เข้ามาอัพก่อนกลับบ้าน(นอก)
มาต่อกันเลยเน๊าะ กำลังสนุก
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
INTERMEZZO chapter# 8 พิรุณาสบตาเคนนิ่ง ดวงตาคู่สวยซึ้งตรึงตรานั้นจ้องมองอย่างตรงไปตรงมา ท่ามกลางบรรยากาศสงบยามค่ำคืน มีเพียงสายลมที่พัดเอื่อยๆส่งให้โคมดวงน้อยห้อยพู่ระย้าแกว่งไกวเบาๆ เคนหรี่ตาลงครึ่งหนึ่งพยายามหาคำตอบให้กับตัวเองว่าพิรุณาจะตอบคำถามของเขาอย่างไร แต่ความพยายามนั้นไร้ผล เขาจำต้องพยักหน้าลงรับเงื่อนไขของพิรุณาจนได้
‘ฉันรับปาก ว่าไม่ว่าคำตอบที่ฉันกำลังจะได้จะเป็นอย่างไร ความสัมพันธ์ของเราจะไม่เสื่อมถอย’ พิรุณาเม้มปากบางแน่น ก่อนจะก้มหน้าลงมองเท้าตัวเองอยู่ครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจเบาๆ หลังจากรวบรวมความกล้าได้อีกครั้งเขาก็เงยหน้าขึ้นสบตากับสายตาคาดหวังนั้น
‘เคน....ฉันก็ขอยอมรับว่ารักนาย…’ สีหน้าของเคนแช่มชื่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จนพิรุณานึกลังเลใจกับสิ่งที่จะพูดต่อไป
‘แต่สิ่งที่ฉันรักในตัวนาย มันต่างจากสิ่งที่นายรักจากตัวฉัน ฉันรักในมิตรภาพที่นายหยิบยื่นให้ รักในน้ำใจของนาย นายเป็นเพื่อนแท้ของฉัน ในชีวิตที่ผ่านมา ทำให้ฉันไม่อาจมอบความไว้วางใจใครได้สนิทใจ จนมาเจอนาย’ เคนพยายามมองว่าพิรุณาต้องการสื่ออะไร มอง...ราวกับจะให้ทะลุไปถึงเนื้อหัวใจ
‘ดังนั้นฉันจึงกลัวมากที่จะตอบคำถามนี้ กลัวว่าความทรงจำดีๆของเราที่ร่วมกันมาจะไม่เหลืออะไรเลยถ้าฉันตอบคำถาม แต่ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว ฉันจำเป็นต้องให้คำตอบ’พิรุณาสูดหายใจเข้าลึกๆ
‘ฉันดีใจและอยากขอโทษ....ดีใจที่นายมอบความรู้สึกดีๆให้ และขอโทษที่ฉันไม่อาจรับความรู้สึกนั้นไว้ได้’ เคนปล่อยมือที่โอบอยู่หลวมๆลงราวกับหมดเรี่ยวแรง พิรุณาจับมือแข็งแรงที่ทิ้งลงอย่างอ่อนล้ามากุมไว้ เคนสลัดมือออกแล้วส่งภาษามือให้อย่างอ่อนแรงเต็มที
‘หมายความว่า พิรุณาไม่ได้รักฉันสินะ ถ้าเป็นนายธีรธีนั่นก็ไม่แน่ใช่ไหม?’ แววตาเจ็บปวดของเคนทิ่มแทงหัวใจพิรุณา รู้สึกราวกับว่าได้กระทำสิ่งที่ไม่ควรให้อภัยต่อเพื่อนคนนี้ ทำร้ายเข้าที่ใจอย่างแรง
