“แล้วไงต่อเนี๊ยะ เสื้อผ้าได้มาแล้ว” พิทถาม แต่ทิวไม่ตอบกลับนั่งกอดอกหน้ามุ่ย
“เป็นอะไรไปอีกหล่ะ”
“ผมไม่ได้ชอบชุดนี่สะหน่อย แก่จะตาย เหมือนผู้ใหญ่บ้านประชุมสัมมนาพ่อค้าไก่เลย” เขาบ่นอุบ
“แก่ที่ไหน ใส่แล้วภูมิฐานดีออก”
“โห ไรอ่ะ พี่ไม่เข้าใจวัยรุ่นเลยอ่ะ ผมเพิ่งจะ 21 เองนะ ให้มาใส่ชุดแบบนี้ จะไปตีกอล์ฟตีกบที่ไหน”
“เห้ย แพงนะเว้ย”
“ผมอยากได้ชุดของซาร่า ก็ไม่ยอมซื้อให้”
“นี่ เยอะไป เสื้อกับกางเกงกูทั้งชุดนี่ยังถูกกว่าเสื้อมันเลย จะเอาไม่เอา ไม่เอาจะได้ทิ้งๆซะ” พิทเปิดกระจกรถ ลมจากข้างนอก
พัดเข้ามาจนผมของเขาสะบัดไปมา
“เฮ้ยๆ เอาก็เอา” เขารีบคว้าเสื้อไว้ “เบื่อชุดโรงพยาบาลจะแย่แล้ว”
...
...
..
“แล้วทำไงต่อละทีนี้” พิทถาม
“แวะวัด”
“แวะวัด??”
“ช่าย แวะวัด”
“ปวดเยี่ยวเหรอ”
“เปล่า ปวดขี้.....................จะบ้าเหรอ แวะวัดทำบุญไง”
พิทเลี้ยวรถเข้าวัดข้างทางที่ผ่าน เขาขับรถไปจอดไว้ที่ทางเข้าด้านหน้าของวัด ก่อนจะหันไปถามทิวว่าจะเข้าไปด้วยกันกับเขามั๊ย
“ไม่เข้าหล่ะ พี่ไปเถอะ”
“อ้อ ลืมไป ผีเข้าวัดไม่ได้”
“เอ้ พี่นี่ ผมบอกว่าไม่ใช่ผีๆ ทำไมไม่เชื่อกันมั่ง ขืนเข้าไปกลางวันแบบนี้หมามันก็หอนเดี๋ยวพระจะแตกตื่นกันหมด”
“หมาหอนเพราะมันเห็นผีไม่ใช่เหรอวะ” พิทเดินหันหลังแต่ก็ยังบ่นพึมพำๆ
“ได้ยินนะเว้ย” เสียงทิวลอยมาตามลม
..........................................................................................
พิทเดินถือถุงเสื้อผ้าตรงดิ่งไปยังกุฎิที่มีพระแก่ๆองค์หนึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสือ เขาไม่ทันบอกวัตถุประสงค์ที่เขามาพระองค์นั้นก็รู้ได้ทันที
“มาถวายสังฆทานเหรอโยม”
“ครับ”
“อ้าว เชิญที่กุฏิดีกว่า ตรงนี้มันร้อน”
พิทจัดแจงทำตามทิวบอกเสร็จสรรพ ก่อนจะเดินออกมาจากวัด เขาแวะไหว้พระประธานที่โบสถ์ก่อน ตะวันเลยหัวจึงได้ออกมา
“หายไปไหนซะแล้ว” พิทชะเง้อคอมองหาทิว เขานัดให้เด็กหนุ่มนั่นรออยู่ที่ใต้ต้นพญาสัตตบรรณ
“หนีไปไหนอีกแล้ว” เขาพึมพำ มองไปรอบๆไม่เจอใคร เห็นแต่เพียงชายแปลกหน้าคนนึง ยืนมองมาที่เขา แต่พิทไม่ได้สนใจ
กลับเดินผ่านไปเสียดื้อๆ เขาตั้งหน้าตั้งตามองหาทิว อยากรู้ว่าเด็กนั่นจะได้รับส่วนบุญที่เขาทำให้รึเปล่า
“เฮ้ย เฮีย” พิทหันกลับมามอง แล้วหันกลับ แล้วหันกลับมาใหม่
