บทที่ 13
หลังจากหิ้วเกี๊ยวซ่าเจ้าอร่อยไปฝากกวีเมื่อคืนก่อน วายุรู้สึกว่าคนน่ารักทำตัวแปลกไป
ตอนแรกที่เขาไปส่งของให้ในวันรุ่งขึ้น ชายหนุ่มก็ไม่ทันได้สังเกต เพราะเขาส่งของเสร็จก็ไม่ได้อยู่ทานข้าวเที่ยงด้วยเหมือนทุกที ด้วยกวีต้องรีบจัดการกับต้นฉบับรายสัปดาห์ที่ใกล้ถึงเดตไลน์เข้ามาทุกขณะ วายุจึงขอตัวกลับ ไม่อยู่กวนใจน้อง
ทว่าเมื่อกลับมาแล้ว จนกระทั่งผ่านมาสองวัน เขาก็ยังไม่ค่อยได้คุยกับกวีมากนัก คล้ายอีกฝ่ายยุ่งจนไม่มีเวลาตอบข้อความ ทั้งๆ ที่ต้นฉบับรายสัปดาห์ถูกปล่อยลงทางเว็บไซด์เรียบร้อย
ปรกติหลังจากลงต้นฉบับแล้ว กวีจะว่างและอยู่ได้สบายๆ สองสามวัน ก่อนกลับไปยุ่งอีกครั้ง แต่นี่น้องยังตอบข้อความน้อยเหมือนเก่า วายุจึงสังหรณ์ใจว่ากำลังมีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้น
หรือเรารุกไล่กวีมากเกินไปจนเขารำคาญกัน…วายุได้แค่คิดสงสัย แต่ไม่อาจล่วงรู้คำตอบได้เลย และยิ่งไม่รู้คำตอบ เขาก็ยิ่งร้อนใจมากขึ้น
ขออย่าให้วีนึกรำคาญพี่ขึ้นมาเลยนะ
เจ้าของร้านพี่รถกับข้าวได้แต่ภาวนาเช่นนั้น เพราะเขาคงไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน หากอีกฝ่ายเบื่อหน่ายหรือรำคาญที่เขารุกเข้าหาเช่นนี้
ด้วยวายุรู้ว่าตัวเองถลำลึกไปกับรอยยิ้มของกวีเกินครึ่งใจแล้ว
ระหว่างที่วายุกำลังเหม่อลอยเพราะกังวลเรื่องของกวีอยู่นั้น เจ้าแซม พนักงานคนสนิทในร้านก็เดินเข้ามาหาพร้อมกับสินค้าตัวหนึ่งที่บาร์โค๊ดมีปัญหา
แต่ไม่ว่าจะเรียกอย่างไร เจ้าของร้านคนดีก็ไม่ยอมตอบรับสักคำ
“พี่ลม”
“...”
“พี่ลม”
“...”
“พี่ลม! ได้ยินไหมครับ ฮัลโหลว! ~~”
ครั้นเรียกหลายครั้งแต่วายุกลับไม่รู้สึกตัว แซมจึงตะโกนเสียงดังพร้อมกับโบกมือไปมาผ่านใบหน้าหล่อเหลา ตอนนั้นเองวายุจึงหลุดจากภวังค์
“แซม? !”
“ก็ใช่น่ะสิครับ นี่แซมเอง”
“มีอะไรหรือเปล่า”
“มีครับ” แซมพยักหน้า ก่อนจะยื่นสินค้าที่มีปัญหาให้ “พอดีบาร์โค๊ตน้ำพริกชุดนี้ซ้ำกับอีกของเจ้าหนึ่ง ผมว่าพนักงานสต็อกเมื่อวานน่าจะติดผิด ก็เลยเอามาให้พี่ดูว่าติดผิดจริงๆ หรือจะยกเลิกน้ำพริกกระปุกฟ้าแล้วใช้บาร์โค๊ดอันนี้แทนกันแน่”
“อ้อ...ไหนมาให้พี่ดูหน่อย” วายุปัดเรื่องวุ่นวายใจออกมาจากสมอง ก่อนรับสินค้าที่มีปัญหามาตรวจสอบ
“ผิดใช่ไหมครับ”
“อืม ติดผิดจริงๆ ยังไงพี่ฝากแซมจัดการเปลี่ยนให้ทีนะ ขึ้นไปเบิกบาร์โค๊ตที่ห้องพัสดุด้านบนได้เลย บอกดนัยก็ได้ว่าทำบาร์โค๊ดใหม่ให้หน่อย”
“โอเคครับพี่” แซมตอบรับแข็งขัน จากนั้นจึงรับสินค้ามาถือไว้เอง
