เสน่หา...รักเอย ๒๑
แม้นมิอาจพานพบประสบพักตร์
ผูกสมัครรักมั่นไม่หวั่นไหว
ถึงขวากหนามขวางกั้นสักปานใด
หากหัวใจให้เพียงพี่มิมีแทน
-มญสิตางศุ์-
แสงแดดอ่อนยามเช้าทอแสงเรื่อรองลอดผ่านแมกไม้ทาบลงบนทางเดินปูด้วยพื้นคอนกรีตพิมพ์ลายริเวอร์ร็อกสีส้มอิฐ มองดูละมุนตา บ้านหลังกะทัดรัดสีขาวชั้นเดียวรายล้อมด้วยต้นไม้ร่มรื่น ด้านหน้าจัดเป็นสวนมีบ่อปลาเล็ก ๆ ข้างในบ่อปลูกบัวกำลังผลิดอกสะพรั่ง รถคันหนึ่งเคลื่อนเข้ามาหยุดตรงหน้าประตูบ้าน เพียงไม่นานผู้เป็นเจ้าของบ้านก็รีบกุลีกุจอออกมาเปิดประตูให้รถเคลื่อนเข้ามาจอดข้างใน
“พ่อ สวัสดีครับ !” เด็กหนุ่มร่างประเปรียวร้องทักขึ้นด้วยน้ำเสียงกระตือรือล้นพลางประนมมือไหว้ผู้มาเยือน ใบหน้าใสสะอ้านฉีกยิ้มกว้างขวางเต็มหน้าจนตาหยีให้คนที่เปิดประตูก้าวลงรถมา
“ไง เหงาไหม พ่อซื้อของกินมาฝากเก้าเพียบเลย” คนถูกทักเปิดประตูลงมาพร้อมฉีกยิ้มเอ็นดูตอบ มือชูของกินพะรุงพะรัง เด็กหนุ่มเห็นดังนั้นก็รีบปราดเข้ามารับถุงของกินสารพัดอย่างไปถือไว้เอง
“ไม่เหงาครับ แต่คิดถึงพ่อมากกว่า งั้นเดี๋ยวเก้าไปเอาชามมานะครับ เรานั่งกินในสวนหน้าบ้านนี่แหละ อากาศกำลังดีเลย พ่อนั่งรอเก้าก่อนนะครับ” อิษวัตตอบบิดาบุญธรรมสีหน้าแจ่มใส ร่างสูงโปร่งในวัยสิบเจ็ดปีนำของกินในมือไปวางไว้บนโต๊ะในสวน ก่อนหันหลังสาวเท้ายาว ๆ กลับเข้าไปข้างในบ้าน อินทัชมองตามแผ่นหลังลูกชายเพื่อนรักที่ประสบอุบัติเสียชีวิตไปตั้งแต่อิษวัตยังเล็ก ๆ แล้วอดนึกถึงอัครวินท์ผู้เป็นลูกชายแท้ ๆ ของตนขึ้นมาไม่ได้
“ถ้าเจ้าวินมันจะกระตือรือร้นดีอกดีใจตอนเห็นหน้าพ่ออย่างเก้าบ้างคงดี” เขาพึมพำอย่างไม่คาดหวังอะไรนัก แต่ก็อดรู้สึกอยู่ลึก ๆ ไม่ได้ อินทัชในวัยสี่สิบกว่าทว่ายังดูหล่อเหลาแบบคาดเดาอายุได้ยาก ร่างสูงใหญ่เดินเรื่อยเปื่อยชมบ่อปลาในสวนร่มรื่นของบุตรชายบุญธรรม อิษวัตเป็นเด็กรักธรรมชาติ รักสันโดษและชอบต้นไม้เป็นชีวิตจิตใจรวมถึงชอบวาดรูป นั่นทำให้เด็กหนุ่มสนิทกับอินทัชมากกว่าอัครวินท์ผู้เป็นบุตรชายแท้ ๆ ที่มีพรสวรรค์ทางดนตรีมากกว่า
