5
เอาคืน
“พี่คะ”
“ครับ” ธันธเนศหันไปตามเสียงเรียก
“พี่จำหนูได้ไหมคะ” หญิงสาวในชุดนักศึกษาหอบข้าวของพะรุงพะรังถามขึ้น
ใครมันจะจำต้นเหตุที่ทำให้ตัวเองโดนหาว่าเป็นตุ๊ดเป็นแต๋วไปเที่ยวอ่อยผู้ชายแปลกหน้าไม่ได้
“อ๋อครับ มีอะไรหรือเปล่าน้อง” เขายิ้มรับพร้อมเก็บความสงสัยไว้
“พี่อยู่ห้องตรงข้ามพี่ธันวาใช่ไหมคะ พอดีหนูจะฝากโจ๊กไปให้พี่เขาหน่อย วันนี้หนูต้องรีบกลับบ้านน่ะค่ะ”
“จะดีเหรอครับน้อง” ชายหนุ่มทำท่าลังเล แต่แล้วบางอย่างก็ผุดขึ้นในหัว “ได้เลยครับ” เขาตอบรับอย่างรวดเร็ว เมื่อนึกบางอย่างได้
“ขอบคุณพี่มากเลยนะคะ”
“ไม่เป็นไรๆ”
“งั้นหนูไปก่อนนะคะ แม่รออยู่”
“เอ๊อ เดี๋ยวน้อง รู้ได้ไงว่าพี่อยู่ห้องตรงข้ามแฟนน้อง”
“พี่เขาเคยเล่าให้หนูฟังค่ะ เอ่อ... หนูขอโทษด้วยนะคะเรื่องโจ๊กนั่น”
“อ๋อๆ ไม่เป็นไร พี่ลืมมันไปละ”
กว่าธันวาจะกลับมาจากยิมเทควันโดก็ปาไปเกือบเที่ยงคืนแล้ว เพราะฤดูกาลแข่งขันที่ใกล้เข้ามาเต็มที เขาจึงต้องซ้อมให้เด็กๆ ในสังกัดให้หนักขึ้นเท่าตัว
เมื่อเห็นโจ๊กถูกแขวนอยู่หน้าประตู ทำให้เขานึกขึ้นได้ว่าวันนี้เขายังไม่ได้โทรกลับหาลักขณาตามที่นัดกันไว้
“อืม พี่เพิ่งถึงน่ะ”
“เห็นแล้วครับ ขอบใจยีนส์มากนะ”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่เอาเข้าอุ่นในไมโครเวฟก็กินได้แล้ว”
“จะนอนแล้วเหรอ”
“ได้ ฝันดีครับ”
“ฮ่าๆ ฝันถึงพี่ก็ได้”
ธันธเนศที่ยืนเอาหูแนบอยู่ข้างประตูกรอกตาหลังจากได้ยินเสียงเลี่ยนหูดังอยู่ในโถงทางเดินหน้าห้องเขา จากที่ฟังดูแล้ว แฟนสาวของอีกฝ่ายน่าจะไม่ได้บอกว่าจริงๆ แล้วใครเป็นคนเอาโจ๊กมาแขวนไว้ ไม่อย่างนั้นธันวาอาจจะเปลี่ยนใจไม่กินมัน เพราะคงระแวงในสิ่งที่ตัวเองเคยทำไว้
กลางดึกสงัดที่ธันธเนศกำลังหลับใหลไร้สติ แต่แล้วก็ต้องรู้สึกตัวตื่นเมื่อได้เสียงเคาะประตูห้องอย่างเบามือที่ไม่รู้ว่าดังมานานเท่าไหร่แล้ว เขาตัดสินใจลุกขึ้นมาส่องดูตาแมวก็ไร้ซึ่งเจ้าของเสียงเคาะ แต่ท้ายที่สุดเขาก็ตัดสินใจเปิดประตูดูให้รู้แล้วรู้รอด จะได้ไม่คาใจ ก่อนจะหันไปเห็นใครบางคนยืนตัวงอเป็นกุ้งอยู่ข้างๆ ประตู แขนข้างหนึ่งพาดอยู่บนผนังเพื่อรองหน้าผากที่ซบอยู่บนผนังไว้ ใบหน้าเหยเกซีดเซียว เหงื่อซึมบนหน้าผาก
“เฮ้ย” ธันธเนศทั้งตกใจและแปลกใจ “เป็นอะไร!?”
