เสน่หา...รักเอย ตอน ๑๗
คือน้ำผึ้ง คือน้ำตา คือยาพิษ
คือหยาดน้ำ อมฤต อันชื่นชุ่ม
คือเกสร ดอกไม้ คือไฟรุม
คือความกลุ้ม คือความฝัน นั่นแหละรัก
(ผลงานประพันธ์โดย รยงค์ เวนุรักษ์)
“มะเร็ง!” รพินทร์หัวใจร่วงวูบด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด ดวงตาขยายกว้าง ปากซีดสั่นระริกหลุดเสียงอุทานด้วยความคาดไม่ถึง เลือดในกายเย็นเฉียบ ด้วยรู้ดีถึงความร้ายกาจของโรคมะเร็งที่น่ากลัวเสียยิ่งกว่าโรคเอดส์เสียอีก ภาพใบหน้าลูกรักผุดวาบขึ้นในใจให้วูบโหวง
“พินทร์ใจเย็น ๆ ก่อน ที่ตรวจเจอนี่เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะแรกเริ่ม ยังมีโอกาสขาดหาย นับว่าโชคดีที่พินทร์มาตรวจสุขภาพประจำปีไม่ได้ขาด”
นายแพทย์เจ้าของไข้รีบบอกปรามดึงสติก่อนรพินทร์จะเผลอตกใจจนเพริดไปไกล ทั้งคู่พูดคุยเกี่ยวกับขั้นตอนวิธีการรักษาจนแจ้งใจดีแล้ว รพินทร์จึงกลับมาที่บ้าน ร่างสูงปิดประตูห้อง ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงพลางนิ่งคิด แม้จะใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาทก็ใช่ว่าจะราบรื่นเสมอไป ด้วยโรคภัยไข้เจ็บ อุบัติเหตุไม่คาดฝันที่บางครั้งเราก็คาดไม่ถึง แม้จะระมัดระวังดีแล้ว ก็ยังมีความประมาทของผู้อื่นที่อาจพลาดมาทำลายชีวิตเรา
ชีวิตไม่มีความแน่นอนอะไรสักอย่าง และความไม่แน่นอนนั้นคือสัจธรรมที่จริงแท้อย่างที่สุด
รพินทร์ปลงพลางคิดถึงลูก ร่างโปร่งลุกจากเตียง มือไขเปิดลิ้นชักหยิบโฉนดที่ดินและสมุดบัญชีเงินฝากออกมาดูอย่างครุ่นคิด ที่ดินหลายแปลงทั้งเชียงใหม่ ปากช่อง จันทบุรี และที่นี่ รพินทร์เป็นทั้งเจ้าของโรงเรียน และทำธุรกิจโรงงานน้ำพริกและเครื่องแกงต่าง ๆ ผลิตส่งขายทั้งในและต่างประเทศ ตอนนี้กำลังขยายการผลิต ผลิตอาหารไทยจำพวกแกงกะทิสูตรตำรับชาววังเก่าสำเร็จรูปบรรจุกระป๋องส่งออก นอกจากนั้นยังมีรายได้จากทางอื่นอย่าง ค่าเช่าแผงขายของในตลาด ค่าเช่าตึกแถว อะพาร์ตเมนต์ ร้านอาหารริมน้ำ รายรับแต่ละเดือนรวมแล้วไม่น้อย ยังมีมรดกตกทอดจำพวกเครื่องเพชรเครื่องทองในตู้เซฟที่จะกลายเป็นของรพีกานต์ในอนาคตอีก รพินทร์ดูบัญชีทรัพย์สินแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ
เจ้ากานต์น้อยของพ่อวัยกำดัดเพียงสิบแปดปีกับทรัพย์สินมูลค่ามหาศาล ลูกเอ๋ย สินทรัพย์มากมายเหล่านี้จะสร้างสุขหรือทุกข์ให้เจ้ากันหนอยามที่ไม่มีพ่อ ด้วยว่าทรัพย์นั้น หากมีน้อยก็ย่อมเป็นบ่อนให้คนขวนขวายอยากหามาครอบครองให้มาก ทั้งโดยสุจริตก็ดี ทุจริตก็ดี หากครั้นมีมากเกิน ก็ย่อมเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ภัยได้เช่นกัน ตระหนักถึงจุดนี้แล้วรพินทร์ก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอีกหน
“กานต์ของพ่อ”
รพินทร์สูดหายใจลึกอย่างใช้สติ เขายังมีญาติพี่น้องที่พึ่งพากันได้ บวรกิตติ์วิวัฒน์สืบเชื้อสายผู้ดีเก่าและข้าราชการน้ำดีเก่าแก่ กุลบุตรทุกผู้ล้วนได้รับการอบรมเพาะบ่มนิสัยให้เติบโตมาด้วยคุณธรรม และละอายต่อการประพฤติชั่ว พี่ชายคนโตของรพินทร์เป็นผู้พิพากษา พี่ชายคนรองเป็นนักการทูต ตอนนี้ประจำการอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ พี่ชายคนที่สามเป็นแพทย์เจ้าของโรงพยาบาล และรพินทร์น้องสุดท้องเป็นเจ้าของโรงเรียนเอกชนชื่อดังที่นี่ รพินทร์จรดปากกาลิขิตพินัยกรรม แล้วเสร็จจึงจัดการติดต่อทนายความประจำตระกูล พูดคุยธุระกันเสร็จเรียบร้อยก็เบาใจไปมากโข
“คงต้องชวนน้องกานต์ไปเยี่ยมบ้านที่กรุงเทพฯ เสียหน่อยแล้ว”
รพินทร์หมายมั่นฝากฝัง หลังจากตรึกตรองดีแล้ว บรรดาพี่น้องต่างก็แต่งงานมีครอบครัว มีทายาทลูกหลานสายเลือดแท้ให้ปู่ย่าได้ชื่นใจ แม้พวกเขาจะไม่ได้แสดงความผิดแผกต่อรพีกานต์ แต่ด้วยความที่ไม่ใช่สายเลือดแท้ รพินทร์จึงไม่ค่อยได้พาลูกไปเยี่ยมปู่ย่าบ่อยนัก
“เอาเถอะ พ่อจัดการทุกอย่างไว้เรียบร้อยหมดแล้ว ถึงไม่ตายวันตายพรุ่ง แต่เตรียมไว้ก่อนดีที่สุด”
รพินทร์ยกยิ้มอย่างเบาใจ ที่เหลือก็แค่ตัวเขาเองที่ต้องเรียกกำลังใจให้ตนเองต่อสู้กับโรคร้ายนี้เพื่อลูกและตัวเอง รพินทร์ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ หรอก ลูกยังต้องการเขา และเขาก็ยังอยากอยู่กับลูกไปนาน ๆ
“พี่ณัฐ กานต์แค่ท้องนะครับ ไม่ได้เป็นง่อยเสียหน่อย”
คนตัวเล็กหน้าบูดบู้บี้เล็กน้อยขณะใช้สายตาขึงดุจ้องปรามพี่ชาย ณัฐธีร์ยิ้มแหยลดมือที่ตักข้าวจ่อปากเพื่อป้อนลง ปล่อยให้น้องน้อยได้ตักกินเอง กระนั้นชายหนุ่มก็ไม่ได้อยู่นิ่งเฉย ณัฐธีร์หันไปหาผลไม้ หยิบส้มมาปอกเปลือกไว้รอ รพีกานต์กินข้าวเสร็จก็รีบแย่งจานเอาไปล้างให้ จนคนท้องอ่อนอกอ่อนใจกับคนเอาใจกันจนเกินเหตุ พอรู้ว่าน้องท้อง ณัฐธีร์ก็ประคบประหงมจนแทบอุ้มไปส่งเข้าห้องเรียน อาหารการกินซื้อมาบำรุงคนท้องไม่ได้ขาด น้องน้อยติดจะหงุดหงิดบ้างในบางครั้งตามประสาคนท้อง พี่ชายก็ยิ้มสู้ท่าเดียวจนคนท้องสงบลงเอง ด้วยเห็นรอยยิ้มหมาน้อยแล้วอาละวาดไม่ลง
“ช่วงนี้แพ้หนักไหม”
ณัฐธีร์เอ่ยถามขณะส่งนมกล่องเจาะใส่หลอดแล้วเรียบร้อยยื่นให้
