แตะต้องครั้งที่ 32
จับบบ…เด็กดีของแม่มิตรแท้ของเพื่อนไหนเลื่อนอ่านแชตคนแมนๆ ขอเป็นแฟนละกัน
ผมชื่อนะฑี
เป็นเด็กดีของแม่ เป็นมิตรแท้ของเพื่อน
เป็นคนสนุกสนานเฮฮา ใฝ่เรียน ใฝ่รู้ เชิดชูคุณธรรม
แชมป์เก้าอี้ดนตรีระดับประถมห้าสมัยซ้อน ชนะเลิศโต้วาทีสามปี ดาวเด่นกีฬาสีสองครั้ง และเป็นเจ้าแห่งสแตนด์เชียร์ทุกสมัย จนใครต่อใครออกปากว่าคนแบบนี้จะได้ดิบได้ดีเป็นใหญ่เป็นโตในภายภาคหน้า
แล้วโตมา…
ผมก็เสียจูบแรกให้กับผู้ชายที่ข้างถังขยะ
แม่ง พี่ทัชทำกูเสียประวัติหมดแล้ว อะไรดีๆ ที่เอาไว้เล่าอวดชาวบ้านต้องมาด่างพร้อยตรงจูบแรกนี่เอง เรียกว่าจูบแรกได้รึเปล่า ก็ใช่อะ นึกย้อนไปก็มีแค่ตอนอนุบาลที่ผมไล่จุ๊บเด็กผู้หญิงที่ชื่อน้องแป้งร่ำ แต่ตอนนั้นคือได้แค่หอมแก้มฟอดนึง คือการเอาจมูกชนแก้มเบาๆ แค่นั้น แต่การเอาปากประกบกับปากมนุษย์ด้วยกันนี่ก็คือกับพี่ทัชเลย
ดีนะที่ผมดูหนังโป๊มาเยอะ เลยใช้ลีลาขั้นสุดยอดเอาตัวรอดมาได้ ไม่ใช่แค่เอาตัวรอดดิ ถือว่าข่มให้หงอเลยเหอะ
แต่จูบแรกมันควรจะโรแมนติกรึเปล่า แค่อยู่ข้างถังขยะไม่พอ ยังมีลุงยามแก่ๆ เป็นพยานด้วย แต่ประเด็นสำคัญคือเราทั้งคู่ดันเป็นผู้ชายด้วยกันนี่แหละ
สับสนว่ะ
เครียด
ปวดหัว
ตอนนี้เราเป็นอะไรกันวะ
“นะฑี หัวไปโดนอะไรมาเหรอ”
“หัวกูฟาดประตู”
“เหรอ ที่ไหนอะ”
“ช่างมันเถอะเจษ”
“แล้วปากเป็นไร เห็นเอามือถูตลอด”
“อยากด่าคน”
“ที่ผ่านมานายก็ด่า แต่ไม่เห็นถูปากแบบนี้นะ” เจษฎามองผมจริงจัง “นายไม่ได้เป็นแบบว่า...โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อะไรทำนองนั้นใช่มั้ย
“ฮะ?”