ถ้วยชามและเหยือกน้ำวางในถาดถูกยกมาวางบนโต๊ะ อิษวัตเทโจ๊กปลาข้นคลั่กควันขาวลอยคลุ้งแตะจมูกลงในชามทั้งสองท่าทางกระปรี้กระเปร่า มือเรียวจัดแจงรินน้ำใส่แก้วเรียบร้อย อินทัชเดินกลับมาหย่อนกายลงนั่งบนโต๊ะ มือจับช้อนคนโจ๊กในชาม เริ่มต้นสนทนาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบเช่นทุกครั้ง
“แผลฟกช้ำหายดีแล้วใช่ไหม พี่วินเขาใจร้อน ไม่ทันไต่สาวราวเรื่องก็เหมาว่าเก้าเป็นเด็กต้อยของพ่อ เลยจัดเสียอ่วมอรทัย” อินทัชมีสีหน้าไม่สบายใจนักกับนิสัยของบุตรชายตัวเอง สายตามองสำรวจร่างกายบุตรบุญธรรม ความห่างเหินทำให้เขากับอัครวินท์ไม่ค่อยคุยกันมากนัก เรื่องที่เขารับอิษวัตเป็นบุตรบุญธรรมเลี้ยงดูกันมาก็ไม่ได้บอกใคร จึงกลายเป็นเรื่องเข้าใจผิดให้อิษวัตพลอยรับเคราะห์ไปแบบไม่รู้อิโหน่อีเหน่
“หายแล้วครับ โชคยังดี มือไม่เป็นอะไร ไม่งั้นคงต้องหยุดวาดรูปไปพักใหญ่ เซ็งแย่” อิษวัตห่วงมือมากกว่าส่วนอื่น นึกตกใจกับเหตุการณ์วันนั้นอยู่เหมือนกันที่จู่ ๆ ก็มีคนมารุมทำร้าย ถ้าไม่ได้คุณหมอภาม หรือนายแพทย์อัคริมา อิศวัชร์ ญาติของอินทัชที่ได้รับการฝากฝังให้มาดูคนป่วยแทนให้ วันนั้นเขาคงโดนสหบาทารุมสกรัมเอายิ่งกว่านี้
“เก้าไม่ถือสาหาความพ่อก็เบาใจ แต่ยังไงก็ต้องขอโทษแทนพี่วินอยู่ดี รายนั้นเอาแต่ต่อต้านพ่อไม่ค่อยยอมฟังอะไร นี่ได้ข่าวว่าพี่หมอภามเขาตามไปลากตัวมาขอโทษเก้าด้วยตัวเองเชียวหรือ” อินทัชอมยิ้มติดตลกนิดหน่อย อัครวินท์ที่แสนดื้อดึงไม่ฟังใคร แต่กลับยอมให้ลูกพี่ลูกน้องคู่แฝดภีมภามที่กำราบตัวร้ายเสียอยู่หมัดมาแต่เด็ก
“ครับ พี่วินนี่ถลึงตาแทบจะกินหัวเก้าแน่ะ จนเก้านี่แหละแทบจะยกมือไหว้บอกไม่ให้พี่เขาขอโทษ กลัวโดนบัญชีย้อนหลัง แต่คุณหมอภามรับประกันแล้วว่าพี่วินจะไม่มายุ่งกับเก้าอีก ตอนนี้ก็โล่งแล้วครับ” อิษวัตยิ้มน้อย ๆ แก้มเนียนใสแต้มสีเรื่อนิดหน่อยหากอินทัชไม่ทันสังเกต ตั้งแต่วันนั้นมา ว่างจากงานตรวจคนไข้เมื่อไหร่ เด็กหนุ่มก็มักจะได้รับข้อความห่วงใยจากคุณหมอเสมอ
