#06 อยู่เป็นเพื่อนกูหน่อย
ยิ่งใกล้งานคเณศ ภาควิชาปรัชญาก็ยิ่งคึกคัก ตอนนี้กลายเป็นว่าคนทำงานไม่ได้มีแค่ปีสามกับปีสี่เท่านั้น แต่น้องๆ ปีอื่นก็มาช่วยงานกันหมด ใครว่างช่วงไหนก็ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาภาค หยิบจับอะไรเล็กๆ น้อยๆ ทำไป ถ้าไม่มีอะไรให้ทำก็ซ้อมร้องเพลงในพิธีแห่กัน กลายเป็นเรื่องสนุกที่มีแต่คนอยากเข้าร่วม
งานส่วนของปีสามถือว่าเสร็จหมดแล้ว ที่เหลือก็รอแค่เซตอัปก่อนวันงานจริง แต่แก๊ง F4 ก็ยังมาสิงอยู่ที่ห้องภาคกันเหมือนเดิม เหตุผลไม่มีอะไรมาก ก็แค่เด็กผู้หญิงปีหนึ่งปีนี้หน้าตาดีมองเพลินเท่านั้นเอง
“เอาล้าว เอาล้าววว” ไอ้แก้วสะกิดไอ้ชิงชิงยิกๆ
“โฮกกกกก”
“โอ๊ยมึ้งงง หัวใจกูทำงานหนัก”
ภาคภูมิอ่อนอกอ่อนใจกับไอ้พวกหน้าหม้อที่นั่งทำตาเยิ้มอยู่ข้างๆ เชื่อว่าถ้าน้องหันมาเห็นต้องมีฝันร้ายกันมั่งล่ะ
“พีพี” คนถูกเรียกหันไปตามเสียงก่อนจะถอนหายใจอย่างเบื่อๆ
“อะไร”
ไอ้ห่าขุน รุ่นน้องปีสองมองซ้ายมองขวาก่อนจะยื่นของในมือให้ “ผมซื้อชาลิปตันมาฝาก”
คนกำลังออกแบบแผ่นบทสวดมนต์พยักหน้าหงึกๆ แล้วบอกขอบคุณเบาๆ
“ผมนั่งด้วยนะ” คนมาใหม่ว่าพลางทรุดตัวลงนั่งข้างๆ “หือออ พีพีก็มีฝืมือนะเนี่ย”
“เออ กูเก่ง”
ผู้ชายในชุดสูทสีดำพร้อมแว่นกันแดดทรงเรย์แบนที่ดูไม่เหมือนนักศึกษาส่งยิ้มหวานมาให้ ซึ่งคนได้รับถึงกับขนลุกซู่ เพราะแม่งไม่ต่างอะไรกับรอยยิ้มมรณะของโจ๊กเกอร์
“ไม่มีไรทำมึงก็ไปช่วยข้างนอกเค้าพ่นสีไป” จะว่าไล่ก็ถูก แต่เขาขี้เกียจมีปัญหาอีก
“พีพีรังเกียจผมเหรอ”
พอได้ยินเสียงอ่อยๆ เอ่ยถาม คนฟังก็ต้องถอนใจต่ออีกรอบ “กูอะไม่ แต่เพื่อนกูอะใช่”
“สัดขุน!! ไปเลยมึง!!” เสียงโวยวายดังมาตั้งแต่หน้าประตู ก่อนขายาวจะก้าวพรวดๆ เข้ามาตรงที่เพื่อนสนิทกับไอ้เด็กปีสองนั่งอยู่
ภูมิถึงกับกุมขมับ ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา เขาต้องแยกมวยระหว่างไอ้ปอกับรุ่นน้องข้างๆ นี่วันเว้นวัน กัดกันจนคนอื่นเห็นเป็นเรื่องปกติ มีแต่เขาที่รำคาญจนบางทีไม่อยากจะเข้ามาภาค ขณะกำลังจะเอ่ยห้าม ไอ้ท่านขุนกลับลุกขึ้นแล้วเดินออกไปเงียบๆ ไม่ต่อปากต่อคำเหมือนที่แล้วๆ มา