‘ฉันรักเคน รักอย่างเพื่อน นั่นไม่เกี่ยวกับใครทั้งนั้น ตอนนี้ตัวฉันเองไม่พร้อมที่จะรับใครอีกคนเข้ามาในชีวิต ไม่พร้อมที่จะแบ่งครึ่งหนึ่งของชีวิตตัวเองให้ใคร นายไม่เข้าใจหรอกว่าการอยู่ตัวคนเดียวมาตลอด ไม่มีญาติ ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีเพื่อน เรื่องง่ายๆอย่างการพูดหรือการฟังก็ทำไม่ได้ รู้ไหมว่ามันแย่ขนาดไหน!!!’พิรุณาทำท่าทางภาษามืออย่างกระแทกกระทั้นในตอนท้ายระบายสิ่งที่อัดอั้นตันใจออกมา ดวงตาคู่สวยแดงก่ำ ทำให้เคนยอมอ่อนลง
‘ขอโทษ’ เคนสวมกอดพิรุณาไว้กับอกอีกครั้ง นึกโทษตัวเองที่ทำให้พิรุณารู้สึกไม่ดี
‘แสดงว่าฉันยังมีโอกาสใช่ไหม ถึงนายจะยังไม่พร้อมในตอนนี้ แต่ต่อไปก็ไม่แน่ใช่ไหม? ถ้าฉันยังพยายามต่อไปฉันจะยังมีโอกาสได้หัวใจดวงนั้นใช่ไหม?’ เคนถามเมื่อคลายอ้อมกอดแล้ว พิรุณามองเคนอย่างงงๆก่อนจะหลุดยิ้มออกมา
‘ใช่ แล้วเวลาจะเป็นตัวตัดสิน’ วงแขนเรียวเนียนโอบรอบคอเพื่อนรักที่กำลังหัวเราะออกมาอย่างสดชื่นราวกับเป็นคนละคนกับเมื่อครู่ ก่อนจะใช้หน้าผากมนชนหน้าผากเพื่อนเบาๆ
‘อย่าเอาเถิกมาชนเซ่’ เคนส่งภาษามือให้พิรุณาอย่างอมรมณ์ดี ทำให้พิรุณาหัวเราะ แม้จะไม่มีเสียงออกมา แต่ดวงหน้านั้นตราตรึงอยู่ในใจทำให้รู้สึกเป็นสุขเหลือเกิน
เหล่าเพื่อนพ้องทั้งแปดนั่งคุยกันรอเที่ยวบินที่จะกลับอยู่ในคาเฟ่ซึ่งจัดไว้มุมหนึ่งของสนามบิน พิรุณายกแก้วคาปูชิโน่ของตัวเองขึ้นดื่มอึกใหญ่ก่อนจะวางลง มองเพื่อนๆที่กำลังหัวเราะเขาอย่างงงๆ ปองหยิบทิชชูขึ้นมาเช็ดจมูกให้ทั้งๆที่ยังขำ เมื่อเช้าเขาและเพื่อนๆไปส่งเหล่านักศึกษาที่ร่วมแสดงในคอนเสิร์ตวันก่อนที่สถานีรถไฟ หลังจากวันก่อนหน้านั้นออกเที่ยวกันเต็มที่จนเหมือนมาก่อม๊อบกลายๆ ความผูกพันธ์ที่ก่อตัวขึ้นในเวลาสามเดือนทำให้คนบางคนแถวนี้ร้องไห้ขี้มูกโป่ง จะเห็นได้จากหลักฐานที่ตาสีฟ้าใสแดงอยู่เล็กน้อย กับ ตาบวมนิดหน่อย เคนก้มลงมองนาฬิกาข้อมือแล้วพูดบางอย่างกับเพื่อนๆ ก่อนจะเอามือมาหาพิรุณาที่นั่งอยู่ด้านขวาของเขา ใช้มือแข็งแรงนั้นเปิดผมที่ปรกหน้าผากพิรุณาขึ้น แล้วประทับริมฝีปากลงไปเบาๆก่อนจะปล่อยผมสีน้ำตาลออกแดงของพิรุณาให้กลับเข้าที่เดิมโดยไม่ลืมเซตกลับให้เข้าที่ดูดีเหมือนเดิม
“คนทะลึ่ง ลามก โรคจิต!!” ทีน่าและเกรซรีบตะโกนแข่งกัน
“จะตะโกนทำไม ถึงตะโกนไปไอ้คุณเคนมันก็ไม่อายหรอก”เทรสกล่าวอย่างหน่ายๆ สายตาเหลือบไปเห็นคนสองคนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี คนหนึ่งคือเอ็ดเวิร์ด ฮอร์น และอีกคนเป็นสตรีวัยกลางคนที่ยังสวยพริ้งแต่งตัวเก๋ไก๋โดยสวมหมวกสีดำใบ้เล็กเอียงนิดๆ
“มาแล้ว” อเล็กซ์รีบเรียกเพื่อนๆให้หันไปมอง เอ็ดเวิร์ด ฮอร์นเดินเข้ามาพร้อมภรรยาที่ควงแขนกันกระหนุงกระหนิง