ทว่าก่อนพนักงานหนุ่มจะเดินไปจัดการงานที่ได้รับมอบหมาย เขาก็ชะงักฝีเท้าแล้วหันกลับมาเรียกเจ้านายด้วยความเป็นห่วง
“พี่ลมครับ”
“หืม? มีอะไรเหรอ”
“เอ่อ...อย่าหาว่าผมละลาบละล้วงเลยนะครับ”
ครั้นเห็นแซมทำท่ากระอักกระอ่วน วายุจึงยิ้มให้บางๆ และอนุญาตให้ถามได้
“อืม ไม่ว่าหรอก มีอะไรก็พูดมาเถอะ”
“คือผมเห็นพี่นั่งเหม่ออยู่ที่เคาน์เตอร์นั้นนานแล้วก็เลยเป็นห่วง ถ้าพี่มีอะไรไม่สบายใจก็ระบายให้ผมฟังได้นะครับ” สีหน้าของพนักงานหนุ่มจริงจังเสียจนวายุนึกเอ็นดู
“ขอบใจมากนะแซม แต่กับเรื่องนี้พี่ไม่รู้จะเล่ายังไงเลย” เขาอายุมากกว่าแซมตั้งหลายปี ถ้าจะให้มานั่งปรึกษาเรื่องปัญหาหัวใจ วายุก็ไม่รู้จะเริ่มต้นพูดอย่างไร
“หรือว่าเรื่องผลประกอบการไม่ดีครับ เอ...ถึงช่วงนี้คนจะเข้าหน้าร้านน้อย แต่ยอดออนไลน์เพิ่มขึ้นมาไม่ใช่หรือครับ ผมว่าพี่อย่าคิดมากเลยนะ เดี๋ยวเศรษฐกิจก็คงดีขึ้น”
เพราะแซมเห็นเมื่ออาทิตย์ก่อนเจ้านายของตัวเองถูกเรียกตัวกลับไปเคลียร์ปัญหาเรื่องสินค้านำเข้าที่ติดอยู่หน้าด่านเชียงราย เขาเกรงว่าวายุจะถูกพ่อกับแม่เรียกไปว่าเรื่องผลประกอบการที่ไม่ได้ดีมากนัก หรือไม่ทางนั้นอาจอยากให้วายุกลับไปช่วยงานที่บ้านมากกว่า จึงเป็นเหตุให้วายุมานั่งทำหน้านิ่วคิ้วขมวดและซึมกะทืออยู่แบบนี้
“ไม่ใช่เรื่องทางร้านหรอกแซม เพราะยอดขายเราโอเคขึ้นพี่ไม่ได้คิดมากอะไร แต่ที่คิดนี่เป็นเรื่องส่วนตัวมากๆ ของพี่น่ะ ถึงเล่าไปก็ไม่รู้จะช่วยกันได้ยังไง ต้องเป็นพี่ที่คิดแก้ปัญหาเองมากกว่า” วายุไขข้อข้องใจให้พนักงานคนสนิทได้รู้ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“อ้อ...งั้นหรือครับ ผมก็คิดว่าเรื่องที่บ้านพี่เสียอีก”
“ไม่หรอก ป๊ากับม๊าพี่โอเคกับกิจการร้านพี่รถกับข้าวแล้ว ไม่งั้นเขาคงไม่ส่งคนมาช่วย”
“นั่นสินะครับ” เมื่อนึกนึกผู้จัดการร้านคนใหม่ที่วุ่นวายศึกษางานอยู่บนออฟฟิศชั้นสอง แซมก็พอเข้าใจ
“แต่ก็ขอบใจมากนะที่เป็นห่วง”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เห็นเจ้านายผมนั่งเหม่อลอย ผมกลัวลูกค้าจะไม่กล้าเข้าร้าน”
“หึๆ จะยังไงก็เถอะ ขอบใจนายมาก” วายุยิ้ม ก่อนจะสั่ง “ไปๆ ไปจัดการเรื่องบาร์โค๊ดได้แล้ว อีกเดี๋ยวจะได้ลงมาช่วยพี่เฝ้าหน้าร้าน”
“อ้าว...พี่ลมจะไปไหนครับ”
“ไม่ได้ไปไหนหรอก แต่เดี๋ยวเฮียดินจะเข้าร้าน พี่อยากให้เราลงมาช่วยดูลูกค้าแทนน่ะ”
ดิน หรือ พสุธา คือพี่ชายคนโตของกวีที่เป็นหนึ่งในหุ้นส่วนของร้านพี่รถกับข้าว ตามปรกติพสุธาจะคอยช่วยพ่อและแม่ดูแลกิจการอาหารทะเลส่งออกที่บริษัทของครอบครัว แต่หลังจากวายุแยกมาเปิดธุรกิจของตัวเอง โดยมีพ่อและพี่ชายเป็นหุ้นส่วน พสุธาก็มักจะเดินทางมาช่วยน้องชายตรวจดูกิจการทุกเดือน เผื่อว่าน้องชายมีปัญหาอะไร เขาที่มีประสบการณ์มากกว่าก็จะเข้าช่วยเหลือได้ทันท่วงที