“เจ้าวินนี่มันอันธพาลจริง ๆ เที่ยวระรานคนอื่นเขาไปทั่ว คงได้ถูกตำหนิมาถึงพ่อแม่สักวัน” อินทัชส่ายหน้าระอา อิษวัตยิ้มแห้ง ยังจำท่าทางลูกเทวดาของจริงในคราวนั้นได้ ที่บอกว่าลูกเทวดามาจากสองเหตุผลคือ อัครวินท์ดูเหมือนถูกสปอยด์มาตั้งแต่เด็กจนดูเย่อหยิ่งถือตัวไม่เห็นหัวใคร เหตุผลที่สองก็เจ้าตัวนั้นหล่อจัดจนเหมือนเทวดาเดินดิน ถอดแบบเค้าหน้าจากอินทัช แต่อัครวินท์ผิวขาวจัดจนริมฝีปากเรียวสวยออกสีแดงสุขภาพดี ซ้ำผิวยังเนียนผ่องดูมีออร่า ถ้าไม่ติดว่าตาดุไปนิด ไม่นิดละ แทบขย้ำหัวเขาก็ว่าได้ แต่ยอมรับว่าลูกชายแท้ ๆ ของพ่ออินทัชนั้นหล่อเด็ดขาดบาดจิตบาดใจ ถ้าลดนิสัยเสียลงไปบ้างคงดีกว่านี้
“เอ้อ จริงสิ เก้าบอกไปเจอลูกค้าน่าสนใจมา ยังไงหรือลูก” อินทัชเปลี่ยนเรื่องหันมาสนใจเรื่องคนตรงหน้าแทน
“อ้อ เก้าเจอลูกค้าคนนึงเขาเป็นมะเร็งน่ะครับ เป็นครั้งแรกที่ได้วาดรูปคนป่วยที่มีมุมมองดี ๆ ให้กำลังใจตัวเองเลยติดใจนิดหน่อย” อิษวัตส่งโทรศัพท์ให้บิดาดูรูปที่วาดให้รพินทร์วันนั้น อินทัชรับมาดูก่อนสีหน้าจะเปลี่ยนเป็นนิ่งตะลึง อิษวิตมองด้วยความแปลกใจพลางเอ่ยปากถาม
“ฝีมือของเก้าเป็นยังไงบ้างครับพ่อ พอไหวไหม”
“เก้า เก้ารู้ไหมว่าคนในรูปนี้ชื่ออะไร”
“อ๋อ ชื่อรพินทร์ครับ เจ้าตัวบอกอยู่ว่าชื่อนี้มาจากรพินทร์ ไพรวัลย์ ในเพชรพระอุมา” ชื่อรพินทร์มาจากรพินทร์ ไพรวัลย์ในเพชรพระอุมาครับ คุณพ่อนึกถึงเรื่องนี้แล้วก็เอามาตั้งชื่อลูก ครั้งหนึ่งเจ้าของใบหน้าแฉล้มเคยบอกเขาไว้อย่างนั้น อินทัชตะลึงงันจนแทบไม่ได้ฟังที่ลูกพูด สายตาจ้องมองคนในรูปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ราวภาพในวันวานย้อนกลับคืนมาอีกหน เขาคนที่ผิดสัญญาในวันนั้น...