“พวกเริม ซิฟิลิสไรงี้ มันเกิดขึ้นที่ปากได้นะ คือเราไม่ได้จะว่านายนะ แค่เป็นห่วงและบอกข้อมูลทางวิชาการเฉยๆ เห็นพักนี้นายบอกว่าชอบออกจากบ้านตอนกลางคืน ถ้านายจะเที่ยว นายต้องป้องกันตัวเองด้วยนะ”
เจษ กูไม่ได้ไปเที่ยวแรดที่ไหน กูไปทำงานของบริษัทขอทัชฑี
แล้วที่ถูปากนี่ก็เพราะ…
ช่างมันเถอะ
“เจษ ปากกูติดเชื้ออุฟุฟวยฟ่วยฟวยลวยทวยโอเอ็มจีบีเอ็มอัสซุสเรียบร้อยแล้ว จบนะ”
“เชื้ออะไรนะ”
“มึงอย่ารู้เลย กูเครียดอยู่ อย่าถามไรอีกนะ”
“เครียดเหรอ แต่...ตอนถูปาก นายดูยิ้มอารมณ์ดีนะ”
“มึงต้องการอะไรจากกูเนี่ย นั่น เปิ้ลกำลังหน้าตาตอแหลกว่ากูอีก ทำไมไม่ว่ามัน”
เปิ้ลเงยหน้าจากโทรศัพท์ “ขอบใจที่ชมนะ กูซึ้งมาก”
“แสดงว่าเมื่อกี้นายตอแหลกับเราเหรอ”
ผมมองเจษอย่างจริงจังบ้าง “วันนี้พูดมากผิดปกตินะมึง เป็นไร แดกยาผิดขนานเหรอ”
“คือ...จริงๆ ก็มีปัญหานิดหน่อยน่ะ”
“นั่นไง ทำไม ท้องผูกก็กินยาที่พกมาดิ”
“ร่างกายก็สบายดี แต่มีเรื่องเครียดที่ต้องการคำปรึกษา คือ…”
“เฮ้ย มีไรก็ว่ามาดิเจษ อย่าลีลา” เปิ้ลกระตุ้น จากที่สนใจแต่เล่นมือถือ ตอนนี้ดูเหมือนเปิ้ลก็มาลุ้นกับเจษจนตัวสั่นแล้ว
“เรื่องพี่เห็ด เอ๊ย พี่เรนจิน่ะ”
“...” “...”
“พี่เห็ดลวนลามมึงเหรอ!” หน้าเจษแม่งก็เครียดจริงๆ ผมเลยถามแบบเล่นใหญ่ไปก่อน
“ไม่ๆๆ ไม่ใช่แบบนั้น”
“ทำไม พี่เห็ดจับแมวมึงเรียกค่าไถ่?”
“เราไม่ได้เลี้ยงแมว”
“นะฑี มึงก็อย่าขัดเพื่อนดิ ปล่อยให้เจษมันพูด”
เจษพยักหน้าให้เปิ้ลแทนคำขอบคุณ “เราคิดว่าอาจจะเป็นอย่างที่นะฑีเคยพูดน่ะ”
“เจษ มึงนี่ลีลาดีจริงๆ แต่ถ้ายังไม่พูดเข้าเรื่องสักทีกูจะถีบละนะ” ผมบอกเรียบๆ
“เหมือนพี่เขาจะจีบเราน่ะ”
ผมกับเปิ้ลมองหน้ากัน สื่อสารกันผ่านพลังจิตจนเข้าอกเข้าใจกัน ก่อนที่เปิ้ลจะหัวเราะเต็มเสียง หรือว่าเข้าใจไปคนละทางวะ เปิ้ลเห็นว่าน่าขำ แต่ผมไม่รู้สึกอย่างนั้น และก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวเองรู้สึกยังไง
“มึงเอาสมองส่วนไหนคิดวะเจษ” ผมถาม
“เราไม่ได้คิด”
“จะบอกว่าใช้ความรู้สึกวัดเอา ไรงี้?”
“เปล่า พี่เขาบอกอะ”
“ว่า?”
