึ้นนิดๆ

“ผมขอโทษนะ ฮึก จริงๆ ผมก็ไม่อยากงี่เง่าหรอกแต่ผมควบคุมตัวเองไม่ได้เลย”

จ้าวพยายามใช้หลังมือเช็ดน้ำตาตัวเองออก ถึงแม้จะรู้ว่าทั้งหมดทั้งมวลเกิดจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนไปของร่างกายซึ่งตอนนี้ก็นับว่าดีกว่าเมื่อเดือนสองเดือนก่อนมากเพราะเขาแทบไม่ให้พี่เหมันต์ไปไหนเลย ถ้าพี่เหมันต์ไม่อยู่เขาจะรู้สึกไม่ปลอดภัยและหวาดกลัวขึ้นมาทันที ต้องมีพี่เหมันต์อยู่ใกล้ๆ หรือเสื้อที่มีกลิ่นของพี่เหมันต์เท่านั้นถึงทำให้เขาสงบลงได้
แม้แต่เสื้อที่เขาสวมนอนอยู่ตอนนี้ก็คือชุดนอนที่พี่เหมันต์ใส่เมื่อคืน

“ไม่เป็นไรครับ จ้าว พี่เข้าใจ”

มือหนาที่ลูบตัวเองทำให้จ้าวรู้สึกผ่อนคลาย จ้าวกอดเหมันต์แน่นจนใบหน้าจมไปกับแผ่นอกและได้กลิ่นเฉพาะตัวของเหมันต์อย่างชัดเจนจนครางฮือในลำคออย่างพอใจราวกับแมวขี้เกียจสักตัว

“วันนี้อ้อนจัง”

เหมันต์พูดเสียงพร่า มั่นใจมากถ้าหากว่าจ้าวไม่ได้ท้องอยู่หลังจากนี้ต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ๆ

“ผมคิดถึงพี่”

ไม่ว่าเปล่ามือที่เล็กกว่าเอื้อมไปปลดเข็มขัดอย่างซุกซน เสื้อสูทสีดำยับย่นเมื่อถูกร่างโปร่งผลักให้นอนลงบนเตียง จ้าวทิ้งสะโพกตักของร่างสูงและจงใจบดเบียดกับส่วนที่แข็งขืน

“จ้าว” เหมันต์เรียกเสียงเข้มและรั้งมือของจ้าวเอาไว้

“ครับ”

จ้าวหัวเราะก่อนจะโน้มตัวลงจูบปลายคางเหมันต์ นัยน์ตาโศกพราวระยับ

“เดี๋ยววันนี้จ้าวทำให้ครับ”

   

ผ่านไปไม่นานน่านฟ้าก็โตพอที่จะเดินได้ จ้าวลูบหัวเจ้าแฝดที่นอนอยู่ในเปลด้วยรอยยิ้มบางขณะที่มองผู้ชายร่างใหญ่ยักษ์ที่กำลังสวมรองเท้าคู่เล็กให้กับเด็กชาย
   
มันเป็นภาพที่ประหลาดและชวนให้ใจสั่นในขณะเดียวกัน
   
พี่เหมันต์ตัวใหญ่มากเมื่อเทียบกับน่านฟ้าในวัยเพียงขวบเดียวแต่ความใหญ่โตของร่างกายก็ไม่ได้ทำอะไรอีกฝ่ายหยาบกระด้างสักนิด บรรจงจูบฝ่าเท้าลูกชายด้วยความเอ็นดูก่อนจะสวมรองเท้าใบเล็กน่ารักให้
   
“..พ่อ พ่อ”
   
น่านฟ้าพูดงึมงำขณะที่พยายามเดินเตาะแตะไปหาเหมันต์ที่ยืนห่างออกไปไม่กี่ก้าวซึ่งในสายตาของเด็กแล้วมันไกลเอามากๆ จนน้ำตาเริ่มคลอนัยน์ตาโศก
   
“ไม่ร้องนะครับ น้องน่าน” เหมันต์พูดด้วยรอยยิ้มละมุน “เดินมาหาพ่อเร็ว”
   
“งื้อ”
   
น่านฟ้าพยายามฮึบก่อนจะเดินเตาะแตะไปพ่อซึ่งเมื่อพอเดินถึงก็โดนพ่ออุ้มจนตัวลอย เด็กชายหันมาทางจ้าวพยายามอวดจ้าวว่าตัวเองสามารถเดินได้แล้ว
   
“เก่งมากๆ “ จ้าวปรบมือให้ “ไหนลองเดินมาหาแม่บ้างสิ”
   
“พ่ออ งื้อ”
   
น่านฟ้าตีพ่อตัวเองเมื่อถูกหอมแก้มจนรู้สึกเจ็บแถมยังไม่ยอมปล่อยให้เดินไปหาแม่อีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าแรงเด็กๆ ของน่านนั้นไม่ได้ทำให้เหมันต์รู้สึกอะไรสักนิด
   
“คุณพ่ออย่าแกล้งลูกสิครับ” จ้าวเอ็ดเพราะเห็นใบหน้าเล็กๆ ที่มีเค้าคล้ายตัวเองนั้นทำท่าจะร้องไห้อยู่รอมร่อ นัยน์ตาโศกนั้นสั่นระริกไม่หยุด
   
“ก็น่านฟ้าน่ารัก”
   
ไม่ว่าเปล่าเหมันต์หอมแก้มน่านฟ้าอีกฟอดอย่างหมั่นเขี้ยว สำหรับเหมันต์แล้วน่านฟ้านั้นราวกับจ้าวฉบับย่อส่วน ดูน่าเอ็นดูไปแทบทุกส่วน ซึ่งตอนที่เขาเลี้ยงใบไม้ก็ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน นี่อาจจะเป็นความรู้สึกของพ่อคนก็เป็นได้
   
“ฮืออ แม่”
   
ในที่สุดน่านฟ้าก็สะอื้นมือเล็กๆ พยายามดันแก้มพ่อออกอย่างสุดชีวิต
   
“พี่ปล่อยลูก ไม่งั้นผมจะโกรธจริงๆ แล้วนะ”
   
จ้าวพูดเสียงแข็งจนเหมันต์หน้าซีด
   
“พี่ขอโทษๆ โอ๋ๆ น่านอย่าร้องเลยนะครับ พ่อไม่หอมแล้ว พ่อไม่แกล้งแล้ว”
   
จากนักธุรกิจชื่อดังที่มักจะถูกนำไปเป็นปกนิตยสารและให้สัมภาษณ์ตามรายการโทรทัศน์บ่อยๆ ตอนนี้กลายเป็นเพียงพ่อลูกอ่อนที่เลี้ยงลูกไม่ค่อยเป็นและใกล้ถูกไล่ออกจากบ้าน
   
เหมันต์นั่งคอตกดูลูกตัวเองหงอยๆ
   
“ฮึก แม่”
   
ทันทีที่ถูกพ่อปล่อยตัวน่านรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปจ้าวทันที จ้าวรีบอุ้มน่านขึ้นมาโอ๋และมองต้นเหตุตาเขียว พยายามลูบหัวทุยๆ ของน่านฟ้าให้สงบลง
   
“ผมว่าผมบอกพี่หลายรอบแล้วนะ ว่าอย่าแกล้งลูก”
   
“ก็น่านน่ารักนี่นา”
   
เหมันต์แก้ตัวซึ่งมันก็ดูเหมือนจะฟังไม่ขึ้นเท่าไหร่นักเพราะจ้าวยังคงหน้าบึ้ง แต่แน่นอนว่าหลังจากอยู่ด้วยกันมาหลายปีเหมันต์ย่อมมีพัฒนาการและทักษะติดตัวที่แพรวพราว
   
“ไม่โกรธพี่นะครับ”
   
ไม่ว่าเปล่าเหมันต์ก็เดินเข้าไปใกล้และหอมแก้มจ้าวแทนน่าน แน่นอนว่ามันทำให้จ้าวหน้าแดงเถือกเพราะไม่บ่อยนักที่อีกฝ่ายจะแสดงความรักแบบตรงๆ แบบนี้
   
“..ถ้าพี่ไม่อยากให้ผมโกรธก็เลิกแกล้งลูกสักที”
   
สุดท้ายจ้าวก็อดที่จะบ่นอุบไม่ได้อยู่ดีเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเก็บกดมาจากไหนถึงได้ชอบแกล้งลูกจนร้องไห้บ่อยๆ ทั้งๆ ที่ก็ดูไม่ใช่คนที่ขี้แกล้งอะไรขนาดนั้น
   
“พี่ไม่ได้แกล้ง พี่แค่เล่นกับลูก”
   
จ้าวยังไม่ทันเอ็ดเหมันต์ต่อก็มีเสียงเล็กๆ ขัดขึ้นมา
   
“โป้ง!”
   
น่านฟ้าชูนิ้วโป้งใส่เหมันต์ด้วยสีหน้าบึ้งตึง
   
จ้าวเบิกตากว้างก่อนที่จะหลุดหัวเราะออกมาผิดกับเหมันต์ที่ทำหน้าไม่ค่อยถูกนัก
   
เพราะถ้าจะนับจริงๆ นี่คงจะเป็นคำที่สามที่น่านพูดได้และมันก็เป็นคำที่จ้าวลองสอนน่านไปเล่นๆ ไม่กี่ครั้งเท่านั้น ซึ่งเขาก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าน่านฟ้าจะจำได้และเอามาใช้จริงๆ
   
ซึ่งมันก็ทำให้จ้าวขำจนตัวสั่น
   
“พ่อนิสัยไม่ดีใช่ไหมครับ น่าน คนแบบนี้เราต้องโป้งเนอะ”   
   
“โป้ง!”
   