“ไม่ค่อยเท่าไหร่ครับ พอนั่งเรียนรู้เรื่อง”
รพีกานต์นั่งพิงโซฟา หลายวันมานี่ตั้งแต่รู้ตัวว่าตั้งครรภ์ก็เริ่มมีอาการทั้งง่วงนอนและหิวบ่อย กินจุบจิบอยู่ตลอด พี่ชายคนดีก็ซื้อของกินมาบำรุงไม่ได้ขาดจนรพีกานต์นึกเกรงใจ เพราะเงินทองของพี่หามาด้วยความยากลำบาก ต่างจากรพีกานต์ที่มีบริบูรณ์จนเกินพอ จนน้องน้อยเริ่มปั้นหน้าบึ้งตึงพี่ชายถึงหยุดควักเงินตัวเองซื้อ
“พี่อยากแพ้แทน กานต์จะได้ไม่ทรมานแบบนี้”
ณัฐธีร์ทรุดลงนั่งราบข้างโซฟา ขยับศีรษะหนุนปุบนตักพลางหันหน้าไปจุ๊บเบา ๆ ที่หน้าท้องแบนราบ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเจือความรักใคร่เต็มเปี่ยม
“ตัวเล็กอย่ารังแกคุณแม่นักนะครับ พ่อณัฐรักหนูนะ”
ตู่ว่าเป็นลูกตัวเองหน้าตาเฉย ณัฐธีร์สวมกอดเอวเล็กเอาไว้หลวม ๆ ดวงตาปิดลงพลางซุกหน้าเข้าหาราวกับจะสื่อสารให้เด็กในท้องได้รับรู้ถึงความรักแสนบริสุทธ์เต็มเปี่ยมที่มีให้ รพีกานต์หลุบสายตาลงมองคนดื้อเงียบแล้วก็ได้แต่สะท้อนในใจถึงความดีงามของอีกฝ่าย หัวใจอ่อนยวบปวดหนึบในอกด้วยความสงสาร
“เพิ่งจะเดือนกว่า เด็กคงยังไม่รับรู้หรอกมั้งครับ”
รพีกานต์เปรยขึ้นน้ำเสียงนุ่มนวล มือเรียวลูบศีรษะพี่ชายแผ่วเบา สัมผัสกับเส้นผมนุ่ม ก่อนจะถูกฉวยไปแตะจุมพิตอ่อนหวานละมุน คลอเคลียปลายจมูกโด่งคมสันอ้อยอิ่งกับฝ่ามือนิ่ม จวบจนพอใจแล้วจึงเลื่อนไปวางแนบลงบนแก้มอย่างรักใคร่นักหนา
“พี่ลองเสิร์ชดูในเน็ต อายุครรภ์สองสามเดือน สมองของเด็กก็เริ่มทำงาน รับรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวแล้ว เพราะอย่างนั้น พี่จะคุยกับลูกบ่อย ๆ”
ณัฐธีร์ย้ำหนักแน่นว่าเจ้าตัวเล็กเป็นลูกตัวเอง รพีกานต์เคยทัดทานแล้วแต่ก็ไร้ผล ดูเอาเถิด คนดีก็ดีเสียจนสิ่งเลวร้ายแผ้วพานอย่างไร หัวใจก็ยังผ่องแผ้ว แม้จะเสียใจแต่ก็ไม่เคยจะขึ้งโกรธเอื้อนเอ่ยวาจาเผ็ดร้อนเชือดเฉือนให้น้องรู้สึกแย่ รพีกานต์ละอายแก่ใจนัก เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง แต่พี่ณัฐก็ยังยินยอมที่จะเอากระดูกมาแขวนคอตัวเอง
“พี่ณัฐ คือ...”
“เอ...ตั้งชื่อว่าอะไรดีน้า ลุ้นจังว่าลูกพ่อณัฐคนนี้จะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง เดี๋ยวพี่ไปขอให้หลวงตาตั้งชื่อให้เนอะ ชื่อเล่นเราช่วยกันตั้ง ถ้ากานต์แพ้ ต้องบอกพี่นะ”
ณัฐธีร์ชิงตัดบทเสียก่อนที่รพีกานต์จะทันได้พูดจบ ใบหน้าปริ่มสุขคุยจ้อเสียยืดยาว วาดภาพเด็กเล็ก ๆ ในอ้อมแขนตัวเอง เขารักของเขา เทิดทูนบูชาด้วยหัวใจ รพีกานต์เป็นดั่งดวงแก้วล้ำค่า แม้จะเจอมรสุมมาบ้าง แต่มันก็ไม่ได้สั่นคลอนหัวใจของเขาที่ยังมั่นคงไม่เปลี่ยน
