**โอ๊ย ฮ่าๆ มีมาลงจนได้ ทั้งๆ ที่ตอนแรกตั้งใจว่าจะดองเค็มตามอีกเรื่องไปแล้วแท้ๆ
แบบว่าเขียนเอาไว้ก่อนจะไปตจว.เกือบจะจบตอนแล้วล่ะ แล้วบังเอิญ... แก้สายลับไปครึ่งวันสองตอนรวด (เริ่มเกิดอาการขาดออกซิเจน
) ก็เลยเปิดมาลองเีขียนต่อ (แบบมึนๆ)
เขียนแล้วรู้สึกว่า คู่นี้ชิล ถึง ชิลที่สุด ทั้งชิลทั้งเฉื่อยทั้งคู่แบบนี้ มันจะมีอะไรตื่นเต้นมั้ยเนี่ยยย (เขียนไปนึกถึงฉากเวลาอย่างว่าของคุณพนิตไป... ไม่รู้ว่ามันจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้รึเปล่านะเนี่ย ฮ่าๆๆๆๆๆ)
---------------------------------------
Out of order. ขออภัยในความไม่สะดวก ตอนที่4
ชีวิตจริงไม่ใช่นิยาย และนิยายก็ไม่ใช่ชีวิตจริง
นั่นคือสิ่งที่รุ่นพี่คนหนึ่งบอกผม ในตอนที่ผมเริ่มต้นคิดจะเขียนนิยาย ผมมาเข้าใจได้หลังจากนั้นไม่นาน นิยายอาจจะคล้ายชีวิตจริง แต่จะเป็นชีวิตจริงไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะชีวิตจริงมักมีสิ่งไม่คาดฝันมากกว่านิยายเสมอ แล้วก็มักจะไม่ได้มีบทสรุปงดงามสวยหรูอย่างในนิยายด้วย และชีวิตจริงบางทีก็อาจจะคล้ายนิยาย เพียงแต่ว่านิยายกำหนดได้ และตอนจบก็ควรจะต้องสวยงาม เนื่องจากชีวิตจริงมันโหดร้ายพออยู่แล้ว
ผมระลึกถึงประโยคนี้เสมอมา งานเขียนของผมทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเศร้าเคล้าน้ำตา อาศัยปูมชีวิตของคนจริงๆ มาเขียนขนาดไหน ตอนสุดท้ายผมจะพยายามทำให้มันจบอย่างสวยงามเสมอ เพื่อให้มันติดตราตรึงใจคนอ่าน ให้เขาได้รับความอิ่มอกอิ่มใจที่อาจจะหาไม่ได้ในชีวิตจริงๆ
ผมว่านิยายเป็นงานศิลปะ ที่ใช้ปลอบประโลม และยกระดับจิตใจของคนอ่าน
แต่ที่แน่ๆ ชีวิตจริงจะไม่มีทางเป็นเหมือนในนิยายไปได้อย่างเด็ดขาด
------------------------------------------------
ผมลืมตาตื่นขึ้นมา รู้สึกเบลอๆ ในหัว พอเห็นเพด้านไม้ด้านบน ถึงนึกได้ว่าน่าจะนอนอยู่บนเก้าอี้ยาวตรงส่วนที่ใช้รับแขก อืม... แล้วทำไมผมถึงมานอนอยู่แบบนี้นะ?
ลืมตาได้สักพัก ผมถึงได้กลิ่นคล้ายๆ ยาดมที่จมูก พอขยับตัว เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “คุณพนิต”
ผมกะพริบตาปริบๆ สมองยังงงๆ อยู่ จะลุกร่างกายก็ดันไม่มีแรงไปเสียดื้อๆ ผมเห็นใครคนหนึ่งตรงเข้ามาประคองผมเอาไว้ หน้าเขาหมดจด หล่อเนี๊ยบดีจริงๆ ได้ยินเสียงเขาถามผม “เป็นไงบ้างครับ รู้สึกไม่สบายตรงไหนรึเปล่า?”