น่านฟ้าพยักหน้าหงึกๆ ชูนิ้วโป้งใส่พ่อตัวเองที่ชอบแกล้งไม่หยุด
   
“โป้งพ่อไม่ได้นะครับ น่าน”
   
เหมันต์จับมือเล็กๆ ของน่านมาจูบซึ่งมันก็ทำให้เด็กชายหัวเราะคิกคักด้วยความจั๊กจี๊
   
“โป้ง พ่อ ระวังพ่อร้องไห้นะ”
   
พูดถึงตรงนี้เหมันต์ก็หยุดจูบมือลูกและตีหน้าเศร้า
   
“…พ่อ”
   
แน่นอนว่าน่านฟ้ายังเด็กจึงเชื่ออย่างสนิทใจว่าพ่อจะร้องไห้จริงๆ จึงรีบเก็บมือแล้วกอดมือพ่อเอาไว้ ใบหน้าเล็กๆ เบะออกจะร้องไห้อีกครั้งเมื่อเพราะไม่อยากให้พ่อต้องร้องไห้
   
“พ่อ พ่อ”
   
“ครับ พ่อไม่ร้องไห้แล้ว”
   
เหมันต์หัวเราะอย่างเอ็นดูก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างออกมาซึ่งนั่นก็ทำให้จ้าวอดที่จะยิ้มตามไม่ได้
   
เพราะเขาเหมือนจะเห็นพ่อที่มีความสุขที่สุดในโลกอยู่ตรงหน้า

   
ฮอลล์ขนาดใหญ่ถูกปรับแต่งให้หรูหราเมื่อเป็นงานประกวดวาดภาพระดับประเทศภายใต้หัวข้อ ‘อนาคตในฝัน’ เนื่องด้วยเงินรางวัลที่มากและมีคนใหญ่คนโตมาร่วมงานทำให้งานค่อนข้างฟุ้งเฟ้อเพื่อเป็นหน้าเป็นตาให้กับประเทศนอกจากนี้ยังมีการเรียนเชิญให้เหล่าศิลปินต่างประเทศชื่อดังมาร่วมเปิดงานและกล่าวสุนทรพจน์เพื่อสร้างแรงบันดาลใจกับเหล่าเยาวชนที่จะมาเป็นแรงขับเคลื่อนประเทศในอนาคต
   
ซึ่งแน่นอนว่าการที่งานประกวดวาดภาพนี้ได้การเป็นงานระดับประเทศได้นั้นล้วนมีเหตุผลมาจากนโยบายใหม่ของรัฐบาลชุดใหม่ที่เลือกที่จะสนับสนันประสิทธิภาพเด็กทุกๆ คนในทุกด้าน ไม่ว่าจะไหนศาสตร์ใดๆ ก็ตาม ผิดกับในรัฐบาลยุคก่อนการปฏิวัติที่เน้นสนับสนันด้านทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาตร์เพียงอย่างเดียวซึ่งก็สนับสนุนแค่เพียงไปแข่งขันเพื่อเอาเหรียญรางวัลเท่านั้น เหล่าเยาวชนที่เปี่ยมไปด้วยทักษะและคุณภาพนั้นก็ไม่ได้รับโอกาสในการพัฒนาตัวเองและประเทศชาติต่อจนในที่สุดก็ไปจบแค่เป็นนักวิชาการหรือข้าราชการในสายงานทั่วไปเท่านั้น
   
ทำให้ในงานประกวดครั้งนี้นั้นคราคร่ำไปด้วยเยาวชนจำนวนมาก ทุกคนเปี่ยมไปด้วยฝันและพลังอันเต็มเปี่ยมเพราะหากชนะการแข่งขันได้ก็จะได้รับทุนการศึกษาซึ่งสามารถเอาไปใช้ต่อยอดในการศึกษาด้านศิลปะหรือแขนงอื่นที่ตัวเองชื่นชอบได้อีกด้วย
   
และแน่นอนว่าเมื่อมีงานใหญ่เกิดขึ้นของคู่กันก็ย่อมเป็นนักข่าวที่มาคอยทำงานเพื่อประชาสัมพันธ์และเพิ่มเรตติ้งให้กับรายการของตัวเอง บริเวณหน้างานจึงมีนักข่าวมาสัมภาษณ์เหล่าคนดังและนักการเมืองอยู่เป็นพักๆ ซึ่งก็มีหลายคนที่เหล่านักข่าวเมินและก็มีอีกหลายคนเช่นกันที่ให้ความสนใจจนมากเกินความจำเป็น
   
หากแต่เวลาก็เหมือนหยุดลงเมื่อรถคันหนึ่งมาหยุดที่พรมแดงและแต่ละร่างก้าวลงจากลงรถด้วยตัวเองโดยไม่รอให้คนติดตามมาเปิดประตูรถให้เหมือนคันอื่นๆ
   
“…คุณเหมันต์ก็มาด้วย?”
   
นักข่าวหนุ่มคนหนุ่มหลุดเหวออกมาอย่างตกตะลึงเพราะไม่รู้ข่าวมาก่อนว่าคุณเหมันต์จะมา ไม่สิ ไม่รู้เลยว่าจะมากันทั้งครอบครัวแบบนี้!   
   
ร่างสูงใหญ่ที่สุดในบรรดาหกคนอยู่ในชุดสูทสีดำซึ่งถูกสั่งตัดด้วยช่างตัดเสื้อประจำตระกูล การตัดเสื้อสูทจึงเต็มไปด้วยความประณีตและพิถีถันเพื่อทำให้ผู้ที่สวมใส่ออกมาดูดีที่สุด ทำให้เหมันต์ที่แม้จะเข้าสู่อายุห้าสิบกว่าแล้วก็ยังคงความสมบูรณ์แบบเอาไว้ได้อย่างเต็มครบครันไม่ต่างกับตอนที่ยังเป็นวัยกลางคนเลยแม้แต่นิดเดียว ใบหน้าหล่อเหลาคมคายนั้นถึงแม้จะมีร่องรอยของการเวลาแต่กลับทำให้ใบหน้านั้นดูทรงภูมิมากยิ่งขึ้น นัยน์ตาสีเทาอันเป็นเอกลักษณ์ของตระกูลกิลลาสยังคงเป็นทอความดุดันออกมายามที่สบสายตากับผู้อื่น หากแต่สิ่งที่ทำให้คนสนใจมากที่สุดคือมือหนาที่กอบกุมมือเล็กๆ ของเด็กหญิงหน้าตาน่ารักในชุดกระโปรงสีขาว
   
ซึ่งก็คือน้อง ‘พอใจ’ นั่นเอง
   
นักข่าวพากันลั่นชัตเตอร์กันแทบจะทันทีโดยไม่ต้องคิดเพราะหลังจากที่จ้าววางมือจากเป็นนักร้องไปอยู่เบื้องหลังแทนก็แทบจะไม่มีข่าวคราวของครอบครัวนี้หลุดออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว เอาเข้าจริงแค่ข่าวการแต่งงานของจ้าวกับเหมันต์กว่าที่นักข่าวและสังคมภายนอกรู้ก็สองสามปีให้หลังแล้วอีกทั้งเพิ่งรู้ตอนที่เหมันต์เป็นคนบอกเองด้วย
   
เรียกว่าตระกูลกิลลาสตอนนี้ค่อนข้างลึกลับสุดๆ แทบไม่มีนักข่าวสำนักไหนที่สามารถหาข่าววงในจากตระกูลนี้ได้เลย สิ่งที่พวกเขาทำได้ก็มีแค่พยายามทำข่าวตอนที่พวกเขาเหล่านี้ปรากฏตัวเท่านั้น
   
“ขอทางหน่อยครับ”
   
เสียงพูดอย่างเย็นชาดังขึ้นเมื่อมีนักข่าวบางส่วนพยายามที่จะเข้าไปสัมภาษณ์คนของตระกูลกิลลาสแต่น่าเสียดายที่พวกเขาก็ช้าไปกว่าเหล่าบอดี้การ์ที่ถูกจัดจ้างมา เพียงแค่ขยับตัวพวกเขาก็จะเข้ามาขวางทันทีเพราะมันเป็นคำสั่งของนายใหญ่ที่สั่งไว้ว่าห้ามใครก็ตาม ‘แตะต้อง’ ครอบครัวของเขาไม่ว่าจะในรูปแบบใดๆ ก็ตาม
   
“คนเยอะชะมัด”
   
เมฆหรือหนึ่งในเจ้าแฝดบ่นอุบเมื่อเห็นคนจำนวนมากในงาน ซึ่งเจ้าตัวนั้นก็อยู่ในชุดสูทสีเทาลายทางที่ขนาดเข้ากับรูปร่างสูงใหญ่แบบเดียวกับพ่อ ผมที่ถูกเซ็ตมาอย่างดีนั้นขับให้รูปลักษณ์ของเมฆนั้นดูโดดเด่นออกมาแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในวงการบันเทิงก็ตาม นัยน์ตาสีเทาหม่นกลอกไปมาอย่างเบื่อหน่ายเพราะงานสังคมเป็นงานที่ทั้งเขาทั้งหมอกเกลียดเข้าไส้ ก่อนที่ร่างใหญ่ๆ ของเมฆจะขยับไปบังแม่ของตัวเองไว้อย่างหวงแหนช่วยเหล่าบอดี้การ์ดอีกแรง
   
“ขอบคุณนะ เมฆ”
   
จ้าวพูดด้วยรอยยิ้มนุ่มนวลขณะที่เดินตามหลังคนรักของตัวเองไปอย่างใจเย็นและส่งยิ้มให้กับเหล่าสื่อมวลชนอยู่เป็นช่วง อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าเขาจะประกาศถอนตัวจากการเป็นนักร้องเต็มตัวมาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแทนก็ยังต้องพึ่งพาเหล่านักข่าวอยู่ดี ซึ่งในระหว่างที่เดินก็แอบจัดคอเสื้อสูทสีชมพูอ่อนของตัวเองให้ตรงขึ้นเพราะเมื่อกี้เผลองีบบนรถจนทำให้เสื้อยับไปหมด
   
“ไหวไหมครับ?”
   