“ดะ เดี๋ยวนะ เมื่อกี้เก้าบอกว่าคนในรูปนี้เป็นอะไรนะ” เขาเค้นคำพูดยากเย็น ถามทวนในสิ่งที่ลูกบอกไปเมื่อครู่
“อ๋อ คุณรพินทร์เป็นมะเร็งน่ะครับ นี่เจ้าตัวก็ถอดวิกผมออกให้เก้าวาดตอนกำลังป่วย ตอนแรกเก้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่เขาไม่สบาย”
“มะเร็ง !” อินทัชจับใจความได้แค่นั้น นอกเหนือจากนั้นสิ่งที่ลูกชายพูดแทบไม่เข้าหูเขา รพินทร์ป่วยเป็นมะเร็ง มะเร็ง ! ร่างหนาตัวชาดิก คนที่ไม่ได้ข่าวคราวมานานนม พอบทจะได้ข่าวก็กลับพบว่า... ไม่ ! รพินทร์ยังไม่เป็นอะไรเสียหน่อย แสงสว่างของเขายังไม่ได้ดับแสงลงไป เขาจะคิดอะไรในแง่ร้ายไม่ได้
“พ่อเป็นอะไรครับ หรือว่าพ่อรู้จักกับเขา” อิษวิตสังเกตท่าทีผิดปรกติของบิดาจึงเอ่ยปากถาม
“เก้า แล้วเก้ารู้ไหมว่าอาการของรพินทร์หนักขั้นไหน” แทนคำตอบ อินทัชกลับเป็นฝ่ายถามกลับเสียอย่างนั้น
“ไม่ทราบครับ เขาไม่ได้เล่ารายละเอียด เก้าก็เลยไม่ถาม” อิษวิตส่ายหน้า คำถามต่อมาจึงรัวตามมา
“เก้าเจอเขาที่ไหน” คำถามเร่งเร้าพาให้งุนงง อิษวัตเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนเอ่ยปาก
“สวนสาธารณะครับ แต่เอ้อวันนั้นพี่เขาคุยสนุก เราเลยแอดเฟรนด์กันในเฟซครับ พี่เขาตามไอจีเก้าด้วย บอกอยากดูรูปฝีมือเก้า ตกลงว่าพ่อรู้จักเขา เพื่อนเก่าหรือครับ”
“เก้า ช่วยพ่อหน่อย พ่ออยากรู้ว่าตอนนี้รพินทร์อยู่ที่ไหน เก้าถามให้พ่อที” อินทัชไม่ตอบสักคำถาม แต่ท่าทีก็ทำให้อิษวัตพอมองออกว่าคนนี้ ๆ คงสำคัญกับพ่อพอดู เพราะใบหน้าของพ่อตอนนี้เหมือนคนใจสลายอย่างบอกไม่ถูก
“พี่วินจะพากานต์ไปที่ไหนครับ นี่ไม่ใช่ทางกลับบ้านนี่นา” รพีกานต์รู้สึกตัวตื่น สายตากวาดมองไม่เจอบ้านสไตล์ขนมปังขิงหลังคุ้นเคยก็เอ่ยถาม
“ไปบ้านพี่” อัครวินท์ตอบทั้งสายตามองตรงไปที่ถนน แต่ถึงไม่ได้เห็นหน้าชายหนุ่มก็พอจะเดาอาการของคนฟังได้ว่าจะทำตาโตขนาดไหน
“บ้าน่าพี่วิน กานต์ไม่ตลกด้วยนะครับ กานต์จะกลับบ้าน” คนตัวเล็กเริ่มนั่งไม่ติดที่เมื่อได้รับรู้จุดหมายปลายทาง
“ก็กลับบ้านพี่นี่ไง” อัครวินท์เล่นลิ้น ตอนที่รพีกานต์ผล็อยหลับเขาคิดมาคนเดียวตลอดทาง จนสุดท้ายก็ตัดสินใจกลับรถเปลี่ยน
เส้นทางไปยังคฤหาสน์อิศวัชร์แทน อาศัยจังหวะรถติดส่งรูปอัลตราซาวด์ของสามแฝดพร้อมข้อความ ‘เหลนปู่’ ไปให้นายใหญ่แห่งอิศวัชร์กรุยทางก่อน เพียงไม่นานเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ตัวสร้างเรื่องเหงื่อตกแต่ก็กดรับสายเปิดปากเล่าเรื่องราวคร่าว ๆ ให้ผู้เป็นปู่ได้รับรู้ ปู่ไม่เอ่ยอะไรมากไปกว่าให้ขับรถระวัง ๆ นั่นยิ่งทำให้เสียวสันหลัง อัครวินท์รีบโทร.ไปหามารดาหาคนช่วย ผดาชไมลมแทบจับ ตอนนี้กลายเป็นว่าทุกคนในครอบครัวยกเว้นบิดาของเขาต่างตั้งตารอการไปถึงของเขาพร้อมคนอุ้มท้องเลือดเนื้อเชื้อไขของอิศวัชร์ มารดาบอกว่าปู่รักพ่อมาก แต่พอมีเขาผู้เป็นหลานปู่ก็ยิ่งรักมากกว่าลูกเสียอีก แล้วนี่เหลนแฝดสาม งานนี้เป็นเรื่องแน่ ๆ
“กานต์จะกลับบ้านกานต์” ดวงตาดำขลับจ้องเขม็ง ใบหน้าผ่องหงิกงอ จมูกเล็กเชิดรั้นปากอิ่มเชิดงอนแทบติดจมูกเป็นกิริยาที่อัครวินท์มองว่าน่ามันเขี้ยว ถ้าเผลอเอามือไปบีบจมูกแสนงอนเข้า เขาจะถูกข่วนไหมนะ แต่มันน่าจริง ๆ
“อย่าคิดบีบจมูกกานต์เชียว แล้วก็พูดให้มันรู้เรื่อง กานต์จะกลับบ้านกานต์ ไม่งั้นก็จอดรถ” คนรู้ทันชายตามองค้อนกะหลับกะเหลือกดูยังไงก็เหมือนแมวขู่ ใบหน้างองุ้มเอ่ยย้ำจุดประสงค์ของตนอีกหน
“ปู่กับย่าอยากเจอกานต์ แม่ก็ด้วย”
“อะไรนะ ! นี่พี่บอกครอบครัวพี่ด้วยหรือ” รพีกานต์หูผึ่ง
“พี่อายุสิบเก้า กานต์เองก็สิบแปด เรายังไม่บรรลุนิติภาวะทั้งคู่ พี่ไม่อยากตัดสินใจอะไรเองโดยพลการ เอาน่า พี่พากานต์ไปพบครอบครัว ไม่ได้พาไปฆ่าเสียหน่อย” ชายหนุ่มออกอาการหลุกหลิกเมื่อเจอสายตาคาดโทษ จากลูกแมวกลายเป็นเสือแม่ลูกอ่อนขึ้นมาทันควัน เขา...ก็แค่ไม่อยากปล่อยรพีกานต์หลุดมือไปอีก ยิ่งมีเรื่องลูกเข้ามาเกี่ยว มันเกินความคาดหมายที่จะตัดสินใจเพียงลำพัง ยอมให้ปู่เฉ่งยังดีกว่าต้องตามแก้ไขกันทีหลัง รพีกานต์นิ่งงันไปด้วยอารมณ์หลากหลายตีรวนในอก ไม่คิดว่าเรื่องจะบานปลายถึงขั้นนี้ ทั้งที่เตรียมหลบไปคลอดเงียบ ๆ อยู่แล้ว จะสงบสุขได้อย่างไรกันแบบนี้ หากคนของอิศวัชร์ต้องการตัวเด็ก ไม่ตามล่ากันพลิกแผ่นดินเลยหรือ อิทธิพลและอำนาจเงินมากขนาดนั้น แต่ยั้งใจไว้ก่อน บางทีอาจคิดเข้าข้างตัวเองมากไป ทางนั้นอาจไม่ต้องการรับรู้อะไรเลยก็ได้ อย่างไรเสียเขาก็คงอยากเกี่ยวดองกับคนที่ชาติตระกูลทัดเทียมกัน เผลอ ๆ จะถูกสั่งห้ามปริปากบอกใครเรื่องพ่อเด็กเสียอีก แบบนั้นก็ดี ขอให้เป็นอย่างหลังเถอะ จะยินดีอย่างที่สุด
