บทที่47ป่วนรักในวังหลวง
เล่ม 2 ตอนที่22 (P.22วันที่ 20/11/58)
เช้าวันใหม่อากาศเย็นสบายหิมะโปรยปรายสวยงาม ในเวลานี้กลับทำให้องค์ชายเจ็ดแห่งลั่วหยางผู้ที่ชนะการศึกร่วมเป็นร่วมตายกับแม่ทัพห่านหลงมาเนิ่นนานและยังกำจัดกบฏได้อย่างเด็ดขาด ทว่าเวลานี้กลับพลาดพลั้งเสียรู้ให้จอมเจ้าเล่ห์อย่างหมอเทวดาที่ถูกขนานนามใหม่ว่าหมอเทวะมาร ครานั้นตนยังคิดว่าฉายากล่าวอ้างเกินจริง แต่ ณ เวลานี้กลับได้พบเจอด้วยตนเองเอาจนพูดไม่ออกบอกไม่ถูก รู้แต่ว่าน่าอับอายยิ่งนัก
“กระหม่อมสมควรตาย โปรดลงอาญากระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ลั่วหวังอู๋มองคนคุกเข่าก้มหัวจนติดพื้นไม่กล้าสบตาอย่างหงุดหงิดใจ เรื่องทั้งหมดตนเป็นผู้เริ่มจะโทษใครได้ ริมฝีปากเม้มเน้นอย่างเจ็บใจเรื่องที่ผ่านมาล้วนเพราะฤทธิ์ยาทั้งนั้น หากห่านหลงมีใจให้เขาบ้างคงไม่เจ็บปวดเช่นนี้
“เจ้าจะคุกเข่าจนตายหรือไง”
บอกด้วยความหงุดหงิด ทว่าคนที่คุกเข่าเพียงเหลือบตามามองเล็กน้อย ร่างโปร่งบางจึงพยายามลุกออกจากเตียงก่อนจะทรุดลงด้วยความเจ็บ ขาสั่นระริกจนทรงตัวไม่อยู่แต่ก่อนจะกระแทกลงพื้นจริงๆ ห่านหลงก็พุ่งเข้ามารับได้อย่างทันท่วงที ทั้งคู่เงยหน้าสบตากันแม้เพียงชั่วครู่แต่หัวใจกลับเต้นระรัว
“ขออภัยฝ่าบาท”
ห่านหลงกล่าวพร้อมตวัดอุ้มร่างโปร่งบางกลับนอนบนเตียงเหมือนเดิม ใบหน้าฝาดแดงระเรื่อทำให้น่ามองยิ่งนักแต่ฐานะรันดรที่ต่างกันทำให้มิอาจเอื้อม แต่ยามนี้ศีรษะเขาสมควรจะหลุดจากบ่าที่บังอาจไปล่วงเกินองค์ชาย อีกทั้งแปลกใจยิ่งนักเมื่อยามอยู่ใกล้องค์ชายส่วนที่อ่อนมาตลอดกลับลุกฮืออยากโรมรันกับร่างโปร่งบางครั้งแล้วครั้งเล่า
“ฝ่าบาท กระหม่อม” แม่ทัพยิ่งใหญ่ผ่านศึกมามากมายกลับไม่เคยอึกอักเช่นนี้มาก่อน ทว่ายามนี้กลับทำให้ความมั่นใจสูญหายไป ร่างโปร่งบางสั่นระริกด้วยความเจ็บยิ่งรู้สึกสงสาร
“ออกไปได้แล้วข้าอยากนอนพัก” ลั่วหวังอู๋บอกพร้อมหันหลังให้คนตีหน้ายุ่งลำบากใจด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ เรื่องนี้จะโทษใครได้นอกจากตัวเองที่รนหาเรื่องเอง ไม่น่าไปทำให้จิวชงหยวนหมายหัวไว้เลย
จิวชงหยวนนั่งห้อยขาอยู่บนต้นไม้กระติกเท้ามองภาพตรงริมหน้าอย่างสบายอารมณ์มุมปากยกยิ้มบางเบา ยาตัวเดียวช่วยได้ตั้งสองคนแม่ทัพก็หายจากโรคน่าอายที่ไก่ไม่ขัน และยังได้เมียที่หลงรักห่านหลงอีกต่างหาก แบบนี้เขาเรียกว่ายิงนกตัวเดียวได้มาตั้งสองตัว
เมื่อเห็นทุกอย่างเป็นไปตามที่คิดจึงพุ่งทะยานกลับตำหนักตัวเอง เพราะมีนัดหมายกับลูกศิษย์จะไปป่วน เอ่อ...ไปสอนการปรุงยาที่ห้องยาของวังหลวง