หมอกซึ่งเดินกั้นอยู่อีกฝั่งถามจ้าวอย่างเป็นห่วงเพราะช่วงนี้เริ่มเข้าหน้าหนาวและอากาศค่อนข้างเย็นทำให้แม่ของเขาเป็นหวัดมาได้สองสามวันแล้ว นัยน์ตาสีเทาที่หม่นพอๆ กับเมฆมองทางจ้าวเดินไม่วางตาพยายามช่วยระมัดระวังไม่ให้สะดุดอะไร
   
“ไหวครับ ไหว”
   
จ้าวหัวเราะในลำคอกับความเป็นห่วงเกินเหตุของเจ้าแฝดที่ยอมลงทุนมางานสังคมที่เกลียดกันนักหนา ซึ่งเจ้าแฝดทั้งสองของเขาก็ดูดีมากเพราะแทบไม่มีอะไรเหมือนเขาเลยแม้แต่นิดเดียว จนเขาอยากรู้ว่ารับพันธุกรรมมาจากพ่ออย่างเดียวหรือยังไง
   
แต่ในความเป็นแฝดเจ้าแฝดก็ยังไม่พอใจในความเป็นแฝด เมฆเลือกที่จะใส่สูทสีเทาลายทางในขณะที่หมอกใส่สูทสีน้ำเงินอีกทั้งยังจงใจสวมแว่นกรอบบางที่ขับให้ใบหน้าดูต่างกับอีกคนแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าทรงสเน่ห์พอๆ กัน
   
“..ซิน?”
   
หากแต่เมื่อเข้ามาในงานและลงทะเบียนเสร็จ โลกก็ยังคงความกลมได้อย่างเสมอต้นเสมอปลายเพราะข้างๆ ที่กำลังลงทะเบียนอยู่ก็คือซินที่มาคนเดียวพอดีซึ่งจ้าวก็ค่อนข้างมั่นใจว่าคงจะคุยกันอีกสักพักใหญ่ๆ เนื่องจากไม่ได้เจอตัวจริงกันมาค่อนข้างนานมากจึงหันไปลูบหัวน่านฟ้าหรือ ‘ตัวเอก’ ของงานประกวดวาดภาพในวันนี้เพื่อให้กำลังใจก่อนที่ลูกชายคนโตของเขาจะแยกตัวออกไป
   
“สู้ๆ นะครับ น่านฟ้า”
   
จ้าวยิ้มขณะสบกับนัยน์ตาโศกแบบเดียวกับตนที่ดูมีความกังวลใจอย่างเห็นได้ชัด แววตาสีเทาสั่นระริกอย่างประหม่าและตื่นคน ผมสีดำขลับยุ่งเหยิงนิดๆ จนจ้าวอดไม่ได้ที่จะช่วยจัดให้อย่างเบามือ
   
“ผม ผมกลัวพูดไม่ได้”
   
น่านฟ้าพูดเสียงเบา มือบางกำชายเสื้อสูทสีขาวสะอาดตาของตัวเองแน่นโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าของน่านฟ้านั้นยิ่งโตก็ยิ่งคล้ายกับจ้าวโดยเฉพาะกับนัยน์ตาโศกที่ตอนนี้แทบบจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
   
ทั้งๆ ที่อายุมากกว่าเจ้าแฝดแต่จ้าวกลับมองว่าน่านฟ้าเด็กกว่าซะอีก
   
“ไม่ต้องกลัว แค่เต็มที่กับมันก็พอ”
   
จ้าวดึงตัวน่านฟ้ามากอดปลอบอย่างอดไม่ได้เพราะเข้าใจความรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองของน่านฟ้าดี มันมักจะเกิดขึ้นกับเขาอยู่เสมอในตอนที่ยังอายุเท่าน่านฟ้า ภายนอกเขาอาจจะดูมั่นใจทุกครั้งที่ร้องเพลงแต่ทุกครั้งที่ร้องจบเขาก็มักจะมานั่งทบทวนว่าตัวเองร้องได้ดีจริงๆ อย่างที่คนอื่นว่าหรือเปล่า ซึ่งของแบบนี้ก็ใช้เวลาพักใหญ่กว่าที่เขาจะยอมรับว่าตัวเองสามารถร้องเพลงได้ดีจริงๆ ไม่ใช่เพราะโดนยอ
   
“กลัวอะไรพี่น่าน เมื่อคืนผมกับหมอกก็ซ้อมให้พี่ไปแล้วนะ”
   
เมฆเลิกคิ้วพูดกวนๆ โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเป็นพี่ตัวเองหรือไม่และแน่นอนว่าโดนมองค้อนทันทีที่พูดจบ
   
“มันไม่เหมือนกัน”
   
น่านฟ้ามองน้องชายตัวเองอย่างเหนื่อยใจแต่ก็รู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อยเมื่อเจ้าแฝดพยายามจะยัดตัวเองเข้ามาในงานด้วย
   
“ไม่เหมือนอะไร พี่ก็แค่พูดๆ อะไรไม่รู้ของพี่ที่ผมฟังแล้วงงอ่ะ อันนั้นแหละ พูดเลยเยอะๆ คนชอบ”
   
“หมอก..”
   
จากอารมณ์ประหม่าเริ่มกลายเป็นเซ็ง น่านฟ้าถอนหายใจแรงๆ กับความกวนระดับร้อยของเหล่าน้องชายแต่ถึงกระนั้นมันก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเยอะ
   
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
   
น่านฟ้าพูดก่อนที่จะเดินไปหาสตาฟ์ที่มายืนรอได้สักพักโดยลืมบางอย่างไปเสียสนิทเลยทีเดียว
   
“จ้าว แล้วน่านล่ะ”
   
เหมันต์ซึ่งพาพอใจไปห้องน้ำกลับมาด้วยสีหน้างุนงงเพราะเตรียมคำพูดมาพูดให้กำลังใจลูกแล้วและพบว่าลูกชายสุดรักสุดหวงหายไป
   
“ไปเตรียมตัวแล้ว พี่กลับมาไม่ทัน” จ้าวหัวเราะและจัดการดันหลังเจ้าแฝดทั้งสองไปกองรวมกับพ่อและพอใจ “ไปนั่งกันก่อนไป ขอแม่คุยกับเพื่อนก่อน”
   
“ครับ”

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
สองแฝดพยักหน้าหงึกหงักอย่างเชื่อฟังผิดกับพอใจที่ใช้จังหวะที่พ่อเผลอวิ่งมาหาจ้าวและซิน ซึ่งเป้าหมายของพอใจก็คือซินที่กำลังยืนยิ้มนิดๆ ด้วยความอารมณ์ดี
   
“พี่ซินน”
   
พอใจเกาะหมับที่ขาซินราวกับลูกโคอาล่าและเรียกซินด้วยน้ำเสียงดีใจเอามากๆ
   
“คิดถึงพอใจไหมคะ”
   
“ครับๆ พี่ซินคิดถึงพอใจครับ”
   
ปกติแล้วซินจะมีสีหน้าไม่ค่อยรับแขกนักเมื่ออยู่กับเด็กคนอื่นที่ไม่ใช่ลูกของตัวเองแต่ถ้าเด็กคนนั้นเข้าหาอย่างถูกวิธีด้วยการเรียกว่า ‘พี่ซิน’ ซินจะค่อนข้างอารมณ์ดีมากๆ เพราะตอนนี้ช่วงอายุเริ่มไกลคำว่าพี่เข้าไปทุกที
   
ซินเอ่ยทักทายและเล่นกับพอใจได้สักพัก จ้าวก็ให้เหมันต์เอาพอใจไปดูแลต่อเพราะค่อนข้างอยากคุยกับซินที่ไม่ได้เจอกันมานานมากจริงๆ ซึ่งเหมันต์ก็ไม่ได้เอ่ยทักท้วงอะไรยอมพาลูกๆ ไปนั่งก่อนแต่โดยดี
   
“ช่วงนี้เป็นไงบ้าง”
   
เป็นซินที่เปิดประเด็นขึ้นมาก่อนและมองจ้าวที่แปลกตาไปจากครั้งล่าสุดที่เจอกัน เพราะจ้าวในตอนนี้นั้นไว้ผมยาวถึงกลางหลังและรวบไว้หลวมๆ ด้วยริบบิ้นสีเรียบขาวซึ่งก็ดูเข้ากันดีกับสีของสูทที่ค่อนข้างสบายตา แต่สิ่งที่ยังคงเหมือนเดิมก็นัยน์ตาโศกและรอยยิ้มที่ระบายบนใบหน้า
   
จ้าวในตอนนี้ยังคงมีความสุขเหมือนครั้งที่ล่าสุดที่เจอกัน..
   
ความคิดนี้ทำให้ซินรู้สึกใจอุ่นวาบ สัมผัสได้ถึงความปิติยินดีเงียบๆ ของตัวเอง
   
“ก็ดี ทุกอย่างก็เรื่อยๆ ”
   
จ้าวตอบเสียงเนือยก่อนที่เป็นฝ่ายสังเกตซินบ้างและพบว่าซินไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยสักนิดนอกจากบุคลิกที่ดูเหมือนจะใจเย็นขึ้น “แล้วซินล่ะ”
   
ซินไหวไหล่ “ลีโอกำลังเรียนดนตรีอยู่แต่พ่อมันไม่อยากให้เรียนเลยโวยวายจะไม่ส่ง แต่ไม่ต้องห่วงนี่จัดการพ่อมันละ ถ้าพ่อมันไม่ส่งก็เรื่องของมัน เดี๋ยวนี่ส่งเอง”
   
จ้าวหลุดหัวเราะเพราะคำตอบสมกับเป็นซินมากจริงๆ
   
นัยน์ตาโศกมองซินด้วยความรู้สึกชื่นชม  ไม่ว่าตอนไหนซินที่เขารู้จักก็เป็นคนที่เก่งและยืนได้ด้วยตัวเองเสมอ เป็นคนที่สามารถถีบตัวเองจากจุดที่ต่ำต้อยที่สุดไปยังจุดที่แทบจะสูงสุดของสังคมได้อย่างเก่งกาจ
   
“เออ แล้ววันนี้มาได้ไง”
   
ซินสังเกตเห็นถึงท่าทีของจ้าวก็อดรู้สึกเขินไม่ได้จึงพยายามเบี่ยงประเด็นไปที่อื่น
   
“น่านฟ้าเข้ารอบแปดคนสุดท้ายน่ะ เลยได้รับเชิญมาร่วมด้วย”
   
แน่นอนว่าซินไม่ได้ประหลาดใจนักเพราะน่านฟ้าก็มีดูมีแววมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ไหนจะของขวัญที่เขาซื้อให้เป็นสมุดรวมภาพของต่างประเทศทุกปีอีก
   