ผมมองเขาอยู่พัก ถึงเรียกชื่อเขาออกมาได้ “สุภาพงษ์”
“ครับ”
“อืม.... เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” ผมถามเขา พลางพยายามลำดับความคิด จำได้ว่าผมเอาต้นฉบับไปส่งเขาที่สำนักงาน แล้วขากลับมาเหตุให้ต้องกลับมาด้วยกัน จากนั้นก็...
“คุณเป็นลมน่ะครับ” เขาตอบ จากนั้นก็ช่วยขยับตัวผมให้ลุกขึ้นมานั่ง ผมมองหน้าเขา กะพริบตาซ้ำอีกหลายรอบ “ว่าไงนะ?!”
“คุณ... เป็นลมไปน่ะครับ” เขาตอบซ้ำ คราวนี้ผมมองหน้าเขาเหมือนคนไม่เคยเจอกันมาก่อน
“ผมเป็นลม... ได้ยังไงน่ะ?” ผมถามเขา พลางนึกย้อนกลับไป สุภาพงษ์ทำหน้ายุ่งยากใจเต็มที่ “ไม่ทราบเหมือนกันครับ.....”
ผมกะพริบตาอย่างงงๆ อยู่อีกพัก ถึงจะพอพูดออกมาได้ “สงสัยเพราะอายุมากแล้วล่ะมั้ง”
สุภาพงษ์เม้มปาก ทำหน้าเหมือนอยากจะพูดอะไร ผมเงยมองนาฬิกา โอ๊ย ตายล่ะ สี่โมงเข้าไปแล้วหรือนี่ จำได้ว่าตอนมาถึงบ้านสักบ่ายสองเองนี่ ผมก้มลงมองเขา ถึงเพิ่งเห็นว่าเขานั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าผมเลย หน้าตาหมดจดน่ามองจริงๆ นะ แต่............
“สี่โมงแล้ว คุณสุภาพงษ์ รีบกลับบ้านเถอะ เดี๋ยวรถจะติดมาก” ผมว่า เพราะแถวบ้านผม พอถึงช่วงเวลาไปทำงานและเลิกงานทีไร รถจะติดตะพึดตะพือขึ้นมาทันที ก็คงเป็นธรรมดาของถนนเส้นเล็กๆ ที่อยู่ในเมืองนั่นล่ะ
“คุณพนิต....” สุภาพงษ์เรียกชื่อผม แล้วมองด้วยแววตาตื่นๆ นิดหน่อย อายุตั้งสามสิบสี่แล้ว จะมาทำหน้าตื่นอะไรอย่างนี้อีก ผมเลยยิ้มให้เขาไป “ผมไม่เป็นไรหรอก คุณไม่ต้องเป็นห่วงแล้วล่ะ”
ผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงหน้าผมเม้มปาก คราวนี้เขาเม้มปากให้ผมเห็นจริงๆ นะ ไม่ใช่แค่ว่าเม้มหน่อยๆ จากนั้นก็เลื่อนมือมาจับมือผมไว้
ผมใจเต้นตึกๆ ขึ้นมาทันที
เขาจับมือผมไว้อยู่พัก บีบเบาๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ผมเองก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะนึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะพูดอะไรดี ได้แต่มองหน้าเขาจากมุมที่สูงกว่า ทั้งผม ทั้งคิ้ว สันจมูก ขนตา... หมดจดจริงๆ
แต่...