“เจ้าแอบไปทำอะไรมา” ทันทีที่ก้าวเข้าตำหนักเสียงทักทายอย่างรู้ทันของลู่เฟยดังขึ้น ร่างสูงในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มลายมังกรงดงามปักปิ่นหยกที่เคยซื้อให้ จิวชงหยวนยกยิ้มบางไม่ได้เดือดร้อนใจกับทักทายเพราะช่วงนี้จะทำอะไรมีแต่ลู่เฟยเท่านั้นที่จะรู้ทันเขาไปหมด ตอนแรกก็หงุดหงิดทว่านานเข้าก็เริ่มจะชินชา
“วันนี้เจ้าไปที่ไหน” จิวชยวนเอ่ยถามคนแต่งกายเต็มยศอย่างใคร่รู้ ลู่เฟยยกยิ้มบางก่อนจะตอบคำถามที่ทำให้คนฟังตาเป็นประกาย
“อ๋องจากแคว้นโหลวหลันมาแสดงความยินดีกับฮ่องเต้และได้ส่งบุตรีมาหมั้นหมาย”
“น่าสนุก ว่าแต่เจ้ามิมีใครอยากมาหมั้นหมายอีกหรือ” จิวชงหยวนเอ่ยถามเมื่อนึกไปถึงอดีตสองสาวงามที่เทียวมาทำคะแนนและใส่ความเขาอย่างหน้าด้านๆ
“เจ้าอนุญาตหรอกหรือ” คำถามและแววตาพราวระยับที่มองมาทำให้จิวชงหยวนคิ้วกระตุก ก่อนจะแสยะยิ้มแล้วตอบรับอย่างจริงจัง
“อนุญาตสิ แต่จากนั้นข้าจะหาเมียสักเจ็ดคน สามภรรยา สี่อนุ เจ้าว่าน่าสนใจไหม” คำตอบที่ได้รับทำให้ลู่เฟยหน้าตึงขึ้นก่อนจะบอกเสียงดุ
“หากเป็นเช่นนั้นข้าจะสังหารนางให้หมดและจับเจ้าไปขังไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน” จิวชงหยวนยกยิ้มบางแล้วพยักหน้ากับตัวเองก่อนพึมพำเบาๆ ว่าลู่เฟยคงอยากเล่นบทจำเลยรักนี่เอง แต่ขอโทษทีนะพอดีเขาไม่ได้อ่อนแอให้ใครมารังแกได้ง่ายๆ
“หืม นั่นขึ้นอยู่ที่เจ้าแล้วล่ะ เพราะเมื่อไหร่ที่เจ้ารับอนุเพิ่มข้าก็จะไปหาเพิ่มเหมือนกันยุติธรรมดีเจ้าว่าจริงไหม”
พรึบ!
พอกล่าวจบร่างสูงก็ตวัดร่างโปร่งบางเข้ามากอดก่อนจะยกยิ้มร้ายที่ทำให้จิวชงหยวนลุกลี้ลุกลน หันซ้ายขวามองหาตัวช่วย
“เห็นทีเจ้าคงว่างมากเลยมีเวลาคิดอะไรไร้สาระ เดี๋ยวข้าจะทำให้ไม่ว่างตลอดวันนี้” จิวชงหยวนอ้าปากค้างมองคนตวัดอุ้มตัวเองเข้าไปในห้องก่อนจะร้องออกมาเสียงหลง
“ม่ายยย ปล่อยข้า ข้ามีงานต้องทำ”
เสียงร้องโวยวายของคนงาม ทว่าประตูกลับถูกปิดสนิทปล่อยให้จุ้ยซิงที่อาจารย์นัดมามองตามตาปริบๆ ยกมือเกาศีรษะอย่างปลงๆ เห็นทีวันนี้คงไม่ได้ไปปรุงยา ก่อนจะเดินกลับไปห้องตัวเองเมื่อรู้ว่าไม่มีประโยชน์จะรอ
ส่วนเงาองค์รักษ์ที่ติดตามเงียบๆ ยกมือปิดปากกลั้นหัวเราะด้วยความขบขัน แกล้งคนอื่นมามาก กลับมาพ่ายแพ้ให้กับเจ้าเหนือหัวลั่วลู่เฟย เห็นทีงานนี้องค์ชายคงไม่ปล่อยให้คนงามไปป่วนที่ไหนได้อีกแน่ๆ
ข้าขอให้ท่านโชคดี...
“อ่ะ... เบาๆ หน่อย ข้าเจ็บ”
“อื้ม... อา ดีมาก...”