“แล้วเลิกย้อมผมแล้วเหรอ”
   
ซินยิงคำถามอีกซึ่งอันนี้เป็นคำถามไร้สาระมากกว่าจริงจัง
   
จ้าวหัวเราะและใช้นิ้วม้วนปลายผมสีดำของตัวเองเล่น “อยากย้อมนะแต่พี่เหมันต์ไม่ให้ย้อมแล้ว”
   
“คำถามสุดท้าย” ซินถามอย่างระมัดระวังเพราะข่าวคราวที่รับล่าสุดเกี่ยวกับจันทร์คืออีกฝ่ายกลับมาเดินได้ปกติแล้ว “จันทร์เป็นยังไงบ้าง”
   
“ตอนนี้ก็ยังคบกับคุณสุริยะอยู่” จ้าวตอบแทบจะทันทีด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอยากเจอก็ต้องลงไปแถวเกาะพีพี คุณสุริยะมีบ้านพักตากอากาศที่นั่นก็เลยพาจันทร์ไปอยู่ด้วย”
   
ท่าทีตอบรับของจ้าวทำซินประหลาดใจเพราะคิดว่าทั้งคู่ยังคงมีความสัมพันธ์ที่ไม่ลงรอยกันนัก ถึงแม้เรื่องทุกอย่างเหมือนจะคลี่คลายแต่เขาก็รู้ว่าความสัมพันธ์ที่เคยแตกฉานมันก็ยากที่จะกลับไปเป็นเหมือนเดิมทุกประการ
   
“เมื่อเดือนก่อนก็เพิ่งไปเยี่ยมมา จันทร์เปิดร้านอาหารด้วยล่ะ ซิน คนเยอะมาก”
   
ซึ่งจ้าวก็รู้ความจริงข้อเดียวกับซินดีจึงพยายามฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับจันทร์ด้วยการไปเยี่ยมอีกฝ่ายบ่อยๆ และพาครอบครัวไปด้วย แน่นอนว่าครั้งนี้ไม่ใช่เป็นความพยายามเพียงฝ่ายเดียวของจ้าวอีกต่อไปเพราะจันทร์ก็ยอมให้อภัยตัวเองและกลับมาคืนดีกับจ้าว
   
มันอาจจะเป็นอะไรที่ยากแต่ต่างฝ่ายก็ต่างแก่ลงทุกวัน มันจึงไม่มีประโยชน์อะไรที่มาจดจ่ออยู่กับความแค้นที่เคยทำร้ายกันมาก่อน โดยเฉพาะกับจันทร์ที่เคยผ่านความตายมาแล้วครั้งหนึ่งย่อมรู้ค่าของเวลาดีว่าควรเอาไปทำอย่างอื่น
   
พวกเขาใช้ชีวิตอยู่กับความแค้นและความเกลียดชังมามากเกินพอแล้วจริงๆ
   
“เหรอ ดีจัง” ซินยิ้มออกมาอย่างยินดีโดยไม่ปิดบัง “งั้นขอตัวก่อนนะจ้าว ไว้คุยกันใหม่ งานใกล้จะเริ่มแล้ว”
   
“โอเค ไว้ค่อยคุยกัน”
   
จ้าวพยักหน้ารับก่อนที่จะเดินไปยังที่นั่งของตัวเองโดยมีสตาฟ์คอยนำทางให้ซึ่งที่นั่งก็อยู่บริเวณแถวหน้าใกล้กับเวทีและแน่นอนว่าโดนล็อคที่ให้นั่งข้างคุณเหมันต์ที่นั่งขมวดคิ้วอยู่
   
“โกรธใครเหรอครับ”
   
เมื่อทิ้งตัวข้างๆ จ้าวก็แกล้งถามทันทีถึงแม้จะรู้ว่าเหตุผลมาจากตัวเองก็ตาม
   
“ไม่ได้โกรธแค่เป็นห่วง จำไม่ได้เหรอว่าตัวเองยังไม่หายเป็นหวัดเลย”
   
เหมันต์พูดก่อนที่จะใช้หลังมืออังตามคอของจ้าวตามความเคยชินซึ่งอุณภูมิร่างกายที่ยังคงอุ่นๆ เหมือนมีไข้ของจ้าวก็ทำให้คิ้วที่เริ่มคลายออกขมวดอีกครั้ง
   
“ผมแค่เป็นหวัดเอง”
   
จ้าวบ่นไม่จริงจังนักและใช้ประโยชน์จากความมืดสลัวในห้องโถงซบกับไหล่อีกฝ่าย
   
“เป็นมาสามวันแล้ว”
   
เหมันต์ก็ยังคงเอ็ดเสียงดุแต่จ้าวก็ไม่สนใจเพราะมัวแต่มองเหล่านักดนตรีในชูทสูทเรียบร้อยกำลังบรรเลงดนตรีสดด้วยความเพลิดเพลินซึ่งเหล่านักดนตรีนั้นก็ได้จับจองพื้นที่บริเวณมุมซ้ายของเวทีคอยขับกล่อมบรรยากาศไม่ให้น่าเบื่อหรือตึงเครียดเกินไป
   
และเมื่อถึงเวลาเสียงของเครื่องดนตรีก็ค่อยๆ เบาลงพร้อมกับไฟในห้องโถงที่ดับไปก่อนที่จะปรากฎเป็นเพียงวงเดียวบริเวณที่พิธีกรหนุ่มสาวในชุดสูทดำและเดรสสีขาวยืนอยู่
   
[ ก็ต้องขอกราบสวัสดีและยินดีต้อนรับเหล่าผู้มีเกียรติ์ทุกท่านที่ได้มาให้เกียรติ์มาร่วมงานในวันนี้นะคะ ]
   
เสียงพิธีกรดังขึ้นอันเป็นสัญญาณของการเริ่มงาน เหล่าผู้ชมที่เคยมีท่าทีเบื่อหน่ายบางส่วนก็กลับมาให้ความสนใจกับงานอีกครั้งด้วยการดำเนินรายการของพิธีกรมากฝีมือทั้งสองคน ถึงแม้จะเป็นงานที่ค่อนข้างเป็นทางการแต่ก็ยังสามารถทำให้ผู้มาชมงานนั้นรู้สึกสนุกไปด้วยได้
   
แต่น่าเสียดายที่ทุกอย่างก็ล้วนมีข้อยกเว้นเช่นกัน
   
“…ถ้าถึงคิวน่านพูด ปลุกผมด้วยนะ”
   
ถึงแม้จะรู้ว่าเสียมารยาทแต่จ้าวก็ทนความง่วงของตัวเองไม่ไหว จัดการดึงแขนหนาของเหมันต์มากอดและยึดบ่าที่ไม่ค่อยนุ่มสักเท่าไหร่เป็นหมอน
   
“..อืม”
   
ภายใต้ความมืดสลัวที่แทบจะมองมือตัวเองไม่เห็นแต่เหมันต์กลับเห็นคนรักของตัวเองได้อย่างชัดเจนและอดไม่ได้ที่จะลูบหัวเบาๆ อย่างเอ็นดู เอาเข้าจริงถ้าหากวันนี้ไม่ใช่วันสำคัญของน่าน เขาคงไม่อนุญาตให้จ้าวออกจากห้องซ้ำเพราะอาการหวัดของจ้าวที่ดูไม่ค่อยดีนัก
   
“ถ้าพรุ่งนี้ยังไม่หาย พี่จะให้หมอมาตรวจแล้วนะ”
   
ร่างสูงพูดเสียงกระซิบกับจ้าวก่อนที่จะพบว่าอีกฝ่ายผลอยหลับไปแล้วจึงไม่ได้พูดอะไรต่อและตั้งใจดูสิ่งที่อยู่บนเวทีแทน ซึ่งตอนนี้ก็ดำเนินไปสักพักหนึ่งแล้ว มีคนดังมากมายที่มาช่วยเปิดงานทั้งศิลปินแห่งชาติ ศิลปินจากต่างประเทศ และนายกคนปัจจุบันที่หนึ่งในแรงสนับสนุนสำคัญสำหรับงานในวันนี้
   
เหมันต์มองสิ่งที่เกิดขึ้นบนเวทีด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่ได้รู้สึกสนุกหรืออะไรมากมายนัก แต่ก็ยังคงจดจ่อและเฝ้ารอลูกชายของตัวเองออกมายืนในเวทีบ้าง ถึงแม้ภายนอกจะดูเฉยๆ แต่ในใจของเหมันต์นั้นกลับดีใจเอามากๆ ที่น่านฟ้าติดการประกวดในวันนี้
   
รอไปพักใหญ่ในที่สุดก็มาถึงช่วงที่เหล่าเยาวชนจะได้ขึ้นเวทีเพื่อโชว์ผลงานและกล่าวถึงแรงบันดาลใจที่ทำให้สร้างสรรค์งานเหล่านี้ออกมา ซึ่งคนที่ได้นำเสนอผลงานเป็นคนแรกในแปดคนนั้นคืออัลฟ่าร่างโปร่งวัยสิบแปดปี ร่างโปร่งพูดทักทายเหล่าผู้ชมและคณะกรรมการอย่างคล่องแคล่วตามที่ได้ซักซ้อมมาก่อนที่จะแนะนำตัวเอง
   
 “สวัสดีครับ ผมชื่อชวิศา เจนตุรงค์”
   
ชวิศาหรือเจ้าแห่งเชาวน์ปัญญาพูดรอยยิ้มมีเลศนัยก่อนที่จะผายมือไปด้านหลัง
   
“และนี่คือผลงานของผมครับ”
   
เพียงชั่วพริบตาที่แสงสว่างสาดไปที่ผลงานก็เกิดเสียงฮือฮาของเหล่าผู้ชมดังกึกก้อง ความยิ่งใหญ่ของผลงานเล่นเอาเหล่าสื่อมวลชนที่ได้รับอนุญาตให้ถ่ายทอดสดควบคุมมือของตัวเองกันแทบไม่ได้รีบกดชัตเตอร์กันยกใหญ่
   