“ให้คนที่ทำแพ้แทนเถอะครับ เอาให้หนัก ๆ ตื่นมาคารวะชักโครกทุกเช้า หน้าทิ่มลงชักโครมไปเลย”
เมื่อพี่ไม่อยากฟัง รพีกานต์ก็ไม่อยากทำลายสิ่งที่พี่วาดฝัน น้ำเสียงเข่นเขี้ยวฉุนเฉียวเล็ก ๆ ก่อนจะอ้าปากหาวหวอด ตาเริ่มปรือ
“พี่ณัฐ กานต์ของีบหน่อยนะครับ เดี๋ยวจะตื่นมาอ่านหนังสือ”
คนตัวเล็กกว่าบอกพี่ชาย ณัฐธีร์ลุกจากตักพาไปส่งเข้าห้อง ห่มผ้าห่มให้พร้อม ดวงตาอ่อนโยนทอดมองลึกซึ้ง ก่อนโน้มใบหน้าลงแตะจูบแผ่วเบาที่หน้าผากมนและหน้าท้อง เผื่อแผ่ไปยังตัวเล็กที่ชวนแม่นอน
“งั้นเดี๋ยวพี่จะอ่านหนังสือรอนะครับ”
รพีกานต์พยักหน้าเข้าใจ จวบจนพี่ชายออกจากห้องไปแล้ว ความกังวลที่เก็บงำไว้จึงฉายชัดบนใบหน้า วันหยุดที่จะถึงนี้ทั้งคู่ตกลงกันว่าจะกลับบ้านไปหาพ่อเพื่อสารภาพในสิ่งที่เกิดขึ้น
“พ่อครับ กานต์ขอโทษ กานต์จะทำยังไงดี”
รพีกานต์หวาดวิตกไม่น้อย ด้วยรู้ตัวว่ากำลังทำให้บุพการีผิดหวัง ใครเลยจะคิดว่าตนเองจะท้องได้ เป็นความผิดพลาดที่คิดไม่ถึงมาก่อนจริง ๆ
ในขณะที่รพีกานต์กำลังตกที่นั่งลำบาก อีกด้านอัครวินท์ซึ่งกำลังฟอนเฟ้นลูบไล้เรือนกายนุ่มนิ่มของหญิงสาว จู่ ๆ ก็รู้สึกฉุนกึกจนแทบผงะ คันจมูกยุบยับ ก่อนบ่ายหน้าผละออกมาจามเสียงดังลั่น
“ฮัดเช้ย!”
“พี่วินเป็นอะไรไปคะ”
สาวน้อยถามอย่างฉงนปนอารมณ์ค้างหน่อย ๆ เมื่อจู่ ๆ อัครวินท์ก็ผละออกดื้อ ๆ แถมคว้าหลอดยาดมของหล่อนที่หล่นอยู่แถวโซฟาเอามาเปิดฝาออกสูดฟืด ๆ เหมือนคนจะเป็นลม อัครวินท์รู้สึกเวียนศีรษะอย่างไม่ทราบสาเหตุ รู้สึกคลื่นเหียน พะอืดพะอม จนนึกอยากอาเจียนอย่างบอกไม่ถูก
“พี่เวียนหัว อุก! ถอยออกไปก่อน อย่าเข้ามาใกล้ พี่เหม็นน้ำหอมเธอชะมัด ใช้ยี่ห้ออะไรเนี่ย ไอ้ที่ซื้อให้ทำไมไม่ใช้ ไปอาบน้ำใหม่เลยนะ เหม็นอย่างกับหมาเน่า”
อัครวินท์โพล่งอย่างไม่เกรงใจ หัวคิ้วขมวดชนกัน มือไม้โบกไล่วุ่นวาย ทั้งบ่ายหน้าหนี ส่ายหน้ารับไม่ได้กับกลิ่นฉุนกึกที่ผ่านเข้าจมูกพานให้นึกคลื่นเหียน
“เอ๊ะ อะไรเนี่ยพี่วิน! ก็ยี่ห้อนี้ พี่วินเป็นคนซื้อให้เองนี่คะ แถมก่อนซื้อเรายังช่วยกันเทสต์เลือกกลิ่นด้วยกัน พี่เองนั่นแหละ ไม่สบายแล้วพาล”
หญิงสาวที่ได้ยินถ้อยคำบริภาษก็นึกฉุน เริ่มมีน้ำโหจนแหวเข้าให้บ้าง มีอย่างที่ไหนมาบอกว่าหล่อนเหม็นเหมือนหมาเน่าตอนกำลังจะเข้าด้ายเข้าเข็ม
“พี่กลับก่อนละ”
คนเอาแต่ใจตัวหงุดหงิดจนผละหนีออกมาดื้อ ๆ เมื่อประตูห้องปิดลงจึงค่อยหายใจโล่ง