“สวัสดีครับอาจารย์เอ็ด นี่คงเป็นคุณนาย” เทรสรับมือของคุณนายฮอร์นมาจุมพิตที่หลังมือเบาๆตามมารยาท
‘เมื่อวานนี้หายต๋อมไปทั้งคู่เลยนะฮะ ไปแอบจู๋จี๋กันที่ไหน’ พิรุณาแซวอาจารย์ เอ็ดเวิร์ด ฮอร์นจึงมอบมะเหงกให้เป็นของขวัญแกศิษย์รัก
‘ทำเป็นรู้ดี’
“อาจารย์ครับผมขอตัวก่อนนะครับได้เวลาขึ้นเครื่องแล้ว”เคนกล่าวพลางรวบเสื้อตัวนอกพาดไว้กับท่อนแขน
“เฮ้ย มาตามให้ไปพร้อมกันนี่แหล่ะ ไฟลท์เดียวกัน” เคนทำหน้างงๆ แต่ก็หยักหน้ารับแต่โดยดี ให้ไปบอกปอง
“คุณปองดูแลพิรุณาให้ดีนะ” ปองรับคำสั้นๆ
“คุณปองถ้ามีอะไรโทรหาผมก็ไ ด้นะครับ”เคนยังคงฝากฝังต่อไป
“พอแล้วเคน ปองเขารับผิดชอบในหน้าที่น่า อย่าไปเซ้าซี้เขานัก เราไปได้แล้ว” เอ็ดเวิร์ด ฮอร์น ตบบ่าเคนแรงๆ คุณนายฮอร์นเข้าไปกอดพิรุณาแล้วส่งภาษามือให้อย่างชำนาญ เธอเป็นครูสอนภาษามือมาก่อน
‘ดูแลตัวเองด้วยนะจ๊ะ ครูไปล่ะ’
‘ฮะ เดินทางดีๆนะฮะครูหญิง’ พิรุณายิ้มกว้าง เขามักเรียกภรรยาของเอ็ดเวิร์ด ฮอร์นต่อหน้าว่า ครูหญิง ถ้าเป็นลับหลังจะเรียกคุณนาย ทำให้เพื่อนๆเรียกตามไปด้วย
“เกรซดูและตัวเองดีๆนะเรา อย่าหายไปเฉยๆบ่อยนักล่ะเดี๋ยวจะเดือดร้อนกันหมดอีก”
“แหม ถ้าเกรซไม่คอยหายตัวไปบ่อยๆ เพื่อนก็เบื่อแย่สิคะ” ทุกคนหัวเราะกับคำตอบเอาสีข้างเขาถูของเกรซ ก่อนจะบอกลา หลังจากคนทั้งสามหายลับไปจากสายตาแล้ว เทรสก็ลุกขึ้น
“ได้เวลาแล้วหรอ?” ทีน่าถามอย่าง
“ยัง แต่ก็ใกล้แล้วจะไปห้องน้ำหน่อย ไปไหม?”หลายคนพยักหน้าก่อนจะเดินตามกันไปจนเหลือเพียงเกรซและพิรุณาเท่านั้นที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ
‘เมื่อคืนก่อนเคนถามฉันแล้วนะ’ พิรุณาเริ่มเล่าถึงเรื่องของตัวเอง ทำให้เกรซเกาะขอบโต๊ะชะโงกหน้าเข้ามาอย่างสนใจ
‘แล้วนายตอบว่าอะไร?’
‘ฉันตอบไปว่าฉันยังไม่พร้อมน่ะ’ เกรซพิงพนักเก้าอี้อีกครั้งพลางกอดอกครุ่นคิด
‘หมายความว่าเคนยังมีโอกาสอยู่ใช่ไหม?’
‘คงงั้นมั้ง’ พิรุณาตอบอย่างไม่มั่นใจในตัวเองสักเท่าไหร่นัก
‘ถ้านายตอบจากใจจริงก็โอเคแหล่ะ เคนไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้ง่ายๆ เขาจะสู้ต่อไปจนกว่าจะได้สิ่งที่ต้องการมา’
‘ชีวิตที่ผ่านมาของฉันมันสอนให้ฉันซื่อตรงต่อตัวเอง ดังนั้นคำตอบที่เคนได้รับเป็นคำตอบที่มาจากใจฉันอย่างแท้จริง’
‘ดีแล้ว อย่างน้อยเคนก็โรแมนติกกว่าคนบางคน’ เกรซหมายถึงคนบางคนที่กำลังจามสนั่นห้องน้ำชาย
‘ทำไมอ่ะ?’
‘จะบอกรักบอกชอบทั้งที ดันมาบอกหน้าห้องน้ำ’ พิรุณาหัวเราะขำกลิ้งแทบตกเก้าอี้ ในขณะที่เกรซทำแก้มป่องลุกพรวดขึ้น
‘โกรธแล้วๆ ขอโทษ..ที่ขำ’พิรุณาปาดน้ำตาที่หางตาพลางยกมือกุมท้องไว้
‘จะไปห้องน้ำ เฝ้าของให้ด้วย’ เกรซเดินตึงตังออกไปอีกคนเหลือเพียงพิรุณาเฝ้าโต๊ะอยู่คนเดียว
พิรุณาชะโงกหน้าข้ามโต๊ะไปเห็นกล่องใส่ไวโอลินสีแดงเปรอะๆของเกรซก็คิดขึ้นได้ หยิบกล่องขึ้นเปิดออกดู ไวโอลินตัวสวยที่สายเส้นหนึ่งขาดไปนอนสงบนิ่งอยู่ในกล่องนั้น พิรุณาไม่คิดจะหยิบมันออกมา เขาเพียงแต่ต้องการจะดูเท่านั้น นิ้วมือเรียวสวยจับสายที่ขาดขึ้นพิจารณาดูตรงรอยขาด ดวงตาคู่สวยเขม่นมองพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายภาพของมันไว้พลางยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเก็บกลับให้คืนสภาพเดิมแล้วปิดกล่องวางลงอย่างเบามือยังที่เดิมที่หยิบมา
ภายในครึ่งเดือน เกรซจะต้องรีบมาบอกเรื่องน่าตกใจแน่....
พิรุณาเดินมาตามทางเดินของเครื่องบินในชั้นeconomic พลางสอดส่ายสายตามองหาที่นั่งของตัวเอง จนในที่สุดก็พบว่าอยู่ริมซ้ายสุดของเครื่อง พิรุณาเอื้อมมือขึ้นไปยังชั้นสูงเหนือหัวเก็บกระเป๋าใบขนาดเล็กของตัวเองไว้บนนั้นเพื่อให้นั่งได้สบายขึ้นด้วยความช่วยเหลือของแอร์โฮสเตทสาวร่างสูง ก่อนจะเข้าไปนั่งริมติดหน้าต่าง ตามมาด้วยปองนั่งลงข้างๆกันส่วนเก้าอี้ตัวนอกสุดไม่มีใครนั่ง ไฟลท์นี้คนไม่เต็มนั่นเป็นสิ่งที่พิรุณาพอใจ เพราะการนั่งไฟลท์ที่คนเยอะๆนั้นทำให้เขารำคาญ เพราะบางครั้งผู้ร่วมเดินทางก็มารยาทไม่ค่อยดีนัก
‘ได้กลับบ้านสักทีนะครับ’ปองส่งภาษามือให้พลางยิ้ม
‘นั่นสิ ป่านนี้เจ้าหมาจะเป็นยังไงบ้างนะ’ พิรุณาตอบแล้วคาดเข็ดขัดนิรภัยตามที่สัญญาณไฟขึ้น
‘ไฟลท์นี้คนน้อยดีนะครับ’
‘นี่แหล่ะดี เวลานอนจะได้สบาย’ พิรุณาหยิบหนังสืออ่านเล่นออกมาจากกระเป๋าใบเล็กที่ไม่ได้เก็บไว้บนช่องเหนือศรีษะออกมาพลิกหาหน้าที่อ่านค้างไว้ แล้วยิ้มหวานให้แอร์โฮสเตทที่เมียงมองเขาอย่างสงสัย
‘ต่อไปพวกเราคงเหงาหน่อยนะครับที่ไม่มีคุณเกรซมาป้วนเปี้ยนอยู่ในบ้าน’ พิรุณายิ้มบางๆที่ริมฝีปาก
‘อะไร เหงาหรอ ย้ายมาอยู่เสียด้วยกันสิ’
‘ไม่ดีกว่าครับ ผมคิดว่าคุณพิรุณาควรจะมีเวลาเป็นส่วนตัวบ้าง มิอย่างนั้นจะกลายเป็นว่าผมกับคุณพิรุณาติดหนึบกันตลอด อย่างนั้นออกจะไม่แฟร์ทั้งสำหรับคุณพิรุณาเองและตัวผมด้วย’ พิรุณาพยักหน้าเบาเขาต้องยอมรับความคิดของปอง และต้องให้เกียรติปองตัดสินใจเรื่องบางเรื่องด้วยตัวเอง
‘แล้วยังมีใครคอยตามตื้ออยู่หรือเปล่า?’ พิรุณาลองถามอ้อมๆถึงเรื่องเก่าๆที่ปองทำเหมือนพยายามจะลืมมันไปเสีย
‘ก็ไม่มีแล้วล่ะครับ’ ปองตอบไปอย่างนั้นทั้งที่จริงๆแล้ว แม้คนที่คอยตามนั้นจะไม่เปิดเผยตัว แต่ปองรู้ว่าเขาอยู่แถวนั้น คอยเฝ้ามองให้เขาเข้าบ้านอย่างปลอดภัย และรอจนกว่าเขาจะดับไฟเข้านอน
‘คุณปอง...โกหก’ พิรุณาส่งภาษามือมาให้พลางยิ้มอย่างเอ็นดู
‘คุณปองน่าจะรู้ตัวว่า เป็นคนโกหกไม่เนียน หรือถ้าจะให้ร้ายกว่านั้นคงต้องบอกว่า โกหกได้แย่มากต่างหาก’ ปองทำหน้าเหรอ
‘คนโกหกจับผิดได้จากสีหน้า แววตา และท่าทาง คุณปองมีครบทั้งสามอย่างเลย’ พิรุณาหัวเราะกับท่าทางของปอง
‘แย่ถึงขนาดนั้นเลยหรอครับ’
‘น่า รู้ตัวแล้วว่าเป็นพวกโกหกไม่เก่ง คราวหลังก็อย่าทำอีกสิ คุณปองไม่งีบหน่อยเหรอ อีกตั้งสองสามชั่วโมงกว่าเขาจะเสิร์ฟอาหาร’ ปองพยักหน้าแล้วสวมหูฟังที่ทางสายการบินมีบริการก่อนจะหลับตาลงงีบหลับ
พิรุณาอ่านหนังสือเล่มนั้นอย่างต่อเนื่องเป็นชั่วโมงๆ โดยปองหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวแถวยังโงกเงกจนพิรุณาออกจะรำคาญ ทนไม่ได้จริงต้องเอื้อมมือไปดึกศีรษะปองมาพิงไหล่ตัวเองก่อนจะอ่านหนังสือต่อไป แอร์โฮสเตทสาวคนหนึ่งเดินเอียงอายเข้ามาหาพิรุณา พร้อมกับกระดาษและปากกาเพื่อขอลายเซนต์
“ขอโทษนะคะ ใช่คุณพิรุณาหรือเปล่าค่ะ?” พิรุณาเงยหน้าจากหนังสืออ่านปากแอร์สาวพอได้ความจึงพยักหน้าแล้วยิ้มให้พอรักษามารยาท
“ช่วยเซนต์ให้หน่อยได้ไหมคะ?” พิรุณายิ้มรับ แล้วรับปากกามาถือไว้ ก่อนจะนึกขึ้นได้หยิบสมุดโน้ตเล่มเล็กที่พกติดตัวขึ้นมาเขียน
จะให้เขียนว่าให้ใครดีครับ?
พิรุณาชูกระดาษสีนวลๆนั้นขึ้น แอร์โฮสเตทสาวก็ยิ้ม แล้วพูด พิรุณาอ่านปากได้คำว่าเกรซ
ชื่อเหมือนเพื่อนผมเลย
พิรุณาเขียนข้อความต่อจากข้อความเก่าในกระดาษแผ่นเดิมนึกถึงเพื่อนสนิทที่ป่านนี้คงนั่งอยู่บนเครื่องบินเหมือกัน
“จริงหรอคะ ชื่อลูกสาวน่ะค่ะ เกรซที่ว่าใช่เกรซหัวหน้าวงลอนดอนหรือเปล่าคะ?”พิรุณาจ้องริมฝีปากของแอร์สาวใช้ความสามารถพิเศษแกะข้อความจากริมฝีปากนั้น แล้วพยักหน้า ก่อนจะก้มหน้าลงเซนต์ชื่อให้ตามที่ถูกขอร้อง
“ถ้าไม่รังเกียจ เชิญไปถ่ายรูปกับพวกเราในครัวด้านหน้าหน่อยได้ไหมคะ?” แอร์โฮสเตทสาวถามอย่างมีความหวัง พิรุณายิ้มน้อยๆ เริ่มเห็นดีด้วยที่จะได้ลุกเดินเปลี่ยนอิริยาบทเสียบ้าง อีกอย่าง
ในครัวเท่ากับมีของกิน แอร์โฮสเตทสาวเดินนำพิรุณาเข้าไปในครัวด้านหน้าของเครื่องบินซึ่งติดกัน First Class เธอเปิดม่านหนาหนักออก ในครัวพื้นที่แคบๆมีทั้งแอร์โฮสเตทและสจ๊วตเบียดตัวกันอยู่ในนั้น พอม่านเปิดออก แอร์สาวบางคนกำลังจะอ้าปากค้างกำลังกินอาหาร บางคนกำลังแต่งหน้า พอเห็นพิรุณาเดินเข้ามาก็แทบจะกรี๊ด รีบเก็บทุกอย่างเข้าที่
“คุณพิรุณาน่ารักจัง ขอถ่ายรูปหน่อยนะคะ” พิรุณายอมให้เหล่านางฟ้าและนายฟ้าบนเครื่องบินถ่ายรูปจนหนำใจ ดูเหมือนพวกเขาจะลืมสังเกตไปว่ามีสัญญาณเรียกจากผู้โดยสาร first Class
“ขอกอดทีได้ไหมคะ น่ารักจัง”
แอร์สาวมะรุมมะตุ้มอยู่กับพิรุณา เข้ามากอดโดยไม่ต้องรอคำตอบจากเขา จนอดรู้สึกเหมือนถูกลวนลามนิดๆไม่ได้ ม่านหนาหนักปิดครัวนั้นเปิดขึ้น ร่างสูงใหญ่ในเสื้อเชิ้ตขาวโผล่หน้าเข้ามาพร้อมกับถ้วยกาแฟในมือ ดวงตาคมกล้าสีนวลมองเหล่านางฟ้าและนายฟ้าทั้งหลายอย่างตำหนิ ชายคนนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้เลย ถ้าไม่ใช่ ธีรธร
“มาอยู่นี่กันหมด ขอโทษ ผมกดเรียกหลายรอบไม่เห็นมีใครมาดูเลยเดินมาเอง” ประโยคแรกของเขาเหมือนพึมพำกับตนเอง ต่อมาจึงพูดกับพนักงานบนเครื่อง ดวงตาคมกริบนั้นเห็นร่างโปร่งบางที่คุ้นตา ริมฝีปากหยักสวยเข้ากับดวงหน้าคมสันยกขึ้นแสยะยิ้ม
“คุณพิรุณา ไม่นึกว่ามาสิงสูอยู่ที่นี่ด้วยอีกคน” พิรุณาเสมองไปทางอื่นราวกับไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา ทำให้ธีรธรเริ่มโมโหนิดๆ
“ขอกาแฟด้วยครับ”ธีรธรส่งแก้วกาแฟในมือให้แอร์สาวคนที่อยู่ใกล้ที่สุดรับไป
“นักดนตรีชื่อดัง ยอมนั่งชั้นecoข้ามทวีป ประหยัดไปหรือเปล่าคุณ”ธีรธรเริ่มพูดจาเสียดสีพิรุณา ที่ทำท่าไม่สนใจเขา
แอร์โฮสเตทสาวส่งแก้วกาแฟที่เติมแล้วให้ธีรธรอย่างงงๆ มือใหญ่แข็งแรงของธีรธรเข้าฉุดรั้งข้อมือพิรุณาให้เดินตามออกมาโดยไม่ลืมแก้วกาแฟของตน เขากึ่งลากกึ่งจูงพิรุณาไปตามทางเดินแล้วโยนแปะร่างโปร่งบางให้นั่งลงที่เก้าอี้ว่างข้างเขา พิรุณามองธีรธรตาเขียวพลางคลำข้อมือตัวเองอย่างเจ็บๆ ในหัวกำลังคิดต่อว่าที่ทำให้เขาอดกินขนม
‘เจ็บนะ ไม่เห็นต้องลากถูลู่ถูกังอย่างงี้เลย’ พิรุณาส่งภาษามือต่อว่า ธีรธรซดกาแฟอึกหนึ่งแล้วหันมา
“นั่งนี่แหล่ะจนกว่าจะถึง ทนนั่งอยู่ได้ชั้น eco แคบจะตาย” ธีรธรพูดแล้วซดกาแฟอีกอึก นึกสงสัยว่าทำไมเขาถึงคุยกับพิรุณารู้เรื่องก็ไม่รู้ ทั้งที่พิรุณาไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด และเขาเองก็ไม่รู้ภาษามือ
‘ผมนั่งได้หรือนั่งไม่ได้ก็ไม่ใช่ธุระอะไรของคุณ’ พิรุณาทำท่าจะลุกเดินหนีเอาดื้อๆ ธีรธรรีบ จับข้อมือบางนั้นไว้หลวมๆ เพราะเกรงว่าถ้าออกแรงมากกว่านี้ ข้อมือบางนี่จะหักเสียก่อน
“เดี๋ยวสิ ฉันซื้อเครื่องบินส่วนตัวให้สักลำดีไหม?”พิรุณากระพริบตาปริบๆแล้วส่งภาษามือโวยวาย
‘ไม่ต้องมาทำเป็นอวดรวย ว่างนักหรือไงถึงเที่ยวยุ่งเรื่องชาวบ้าน’ ธีรธรหัวเราะกับท่าทางโวยวายแบบตื่นๆของพิรุณา
“ใครเขาจะยอมลงทุนซื้อให้จริงๆกันล่ะ สู้เอาเงินไปลงทุนทำอย่างอื่นเสียดีกว่า”ธีรธรพูดด้วยเสียงและทำหน้าตายียวนที่สุด จนพิรุณาอยากกระโดดบีบคอเสียให้ตายคามือ
‘หมดธุระหรือยัง ผมจะกลับไปนั่งเป็นเพื่อนคุณปอง’ พิรุณาแยกเขี้ยว ตั้งท่าเตรียมสู้ยิบตา
“นั่งนี่แหล่ะคุณ จะไปไหนอีกล่ะ คุณปองไม่หายไปไหนหรอก”ธีรธรดื่มกาแฟแล้วเริ่มอ่านหนังสือพิมพ์โดยที่มืออีกข้างจับข้อมือพิรุณาไว้ พิรุณาพยายามบิดข้อมือออกจากการเกาะกุมแต่ก็ไม่สำเร็จ จนธีรธรรำคาญ
“นั่งนิ่งๆไม่เป็นหรือไงคุณ ยุกยิกอยู่ได้คนจะอ่านหนังสือพิมพ์”
‘ก็ใครใช้ให้คุณจับมือผมไม่ปล่อยแบบนี้ล่ะ ปล่อยซะที’พิรุณาทำท่าทางภาษามืออย่างทุลักทุเลเนื่องจากมือถูกพันธนาการไว้ด้วยมือแข็งแรง พิรุณายังพยายามดิ้นยุกยิกต่อไป
“หยุดเสียทีน่า” พิรุณาแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องยังคงพยายามเอาชนะมือที่เกาะกุมนั้นให้ได้
“บอกให้หยุดไง! แล้วช่วยถือหนังสือพิมพ์ข้างโน้นด้วย”ธีรธรออกคำสั่งกระแทกเสียง ดวงตาคมกล้านั้นวาววับน่ากลัว พิรุณาจึงทำได้เพียงเบ้ปาก ใช้มือข้างที่ว่างยกหนังสือพิมพ์ขึ้นให้อยู่ในระดับเดียวกับธีรธร ซึ่งสูงเกินไปสำหรับพิรุณา
‘คุณก็ยกข้างนั้นต่ำหน่อยสิ’ พิรุณาปล่อยหนังสือพิมพ์ข้างที่ถืออยู่แล้วส่งภาษามือให้อย่างทุลักทุเลอีกครั้ง
“โธ่เอ๊ย เรื่องมากชะมัด”ธีรธรบ่น แต่ก็ยอมลดระดับความสูงลงนิดหน่อย พิรุณากลับไปจับหนังสือพิมพ์ด้านเดิมให้อยู่ในระดับอีกครั้ง เมื่อขัดขืนไม่ได้ เขาก็เลยเริ่มอ่านข่าวที่อยู่ตรงหน้าเขาเสียเลย
