เป็นหนี้ ครั้งที่ 19 “คุณเปลว”
เสียงหวานใสดังออกมาแต่ไกลจากในตัวบ้านก่อนจะตามมาด้วยเสียงลงส้นเท้าหนักๆตรงมายังเจ้าของชื่อที่เพิ่งก้าวเท้าลงมาจากรถยนต์โดยมาอัมรินทร์คอยประคองอยู่ข้างๆไม่ให้ล้ม
“คุณเปลวของลิล” ลิลดาพูดเสียงดังไม่ห่วงมารยาทที่เพิ่งโดนมารดาตักเตือนไปเมื่อหลายวันก่อน เธอตรงปรี่เข้ามารวบตัวคนป่วยที่ยังไม่หายดีมากอดเสียเต็มรัก กลิ่นหอมอ่อนๆของเครื่องปรุงเตรียมอาหารลอยออกมาปนกันกลิ่นน้ำหอมที่เจ้าหล่อนใช้ประจำ
“ลิลอย่าพุ่งมาแบบนั้นสิเดี๋ยวเปลวเขาล้ม” อนิรุทธิ์ที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินตามมาทีหลังเอ็ดเสียงเหมือนผู้ใหญ่วิ่งตามเด็ก
“คุณเปลวเป็นยังไงบ้างคะ ยังปวดหัวอยู่หรือเปล่าคะ” เธอถามหน้าจริงจัง จับคนตรงหน้าหมุนซ้ายหมุนขวา
“ไม่เป็นอะไรแล้วครับ ขอบคุณนะครับที่ไปเยี่ยมเมื่อวาน” เปลวอรุณยิ้มตอบพร้อมค่อยๆผละออกจากหญิงสาวอย่างไม่ให้เสียมารยาทเพราะถ้าเธอยังจับเขาพลิกซ้ายพลิกขวาอยู่อีกมาหวังเขาได้เวียนหัวแล้วอาเจียนออกมาแน่
“จริงๆนะคะ แต่ตัวยังร้อนๆอยู่เลย” เธอว่าพร้อมยกมือขึ้นอังลำคออีกฝ่าย “แถมยังไออีกด้วย” เธอพูดเสียงอ่อย
“แค่ยังเหลือไข้นิดๆหน่อยๆกับไอนี้ละครับนอกนั้นก็ดีขึ้นหมดแล้ว”
“แน่นะคะ” ใบหน้าสวยเจือความรู้สึกผิด “ถ้าคุณเปลวเป็นอะไรไปลิลต้องรู้สึกผิดมากๆแน่เลยค่ะ” เธอว่า
“แล้วทำไมต้องรู้สึกผิดด้วยละครับ คุณลิลไม่ได้ทำอะไรเสียหน่อยอีกอย่างผมก็ป่วยเองด้วย” เปลวอรุณเอียงคอถาม ไม่เข้าใจความหมายที่เธอว่าออกมาว่าทำไมต้อง ‘รู้สึกผิด’ ที่เขาป่วยด้วย
“เออ ก็..” คนชั่งพูดแทบไปไม่ถูก ด้วยไม่มีใครรู้ว่าเธอแอบทำอะไรกับแก้วน้ำผลไม้ของเปลวอรุณ หากพลั้งปากออกไปดีไม่ดีคนที่จะถูกตำหนิก็คงไม่แคล้วจะเป็นตัวเธอที่คิดเล่นพิเรนทร์มอมยาคนอื่นจนจับไข้
“เราเข้าไปคุยกันในบ้านดีกว่าไหม แดดเริ่มแรงแล้วเดี๋ยวเปลวจะไข้กลับ” เหมือนเสียงสวรรค์มาช่วย เพราะเมื่ออัมรินทร์พูดออกมาด้วยน้ำเสียงแข็งๆเหมือนคนเพิ่งเจอเรื่องไม่สบอารมณ์มาก็ประคองเปลวอรุณเดินขึ้นขั้นบันไดเข้าไปด้านในไม่สนใจพวกเธออีกเลย
ลิลดามองตามหลังเพื่อนชายคนสนิทไปอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมอีกคนถึงต้องดูโกรธใส่อารมณ์ขนาดนั้น ครั้นพอหันมาสบตากับอนิรุทธิ์เป็นเชิงถาม ชายหนุ่มเองก็ได้แต่ส่ายหน้าไม่รู้เช่นกัน
ถ้าอย่างนั่นก็คงเหลืออยู่คนเดียวที่พอจะตอบปัญหานี้ได้...
ทั้งสองหันกลับมามองเด็กหนุ่มที่นั่งยองเล่นอยู่กับสุนัขตรงหน้า ลูกตาลเองเมื่อรู้สึกเหมือนถูกมองก็เงยหน้าขึ้นมองสองชายหญิงนั่นกลับ
“มีอะไรหรอครับ” เจ้าตัวถามพลางลุกขึ้นปัดฝุ่นตามตัวออก “แล้วทำไมใส่ผ้ากันเปื้อนกันละ” พอถาม
ผ้ากันเปื้อนสีกาแฟอยู่บนตัวของลิลดาลูกตาลพอเข้าใจได้ว่าเธอเพิ่งตรงมาจากในครัวเมื่อครู่ แต่กลับอนิรุทธิ์เด็กหนุ่มไม่เคยรู้มาก่อนว่าคนที่เพิ่งได้ศักดิ์เป็นลุงของเขาทำอาหารเข้าครัวเป็น
“ว้าย!” คล้ายเพิ่งนึกได้ตอนโดนทัก ลิลดาอุทานขึ้นเสียงดังก่อนจะหันตัวกลับวิ่งเข้าไปในบ้านอีกครั้งเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าเธอเคี่ยวข้าวต้มค้างเอาไว้อยู่ในครัว
อนิรุทธิ์มองตามหลังเล็กของหญิงสามไปแล้วอดไม่ได้ที่จะพ่นลมหายใจออกมา
พูดไม่เคยฟัง...
“แล้วมีเรื่องอะไรระหว่างมา ทำไมไอ้อันมันหน้าบูดบึ้งได้ขนาดนั้น” อนิรุทธิ์หันกลับมาถามใหม่
อัมรินทร์เป็นพวกที่แสดงออกทางสีหน้าและแววตาชัดแจนทำให้ไม่ว่าจะมีเรื่องพอใจ เสียใจ หรือไม่พอใจอะไรคนรอบข้างก็มักจะจับสังเกตได้ทันที
ครั้งนี้ก็เหมือนกัน...
“น่าจะเพราะเจอเพื่อนเก่าละมั่ง” ลูกตาลทำหน้าคิด เพราะตลอดทางที่กลับมาอัมรินทร์ไม่พูดไม่จาคล้ายโมโหเคืองใจกับสิ่งใดอยู่และเท่าที่พอนึกได้ก็มีอยู่เรื่องเดียว
“เพื่อนเก่า?”
“อือ ชื่อ ราชัน”
...........................................
“อะไรนะ เจอราชันที่โรงพยาบาล”
ลิลดาถามกลับอีกครั้งพลางทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาในห้องนั่งเล่นหลังกลับมาจากเข้าไปในครัวมาเมื่อสักครู่ นัยน์ตาหวานเสมองคู่กรณีที่อยู่ในเหตุการณ์อย่างอกสั่นขวัญแขวน
“แล้วราชันมาทำอะไร” เธอถามน้ำเสียงคล้ายเป็นห่วงกังวล
“ไม่รู้” อัมรินทร์ตอบเสียงห้วนโอบรอบเอวเปลวอรุณที่นั่งอยู่ข้างๆให้เข้าหาตัวแน่น เหมือนกลัวอีกคนจะหายไป
แม้จะไม่รู้ความสัมพันธ์ฉันระหว่างเพื่อนระหว่างคนทั้งสองว่าเป็นในทิศทางไหนแต่ก็คงไม่ยากเกินที่เปลวอรุณจะคาดเดาว่าราชันคงไม่ใช่เพื่อนรักเพื่อนสนิทที่อัมรินทร์อยากส่งยิ้มทักทายใส่เวลาเจอหน้ากันเสียเท่าไร
ดูได้จากการแสดงออกที่แทบจะกระโจนกินหัวอีกฝ่ายเมื่อตอนนั้นแล้ว...
“ว่าแต่คนที่ชื่อราชันอะไรนั่นเป็นใครหรอครับ” ลูกตาลเองก็สงสัยไม่แพ้กัน และเขามันเป็นพวกอยากรู้ก็ต้องถามเสียด้วยสิ
“ว่าไงดีละ” ลิลดาเกริ่นเมื่อเห็นว่าอัมรินทร์ไม่มีความสนใจใยดีอันใดในการเอ่ยพูดถึงบุคคลที่สามคนนี้เลยแม้แต่น้อย
“เพื่อนร่วมคาร์สเรียน ใช้คำนี้น่าจะได้อยู่นะ” นิ้วชี้เรียวยกขึ้นแตะปลายคางเหมือนใช้ความคิด
“หมอนั่นเป็นเพื่อนนักเรียนไทยที่เรียนอยู่ที่มหาลัยเดียวกับฉันแล้วก็อัน” เธอเริ่มพูด เมื่อเห็นว่าเจ้าของเรื่องไม่มีท่าทีขัดอะไรเธอจึงเริ่มพูดต่อ
“ฉันเองก็ไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับราชันเท่าไรเพราะฉันเรียนออกแบบไม่ใช่บริหาร แต่เท่าที่รู้คือตั้งแต่ปีแรกที่เข้าเรียนจนปีสุดท้ายที่จบออกมาอันกับราชันเรียกเซคเดียวกันมาตลอด เหมือนว่าถ้าเจออันเซคนี้ก็ต้องเจอราชันอยู่ในเซคนั้นด้วย” บางวันที่เธอเข้าไปนั่งเรียนกับอัมรินทร์ทีไรเธอเองก็มักจะหันไปเจอรอยยิ้มละไมของชายผิวซีดคนนั่นเป็นประจำ
“มันคือตัวน่ารำคาญ” อัมรินทร์เปิดปากออกมาด้วยน้ำเสียงที่บอกชัดตรงคำพูดว่าตนไม่พอใจและไม่สบอามรณ์แม้จะเป็นเพียงการเอ่ยถึงเรื่องของอีกฝ่าย
“เหมือนมันจงใจจะแข่งกับฉันไปทุกเรื่อง” ทั้งเรื่องการเรียน ทั้งเรื่องคู่นอน
ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าไปทำอะไรให้ไอ้ผีเลือดหายนั่นติดใจจนตามติดเขาเป็นขี้ปลาทองแบบนี้ แต่บอกเลยว่านอกจากน่ารำคาญแล้วเขายังเกลียดขี้หน้ามันด้วย
“ใช่ ถ้าวิชานี้อันได้ท็อปอีกวิชาก็จะเป็นราชันที่ได้ท็อป แต่ลิลว่ามันก็ดีนะที่มีคู่แข่งมันจะได้เป็นการกระตุ้นการเรียนของเราด้วยแถมราชันเองก็เป็นคนอัธยาศัยดีพอตัวเลย” พอได้คุยแล้วราชันก็ดูไม่ได้มีพิษมีภัยอะไรเท่าไร
“แต่ที่ทำให้มีปัญหากับอันจริงๆน่าจะเพราะราชันเคยแย่งคู่เดทของอันด้วยนี้ละ” เธอว่าเมื่อนึกขึ้นได้
“แย่งหรอ?” อนิรุทธิ์ทวน สีหน้าฉงนหนักยามหันไปมองสีหน้าโกรธจัดของน้องชาย
เรื่องจริงหรอเนี้ย...
คนอย่างไอ้อันนี้นะโดนแย่งคู่เดท ไม่น่าเชื่อ...
“แล้วที่มันโผล่มาที่นี้ คงไม่ใช่ว่า” อนิรุทธิ์เผลอคาดเดากับตัวเอง
“กูไม่เสียท่ามันซ้ำสองแน่” อัมรินทร์ขบกรามแน่น
ผู้หญิงที่ครั้งหนึ่งเขาเคยคิดจริงจังด้วยคือสาวสวยชาวอังกฤษ สาวเรียบร้อยที่เขาตามเทียวไล้เทียวขื่ออยู่แรมเดือนจนเธอใจอ่อนยอมออกเดทกับเขา
แต่แค่วันเดียวเท่านั้น..
น้ำต้มผักจืดชืดที่กำลังจะว่าหวาน ยังไม่ทันได้หวานชื้นกินใจก็เป็นอันต้องรู้สึกขมเหมือนฝืนกลืนบอระเพ็ดเขาทั้งต้น
ความดีใจอยู่ข้างอัมรินทร์ถึงแค่ยามลืมตาตื่น เพราะยังไม่ทันจะก้าวขาออกนอนห้องพัก ข่าวว่าสาวเจ้าไปนอนกกกอดอยู่กับมารชีวิตของเขาอย่างราชันก็ลอยมาตามลมเหมือนสายฟ้าที่ฝ่ากลางใจพาทำให้ตัวเขาชาวาบ และที่ร้ายที่สุดคือสาวเจ้าไม่คิดจะชายตามองมาทางเขาเลยแม้แต่น้อย
มันจงใจที่จะเหยียบหน้ากันชัดๆ....
“ฟังนะเปลว ถ้าไอ้หมอนั่นเข้ามาใกล้หรือชวนคุยเปลวรีบเดินหนีมันเลยนะ ออกมาห่างๆอย่าไปอยู่ใกล้ไอ้ตัวเชื้อโรคนั่น” อัมรินทร์หันหน้ามาพูดกับคนข้างกายเสียงจริงจัง
เขาไม่ยอมนแน่...
“มันคงไม่มีเรื่องแบบนั้นอีกแล้วละมั่งครับ” เปลวอรุณว่าปลอบ
“ไม่ได้เปลว เห็นหน้ายิ้มๆแบบนั้นนะเชื่อถืออะไรไม่ได้หรอ” อัมรินทร์บอก
ยิ่งราชันบอกเองไว้ตอนท้ายว่า ‘ไว้ค่อยเจอกันใหม่’ ด้วยแบบนี้ร้อยทั้งร้อยเขาเองหัวเป็นประกันไอ้ผีหน้ายิ้มนั่นต้องโผล่มาให้เขาเห็นหน้าอีกแน่
“ลูกตาลเองก็เหมือนกัน อย่าไปยุ่งกับคนพันนั้นเด็ดขาด” ไม่วายส่งแรงแค้นมาให้เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ไม่ไกลให้รับรู้
ลูกตาลพยักหน้ารับไม่สาวความยาวอะไร
หลังจากอัมรินทร์กำชับเน้นย้ำทุกคนซ้ำๆอยู่อย่างนั้นให้ทุกคนจำขึ้นใจว่า ราชัน คือสิ่งต้องห้ามที่ไม่ควรเข้าใกล้ เสียงของลุงอุ่นก็ดังขึ้นเพื่อเชิญคุณๆทั้งหลายไปทานข้าวเพื่อที่ว่าเปลวอรุณจะได้กินยาแล้วพักผ่อน
หลังกินข้าวกันแล้วก็นั่งคุยกันอยู่ที่ห้องอาหารกันอีกครู่ใหญ่ๆก่อนที่ลิลดาจะเอ่ยปากของตัวกลับก่อน เมื่อสัญญาณเลิกราการพบปะกันดังขึ้นอนิรุทธิ์รับหน้าที่เดินไปส่งหญิงสาวที่รถ อัมรินทร์พาเปลวอรุณขึ้นมาที่ห้องพร้อมลูกตาลเพื่อพักผ่อน
แต่ดูเหมือนความตั้งใจที่ว่าจะใช้เวลาอยู่ด้วยกันเปลวอรุณสองคนของอัมรินทร์เป็นอันต้องพับเก็บ
“โฮ่ง”
“ก็บอกว่าเข้าไม่ได้ไง”
อัมรินทร์เท้าสะเอวยืนข้างประตูห้องนอนพร้อมทำเสียงกึ่งดุกึ่งอ่อนใส่ลูกสาวสี่ขาที่ส่งเสียงครางหงิงยกขาหน้าเกลี่ยสะกิดของความเห็นใจจากคนตัวสูงที่ดูแลมันมาตั้งแต่น้อยตาละห้อย
“หงิง..หงิง”
เสียงร้องของมณีนิลทำเอาใจของอัมรินทร์อ่อนยวบ แต่เขาต้องกลั้นใจทำใจแข็งสลัดความใจอ่อนนั้นออกไปเมื่อเป้าหมายของเจ้าตัวไม่น้อยนั้นคืออะไร
“แม่เปลวต้องพักผ่อน คุณนิลเข้าไปไม่ได้” เหมือนรับรู้ความหมายที่เจ้านายพูดบอกเสียงร้องประท้วงของมณีนิลก็ดังขึ้นอีกครั้ง มันโวยวายอยู่หน้าประตูทำเอาอัมรินทร์ยกมือกุมขมับไม่รู้ว่าตนเลี้ยงสุนัขตัวนี้ตามใจไปหรือมันรู้มากเกินไปจนเขาปวดหัว
“ให้คุณนิลเข้ามาก็ได้ครับ คุณนิลเข้ามา” ครั้งนี้มณีนิลไม่สนใจยักษ์ปรักหลักแล้วว่าจะพูดอะไร เมื่อคนด้านในเรียกเจ้าตัวแสบก็วิ่งลอดระหว่างขาของอัมรินทร์เข้ามาทันทีไม่สนใจด้วยว่าคนที่ยืนข้างทางมันจะเซจนแทบล้มเพราะขนาดตัวที่ไม่ได้เล็กเท่าลูกหมาของมันหรือไม่
สี่เท้าวิ่นโจนทะยานเข้ามาในห้องด้วยความใจดีกระโดดขึ้นเตียงเอาหัวหนุนตักเกลือกกลิ้งหงายท้องเต็มที่นอนอย่างสุขสมยามที่มีมืออุ่นของแม่คอยลูบหัวเกาคอให้มัน
“ตามใจแบบนี้จะเคยตัว” อัมรินทร์เดินเข้ามาพร้อมตำหนิแต่มือก็ไม่วายที่จะเกาพุงให้เจ้าตัวแสบ
“แล้วไม่ใช่ว่าลุกก็เอาคุณนิลขึ้นห้องบ่อยๆหรือไง เห็นว่าให้ขึ้นมานอนที่ห้องด้วยนิ” ลูกตาลที่นอนหลัตาซบตักอีกข้างยอกย้อนอีกคนตามที่ตนได้ยินมา
“แต่นี้เปลวป่วยอยู่” อัมรินทร์ให้เหตุผลที่ไม่ว่าจะยังไงลูกตาลก็มองว่ามันก็แค่ข้ออ้าง
“เอาน่า ผมไม่ได้เป็นอะไรแล้ว” เปลวอรุณปรามข้างหนึ่งลูบหัวลูกอีกข้างลูบหัวสุนัข
อัมรินทร์ประท้วงในใจตีหน้างอเป็นเด็ก
“ให้เวลาอีกสิบนาที เปลวจะได้เช็ดตัวอีกรอบแล้วนอน” เมื่อหาทางห้ามไม่ได้ก็หาทางไล่ให้ออกไปก็แล้วกัน อัมรินทร์คิด
“แต่ผมยังไม่ง่วง” อย่างที่บอกว่าเมื่อวานเขานอนมามากพอแล้ว ขื่นให้เขานอนอีกมีหวังจะเคยตัวติดเป็นนิสัยเสียเอา
“ถ้างั้นแค่เช็ดตัวเอาอย่างเดียวแล้วกัน”
เปลวอรุณพยักหน้า
“แล้วทำไมนายถึงมานอนนี้” ก่อนหันไปเขม็งใส่เด็กหนุ่มที่นอนหลับตานิ่ง
“ผมก็อยากอยู่กับแม่ผมบ้าง ลุงจะทำไม” ลูกตาลเหลือบตามมองคล้ายเย้าแหย่มากกว่าตั้งแง่หน้าเรื่อง
“ก็ไม่ทำไมหรอ” ก็แค่มันไม่เหลือพื้นที่ให้เขาขึ้นไปร่วมวงด้วยบนเตียงเลยนะสิ อัมรินทร์กอดอกคิด
อัมรินทร์มองซ้ายมองขวาก่อนจะปีนขึ้นเตียงอุ้มมณีนิลออกห่างแล้วนอนทับตักของเปลวอรุณแทนที่ลูกสาว
“โฮ่ง” แน่นอนว่ามณีนิลไม่ยอมง่ายๆ
สงครามขนาดย่อมจากการแย่งที่นอนกันระหว่างคนกับสุนัขเริ่มหาจุดกึ่งกลางไม่เจอ ลูกตาลเองที่ตอนแรกใกล้เคลิ้มหลับเป็นอันต้องลุกขึ้นนั่งทำหน้ายุ่งมองหนึ่งคนหนึ่งสุนัขตาขวางแล้วเดินออกจากห้องไปไม่พูดไม่จา
“เล่นอะไรกันไม่รู้เรื่อง” เปลวอรุณส่งสายตาตำหนิ
จ๋อยทั้งพ่อทั้งลูกกันเลย...
มณีนิลเริ่มเบี่ยงตัวเข้าหาพยายามเกยหน้าเกยตาเข้าที่ตักหมายจะคิดใช้ความเป็นสัตว์เลี้ยงอ้อนง้อให้อีกคนใจอ่อน และแน่นอนว่าเปลวอรุณไม่สามารถทำใจแข็งต่อสัตว์สี่เท้าตรงหน้าได้
ส่วนอัมรินทร์เองก็รู้ตัวดีว่าตัวเองไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่มีขนปกตามตัวและขี้อ้อนชั่งเอาใจมีแต่ตัวหนาๆกับร่างโตๆเท่านั้น แต่ก็ใช่ว่าจะไร้หนทางเสียทีเดียว
เมื่อลูกตาลเดินออกจากห้องไปก็แสดงว่าพื้นที่บนที่นอนนั้นต้องเพิ่มขึ้นครั้งนี้เขาโถมตัวเข้าหากอดรอบเอวอีกคนแน่นแล้วซบหน้าลงกับแผ่นอกบาง รัดตัวเปลวอรุณไว้แน่นเหมือนงูที่รอจะกินเหยื่อ
“ไม่โกรธกันสิเปลว” เขาเริ่มอ้อน
“ผมก็ไม่ได้บอกว่าโกรธเสียหน่อย คุณอันมันอึดอัด” เจ้าตัวว่าพลางยกแขนดัน แต่คนตัวโตมีหรือจะฟัง
เมื่อไล่แล้วไม่ฟังเปลวอรุณก็ได้แต่ถอนใจยอมนั่งนิ่งให้อีกคนซบกอดตามใจ
พวกเขานั่งเงียบกันอยู่อย่างนั้นก่อนเป็นอัมรินทร์ที่เอ่ยปากขึ้นมา “เปลว”
“ครับ”
“อย่าไปยุ่งกับหมอนั่นนะ” เหมือนจะยังเป็นกังวลไม่เลิกรา อัมรินทร์ย้ำคำของตนขึ้นมาอีกครั้งเสียงเบา
“ทำไมถึงคิดว่าเขาจะมายุ่งกับผมละครับ” เปลวอรุณยกมือขึ้นลูบหัวอีกคนพลางถาม
“เพราะเปลวเป็นเมียฉัน และมันก็เห็นแล้วว่าเปลวอยู่กับฉัน” ยิ่งพูดอัมรินทร์ก็ยิ่งกระชับกอดแน่นซุกหน้าลงกับอกนั้นเหมือนของรักที่ไม่อยากให้ห่างกาย
ถึงจะไม่ค่อยอยากยอมรับแต่ที่อัมรินทร์พูดมาคือความจริง...
ตอนนี้เปลวอรุณ เมีย ของอัมรินทร์แล้ว...
“เขาคงไม่มายุ่งกับผมหรอกครับ” เปลวอรุณมั่นใจเต็มร้อยว่าเรื่องที่อัมรินทร์คิดกลัวมันจะไม่มีทางเกิด
“แต่ฉันไม่ไว้ใจมัน” ขึ้นชื่อว่าเคยแย่งมาครั้งหนึ่งแล้วการจะมีครั้งที่สองที่สามตามมาอีกก็ไม่ใช่เรื่องแปลก และเขาจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้น
แต่ดูเหมือนความต้องการของอัมรินทร์จะไม่ใช่สิ่งที่โชคชะตาต้องการให้เกิดตาม...
ตอนนี้อาการไข้ของเปลวอรุณหายเป็นปกติแล้วเหลือเพียงแค่อาการไอแห้งๆที่ยังคงอยู่กับอาการอ่อนเพลียอีกเล็กน้อย แต่โดยรวมแล้วถือว่ากลับมาเป็นปกติดีแล้วหลังจากโดนประคบประงมให้อยู่แต่ภายในห้องมาตลอดสุดสัปดาห์วันนี้ถือเป็นวันแรกที่เปลวอรุณได้ออกมาเจอกับผู้คนและวงจรชีวิตแบบเดิม
“คุณเปลวหายดีแล้วหรอคะ” เสียงทักทายซ้ำๆที่เขาเจอตั้งแต่เช้าดังขึ้นอีกครั้ง
ถึงจะไม่แน่ใจว่าพวกเธอพวกเขาเหล่านั้นรู้เรื่องการป่วยของเขาได้อย่างไรแต่ก็ถือว่าเป็นน้ำใจเล็กๆน้อยๆที่เพื่อนร่วมงานแสดงออกต่อกันเปลวอรุณจึงยิ้มรับแล้วตอบกลับ
“หายแล้วครับ” เขาตอบ รอยยิ้มบางถูกปกปิดเอาไว้ใต้หน้ากากอนามัยที่อัมรินทร์แกมบังคับให้คนเพิ่งสร่างไข้สวมเอาไว้เพื่อป้องกันเชื้อโรค
“แล้วนี้ท่านรองอยู่ที่ห้องหรือเปล่าคะ พอดีว่าพี่เอาเอกสารรายงานการประชุมย่อยที่แผนกมาให้” หญิงสาววัยสี่สิบกล่าว
“คุณอันออกไปที่โรงผลิตพร้อมคุณลิลดาตั้งแต่เช้าแล้วครับ เดี๋ยวอีกสักพักก็คงกลับมาแล้ว” เปลวอรุณตอบพลางมองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาว่าใกล้จะเที่ยงแล้ว
“งั่นหรอจ้ะ ถ้างั้นพี่ฝากรายงานการประชุมไว้ที่คุณเปลวแล้วกันนะเดี๋ยวสักบ่ายสองพี่จะกลับมาเอา” เธอว่าพร้อมวางแฟ้มที่วางลงตรงหน้าพร้อมแย้มยิ้มให้ก่อนจะเดินกลับไปที่แผนกของตน
เปลวอรุณหยิบแฟ้มที่เพิ่งถูกวางส่งมาให้เมื่อครู่มาเปิดอ่าน
รางงานการประชุมของแผนกสั่งซื้อส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องใบรายการสั่งซื้อจากลูกค้าว่าเดือนนี้สินค้าตัวใดถูกสั่งมากที่สุดและน้อยที่สุด คำติติงของลูกค้าต่อบริษัทเนื่องจากฝ่ายสั่งซื้อจะต้องออกพบลูกค้าเป็นส่วนใหญ่จึงไม่แปลกที่แผนกนี้จะมีใบรายงานตรงจากลูกค้ามากกว่าแผนกอื่น และอีกหลายอย่าง
เปลวอรุณนั่งอ่านรายงานการประชุมสลับกับเขียนวิเคราะห์ตามความเห็นของตัวเองลงกระดาษโน้ตข้างๆไปพลางจนไม่ทันสังเกตว่ามีใครบางคนกำลังเดินเข้ามา
คนมาใหม่ยืนมองคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารในแฟ้มไปพลางจดอะไรหยุกหยิกไปพลางด้วยสายตาที่ฉายชัดว่าทั้งรักและคิดถึงคนตรงหน้าขนาดไหน
“สวัสดีครับ”
มือที่กำลังจับปากการจดโน้ตหยุดชะงักก่อนที่ใบหน้าขาวติดจะซีดเล็กน้อยจะค่อยๆเงยขึ้นมามองเจ้าของเสียง ใบหน้าขาวซีดกับรอยยิ้มที่แสดงออกว่าตนไม่ทุกข์ร้อนกับสิ่งรอบกายของคนที่เพิ่งมีโอกาสได้พบปะไม่เมื่อไม่กี่วันก่อนปรากฏชัดอยู่บนใบหน้าของชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งตรงหน้า
“ราช” เปลวอรุณพึมพำพลางหรี่ตามมองคนตรงหน้า
“ไม่เจอกันนานเลยนะครับ” อีกฝ่ายยังคงแย้มยิ้ม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรู้สึกคิดถึงยามที่ได้พูดคุยกับคนตรงหน้า
“มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ คุณราชัน” เปลวอรุณไอแห้งๆออกมาก่อนปรับคำพูดและน้ำเสียงให้เป็นทางการขึ้นพร้อมกับลุกขึ้นยืน
“ทำไมพูดจาห่างเหินกันแบบนี้ละครับ” อีกคนทำหูลู่หางตก นัยน์ตาเรียวตีความเศร้า
“มีธุระอะไรหรือครับ” เปลวอรุณถามย้ำมือกำเข้าหากันแน่น
รู้สึกปวดหัวอีกแล้ว... “ที่จริงว่าจะมาหาอัน แต่ในเมื่อเจอคุณผมก็มีเรื่องอยากจะคุยด้วยเสียหน่อย” ราชัยแย้มยิ้มใหม่ ปรับสีหน้าและท่าทางใหม่อย่างรวดเร็วเหมือนกิ้งก่าเปลี่ยนสี
“คุณหายไปไหนมาครับ”
“ไม่ใช่เรื่องของคุณไม่ใช่หรอครับ” เปลวอรุณพูดเสียงหนัก คล้ายจะย้ำให้คนตรงหน้าจำได้ว่าเคยพูดอะไร
“เรื่องนั้นคุณกำลังเข้าใจผิด” ราชัยก้าวเข้าใกล้พยายามอธิบาย
“ฉันไม่อยากฟัง” เปลวอรุณหน้าตึง
“ก็ได้ครับ” ราชันจนใจ “แต่อีกเรื่องผมว่าคุณต้องฟัง”
เปลวอรุณหรี่ตามมอง
ราชันถือว่าการที่คนตรงหน้ายืนนิ่งไม่พูดขัดเป็นการแสดงออกว่ายินยอมที่จะฟังคำพูดนั้นก็ยกยิ้ม
“เรื่องของอัม-”
“เปลว!”
ยังไม่ทันที่ราชันจะได้กล่าวออกมาให้ครบประโยคเสียงตะโกนลั่นของอัมรินทร์ก็แทรกขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำเอาสองคนที่ยืนคุยกันอยู่สะดุ้งโหยง โดยเฉพาะกับราชันที่ตวัดหางตามองคนไร้มารยาทที่เข้ามาขัดจังหวะการสนทนาของเขาตาเขียว
“มึงมาทำอะไรที่นี้” อัมรินทร์ปรี่เข้าประชิดตัวดันเปลวอรุณให้เข้าไปหลบที่หลังของเขา
“ก็มาหามึงไง” ความไม่พอใจเมื่อครู่แปลเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอารมณ์ดีเหมือนพลิกฝ่ามือ
“แต่กูไม่เห็นจำได้ว่าอยากเจอมึง” อัมรินทร์ว่าอย่างไม่ไว้หน้า
“น่าๆ อย่าพูดอย่างนั้น” เจ้าตัวว่าพร้อมหยิบบางสิ่งที่อยู่ในเสื้อสูทออกมา
“พอดีว่าเดือนหน้าปู่กูท่านจะจัดงานประมูลการกุศลเลยให้กูเอาการ์ดมาแจก” ราชันพูดพร้อมยื่นการ์ดที่ว่านั้นไปตรงหน้า “เผื่อมึงจะอยากเอาของไปประมูลด้วย”
อัมรินทร์รับมาแม้จะไม่เต็มใจ พลิกดูไปมาก่อนจะเปิดดูการ์ดที่อยู่ข้างในซองสีขาวมุก
“ถ้าสนใจก็ติดต่อมาละ เบอร์โทรเลขาฉันอยู่ในซองนั้นแหละ” ราชันทำเป็นชี้ เพราะรู้ดีว่าอัมรินทร์คงไม่แม้แต่จะอยากติดต่อเข้าเบอร์ส่วนตัวของเขาแน่
“แค่นี้ใช่ไหน” อัมรินทร์ละสายตาจากรายละเอียดบนการ์ดขึ้นมามองคนตรงหน้า
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้” เจ้าตัวยังคงยิ้ม
“ถ้าอย่างนั้นก็เชิญ นี้มันเวลาพักกลางวันเมียกูต้องพักผ่อน” อัมรินทร์ออกปากไล่ โดยไม่ลืมเน้นย้ำสถานะของคนตัวขาวข้างหลังให้อีกคนจำให้ขึ้นใจ
“รู้แล้วๆ มึงนี้ก็ชอบไล่กันจังเลยนะ” ราชันทำเสียงอ่อยคล้ายตัดพ้อน้อยใจใส่
“ถ้าอย่างนั้นกูไปก่อนนะ มีอะไรก็ติดต่อมาที่เลขากูโดนตรงได้เลย” เจ้าตัวว่าอย่างนั้นก่อนจะโบกมือลาแล้วเดินออกไป
อัมรินทร์ขบกรามมองตามหลังเพื่อนแค้นไป รอจนแน่นใจว่าอีกฝ่ายจะไม่เสนอหน้าที่ไม่ได้รับเชิญเข้ามาอีกแล้วจึงคว้าข้อมือของเปลวอรุณเข้าไปในห้องทำงาน
“มันมาพูดอะไรกับเปลวหรือเปล่า” อัมรินทร์ถามขึ้นเสียงเข้ม
“เขามาถามหาคุณ” เปลวอรุณตอบความจริงตามความตั้งใจแรกที่อีกฝ่ายพูดให้รับรู้
“แค่นั้นหรอ ไม่มีอะไรอีกแล้วใช่ไหม” อัมรินทร์บีบไหล่พลางคาดคั้น
“ครับ” เขาโกหก
สิ้นคำ อัมรินทร์รีบคว้าอีกคนเข้ามากอดแน่น
ไม่มีใครรู้หรอกว่าตอนที่เดินกลับเข้ามาแล้วเห็นราชันยืนอยู่ตรงหน้าเปลวอรุณหัวใจของเขามันหล่นลงแทบติดดินขนาดไหน หวั่นใจกลัวขนาดไหน
กลัวว่ามันจะมาเอาเปลวของเขาไป...
______________________________________________________________
จงอธิบายความสัมพันธ์ระหว่าเปลวอรุณกับราชันมากันคนละหนึ่งคำตอบ
บอกแล้วว่าราชันมาเพื่อก่อกวนชีวิตรักของอัมรินทร์อย่างจริงจัง
อาทิตย์นี้ลลงนิยายถี่จริงจัง อาทิตย์หน้าเราจะหายไปอย่างจริงจังบ้าง
ดีไหม??
เผื่อใครอยากจะตามไปทวงนิยาย สามารถตามไปหากันได้ที่ พริ้วไหว/Wavery