“บอกในแชตน่ะ นี่ไง”
“เอามาดูซิ” เปิ้ลแย่งมือถือเจษไปหน้าตาเฉย พอกดเลื่อนอ่านแล้วก็ขำหนักกว่าเดิมอีก ผมแย่งจากมือเปิ้ลเอามาดูบ้าง
ในหน้าแชตไม่มีข้อความตอบโต้อะไรกันเลย หรือถ้าเคยมีเจษมันก็คงลบแชตทิ้งไปแล้ว
ตอนนี้มีแค่ข้อความสั้นๆ ว่า
★R3NJI: เอาแบบแมนๆ
★R3NJI: ขอเป็นแฟนละกัน
เฮ้ย จริงดิ
พี่เห็ดเพี้ยนไปแล้วหรืออะไร พออกหักจากเจ๊แคลก็ค้นพบตัวตนที่แท้จริงของตัวเองงี้เหรอ ที่สงสัยตะหงิดๆ ก่อนหน้านี้คือความจริงเหรอวะ
ขณะที่เปิ้ลยังขำคิกคักอยู่ผมก็หันไปขมวดคิ้วใส่เจษ
“แล้วมึงไม่ตอบเขาล่ะเจษ”
“เราไม่รู้จะตอบยังไง”
“เอ้า ถ้าจะเล่นด้วยก็ตอบว่าเตง ถ้าไม่สนใจก็ตอบว่าตีน แค่นั้นแหละ”
“เตงคือไร”
“ย่อมาจากตัวเองไง”
“อ่า...คือเราไม่ใช่เกย์”
“เกย์แล้วไงวะ” ผมแปลกใจที่ตัวเองตบไหล่เจษฎาเป็นเชิงปลอบ “ลองของใหม่ๆ อาจจะดีก็ได้นะ...แต่ก็เข้าใจ พี่เห็ดอาจจะแปลกจนน่าเกลียดไปหน่อย เลยลองไม่ลง”
“ไม่นะ พี่เขาก็หน้าตาดีออก แล้วเราก็ไม่ได้รังเกียจคนเป็นเกย์ด้วย”
“เอ้า งั้นก็จัดไป”
“แต่เราไม่ได้มีรสนิยมรักร่วมเพศไง ถ้าจะให้คบกับพี่เขามันก็เหมือนบังคับให้ปลาปีนต้นไม้ หรือไม่ก็คล้ายๆ กับบังคับให้แมวกินแครอท…”
“พอละเจษ กูไม่อยากฟังปรัชญา”
“ฮ่าๆ” เปิ้ลยังขำไม่เลิก ทำให้ผมยิ่งแปลกใจตัวเองว่าทำไมไม่ขำไปกับเปิ้ลวะ “ยังไงเจษมันก็ไม่มีทางชอบผู้ชายหรอก มันชอบสิ่งมีชีวิตที่มีเนื้องอกแบบกูนี่แหละ”
“เนื้องอก...หมายถึงหน้าอกน่ะเหรอ เปิ้ล เราไม่ได้คิด…”
หมับ!
เปิ้ลคว้ามือเจษดึงเข้าหาตัว “ถ้ามึงไม่คิดไรงั้นก็จับ”
“ไม่! เฮ้ยๆ ไม่เอา เปิ้ล หยุด!”
“ฮ่าๆๆๆ”
ให้จับนมอย่างกับจะให้จับกระทะทองแดง ดึงมือกลับจนเกือบหงายหลัง แต่ผมไม่ได้อยู่ในอารมณ์ขำด้วย ซึ่งก็ไม่รู้ทำไม เลยพูดต่อไปตรงๆ “งั้นก็ปฏิเสธไปดิวะ”
“นี่แหละปัญหา เราไม่รู้จะปฏิเสธยังไง”
“ก็พิมพ์ไปว่าตีนไง จะยากไร มานี่กูพิมพ์ให้”
“ไม่ๆ ไม่เอาสิ แบบนั้นมันเสียมารยาท”
“ไม่ต้องมีมารยาทไรมากมายหรอกกับพี่เห็ดอะ”
“ก็เปิดตัวสักทีดิวะเจษ” เปิ้ลพูดเสียงหวาน เดี๋ยวๆ ผมตกข่าวอะไรไปรึเปล่า แต่ยังไม่อยากปล่อยไก่ให้เสียฟอร์ม เลยทำเป็นเงียบๆ ไว้ก่อนรอให้พวกมันพูดต่อ
“ปะ...เปิดตัวอะไรเหรอ” เจษเสียงสั่น
“คิดว่าเราไม่รู้เหรอ นะฑีเฉลยดิ๊”
เหี้ย มึงอย่าโยนขี้มาให้กูเปิ้ล กูไม่รู้เรื่อง
“เรื่องงี้ให้เจ้าตัวสารภาพเองดีกว่าว่ะ” ผมตีหน้าซื่อ
“พูดถึงอะไรกันเหรอ” เจษหน้าซื่อตามธรรมชาติ แต่ผมจับแรงสั่นสะเทือนนิดๆ ในน้ำเสียงได้
“มึงแอบเคลมน้องรหัสตัวเองอยู่ไงเจษฎา น้องเซ็กซี่อะ”
“เรา...เราเปล่าซะหน่อย!”