จิวชงหยวนมองคนที่นอนหลับตาร้องครางชวนให้เข้าใจผิดอย่างหงุดหงิด คิดว่าจะไม่รอดเสียแล้วแต่วิชาปลิ้นปล้อน เอ้ย วิชาประจบทำให้รอดพ้นเงื้อมมือมารมาได้อย่างหวุดหวิด และตอนนี้เขาเลยมาเป็นหมอนวดชั่วคราวให้เจ้าตัว ซึ่งหลับตาพริ้มเหมือนพึงพอใจจนอดกดน้ำหนักลงแรงๆ อย่างตั้งใจไม่ได้ ลู่เฟยปรือขึ้นมามองแล้วยกยิ้มร้าย
“หากเจ้ายังนวดไม่ดีเห็นทีข้าจะต้องทำอย่างอื่นแทนแล้ว”
“นวดแล้ว นวดแล้ว นี่ข้านวดแบบแผนไทยเลยนะ หนึ่งชั่วยามหลังจากนี้เจ้าต้องให้ข้าไปปรุงยาด้วย” จิวชงหยวนกล่าวอย่างต่อรอง ใบหน้างดงามนิ่วน้อยๆ อย่างอดกลั้นอารมณ์ คนนอนให้นวดเพียงแค่เลิกคิ้วกับคำพูดแปลกๆ ของร่างโปร่งบาง แต่เมื่อรู้ว่าคนที่ลงมือนวดหลังให้อยู่นี้ไม่ได้มาจากภพภูมินี้จึงไม่ได้ใส่ใจมากนัก
“วันนี้ทำบัวลอยไข่หวานให้กินอีกหน่อยสิ เมื่อวานหมดเร็วเกินข้ายังไม่รู้รสเลย” จิวชงหยวนมองคนอ้อนแล้วกรอกตาอย่างเซ็งๆ ไม่รู้รสบ้านบิดาเจ้าสิ กินไปตั้งหม้อบอกว่ายังไม่รู้รส
“ของดีมีครั้งเดียว ไว้ข้าทำพายสตอเบอรี่ให้กิน” จิวชงหยวนกล่าวตอบพร้อมนวดต้นคอไปด้วย น้ำหนักมือที่ลงทำให้รู้สึกไม่หนักเกินและไม่เบาเกินเป็นการนวดเพื่อผ่อนคลายเท่านั้น
“อร่อยไหม” ลู่เฟยเอ่ยถามหลับตาพริ้มอย่างสบายๆ
“หืม มีสิ่งใดที่ข้าทำแล้วไม่อร่อยบ้างหรือ”
“มีสิเจ้าจำไม่ได้หรือ” คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนนิ่วหน้าพยายามนึกถึงสิ่งที่เขาทำให้ลู่เฟยกินและบอกว่าไม่อร่อย
“เจ้าหมายถึงมันเผานะหรือ” เอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ ขณะนวดอยู่นั้นกลับนึกบางอย่างออก เห็นทีเขาต้องผลิตยาหม่อง น้ำมันนวดขึ้นมาแล้ว และยังมียานั่นอีกเพราะทำทีไรเจ็บแสบทุกครั้งคงต้องสร้างเจลหล่อลื่นขึ้นมาเพิ่ม ก่อนจะหันไปมองหน้าคนที่ตอบกลับมา
“นั่นแหละ”
“มันเผารสชาติอย่างนั้นอยู่แล้วข้าไม่ทำอะไรเลยแค่โยนใส่ไฟเท่านั้น และที่เจ้ากินก็เป็นส่วนแมลงกินเลยทำให้ขมต่างหาก”
จิวชงหยวนเถียงกลับ ก่อนจะยกยิ้มบางเมื่อนึกได้ตอนที่เผามันแต่เจอแมลงกัดกินเลยทำให้ขมไปบ้างแต่รสชาติของหัวอื่นๆ ก็ปกติ สงสัยจะไม่ชอบจริงๆ เห็นทีคงลองทำต้มมันหรือมันฝรั่งทอดกรอบให้ลองทานบ้างจะได้ไม่เข็ดเช่นนี้อีก
ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม จิวชงหยวนจึงได้มาเดินทอดน่องอยู่สวนตำหนักระหว่างไปโรงยาของวังหลวง เพราะลู่เฟยต้องไปรับแขกต่างเมืองอีกทั้งจัดการปัญหาช่วยรัชทายาทให้เสร็จสิ้นก่อนจะร่วมเดินทางไปกับเขาอีกครั้ง คราแรกจะสละตำแหน่งยศฐาบรรดาศักดิ์แต่ลั่วเหยียนเจิ้งไม่เห็นด้วยและไม่อนุญาต เพียงแต่ให้เดินทางไปกับเขาได้ ทว่าเมื่อใดที่มีภัยมาถึงบ้านเมืองต้องกลับมา