“เป็นห่าอะไรวะ เข้าใกล้ผู้หญิงแล้วอยากอ้วกเนี่ย”
เสือหื่นสบถอย่างหัวเสีย สาวน้อยที่เพิ่งจากมาไม่ใช่รายแรก เมื่อคืนออกท่องราตรีก็เป็นลักษณะนี้ สาวสวย ๆ ที่โฉบเข้ามาหา อัครวินท์เป็นต้องผงะหนีทุกรายไป คนหาที่ระบายไม่ได้งุ่นง่านหมดอารมณ์จะไปเตร็ดเตร่ที่ไหนต่อ จึงหันหัวรถเลี้ยวกลับบ้าน
ร่างสูงสมาร์ตเปิดประตูลงจากรถ กำลังจะก้าวเท้าเดินเข้าบ้านพลันสายตาเหลือบไปเห็นมารดาที่สวนนั่งเล่น จึงเปลี่ยนทิศทางสาวเท้าเลี้ยวไปอีกทาง
“สงสัยวันนี้พายุจะเข้า ลูกชายแม่กลับบ้านแต่หัววัน”
ผดาชไมเอ่ยทักบุตรชายหัวแก้วหัวแหวน พลางยกชากุหลาบในถ้วยเซรามิกเนื้อเคลือบอย่างดีขึ้นจิบ
“เบื่อ ๆ น่ะครับคุณแม่ อยู่ใกล้สาว ๆ แล้วเวียนหัว”
อัครวินท์ถอนหายใจเฮือก ทิ้งกายลงนั่งแรง ๆ บนเก้าสนามแบบเหล็กดัด มือหยิบคุกกี้ในจานส่งเข้าปากส่ง ๆ
“หือ มีแบบนี้ด้วยหรือ วินนี่นะ เข้าใกล้ผู้หญิงไม่ได้”
ผดาชไมเลิกคิ้วสูงด้วยความประหลาดใจเป็นที่สุด ด้วยอัครวินท์นั้นตั้งแต่เล็กจนโต ความที่ฉายแววหล่อจัดแต่เด็ก แถมยังช่างพูดช่างออดอ้อนฉอเลาะ ประจบผู้ใหญ่เก่งเป็นที่สุด ทั้งปู่ย่า พี่เลี้ยง แม่บ้าน ยันสาวใช้ต่างตกหลุมพรางความน่ารัก พากันโอ๋เอาใจนายน้อยของบ้านกันเป็นแถบ ๆ พอเริ่มแตกเนื้อหนุ่มโตขึ้นหน่อยพ่อตัวดีก็มีสาว ๆ มาคอยมะรุมมะตุ้มจนแทบตีกัน จู่ ๆ อัครวินท์มาบอกว่าเข้าใกล้สาว ๆ แล้วเวียนศีรษะ ผดาชไมได้ยินแล้วออกจะประหลาดใจไม่น้อย
“แล้วคุยกับแม่มีอาการอะไรไหม” อัครวินท์ส่ายหน้าเนือย ๆ แทนคำตอบ
“กับคุณแม่ วินก็เฉย ๆ นะครับ สงสัยวินจะไม่ถูกกับน้ำหอมที่พวกนั้นใช้น่ะครับ”
อัครวินท์บอกก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นถุงบรรจุบางอย่างสีเขียวที่สาวใช้หิ้วผ่านหน้าไป จึงอดร้องถามไม่ได้
“ถุงอะไรน่ะพี่เปิ้ล”
“ตะลิงปลิงค่ะคุณวิน ซื้อมาจากตลาด คุณวินจะรับซักหน่อยไหมคะ เดี๋ยวพี่เปิ้ลล้างน้ำแล้วจัดใส่จานมาให้ลองชิม”
“หน้าตาแปลก ๆ ไม่เคยเห็น รสชาติเป็นยังไงหรือครับ” อัครวินท์ทำหน้าแหยงเล็ก ๆ แต่ก็ยังไม่ละสายตา
“รสเปรี้ยวมากค่ะคุณวิน เปรี้ยวปรี๊ด จี๊ดใจสุดๆ”
หล่อนหลับตาปี๋ ลากเสียงยาวประกอบคำบรรยายสรรพคุณความเปรี้ยวแบบสุดฤทธิ์สุดเดชเสียจนคนฟังน้ำลายสอ เผลอกลืนน้ำลายตาม อยู่ ๆ ก็นึกอยากลองกินผลไม้รสเปรี้ยวขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“งั้นพี่เปิ้ลจัดมาให้ผมลองชิมหน่อยแล้วกัน ขอบคุณครับ”
“ได้เลยค่ะ อ้อ มีมะม่วงกับกระท้อนด้วย คุณวินสนใจไหมคะ เดี๋ยวพี่เปิ้ลจัดน้ำปลาหวานให้แจ่ม ๆ”