“อ้อ...คุณดินจะมาหรือครับ ได้ครับๆ เดี๋ยวผมรีบจัดการบาร์โค๊ดให้เสร็จแล้วจะลงมาดูร้านให้” แซมรับคำและรีบขึ้นไปแก้ไขบาร์โค๊ดที่ติดผิด เพราะรู้ว่าคุณดิน พี่ชายของเจ้านายตัวเองเป็นคนค่อนข้างเฮี้ยบ
“ขอบใจมาก”
เมื่อแซมขึ้นไปจัดการปัญหาเกี่ยวกับสินค้าแล้ว ร้านพี่รถกับข้าวก็มีลูกค้าเข้ามาหลายราย ก่อนพสุธาเดินทางมาถึงร้านในช่วงบ่ายแก่
“สวัสดีครับเฮียดิน”
“อืม” พสุธารับไหว้น้อง ก่อนจะรับไหว้พนักงานที่ทำงานอยู่ตรงชั้นล่างทั้งหมด รวมถึงแซมด้วย
“เฮียมาช้านะเนี่ย”
“พอดีเฮียติดคุยกับลูกค้านิดหน่อย ที่ร้านเป็นไงบ้างลม”
ผู้เป็นน้องเคียงพี่ชายที่เดินตรวจสอบไปรอบๆ ร้าน ก่อนจะพากันขึ้นไปเช็คบัญชีบนชั้นสอง พร้อมกับรายงานผลประกอบการรายเดือนคร่าวๆ
“ก็โอเคครับ ยอดออนไลน์เพิ่มขึ้น ยอดหน้าร้านก็ออกเรื่อยๆ”
“ทางออนไลน์เพิ่มขึ้นเยอะเหรอ”
“พอสมควรครับ เรามีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้น สมาชิกเดิมก็สั่งประจำไม่ขาด บางคนมีตารางขอให้ส่งทุกวันก็มี”
“อืม...แบบนี้ก็ดีสิ” พสุธาเอ่ยชม “แกนี่เก่งนะเนี่ย เฮียไม่คิดเลยว่าขายออนไลน์จะเวิร์คขนาดนี้”
“ตอนแรกผมก็ไม่คิด” วายุบอกตามจริง
“แต่มันโอเคก็ดีแล้ว พาเฮียไปดูบัญชีหน่อย”
“ครับ”
พอไปถึงออฟฟิศบนชั้น วายุก็ให้พนักงานเอาบัญชีให้พี่ชายตรวจสอบดูตามปรกติ และผลก็ออกมาเป็นที่น่าพอใจ
“ผมว่าจะลงงบ PR เพิ่มหน่อย นี่กำลังให้ฝ่ายการตลาดช่วยดูให้อยู่ เฮียคิดว่าไง” ชายหนุ่มเสนอ
“เอาตามที่เราว่านั่นแหละ ถ้ามีอะไรติดขัดก็ให้รีบบอก”
“ครับ”
“แต่ดูแล้วคงอยู่ตัวแล้วใช่ไหม ต่อไปเฮียอาจจะไม่ได้มาบ่อยๆ แล้วนะ เพราะงานที่บริษัทเราก็ยุ่งมาก”
“โอเคครับ ผมดูแลได้ ความจริงก็บอกเฮียตั้งแต่แรกแล้วนี่ ว่าไม่ต้องเป็นห่วง” ความจริงชายหนุ่มเองก็อยากพิสูจน์ให้คนทางบ้านรู้ว่าถ้าคิดจะทำอะไรแล้ว เขาก็ทำได้เช่นกัน
“ไม่ให้เป็นห่วงได้ไง ที่ผ่านมาแกเคยแตะงานค้าขายพวกนี้ที่ไหน แต่ทำได้ก็ดีแล้ว อีกหน่อย เฮียคงต้องให้แกไปช่วยในบริษัทบ้าง”
“แค่เฮียดินกับเฮียน้ำก็พอแล้วมั้ง” ลมพูดถึง น้ำ หรือ นที พี่ชายคนรองที่เป็นคนช่วยพสุธาดูแลกิจการที่บ้านอีกแรง
“พอที่ไหน ฉันสองคนจะตายอยู่แล้ว ดีที่แฟนตาน้ำเข้ามาช่วยด้วย ไม่งั้นก็เอาไม่อยู่เหมือนกัน”
“แล้วแฟนเฮียล่ะ เมื่อไหร่จะแต่งเข้าบ้าน จะได้มาช่วยเฮียอีกแรงไง”