“งั้น... ผมกลับนะครับ” ในที่สุดเขาก็พูดออกมา ผมพยักหน้า สุภาพงษ์ยังกุมมือผมไว้อีกพัก ตอนที่เขาผละมือออกไป ผมรู้สึกถึงความชื้นในมือของผมเลย
สุภาพงษ์เดินกลับไปขึ้นรถยนต์สีขาวของตัวเอง ผมเดินตามออกมาส่งเขาที่หน้าประตูรั้ว ก่อนจะเข้ารถ เขาหันกลับมามองผมอีกรอบ ด้วยสีหน้าที่จะยิ้มก็ไม่ยิ้มจะบึ้งก็ไม่บึ้ง เหมือนบอกไม่ถูกว่าจะเลือกข้อไหนกันแน่ เขามองแบบนั้นอยู่พัก จนผมต้องบอกเขาไปว่าช้ารถจะติด นั่นแหละเขาถึงได้ยอมขึ้นรถและขับออกไป
---------------------------------------------
ผมส่งสุภาพงษ์เสร็จแล้ว แทนที่จะเดินกลับเข้าบ้าน ก็ตัดสินใจเดินไปที่ต้นก้ามปูซึ่งมีชิงช้าผูกอยู่ จากนั้นก็หย่อนก้นลงบนชิงช้าตัวหนึ่ง ที่จริงมันเป็นชิงช้าที่ผูกเอาไว้ให้เด็กๆ มาเล่นกัน แต่มันก็กว้างพอจะให้ผู้ใหญ่ตัวผอมๆ สักคนนั่งได้ เผอิญว่าผมผอมพอจะทำแบบนั้น แต่ถ้าเพื่อนบางคนที่หุ่นเป็นขุนช้างทำท่าว่าจะนั่งล่ะก็ ผมจะรีบไล่เขาไปนั่งที่ม้านั่งหินทันที
ผมไกวชิงช้าเบาๆ จากนั้นก็ถอนหายใจเฮือก....
เรื่องที่วันนี้มัน..........
ผมหลับตาลง ถอนหายใจออกมาอีก นึกถึงคำพูดที่สุภาพงษ์พูดกับผม ก่อนที่ผมจะหมดสติไป..
น่าอายจริงๆ
อยู่มาสี่สิบห้าปีแล้ว ช่วงวัยรุ่นก็เคยคิดหรอกนะ ว่าอยากจะมีความรักกับเขาบ้าง ปัญหาคือผมจีบใครไม่ค่อยเก่ง แถม.. ไม่รู้จะมีปัญญาให้ความสนใจเขาได้เพียงพอรึเปล่า สุดท้ายก็ไม่เคยรักกับใครเลย ตอนนั้นเคยแอบๆ คิดว่าถ้ามีคนมาบอกรักคงน่าตื่นเต้นน่าดู เคยลงมือเขียนเป็นนิยายด้วย แต่ก็เขียนไม่จบ ผมไม่ถนัดเรื่องรัก ไม่ถนัดเลยสักนิด
ที่สำคัญ ผมไม่รู้ว่ามันจะมาเกิดกับผมในวันหนึ่งตอนที่อายุสี่สิบห้าเข้าไปแล้ว
ผมเหม่อมองไปยังต้นกล้วยไม้ที่แขวนอยู่ตรงชายคาบ้าน มองไปที่ประตูรั้วซึ่งมีต้นมะขามปลูกอัดกันแน่น เป็นรั้วกินได้ภายในตัว เลยออกไปจากบ้านผมอีกสี่ห้าหลัง คือที่ตั้งของบ้านเช่า หลายสิบปีมาแล้วที่มีเด็กๆ จากที่นั่นมาเล่นที่บ้านผม...
หลายสิบปีมาแล้วจริงๆ
ลมพัดมาทำให้ใบของต้นก้ามปูและต้นไม้อื่นๆ ที่ปลูกเอาไว้ส่งเสียงยวบยาบ ผมไกวชิงช้าเบาๆ พลางนึกถึงเรื่องเก่าๆ
ยี่สิบกว่าปีที่แล้ว........