“ผมท้องเสีย”
หึ ผู้เป็นเจ้าของห้องแสยะยิ้มอย่างผู้ชนะ
“ท้องเสียก็หาหมอดิ ผมช่วยอะไรคุณไม่ได้หรอกนะ”
“พอดีห้องผมน้ำไม่ไหลเอาดื้อๆ ขอเข้าห้องน้ำหน่อยได้ไหม”
น้ำเสียงที่แผ่วเบาและฟังดูไร้เรี่ยวแรง ทำให้ธันธเนศเริ่มเห็นถึงระดับความหนักหนา เขาจับจ้องใบหน้านั้นชัดๆ อีกครั้ง สีหน้าไม่สู้ดี ปากซีดแห้งกรังบ่งบอกถึงอาการขาดน้ำ มือหนึ่งกุมท้อง บ่งบอกว่าไม่ใช่เรื่องแต่งมาเพื่อก่อกวนเขาเหมือนครั้งไหนแน่ๆ
“อืมได้ๆ เร็วหน่อยแล้วกัน จะนอน”
ธันธเนศนั่งรออีกฝ่ายเข้าห้องน้ำอย่างจดจ่อ ก่อนประตูจะเปิดออกช้าๆ พร้อมกับร่างที่อิดโรยคลานออกมาอย่างหมดสภาพ
“คุณ...” เสียงอ่อนแรงเรียกผู้เป็นเจ้าของห้องอย่างแผ่วเบา
ธันธเนศดีดตัวลุกขึ้นจากเตียง
“ช่วยผมด้วย ผมไม่ไหวแล้ว มองไม่เห็นอะไรเลย”
หรือเขาเล่นแรงไป!ความรู้สึกผิดประดังเข้ามาทันที ความกังวลปรากฏออกมาทางสีหน้า เขารีบพยุงร่างที่นอนแผ่อยู่หน้าห้องน้ำขึ้น ก่อนจะประคองไปนั่งที่โซฟาที่ใกล้ที่สุด
“รอผมเดี๋ยว”
เขาคว้าเสื้อคลุมมาสวมทับเสื้อยืดบางๆ ก่อนจะคว้ากุญแจรถ แล้วประคองร่างอ่อนแรงนั้นออกไป
แม้จะเป็นการแก้แค้นที่ตนเองเคยถูกอีกฝ่ายกระทำก่อน แต่นี่มันก็แรงเกินไปเมื่อเทียบกัน เขาต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ทำลงไป
เวลาตีสามนิดๆ ธันธเนศนั่งมองนาฬิกาจากโทรศัพท์ซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างกังวล ไม่ใช่เพราะว่าธันวา ยังไงก็ถึงมือหมอแล้วแค่ท้องเสียแค่นี้คงทำอะไรไอ้เด็กนั่นไม่ได้หรอก แต่เพราะงานที่รออยู่ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าต่างหาก
“ตอนนี้คนไข้เสียน้ำมาก โชคดีที่มาถึงมือหมอเร็ว ถ้าช้ากว่านี้อีกสักนิดคนไข้อาจช็อกได้ เบื้องต้นผมได้ให้ทานยาและเกลือแร่ไปแล้ว คงต้องให้นอนรอดูอาการก่อนสักพัก ยังไงถ้าพรุ่งนี้ดีขึ้น ก็อาจจะกลับได้ เดี๋ยวผมจะสั่งยาที่จำเป็นให้อีกที”
“ขอบคุณครับหมอ”
เขายืนมองอีกฝ่ายที่นอนหมดสภาพอยู่บนเตียงผู้ป่วยของโรงพยาบาลอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ เตียง พลางนึกกล่าวโทษตัวเองที่ทำอะไรเกินขอบเขตไปเสียได้
แสงสว่างและเสียงนกดังลอดเข้ามาจากหน้าต่างที่เปิดไว้ ธันวาปรือตาขึ้นช้าๆ ก่อนจะพบว่าใครบางคนนอนขดตัวอยู่บนโซฟาใกล้ๆ เขาจ้องมองร่างนั้นอยู่สักพัก ก่อนเสียงโทรศัพท์จะดังขึ้นปลุกให้คนที่นอนอยู่สะดุ้งตื่น หนุ่มนักเทควันโดแสร้งหลับตาลงดังเดิม
“ว่า?”