“ฮ่าๆ เปล่าหรา เอามือถือมาดูดิ๊”
“ไม่เอา เปิ้ล อย่า...เรากับน้องไม่ได้อะไรกันเลย แค่คุยกันนิดหน่อย”
อ้อ น้องเซ็กซี่นี่เอง
ต้องยอมรับว่าพักหลังๆ ผมคงไปขลุกกับพี่ทัชมากไปจนไม่ได้อัปเดตเรื่องนี้ ก่อนหน้านี้เห็นน้องมาหยอกเย้าเจษเล่นตามประสาพี่น้อง ซึ่งคงเพราะเห็นว่าเจษแม่งเป็นคนซื่อจนน่าตลก เลยชอบมากวนตีน เจษก็ดูเขินๆ เพราะรับมือกับผู้หญิงไม่เป็น
แต่ดูอาการตอนนี้ หัวหูนี่แดงเป็นปื้นไปหมด แถมยังหวงมือถือไม่ให้เปิ้ลแย่งยิ่งกว่างูหวงไข่ขนาดนี้ ก็คงจะใช่แล้วล่ะ
เจษแม่งแอบร้ายว่ะ
หลังจากเปิ้ลหยุดแย่งมือถือแบบหยอกๆ แล้ว ผมก็ตบไหล่เจษอีกครั้ง “ทำตามที่ไอ้เปิ้ลบอกแหละ ถ้ามึงไม่อยากให้เสนียดอย่างพี่เห็ดมาแปดเปื้อนชีวิตก็เปิดตัวน้องเซ็กซี่ซะ กูกลับบ้านละ”
“เอ้า รีบไปไหน” เปิ้ลถาม
“กูเลิกแรดแล้ว เลิกเรียนแล้วก็รีบกลับไปหาแม่ดีกว่า ไว้เจอกัน”
พอพูดถึงแม่ สองคนนี้ก็ไม่ปริปากทัดทานอะไรสักคำ
ระหว่างเดินทางกลับบ้านผมพยายามไม่คิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับแม่ แต่หันไปครุ่นคิดเรื่องต่างๆ ที่เพิ่งรับรู้มาแทน ซึ่งก็ได้แก่ เรื่องคำสารภาพแมนๆ ของผู้ชายชื่อเห็ด, เรื่องเผ็ดๆ ของยัยเซ็กซี่กับรุ่นพี่ขี้เขิน, เรื่องน้องทอมผู้น่ารักกับเนื้องอกของเธอ รวมไปถึงเรื่องความสวยงามของความรัก ความหลากหลายทางเพศ และสาเหตุของเชื้อซิฟิลิส
อีกเรื่องที่ไม่อยากนึกถึงแต่ก็อดไม่ได้ นั่นคือ…
จูบแรกของเรากับกลิ่นบางเบาจากถังขยะ
ตั้งแต่เหตุการณ์นั้นผมกับพี่ทัชก็ไม่ได้พูดถึงมันอีก เราคุยกันเรื่องอื่นๆ อย่างเช่น ลมฟ้าอากาศ การงาน การเรียน เรื่องผงฟอกกับหมอนเน่า หรือแม้แต่เรื่องว่าพี่ทัชอาสาจะขับรถพาแม่ไปหาหมอในทุกๆ ครั้งที่หมอนัด
แต่ไม่มีเรื่องจูบของเรา
มันกระอักกระอ่วนเกินไปที่จะพูดออกมา หรือไม่ก็เพราะไม่มีคำไหนที่ดีพอจะยกมาพูด
ผมคิดเรื่องนี้วนๆ เวียนๆ อยู่นานจนกระทั่งมาถึงซอยเข้าบ้าน นี่คนรอวินมอไซค์หรือปลวก ไม่รู้จะเยอะไปไหน งั้นเดินเข้าบ้านละกัน ดีเหมือนกันเผื่อหัวจะได้โล่งๆ
เดินไปสักพัก มันก็คันอกคันใจขั้นสุดจนทนไม่ไหว
ทักแชตไปก็ได้วะ
NaTee(n): เราเป็นไรกัน
NATOUCH: มึงคิดว่าไงล่ะ
NaTee(n): ผมถามพี่
NATOUCH: กูก็ถามมึง
NaTee(n): เอ้า ผมถามก่อน
NaTee(n): ห้ามถามกลับอีกนะ
NaTee(n): ตอบ!!!