เพราะสิ่งที่ชวิศาได้รังสรรค์ออกมานั้นเป็นภาพวาดสีน้ำอะคริลิคบนผืนผ้าขนาดห้าเมตรคูณห้าเมตรด้วยรายละเอียดที่เยอะมากในทุกตารางนิ้วและการใช้สีคู่ตรงข้ามที่จัดจ้านซึ่งทำให้เหล่าศิลปินมองอย่างสนใจ
   
“ชื่อของผลงานก็คือ ‘แหล่งสถิตของอีกา’ ครับ”
   
เหล่าอีกาที่ชวิศากล่าวถึงนั้นคืออีกาสีขาวและดำจำนวนมหาศาลที่ปรากฎบนผืนผ้า มันเกาะอยู่ทุกหนทุกแห่งไม่ว่าจะบนตึกอารามบ้านช่องสีสันสดใสที่ดูทันสมัย รถราสีประหลาดที่วิ่งอยู่บนถนนหรือไม่เว้นแม้แต่บนหัวของผู้คนที่เดินกันขวักไขว่ในภาพแต่กลับไม่รับรู้สักนิดถึงตัวตนของเหล่าอีกา
   
“แรงบันดาลใจที่ทำให้ผมวาดภาพนี้ขึ้นมาคือครอบครัวของผมครับ” ชวิศาหลับตาเพื่อหวนนึกถึงครอบครัวเองเพียงครู่เดียวก่อนที่จะลืมตาขึ้นมาอีกครั้งด้วยอารมณ์ที่เปลี่ยนไป “ครอบครัวของผมเป็นครอบที่ครัวที่ตายไปในการปฏิวัติครับ ผมเสียไปทั้งพ่อและแม่เพียงเพราะตอนนั้นท่านเป็นอัลฟ่าครับ แต่ด้วยสถานการณ์ตอนนั้นผมก็เข้าใจได้ว่าอัลฟ่าส่วนใหญ่ได้ทำผิดร้ายแรงจริงๆ และพ่อแม่ของผมท่านก็เข้าข่ายด้วยเหมือนกัน”
   
แววตาของชวิศานั้นไม่มีความแค้นใดๆ จนคนมองหลายคนประหลาดใจ
   
“พวกท่านตายในเหตุการณ์วางระเบิดของกลุ่มอีกาครับ ผมหาศพของพวกท่านไม่เจอด้วยซ้ำเพราะตึกถล่มลงมาจนมีคนเสียชีวิตเยอะมาก” เมื่อพูดถึงตรงนี้แววตาของชวิศาก็สั่นระริก “ผมยอมรับว่าตอนเด็กๆ ผมแทบกลายเป็นบ้าเพราะพวกท่านดีกับผมมากและผมยังเด็กเกินกว่าที่จะยอมรับความสูญเสียได้”
   
ชั่ววินาทีหนึ่งที่เกือบจะร้องไห้ออกมาชวิศาก็รับรู้ถึงอะไรบางอย่างที่ลูบหัวตัวเองเบาๆ อย่างอ่อนโยน นัยน์ตาสีน้ำตาลจึงกลับมาเป็นประกายเข้มแข็งอีกครั้ง
   
“แต่ในที่สุดผมก็ผ่านมันมาได้ครับและสิ่งที่ผมอยากจะบอกทุกคนผ่านผลงานของผมคือผมไม่อยากให้ทุกคนลืมเหล่าวีรบุรุษและบุคคลที่สูญเสียไปกับเหตุการณ์ปฏิวัติครับ ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมวาดอาจจะไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับหัวข้อเท่าไหร่แต่สำหรับผมแล้ว ผมอยากให้อนาคตของผมในวันข้างหน้าและทุกๆ วันที่ผมยังมีหายใจ ผมอยากให้ทุกคนระลึกถึงกลุ่มคนฝั่งอัลฟ่าที่สูญเสียไปด้วยครับ ถ้ากลุ่มอีกาเป็นอีกาดำแสนอิสระ ผมก็อยากให้พ่อแม่ของผมและเหล่าอัลฟ่าเป็นอีกาสีขาวบริสุทธิ์บินร่วมกับทุกคน”
   
ในห้องโถงตกอยู่ในความเงียบตั้งแต่ที่ชวิศาเริ่มพูดจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครพูดอะไรออกมาเช่นเดิมเพราะประเด็นนี้ประเด็นที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนและมีหลายคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยจึงอดสะเทือนใจไม่ได้ ถึงแม้เหตุการณ์จะผ่านมาร่วมสิบปีแล้วแต่เหตุการณ์เหล่านั้นก็ยังชัดเจนในความทรงจำหลายๆ คน หากแต่ขณะเดียวหลายๆ คนก็เริ่มลืมเลือนแม้ว่าจะมีการจัดงานรำลึกทุกปีก็ตาม
   
พวกเขาเพิกเฉยกับเรื่องเหล่านี้มานานจนตอนนี้ต้องมารู้สึกหน้าชาเมื่อถูกเด็กที่เป็นคราวลูกของตัวเองมาย้ำเตือนถึงสิ่งสำคัญเหล่านี้ที่ต้องแลกด้วยชีวิตคนนับพันไปซึ่งหนึ่งในคณะกรรมการก็เป็นอีกคนที่หน้าชาเช่นกัน จึงค่อนข้างประทับใจกับภาพของชวิศาและเพิ่มชวิศาเป็นคนที่มีโอกาสได้รับรางวัลในใจ
   
ชวิศาพูดบรรยายต่ออีกสักพักก่อนที่จะลงจากเวทีไปพร้อมกับเสียงปรบมือกึกก้องของเหล่าผู้ชม แน่นอนว่ามันเป็นไม่กี่ครั้งในชีวิตชวิศาที่ได้รับการตอบรับที่ดีขนาดนี้จึงอดที่จะหลั่งน้ำตาด้วยความดีใจไม่ได้ เพราะทุ่มเทพลังไปกับผลงานชิ้นนี้มากพอสมควร ทั้งการลงฝีแปรงที่อัดแน่นไปด้วยอารมณ์  การใช้ทดลองใช้เทคนิคใหม่ๆ ในผลงาน การผสมสีสันจัดจ้านที่ไม่ใช่แนวทางที่ตัวเองถนัดแต่ก็พยายามที่จะทำมันออกมาเพื่อให้ได้ผลงานที่ดีที่สุด ซึ่งนอกจากนี้แล้วยังมีปัญหาเรื่องของขนาดผืนผ้าที่ใหญ่มากอีก
   
เห็นได้ชัดว่าการจะสร้างผลงานชิ้นนี้ขึ้นมานั้นเป็นเรื่องยากและปัญหาเต็มไปหมดแต่เขาก็เลือกที่จะทำมันจนในที่สุดเขาก็ผ่านมันมาได้

ชวิศาฉีกยิ้มรู้สึกภูมิใจในตัวเอง
   
เขาไม่ได้สนใจหรอกว่าตัวเองจะชนะงานประกวดหรือไม่ แค่การที่เขาได้มายืนอยู่บนเวทีเพื่อแสดงแนวคิดของตัวเองก็นับว่ามีค่าพอให้คุ้มค่าเหนื่อยแล้ว
   
นัยน์ตาสีน้ำตาลของชวิศาเป็นประกายอย่างมีความสุขและจดจ้องคู่แข่งของตัวเองที่ใช้เวลาร่วมกันมาหลายวันเดินขึ้นเวทีไปอย่างตื่นเต้นเพราะคนๆ นี้ก็นับว่าเป็นอีกคนที่ผลงานน่าสนใจมากเช่นกัน
   
[ งั้นขอเชิญคนต่อไปเลยค่ะ ]
   
พิธีกรสาวดำเนินรายกายต่อหลังจากที่สตาฟฟ์ใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีในการเก็บผลงานของชวิศาออกและแทนที่ด้วยรูปปั้นบางอย่างที่มีลักษณะค่อนข้างพิลึกแต่กลับไม่ได้สามารถถอนสายตาออกไปได้
   
“..แค่ก”
   
เสียงไอค่อกแค่กดังขึ้นระหว่างที่เหมันต์กำลังตั้งใจฟังเบต้าหนุ่มอธิบายผลงานของตัวเอง ใบหน้าคมคายขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่พอใจนักและถอดเสื้อสูทตัวนอกของตัวเองออกมาคลุมตัวให้จ้าวโดยไม่ลังเล มือหนาอังตามใบหน้าของจ้าวก็พบว่าเริ่มร้อนคล้ายกับมีไข้ซึ่งก็น่าจะมีที่มาจากแอร์ที่ค่อนข้างเย็นในฮอลล์
   
“ไหวไหม”
   
เหมันต์กระซิบถามคนรักของตัวเอง
   
“..เจ็บคอ”
   
จ้าวพูดเสียงแหบพยายามใช้มือปิดปากตัวเองไม่ให้ไอเสียงดังเพราะอากาศที่แห้งลงจนรู้สึกคันคอ นัยน์ตาโศกคลอด้วยน้ำตาเนื่องจากความรู้สึกไม่สบายตัว
   
“แต่ผมไหว ผมอยากดูน่าน”
   
“แต่น่านคนสุดท้ายเลยนะ” เหมันต์ลูบหัวจ้าวเบาๆ และหยิบกระติกน้ำอุ่นจากกระเป๋าพอใจออกมาให้จ้าวจิบซึ่งร่างโปร่งก็รับไปจิบแต่โดยดีก่อนที่จะมาซบเหมันต์เหมือนเดิมตามความเคยชิน
   
“ทำไมผมต้องมาป่วยช่วงนี้ด้วยนะ” จ้าวบ่นอุบขณะที่กอดแขนเหมันต์แน่นเหมือนเดิมเพื่อแย่งชิงอุณหภูมิร่างกายที่อุ่นกำลังพอดีผิดกับชื่อมาไว้ที่ตัวเองบ้าง
   
“อาทิตย์ที่แล้วเหมือนมีคนพาลูกเล่นน้ำทั้งวัน”
   
เหมันต์พูดราวกับว่าไม่ใช่เรื่องของคนในครอบครัวแต่แน่นอนว่ามันคือเรื่องของคนในครอบครัวแน่ๆ เพราะนัยน์ตาสีเทาจดจ้องจ้าวนิ่งด้วยแววตาหยอกล้อนิดๆ
   