“นี่มันเพิ่งจะกี่โม-” ตาที่มองนาฬิกาข้อมือเบิกกว้าง “ฮึ้ยพี่! ผมขอไปสายวันหนึ่งนะ พอดีมีเหตุนิดหน่อย”
เขาไม่กล้าบอกความจริง เพราะกลัวว่าคนเป็นน้าจะห่วงหลานเอา
...
“บ่นเป็นคนแก่ไปได้น๊า อีกชั่วโมงนึงเจอผมที่ออฟฟิศแน่นอน สัญญา”
คนที่แกล้งหลับตานอนฟังเสียงของความเคลื่อนไหวเบาๆ อยู่ในห้องสักพักก่อนจะเงียบไปพร้อมกับเสียงปิดประตู
ธันวาลืมตาขึ้น ก่อนจะเงยมองโน๊ตเล็กๆ ที่โต๊ะข้างหัวเตียง
‘ค่าใช้จ่ายทุกอย่างเคลียร์ให้แล้ว
กลับเองได้นะ? โตแล้ว’
รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นโดยที่เจ้าตัวเองไม่มีรู้ตัวเลยด้วยซ้ำ
“อะ พี่ชงโอวัลตินมาให้”
ธันธเนศละสายตาจากหน้าคอมฯ เหลือบมองเครื่องดื่มสีข้นอุ่นๆ ในแก้ว ก่อนจะค้อนมองผู้เป็นเจ้าของมัน
“ทำตัวแปลกๆ นะช่วงหลังๆ มาเนี่ย กลัวผมหนีไปหางานใหม่เหรอ”
“เอาน๊ะ คนมีน้ำใจทำมาให้ มึงก็อย่าใจดำนักเลย”
เวลาทำงานของเขาสมาธิต่อสิ่งที่กำลังเขียนสำคัญที่สุด เขาหันกลับไปตั้งหน้าตั้งตาจิ้มนิ้วมือทั้งสองข้างบนคีย์บอร์ดต่อ
“แล้วที่จะให้ไปสัมภาษณ์หลานพี่อะ พร้อมยัง เป็นชาติแล้ว”
“เออๆ รอมันหา- มะรืนอะ”
“เมื่อกี้พูดว่าอะไร รอมันอะไร”
“เปล่าๆ หูแว่วไปเองหรือเปล่า อายุเยอะแล้วแล้วก็เงี้ย”
“พูดดีๆ ถึงจะอายุเยอะแต่ก็ฟิตนะเว้ย พร้อมสู้ทุกศึก”
“เออๆ เรื่องของพี่เถอะ นี่มันเวลางา-”
“หยุด” บรรณาธิการหนุ่มดักคอ “มึงจะไล่พี่กลับไปทำงานอีกแล้วใช่ไหม ไปให้ก็ได้ว่ะ” จรัญมองแก้วโอวัลตินที่ยังไงก็คงถูกทิ้งให้เย็นทิ้งไปโดยไร้ซึ่งการแตะต้องแน่ๆ ก่อนจะจำใจเดินคอตกกลับที่โต๊ะทำงานของตัวเอง
“ธันวาครับ” เสียงปลายสายพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสุภาพ มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเป็นอย่างนี้ตลอดเวลา
“สวัสดีครับ ผมธันธเนศจากเบสต์นิวส์นะครับ จะขอนัดสัมภาษณ์ลงสกู๊ปพิเศษของหนังสือพิมพ์น่ะครับ สะดวกเป็นมะรืนไหม”
ปลายสายแสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ทันทีเมื่อรู้ว่าปลายสายคือใคร
“แหม พูดซะเพราะเชียว ไม่ต้องทางการกับผมมากก็ได้”ธันธเนศกัดฟันกรอด
“สรุปสะดวกไหมครับ ถ้าไม่สะดวก...”