อัครวินท์พยักหน้าหงึก สาวใช้รีบกุลีกุจอจ้ำปรูดไปจัดแจงให้ ผดาชไมยิ่งขมวดคิ้วหนักด้วยความฉงนงงงวยเข้าไปใหญ่
“ปกติวินไม่ชอบผลไม้รสเปรี้ยวนี่ลูก ทำไมวันนี้มาแปลก” ถามพลางจ้องใบหน้ามองหาความผิดปกติ
“อยู่ ๆ ก็นึกอยากกินครับ ไม่รู้ทำไม ทั้งเวียนหัว ทั้งอยากของเปรี้ยว”
อัครวินท์บอกพลางสูดยาดมที่หยิบติดมือมาด้วย เป็นภาพที่มองแล้วสร้างความฉงนสนเท่ห์แก่ผดาชไมไม่น้อย นั่งรอไม่นานสาว
ใช้ก็จัดผลไม้ใส่จานมาให้ อัครวินท์ฉวยตะลิงปลิงจิ้มพริกเกลือส่งเข้าปาก เคี้ยวกร้วม ๆ อย่างถูกใจ ตามด้วยมะม่วงน้ำปลาหวาน กระท้อนทรงเครื่อง ผดาชไมเห็นแล้วเสาะท้องแทน
“ระวังท้องเสียนะตาวิน กินขนาดนี้”
“อร่อยออกครับ คุณแม่ไม่สนใจบ้างหรือ”
ผดาชไมส่ายหน้า มองดูบุตรชายหยิบผลไม้กินด้วยท่าทีแช่มชื่นอย่างแปลกใจ อินทัชผ่านมาพอดีเห็นสองแม่ลูกจึงเข้ามาทัก
“โอ้โห มะม่วงน้ำปลาหวานเห็นแล้วเปรี้ยวปาก สองแม่ลูกจัดของเปรี้ยวกันเลย”
เอ่ยพลางหยิบชิ้นมะม่วงส่งเข้าปาก ผดาชไมยิ้มบางให้สามีก่อนเบนความสนใจมาที่ลูกชายตัวดีต่อ อดเปรยขึ้นลอย ๆ ไม่ได้
“คงไม่ได้ไปทำลูกสาวบ้านไหนท้อง แล้วแพ้ท้องแทนหรอกนะ ตาวิน”
ผู้เป็นมารดาตีคิ้วย่นปรารภแบบไม่คิดอะไร อัครวินท์ชะงักไปนิด ก่อนเอ่ยบอก
“วินป้องกันตลอดน่า ไม่ต้องห่วง จะมีก็แต่...” อัครวินท์ยั้งคำพูดไว้แค่นั้นเมื่อเผลอนึกถึงรพีกานต์
“หือ ?”
“เปล่า ๆ ไม่มีอะไรครับ”
“พ่อละกลัวยัยรินจะเจอผู้ชายแบบวินจริง ๆ วินมีน้องสาวนะลูก วินรักน้องยังไง คนในครอบครัวเขาก็รักเหมือนกัน”
อินทัชถอนหายใจเบา ๆ ยอมรับว่าปล่อยปละให้คนในบ้านประคบประหงมตามใจลูกจนเกินพอดี
“ผมเลือกแต่คนง่าย ๆ สนุกแบบไม่ผูกมัดหรอก อีกอย่างยัยรินเห็นอย่างนั้นก็ฉลาดดูคนนะครับ”
อัครวินท์แย้งเสียงขุ่น พ่อมักมองว่าเขาทำตัวแย่อยู่เรื่อย
“พฤติกรรมของเรานี่ละ ทำให้น้องขยาดผู้ชาย เพลา ๆ บ้างเถอะวิน” อินทัชสาวต่อ ใจอยากปรามลูกบ้าง
“พอเถอะพ่อ”
อัครวินท์หมดอารมณ์กินต่อ มือตบโต๊ะปังลุกพรวดจ้ำเท้าหนี บทสนทนาระหว่างครอบครัวจึงหยุดลงแค่นั้น อินทัชเองก็กะบึงกะบอนลุกจากเก้าอี้ตรงไปที่รถ สตาร์ตเครื่องขับบึ่งออกไป ผดาชไมถอนหายใจเฮือก รามือจากนิตยสารวางปุบนโต๊ะอีกคน
“เฮ่อ! ไม่มีวันไหนจะคุยกันได้ดี ๆ เสียที”