“ก็พอใจชอบเล่นน้ำ พี่ไม่ว่างผมก็ต้องพาลูกเล่นสิ”
   
จ้าวนึกขอบคุณที่แสงไฟในฮอลล์น้อยไม่เช่นนั้นอีกฝ่ายคงเห็นใบหน้าแดงก่ำของตัวเอง
   
“คราวหลังก็ขึ้นก่อนลูกบ้างก็ได้ ก็รู้อยู่ว่าตัวเองไม่ค่อยแข็งแรงเหมือนเมื่อก่อนแล้ว” เหมันต์ลูบหัวจ้าวเบาๆ อย่างเป็นห่วงเพราะหลังๆ มานี้สุขภาพของจ้าวไม่ค่อยดีนัก อาจจะด้วยอายุที่มากขึ้นทำให้ไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน ทำให้จ้าวต้องวางมือจากหลายๆ อย่างไปมากทีเดียวเพื่อรักษาสุขภาพของตัวเอง
   
“อือ พี่ก็หาเวลามาเล่นกับลูกบ้าง”
   
จ้าวพึมพำเสียงเบาไม่ได้ปฏิเสธความเป็นห่วงของเหมันต์เพราะตัวเองสุขภาพตัวเองก็แย่ลงจริงๆ แต่ก็โชคดีหน่อยที่เป็นหนักๆ อย่างมากก็แค่หอบกับหวัดเท่านั้น ไม่มีอะไรมากกว่านั้น
   
“จะพยายามครับ”
   
เหมันต์รับคำเสียงละมุนและปล่อยให้จ้าวหลับต่อซึ่งเมื่อมองไปที่เวทีก็พบว่าถึงคนที่สี่แล้ว คงใช้เวลาอีกไม่นานนักก็คงจะถึงคิวของน่านฟ้าพอดี
   
“จ้าว”
   
“อือ”
   
จ้าวขยี้ตาหาวหวอดก่อนที่จะขยับตัวขึ้นนั่งดีๆ และมองไปยังเวทีด้วยความตื่นเต้น เพราะเห็นเจ้าตัวเล็กของเขากำลังเตรียมตัวขึ้นเวทีด้วยท่าทีที่ดูมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ทั้งๆ ที่ปกติแล้วแค่การรายงานหน้าห้องยังทำให้น่านฟ้าครียดไปหลายวันเพราะเป็นคนที่ค่อนข้างขี้อายและไม่มั่นใจในตัวเอง
   
[ และแล้วก็มาถึงคนสุดท้ายนะคะ ขอเชิญคนต่อไปขึ้นเวทีเลยค่ะ ]

“สู้ๆ น่าน”
   
สองแฝดเผลอพูดออกมาพร้อมกันขณะที่มองพี่ชายตัวเองด้วยความเป็นห่วงก่อนที่จะหันไปแย่งกันขู่แง่งใส่ ‘เพื่อน’ พี่ชายที่อุตสาห์สละเวลามานั่งเชียร์ด้วย
   
“เมฆ มึงว่าวันนี้มีคนมาเกินป่ะ”
   
หมอกพูดกับเมฆแต่กลับวางสายตาอยู่ที่รุ่นพี่ในโรงเรียนที่ยิ้มชื่นมื่นให้อย่างไม่สะทกสะท้าน
   
“เออ กูก็ว่าเกิน ทำไมคนนอกต้องมายุ่งด้วยวะ”
   
เมฆซึ่งหวงพี่ไม่ต่างกันขู่แง่ง เอาเข้าจริงแล้วสำหรับสองแฝดพี่น่านก็คือของที่หวงที่สุดเลยก็ว่าได้ ไม่อนุญาตให้ใครแย่งหรือครอบครองโดยเด็ดขาด จนน่านฟ้าต้องปวดหัวอยู่เป็นพักๆ เวลาเจ้าแฝดโวยวายเพียงเพราะอยู่กับเพื่อนสนิทสองต่อสอง
   
“หมายถึงพี่เหรอ” ขุนพลหรือ ‘เพื่อนสนิท’ ที่สุดของน่านในตอนนี้ถามด้วยสีหน้างุนงง “แต่น่านเป็นคนชวนพี่มานะแล้วน่านก็หน้าแดงมากๆ ด้วย”
   
“ผมไม่ได้อยากรู้สักหน่อยว่าพี่น่านเขินไม่เขิน ที่ผมอยากคือผมอยากให้พี่เลิกยุ่งกับพี่น่านของผมสักที! ”
   
“เลิกยุ่งไม่ได้หรอก เดี๋ยวน่านร้องไห้”
   
สิ่งที่ทำให้สองแฝดหงุดหงิดมากคือการที่ไม่สามารถรับมือขุนพลได้เพราะเจ้าตัวค่อนเซ่อและมองโลกในแง่ดีเกินไป ต่างจากคนอื่นๆ ที่ใช้เวลาไม่ถึงสองอาทิตย์ก็ยอมตัดใจเลิกยุ่งกับน่านได้
   
“พี่น่านไม่ร้องหรอก พี่น่านเพื่อนเยอะจะตายไป”
   
หมอกบ่นอุบ เขาไม่อยากแบ่งพี่ชายที่น่ารักของเขาให้ใครเลย
   
“แต่พี่เป็นแฟนน่านนะ”
   
“!!!”
   
“!!!”
   
“ล้อเล่น”  ใบหน้าคมคายหลุดหัวเราะออกมาเมื่อเห็นสีหน้าช็อกโลกของแฝดทั้งสอง นัยน์ตาสีดำขลับที่สะท้อนความใสซื่อให้เจ้าแฝดเห็นมีชั่ววูบหนึ่งที่ส่องประกายเจ้าเล่ห์ออกมาก่อนที่มันจะกลับมาเป็นแบบเดิม “ถ้าอยากคุยกับพี่ก็ไว้ทีหลังนะ ตอนนี้น่านจะเริ่มพูดแล้ว”
   
ขุนพลตัดสินใจเอ่ยตัดบทสองแฝดและจับจ้องไปยัง ‘ว่าที่แฟน’ ของตัวเอง
   
“สวัสดีครับ …ผมชื่อนายน่านฟ้า กิลลาสครับ”
   
แน่นอนว่าการพูดคนสุดท้ายนั้นทำให้น่านฟ้ารู้สึกค่อนข้างกดดันจนไม่กล้าพูดเต็มเสียง ถึงแม้จะมั่นใจในผลงานตัวเองระดับหนึ่งแต่เมื่อเห็นผลงานของผู้เข้าร่วมแข่งขันคนอื่นที่ดีมากๆ เหมือนกันก็อดใจฝ่อลงไม่ได้
   
หากแต่กว่าจะผ่านมาถึงจุดนี้ได้ก็ผ่านความพยายามมาอย่างแสนสาหัสเช่นกัน นัยน์ตาโศกจึงเริ่มเป็นประกายจริงจังจับไมค์ให้กระชับแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจมากยิ่งขึ้น
   
“ชื่อผลงานของผมคือ ‘ความจริง’ ครับ”
   
สิ้นคำพูดของร่างโปร่งไฟบนเวทีก็สาดไปที่ภาพวาดทันที ซึ่งด้วยขนาดที่เล็กกว่าผลงานชิ้นแรกทำให้มีการฉายภาพขึ้นจอโปรเจคเตอร์ขนาดยักษ์ด้านหลังเพื่อให้เห็นกันหมดทุกคน
   
“…”
   
ฮอลล์ขนาดยักษ์เต็มไปด้วยความเงียบอีกครั้งไม่ต่างกับผลงานอื่นๆ ที่เหล่าเยาวชนกล้าคิดกล้าแสดงออกความคิดของตัวเองมากขึ้นจนเหล่าผู้ใหญ่หลายคนที่ยังมีความคิดยุคสมัยเก่าอยู่แทบลมจับ
   
ภาพที่น่านฟ้ารังสรรค์ขึ้นนั้นเป็นภาพขาวดำตึกอารามบ้านเมืองที่มีผู้คนเดินกันขวักไขว่หากแต่เนื้อตัวของผู้คนบางคนกลับเต็มไปด้วยบาดแผลเต็มไปหมด บ้างก็มากบ้างน้อยบ้างก็ไม่มีแตกต่างกันไปซึ่งในส่วนนี้ก็ถูกระบายด้วยสีที่ค่อนข้างจัดเพื่อทำให้เหล่าผู้คนโดดเด่นขึ้นมา
   
“สำหรับผม อนาคตในฝันที่แสนสวยงามเหมือนในอุดมคติไม่มีจริงครับ”
   
เพียงแค่ประโยคแรกที่เอ่ยออกมาก็ทำให้เหล่าคณะกรรมการชะงักไปทันทีแต่ก็ไม่มีใครเอ่ยคัดค้านอะไรเพราะการประกวดครั้งนี้ไม่มีการปิดกั้นจินตนาการว่าผิดหรือถูก วัตถุประสงค์ของโครงการนี้มีเพียงแค่ต้องการให้เยาวชนมามีส่วนร่วม ถกเถียงและแสดงออกถึงแนวคิดว่าควรจะปฎิรูปสังคมให้ดีขึ้นด้วยวิธีไหน ซึ่งหากความคิดไหนทรงพลังมากพอก็อาจจะทำให้เป็นข้อถกเถียงในสังคมจนอาจเกิดความเปลี่ยนแปลงได้จริงๆ
   
“เพราะผมเชื่อว่ามนุษย์ก็คือมนุษย์ เราไม่มีทางที่จะทำให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่คิดหรอกครับ ภายใต้ความเท่าเทียมที่ทุกคนพยายามรณรงค์ผมก็ยังเชื่อว่ามุมใดมุมหนึ่งในสังคมที่ยังซุกซ่อนการกระทำอันเลวร้ายนี้อยู่ในรูปแบบอื่นๆ ”
   