“สะดวกสิครับ มีนักหนังสือพิมพ์รูปหล่อ ไฟแรงมาขอสัมภาษณ์ทั้งที ผมจะอิดออดได้ยังไงกัน”“ดี งั้นก็ตามนี้เลยนะครับ ผมขอนัดเวลาเป็นพรุ่งนี้ ตอนบ่ายโมงที่...”
“ที่ห้องผม” ยังไม่ทันจะพูดจบ ปลายสายก็ขัดด้วยประสงค์ของตนเองทันควัน
ธันธเนศผงะเล็กน้อย
เนี่ย เขาเรียกอิดออด แต่ก็ต้องข่มอารมณ์ไว้
“ไม่ดีมั้งครับ ผมอยากให้สถานที่มันดูทางการๆ หน่อย เพราะต้องถ่ายรูปประกอบลงสกู๊ปด้วย”
“ถ้าไม่ใช่ห้องผม ก็จบกันครับ”เรื่องของมึงแต่ก็ได้แค่คิด
“เอางั้นก็ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นมะรืนบ่ายโมง เจอกันที่ห้องคุณแล้วกัน” เขากดวางสายทันที ก่อนที่อีกฝ่ายจะทันได้พูดอะไรมาสะกิดให้ความอดทนระเบิดออก
“เวลาสู้ อย่าคิดเยอะ รอดูว่าอีกฝ่ายเปิดช่องให้มึงตรงไหน ก็เข้าเลย อย่าสบตามัน สายตาเราจะบอกอีกฝ่ายว่าเรากำลังจะเข้าตรงไหน มองแค่ว่ามันเปิดให้เราตรงไหน เมื่อเข้าได้แล้วอย่าหยุด อย่าปราณี เพราะคู่ต่อสู้เขาก็ไม่ปราณีเราเหมือนกัน คิดเสียว่าตรงหน้าคือคนที่มึงเกลียดเข้ากระดูกดำ และที่สำคัญอย่าสติหลุดเมื่อโดน ให้กลับมาตั้งตัวให้เร็วที่สุด โอเค๊ เอาทีนี้ไหนลองอีกที”
เขาพูดพลางถอยออกมาตั้งการ์ดรอ ก่อนที่เด็กหนุ่มจะออกอาวุธ
ผัวะ!“กูบอกว่าอย่าท่าเยอะ ตั้งตัวให้มั่นแล้วเข้าเลย รอเหี้ยไร”
เด็กหนุ่มลูบหัวป้อยๆ หลังโดนเป้าล่อเตะฟาดเข้าที่หัว
“เอาล่ะๆ วันนี้พอแค่นี้ อย่าลืมว่าวันที่ยี่สิบห้านี้คือวันแข่งแล้ว กลับบ้านไปอย่านิ่งดูดาย อะไรที่ซ้อมด้วยตัวเองได้ก็หมั่นซ้อมเยอะๆ รู้ว่ามีจุดอ่อนตรงไหน พยายามหาทางแก้ไขเสีย อย่ารอให้บอกให้สอนอย่างเดียว เข้าใจไหม!”
