6
สัมภาษณ์
ธันธเนศถอยหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะตัดสินใจเคาะประตูห้องๆ หนึ่งที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากห้องเข้ามากนัก แค่ตรงข้ามกัน หลังจากที่ยืนทำใจอยู่นานสองนาน
ไม่นานหลังจากเสียงเคาะเบามือดังขึ้น ก็มีเสียงของความเคลื่อนไหวภายในห้องนั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ประตูบานหนาหนักจะเปิดออก ร่างสูงยืนค้ำขอบบนประตูที่ความสูงไล่เลี่ยกันมองหนุ่มนักหนังสือพิมพ์ยืนห่อไหล่อยู่ด้านนอก ก่อนที่รอยยิ้มที่ดูไม่น่ายินดีนักของเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้น
“หวัดดี” คนในห้องกล่าวทักทายพร้อมรอยยิ้มที่ดูยังไงก็ไม่น่ายินดี
“อือ” อีกฝ่ายกล่าวตอบ
...
“จะให้เข้าไปไหมสรุป”
“อ้อ เชิญจ้าคุณนักข่าว” แม้จะกล่าวเชิญชวนแต่ร่างหนาก็ยังคงยืนขวางอยู่อย่างนั้น ธันธเนศจึงเดินแทรกเข้าไปอย่างรำคาญ
มันจะได้จบๆ ไปเสียที
เมื่อผ่านประตูเข้าไป ภาพแรกตรงหน้าคือมุมรับแขกที่มีโซฟาเรียบๆ แต่ดูมีราคากับโต๊ะตัวเตี้ยที่รูปทรงแปลกตาตัวหนึ่ง บนพนักพิงของโซฟามีกางเกงที่น่าจะผ่านการใช้งานมาแล้วสองสามตัวพาดอยู่ ธันธเนศหยุดยืนอยู่ตรงนั้น
ก่อนที่เจ้าของห้องที่เหมือนจะรู้ตัวแล้ว เดินแซงเขาเข้ามาแล้วรวบกางเกงสามตัวนั้นก่อนจะถือมันมาเหวี่ยงลงบนที่นอน
ธันธเนศยืนตัวแข็งทื่อเมื่อบางอย่างลอยละลิ่วออกมาจากเจ้าสามตัวนั้นลงมากองลงตรงหน้าเขาพอดิบพอดี
กางเกงใน!
แม้จะเป็นกางเกงในชาย แต่มันก็ไม่ใช่ของเขา และที่สำคัญ มันต้องผ่านใช้งานมาแล้วแน่ๆ เพราะคราบบนนั้นที่เด่นสะดุดตามันบอกสถานะของตัวมันเอง
“เชิญนั่งเลยครับ ผมเคลียร์ให้ละ”
“แน่ใจ?”
ธันธเนศพูดพลางเหลือบลงมองสิ่งที่กองอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้
“กางเกงใน” เจ้าของห้องผู้ไม่ได้มีสีหน้าทุกร้อนหรือเขินอายกล่าวขึ้น
“อือ เห็นเป็นหมวกเหรอ เก็บดิ”
ร่างสูงก้มลงคว้าเจ้าสิ่งนั้นก่อนจะโยนมันลอยละลิ่วไปในตะกร้าผ้าที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลได้อย่างแม่นยำ ประหนึ่งว่าทำมันอยู่ตลอด
“จะดื่มอะไรไหม เดี๋ยวผมเอาให้”
“ไม่อะ มาเริ่มเลยดีกว่า เสียเวลาทำมาหากิน”
“จะรีบไปไหน วันนี้คุณต้องอยู่กับผมทั้งวัน”
“หมายความว่าไง”
“ก็หมายความตามที่พูดแหละ”
“ผมยังมีงานที่รออยู่อีกนับไม่ถ้วน เวลาของผมกับคุณที่นี่คือสัมภาษณ์จบก็แยกย้าย สองชั่วโมงก็น่าจะเกินพอแล้ว ทั้งวงทั้งวันอะไรไร้สาระ”
ผู้เป็นเจ้าของหาได้สนใจสิ่งที่เขาพูดไม่ แต่กลับก้าวอาดๆ ไปที่ครัว ก่อนจะจับนู่นวางนี่อย่างใจเย็น
ธันธเนศนั่งมองอย่างไม่สบอารมณ์ แต่ก็ต้องกัดฟันข่มมันไว้อย่างสุดชีวิต เพราะคำว่างานเพียงอย่างเดียว เดี๋ยวมันก็จบ