เวลามันผ่านมานานมากจริงๆ นับแล้วช่วงนั้นผมคงอายุสักยี่สิบต้นๆ เพิ่งจะเรียนจบมหาวิทยาลัยล่ะมั้ง ช่วงนั้นแถวนี้ยังเป็นสวนอยู่ มีเด็กที่เป็นลูกสวนข้างบ้านมาเล่นบ้างแต่ก็ไม่มากเท่าไหร่ เพราะส่วนใหญ่ก็โตๆ กันหมดแล้ว ที่มีมาบ่อยๆ ก็คงจะเป็นเด็กที่อยู่บ้านเช่านั่นแหละ
ผมนึกย้อนกลับไปในอดีตที่เลือนรางเหมือนภาพฝัน หลายเรื่องนึกออก หลายเรื่องก็นึกไม่ออกแล้ว ช่วงนั้นผมคงเริ่มต้นเขียนนิยายอย่างจริงๆ จังๆ แล้ว เพราะความหนุ่ม และร้อนวิชา ในหัวคงมีพล็อตเอาไว้สารพัด จำได้ว่าเคยยัดเยียดให้น้องสาวอ่านเรื่องที่เขียนอยู่พักหนึ่ง บางทีก็ให้พ่อแม่ช่วยอ่าน จากนั้นใครสักคนก็แนะนำให้ผมลองเล่าเป็นนิทานให้พวกเด็กๆ ที่มาเล่นที่บ้านฟัง ตอนแรกผมก็แอบเขินๆ นิดหน่อย แต่พอลองเข้าครั้งหนึ่ง ดูเหมือนเด็กๆ จะติดใจ วันต่อมาก็มาให้เล่าอีก กลายเป็นติดนิทานผมจนต้องมาฟังทุกวันเสียอย่างนั้น
ยี่สิบกว่าปีที่แล้ว.......
จำได้ว่าเด็กที่มามีตั้งแต่สองสามขวบที่พี่จูงมาบ้าน ไปจนถึงอายุสิบกว่าขวบแล้วก็มี พอมาอยู่รวมกันแล้ว พ่อแม่ผมในสมัยนั้นก็เลยให้พวกที่โตกว่าคอยดูพวกน้องๆ ผมที่อยู่บ้านตลอด ก็เลยมีหน้าที่ดูแลเด็กพวกนั้นอีกที เพราะน้องสาวยังเรียนมหาวิทยาลัย ต้องท่องหนังสือบ้าง ทำงานบ้าง ไม่ค่อยจะมีเวลาเท่าไหร่
มานึกๆ ดูแล้ว ในบรรดาเด็กพวกนั้น เห็นจะมีเด็กอยู่คนหนึ่งล่ะมั้งที่ไม่ค่อยพูด รู้สึกจะอายุสักสิบสี่สิบห้าแล้วเหมือนกัน เขามักจะมานั่งดูคนอื่นเล่นเงียบๆ บางทีก็ไปช่วยพ่อแม่ผมตัดกิ่งต้นไม้ในสวน คงเพราะเขาอายุมากที่สุดในกลุ่มล่ะมั้ง ก็เลยไม่ค่อยอยากจะเล่นแล้ว เห็นว่ามาเป็นเพื่อนเด็กอีกห้องหนึ่งเฉยๆ หลังๆ ผมเลยชวนเขามาเป็นพี่เลี้ยงช่วยดูเด็กๆ พวกนั้นด้วย เขาชื่ออะไร ผมจำไม่ได้แล้วล่ะ จำได้แค่ว่า บางทีเวลานั่งกันอยู่ตรงชานบ้าน คอยดูเด็กเล็กๆ ที่เล่นกันอยู่ ผมเล่าพล็อตนิยายของตัวเองให้เขาฟังอยู่บ่อยๆ เขาก็แค่พยักหน้า แต่จะหันมามองผมทันทีที่ผมไม่ยอมเล่าต่อ
เขาเป็นคนเงียบๆ เงียบมากจริงๆ
ผมไม่รู้ว่านั่นจะใช่คนเดียวกับคนที่เป็นบรรณาธิการของผมตอนนึ้รึเปล่า
ผมไม่รู้จริงๆ.............
ลมพัดมาเบาๆ ผมกลับจากอดีตแสนนาน แล้วนึกไปถึงคำพูดของคุณากรที่พูดกับผมในร้านอาหาร เขาพูดเหมือนกำลังปรึกษาเรื่องพล็อตนิยาย ผมก็ตอบเขาไปตามประสานักเขียน
แต่เผอิญว่าท่าทางเรื่องที่เขาพูดอาจจะไม่ใช่แค่พล็อตนิยายก็ได้
ผมถอนหายใจอีกครั้ง....