โค้ชหนุ่มยืนกอดอกออกคำสั่งท่าทีขึงขังต่อหน้าเหล่านักกีฬาหลากวัยที่ยืนอย่างเป็นระเบียบตรงหน้า
เสียงตอบรับอย่างเข้มแข็งดังเซ็งแซ่
“เป็นไง” หนุ่มร่างอวบเดินมาจับใจเด็กหนุ่มที่กำลังผลัดเสื้อผ้า “โดนแบบนี้ แล้วยังจะให้มันสอนอยู่ไหม”
“คิดว่าผมกลัวเหรอ ซาดิสท์แบบนี้แหละผมชอบ”
แป๊ะ!สายผ้าสีดำแข็งๆ ปริศนากระทบเข้าที่ท้ายทอยผู้พูดอย่างจัง จนเจ้าตัวสะดุ้งโหยง เสียงสูดปากดังขึ้นจากผู้เห็นเหตุการณ์ ขณะเจ้าตัวกำลังจะหันไปสวนก็ต้องหยุดทันควันเมื่อรู้ว่าเป็นใคร รอยยิ้มแห้งๆ ปรากฏขึ้น
“ซาดิสท์แบบนี้ใช่ไหม” เจ้าของใบหน้าเรียบเฉยพูดขึ้นเมื่อเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ
ธันธเนศถอดชุดขาวออกทีละชิ้น ราชวุฒิยืนมองตาเยิ้มอย่างไม่รู้ตัว ผิวขาวละมุน หัวนมชมพูเด่นชัดบนหน้าอกที่กำลังน่าขยำ กล้ามหน้าท้องที่เป็นลอนจางๆ หน้าซบ เรียวแขนมีกล้ามที่อาจน้อยกว่าเขาแต่ก็กำลังดี
นี่มันผู้ชายที่อยู่ในอุดมคติของผู้ชายที่ชอบผู้ชายส่วนใหญ่เลยก็ว่าได้ เผลอๆ ผู้ชายแท้ๆ ก็อาจเคลิ้มได้โดยไม่รู้ตัว คนอะไรน่าฟัดชิบหาย
“เฮ้ย” เสียงที่มาพร้อมกับอาการเจ็บแปลบตรงข้างเอวทำเอาคนที่กำลังเคลิ้มสะดุ้งอีกครั้ง “มองห่าไร ทะลึ่งแล้วไอ้นี่” ตาขวางพูดก่อนจะหันกลับไปสวมเสื้อตัวเองให้เสร็จ
“ไปกินข้าวกัน” หนุ่มนักคาราเต้รุ่นน้องพูดขึ้นหลังจากที่วิ่งตามธันธเนศออกมาติดๆ
“ชวนกูกินข้าวทุกวันมึงไม่เบื่อเหรอ เป็นกูๆ เบื่อนะ อยากกินอะไรก็ต้องคอยมาชวนคนนู้นทีคนนี้ที สู้ไปคนเดียวสบายใจ อยากไปไหนก็ไป”
“ไม่อะ กินข้าวกับพี่ให้ชวนกี่ทีผมก็ไม่เบื่อหรอก”
“ถุ้ย กูจะอ้วก เพราะมึงคารมแบบเนี้ย สาวๆ ถึงได้ตามกรี๊ดกัน”
“ผิดมหันต์ ผมพูดแบบนี้กับพี่แค่คนเดียวเท่านั้น”
“โคตรเกย์ อย่ามาพูดเล่นกับกูแบบนี้อีกนะ ขนลุก”
“ไม่ได้พูดเล่น”
เขาหันไปมองคนที่เดินอยู่ข้างๆ สายตาของอีกฝ่ายแม้จะมองไปยังข้างหน้ามันกลับบอกเขาจริงๆ ว่าสิ่งที่เด็กหนุ่มราชวุฒิพูดไม่ใช่แค่การล้อเล่น เล่นเอาคนใจกระด้างและเย็นชาอย่างเขาเป๋ไปไม่เป็นท่าเหมือนกัน
สายตาอบอุ่นหันมามองยังคนที่สูงน้อยกว่า
“เขินหรอ”
เขาหลบตา หันกลับไปจ้องมองสิ่งที่อยู่ข้างหน้าบ้าง “เขินห่าไร”
“เนี่ย เขาเรียกเขิน”
“ถ้ายังอยากเก็บปากไว้กินข้าวก็เงียบ”
“เนี่ย พี่ก็เก่งแต่ใช้กำลัง จนบางครั้งผมก็แอบคิดนะว่าพี่กำลังใช้มันเพื่อปิดซ่อนบางอย่างอยู่หรือเปล่า ถ้าลดลงบ้าง คงไม่ใช่แค่ผมที่-” หมัดที่กำแน่นพุ่งตรงไปที่ท้องของผู้ที่เดินอยู่ข้างๆ ก่อนที่ประโยคนั้นจะจบลง แต่ราชวุฒิขยับหลบได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน เขาเริ่มจับทางหนุ่มรุ่นพี่ได้บ้างแล้ว มือหนายื่นมากำหมัดหนักไว้ได้อย่างทันท่วงที