รพีกานต์ภาวนา สูดลมหายใจลึกเรียกสติตัวเองทั้งที่หวั่นใจไม่น้อย ยิ่งรถเคลื่อนไปข้างหน้าเร็วเท่าไร ระยะทางก็ยิ่งย่นเข้าใกล้ปลายทางเท่านั้น
“พี่วินฟังกานต์นะ กานต์ย้ำหลายครั้งแล้ว และกานต์ก็จะย้ำให้ฟังอีกครั้ง”
“กานต์ไม่ต้องการหรือเรียกร้องความรับผิดชอบอะไร พี่แค่ปล่อยกานต์ไปตามทางของกานต์ ถ้าพี่ติดใจเรื่องลูก กานต์รับปากว่าจะไม่มีปัญหาเรียกร้องอะไรทีหลังในอนาคต กานต์ไม่ได้อยากจับพี่เหมือนละครน้ำเน่า บ้านกานต์มีกินมีใช้ ลูกสามคนกานต์กับพ่อเลี้ยงได้ไม่ลำบาก เรารักในศักดิ์ศรีของเราพอครับ พี่อัดคลิปคำพูดกานต์ไว้ก็ได้” ดวงตาดำขลับจ้องเป๋งจริงจัง พ่อรพินทร์เห่อเจ้าสามแฝดนักหนา เตรียมทองเตรียมหยองไว้รับขวัญหลานตั้งแต่เพิ่งจะอยู่ในท้องแค่สี่เดือน เขาเองก็รักลูกมาก สามแฝดยังต้องการอะไรมากกว่านี้อีกหรือ อัครวินท์หน้าม้านสะอึกกับคำพูดคนตัวเล็กที่ปฏิเสธการมีเขาอยู่ในชีวิต
“ไม่รักพี่แล้วหรือ ถึงได้พูดจาหมางเมินเหมือนพี่ไม่มีตัวตนขนาดนี้” ทำไมเขารู้สึกจุกเจ็บอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่ได้ตัวมาแล้วแท้ ๆ แต่แล้วหัวใจที่เคยรักเขากลับหายไปอยู่ไหนเสีย
“เมื่อก่อนกานต์เคยรักพี่วินมากครับ ทั้ง ๆ ที่กานต์เองก็เกือบตายเพราะผิดหวังจากพี่ แต่ก็ยังคร่ำครวญหาพี่ทั้งวันทั้งคืนตอนอยู่ในโรงพยาบาล” รพีกานต์แค่นยิ้มขื่น ความทรมานเจียนตายยังแล่นริ้วในความรู้สึก ไม่แค่เขาคนเดียวที่ทุกข์ แม้แต่พ่อกับพี่ณัฐ คนที่ห่วงใยล้วนแต่ทุกข์ใจไปกับเขา ทั้งพ่อและพี่ขอบตาแดงทุกครั้งที่เห็นเขาทรมานเหมือนจะตายก็ไม่ตาย หยาดน้ำตาชุ่มหมอนก่อนนอนทุกคืนเป็นแรมเดือน รพีกานต์ไม่เคยลืม ไม่เคยลืมทั้งความรักและความเจ็บช้ำ
“แต่พอมีลูก กานต์รักลูกมากกว่าอะไรทั้งหมด กานต์ยอมสูญเสียทุกอย่างเพื่อรักษาลูกไว้ ถ้าวันนึงพี่วินพร้อมสำหรับการเป็นพ่อคนจริง ๆ พี่วินจะเข้าใจครับ” รพีกานต์กลืนความขื่นขมลงในใจ ในรักแรกบริสุทธิ์แปดเปื้อนด้วยมลทินหยาดน้ำตาคั่ง ทิ้งร่องรอยบาดแผลลึกไว้ให้จดจำ แต่เพราะมีลูกจึงคลายความเศร้าความเจ็บช้ำให้พอทุเลาลงได้บ้าง ด้วยอีกรักที่บริสุทธิ์กว่าได้เยียวยาหัวใจให้มีหวัง เหมือนได้รับฝนทิพย์ ได้เห็นแสงตะวันยามรุ่งคอยห่มหัวใจที่ร้าวราน
“ปล่อยกานต์ไปเถอะนะครับ เลิกแล้วต่อกันเท่านี้เถอะ อนาคตพี่จะแต่งงานมีลูกอีกสักกี่คนก็ได้ แค่พี่ปล่อยกานต์ไป นะครับ กานต์ขอร้อง” ใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็งคู่กัน น้ำเสียงทอดนุ่มออดอ้อน สายตาวิงวอนแกมละห้อย ไม่มีใครทานทนสายตาของรพีกานต์ยามนี้ได้สักคน แต่นั่นกลับทำให้อัครวินท์ยิ่งรู้สึกหวง ยิ่งไม่อยากปล่อยมือให้ไปทำแบบนี้กับใครอีก ไม่ว่าจะณัฐธีร์ ฉายฉาน หรือใครก็ตาม เขาต้องการเป็นเจ้าของครอบครองคนนี้ ๆ ทั้งหมด
“พี่ไม่ปล่อย ยังไงพี่ก็ไม่ปล่อย ต่อให้ต้องล่ามต้องขัง พี่ก็จะทำ”
“พี่ทำกานต์ลงหรือครับ” คำถามทำเอาสะอึก แต่เมื่อหลุดคำพูดไปแล้วอัครวินท์จึงได้แต่เฉยเสีย
“ถ้าพี่ทำอย่างนั้น ใจกานต์ก็จะยิ่งห่างจากพี่ พ่อเคยบอกกานต์ว่า สิ่งที่จะผูกหัวใจคนได้ก็คือความรัก ต่อให้ตัวห่าง หัวใจก็ยังอยู่ใกล้กัน เพราะสิ่งที่เชื่อมหัวใจคนเราไว้คือความรัก ไม่ใช่ร่างกาย พี่วินไม่ได้รักกานต์ก็หยุดทรมานกานต์เถอะครับ เหลือพื้นที่ความทรงจำดี ๆ เกี่ยวกับพี่ให้กานต์ได้เก็บติดตัวไปกับกานต์ทุกที่บ้าง”
“มันมีด้วยหรือกานต์ รักแต่ไม่ต้องการครอบครองน่ะ กานต์บอกว่ากานต์รัก แต่ทำไมถึงผลักไสพี่ออกไปจากชีวิตกานต์ กานต์รักของกานต์ยังไงกันแน่ถึงได้ไม่ต้องการมีพี่ พี่ก็กลับมาแล้วนี่ไง แล้วทำไมถึงยังไล่พี่อีก” เขาไม่เข้าใจ ที่ผ่านมาทุกคนพยายามไล่ตาม ปรารถนาจะครอบครองในตัวเขากันทั้งนั้น
“เพราะพี่วินกลับมาในวันที่กานต์ไม่ต้องการพี่วินแล้วไงครับ” เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ อัครวินท์ตะลึงในคำตอบราวถูกของแข็งทุบหัว รพีกานต์ขอแค่ได้รัก แต่ไม่ปรารถนาจะครอบครองในตัวเขา ไม่ยินยลสนใจว่าเขาจะคบหากับใครหรือมีชีวิตต่อไปยังไงอีก กลายเป็นเขาเสียเองที่ดิ้นรนทุรนทุรายราวถูกสาดด้วยของร้อน เหมือนลอยคว้างอยู่กลางทะเล พยายามตะเกียกตะกายจะว่ายเข้าหาฝั่งแต่ก็ถูกคลื่นซัดออก พยายามจะยึดรพีกานต์ไว้กับตัวแต่กลับถูกผลักออกห่างทุกชั่วขณะ
“กานต์...”