NATOUCH: อ่อ
NATOUCH: มึงคิดว่าเราเป็นอะไรกัน
NATOUCH: กูก็คิดแบบนั้นแหละ
พี่ทัชเป็นคนกวนตีนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ เอาจริงๆ นะ ตอนนี้กวนตีนยิ่งกว่าผมกับพี่เห็ดรวมกันอีก
งั้นลองเปลี่ยนคำถาม
NaTee(n): พี่จูบผมทำไม
NATOUCH: จูบครั้งแรกเพราะตามใจมึง
NaTee(n): …
NATOUCH: จูบครั้งสองเพราะตามใจกูเอง
NaTee(n): …
NATOUCH: โปรยเม็ดเกลือทำไม
NATOUCH: ติดเชื้อกูเหรอ
NaTee(n): เอ้า อย่ากวนตีนดิ
NaTee(n): ผมถามพี่อยู่
NATOUCH: กูตอบไปแล้ว
NATOUCH: แล้วมึงล่ะ จูบกูทำไม
NaTee(n): อ้าว!
NaTee(n): ก็พี่จูบไม่ได้เรื่องไง ผมเลยต้องสั่งสอนให้
NaTee(n): เป็นไงล่ะ เจอเทคนิคชั้นสูงเข้าไป
NATOUCH: กูนึกว่ามึงจะกินหัวกู
NATOUCH: ถ้าจูบไม่เป็นก็ไม่ต้องกลบเกลื่อนหรอก
NATOUCH: ไม่เป็นไร กูไม่ถือ
NaTee(n): พี่ดิจูบไม่เป็น
NaTee(n): หุบตูดไปเลย
NaTee(n): พี่นั่นแหละเป็นคนเริ่ม
NaTee(n): ไม่ได้เป็นไรกัน ทำงี้ได้ด้วย?
NATOUCH: เอ้า เหรอ
NaTee(n): เอ้าเหรอไรล่ะ
NATOUCH: เอ้า ไม่ได้เป็นไรกันเหรอ
พรืด!
เหี้ย ก้าวพลาด เหยียบขอบฟุตบาทจนเกือบหัวทิ่มลงไปให้รถเสยแล้วมั้ยล่ะ ถ้าเป็นสถานการณ์อื่นผมคงด่าไล่หลังมอเตอร์ไซค์คันเมื่อกี้แล้ว แม่งขับใกล้ฟุตบาทซะเหลือเกิน แต่ตอนนี้ทำไมผมเอาแต่ยิ้มไม่หุบวะ
NaTee(n): เอ้า ก็แล้วเป็นอะไรกันตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ
NATOUCH: เอ้า เข้าใจผิดเหรอ
NaTee(n): เอ้า อะไรของพี่เนี่ย
NATOUCH: เราเลิกพิมพ์คำว่าเอ้ากันดีมั้ย
NaTee(n): พี่อย่ากวนตีนได้ปะ
NATOUCH: กูถามมึงแล้วโดยที่ไม่ได้ใช้นิ้วแตะตัวมึง
NATOUCH: ไม่ว่ามึงจะพูดความจริงหรือโกหกกูก็จะเชื่อ
NATOUCH: แล้วมึงก็บอกว่า อุฟุฟวยฯ กับกู
NATOUCH: งั้นกูก็ อุฟุฟวยฯ กับมึงนั่นแหละ
เกลียดการใช้ครื่องหมาย ฯ จังโว้ย
NaTee(n): แล้วพี่คิดว่าอุฟุฟวยคืออะไรล่ะ
NATOUCH: แล้วมันคืออะไรล่ะ
NaTee(n): ก็พูดมั่วๆ ไปงั้น
NATOUCH: มึงพูดมั่วเหรอ
NaTee(n): ก็ไม่ได้มั่วแบบนั้น
NATOUCH: แล้วแบบไหน
NaTee(n): ทำไมพี่เป็นฝ่ายมาถามจี้ผมอีกแล้ววะ
NATOUCH: อ้อ
NaTee(n): ผมนี่ต้องเป็นฝ่ายถาม
NaTee(n): พี่เข้าใจว่าอุฟุฟวยคืออะไร
NaTee(n): ตอบ!!!