เรื่องนี้มันกะทันหันเกินไป ผมไม่กล้าคิดแล้วก็สรุปเอาเอง มัน... ดูสับสนแบบแปลกๆ บางทีนี่อาจจะเป็นการเข้าใจผิด มันอาจจะเป็นความคลาดเคลื่อนอะไรสักอย่างก็ได้
ผมเหม่อมองไปในหมู่ไม้เบื้องหน้า... ได้ยินเสียงนกกำลังทยอยกันกลับรังของมันแล้ว และเสียงการจารจรที่ดังห่างออกไป
ในฐานะนักเขียน ผมกำหนดทุกสิ่งทุกอย่างในนิยายที่เขียนได้ แต่ในฐานะของคนธรรมดาคนหนึ่ง ผมไม่สามารถกำหนดอะไรได้เลย
กระทั่งความรู้สึกของตัวเอง............
---------------------------------------------------------------
“เด็กหญิงน้อยในเมืองใหญ่” ตอนที่หกตีพิมพ์แล้ว แทรกอยู่ในนิตยาสารสำหรับคนมีครอบครัวซึ่งออกทุกสี่สิบห้าวัน ผมเพิ่งได้รับหนังสือที่ไปรษณีย์มาส่งที่หน้าบ้านเมื่อเช้านี้เอง เรื่องราวของเด็กหญิงพิมชนกยังมีอยู่ในหัวผมอีกเยอะ แต่เรื่องของพ่อกระแตนี่สิ
กระดาษที่สอดอยู่ในเครื่องพิมพ์ดีดมีตัวอักษรอยู่แค่บรรทัดหนึ่ง เป็นชื่อเรื่องกับเลขตอน ที่เหลือยังว่างเปล่าขาวสะอาดอยู่เลย
ผมมองปฏิทิน ยังเหลือเวลาอีกสักสิบวัน กว่าจะถึงกำหนดส่ง ผมเลยตัดสินใจว่าจะออกไปเปิดหูเปิดตาข้างนอกเสียหน่อย ไม่ใช่ว่าผมหาเรื่องอู้นะ แต่คิดไม่ออกแบบนี้ นั่งอยู่บ้านไปก็ไม่ช่วยอะไร เพราะอย่างนั้น สู้ออกไปดูอะไรต่อมิอะไรนอกบ้านดีกว่า เผื่อว่าจะเกิดไอเดียใหม่ๆ ขึ้นมาได้บ้าง
ผมออกจากบ้านไปที่ป้ายรถเมล์ ใจยังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ไหน แต่ไม่อยากจะเข้าเมือง เพราะในเมืองมีแต่ตึก แทบจะไม่ค่อยเกี่ยวอะไรกับเนื้อเรื่องที่ผมเขียนอยู่เลย พอดีกับว่ารถเมล์สายที่จะไปนครปฐมวิ่งผ่านมาพอดี ผมเลยโบกเรียก
สุดท้ายผมก็พบตัวเองมาอยู่ที่ตลาดดอนหวาย เผอิญว่าวันนี้เป็นวันเสาร์ รถเลยแน่นเป็นพิเศษ แต่ผมนั่งรถประจำทางมา เลยสะดวกโยธิน ลงรถแล้วเดินเข้าตลาดใกล้กว่าพวกพารถมาด้วยซ้ำ