เสียงช้อนกระทบกับแก้วเซรามิกดังขึ้นหลังจากนั้น ขณะเดียวกันธันธเนศก็กวาดสายตาไปทั่วห้องเพื่อฆ่าเวลารอตัวปัญหาให้พร้อมเสียที
จะว่าไปแม้จะเป็นเพียงห้องพักของนักศึกษาตัวคนเดียวที่เหมือนจะอยู่อย่างง่ายๆ ข้าวของถูกวางไว้ในที่ๆ หยิบจับใช้ง่ายมากกว่าจะจัดวางอย่างเป็นระเบียบ แต่ภายใต้สิ่งเหล่านั้นมันก็มีบางอย่างที่บ่งบอกตัวตนของเจ้าของห้องได้เป็นอย่างดี
สภาพห้องโดยรวมถูกตกแต่งในแบบของผู้ชายลุยๆ ความเรียบง่าย สบายๆ ของใช้ที่มีเพียงสิ่งที่จำเป็นต่อชีวิตเท่านั้น
เวลานานสองนาน ก่อนที่แก้วใส่เครื่องดื่มร้อนๆ จะถูกนำมาวางลงตรงหน้า เสียงก้นแก้วกระทบกับกระจกดึงความสนใจเขามายังคนที่อยู่ตรงหน้าแทน
ร่างสูงหย่อนก้นลงนั่งลงบนโซฟาที่อยู่ตรงกันข้าม
“น้ารัญโทรมาบอกผมว่า สัมภาษณ์เสร็จ คุณต้องพาผมไปเลี้ยงข้าวตอบแทน ไม่ต้องกลับเข้าไปที่บริษัทแล้ว”
ลูกน้องคงไม่สำคัญเท่าหลานชายสินะ มีเรื่องอะไรเลยข้ามหน้าข้ามตาเขาไปเสียได้“ผมชงกาแฟมาให้” ธันวาชี้มาที่แก้วตรงหน้า “สุดฝีมือเลยนะ”
ธันธเนศเหลือบมอง แต่ก็ไม่พูดอะไร เขาจะชี้โพรงให้กระรอก ด้วยการแสดงจุดอ่อนเรื่องแพ้คาเฟอีนให้ศัตรูรู้ไม่ได้เด็ดขาด
นักหนังสือพิมพ์หนุ่มเอื้อมมือไปเปิดสวิตซ์เครื่องอัดเสียง ก่อนจะจับปากกาเตรียมจดลงในสมุดโน้ตเล่มเล็กๆ ที่มีคำถามคร่าวๆ จดไว้อยู่ก่อนแล้ว
“แนะนำตัวหน่อยครับ”
“ชื่อจริงชื่อธันวา ชาติพยัคฆ์ ชื่อเล่นชื่อธัน อายุ 21 ตอนนี้เรียนปีห้า สาขาวิชาพลศึกษา ตอนนี้เป็นโค้ชเทควันโด้ให้ยิมแห่งหนึ่งอยู่”
“เริ่มเล่นเทควันโดตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ตั้งแต่ห้าขวบ เล่นทุกวันหยุด หลังๆ ก็เล่นทุกวันหลังเลิกเรียนด้วย จากนั้นก็เริ่มลงสนามแข่ง แข่งครั้งแรกตอนแปดขวบ จากนั้นก็ลงสนามมาเรื่อยๆ จนมาติดทีมชาติตอนอายุ 15 แล้วก็ได้เหรียญทองเทควันโดเยาวชนชิงแชมป์ประเทศไทยเลย อายุ16 ได้เหรียญทองเทควันโดชิงแชมป์ประเทศไทย แล้วก็แข่งมาเรื่อยๆ ทั้งระดับประเทศและนานาชาติ ชนะบ้างแพ้บ้าง”
“ส่วนใหญ่ชนะหรือแพ้”
“คิดว่าไง”
“ผมสัมภาษณ์คุณอยู่นะ”
“ชนะดิ ระดับนี้”
“แล้วระดับนานาชาติได้รางวัลอะไรบ้าง”
“ครั้งแรกตอนอายุ 18 ได้เหรียญทอง เทควันโดชิงแชมป์โลกที่ประเทศเดนมาร์ก จากนั้นก็แข่งมาเรื่อยๆ เคยได้เหรียญเงินแค่ครั้งเดียว ที่เหลือ ทองหมด”
แหวะ ขี้โม้ฉิบหายใบหน้านิ่งสะกดกั้นสิ่งที่อยู่ในใจ
“แล้วเริ่มเป็นโค้ชตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ตอนเรียนปีสี่น่ะ อดีตโค้ชผมเขาจะย้ายกลับไปเกาหลี เลยหาคนมาสอนแทน เขาเลยเห็นว่าผมพอที่จะดูแลแทนเขาได้ เขาเลยขอให้ผมมารับหน้าที่นี้”
“ตอนนี้ออกจากทีมชาติเรียบร้อยแล้ว?”