“เฮ้ย ไอ้ทิว” เขาแปลกใจที่เด็กหนุ่มนั่นเปลี่ยนไป ชุดที่พิทถวายสังฆทานไปบัดนี้กลับกลายเป็นมาอยู่บนร่างของทิว ชุดกางเกง
ขาสั้นลำลองสีครีม กับเสื้อโปโลลายขวางขาวสลับน้ำเงิน รองเท้าหุ้มส้นสีฟ้าอ่อนที่เขาเลือกกับมือ บัดนี้ทุกอย่างมาอยู่บนร่างของทิวหมด
“หล่อเลย” พิทยิ้ม เด็กทิวนั่นก็ดูหน้าตาอิ่มเอิบไม่ซีดเซียวเหมือนแต่ก่อน
“ขอบคุณนะเฮีย ได้รับแล้ว สบายตัวอย่างบอกไม่ถูก”
เขายิ้มเห็นลักยิ้มบุ๋มชัดเจน เหตุผลที่ทำให้เขาคงสภาพเป็นคนได้สมบูรณ์อยู่ทุกวันนี้ ไม่กลับกลายเป็นวิญญาณล่องลอย หรือกลุ่มควันฟุ้งพล่านก็เพราะกุศลที่แม่เขาทำส่งมาให้ทุกวัน
แต่เหตุผลที่ทำให้ทิวอิ่มใจ และมีความสุขกลับกลายเป็นสิ่งที่พิททำให้เขาในวันนี้ มันประหลาด ประหลาดตรงที่ทิวไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน
มันสุข อิ่มเอม และรู้สึกว่าตัวเองหนักขึ้น ไม่เบาหวิวล่องลอย เพราะอะไรผลบุญที่พิทส่งให้เขาถึงได้แรงกล้าขนาดนี้ เพราะอะไร หากไม่ใช่จิตใจที่แน่วแน่ที่จะแผ่บุญมาแต่ชาติปางก่อน....
“รู้แล้วว่าอิ่มบุญ ยืนยิ้มอยู่ได้ ไปกันยังหล่ะ”
ทั้งพิทและทิวขับรถมุ่งหน้าสู่จังหวัดสระบุรีบ่ายคล้อยขนาดนี้รถราเริ่มหนาตาขึ้น เสียง GPS บอกทางเป็นระยะๆ
“อีก 200 เมตรเลี้ยวขวา”
“ถ้าเป็นไปได้ ให้กลับรถ”
“ขับตรงไปอีก 2.5 กิโลเมตร”
“นี่เฮีย อิป้านี่มันรู้ได้ยังไง มันมีตาทิพย์เหรอ” ทิวถาม
“เออ มันมองมาจากบนสวรรค์”
“เฮ้ยจริงเหรอ” ทิวทำตาโต
“จะบ้าเหรอ เชื่อคนง่ายนะมึง”
...
..
..
รถเลี้ยวมาตามเส้นทางที่ถูกเขียนไว้บนแผนที่ พิทอยู่กับลุงหลวยมานาน แต่เขาไม่เคยมารับรู้เลยว่าลุงมีบ้านและมีลูกอยู่ที่นี่ ตั้งแต่พิทเกิดมาเขาก็เห็นลุงหลวยรดน้ำ พรวนดินอยู่ที่บ้าน
พิทถามทางคนแถวนั้นมาเป็นระยะๆ จนในที่สุดก็มาถึงที่หมาย บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่ลุงหลวยเคยอยู่ และมีครอบครัว แต่เมื่อลุงถูกจับเข้าคุก ทางญาติฝั่งนี้เขาก็ตัดญาติขาดมิตรไม่เผาผี ลุงกลับมาแล้วพวกเขาไม่ต้อนรับ ลุงเลยต้องระเห็จไปอยู่ที่อื่น จนได้มาเจอพ่อกับแม่พิท
“ขอโทษครับ ผมมาหาคนชื่อ บรรณ นะครับ” เขาถามป้าคนหนึ่ง
ป้าเดินหายเข้าไปพักใหญ่ก่อนจะเดินออกมาพร้อมชายหนุ่มรูปร่างสูงกำยำ ผิวเข้มเนียน แววตาของเขาคมคริบราวกับนกเหยี่ยว