“ปล่อย” เสียงแข็งเอ่ยขึ้น
“ไม่”
“กูเพื่อนเล่นมึงหรอ”
“อยากให้เป็นมากกว่านั้นไหมล่ะ”
สายตาเลศนัยของหนุ่มรุ่นน้องจ้องมายังเขา จนธันธเนศรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งใบหน้า ไม่ใช่เพราะเขินอาย แต่มันคือความรู้สึกบางอย่าง ที่เขาไม่อาจอธิบายได้ เมื่อตั้งสติได้ กระเป๋ากีฬาที่เคยพาดเฉียงอยู่บนบ่าก็เหวี่ยงเข้าที่กลางลำตัวของเด็กหนุ่มทันที
“โอ๊ย จุกนะพี่” คนที่ถูกกระทำตัวงอเป็นกุ้ง
“เล่นกับใครไม่เล่น” ใบหน้าเรียบเฉยเดินนำออกไปอย่างไม่ใยดี
“รอผมด้วย”
“เป็นไงบ้างพ่อหนุ่ม ชีวิตพนักงานออฟฟิศ”เสียงที่คุ้นเคยดังแว่วออกมาทางโทรศัพท์ นี่เป็นวันหยุดอีกวันที่แม่ของเขาโทรมาปลุกตั้งแต่เช้า และเรื่องที่เธอกำลังจะพูดต่อไปก็คงเป็นเรื่องเดิมๆ
เขานิ่งฟัง
“อีกกี่เดือนจะครบปี”“สาม”
“งั้นก็ใกล้ถึงวันให้คำตอบแม่แล้วสิ”นั่นไงเขาพลิกตัว พร้อมกับถอนหายใจยาว แสงแดดอ่อนที่ลอดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามากระทบลงบนใบหน้าเขา
“ขอเวลาอีกหน่อยไม่ได้เหรอแม่”
“แม่น่ะไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่พ่อเขาน่ะสิ ยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี”“แต่ผมเพิ่งจบมาเอง ให้เวลาผมได้พักสมองบ้างได้ไหม เรื่องเรียนต่อ อีกกี่ปีก็ยังไม่สายหรอก”
“ธัน ลูก แต่ธุรกิจของพ่อเขาต้องรีบหาคนมาช่วยดู ยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี อีกอย่างที่อังกฤษคุณอาเขาก็เตรียมพร้อมที่ทางอะไรไว้หมดแล้ว รอแค่ลูกพร้อมไปอยู่กับเขา”“ผมบอกแม่ตั้งหลายครั้งแล้วว่า ไอ้เรื่องโรงแรมที่สมุยน่ะ จ้างคนฝีมือดีๆ มาช่วยพ่อดูแลซะก็สิ้นเรื่อง”
“แต่พ่อเขาต้องการให้คนในครอบครัวมาดูแลไงลูก ไม่ใช่ใครที่ไหนก็ไม่รู้”“ก็ให้ไอ้มีนมันช่วยดูไปก่อนได้ไหม”
“เอ๊ะแกนี่มันยังไง มีนเขาก็มีธุรกิจของสามีเขา ทุกวันนี้ต้องวิ่งวุ่นหัวหมุน ทั้งช่วยพ่อแก ทั้งช่วยพ่อกล้าเขาดูไร่ที่เชียงใหม่อีก แกอ่ะ ควรทำตัวให้เป็นประโยชน์กว่-” ตู้ดๆๆๆเขาคิดอยู่แล้วว่ายังไงการสนทนามันก็ต้องจบลงแบบนี้ ในทุกวันหยุด เขาจะต้องมาคอยรับฟังและตอบคำถามผู้เป็นแม่เช่นนี้เสมอ และทุกครั้งก็ต้องจบลงด้วยการเถียง หรือทะเลาะเช่นนี้เรื่อยไป