ผมไม่มีรถ เรื่องขับรถเลยไม่ต้องพูดถึง ไม่คิดจะขับมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะว่าให้ขับก็คงชน ผมยิ่งเหม่อๆ ชอบคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ แถมยังชอบมองข้างทางที่ไม่ใช่ถนนอีก น้องสาวเคยให้ผมลองขับหนหนึ่ง จากนั้นก็สั่งห้ามผมยุ่งกับรถเด็ดขาด เพราะเกือบจะพุ่งไปชนประตูรั้วคนข้างบ้าน เนื่องจากผมมัวแต่มองนกสีฟ้าๆ ที่มันกำลังบินขึ้นมาจากต้นมะขามต้นใหญ่แถวนั้น ถึงจะไม่ห้าม ผมก็ไม่คิดจะขับอยู่แล้วล่ะ
ดอนหวายมีขนมแบบที่หาทานในเมืองไม่ได้เยอะอยู่พอสมควร กว่าผมจะได้ลงเอยมื้อหลัก ก็อิ่มขนมจนแทบจะใส่ข้าวคลุกกะปิที่สั่งมาเข้าท้องไม่ไหว ข้าวอร่อย แต่ขนมอืดท้อง กว่าจะทานหมด คนที่มาขอยืมโต๊ะนั่งด้วยก็ลุกไปสักสามคนได้แล้วล่ะมั้ง ผมนึกดีใจที่ไม่มีใครมาด้วย ไม่งั้นท่าทางผมจะกลายเป็นภาระเขาแน่ อืม... ผมเป็นพวกเรื่อยๆ เฉื่อยๆ แบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วน่ะ สมัยเรียนยังโดนเพื่อนวงแดงชื่อไว้เลยว่า ถ้ารีบล่ะก็ อย่าเอาไอ้พนิตไปเข้ากลุ่มเด็ดขาด
ก็ผมรู้สึกว่าถ้ารีบแล้วมันจะเก็บรายละเอียดอะไรได้ไม่ค่อยจะครบ แล้วก็ไม่ได้สิ่งที่ดีที่สุดนี่นา
สงสัยเพราะอย่างนี้ พ่อกระแตถึงไม่ไปถึงไหนสักที ตอนที่แล้วให้เจ้าของบ้านล้อมต้นไม้ไว้ แต่ไม่ได้บอกคนอ่านนะว่าจะย้ายไปปลูกที่ไหน พ่อกระแตเองก็ไม่รู้หรอก หอบลูกหอบเมียซัดเซพเนจรไปอยู่บนต้นมะขามแทน แต่มะขามไม่อร่อยเท่ามะเฟือง แถมยังมีนกเจ้าถิ่นอยู่ แล้วเรื่องมันจะเป็นยังไงต่อไปดีนะ
ระหว่างที่ผมทานข้าวอยู่ ก็เห็นมีให้ล่องเรือชมแม่น้ำ เลยตัดสินใจว่าเดี๋ยวทานหมดแล้ว จะไปนั่งเรือเล่นก็แล้วกัน เผอิญโชคดี ว่ามีเจ้าหนุ่มคนหนึ่งเหมาเรือแล้วยังว่างอีกที่พอดี แล้วเห็นว่าผมมาคนเดียว เลยให้ไปนั่งด้วย ผมเลยได้นั่งเรือแบบไม่ต้องรอคิวนาน
น้ำที่ดอนหวายยังดีอยู่ ลมก็กำลังเย็นสบาย แต่ขึ้นเรือไปแล้วผมยังเจออะไรที่น่าตื่นเต้นกว่านั้นอีก
“พนิต พนิตใช่มั้ย?” ผู้ชายรูปร่างอ้วนท้วนคนหนึ่งเดินเข้ามาทักผม ตอนที่กำลังจะเดินไปขึ้นเรือ ท่าทางมีเงินมีทองอยู่พอสมควร ดูจากเสื้อผ้าและทองที่สวมอยู่บนคอบนนิ้วล่ะนะ ผมเขม่นมอง ก่อนจะโพล่งออกมา “วิชัย!”