ปรนัยมองตามไอ้รุ่นน้องลุคเจมส์บอนด์ถึงประตู วันนี้มันมาแปลก แต่ก็ดีที่ยอมไปง่ายๆ หากแล้วร่างสูงก็แทบจะกระโจนไปกระชากคอมันกลับ เมื่อไอ้เด็กเปรตตะโกนออกมาเสียงดัง
“พีพีตั้งใจทำงานนะครับ แถวนี้หมาดุ ผมไปก่อนดีกว่า”
“เชี่ยขุน!!” ภาคภูมิรีบคว้าแขนคนกำลังเดือดให้ทรุดนั่ง กลัวเพื่อนจะตามไปถีบไอ้เด็กนั่นเหมือนวันก่อน
“น้องมันก็กวนตีนมึงเล่นแค่นั้นแหละ มึงก็อย่าไปวิปตามมันดิวะ” พยายามปลอบให้อีกฝ่ายใจเย็น จึงได้ผลลัพธ์เป็นตารีเล็กที่ตวัดมองอย่างไม่พอใจ
“มันจะจีบมึง”
คนได้ฟังกลอกตาไปมา “ตลกละ บอกเป็นร้อยครั้งแล้วว่ามันแค่กวนประสาท”
“ใครๆ ก็ดูออก ยิ่งมึงดีกับมัน มันก็ยิ่งเข้าใจผิด” เสียงทุ้มดุกว่าที่เคย
ภูมิเสตาหลบ อยากจะบอกกับคนพูดถึงประโยคเดียวกันนี้เหมือนกัน ...ยิ่งมึงทำดีกับกู กูก็ยิ่งเข้าใจผิด
พออีกฝ่ายเงียบ ปรนัยจึงพยายามระงับอารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ในใจลง ช่วงนี้ไอ้ขุนมาป้วนเปี้ยนกับไอ้ภูมิทุกวัน ซื้อนู่นซื้อนี่มาให้กินตลอด มองมาจากเชียงใหม่ยังรู้เลยว่ามันจะมาจีบ จะมีก็แค่ไอ้คนถูกจีบนี่แหละที่ไม่รู้ตัว ยังจะทำตาแป๋วๆ คุยกับมันอีก ไม่ได้หวงเพื่อน แต่ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่โรคจิตเหมือนไอ้ขุนเขาก็คงไม่ห้ามหรอก
...มั้ง
“เป็นไร ทำหน้าประหลาด” คนที่สนใจกับอาร์ตเวิร์กหน้าจอหันมาถามเพื่อนสนิท หลังจากเห็นใบหน้าคมๆ ขมวดคิ้ว แถมยังขบริมฝีปากแน่น
“เปล่าๆ” คนถูกทักรีบปฏิเสธ แต่ในใจยังสงสัยว่า กูจะเติม ‘มั้ง’ ในประโยคเมื่อกี๊ทำไม
“มึงว่าพื้นหลังสีส้มเฉดไหนดี” กราฟิกจำเป็นคลิกเมาส์เปลี่ยนสีไปมา
ปอขยับหน้าเข้าไปใกล้จอโน้ตบุก ก่อนจะเขี่ยมือเพื่อนออกจากเมาส์ แล้วจัดการกดเลือกสีเอง
“ขาว?” เจ้าของงานถามอย่างสงสัย
“อือ อ่านง่ายดี”
“ไม่สวยเลยอ่า” #ทีมสีส้ม
“บทสวดโคตรยาว ถ้าแบ็กกราวนด์สีเข้มมันปวดตานะ” #ทีมสีขาว
“โห่ยยย ไม่เข้าใจอาร์ทิสต์เล้ย” ภาคภูมิบ่นพึมพำคนเดียว ในขณะที่คนข้างๆ นั่งมองปากเล็กๆ ที่ยังขมุบขมิบไม่เลิกแล้วก็ขำ เออ...น่ารัก
หมายถึง...หมายถึงฟอนต์ที่มันใช้น่ะ น่ารักดี
“มึงไหวนะ?” เสียงบ่นกลายเป็นคำถามอีกรอบ เมื่อเห็นท่าทางเพื่อนดูแปลกไปจริงๆ คราวนี้คนถูกถามรีบกระแอมไอเสียงดัง ก่อนจะขอตัวเดินไปดูงานฝ่ายอื่นๆ แทน
“เออมึง” ปอเรียกคนที่กำลังจดจ่ออยู่กับงาน
“หือ?”