“ประมาณนั้น”
“แรงบันดาลคือไร”
“ไม่มีแรงบันดาลใจอะไรทั้งนั้น พ่อผมเห็นว่าตอนเด็กๆ ผมดูอ่อนแอ ใครแกล้งก็ไม่สู้ ยอมเขาไปเสียหมด เลยบังคับให้ผมเรียนไว้เพื่อป้องกันตัว แต่พอเรียนไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่ามันไม่ได้แย่ ยิ่งอยู่กับมันยิ่งผูกพัน จากจำใจเรียนก็กลายเป็นอยากเรียน อยากเล่นทุกวัน”
“ใช้เวลานานเท่าไหร่ ถึงคิดว่าตัวเองมาถึงจุดที่เก่งแล้ว ฝีมือไม่ธรรมดาแล้ว”
“ก็คงเป็นตอนได้เหรียญทองเหรียญแรกตอนแปดขวบ”
“อื้อหื้ม” ผู้สัมภาษณ์เบะปากพยักหน้าโงนๆ เชิงชื่นชมผู้ถูกสัมภาษณ์ เหรียญทองเหรียญแรกที่เขาได้ก็ตอนแปดขวบเช่นกัน
“อะไรทำให้คุณคิดว่าคุณมีดีกว่าคนอื่นในเรื่องความสามารถของกีฬาเทควันโด”
ผู้ถูกถามถึงขั้นเงยหน้าสบตานักหนังสือพิมพ์หนุ่ม มันเป็นคำถามที่ทำให้จุกอกได้เหมือนกัน ยิ่งถ้าตอบได้ไม่ดี ความสามารถที่เขามีก็ดูไร้ความหมายกับผู้ที่อยู่ตรงหน้าไปโดยปริยาย
“เอ่อ...”
ผู้ที่ดูฝีปากกล้าและมีทีท่าที่ดูมั่นใจในตอนแรก ดูสับสนไปชั่วขณะ
“คงเป็นเพราะผมใช้มันเป็นแรงผลักดันให้ผมก้าวไปข้างหน้า หลังจากที่ผมเริ่มเล่นมันได้ไม่นาน พ่อของผมก็เสีย โดยที่ผมไม่มีโอกาสได้ทำอะไรเพื่อเขาบ้างเลย แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่ผมพอจะเชื่อว่า ถ้าผมยืนหยัดทำมันต่อไป และถ้าหากทำมันได้ดี หากพ่อยังอยู่คงจะภูมิใจในตัวผมไม่น้อย นั่นก็คือเทควันโด ผมซ้อมมันอย่างหนัก ใช้เวลาที่มีค่าทุกวินาทีเพื่อทุ่มเทให้กับมัน จนในที่สุดก็มาถึงจุดที่สูงที่สุดคือการได้ติดทีมชาติ ได้เป็นตัวแทนประเทศ หลังจากผ่านพ้นจุดๆ นั้นมา ผมก็ยังไม่ละทิ้งมัน ผมใช้ความสามารถที่มีอยู่ทั้งหมดส่งต่อให้คนอื่น แม้มันอาจจะไม่ได้มากเท่าคนอื่นๆ แต่ผมก็มอบให้ทั้งหมดที่มี ให้เขาได้มีโอกาสทำตามความสามารถของเขา ให้ได้ไปถึงจุดที่สูงที่สุดเหมือนที่ผมเคยเป็น ซึ่งบางคนก็ไม่ได้มีโอกาสที่ดีเหมือนผม ส่วนหนึ่งก็อาจจะเป็นเพราะเรื่องของฐานะทางการเงินของที่บ้าน ผมก็สอนให้เขาฟรี ทุกครั้งที่อยู่กับพวกเขาผมก็เฝ้าบอกเสมอว่า อย่าคิดแค่ว่ามันเป็นกีฬา อย่าคิดแค่ว่าตัวเองเรียนไปก็เพื่อทำตามใจของใครบางคน คิดเสียว่ามันคือหนทางสู่โอกาส ถ้าเราทำได้ คนที่ภูมิใจไม่ใช่แค่เรา บางคนไม่มีโอกาสเหมือนคุณด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นอย่าทำมันเพียงเพราะความจำใจ แต่จงทำมันให้เป็นที่จดจำแก่ใจ” ผู้ถูกสัมภาษณ์มือสองข้างประสานกัน สีหน้ามุ่งมั่นแสดงออกถึงความจริงใจในสิ่งที่พูดออกมา
สิ่งที่ธันธเนศเพิ่งจะได้ยิน ทำให้เขาแทบอยากจะถอนมุมมองที่เคยมีต่อชายหนุ่มคนนี้ทิ้งไปทั้งหมดแล้วเริ่มมองเขาในมุมใหม่ แต่ก็นั่นแหละ สิ่งที่พูดออกมาใครๆ ก็พูดได้ เพื่อให้ตัวเองดูดี การกระทำต่างหากที่ยังต้องดูกันยาวๆ
“พ่อคุณคงภูมิใจน่าดู เอาล่ะ” หนุ่มผู้สัมภาษณ์ก้มมองตัวหนังสือยึกยือสีน้ำเงินตรงหน้าตัก ก่อนจะถอนหายใจอีกเฮือกหนึ่ง “ต่อไปเป็นเรื่องส่วนตัวบ้างนะ” มันเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคิดอยากจะถาม แต่งานเขาจะไม่เสร็จสมบูรณ์หากเขาไม่ทำตามใจบรรณาธิการหนุ่มใหญ่
“การเรียนเป็นไงบ้าง”
“ก็ถือว่าดีนะ เรื่อยๆ”
“เกรด?”