“พนิตจริงๆ ด้วย” เขาพูดและยิ้มจนตาหยี เขาเป็นเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยของผม สนิทกันพอสมควรเลยล่ะ จำได้ว่าเรียนเศรษฐศาสตร์เก่งมาก เพราะบ้านเขาเป็นคนจีน ค้าขายอยู่แล้ว เหมือนจะขายข้าวสารล่ะมั้ง ผมดีใจที่ได้เจอเพื่อนเก่า เลยถามไป “เป็นไงบ้าง ไม่เจอกันนานมากๆ เลย”
“นานจริงๆ ไปๆ ขึ้นเรือเถอะ จะได้คุยกันยาวๆ ”
---------------------------------------------------
ผมขึ้นเรือไปก็ได้คุยกับวิชัยยาว เลยรู้ว่าเขามาเปิดโรงสีอยู่ที่นครปฐม ตอนนี้เลยกลายเป็นเถ้าแก่โรงสีไปแล้ว วันนี้พอดีแวะมาเที่ยวกับครอบครัว และว่าที่ลูกเขยคนใหม่ ผมเลยได้รับไหว้ทั้งลูกสาว และลูกชายเขาอีกคน ซึ่งกำลังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีสอง แล้วก็บรรดาญาติๆ แถมด้วยว่าที่ลูกเขยเขาอีกคน อายุสักสามสิบกว่าๆ ได้ หน้าตาธรรมดา แต่ท่าทางเอางานเอาการน่าดู พอแนะนำกันเสร็จแล้ว เขาก็หันมาขอความเห็นเรื่องลูกเขยกับผม จากนั้นเราก็คุยกันเรื่องเก่าๆ สมัยเรียน เขาหัวเราะชอบใจ ในตอนที่รู้ว่าผมยังเขียนนิยายอยู่ แล้วบอกว่าผมนี่เอาจริงเอาจังกับอาชีพนี้จริงๆ ถามว่าหนังสือที่ผมเขียนอยู่ตอนนี้ชื่อหนังสืออะไร จะได้ไปหามาอ่าน ผมเลยบอกชื่อหนังสือเขาไป บอกอีกว่าอาจจะเหมาะกับคนกำลังสร้างครอบครัวก็ได้ ถือโอกาสโฆษณาหนังสือตัวเองไปในตัวเลย
คุยไปคุยมา สรุปแล้ววันนั้นผมก็ได้ไปนอนค้างบ้านวิชัย บ้านเขาใหญ่นะ เป็นดึกปูน ตอนแรกเขาจะให้ผมนอนห้องแอร์ แต่ผมบอกว่าผมแพ้แอร์ ก็เลยย้ายกันมานอนด้านล่าง กางมุ้งเอา คุยกันถึงเรื่องสมัยเรียนจนดึกนั่นแหละ เลยหลับกันได้
เช้าวันรุ่งขึ้น วิชัยก็พาผมดูโรงสีช่วงเช้า จากนั้นเราก็ไปพระปฐมเจดีย์กัน พอดีว่าลูกชายเขาจะกลับมหาวิทยาลัยพรุ่งนี้ ก็เลยมาเป็นคนขับรถให้ คนแก่สองคนเลยได้คุยกันเต็มที่ระหว่างนั่งรถ พอไหว้พระปฐมเจดีย์เสร็จแล้ว ก็แวะทานอาหารกันแถวนั้น แล้วไปเที่ยวพระราชวังสนามจันทร์กันต่อ
สรุปแล้วผมก็ค้างบ้านเพื่อนเก่าอีกหนึ่งคืน เพราะเขาบอกว่าลูกชายกลับกรุงเทพฯพรุ่งนี้ จะได้เลยไปส่งผมเลย ผมก็ไม่รีบไม่ร้อนอะไรอยู่แล้ว บอกเขาว่าผมติดรถไปก็ได้ไม่ต้องไปส่งหรอก เดี๋ยวเข้ากรุงเทพฯแล้วผมต่อรถกลับบ้านเอง เพื่อนผมก็ไม่ยอม จะให้ลูกชายมาส่งผมให้จงได้ ตลกดี คุยกันอย่างกับจะทะเลาะ แค่เรื่องให้ลูกมาส่ง สุดท้ายลูกชายเขาเลยมายุติปัญหา บอกว่าเดี๋ยวเขาจะขับรถไปส่งผม เพราะว่าจะแวะไปหาเพื่อนใกล้ๆ พอดี นั่นแหละเลยทำให้คนอายุสี่สิบกว่าสองคนเลิกเถียงกันได้
----------------------------------------------