“ถ้าเชี่ยขุนมา...” เสียงทุ้มเบาลงจนแทบกระซิบ “บอกมันว่าอย่าเรียกมึงว่า ‘พีพี’ อีก”
มือเรียวชะงักค้าง “ทำไมวะ”
เจ้าของคำสั่งยักไหล่ทำท่ายียวน ก่อนจะพาร่างสูงโปร่งของตัวเองไปก่อกวนฝ่ายอื่นๆ แทน ทิ้งคำถามให้ลอยอยู่ในห้วงความคิดที่แม้แต่ตัวเองก็ยังตอบไม่ได้
--------------------------------
ปรนัยจอดจักรยานที่หลังหอพัก สี่ทุ่มกว่าแล้วเลยหาที่จอดได้ยากหน่อย อาศัยว่ารถตัวเองเก่าจนไม่ต้องห่วงเรื่องโดยขโมย จะจอดตรงไหนก็ได้ ติดว่าจำที่จอดไม่ค่อยได้นี่แหละ รถไม่หายก็เหมือนหายทุกที ขณะกำลังเดินออกจากหลังตึก เขาก็ได้ยินเสียง โคร่ม! ดังสนั่น เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นว่ามีเด็กผู้ชายในชุดนักศึกษานอนกองรวมกับรถจักรยานที่ล้มระเนระนาด
“นะ...” ปลายเสียงที่กำลังจะตะโกนต้องเงียบลงทันควัน เมื่ออยู่ๆ ก็มีใครไม่รู้พุ่งมากระชากคอเสื้อของคนที่ล้ม
“ไม่มีมึงก็ต้องไปหามา! เข้าใจมั้ย! ไปหามาให้กู” ผู้ชายคนนั้นยืมคร่อมร่างที่กำลังสั่นงกๆ ตะคอกเสียงดังลั่นจนปรนัยเองยังตกใจ พอได้สติคืนมา ขายาวๆ ก็รีบย่องออกไปด้านหน้าตึกก่อนจะทำทีเดินคุยโทรศัพท์เข้ามาด้านหลังใหม่
“ตลกละมึง ออกมาเลย กูกำลังไปแล้วเนี่ย...” นิ้วแกร่งแสร้งแกว่งพวงกุญแจไปมาให้เกิดเสียง ซ้ำยังต่อบทคนเดียวอีกนิด “กูกำลังจะถึงจักรยานแล้ว ร้านเดิมนะเว้ย อย่าป๊อด!!”
เมื่อเงยหน้าขึ้นมา คนแผนสูงก็ไม่เห็นผู้ชายที่ทำร้ายน้องนักศึกษานั่นแล้ว เหลือแต่เด็กคนนั้นที่กำลังพยุงตัวลุกขึ้นจากกองจักรยาน
“อ้าวน้อง เป็นไร” เสียงทุ้มเอ่ยถามเด็กในชุดนักศึกษาซึ่งน่าจะเป็นปีหนึ่ง ร่างสูงสาวเท้าเข้าไปใกล้อย่างต้องการจะช่วยเหลือ แต่เด็กคนนั้นกลับลุกขึ้นแล้วเดินกะเผลกๆ เกาะกำแพงผ่านหน้าเขาไปเสียอย่างนั้น
หลังขึ้นห้องอาบน้ำเตรียมนอน มือหนาก็คว้าโทรศัพท์มาเล่นอย่างที่ทำประจำทุกคืน เช็กนู่นเช็กนี่ไปเรื่อยเปื่อย ก่อนจะเข้าโปรแกรมแชตไปอ่านย้อนในกลุ่มต่างๆ บ้าง ตอบข้อความของใครต่อใครที่ทักทายมาบ้าง ปรนัยไม่ใช่คนชอบคุยเล่นผ่านแอปพลิเคชัน ถึงจะเป็นคนประเภทร่าเริงจนเข้าขั้นน่าถีบ แต่เขาก็ชอบที่จะสนทนากับมนุษย์ตัวเป็นๆ มากกว่า จนบางครั้งก็ปล่อยให้ไลน์ขึ้นเตือนข้อความมหาศาลอยู่บ่อยๆ หลังๆ มานี่ดีหน่อยที่ไลน์มัน Pin ชื่อคนสำคัญๆ ไว้ได้ ไม่ต้องเลื่อนหาให้ปวดลูกกะตา
‘นอนยัง’ พิมพ์ข้อความไปหาเจ้าของชื่อที่ถูกปักหมุดไว้ด้านบนสุด รอสักพัก ‘น้องพีพี’ ชื่อที่เขาเมมไว้ก็ตอบกลับมา
‘ยัง’
‘ตกลงบทสวดมนต์เสร็จมะ’
‘เออ เสร็จละ นี่ๆ’