“อาจารย์ทำไมมาเร็วขอรับ ข้าคิดว่าท่านจะมาพรุ่งนี้เสียอีก” จุ้ยซิงที่ไม่มีอะไรทำจึงได้ใช้ป้ายคนสนิทของพระชายาตี้ฝู้จินมาลองผสมยาตามที่อาจารย์สอนเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
จิวชงหยวนยืนมือไพล่หลังเดินเข้ามาหาจุ้ยซิงช้าๆ พร้อมนิ่วหน้าน้อยๆ เอียงคอมองคนถามอย่างฉงนก่อนจะเอ่ยถามเสียงเรียบ
“เหตุใดว่าข้ามาเร็วทั้งๆ ที่ข้านัดเจ้าแต่เช้านี่จนตะวันตั้งอยู่กลางหัวแล้ว”
“เอ่อ...คือ...” จุ้ยซิงหน้าแดงระเรื่อ อึกอักไปมาไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดออกมา
ทว่าเพียงแค่นั้นก็ทำให้จิวชงหยวนเข้าใจแล้วว่าเจ้าตัวคงไปเห็นเขาโดนลู่เฟยอุ้มเข้าไปในห้อง แต่เมื่อเห็นกิริยาเช่นนี้กลับรู้สึกเบาใจเพราะเจ้าตัวอาการเริ่มดีขึ้นมากแล้วเพียงแต่ไม่ควรปล่อยให้ว่างเกินไปเท่านั้นเอง
“เอาเถิด ข้ามีหลายอย่างจะสอนเจ้า เราต้องสร้างยาหลายขนานก่อนออกเดินทาง”
จิวชงหยวนตัดบทก่อนจะเดินนำไปยังห้องยาส่วนต่างๆ หมอหลวงที่เห็นพระชายาตี้ฝู้จิ้นต่างสะดุ้งหวาดกลัวไปตามกัน ไม่ใช่กลัวจะโดนสังหารแต่กลัวว่าสมุนไพรจะหมดไปเพราะระเบิดตูมตามอีกครั้ง
จิวชงหยวนมองตามอย่างนึกขำกับการสร้างวีรกรรมไว้ครั้งที่ผ่านมาของตัวเองคงติดตาตรึงใจจนพากันสะดุ้งหวาดระแวงไปตามๆ กันเช่นนี้
ครั้งนี้เขาไม่ได้แกล้งทำยาเสียแต่เก็บทุกรายละเอียดการทำยาเพื่อผลประโยชน์ในภายภาคหน้า อีกทั้งไม่มีเวลามาเล่นอย่างคนว่างงานเหมือนคราที่ผ่านมา ที่สำคัญยังมีลูกศิษย์ที่คอยทำตามอยู่เพราะฉะนั้นจะเป็นตัวอย่างไม่ดีเดี๋ยวเด็กน่ารักๆ อย่างจุ้ยซิงจะนิสัยเสีย อะแฮ้ม จะติดนิสัยเขาไป
จิวชงหยวนใช้เวลาในการปรุงยาอยู่สามวันก็ถูกฮ่องเต้เชิญไปเข้าเฝ้า และคาดการไม่ผิดคงอยากกินอาหารฝีมือเขาเสียมากกว่า และเมื่อมาถึงเรื่องก็ไม่ได้เกินจากที่คิด จากมังกรผู้องอาจทำตัวเป็นหมาน้อยขอข้าวจากเจ้าของจนทำให้เขาพูดไม่ออก ไม่คิดว่าจะมีคนเห็นแก่กินจนนิสัยเปลี่ยนขนาดนี้ และที่สำคัญเขาเพิ่งรู้ว่าฮ่องเต้จอมเจ้าเล่ห์ชื่นชอบขนมหวานมากว่าข้าวปลาเสียอีก
“กินของหวานมากไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ เดี๋ยวจะเป็นโรคเบาหวาน” จิวชงหยวนเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี มุมปากยกยิ้มอย่างขำขัน
“มันคือสิ่งใด กินได้หรือไม่” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามอย่างฉงนเกิดมาจนอายุยี่สิบหกปียังไม่รู้จักโรคดั่งกล่าวเลย มิหนำซ้ำชื่อน่ากินด้วย จิวชงหยวนกรอกตาไปมามองคนบ้าของหวานอย่างเอือมๆ