ถึงแม้ว่าน่านฟ้าจะเติบโตภายใต้ระบบการปกครองที่เปลี่ยนไปแต่สิ่งชั่วร้ายบางอย่างก็ยังคงดำรงอยู่ไม่ไปไหน และทุกคนก็ทำคล้ายกับมองไม่เห็นมันเสียด้วย
   
“ทำไมผมถึงวาดแผลบนคน สาเหตุคือผมรู้ว่ามีบางคนในสังคมกำลังถูกทำร้ายหรือเอารัดเอาเปรียบอยู่ครับ”
   
แม้ว่าจะเป็นการเลือกตั้งอย่างโปร่งใสหากแต่เมื่อเวลาผ่านไป สันดารดิบที่แท้จริงของเหล่ามนุษย์ก็เริ่มออก ความสงบสุขทำให้เหล่าคนทั่วไปเริ่มนิ่งนอนใจและเกิดการคอร์รัปชั่นอย่างเงียบเชียบ ซึ่งเมื่อถึงจุดหนึ่งสังคมก็อาจจะไม่สงบสุขอีกต่อไปและน่านฟ้าก็ได้สังเกตเห็นถึงเรื่องนี้พอดีจึงตัดสินใจพูดมันออกมา
   
“ผมไม่รู้หรอกว่าคำพูดของผมจะดังได้แค่ไหน แต่ที่ผมอยากจะบอกคือมีคนที่ผมรู้จักหลายๆ คนหรือแม้แต่เพื่อนของผมกำลังถูกเอาเปรียบครับ สังคมของเรามันกำลังจะกลับไปเป็นแบบเดิมเหมือนเมื่อก่อน ซึ่งผมก็ไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น ผมไม่อยากให้ใครต้องเจ็บปวดอีกแล้ว”
   
นัยน์ตาโศกของน่านยังคงความเด็ดเดี่ยวยามที่พูดมันออกมา
   
“อนาคตในฝันสำหรับผม ผมอยากให้สังคมของเราปลอดการคอร์รัปชั่นครับ”
   
“…”
   
ทั้งฮอลล์ตกอยู่ในความเงียบซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับหนังฉายซ้ำเพราะในวันนี้เกิดเหตุการณ์มากมายเหลือเกิน ระบบการศึกษาที่เปลี่ยนไปทำให้เด็กกล้าพูดความจริงมากขึ้น แน่นอนว่าเยาวชนทั้งแปดคนที่ถูกคัดเลือกมานั้นล้วนแล้วแต่พูดถึงระบบการปกครอง ระบบเศรษฐกิจ ภูมิหลังประเทศ และประเด็นสำคัญต่างๆ ที่ผู้ใหญ่พยายามเลี่ยงยกออกไม่ให้เด็กมีส่วนเกี่ยวข้องมาตลอด
   
ซึ่งวันนี้ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเหล่าเยาวชนไม่ได้เขลาจนไม่สามารถทำความเข้าใจกับระบบสังคมในปัจจุบันได้ พวกเขาล้วนแล้วแต่เข้าใจและสัมผัสมาด้วยตัวเองตลอด และแน่นอนว่าทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็ทำให้กรรมการค่อนข้างคิดหนักพอตัวเพราะไม่คิดว่าหัวข้อที่ควรจะได้คำตอบโลกสวยกลับได้คำตอบเป็นความจริงที่ตอบได้ยากเสียได้
   
น่านฟ้าพูดปิดท้ายอีกสองสามประโยคก่อนที่จะไปยืนรวมตัวกับผู้เข้าแข่งขันอื่นๆ หลังเวที ปล่อยให้พิธีกรดำเนินรายการต่อด้วยการเอาการแสดงของเหล่าศิลปินดังมาคั่นสักพัก เพื่อให้คณะกรรมการได้มีเวลารวบรวมคะแนนและสรุปผลออกมา
   
“นายพูดดีมากเลย น่าน”
   
เมื่อเข้ามาหลังเวทีน่านฟ้าก็โดนทักทันทีจากเหล่าผู้ร่วมแข่งขันที่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมาหลายวัน พวกเขาล้วนแต่ผ่านการซักซ้อมมาอย่างหนักหน่วงเพื่อให้ทุกอย่างวันนี้ไม่มีอะไรผิดพลาด
   
“อือ นายก็เก่งเหมือนกัน”
   


ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
น่านฟ้ายิ้มบางๆ ให้และรีบไปยืนหลบมุมเพื่อโทรหา ‘เพื่อนสนิท’ ตามที่ถูกกำชับไว้
   
[ ฮัลโหล ]
   
ใบหน้าของน่านแดงนิดๆ เมื่อได้ยินเสียงทุ้มแหบกระซิบจากปลายสาย
   
“…น่านพูดดีไหมอ่ะ ขุน”
   
ความมั่นอกมั่นใจในตัวเองคล้ายกับหายไปหมดเมื่อลงจากเวที ใบหน้าของน่านกลับมาประหม่าอีกครั้งพร้อมกับตัวที่สั่นเทาเล็กๆ
   
[ ดีแล้วน่าน ต่อให้กรรมการไม่ชอบแต่เราชอบนะ ]
   
“..แต่”
   
น่านฟ้าพยายามหาเหตุผลมาพูดเพื่อบั่นทอนความสามารถตัวเองตามนิสัยไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ถึงแม้จะรู้ว่าตัวเองสามารถวาดรูปได้ดีแต่น่านก็ไม่สามารถยอมรับได้สักทีว่าตัวเองสามารถวาดมันได้ดีจริงๆ เหมือนที่คนอื่นชม
   
[ น่านลืมแล้วเหรอว่าเพราะงานนี้น่านไม่ได้นอนมาเกือบอาทิตย์นะ ]
   
“…”
   
[ ความพยายามไม่เคยทำร้ายใครหรอกน่าน ต่อให้น่านไม่ชนะงานประกวดแต่เราเชื่อนะว่าผลงานของน่านมันจะสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้จริงๆ ]
   
“..อือ”
   
น่านฟ้าพยักหน้าเบาๆ โดยไม่รู้ตัวก่อนที่จะสะดุ้งเฮือก เมื่อได้ยินเสียงสตาฟฟ์ตะโกนไล่ให้ไปเข้าแถวเพื่อขึ้นเวทีเตรียมฟังผลประกาศรางวัล
   
“น่านวางก่อนนะ”
   
[ รักน่านนะครับ ]
   
“…”
   
แน่นอนว่าน่านได้ยินคำพูดของขุนพลชัดเจนจนเผลอเหม่อไปครู่หนึ่งก่อนที่จะรีบยัดสมาร์ทโฟนเข้ากระเป๋ากางเกงลวกๆ แล้ววิ่งไปเข้าแถวที่กำลังเดินขึ้นเวทีกัน
   
“ไม่สบายเหรอ หน้าแดงๆ ”
   
“อือ เราหนาวน่ะ”
   
น่านฟ้าโกหกคำโตเพราะไม่กล้าบอกความจริงกับคนอื่นว่าตัวเองเขินเพื่อนสนิทตัวเอง เขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตัวเองต้องเขินทุกครั้งที่ได้ยินพูดด้วยเสียงนุ่มๆ กับประโยคบอกรักที่เจ้าตัวมักพูดหยอดคนนู้นคนนี้เป็นประจำในห้อง ซึ่งเรื่องแปลกอีกอย่างคือเขาไม่เข้าใจสักนิดว่าคนที่เพื่อนเยอะอย่างขุนพลมายุ่งกับเขาที่โลกส่วนตัวสูงทำไม
   
แต่เอาเข้าจริงเขาดีใจมากนะที่มีคนมาคุยด้วยนอกจากกลุ่มของเขาที่มีเพื่อนอยู่สองสามคนและมีนิสัยคล้ายๆ กัน
   
[ และแล้วก็ถึงช่วงเวลาที่ทุกท่านรอคอยนะคะ ช่วงประกาศผลรางวัลค่ะ! มาเริ่มกันที่รางวัลแรกเลยนะคะ เป็นรางวัลรองชนะเลิศอันดับสองและรางวัลนี้ก็ต้องเป็นของ—]
   
น่านฟ้าพยายามรักษาท่าทีนิ่งสงบแม้ว่าหัวใจในอกเต้นไม่เป็นส่ำ ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับเหล่าบรรดาคนที่มาเชียร์นัก โดยเฉพาะกับเหล่าแฝดที่ตื่นเต้นเป็นพิเศษ
   
“พี่น่านพูดดีแบบนี้ต้องรางวัลที่หนึ่งแล้ว”
   
เมฆออกความเห็นด้วยสีหน้าปลื้มปิติในพี่ตัวเองสุดๆ ซึ่งเอาเข้าจริงแล้วไม่ว่าน่านฟ้าจะทำอะไรในสายตาสองแฝดก็ล้วนเห็นดีเห็นงามด้วยทั้งนั้น
   
“ถ้าไม่ได้ที่หนึ่งเดี๋ยวกูให้เอง เมฆ พี่น่านของกูต้องเก่งที่สุด”
   
หมอกก็มีสภาพไม่ต่างกันนักอวยพี่ตัวเองแบบสุดๆ
   
[ นางสาวนิชนันท์ โรจน์วัจนะค่ะ! ]
   
เสียงปรบมือดังเกรียวกราวในขณะที่น่านฟ้ายังคงรู้สึกลุ้นจนแทบไม่ได้ยินอะไร นัยน์ตาโศกจับจ้องไปที่พิธีกรอย่างรอคอยซึ่งด้วยนิสัยที่ไม่มั่นใจในตัวเองของน่านฟ้า ทำให้เจ้าตัวไม่ได้คาดหวังถึงรางวัลใหญ่ แค่ได้รางวัลชมเชยก็ดีใจมากๆ แล้ว
   
ใช้เวลามอบรางวัลอยู่ครู่หนึ่งก็ถึงลำดับถัดมา พิธีกรหนุ่มเผยยิ้มออกมาเมื่อเห็นนามสกุลที่ค่อนข้างคุ้นหน้าคุ้นตาในสื่อใหญ่แต่อีกใจก็อดเสียดายนิดๆ ด้วยไม่ได้เพราะชอบผลงานนี้ตั้งแต่ตอนที่ยังอยู่ในช่วงที่ซักซ้อมคิวแล้ว
   
[ รางวัลรองชนะเลิศตกเป็นของนายน่านฟ้า กิลลาส ครับ! ]
   
“!!”
   