ปรนัยกดโหลดรูปที่เพื่อนสนิทส่งมา แล้วจึงได้เห็นว่าสุดท้ายภาคภูมิเลือกพื้นหลังเป็นสีเปลือกไข่ ไม่ใช่ขาวแบบที่เขาบอก แต่ก็ไม่เข้มปวดตาเหมือนทีแรก
‘สวยดี อ่านง่าย’
‘ส่งร้านพิมพ์ไปละ พรุ่งนี้ไปช่วยแบกด้วยนะ’
‘เค’
ไม่ทันได้พิมพ์อะไรต่อ ภูมิก็ส่งภาพมาอีก พร้อมข้อความว่า
‘พานปีนี้ อย่างสวย’
หากเมื่อกดโหลดดู ร่างสูงบนเตียงก็ต้องสะดุ้งก่อนจะขยับตัวลุกขึ้น พยายามเลื่อนนิ้วซูมภาพให้ชัดๆ เพราะนอกจากรูปพานที่ประดับด้วยด้วยไม้สดสวยงามแล้ว ไอ้คนถือพานภาคมันยังสะกิดต่อมความจำเข้าอย่างจังน่ะสิ ตอนนี้ปอกำลังว้าวุ่นอย่างหนัก จนสุดท้ายต้องกดโทรกลับไปหาคนที่ส่งภาพมา รอไม่นานอีกฝ่ายก็กดรับ
“เฮ้ย วิดีโอคอลไมวะ”
คนที่ปรากฏบนจอกำลังโวยวาย ปอจึงรู้ว่าตัวเองกดผิดโหมด แต่ภาพเด็กแว่นหน้าขาวๆ หัวยุ่งๆ ในเสื้อนอนเก่าๆ ที่นอนคว่ำพร้อมหนังสือการ์ตูนในมือ ทำให้คนโทรผิดไม่คิดจะวางสาย ตารีเล็กจ้องไปยังใบหน้าคุ้นตาในมือถือ ก่อนเสียงทุ้มจะหัวเราะชอบใจกับสภาพของเพื่อน จนคนในจอขมวดคิ้วแล้วทำเสียงดุ
“ขำเชี่ยไรของมึงเนี่ย กูวางเลยดีมะ”
พอปากเล็กๆ ขยับบ่น ปอเลยต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วกลั้นขำไว้แทน “อย่าเพิ่งเว้ยๆ กูมีเรื่องว่ะ”
คนอีกฝั่งวางการ์ตูนในมือลง ก่อนจะคว้าหมอนมากอดแล้วเกยคางลงกับหมอนนั้น เป็นสัญญาณว่ากำลังเตรียมตัวฟัง ‘เรื่อง’ จากคนที่วิดีโอคอลมาหา
“เรื่องไร”
“คือ...อ่า...”
ปรนัยไม่รู้ว่าทำไมสติสตังตัวเองถึงไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอย ยิ่งเห็นใบหน้าเสี้ยวหนึ่งที่โผล่พ้นหมอนออกมาของภาคภูมิ เขาก็ยิ่งพูดอะไรไม่ถูก
“ว่างายยย”
“คืองี้” ตาคมกะพริบปริบๆ ราวกับเรียกสติของตัวเอง “ตอนมาถึงหอ กูเห็นคนโดนซ้อมว่ะ แล้วเหมือนคนคนนั้นจะเป็นเด็กผู้ชายในรูปที่มึงส่งมา”
“ไอ้กวาอ่านะ”
“ไม่รู้ชื่อไรเหมือนกัน” ...รู้จักแต่น้องผู้หญิง แฮ่
“ถ้าผู้ชายที่ถือพานอะ มันชื่อกวา – แตงกวา – เหมือนจะอยู่หอเดียวกับมึงด้วย” ภูมิมองใบหน้าคมที่ดูจะเคร่งเครียดขึ้นมาทันที “แล้วที่มึงเจอ เค้าเป็นอะไรมากมั้ยล่ะ”
“ก็ล้มใส่จักรยานทั้งแถบอะ น่าจะเจ็บอยู่” เสียงทุ้มตอบ “แต่ที่ห่วงคือกลัวมันจะโดนซ้ำอ่าดิ”
“เฮ้ย ใครทำมันวะ” คราวนี้คนอีกฝั่งเริ่มตื่นตระหนกบ้าง ร่างโปร่งลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ ท่าทีเหมือนพร้อมรบ
ปอมองท่าทางจริงจังนั้นแล้วก็แอบขำ “ไม่รู้ว่ะ มันมืดๆ แต่ดูมีอายุแล้วนะ ไม่ใช่นักศึกษาแน่นอน”
“กูว่า... มึงควรจะบอกอาจารย์นะ”
“อาจารย์คนไหนวะ”
“ก็อาจารย์ที่ปรึกษาไอ้กวาไง ...อาจารย์กฤต”