“สามกลางๆ ”
“มุมมองความรัก”
“ถามจริง?”
“ผมทำตามหน้าที่ น้าคุณเป็นคนตั้งคำถามพวกนี้”
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง นึกว่า...”
“อะไร”
“เปล๊า” สีหน้ามีเลศนัยตอบเสียงสูง เขาผ่อนลมหายใจ สีหน้าจริงจังขึ้น “ผมเชื่อว่ารักเป็นเรื่องของเวลา ไม่ใช่เรื่องฉาบฉวยหรือเล่นๆ ความรักคือการเอาใจใส่กัน ดูแลกัน อยู่เคียงข้างกันและกันเสมอไม่ทอดทิ้งกันแม้ในยามลำบาก”
แหม่ ไอ้เด็กคนนี้นี่ไม่ธรรมดาจริงๆ โว้ย แม้ภายนอกจะดูไม่จริงจังกับอะไรเลย แถมดูโมโหร้าย ขวานผ่าซาก กระโชกโฮกฮาก แข็งกระด้าง ไม่สนใจใคร แต่ลึกๆ แล้วก็มีความคิดที่เป็นผู้ใหญ่อยู่พอสมควร“สุดท้ายแล้ว ก่อนถ่ายรูปประกอบ สเปคอะ”
“สเปคผมเหรอ”
“อืม” เขาตอบเสียงในลำคอ
“ผมชอบคนที่อายุมากกว่าแต่ไม่ถึงกับแก่ ดูแลตัวเองได้ ลุยๆ ไม่ง๊องแง๊ง หน้าหวาน ตาโต ตัวเล็กกว่าผม และที่สำคัญรักผมและไม่ทอดทิ้งผมแค่นั้นก็เพียงพอ”
ธันธเนศก้มหน้าจดยิกๆ โดยพยายามไม่มองหน้าคู่สนทนาที่น้ำเสียงแปลกไปจนน่าขนลุก
หลังจากที่จบสิ้นการสัมภาษณ์โค้ชหนุ่มเพื่อไปลงในหนังสือพิมพ์ แต่ก็ยังเหลือเวลาอีกนานกว่าจะถึงมื้อค่ำที่เขาต้องทำตามข้อเสนอของสองน้าหลาน ธันธเนศเลยขอกลับไปเคลียร์งานค้างที่บริษัทก่อน และค่อยกลับมาทานอาหารเย็นตามที่ได้ตกปากรับคำไว้
“เฮ้ยธัน”
ธันธเนศที่มัวแต่จดจ้องอยู่กับหน้าจอคอมฯ จนลืมดูเวลาไปเสียสนิทตอบรับอีกฝ่ายโดยไม่มองหน้าด้วยซ้ำ
“มึงต้องไปกินข้าวกับธันวามันไม่ใช่เหรอ”
“รู้แล้วน่าพี่ อีกแปบเดียว”
“แปบเดียวอะไรมึง ไม่ต้องแล้ว นี่มันจะทุ่มหนึ่งแล้ว ไปๆ เดี๋ยวน้องมันรอ”
“โธ่ ถ้าไม่ใช่หลานตัวเอง จะเป็นห่วงเป็นใยเขาขนาดนี้ไหมเนี่ย”
“เอ๊ะมึงนี่มันยังไง พี่แค่อยากให้มึงเป็นคนรักษาคำพูด”
หนุ่มนักหนังสือพิมพ์มิวายเลียนคำอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงยั่วอารมณ์ “เออๆ ไปก็ได้ว่ะ”
เขาลุกขึ้นดันเก้าอี้ที่นั่งอยู่อย่างแรงจนไปกระทุ้งกับคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง ก่อนจะคว้ากระเป๋าคู่ใจแล้วเดินออกไป
บรรณาธิการหนุ่มใหญ่มองตามอย่างหมดอาลัยตายอยากในนิสัยประจำตัวของผู้เป็นลูกน้อง
“แหม่ นึกว่าจะเบี้ยวผมแล้วซะอีก”
น้ำเสียงของคนที่รอยังคงสดใสอยู่ พร้อมกับสีหน้ากวนเบื้องล่างเช่นเดิม