รพินทร์จัดแจงทำอาหารไว้รอสุดฝีมือเมื่อรู้ว่าลูกจะมาหา อาหารโบราณมีทั้ง พระรามลงสรง แกงรัญจวน แสร้งว่ากุ้งแนมด้วยปลาดุกฟู ปิดท้ายด้วยยำทวาย มีลูกมือเป็นเด็กชายฉายสิริ พ่อหนูน้อยวัยหกขวบ หลานแม่บ้านที่มาขอพึ่งใบบุญ เพราะถูกแม่แท้ ๆ และพ่อเลี้ยงทำร้ายทารุณเสียสาหัส จนชาวบ้านเห็นแล้วอดเวทนาไม่ไหว ครั้นจะแจ้งตำรวจจับเสีย พ่อหนูก็ดูจะขาดที่พึ่ง จึงได้โทรศัพท์มาบอกกล่าวแก่ผู้เป็นป้า นางผอบจึงได้ไปรับตัวมาขออนุญาตรพินทร์เลี้ยงดูอยู่ชายคาเดียวกัน รพินทร์เห็นพ่อหนูครั้งแรกก็รู้สึกรักใคร่เอ็นดูถูกชะตาด้วยนัก วงหน้าเล็กอ่อนใสผุดผ่องคล้ายวงจันทร์ ตาโตดำขลับแม้เจือแววเศร้าสร้อยหม่นหมองคล้ายอัญมณีมีรอยร้าว จมูก ปาก ดูเล็กกระจิริดพริ้มเพราอย่างน่ารักน่าชัง
“หน้าตาได้เค้าแม่เสียเยอะค่ะคุณ แม่เขาสวยจัดเชียวละ ผู้ชายแทบฆ่ากันตายเพราะแย่งกันจีบ ทั้งผิวพรรณขาวผ่องลออนี่ก็ด้วย เสียดายถูกพ่อเลี้ยงทั้งซ้อมทั้งทุบตีทำร้ายจนลายพร้อยไปทั้งตัว นังแม่มันก็ไม่สนใจใยดี ตอนที่ดิฉันไปรับ เห็นแล้วแทบช็อกตาตั้ง มันกำลังจะทำบัดสีเอากับเด็ก เด็กผู้ชายมันก็ไม่เว้นค่ะคุณ เดรัจฉานในร่างคนแท้ ๆ ถ้าดิฉันไปช้ากว่านั้น ลูกเอ้ย จะเป็นยังไง”
นางผอบเสียงสั่นเครือด้วยความเวทนาหลาน มือย่นลูบตามเนื้อตัวอย่างจะเรียกขวัญ จากนั้นมา เป็นอันว่าเด็กชายฉายสิริจึงได้อยู่ในความดูแลของรพินทร์
“เดี๋ยวคงใกล้ถึงกันแล้วละ”
รพินทร์ยิ้มบางให้เจ้าของดวงตาใสแจ๋ว หนูน้อยมีพัฒนาการช้ากว่าคนอื่นแต่ก็เชื่อฟังดี มืออุ่นจูงมือเล็กไปรอลูกชายที่ศาลานั่งเล่นหน้าบ้าน รพินทร์มีหนังสือเล่มหนึ่ง ส่วนพ่อหนูขลุกเพลินอยู่กับสมุดภาพระบายสี นาน ๆ จึงจะหยิบขนมในขวดโหลและดื่มน้ำหวานบ้าง
ยิ่งรถแล่นเข้าใกล้บ้านมากเท่าไหร่ รพีกานต์ก็ยิ่งวิตกกังวลมากขึ้นเท่านั้น ใบหน้าเรียวฉายแววหม่นหมอง ในหัวคิดสะระตะจนเผลอถอนหายใจออกมาหลายต่อหลายหน ณัฐธีร์เหลียวมองวงหน้าหม่นเป็นระยะ
“อย่ากังวลไปเลย อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด กานต์มีพี่อยู่ข้างกานต์เสมอนะ”
ณัฐธีร์ละมือมากุมมือบางให้กำลังใจ รพีกานต์ยิ้มขื่น ก่อนบ่ายหน้าหันมองวิวข้างทาง ไม่มีแก่ใจจะชวนพี่ชายคุยจ้อเช่นทุกที
รถแล่นไปจอดหน้าบ้าน รพีกานต์เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจที่คราวนี้มีร่างเล็ก ๆ ของหนูน้อยคนหนึ่งกระวีกระวาดวิ่งหัวซุนมาเปิดประตูให้ ณัฐธีร์ขับรถเคลื่อนผ่านเข้าไปจอดด้านใน รพีกานต์เปิดประตูลงมาด้วยความสนเท่ห์กับหนูน้อยแปลกหน้าหน้าตาจิ้มลิ้ม
“หลานป้าผอบน่ะ แกรับมาขออยู่ด้วยกัน ชื่อเล่นหนูตะวัน ชื่อจริงเพราะพริ้งว่าฉายสิริ ตะวันไหว้พี่กานต์ซีหนู พี่กานต์เป็นลูกชายของฉันเอง ส่วนที่ยืนข้างกันคือพี่ณัฐ เป็นเพื่อนรุ่นพี่ของพี่กานต์ รู้จักคุ้นเคยกับที่นี่มาตั้งแต่เด็ก”