NATOUCH: เข้าใจว่ามึงเขิน
NaTee(n): ฟวยยยยย
NATOUCH: โอเค
NATOUCH: ฟวยก็ฟวยไง
NaTee(n): พอๆ ไม่คุยละ
NATOUCH: ไม่คุยแล้วเหรอ
NaTee(n): ผมกำลังจะถึงบ้านแล้ว
NaTee(n): ไว้ค่อยคุย
NATOUCH: ก็ได้
NATOUCH: เข้าบ้านดีๆ ครับโผม
อุฟุฟวยฟ่วยฟวยอันเยนทวยฟวยฟวยอุเวมอุเวมโอซาส!
ฟวยๆๆๆ
ไอ้คุณพี่ณทัชทำไมกลายเป็นคนแบบนี้ไปแล้ววะ
อีกไม่กี่เมตรจะถึงหน้าบ้าน รอยยิ้มผมค่อยๆ หุบลงเมื่อนึกว่าแม่กำลังต่อสู้กับมะเร็งอยู่ตามลำพัง และตอนนี้เหมือนไม่ใช่แค่แม่ที่ป่วย เห็นสภาพอิฐปูนโทรมๆ นั่นแล้วก็ชวนให้รู้สึกว่าบ้านหลังนี้กำลังป่วยหนักใกล้ตายด้วยเหมือนกัน
ผมมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูบ้าน สูดหายใจแรงๆ บังคับตัวเองให้ยิ้ม แล้วแทรกตัวผ่านประตูสนิมเขลอะเข้าไป
“กลับมาแล้ว อาจารย์สอนโคตรดีอะวันนี้ เรียนเข้าหัวปรี๊ดๆ เลย นี่แม่ได้กินไรยัง วันนี้ไม่ต้องทำกับข้าวนะ เดี๋ยวผมไปซื้อที่ตลาดเจ๊เนียม…”
ปากผมชะงักไปเองเมื่อหันไปเห็นแม่
แม่กำลังร้องไห้อยู่
ผมทำอะไรไม่ถูกขณะมองแม่ที่รีบปาดน้ำตาทิ้ง ไหล่ของแม่ค้อมลู่ลง แผ่นหลังดูเล็กจ้อยเหลือเกิน ทุกส่วนในร่างกายของแม่ดูเปราะบางจนหัวใจผมปวดไปหมด น้ำตาเอ่อขึ้นมา แต่ผมกลั้นไว้ บอกตัวเองว่าห้ามร้องไห้แล้วค่อยๆ เดินเข้าไปนั่งลงข้างแม่ที่โซฟา
“อ้าว กลับมาแล้วเหรอ” แม่ทำทีเป็นเพิ่งรู้ เหมือนหลอกตัวเองว่าผมไม่เห็นแม่ร้องไห้ ทั้งที่ตอนนี้น้ำตายังเปรอะแก้มและตาแดงๆ ทำอย่างกับว่ารอยยิ้มปลอมๆ นี้จะหลอกผมได้
“กลับมาแล้ว ” ผมยิ้มหลอกแม่เหมือนกัน
“แม่ทำกับข้าวไว้”
“แม่ไม่น่าต้องเหนื่อยเลย ผมไปซื้อที่ตลาดได้”
“เหนื่อยอะไร นอนทั้งวัน”
“แม่…” ผมไม่ไหวแล้ว ผมทนทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้ “แม่เป็นอะไรรึเปล่า”
“...”
ผมโผเข้ากอดแม่เหมือนเด็กๆ น้ำตาแม่งก็ไหลออกมาอย่างรวดเร็วทั้งที่กลั้นไว้เต็มที่แล้ว ส่วนแม่ก็ตัวสั่นๆ และน่าจะพยายามกลั้นน้ำตาอยู่
“พี่ทัชบอกว่ามันหายได้นะ แม่ต้องไม่เป็นไร”
“...”
“แม่ต้องอยู่กับผม”
“...”