มีเพียงเสียงถอนหายใจเบาๆ แทนคำตอบ ใบหน้าเรียบเฉยไม่แม้แต่จะมองคนที่เพิ่งลุกขึ้นจากขอบบ่อน้ำพุตรงหน้าตึกทำงาน
“ทำหน้าให้มันดีๆ หน่อย”
“แค่ไปกินข้าวต้องร่าเริงแค่ไหนกันเชียว”
“นี่ถามจริง ในหัวเคยคิดอยากจะพูดกับผมดีๆ สักคำบ้างไหม”
ย้อนแย้งตัวเองไปดิ เจอกันครั้งแรกใครกันที่ทำท่าเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อเขาให้ได้ “พี่ธัน” เสียงปริศนาดังขึ้นทำให้สองหนุ่มที่กำลังเดินตามกันต้อยๆ ออกไปหันควับมายังเสียงเรียก ธันธเนศนั้นรู้ดีว่านั่นคือเสียงของใคร
เด็กหนุ่มในชุดกางเกงนักเรียนขาสั้นกับเสื้อยืดสะพายกระเป๋ากีฬายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
“อ้าว ว่าไงตี๋”
“พี่จะไปไหน วันนี้พี่บอกว่าจะไปซ้อมให้ผมไม่ใช่เหรอ”
“เออว่ะ กูลืมบอกไป โทษที วันนี้มีธุระน่ะ” เขามองมายังธันวาที่ยืนอยู่ข้างๆ
ใบหน้านิ่งเริ่มแสดงออกถึงความไม่พอใจ ราชวุฒิเป็นเพียงเด็กหนุ่มวัยมัธยม ที่คิดอะไรอยู่ก็แสดงออกมาตรงๆ ไม่อ้อมค้อม ไม่ซับซ้อนเหมือนผู้ใหญ่
“แต่พี่นัดกับผมก่อน”
“เอ๊า ก็...”
“หมายความว่าไง ซ้อมอะไร” หนุ่มนักเทควันโดที่ยืนอยู่ข้างๆ เริ่มสงสัยในบางอย่างหลังจากที่เงียบฟังอยู่ตลอดการสนทนา
“พี่ใช่ไหมที่มาแย่งพี่ธันไป ธุระอะไรสำคัญแค่ไหน ยังไงพี่ธันเขาก็นัดกับผมก่อน”
“เห้ยไอ้น้อง พูดงี้ก็สวยดิ”
คนอย่างธันวามีหรือจะพูดเปล่า ร่างสูงผลีผลามตรงมาทางเด็กหนุ่มทันที ธันธเนศเห็นท่าไม่ดีจึงคว้าแขนอีกฝ่ายไว้
“กูขอโทษ ไว้พรุ่งนี้วันเสาร์กูหยุดงาน มึงก็ไม่มีเรียน จะซ้อมให้มึงทั้งวันยังได้”
“นี่คุณเป็นโค้ชกีฬาเหรอ” ธันวาถามด้วยสีหน้าประหลาดใจสุดชีวิต ความเจ็บจากฝ่าเท้ากระทบหน้าอกวันนั้นเจ็บแปลบขึ้นมาในทันตา
“มันไม่สำคัญ มันสำคัญที่พี่ไม่รักษาคำพูด” เด็กหนุ่มพูดเสียงสั่นก่อนจะหันหน้าเดินออกไปทันที
“ตี๋ เดี๋ยวดิ” เขาทำท่าจะเดินตามแต่คนที่ยืนอยู่ข้างๆ คว้าสายกระเป๋าเขาไว้
“ไม่ต้องตามไป”
“เด็กมันโกรธผม คุณเห็นไหม” สีหน้าต่อว่าที่อีกฝ่ายทำให้เขาผิดสัญญา
“เอาน่า เด็กโกรธแปบเดียวมันก็ลืม”
“ความรู้สึกบางความรู้สึกเสียไปแล้วมันกลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้หรอกนะ”
“แล้วความรู้สึกผมล่ะ”
...