“กินได้ที่ไหน ช่างเถอะ กระหม่อมยังยุ่งอยู่กับการทำยาไม่มีเวลามาทำขนมให้ฝ่าบาทหรอกพ่ะย่ะค่ะ” จิวชงหยวนกล่าวตัดบทที่ทำให้คนฟังหน้ามุ่ย
“หากเช่นนั้นข้าก็ไม่ให้เจ้าเอายาที่ปรุงสำเร็จออกนอกวังหลวง”
ดวงตาจริงจังจ้องมองมาเหมือนจะบอกว่าเอาจริง ทำให้จิวชงหยวนหรี่ตามองคนไร้เหตุผลแล้วส่ายหน้าอย่างปลงๆ สรุปเขากำลังโดนข่มขู่เช่นนั้นหรือ เดี๋ยวใส่ปรอทเสียให้เข็ดเลยนี่ แต่เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายได้แต่ถอนหายใจอย่างระอา
“กระหม่อมจะทำให้ฝ่าบาทเสวยอีกครั้งแต่กระหม่อมจะไม่บอกสูตรที่ทำกับผู้ใด หากอยากได้ไปยืนจำเองพ่ะย่ะค่ะ” จิวชงหยวนบอกพร้อมยักคิ้วให้คนไม่เคยเข้าครัว แต่กลับต้องแปลกใจเมื่อลั่วเหยียนเจิ้งพยักหน้ารับอย่างจริงจังยิ่งกว่างานราชการเสียอีก
และแล้ว ณ ห้องเครื่องในเวลานี้กลับวุ่นวายไปหมด จิวชงหยวนมองลูกมือที่ช่วยปั้นแป้งบัวลอยแล้วอยากยกเท้าก่ายหน้าผากแทนมือ ลูกกลมๆ ที่ควรจะเป็นบิดเบี้ยวไปมาเล็กบ้างใหญ่บ้างหากลงหม้อต้มจริงๆ คงติดคอตาย ที่สำคัญใบหน้าหล่อเหลามีแป้งติดเต็มหน้าไปหมดเสื้อผ้าขาววอกไปตามกัน เห็นแล้วรู้สึกไมเกรนขึ้นเสียดื้อๆ
“พอๆ กระหม่อมทำเอง ฝ่าบาทไปยืนดูอยู่ตรงนั้น”
จิวชงหยวนบอกอย่างหงุดหงิด ดวงตาเรียวตวัดมองมาอย่างไม่พอใจทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งยอมถอยออกไปง่ายๆ ดวงตาคมมองการทำบัวลอยไข่หวานที่แสนยากเย็นด้วยความสนใจ แต่รู้สึกว่าเขาจะไม่มีพรสวรรค์ในด้านนี้ถึงทำได้เละเทะไปหมด
เพียงสองมือเรียวนั้นจับนู่นนี่เพียงครู่ทุกอยางกลับออกมางดงามมิหนำซ้ำไม่มีแป้งมาติดตามตัวเหมือนตนอีก เจ้าเล่ห์เพอุบายมาก็เยอะแต่กลับมาเสียรู้คนตัวเล็กด้วยฝีมือเสน่ห์ปลายจวัก เห็นทีครานี้จะคัดฮ่องเฮาคงต้องทำบัวลอยไข่หวานเป็นก่อนกระมั้ง
จิวชงหยวนใช้เวลาครึ่งชั่วยามกับการทำบัวลอยไข่หวานและทำพายสตอเบอรี่เป็นของแถมเพิ่มอีกหนึ่งอย่างด้วย ครั้งนี้เขาได้ทำเผื่อลู่เฟยและองค์ชายเจ็ดที่งอนเขาไม่เลิกตั้งแต่สามวันก่อน เนื่องจากเจ้าตัวไข้ขึ้นจนเขาต้องไปดูแลให้ยาแก้อักเสบไว้ โดยตลอดสามวันแม่ทัพห่านหลงก็คอยแวะเวียนไปเยี่ยมตลอดไม่รู้ป่านนี้คืนดีกันหรือยัง
“พระชายาเสด็จ...” เสียงขันทีรายงานองค์ชายเจ็ดดังขึ้นหน้าประตู แต่คำเรียกขานฟังทีไรก็ระคายหูจนน่าหงุดหงิด ให้เรียกแค่หมอจิวมันยากเย็นมากหรืออย่างไร
“ข้าไม่อยากพบ” คำตอบจากคนข้างในทำให้จิวชงหยวนรู้ว่ายังไม่หายงอน แต่สกิลความหน้าด้านของเขามันมากพอจะก้าวเข้าไปโดยที่ทหารไม่กล้าขัดขวาง