“เออ ตอนจะไปพาหุรัด เราก็เจอมันพร้อมจารย์กฤตนี่หว่า” ไอ้เด็กที่เดินตามอาจารย์วันนั้นแน่ๆ ถึงว่าหน้าคุ้นจังวะ
“ใช่ๆ มึงบอกอาจารย์กฤตนั่นแหละ เค้าคงติดต่อมันได้ ถ้าใช่ไอ้กวาจริง”
“โอเค” รับปากเพื่อน เพราะคิดว่าคงไม่สามารถทำอะไรได้ดีไปกว่านี้แล้ว “แล้วนี่มึงจะนอนยัง”
“ยังอะ อ่านการ์ตูนอีกแป๊บ” พูดจบก็นอนคว่ำลงเหมือนเดิม ก่อนจะหยิบหนังสือที่วางไว้ขึ้นมาอ่านต่อ
“เหรอๆ งั้นอ่านไปเหอะ”
“เออๆ กูวางแล้วนะ”
พอเห็นแขนขาวๆ เอื้อมผ่านหน้ากล้อง คนโทรหาก็รีบร้องห้ามทันที “วางไม มึงก็อ่านไปดิ”
“อะไรของมึงเนี่ย กูจะอ่านการ์ตูนนนน” ภาคภูมิโวยวาย นี่มันจะเที่ยงคืนแล้ว การ์ตูนที่ยืมมายังเหลืออีกตั้งหลายเล่ม
“ใครห้ามมึงล่ะ” อีกคนตอบน้ำเสียงราบเรียบ “แค่ไม่ต้องวางสายเอง”
มือขาวคว่ำหนังสือลงกับเตียง ก่อนจะขยับแว่นแล้วจ้องหน้าคนในจอ “มึงไหวปะเนี่ย”
“อยู่เป็นเพื่อนกูหน่อย กูเจอเรื่องสะเทือนขวัญมานะโว้ย”
“ไร้สาระว่ะ”
“น่า...”
หนุ่มแว่นถอนหายใจ “เออๆ”
สุดท้ายก็ต้องยอมในเหตุผลที่ไม่มีเหตุผลของเพื่อนสนิททุกที
วันต่อมาสองเพื่อนซี้นัดเจอกันที่ร้านพรินต์งานแถวๆ คณะเภสัช เพื่อรับบทสวดมนต์ที่สั่งพิมพ์ไว้ 500 ชุด
“การ์ตูนสนุกมั้ย” เจอหน้าเพื่อนสนิทปุ๊บ ปรนัยก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงยียวนทันที ก็ไอ้คนที่ดื้อดึงไม่ยอมนอน ร้องจะอ่านหนังสือการ์ตูน มันดันหลับไปตั้งแต่ยังไม่ทันถึงครึ่งเล่มเลยน่ะสิ
“กวนตีนละมึง” คนถูกแซวด่ากลับเข้าให้ หลังจากไอ้ห่าปอยืนยันไม่ให้ปิดวิดีโอคอล เขาเลยไม่สนใจมันอีก และกลับมาตั้งใจอ่านการ์ตูนที่เช่ามาแทน แต่ไม่รู้ทำไมอ่านๆ ไปมันถึงง่วงจนเผลอหลับไปได้ ที่ซวยกว่านั้นคือลืมชาร์จโทรศัพท์อีกต่างหาก
“แล้วมึงกดวางให้กูปะเนี่ย ไอโฟนกูแบตแดงเถือกเลยสัด” เจ้าของโทรศัพท์ที่กำลังไฟเหลือร่อแร่เอ่ยถาม ก่อนคุยก็ว่าชาร์จเต็มนะ ทำไมวิดีโอคอลมันกินแบตจังวะ
“หาวววววว... วางดิวะ” ร่างสูงบิดขี้เกียจก่อนจะหาวโชว์อีกรอบ หาววววววว
“แล้วคุยกับจารย์กฤตยัง”
“คุยละ เดี๋ยวอาจารย์คงเรียกไอ้กวาคุยแหละ”
ถึงคิวรับงานพอดี ภาคภูมิจึงเดินไปจ่ายเงินก่อนจะส่งถุงใส่เอกสารให้อีกคนถือ น้ำหนักประมาณกระดาษ 1 รีมนั้นไม่ได้มากมายนัก เมื่อเจ้าของผลงานยื่นมือจะมาช่วย ปรนัยจึงปฏิเสธให้อีกฝ่ายเดินสบายๆ ไปแทน
“ดีมากเจ้าปอ ถือไปให้ถึงภาคเลยนะ” ร่างโปร่งในชุดนักศึกษาเดินตัวปลิวนำหน้า วันนี้ช่วงบ่ายเขามีควิซวิชาโทเลยต้องแต่งตัวเรียบร้อยหน่อย ในขณะที่ไอ้ปอใส่เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์สีซีด ลุคที่ต่างกันทำให้ดูเผินๆ มันเหมือนกับ...