แม้อีกฝ่ายจะปล่อยแล้วก็ตาม แต่ธันธเนศก็เดินต่อไม่ไหวเมื่อได้ยินดังนั้น
ธันวานั่งมองสีหน้าซังกะตายตรงหน้าเป็นระยะ ในร้านข้าวต้มชื่อดังที่ตนเองเป็นคนเสนอ
“ยังไม่บอกผมเลยนะว่าเป็นโค้ชกีฬาหรือเปล่า”
“เปล่า ก็แค่สอนให้เด็กมันน่ะ”
“แล้วเล่นกีฬาอะไร”
“คาราเต้”
“กูว่าแล้ว” ผู้ฟังตบโต๊ะดังปัง “ตีนหนักแถมคล่องขนาดนั้น คนธรรมดาทำไม่ได้หรอก ไหนบอกว่าไม่เคยเรียนต่อสู้”
“แล้วจะอยากรู้ไปเพื่ออะไร”
“ก็แค่ถามดู”
ข้าวต้มปลาร้อนๆ กลิ่นหอมฉุยถูกยกมาเสิร์ฟตัดช่วงการสนทนา
“น้องครับ พี่ขอถ้วยเปล่าหน่อย”
ธันวานั่งมองอีกฝ่ายค่อยๆ ใช้ช้อนตักปลาออกทีละชิ้นๆ อย่างบรรจงไว้ในถ้วยแบ่งเล็กๆ ที่ขอมา
“ไม่กินเหรอ”
“อือ”
“งั้นเอามาให้ผม เสียของ”
ชายหนุ่มยกถ้วยที่มีเนื้อปลาเทลงไปในถ้วยตัวเองอย่างไม่มีทีท่าว่าจะรังเกียจหรือคิดเยอะ
“ยังไม่หมด”
“ตักมาใส่ถ้วยผมเลย” เขาพูดพลางผลักถ้วยเล็กๆ ที่ว่างเปล่านั้นออกห่าง ก่อนจะลงมือซดข้ามต้มอย่างไม่กลัวมันจะลวกปากเอา
“ชอบกินข้าวต้มเหรอ”
“อือ ผมว่ามันย่อยง่ายดี ไม่หนักท้อง ไม่ใช่แค่ข้าวต้มนะ โจ๊กก็ชอบ ทีแรกก็เฉยๆ แต่เพราะยีนส์เอามาให้ทุกวันก็กลายเป็นว่าชอบกินซะงั้น”
“เออ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ถามไรหน่อยดิ”
“ถ้าตอบได้ก็จะตอบ”
“คบกับเจ้าของโจ๊กคนนั้นมานานแค่ไหนแล้ว”
“ใครบอกคุณว่าผมคบกับยีนส์เขา”
“เอา ก็เห็นไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ”
“แหมะ ทำเป็นไม่สนใจ จริงๆ ก็แอบมองอยู่ตลอดนี่เอง”
“มันเด่นชัดขนาดนี้ต้องแอบมองด้วยเหรอ”
“ใช่เร๊อออออ”
“เออ งั้นกินต่อไปเถอะ ไม่ต้องตอบหรอก”
“ผมไม่ได้ชอบน้องเขาหรอก แค่รู้สึกดีที่เขาคอยเทคแคร์อยู่ตลอด ยีนส์เขาเป็นรุ่นน้องที่มหา’ลัย เขาเป็นดาวคณะ ส่วนผมเป็นรุ่นพี่เดือนคณะ เลยต้องร่วมกิจกรรมด้วยกันตลอด เลยได้ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ”
“งี้มันก็เหมือนให้ความหวังเขาหรือเปล่า”
“ผมเคยพูดไปกับยีนส์เขาไปตรงๆ แล้ว ว่าผมยังไม่อยากคบใคร”
“แล้วรู้จักกันขนาดนี้ ทำไมถึงต้องแอบเอาโจ๊กมาให้ด้วยว่ะ ทำไมไม่ให้กันตรงๆ เลย”
“ก็ตอนแรกน้องเขาเขินผมไง”
“คนซวยก็เลยเป็นกู”
“โอ๋ย แค้นฝังหุ่น”
“เออดิ ถ้าโดนต่อยก็คือโดนต่อยฟรีปะวะ”
“เอาน่า ขอโทษษษ”
รอยยิ้มที่ดูจริงใจปรากฏขึ้น เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นมัน หลังจากที่เมื่อก่อนเจอกันทีไรเป็นต้องแยกเขี้ยวยิงฟันใส่กันทุกที แต่ก็นั่นแหละ นี่อาจเป็นแผนการอย่างใดอย่างหนึ่งของศัตรูเขาจะหลวมตัวเชื่อไม่ได้เด็ดขาด
“นึกยังไงถึงมาญาติดีกับผม”
“ยังไง”
“ก็ที่ทำอยู่นี่ไง”
“ก็...” สายตาไม่นิ่งบ่งบอกว่าผู้ถูกถามเหมือนอ้ำอึ้งเพราะเขินอายที่จะพูดออกมา “เรื่องที่ผมท้องร่วงเกือบตายวันนั้น”
เมื่อได้ยินดังนั้นธันธเนศก็แทบกลืนช้อนลงไปทั้งคัน ถ้าไม่ใช่เพระความผิดเขา เขาก็คงไม่มีห่วงดูดำดูดีขนาดนั้นหรอก