“ผมไม่เหลือใครแล้ว”
“นะฑี”
แม่ผลักตัวผมออกเบาๆ ผมขืนตัวไว้ก่อนจะยอมผละออกตามแรง มือของแม่ลูบหน้าผากผมกึ่งปาดน้ำตา แล้วประคองใบหน้าไว้ ตาแดงก่ำมองเหมือนตั้งใจจดจำใบหน้าผมให้ขึ้นใจ
“แม่เพิ่งเห็นชัดๆ ตอนนี้แหละ ว่าเหมือนกันมาก…”
ผมไม่รู้ว่าแม่กำลังหมายถึงอะไร พอแม่ไม่พูดต่อ ผมก็ต้องพูดอะไรสักอย่าง “แม่ต้องหายน่า เชื่อดิ”
“...”
“แต่โรคนี้ต้องใช้กำลังใจ ต้องอารมณ์ดีๆ”
“...”
“ตอนนี้แม่เจ็บตรงไหนรึเปล่า”
แม่ส่ายหน้าแทนคำตอบ
“แล้วร้องไห้ทำไม” ผมจับไหล่แม่ กึ่งประคองกึ่งคาดคั้นเอาความจริง “เจ็บตรงไหนรึเปล่า...บอกผมดิ”
“แม่ไม่ได้เป็นไร แต่เขาน่ะ…”
“เขา?”
“พ่อ”
“...”
“พ่อตายแล้ว”
“...”
คราวนี้ผมเป็นฝ่ายอึ้งเงียบ มือที่จับไหล่แม่อยู่ค่อยๆ เลื่อนตกลงมาเอง ผมหดมือกลับและไม่รู้จะวางไว้ตรงไหน
ทำไมชีวิตคนเราถึงมีอะไรพลิกผันปุบปับขนาดนี้ เช้าอารมณ์นึง ตอนเย็นอีกอารมณ์ เอาเข้าจริงเราไม่มีทางรู้เลยว่าหนึ่งหรือสองนาทีข้างหน้านี้แม่งจะเกิดไรขึ้นกับชีวิตบ้าง
และนาทีนี้ ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองควรรู้สึกยังไง
“นะฑี…” แม่วางมือบนไหล่ผม ใจผมนึกไปถึงนิ้ววิเศษของพี่ทัช เพราะมันทำให้ข้างในผมหวั่นหวิวสั่นสะเทือนคล้ายๆ แบบนี้ ไม่สิ...ไม่คล้ายหรอก
ผมหันไปมองแม่ช้าๆ “แม่ร้องไห้เพราะเรื่องนี้เหรอ”
“...”
“เมื่อกี้นี้ที่บอกว่า ‘เหมือนกันมาก’ หมายถึงหน้าผมเหมือนเขามากงั้นดิ”
“ไปงานศพกัน”
ปากผมสั่นระริก ก่อนจะได้ยินเสียงตัวเองพูดออกมาในโทนต่ำๆ “งานศพใครที่ไหน พ่อผมตายตั้งแต่ผมอยู่มัธยมแล้ว”
ชั่วแวบนึงผมเห็นรอยยิ้มจางๆ ที่มุมปากแม่ ก่อนแววตาจะสั่นไหวคล้ายเจ็บปวด ราวกับว่าข้างในตัวแม่มีกระแสอารมณ์หลากหลายซัดโถมใส่กันอยู่ จากนั้นมือของแม่ก็เลื่อนตกจากไหล่ผม เปลี่ยนไปปาดหางตาตัวเองที่น้ำตาเอ่อรื้นขึ้นมาอีกครั้ง
ผมไม่เหลือใครแล้วแม่ที่ผมรู้จักไม่อยู่ในร่างของผู้หญิงคนนี้แล้ว นี่ใครกัน แม่แท้ๆ ของผมไม่ไปงานศพผู้ชายคนนั้นหรอก
ความจริงเรื่องนี้ซัดเข้าใส่ผมเหมือนคลื่นเย็นเฉียบ แต่ตอนนี้ใบหน้าผมกลับเรียบเฉยไม่สะทกสะท้าน ไม่มีรอยยิ้มจางๆ ไม่มีกล้ามเนื้อส่วนใดสั่นไหว
ไม่มีแม้น้ำใสๆ สักหยดจากหางตา
________________________________
ขอบคุณมากนะคะที่ยังอยู่ด้วยกัน รัก
#ณTouch
นางร้าย
25.กุมภา.2020