นัยน์ตาโศกเบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนกแต่ก็เดินไปรับรางวัลด้วยความยินดี แม้ว่าจะไม่ได้เป็นรางวัลชนะเลิศก็ตาม ใบหน้าที่เค้าละม้ายกับจ้าวจึงเผยยิ้มน่ารักออกมาให้เหล่าสื่อมวลชนเก็บภาพกันสนุกมือ ซึ่งแน่นอนว่าเพราะไม่ใช่อันดับที่หนึ่งน่านฟ้าจึงไม่ต้องตอบคำถามหรือความรู้สึกอะไร เพียงแค่รับรางวัล ถ่ายรูป และไปยืนรวมกับเหล่าผู้แข่งขันเท่านั้น
   
แต่ถึงอย่างนั้นน่านฟ้าก็ยังคงรู้สึกมีความสุขมากๆ อยู่ดี นัยน์ตาโศกเป็นประกายราวกับสุมดาวนับพันไว้ข้างใน ในชั่วขณะหนึ่งที่น่านฟ้ารู้สึกเข้าใจถึงความรู้สึกของแม่ตัวเองตอนที่ได้ยืนอยู่บนเวทีท่ามกลามผู้คนนับพันก่อนที่จะลาวงการไป
   
มันเป็นความรู้สึกที่ดีจนอยากจะยืนอยู่ตรงนี้อีกหลายๆ ครั้งเลยทีเดียว
   
น่านฟ้ายังคงยิ้มจนตาหยีโดยไม่รู้ตัวสักนิดว่าตัวเป็นจุดสนใจของสื่อขนาดไหน

“เมฆ กูไม่ไหวแล้ว”
   
“เออ กูก็ไม่ไหว พี่น่านโคตรน่ารักเลย”
   
สองแฝดพยายามอย่างยิ่งในการไม่ลุกออกจากที่นั่งแล้วโผไปกระโดดกอดพี่น่านอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน เวลาที่ต้องการแสดงความชื่นชมในตัวพี่น่าน
   
“ทำไมน่านไม่เลิกยิ้มสักทีวะ”
   
ใบหน้าคมคายของขุนพลไม่เปื้อนยิ้มโง่ๆ อีกต่อไปเมื่อเห็นน่านฟ้ายังคงยิ้มให้กับกล้องไม่หยุด รู้สึกหึงหวงจนอยากจะเอาน่านฟ้าไปซ่อนให้รู้แล้วรู้รอดแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นัก
   
[ รู้สึกยังไงกับการได้รับรางวัลชนะเลิศบ้างครับ ]
   
น่านฟ้ามองเบต้าร่างเล็กซึ่งเป็นเจ้าของรางวัลด้วยความชื่นชมเพราะงานของอีกฝ่ายนั้นดีสมกับรางวัลจริงๆ ทั้งความแปลกใหม่ของเทคนิคที่ใช้และแนวคิดในการวาดที่ค่อนข้างตรงไปตรงมา
   
“ก็ค่อนข้างตกใจครับแต่ก็ดีใจและภูมิใจมากๆ ครับที่ได้รับรางวัลนี้”
   
เบต้าหนุ่มเจ้าของรางวัลพูดด้วยรอยยิ้มเขินๆ ขณะที่ตอบคำถามพิธีกร ซึ่งหลังจากตอบคำถามอีกสองสามคำถามเสร็จก็เข้าสู่ช่วงพิธีปิดของงานที่ใช้เวลาร่วมครึ่งชั่วโมง ก่อนที่ม่านจะปิดลงเป็นอันจบงานประกวดภาพวาดในวันนี้
   
“น่าน”
   
น่านฟ้าซึ่งแวะเข้าห้องน้ำก่อนที่จะไปขึ้นรถมองเพื่อนสนิทตัวเองด้วยความแปลกใจนิดๆ ก่อนที่จะยิ้มออกมา “ยังไม่กลับบ้านเหรอ ขุน นี่เกือบสามทุ่มแล้วนะ”
   
ขุนพลไม่ตอบแต่ขยับเข้าไปใกล้น่านและลูบหัวเล็กๆ อย่างเบามือ นัยน์ตาสีดำฉายชัดถึงความอ่อนโยน “วันนี้เก่งมาก”
   
“อือ”
   
ไม่แน่ใจเพราะบรรยากาศหรืออะไรที่ทำให้น่านฟ้าเผลอหน้าแดงอีกครั้งจนขุนพลทนแทบไม่ได้อยากจะทำอะไรมากกว่านั้น แต่ก็ทำได้เพียงแค่คิดเพราะน่านฟ้าก็คือน่านฟ้า
   
เขายังทำใจให้สิ่งที่บริสุทธิ์ขนาดนี้มัวหมองไม่ได้และอีกเหตุผลใหญ่ๆ ก็…
   
ปัง!
   
ประตูเปิดผ่างออกพร้อมกับร่างสูงใหญ่ของเมฆกับหมอกที่หอบแฮ่กจากการวิ่ง
   
“พี่น่าน! พี่มาอยู่กับมันสองต่อสองอีกแล้ว! ”
   
“พี่น่าน พี่ทำแบบนี้กับผมไม่ได้! ”
   
สองแฝดราวกับมีญาณทิพย์มาถึงห้องน้ำด้านในที่ไม่ค่อยมีใครเข้าในพริบตา หนำซ้ำยังทันเห็นฉากเด็ดพอดีอีกเล่นเอาร่างที่สูงใหญ่ดิ้นเร่าๆ ราวกับโดนลนไฟ
   
“…”
   
ขุนพลลอบกลอกตาด้วยความเหนื่อยหน่าย ถึงแม้เขาจะมั่นใจว่าจะสามารถจีบน่านติดแต่ก็ติดด่านใหญ่ๆ ที่มีชื่อว่าเมฆกับหมอกซึ่งมีฉายาในโรงเรียนว่าสององครักษ์พิทักษ์น่านฟ้า โดยเจ้าพวกนี้มีหน้าที่หลักเพียงหนึ่งเดียวคือไล่ทุกคนที่ทำท่าจะมาจีบพี่ชายตัวเองและเรื่องแปลกคือพวกนี้เซนส์แรงมาก ดูออกว่าใครคิดซื่อใครคิดไม่ซื่อ คนที่ไม่โดนสองแฝดนี่รังควานคือคนที่มองว่าน่านฟ้าเป็นแค่เพื่อนเท่านั้น
   
“เรียกมันได้ยังไง ขุนพลเป็นเพื่อนพี่นะ”
   
น่านฟ้าเอ็ดเสียงดุแต่ก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรมากมายนัก
   
“ก็เขาจะแย่งพี่น่านไปจากพวกผม”
   
“และพวกผมก็จะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้น”
   
“…หึ”
   
ขุนพลหลุดขำเมื่อเจ้าแฝดทำตัวเหมือนแก๊งร็อคเก็ตในโปเกม่อนซึ่งคนที่น่าจะเป็นเนียสก็น่าจะเป็นน่านฟ้าที่ถอนหายใจเหนื่อยๆ ใส่แฝด
   
“เมื่อไหร่จะโตกันสักที” น่านฟ้าบ่นอุบกอดรางวัลตัวเองและเดินตัดผ่านแฝดทั้งสองมาหาร่างสูง “งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะ ขุน เรากลับบ้านก่อนนะ”
   
“อืม เจอกันพรุ่งนี้” ขุนพลพูดยิ้มๆ “ฝันดีครับ”
   
“…ฝันดี”
   
น่านฟ้าพยักหน้าเร็วๆ ก่อนที่จะจากห้องไปด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ ซึ่งขุนพลเห็นแบบนั้นก็อดยิ้มกว้างกว่าเดิมไม่ได้และมันก็เป็นสาเหตุที่ทำให้โดนสายตาสองคู่ค้อนในพริบตา
   
“ผมไม่ยกพี่น่านให้หรอก”
   
สองแฝดขู่แง่งใส่ก่อนที่จะรีบวิ่งไล่หลังตามพี่ชายตัวเองไป
   
“…”
   
ถึงแม้ร่างเล็กๆ จะหายไปจากครรลองสายตาไปนานแล้วแต่ขุนพลก็ยังเห็นยิ้มโง่ๆ ของตัวเองในกระจกและรอยยิ้มของเขาก็กว้างกว่าเดิมเมื่อตัดสินใจอะไรได้
   
“แฝดก็แฝดเถอะ หึ”
   
ขุนพลหลุดหัวเราะเมื่อเผลอจินตนาการถึงหน้าแฝดตอนที่เขาประกาศตัวจีบน่านฟ้าอย่างเป็นทางการ แน่นอนว่าสองแฝดนั่นต้องไม่พอใจแน่

แต่ใครสนล่ะในเมื่อเขาอยากชอบน่านจนจะบ้าอยู่แล้ว!

=========

ตอนนี้ยาวมากกกกก  :mew5: 

ปล ดีใจที่ทุกคนชอบนะคะ  :hao5: ตอนพิเศษตอนหน้าเป็นจันทร์กับพี่ซันค่ะ


ออฟไลน์ mint_852

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 734
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
ตอนพิเศษน่ารักมาก
รออ่านของจันทร์-พี่ซัน
เผื่อคู่นี้มีลูกด้วยกัน
อยากอ่านมากๆ

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 694
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
แฝดหวงพี่เวอร์มาก 5555555
น่ารัก :o8:

ออฟไลน์ ஓMaRiShiTenSM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
สนุกมากๆ ดีมากๆๆๆๆๆๆ
น้ำตาแตก สงสารจ้าว

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
รออ่านพี่ซันกับจันทร์


และก็รอ อ่านภาคต่อของพวกเด็กๆอยู่จร้า


รักและรอเด็กๆทั้งสามคน

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
เป็นการเล่านิยาย อย่างมีนัยยะสอดแทรกอยู่ :hao3:

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
ว้าว   :katai2-1:  ดีต่อใจมากค่ะ ครอบครัวอบอุ่นเว่อร์

ขอบคุณนะคะ ชอบมากค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด