บทที่ 176 Freedom?
“กรุณากดยืนยันสมาชิกสภาพผ่านเกมคอนโทรลเลอร์ของท่าน กรุณากดพร้อมกันทั้งสามคน เพื่อผลการยืนยันที่สมบูรณ์”
กระดาษใบนั้นประกาศเสียงดังเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะพับตัวเองเก็บกลับเข้าไปในซองจดหมาย และเมื่อเจ้านกอินทรีนั่นเห็นลักษณะดังกล่าวก็บินโฉบเข้ามาหยิบซองจดหมายที่ตนเป็นผู้นำพามานั้นและบินกลับหายไปในท้องฟ้ากว้างอีกครั้ง
“แปลก” เฟี๊ยตพูดขึ้นเบาๆ พร้อมกับสายตาที่จับจ้องไปที่เจ้าสัตว์ปีกตัวนั้นที่กำลังบินจากไป
“แปลก” ธันพูดซ้ำอีกครั้งอย่างไม่ชัดเจนนักว่าเป็นประโยคคำถามหรือประโยคบอกเล่ากันแน่
“ทำไมพวกเราถึงติดอันดับทั้งสามคน 100 อันดับผู้เล่นที่น่าจับตามองที่สุดก็ควรจะจัดอันดับแบบรายคนสิ” เจ้าของเสียงแรกพูดต่อ เหมือนจะตอบคำถามกลายๆ ของธัน
“ไม่แปลกหรอก กูเคยติดอันดับนี่เหมือนกัน ตอนนั้นก็ติดแบบทีม” เสียงของกันต์ดังมาเรียบๆ
“ว่าไงนะ” ธันถามย้ำ
“บอกว่าเคยติดร้อยอันดับนี่มาแล้ว” กันต์พูดซ้ำช้าๆ
“ไม่ๆ หมายถึงสรรพนามที่ใช้เรียกตัวเองอะ พูดว่าอะไรนะ” ธันถามพร้อมยักคิ้วไปมา
“ก็... กูไง” กันต์ตอบพร้อมเลิกคิ้วขึ้นอย่างงงๆ
“ฮ่าฮ่าฮ่า พูดกูมึงกับเขาก็เป็นด้วยเหรอ นี่กูนึกว่ามึงพูดเป็นแต่ผมๆ คุณๆ ซะอีก ฮ่าฮ่าฮ่า” ธันพูดพร้อมหัวเราะลั่นอย่างอารมณ์ดี
“เออ กูก็คน แหม่ มึงจะให้กูนั่งพับเพียบคุยกับมึงรึไง” กันต์พูดออกมาอย่างหน้าตาย
“ฮ่าฮ่าฮ่า ถูกใจจริงๆ หวะ ตัดสินใจรับเข้ากลุ่มแบบไม่มีเงื่อนไข กูชอบมุขหน้าตายของมึงจริงๆ” ธันพูดพร้อมกับเดินไปตบไหล่กันต์อย่างสนิทสนม
“นี่ตกลงพวกเราเป็นกลุ่มเดียวกันแล้วเหรอวะ” กันต์หันไปถามเฟี๊ยต
“คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย กันต์ ไปด้วยกันดีกว่า ถ้ากันต์ไม่ได้ติดขัดอะไรก็ไปด้วยกันดีกว่า อยู่กับไอ้เด็กเปรตนี่จนเบื่อแล้ว ปัญญาอ่อนแถมพึ่งพาไม่ได้” เฟี๊ยตพูดแบบยิ้มๆ แต่เนื้อความจงใจกัดธันแบบเต็มๆ
“ใครพึ่งพาไม่ได้วะ แหม่ ได้ข่าวต่อสู้ทีไรนี่พี่ออกหน้าตลอดเลยนะจ๊ะน้องเฟี๊ยต น้องรอซ้ำตอนจบอย่างเท่ๆ อย่างเดียว พี่งี้เหนื่อยเป็นหมาหอบแดดอยู่คนเดียวนะจ๊ะ”ธันหันมาเถียงกับเฟี๊ยตทั้งๆ ที่มือข้างหนึ่งยังเกาะไหล่กันต์อยู่อย่างนั้น
“เศรษฐีเขาเลยชอบพูดกันไงว่าทำมากไม่ได้แปลว่าได้มาก ไม่งั้นทาสใช้แรงงานนี่รวยเละไปตั้งแต่สมัยสงครามกลางเมืองของสหรัฐอเมริกาละ”
เฟี๊ยตพูดอย่างจงใจกวนประสาทคนตรงหน้า ในขณะที่อีกมุมหนึ่งนั้น ชายหนุ่มคนที่สามเฝ้ามองการต่อปากต่อคำของทั้งคู่นั้นอยู่เงียบๆ
“มึงรู้ว่ากูโง่ประวัติศาสตร์ใช่ไหม ถึงด่ากูด้วยวิชาส.ป.ช.แบบนี้ กันต์ มึงอย่าไปเข้าข้างไอ้พวกหัวหมออย่างงั้นนะ พวกชอบเอารัดเอาเปรียบประชาชนตาดำๆ” ธันเริ่มพูดจาเป็นคุ้งเป็นแคว พร้อมกับบีบไหล่คนข้างๆ เพื่อชักจูงให้หันมาเป็นพวกของตน
“เดี๋ยว มึงรู้อายุเขาแล้วเหรอ ถึงไปบีบไหล่เล่นเป็นเพื่อนกับเขาขนาดนั้น ไอ้เด็กเมื่อวานซืน” เฟี๊ยตด่าธันเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มเล่นกับชายหนุ่มอีกคนอย่างสนิทสนมแบบก้าวกระโดด
“มึงอายุเท่าไหร่วะ” ธันหันไปถามกันต์อย่างสงสัย
“25 มึงหละ” กันต์ตอบพร้อมถามกลับ
“19 หวะ แต่ช่างมันเถอะ อายุแม่งเป็นแค่ตัวเลขของพวกระบบอุปถัมภ์นิยมล้าสมัย เดี๋ยวนี้คนทุกคนเขาเท่าเทียมกันแล้วโว๊ยย ฮ่าฮ่าฮ่า”
ธันหัวเราะลั่นออกมาอย่างสะใจ โดยที่มีเฟี๊ยตส่ายหน้าอย่างปลงตกในความขี้เล่นของเพื่อนร่วมทีม แต่ทางฝั่งกันต์เองก็ไม่ได้แสดงทีท่าถือเนื้อถือตัวว่าตนอายุมากกว่าแต่อย่างใด หากแต่ร่วมหัวเราะผสมโรงไปกับเด็กหนุ่มอย่างไม่คิดมาก
“กันต์บอกว่าเคยติดหนึ่งในร้อยอะไรนี่มาก่อนด้วยเหรอ” เฟี๊ยตจุดประเด็นเรื่องที่ตนสงสัยขึ้นใหม่อีกครั้ง
“อืม กลุ่มเดิมหนะ เคยติดประมาณที่ 80 กว่าๆ” กันต์พูดเหมือนไม่ค่อยอยากเอ่ยถึงเท่าไหร่นัก
“แล้วทำไมกันต์ถึงมาอยู่นี่คนเดียวหละ” เฟี๊ยตถามอย่างระมัดระวัง
“ก็คนในกลุ่มมีทัศนคติไม่ตรงกันนิดหน่อย กลุ่มเลยแตก บางคนก็เลิกเล่นไปเลย บางคนก็เล่นต่อ แต่จะแยกตัวออกมาเป็นผู้เล่นเดี่ยวแทน” กันต์พูดอย่างไม่ค่อยให้รายละเอียดชัดเจนมากนัก
“ชื่อกลุ่มอะไรวะ บอกได้เปล่า” ธันถามขึ้น
“Brownish Bulls” กันต์ตอบ
“กระทิงสีน้ำตาล?” เฟี๊ยตพูดอย่างทวนความ
“อะไรประมาณนั้น” กันต์ตอบสั้นๆ และไม่ขยายความอะไรมากมายไปกว่านั้นอีก
กันต์หรือเจ้าของชื่อ Gun’s Gun ในความคิดเห็นของเฟี๊ยตจัดได้ว่าเป็นผู้ชายหน้าตาดีอีกคนก็ว่าได้ ลักษณะของกันต์ไม่ใช่คนที่หน้าตาดีโดดเด่นขึ้นมาจนเป็นที่จับตามอง กันต์ไม่ได้มีรูปสมบัติที่หวือหวาถึงขนาดนั้น แต่เมื่อมองไปนานๆ แล้วก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ากันต์เข้าข่ายของคนหน้าตาดีอีกคนหนึ่งเลย
กันต์ดูจะมีสายเลือดความเป็นไทยอยู่โดยแท้ เพราะลักษณะภายนอกนั้นแสดงความเป็นชาติออกมาอย่างชัดเจน สีผิวที่ไม่ขาวสว่างๆ หากแต่อมน้ำผึ้งๆ อย่างคนที่ออกแนวลุยๆ หน่อย มัดกล้ามที่มีอยู่พอสมควรสอดรับกับความสูงที่มีมากกว่าเฟี๊ยตและธันอย่างชัดเจน กันต์เหมือนพระเอกละครไทยอะไรประมาณนั้น ดูคมเข้ม สุขุม และลึกลับอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งจับสังเกตก็ยิ่งดูจะเห็นความลึกลับที่แฝงอยู่ในตัวชายหนุ่มอยู่มาก หากแต่เฟี๊ยตก็ไม่เคยเก็บเรื่องตรงนั้นมาใส่ใจ คนทุกคนก็มีเรื่องส่วนตัวและความลับที่ไม่อาจเปิดเผยให้ใครทราบได้อยู่แล้ว
“แล้วการเป็นสมาชิกสภาอะไรนี่มันดีไหมวะ”
ธันถามขึ้นถึงเรื่องราวราวที่เฟี๊ยตเองก็อยากรู้เช่นกัน เภสัชกรหนุ่มพาตัวเองออกมาจากภวังค์ที่สร้างขึ้นอยู่ในหัวนั้นและกลับมาพิจารณาความจริงของเรื่องตรงหน้าอีกครั้ง
“จะว่าดีก็คงไม่ใช่ จะว่าร้ายก็คงไม่เชิง”
กันต์ตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ แต่เฟี๊ยตก็ไม่สามารถจับสังเกตความโลเลใดๆ ได้จากคำตอบนั้น ดูเหมือนว่ากันต์จะรู้เรื่ององค์กรนี้อยู่พอสมควรเลย
“ยังไงวะ” ธันถามต่ออย่างไม่เข้าใจ
“ความจริงสภานี้มันไม่ค่อยมีอะไรโดดเด่นเท่าไหร่หรอก มันถูกตั้งขึ้นมาเพื่อคานอำนาจกับพวกพรรคมังกรทมิฬกับพรรคดวงตาวิหคเฉยๆ เงื่อนไขสำคัญคือ เมื่อสภาต้องการรวมกำลังเพื่อต่อสู้กับพรรคอธรรม เราก็ต้องเข้าร่วมเป็นกองกำลัง ไม่อย่างนั้น เราก็หมดสภาพสมาชิก” กันต์อธิบายตามความเข้าใจ
“แล้วทำไมเราต้องสนใจความเป็นสมาชิกด้วย” เฟี๊ยตถามขึ้นบ้าง
“เพราะว่าสภามีสิ่งสำคัญที่สุดที่ผู้เล่นทั่วไปยากจะแข่งขันได้ไง สิ่งนั้นคือข่าวสารและเครือข่าย มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้เล่นคนเดียวจะสามารถเก็บไพ่สูงสุดได้ครบตามจำนวนโดยไม่ต้องแลกเปลี่ยนข้อมูลกับใครเลย ยิ่งเก็บได้มาก ใบหลังจะได้มายากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไม่อาศัยการร่วมมือกันทางข้อมูลข่าวสาร ก็ยากที่จะไปได้ถึงเป้าหมาย” กันต์หยุดไปชั่วจังหวะหนึ่ง ก่อนจะเริ่มพูดต่อ
“และเครือข่ายก็เป็นสิ่งสำคัญมากอีกเช่นกัน เพราะถ้าเราอยู่ในองค์กรที่เป็นหลักแหล่งแล้ว เวลามันเรื่องหรือปัญหาอะไรกับคนอื่น เราก็จะมีคนคอยสนับสนุนอีกที ตัวอย่างง่ายๆ เลย ถ้าเราไม่อยู่ในสภา การมีเรื่องกับพรรคมังกรทมิฬจะเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะพวกมันจะร่วมมือกันตามล่าเราจนแทบเล่นเกมต่อไม่ได้ แต่ถ้าอยู่ในสภาแล้ว พวกนั้นก็จะค่อนข้างเกรงใจ และไม่ค่อยจะพยายามมีเรื่องด้วยสักเท่าไหร่” กันต์พูด