“มีอะไรอีกข้าหายป่วยแล้ว” ลั่วหวังอู๋บอกเสียงเรียบดวงตายังเหม่อมองหิมะโปรยปรายด้านนอกอย่างเศร้าๆ จากคนร่าเริงกลับทำตัวห่อเหี่ยวเช่นนี้แล้วรู้สึกผิดนิดหน่อย
“ข้าทำขนมมาให้” จิวชงหยวนบอกพร้อมวางขนมไว้บนโต๊ะแต่ลั่วหวังอู๋กลับเมินหน้าหนีอย่างไม่สนใจ จิวชงหยวนเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามกอดออกมองคนทุกข์ใจเรื่องรักแล้วถอดถอนใจ
“ข้ากับองค์ชายห้ามิมีสิ่งใดเทียบเคียงกันได้ ฐานะรันดรข้าเป็นเพียงมนุษย์เดินดินธรรมดาผู้หนึ่งหาใช่เทพเซียน ยศฐาบรรดาศักดิ์ก็หามีไม่ แต่ลู่เฟยไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ เขารักที่ตัวข้ามิใช่สิ่งอื่น รักก็คือรัก ไม่รักก็คือไม่รัก ไยจะต้องมาคิดเรื่องอื่นให้ปวดหัวเพิ่ม” จิวชงหยวนบอกด้วยเสียงราบเรียบ แววตามองอีกฝ่ายนิ่งๆ ลั่วหวังอู๋หันมามองด้วยความสนใจ
นั่นสิ ทำไมเขาไม่คิดถึงสิ่งนี้มาก่อน จิวชงหยวนเป็นเพียงหมอเทวดาที่มีชื่อเสียงทั้งยุทธภพแต่มิได้มียศศักดิ์หรือมีสายเลือดของกษัตริย์ไม่ แต่ทั้งคู่กลับรักกันและฝ่าฟันอุปสรรค อีกทั้งร่วมเป็นร่วมตายกันมานาน แต่สิ่งนี้ตนมิได้มาใส่ใจเพียงแต่คนที่คิดมากกับเรื่องนี้คือห่านหลงแม่ทัพผู้ทรนงตนและรู้จักที่ต่ำที่สูงจนน่าหงุดหงิด
“หากแม่ทัพห่านหลงคิดได้เช่นท่านข้าคงไม่มานั่งทุกข์ใจเช่นนี้หรอก” จิวชงหยวนยกยิ้มบางกับคำกล่าวก่อนจะตอบกลับด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“เจ้าลองมีคนอื่นดูสิ แม่ทัพห่านหลงคงเดือดเป็นไฟ” ลั่วหวังอู๋มองตามอย่างสนใจ ก่อนจะยกยิ้มบางเมื่อเข้าใจความหมายที่สื่อมา งานนี้เขาไม่ยอมขาดทุนแน่ๆ
“เจ้านี่นะ ถึงว่าท่านพี่ถึงไปไหนไม่รอด” ลั่วหวังอู๋บอกอย่างอ่อนใจเมื่อสุดท้ายก็ต้องยอมใจอ่อนให้คนมากเล่ห์ แต่เขาก็ไม่กล้างอนนานหรอกเดี๋ยวเจอการกลั้นแกล้งมากกว่านี้ ก่อนจะขมวดคิ้วมองกระบุกสีขาวบางอย่างวางมาให้
“เจลหล่อลื่นข้าเพิ่งปรุงเสร็จจะช่วยให้ไม่เจ็บมาก อ่ะ นี่ของจริงไม่ได้แกล้ง ข้าตั้งใจทำให้ตัวเองแต่เป็นการไถ่โทษจากข้ารอบหน้าจะได้ไม่เจ็บตัวอีก” ใบหน้างดงามกล่าวอธิบายเสียงเรียบทว่าคนฟังกลับหน้าแดงระเรื่ออย่างเก้อเขินกับคนหน้าด้าน
“เจ้ามันหน้าด้าน ข้าไม่คุยกับเจ้าแล้ว ไหนขนมของเจ้า” ลั่วหวังอู๋หันไปคว้าตระกร้าขนมมาดูอย่างเปลี่ยนเรื่อง จิวชงหยวนหัวเราะในลำคออย่างรู้ทัน นี่เขาใจดีสุดๆ แล้วนะยังมาว่าเขาหน้าด้านอีก
หรือว่าจะด้านจริงๆ แต่ก็ช่วยไม่ได้เวลาหลอมรวมให้เขาเป็นคนเช่นนี้เอง...