รพินทร์บอกกล่าวถึงที่มาที่ไปของหนูน้อยหน้าแฉล้มพร้อมแนะนำให้รู้จักกัน มือเล็กยกขึ้นกระพุ่มไหว้ผู้มากวัยกว่าตามคำบอกอย่างว่าง่าย รพีกานต์เห็นแล้วอดที่จะเอ็นดูไม่ได้
“น่ารักจริงเชียวหนูตะวัน”
ร่างเล็กอายม้วนต้วนเมื่อถูกชมซึ่ง ๆ หน้า ดวงตากลมหลุบต่ำถอยฉากไปหลบข้างหลังคุณรพินทร์ด้วยความไม่คุ้น ซึ่งณัฐธีร์เห็นแล้วก็ฉีกยิ้มพลอยนึกเอ็นดูไปด้วย
“แบบนี้คุณพ่อคงหายเหงาขึ้นมาหน่อยนะครับ มีเด็กเล็กมาอยู่ด้วย”
“หายเหงาขึ้นเยอะอยู่ หนูตะวันว่านอนสอนง่าย ไม่ค่อยซน เอาละ นั่งรถมาเหนื่อย ๆ เข้าไปพักผ่อนในบ้านก่อนเถอะ พ่อเตรียมข้าวเย็นไว้รอแล้ว ณัฐกินข้าวด้วยกันก่อนแล้วค่อยกลับนะ”
รพินทร์ชวนสมาชิกเข้าบ้านพลางรุนหลังหนูน้อย รพีกานต์หันมาสบตาณัฐธีร์แวบหนึ่งก่อนเดินตามบิดาเข้าบ้านไป
“น้องกานต์ยังไม่ค่อยหิวหรือลูก”
รพินทร์มองใบหน้าเหม่อลอยของลูกให้อดพิศวงไม่ได้ ปกติรพีกานต์จะมีสีหน้าแช่มชื่นเจริญอาหารทุกครั้งที่ได้กลับบ้าน ต่างจากครั้งนี้ที่ลูกดูจะใจลอยเหมือนคนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวชอบกล
“กานต์คงเพลียน่ะครับ”
ณัฐธีร์แก้ต่างให้พลางตักกับข้าวใส่จานน้อง ดวงตาคมมองสบดวงตาที่ฉายแววกังวลพลางพยักหน้าให้อย่างรู้กัน รพีกานต์พยักหน้ารับรู้ตอบก่อนฝืนกินข้าวต่อ ด้วยไม่อยากให้เสียน้ำใจคนทำไว้รอ
“กานต์เหนื่อยนิดหน่อยน่ะครับ”
รพีกานต์ยิ้มอ่อน ๆ เอ่ยบอกแก่บุพการีให้คลายกังวล ดวงตามีแววละอายใจ สบตากับบิดาได้ไม่เต็มตานัก ในใจหนักอึ้งอึดอัดเหมือนถูกถ่วงด้วยตุ้มหนักอยู่ตลอด
“โล่งอก นึกว่าพ่อมือตกเสียอีก”
รพินทร์ค่อยเบาใจ ว่าพลางตักแกงรัญจวนใส่จานให้ลูก ที่บ้านไม่มีใครกินเนื้อวัว แกงรัญจวนจึงเปลี่ยนเป็นเนื้อหมูแทน ซึ่งเจ้าของสูตรต้นตำหรับก็คือ ท่านหม่อมหลวงเนื่อง นิลรัตน์ ตามบันทึกในสมัยรัชกาลที่ ๕
“กับข้าวฝีมือคุณพ่ออร่อยที่สุดสำหรับกานต์ครับ”
รพีกานต์พยายามปั้นยิ้มเอาใจ ปัดเรื่องกังวลออกไปก่อน พยายามกินข้าวจนหมดจานอย่างพ่อสอน ณัฐธีร์ตักไข่เจียวรวมมิตรผักหลากสีให้หนูน้อยสายตาเอ็นดู แก้มขาวขึ้นสีชมพูอ่อน แต่ไม่มีเสียงตอบรับ ป้าผอบเพิ่งบอกไปเมื่อเย็นว่าเจ้าตัวเล็กพูดไม่ได้ กิริยาท่าทีที่แสดงออก พอเดาได้เลา ๆ ว่ากำลังอายคนหล่อด้วยความไม่คุ้น ณัฐธีร์จึงยิ่งเอ็นดู พลางคิดไปว่า ลูกของกานต์กับเขา คงจะน่ารักไม่แพ้หนูตะวันแก้มแดงคนนี้
มีต่อด้านล่างจ้า