“ทั้งที่ผมรู้นะว่าเป็นฝีมือคุณ”
เท่านั้นแหละ เสียงสำลักน้ำข้าวต้มก็ดังขึ้นทันที
นักหนังสือพิมพ์หนุ่มเดินกลับเข้ามาในคอนโดเงียบๆ หลังจากที่ธันวาขอแยกตัวไปช่วยแม่ของเขาปิดร้าน เขารู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก หลังจากที่รู้ว่าพรุ่งนี้คือวันหยุด แม้ยังไงเขาก็ต้องทำงานที่ค้างอยู่ให้เสร็จ แต่อย่างน้อยมันก็คือวันที่ได้พักผ่อนสมอง พักผ่อนจากหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างที่รบกวนสายตาและจิตใจ ซึ่งเขาหวังว่าอย่างนั้น
ความเงียบถูกทำลายลงด้วยเสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกง
“ธันธเนศครับ”
“พี่คือพี่ธันที่อยู่ยิมเดียวกับราชวุฒิใช่ไหมครับ”“ใช่ ใครพูดครับ”
“พี่ ผมเป็นเพื่อนของตี๋มันนะครับ ตอนนี้พี่ว่างหรือเปล่า ผมมีเรื่องอยากรบกวนพี่หน่อย” ธันธเนศยืนมองเด็กหนุ่มที่เมามายไม่ได้สติท่ามกลางผองเพื่อนวัยรุ่นทั้งหญิงและชายที่มีสีหน้าจนปัญญาจะจัดการกับตัวปัญหาตรงหน้านี้แล้ว
ดวงตาที่หลับพริ้ม กับปากที่พะงาบๆ เหมือนอยากจะพูดอะไร แต่ก็ฟังไม่ได้ศัพท์ เพราะสติที่แทบไม่มีเหลือ ใบหน้าใสซุกอยู่บนไหล่ของเพื่อนอีกคนที่ยังปกติดี หน้าอกหนาภายใต้เสื้อยืดผืนบางสั่นอยู่เป็นระยะจากอาการสะอึก
“อ้าว พี่คือพี่ธันใช่ไหมครับ”
“เออใช่ พี่เอง”
“พี่ช่วยผมหน่อย เพื่อนผมมันเป็นห่าอะไรก็ไม่รู้ อยู่ๆ ก็อยากจะเมา แต่กินไปได้ไม่ถึงสองแก้วก็น็อก แล้วก็โวยวายเรียกหาแต่พี่ บอกว่าจะไม่ยอมกลับถ้าพี่ไม่มารับมัน ผมเลยเอาโทรศัพท์มันมาค้นหาเบอร์พี่จนเจอ”
ชายหนุ่มเท้าสะเอวมองก่อนจะส่ายหัวอย่างระอา เป็นเพียงเด็กมัธยม แต่ริอาจยุ่งเกี่ยวกับอบายมุข ได้สติเมื่อไหร่ เห็นทีต้องเทศน์กันยาวๆ เรื่องนี้คงต้องถึงผู้ปกครองด้วย
“แล้วทำไมไม่พาเพื่อนกลับบ้านละครับน้อง”
“ทีแรกผมก็ว่าจะไปส่งมันที่บ้านแหละครับ แต่มันไม่ยอมลูกเดียว”
“เป็นงั้นไป แล้วบ้านมันอยู่ที่ไหน เดี๋ยวพี่ไปส่งมันเองก็ได้”
หลังจากรู้ที่อยู่เสร็จสรรพ ธันธเนศก็พยุงร่างไร้สติออกมาจากร้านเหล้า โดยมีเพื่อนๆ ตัวต้นปัญหาคอยช่วยจนถึงประตูแท็กซี่
“ฮื้อ มึงนี่มัน” เขาส่ายหัวเบาๆ ก่อนจะเอานิ้วเขี่ยผมที่ปิดหน้าผากออกให้ได้รับลมแอร์เย็นๆ ในรถได้อย่างเต็มที่
“น้องชายเหรอครับ” คนขับแท็กซี่เอ่ยขึ้นด้วยภาษาที่ติดสำเนียงถิ่นอีสาน
“อ้อ เอ่อ...ครับ น้องครับ”
“ทำตัวอย่างนี้พ่อแม่ไม่ว่าเหรอ”
“พ่อแม่อยู่ต่างจังหวัดน่ะครับ อาจจะไม่ค่อยได้มีเวลามาใส่ใจสักเท่าไหร่”
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง คุณก็เป็นพี่ชายที่ประเสริฐเนาะ คอยตามเช็ดตามล้างให้ถึงที่ เอ๊ะ หรือแอบพาน้องออกมาเที่ยวซะเอง”
“เปล่าพี่ ผมไม่ค่อยดื่มหรอก”
แท็กซี่จอดลงหน้ารั้วบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งเป็นทาวน์โฮมสองชั้นทรงโมเดิร์นใหม่เอี่ยม อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนที่ราชวุฒิเรียนสักเท่าไหร่นัก