“กานต์ขอเก็บแค่ความทรงจำดี ๆ นะครับ เผื่อวันนึงลูกถามถึงพ่อ กานต์จะได้บอกลูกได้ว่า กานต์รักพ่อของแกมากแค่ไหน พี่วินจะเป็นดวงตะวัน เป็นพระจันทร์ที่กานต์มีความสุขแค่เพียงได้มอง ปล่อยกานต์ไปนะครับ พี่วินเกเรเหลือเกิน กานต์ไม่อยากให้ลูกเป็นแบบพี่ ไม่อยากให้ลูกมีพ่อแบบพี่” ดวงตาแดงช้ำร้องขอ คราวนี้กระบอกตาคนทระนงร้อนผ่าวขึ้นมาจริง ๆ รพีกานต์รักเขา แต่ไม่ต้องการเขา ไม่ต้องการให้ลูกมีพ่ออย่างเขา คนตัวเล็กจะขอเก็บแค่ความรักติดตัวไปด้วยทุกที่ แต่ไม่ต้องการมีเขาอยู่ในชีวิต ไอ้วินเอ๋ย คนอย่างอัครวินท์ อิศวัชร์ ถูกผู้หญิงตบสักร้อยคนยังไม่เจ็บเท่าคำพูดของคน ๆ เดียว
“กานต์มีคนแสนดีรับเป็นพ่อเด็กให้แล้วสินะ ถึงไม่ต้องการพี่” อดประชดประชันด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจไม่ได้ เขาเลวขนาดที่ไม่ปรารถนากันถึงเพียงนี้เชียวหรือ
“ลูกของกานต์ไม่จำเป็นต้องเร่หาพ่อเด็กหรอกครับ ฝนหลวง ใกล้รุ่ง ฟ้าห่ม มีพ่อและปู่ทุ่มเทความรักให้มากพออยู่แล้ว” ใบหน้าเรียวเชิดอย่างถือตัวโดยไม่ทันระวังว่าเผลอหลุดคำพูดออกไปจนได้ หากแต่คนได้ยินขมวดคิ้วฉับ ทวนซ้ำอีกหน
“ฝนหลวง ใกล้รุ่ง ฟ้าห่ม นี่ตั้งชื่อเล่นลูกแล้วหรือกานต์” รพีกานต์ชะงัก หลุดปากไปอีกจนได้ อยู่ใกล้พี่วินไม่เคยควบคุมตัวเองได้เลย ใบหน้าใสสะบัดหนียุติการพูดคุยลง ด้วยกลัวจะน้อยใจจนหลุดอะไรออกไปอีก
“เป็นชื่อที่ดีมากจริง ๆ พี่ชอบเพลงใกล้รุ่ง แล้วพี่จะเล่นให้กานต์กับลูกฟัง จะเล่นทุกเพลงที่กานต์ชอบ” อัครวินท์พึมพำด้วยใจลิงโลด เพลงนี้บิดาของเขาเคยสอนเมื่อครั้งเยาว์วัย จำได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่เขามีความสุขมากยามอยู่ใกล้บุพการีตนเอง หัวใจพองฟูอย่างประหลาดเมื่อพูดถึงเจ้าสามแฝดทั้งที่เมื่อกี้บรรยากาศหม่นคุบีบหัวใจเสียกระบอกตาร้อนผ่าว แล้วคิวปิดทั้งสามก็เข้ามาห้ามทัพก่อนจะเลยเถิด อัครวินท์ยิ้มยินดีแค่ได้ยินชื่อเล่นเจ้าตัวน้อย มือหนาละพวงมาลัยข้างหนึ่งยื่นมาลูบท้องนูน แรงตอดเล็ก ๆ ร้อยสายใยผูกพันแนบแน่นอย่างไม่อาจจะละมือ
“ให้โอกาสพี่อีกครั้งนะกานต์ พี่สัญญาว่าพี่...”
“อย่าสัญญาครับพี่วิน อย่าเอาอนาคตที่ไม่แน่นอนมาผูกมัดตัวเอง พี่จะกลายเป็นคนพูดปด ไม่น่าเชื่อถือ ถ้าทำอย่างที่พูดไม่ได้ ให้การกระทำอธิบายคำพูดเถอะครับ” รพีกานต์ขัดขึ้นกลางปล้อง ตอนนี้รู้แล้วว่าอย่างไรเสียอัครวินท์ก็จะพาตนไปที่บ้านให้ได้ ร่างเล็กเรียกสติเตรียมการเผชิญหน้า เพื่อลูกแล้วต่อให้ต้องเจอกับอะไรก็ยอม ดวงตากวางหลุบมองโทรศัพท์ข้างกายที่วางแอบไว้อีกฝั่ง ทุกคำพูดที่สนทนากันบิดาของเขาได้ยินหมดทุกถ้อยคำ
“พ่อจ๋า ถึงเวลาที่เราต้องหนีแล้ว”
-ต่อด้านล่างค่ะ-
*กลอนวรรคแรกด้านบนสุดเราเอามาจาก 'มิอาจพบประสบพักตร์' ในเพชรกลางไฟนะคะ เอามาแต่งแบบกลอนแปดอีกที