ธันธเนศคิดอยู่เสมอว่า เขาอยากใช้ชีวิตในแบบของตัวเองบ้าง ได้ลองทำในสิ่งที่ใช้ความสามารถของตัวเองจริงๆ ได้เรียนในสิ่งที่ตัวเองอยากเรียน ได้ทำอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันด้วยมือของตัวเองสักครั้ง แต่มันก็ไม่เคยเป็นแบบนั้นตั้งแต่เขาจำความได้ ชีวิตเขาถูกขีดให้อยู่ในกรอบของผู้เป็นปกครอง
และครั้งแรกที่เขาตัดสินใจหนีออกจากรอบนั้นก็คือตอนเข้ามหาวิทยาลัย โดยเขาเลือกที่จะสละสิทธิ์ในสาขาวิชาเกี่ยวกับการบริหารในมหาวิทยาลัยชื่อดังที่ต่างประเทศ ซึ่งทั้งพ่อและแม่ตั้งใจจะให้เขาเรียนให้ได้ แล้วมาเรียนอะไรที่มันไม่หนักสมองจนเกินไป และได้ใช้ชีวิตของเขาเองที่เมืองไทยนี้ หลังจากที่เหนื่อยมามากพอแล้วกับทุกวันในชีวิตมัธยม
แต่กระนั้น หลังเรียนจบ พ่อและแม่ของเขาก็มิวายขีดเส้นให้เขากลับเข้าไปในกรอบเดิมนั้นให้ได้ นั้นคือการที่เขาต้องไปเรียนต่อในหลักสูตรบริหารธุรกิจและการจัดการที่อังกฤษ เพื่อนำความรู้กลับมาช่วยผู้เป็นพ่อดูแลธุรกิจโรงแรมหรูระดับห้าดาวที่เกาะสมุย และอีกหลายแห่งในภาคใต้ของไทย
แม้ที่บ้านเขาจะรวยระดับแถวหน้าของเมืองไทย แต่ธันธเนศกลับใช้ชีวิตเยี่ยงคนปกติ แม้จะมีคอนโดในกรุงเทพฯ ทำเลทองที่เป็นสมบัติของครอบครัว แต่เขาก็เลือกเช่าคอนโดสภาพห้องพออยู่ได้ราคาไม่ได้แพงอะไร กินอยู่ง่ายๆ สบายๆ เหมือนคนวัยแรกทำงานคนอื่นๆ ไม่เคยเปิดสถานะที่แท้จริงให้ใครรู้ ส่วนหนึ่งก็เพราะเขาเบื่อความเจ้ากี้เจ้าการของที่บ้านเต็มทน เงินทุกบาททุกสตังที่เขาใช้ร่ำเรียนและใช้จ่ายในการดำรงชีวิตก็มาจากเงินเก็บหอมรอมริบของเขาและมาจากการทำงานเล็กๆ น้อยๆ ด้วยความสามารถของตัวเองมาตั้งแต่เข้าเรียนมัธยมปลาย
ซึ่งผิดกับมีนา ผู้เป็นพี่สาวฝาแฝด ที่ไม่ว่าจะทำอะไรที่บ้านก็เห็นดีเห็นงามไปเสียหมด แม้จะเรียนไม่จบและชิงแต่งงานมีสามีไปก่อน ก็ยังเป็นที่ชื่นชมของพ่อและแม่ ก่อนหน้านั้นไม่ว่าเธอจะเลือกทางเดินแบบไหน และมีความคิดความอ่านอย่างไรก็ไม่เคยถูกขัดขวางเลยสักครั้งเดียว จนเขาอดที่จะคิดไม่ได้ว่า พ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน
การที่ให้เขาเข้าไปดูธุรกิจ ไม่ได้หมายความว่าในอนาคตธุรกิจนั้นจะตกเป็นของเขา กลับกัน หน้าที่เขาก็คงไม่ต่างอะไรกับลูกจ้างคนหนึ่ง เมื่อถึงเวลามันอาจจะตกเป็นของอีกคนไปโดยปริยาย ซึ่งเรื่องนี้เขารู้ดีอยู่แล้ว
ใบหน้านิ่งเฉยถอนหายใจอย่างแผ่วเบาหลังพลิกตัวนอนหงาย ดวงตากลมโตจ้องมองเพดานห้องอย่างเลื่อนลอย ความคิดมากล้นวนเวียนอยู่ในหัว
... ก่อนเหมันต์ ...