“เชี่ย ยังกะคุณชายกับเด็กรับใช้ที่บ้าน” คนแบกของนิยามสภาพตัวเองเสร็จสรรพ คุณชายข้างหน้าหัวเราะเสียงดัง แต่ก็ยอมชะลอฝีเท้าเพื่อให้คนข้างหลังเดินไปพร้อมกัน
ภาควิชาปรัชญาช่วงเช้าเงียบสงบ หลังทักทายพ่อบ้านเรียบร้อย สองเพื่อนซี้ก็เดินเอาเอกสารไปไว้ในห้องประชุม ภาคภูมิเขียนโน้ตแผ่นใหญ่วางทับ ใจความบอกให้น้องปีหนึ่งช่วยตัดครึ่งแนวนอน แล้วพับทบตามรอยประ ในขณะที่ปรนัยทิ้งตัวลงนั่งก่อนจะฟุบลงบนโต๊ะประชุมกลางห้อง
“อ้าว นอนจริงปะเนี่ย”
“อือ ขอสิบนาทีดิ ง่วงว่ะ” เสียงอู้อี้ตอบแบบไม่เงยหน้า
“เออๆ นอนดึกเหรอ” ภูมิดูนาฬิกาแล้วเห็นว่ายังมีเวลาอีกเกือบครึ่งชั่วโมง เลยปล่อยให้เพื่อนนอนไปตามต้องการ
“อือ ใครจะหลับสบายเหมือนมึงล่ะ แว่นเวิ่นก็ไม่ถอด”
“ฮะ??” มือเรียวแตะเบาๆ ตรงข้างสันจมูก รอยกดของแว่นยังเหลือทิ้งไว้จางๆ “แล้วก็ไม่ปลุกกู”
“ไม่ปลุกเชี่ยไร” คนนอนกับโต๊ะเถียงเสียงงัวเงีย “เรียกทุกสิบนาทียันตีหนึ่งมึงยังไม่ตื่นเลย”
“ตีหนึ่ง!!” พอรู้ความจริง คนขี้เซาถึงกับหน้าตาตื่น “กูว่ากูหลับไปตอนเที่ยงคืนกว่านะ”
ปรนัยไม่ตอบ ปล่อยให้อีกคนงงงวยต่อไป ใครจะไปบอกว่านั่งมองหน้าแม่งจนดึกล่ะวะ โรคจิตฉิบหาย...
TBC.
มีคนโรคจิตอยู่แถวนี้จ้าาา
ตอนนี้เริ่มเข้าใกล้จิตใจคุณปรนัยมากขึ้นละนะ
สรุปอ้อยทั้งคู่ เอ้า! ป้ายไฟมา!
ปล.กำลังจะบ่นว่าสั้นใช่มั้ย?
อย่าเพิ่งงงงงง เรามีตอนที่ 6.2 แถมให้อีก
แต่รอแพพนะ...มันอยู่ในคอมออฟฟิศ T^T
คือส่งไฟล์ผิดให้ตัวเอง เลยมาแค่ตอนที่ 6 ค่ะ ฮือออออ พรุ่งนี้อัพให้น้า
ไปกรีดร้องที่ไหน ติด
#SweetDilemmaFiction ให้ด้วยค่า