จิวชงหยวนกลับตำหนักหลังจากวันนี้หมดไปกับการทำขนมให้ฮ่องเต้เสวย ส่วนของลู่เฟยเขาได้เก็บไว้ให้เพราะเจ้าตัวไม่อยู่เห็นบอกว่าไปจัดการราชการที่นอกวังหลวง กลับมาก็มืดค่ำทุกค่ำคืนโดยไม่ได้มีเวลามากอดรัดเขาอีกซึ่งเป็นที่น่าพอใจไม่น้อย แต่ก็อดสงสารไม่ได้เพราะเจ้าตัวเร่งทำงานทุกอย่างให้เสร็จเรียบร้อยก่อนจะร่วมเดินทางไปกับเขาอย่างจริงจัง
จะมีสักกี่คนที่ทุ้มเทเพื่อความรักมากมายขนาดนี้ ยอมสละตำแหน่ง ละทิ้งความสบายในวังหลวงเดินทางร่วมทุกข์ร่วมสุข ค่ำไหนนอนนั่นไปกับเขา มือจับขลุ่ยหยกที่เขาไม่รู้ว่ามีกลไกอะไรเปลี่ยนเป็นกระบี่ได้ แต่เรื่องนั้นเขาไม่ได้ใส่ใจนักเพราะอย่างไรก็มีกระบี่โชคชะตาอยู่แล้ว
ขลุ่ยหยกแตะริมฝีปากก่อนจะเริ่มบรรเลงเพลงเดือนเพ็ญจากโลกที่จากมาอย่างแผ่วเบาทว่าความหวานละมุนนั้นดังสะท้อนออกไปไกลทำให้ตรึงใจคนฟัง ความหมายลึกซึ้งที่เอ่ยออกมาบ่งบอกอารมณ์ผู้บรรเลงได้เป็นอย่างดี
ลู่เฟยกลับมาจากงานหยุดมองร่างโปร่งบางที่ยืนบรรเลงเพลงขลุ่ยอยู่ริมหน้าต่างด้วยสายตายากจะอ่านออก ก่อนจะเดินเข้าไปกอดร่างโปร่งบางแนบกายแล้วกระซิบแผ่วเบา
“ข้ารักเจ้า และมีแต่เจ้าตลอดไป ที่นี่คือบ้านของเจ้าและข้า แม้จะวายชีวีข้าจะไม่ปล่อยเจ้ากลับไป” จิวชงหยวนหยุดชะงัก เงยหน้ามองดวงตาคมที่จริงจังทำให้ยกยิ้มบาง
“ข้ารู้ ข้าอยู่ผิดที่มาตั้งแต่แรก จะอยู่ที่ไหนก็ได้แค่มีเพียงเจ้า” คำตอบที่ได้รับทำให้ลู่เฟยตื้นตันใจรั้งร่างโปร่งบางมากอดแนบอกที่สั่นระรัว ใบหน้าคมคายยกยิ้มบางอย่างดีใจ จิวชงหยวนไม่ใช่คนพูดอะไรหวานๆ หากเจ้าตัวไม่รู้สึกจริงคงไม่กล่าวสิ่งใดออกมา
“เหม็นเหงื่อไปอาบน้ำได้แล้ว” คำพูดที่ขัดบรรยากาศหวานๆ พร้อมมือผลักไสออกห่างทำให้ลู่เฟยนิ่วหน้า จะหวานนานกว่านี้ไม่ได้หรืออย่างไร จิวชงหยวนเมื่อก่อนเป็นเช่นไรก็ยังคงเป็นอย่างนั้น ดวงตาเรียวที่มองมาทำให้ยอมปล่อยเอวอย่างอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
“อาบให้หน่อยสิ” จิวชงหยวนตวัดตามองคนเจ้าเล่ห์อย่างรู้ทัน
“อาบเองสิหรือจะให้ข้าเรียกนางกำนัลให้”
“ข้าอาบเองได้” ผู้ไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายกับตัวเองตอบรับ ก่อนจะหมุนกายจากไป จิวชงหยวนมองตามแล้วยกยิ้มบางแต่เมื่อเห็นแก่ที่โหมงานหนักมาทั้งวันจะช่วยวันหนึ่งก็แล้วกัน แต่หลังจากนั้นก็เป็นเรื่องตามครรลองของมันแล้วกัน...