“เวลาเราเกิดปัญหา มันจะมีคนมาช่วยเราจริงๆ เหรอวะ สมมตินะ ถ้าเราอยู่ในสภา และมีคนมาขอความช่วยเหลือ พวกเราก็คิดหนักนะ ว่าจะไปเสี่ยงเพื่อคนที่ไม่รู้จักไหม” ธันแย้งอย่างลังเล
“สำหรับคนอื่นเป็นยังไงไม่รู้ แต่สำหรับเลขาธิการสภา รายนั้นช่วยแน่ คนที่ส่งจดหมายมาที่ชื่อ Blizzard King เมื่อกี้เป็นบุคคลที่มีอำนาจมากเป็นอันดับต้นๆ ของเกมเลยนะ เขาได้ชื่อว่าน่าจะเป็นคนที่มีโอกาสที่พิชิตเกมนี้ได้มากที่สุด แต่ก็ไม่มีใครเข้าใจว่าทำไมเขาถึงไม่รีบชนะๆ ไปเสียที แต่กลับมัวมาคอยช่วยเหลือคนโน้นทีคนนี้ทีไปเรื่อยๆ เขาชอบไปโผล่ในเวลาที่คับขันที่สุด และช่วยเหลือสร้างบุญคุณกับผู้เล่นทั่วไปหมด อีกอย่าง เขาเป็นคนที่ก่อตั้งสภาแห่งอิสรภาพขึ้นมาด้วย ที่เขายังคอยอยู่ในเกมมาตลอด ก็อาจจะเป็นเพราะพยายามจะเป็นก้างขวางคอพวกพรรคทมิฬไม่ให้ทำอะไรได้สะดวกนักก็ได้” กันต์อธิบายออกมายาวเหยียด
“เป็นคนดีขนาดนั้นเลยเหรอวะ” ธันถามด้วยความกังขา
“คนอื่นว่าไงไม่รู้ แต่สำหรับกู กูว่าดีหวะ กูเคยเกือบตายเพราะสู้กับแรดไฟตัวนึง ก็ได้ลุงคนนี้แหละมาช่วยชีวิตกูเอาไว้ ถ้าตอนนั้นกลุ่มเดิมกูไม่อยู่ในสภา กูก็คงได้ไปเริ่มเกมใหม่แล้ว” กันต์พูดเล่าเรื่องในอดีตให้ฟังสั้นๆ แต่น้ำเสียงนั้นเจือไปด้วยความขอบคุณอย่างชัดเจน
“อืมม” เฟี๊ยตพึมพำออกมาอย่างสนใจในข้อมูลมากมายที่ได้รับจากเพื่อนใหม่ในวันนี้
“เอาไงกันดีวะ เข้าหรือไม่เข้าดี” ธันถามออกมาอย่างตัดสินใจไม่ถูก
“กูไม่ได้บังคับให้เข้านะเว้ย ตามมติกลุ่ม สำหรับกูยังไงก็ได้อยู่แล้ว กูไม่มีปัญหา” กันต์พูดขึ้นอย่างแสดงจุดยืน
“เรื่องตัดสินใจเอาไว้ก่อนก็ได้ กูกระซิบถามไบเบิ้ลแล้ว พวกเรามีเวลาอีก 7 วันในการตัดสินใจ ไม่ต้องรีบร้อน ค่อยๆ พิจารณาข้อมูลอย่างถี่ถ้วนก็ยังไม่สาย ตอนนี้เรามีอีกหลายเรื่องต้องคิด” เฟี๊ยตพูดขึ้นอย่างนิ่งๆ
“เรื่องอะไรอีกเหรอ” กันต์ถามอย่างไม่เข้าใจ
“เรื่องการเดินทางลำดับต่อไปไง พวกเราจะมุ่งหน้าไปเมืองมีนาคมเลยดี หรือจะเคลียร์ธุระแถวนี้อีกอย่างหนึ่งก่อน” เฟี๊ยตพูด
“ธุระอะไรวะ” เสียงของธันเอ่ยเป็นคำถาม
“มึงจำตอนได้ข่าวเรื่องเนสซีจากผู้หญิงสองคนนั้นได้เปล่าวะ ผู้หญิงสองคนนั้นมาเจอกับเนสซีเพราะกำลังตามล่าเต่าที่เป็นไพ่สูงสุดใบหนึ่ง ถ้าเราพยายามสักหน่อย เราก็อาจจะเก็บไพ่สูงสุดได้อีกใบในเวลาอันใกล้นี้!”
กดนิดนึงดิ
www.facebook.com/allornonetheauthor