“ถ้าตามที่อยู่ก็หลังนี้แหละครับ” คนขับแท็กซี่หันกลับมาบอกเขา
“ครับผม” เขาตอบ ก่อนจะควักเงินจ่ายตามตัวเลขดิจิตอลสีแดงที่ปรากฏอยู่ตรงหน้ารถ “นี่ครับ ไม่ต้องทอน”
พรุ่งนี้เป็นวันแรกของวันหยุดสุดสัปดาห์ที่เธอไม่มีเรียน ลักขณาจึงกลับมาบ้านหลังจากเรียนคาบสุดท้ายของวันศุกร์เสร็จ หลังทานมื้อค่ำกันอย่างพร้อมหน้ากับพ่อแม่และน้องชาย เธอก็อาบน้ำแล้วออกมานั่งเล่นที่ชิงช้าในสวนหน้าบ้าน ก่อนที่จะมีไฟจากรถคันหนึ่งสาดมาปะทะเข้าที่ตาของเธอ มันจอดลงตรงหน้าบ้านที่อยู่ติดกัน
ตี๋เหรอ?เธอคิดก่อนจะวิ่งมาหยุดอยู่หน้ารั้วบ้านของตัวเอง หวังทักทายอีกฝ่าย แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่าคนที่ก้าวออกมาคนแรกไม่ใช่ราชวุฒิ แต่เป็นธันธเนศ
เธอเบี่ยงตัวหลบเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเห็น หนุ่มรุ่นพี่หน้าตาหล่อเหลาก้าวออกมาพร้อมกับดึงกระเป๋ากีฬาใบโตออกมาสะพายไว้ ก่อนจะโน้มตัวลงไปดึงร่างไร้สติที่เธอรู้จักดีออกมาจากรถอย่างทุลักทุเล
เธอไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่เด็กหนุ่มตัวคนเดียวที่ห่างบ้านมาเรียนในกรุงเทพฯ ในสภาพที่ไร้สติสตัง กับชายหนุ่มอายุมากกว่าด้วยท่าทีมีลับลมคมใน มันทำให้เธออดไม่ได้ที่จะคิดไปในทางที่ไม่ดี ลักขณายกมือถือขึ้นมากดบันทึกเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่หน้าประตูรั้วจนทั้งคู่หายเข้าไปในบ้านไว้ พร้อมกับใจที่เต้นตุบๆ ดุจกลองสะบัดชัย
เมื่อรู้ว่าไม่มีคนอื่นอยู่ในบ้านเลย ธันธเนศจึงตัดสินใจค้นหากุญแจออกมาเปิดประตู แล้วพยุงเด็กหนุ่มวัยมัธยมที่ตัวโตกว่าเข้าไปในบ้านด้วยความทุลักทุเลพอสมควร ก่อนจะทิ้งร่างที่หนักอึ้งลงบนโซฟาในห้องรับแขกชั้นล่าง
“มึงนี่มันภาระจริงๆ เลย” เขานั่งปาดเหงื่ออยู่ข้างๆ มองร่างหลับสนิทที่หายใจแผ่วอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกเดินเข้าไปทางหลังบ้านที่คิดว่าน่าจะเป็นครัว
เขาเปิดไฟ เพื่อมองหาสิ่งที่ต้องการ
ภาชนะใส่น้ำไว้เกือบเต็มถูกยกมาวางลงข้างๆ ตัวเด็กหนุ่ม เขารื้อหาผ้าขนหนูในกระเป๋ากีฬานั้น ก่อนจะหยิบมันออกมาชุบน้ำแล้วเช็ดตัวให้เด็กขี้เมา เมื่อเช็ดตัวเสร็จเขาก็เดินไปเปิดแอร์ทิ้งไว้ แล้วจัดการกับทุกสิ่งที่เอาออกมาใช้ไว้ในที่ๆ มันควรอยู่ ก่อนจะไล่ปิดไฟจนครบทุกดวง แล้วเปิดประตูเพื่อที่จะกลับ
ก่อนประตูบ้านจะปิดลง นักหนังสือพิมพ์หนุ่มก็ต้องหยุดชะงักงันอยู่อย่างนั้น เมื่อคำพูดบางอย่างที่ดังออกมาจากปากคนที่นอนแผ่หลาไร้สติอยู่ดันมาเข้าหูเขาพอดิบพอดี มันเป็นเสียงเพ้อพกที่บอกเรื่องราวบางอย่างได้อย่างชัดเจน
เวลาผ่านไปชั่วขณะ ธันธเนศพยายามดึงตัวเองออกจากภวังค์นั้น ก่อนจะปิดประตูอย่างเบามือ แล้วเดินหายไปในความมืด
... ก่อนเหมันต์ ...