ธีรธรอ่านหนังสือพิมพ์ต่อไปครู่ใหญ่เริ่มรู้สึกว่าพิรุณาเลิกยุกยิกแล้ว หลังจากฮึดฮัดอยู่พักหนึ่ง เขาอ่านข่าวที่อ่านค้างอยู่จนจบ แล้วแอบชำเลืองมองคนนั่งข้างๆ เขาเห็นพิรุณากำลังตั้งใจอ่านข่าวตรงหน้าเช่นกัน ดวงหน้าขาวเนียนหากไม่ขาวซีด ออกเป็นสีนวลๆนับสัมผัส ดวงตาสีน้ำตาลออกแดงที่ถูกล้อมด้วยขนตายาวกำลังกวาดมองตัวอักษรอย่างตั้งใจพลางขมวดคิ้วนิดๆ ริมฝีปากแดงด้วยสีแห่งธรรมชาติเผยอเล็กน้อยช่างเย้ายวนให้ลิ้มลองดีแท้.....ธีรธรจ้องมองริมฝีปากนั้นอย่างเผลอไผล โดยไม่รู้ตัวเขายื่นหน้าเข้าไปใกล้ดวงหน้านวลนั้น ปล่อยข้อมือบางให้เป็นอิสระ และใช้มือข้างที่วางค่อยสัมผัสคางสวยให้หันมา พิรุณาหันขวับมามองเมื่อถูกสัมผัสเข้าที่คาง แต่แล้วก็ตะลึงค้าง เมื่อริมฝีปากหยักสวยนั้นสัมผัสลงบนริมฝีปากตน
พิรุณาพยายามใช้มือข้างที่เพิ่งหลุดพ้นจากพันธนาการผลักอกแข็งแกร่งนั้นให้ถอยห่างออกไป แต่ดูเหมือนเรี่ยวแรงที่มีระเหยหายไปสิ้น ริมฝีปากนั้นยังคงตักตวงความหอมหวานอย่างเต็มที่ พิรุณารู้สึกราวกับจะหลอมละลายคาเก้าอี้นุ่มนิ่มตัวนี้เสียแล้ว ในชีวิตเขาโดนกอดโดนจูบมาก็มาก จากเพื่อนบ้างจากคนที่ชื่นชอบผลงานเขาบ้าง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึก...ร้อนรุ่ม...อย่างนี้ ธีรธรค่อยๆถอนริมฝีปากออกอย่างเชื้องช้า ดวงตาสีนิลเป็นประกายนั้นสบกับดวงตาของพิรุณาจนพิรุณาไม่อาจสู้สายตาได้รีบเสมองทางอื่น รู้สึกดวงหน้าตัวเองร้อนไปหมด
“รับเครื่องดื่มเพิ่มไหมคะ”เสียงแอร์โฮสเตทสาวดังแทรกความเงียบระหว่างพิรุณาและธีรธร พิรุณารีบทิ้งหนังสือพิมพ์ในมือ ส่วนธีรธรพยักหน้าส่งแก้วกาแฟให้ไปอย่างส่งๆ แล้วรับกลับมาหลังจากได้รับการเติมเรียบร้อยแล้ว
‘ผมจะกลับไปนั่งที่’พิรุณากระวีกระวาดลุกจากเก้าอี้ตัวนุ่มข้างธีรธร ใช้แขนเสื้อเช็ดริมฝีปากจนรู้สึกแสบก่อนจะจ้ำพรวดกลับไปยังที่นั่งตัวเอง
ธีรธรมองร่างโปร่งบางนั้นหายลับไปหลังม่านที่ใช้แบ่งชั้นระหว่างราคา เขากำลังคิดถึงเจ้าของริมฝีปากนุ่มอุ่นที่เมื่อครู่ได้สัมผัส ในตอนแรกเขายอมรับว่ารู้สึกสนใจพิรุณาที่ความสดใสด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูเป็นมิตรทำให้ใครเข้าใกล้ก็รู้สึกดี ต่อมาเขาพบว่าพิรุณาน่าเอ็นดู น่ารักน่าแกล้งพอๆกัน และตอนนี้เขารู้ว่าพิรุณาหอมหวานเกินกว่าจะห้ามใจได้ ไม่แปลกใจเลยที่ทายาท อานิโมโต คนนั้นถึงได้วิ่งตามเหย่งๆ
ช่างเป็นสายฝนที่ทั้งหอมทั้งหวานชวนให้ลิ้มลองจริงๆ ...