ทางด้านตำหนักเหลยหวังที่เป็นที่พักขององค์ชายเจ็ด ทว่ายามนี้กลับนั่งหัวเราะคิกกับองค์รักษ์คนสนิททำให้คนแอบมองรู้สึกหงุดหงิดใจ อีกทั้งแนบชิดใบหน้ากระซิบพูดคุยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มยิ่งทำให้กำมือแน่นด้วยความหึงหวง แม้จะบอกกับตัวเองว่าไม่คู่ควร แต่หัวใจกลับไม่ยินยอมที่จะรับฟัง โรคที่มิอาจบอกใครได้กลับหายไปเมื่ออยู่ใกล้ร่างโปร่งขององค์ชายลั่วหวังอู๋
“เจ้าจะแอบมองอยู่แบบนั้นอีกนานไหม” เสียงทักทายทำให้คนที่แอบมองอยู่สะดุ้งเล็กน้อยแต่เมื่อหันไปมองคนที่เข้ามาโดยไม่อาจรับรู้ได้ก็มิได้แปลกใจอะไร
“ถวายพระพรฝ่าบาท ขอ...” ลั่วเหยียนเจิ้งยกมือห้าม
“ไม่ต้องมากพิธี ว่าแต่เจ้าไม่เข้าไปหรือไง”
“เอ่อ...คือกระหม่อมมาตรวจเวรยามกำลังจะไปที่อื่นพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงหนักแน่นที่ตอบกลับมาทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งมองตามแล้วส่ายหน้า เขารับรู้เรื่องนี้มาจากจิวชงหยวนเพราะเจ้าตัวเข้ามาถามว่าคิดเห็นเช่นไรหากได้น้องเขยแทนน้องสะใภ้
“แม้แต่ข้าเจ้ายังกล้าโป้ปด ต่อไปภายภาคหน้าข้าจะเชื่อใจเจ้าได้อีกหรือ”
“กระหม่อมมิกล้า ฝ่าบาทอย่าได้ทรงกริ้ว”
“เจ้าคิดเช่นไรกับน้องข้าแม่ทัพห่านหลง” น้ำเสียงจริงจังและคำถามที่ไม่คาดคิดมาก่อนทำให้แม่ทัพคุกเขาก้มหน้าชิดพื้นหญ้าอย่างขอความเมตตา
“ฝ่าบาทโปรดลงอาญากระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะที่หมายจะเด็ดบุบผางามที่สูงส่ง” ลั่วเหยียนเจิ้งมองแม่ทัพบูรพาที่ซื่อสัตย์ตรงหน้าอย่างพิจารณา
“ดี! เป็นลูกผู้ชายต้องยอมรับความจริง แต่ความผิดของเจ้าคือทำให้น้องข้าเสียใจโทษหนักหนาสาหัสนักเจ้ายิมยอมรับโทษหรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงตอบรับกลับมาอย่างจริงจังลั่วเหยียนเจิ้งยกยิ้มพึงพอใจ ก่อนจะออกคำสั่งลงโทษที่ทำให้คนฟังตะลึงงันเงยหน้ามองพระพักตร์อย่างไม่แน่ใจ
“โทษของเจ้า แต่งงานกับน้องเจ็ดซะ และข้าไม่อนุญาตให้เจ้ามีสามภรรยาสี่อนุ เจ้าจะยอมรับโทษทันณ์ครั้งนี้หรือไม่”
“ฝ่าบาทกระหม่อมไม่เข้าใจ” แม่ทัพผู้ผ่านศึกมามากถึงกลับไปไม่เป็น เงยหน้ามองพระพักตร์เอ่ยถามอย่างสับสนว่าตนฟังผิดหรือไม่
“ยังไม่ขอบพระทัยฝ่าบาทอีก” หยางซือหมิงองค์รักษ์ส่วนพระองค์กล่าวบอกอย่างไม่พึงพอใจ แม่ทัพห่านหลงหันไปมองผู้ปรากฏตัวมาใหม่ก่อนจะก้มหน้าขอบพระทัยฮ่องเต้ แม้ในใจยังคิดว่าตนเองต้อยต่ำแต่หากเป็นคำสั่งของห้องเต้แล้วไซร้ ไฉนเลยจะกล้าปฏิเสธ
“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่เมตตา” แม้จะตอบรับแต่ก็สัมผัสได้ถึงความลำบากใจ ลั่วเหยียนเจิ้งถอนหายใจแล้วบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“หากรักแล้วจะกังวลสิ่งใด ข้าประทานอภิเษกสมรสให้มิใช่ไม่รู้ว่าพวกเจ้าคิดเช่นไรต่อกัน ข้ามิอาจใจร้ายกับความรักบริสุทธิ์ได้หรอก จากนี้ก็ขึ้นอยู่ที่เจ้าจะตามง้อน้องเจ็ดได้อย่างไร หวังว่าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง” กล่าวจบก่อนจะหมุนกายจากไป ปล่อยให้แม่ทัพห่านหลงก้มหน้าส่งท้ายด้วยความซาบซึ้งในน้ำพระทัย
“น้อมส่งเสด็จพ่ะย่ะค่ะ”
ขอบคุณทุกคอมเมนท์มากนะคะ ขอให้มีความสุขกับการอ่านจ้า จุ๊บๆ