“แต่งอะไรเล่า เฮียเลิกไปแล้ว” ผู้เป็นพี่เล่าออกมาง่ายๆ ราวกับไม่ใช่เรื่องของตัวเอง แต่วายุรู้ ลึกๆ แล้วพสุธาคงเสียใจไม่น้อย
“อ้าว! ไหงงั้นล่ะเฮียดิน เรื่องมันยังไงกัน ผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
“ฉันเพิ่งเลิกกัน ยังไม่มีใครรู้หรอก”
“ถึงว่าสิ กลับไปบ้านเมื่อวันก่อน ม๊าถึงไม่ได้เล่าให้ฟัง แล้วเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่”
“เขาอยากไปเรียนต่อต่างประเทศ ฉันก็ปล่อยไป”
“แค่เรียนต่อต้องเลิกกันด้วยเหรอ”
“ไม่รู้สิ เขาคงอยากอิสระ ไม่อย่างนั้นจะขอเลิกทำไม”
“แล้วเฮียโอเคหรือเปล่า”
“เลิกกับแฟนนะเว้ย ไม่มีใครโอเคหรอก แต่ให้ทำไงได้ ก็คงต้องปล่อยให้มันเป็นไป”
“ถ้าเฮียมีไรให้ช่วยก็บอกผมนะ” เขารู้ว่าเรื่องของคนสองคน สุดท้ายก็มีแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่จะจัดการได้ แต่พอเห็นพี่ชายต้องเสียใจแล้วยังแกล้งทำเป็นเข้มแข็งแบบนี้ วายุก็อดเป็นห่วงไม่ได้
“ขอบใจมาก แต่ไม่ต้องมาคิดมากเป็นเพื่อนเฮียหรอก ตั้งใจทำงานให้ดี อยู่กับร่องกับรอยแบบนี้ ป๊ากับม๊าจะได้ไม่เวียนหัว”
“โถ่...เฮีย พูดอย่างกับผมเป็นเด็กไปได้”
“เมื่อปีก่อนแกยังวิ่งไปประเทศโน้นประเทศนี้ให้ตามหาแทบแย่ ไม่ให้เฮียเป็นห่วงยังไงไหว”
ในสายตาพี่ชาย วายุก็เป็นเหมือนลมดังชื่อ ลมที่พัดไปตรงนั้นที พัดไปตรงนี้ที ไม่ยอมหยุดนิ่งอยู่กับที่ ทุกคนในครอบครัวจึงเป็นห่วงอนาคตน้องชายคนสุดท้องคนนี้ที่สุด แม้เวลานี้วายุจะหันกลับมาทำงานเป็นหลักเป็นแหล่ง แต่พวกเขาก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี
“ถึงอยากหนีเที่ยวก็หนีไม่ได้หรอก ที่ร้านต้องมีคนดูแล ผมจะทิ้งยังไงครับ”
ปฏิเสธไม่ได้ว่าวายุยังโหยหาการเดินทาง แต่เขาก็โตพอที่จะหักห้ามใจและหันกลับมาสร้างตัวไม่ให้ครอบครัวเป็นกังวล ยิ่งยามนี้เขามีลูกน้องต้องดูแลหลายชีวิต จะทิ้งไปก็คงไม่ได้แล้ว
ที่สำคัญ การคลุกคลีอยู่ในร้านที่ตัวเองสร้างมาเป็นปี ความรักความผูกพันย่อมมีเป็นธรรมดา
“ถามแต่เรื่องเฮีย แล้วแกล่ะ มีแฟนหรือยัง ถ้ามีแล้วพาไปบ้านสิ ป๊ากับม๊าก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่นา พาไปให้เขาเห็นสักครั้ง ไม่ต้องปิดบังอะไรแล้ว”
อย่างที่ทุกคนรู้ว่าวายุรักชอบผู้ชาย ซ้ำที่บ้านของชายหนุ่มก็หัวสมัยใหม่พอที่จะเปิดกว้างและเข้าใจ แต่วายุก็ยังไม่เคยพาใครเข้าไปทำความรู้จักกับที่บ้านเลยสักครั้ง เพราะยังไม่มีใครที่ด้วยคบแล้วอยู่ยาวจนความสัมพันธ์จริงจังถึงขั้นนั้น
“ไม่ได้ปิดอะไรหรอกเฮีย แต่ยังไม่มีเป็นตัวเป็นตนน่ะสิ”
“แล้วทำไมไม่ลองมีให้เป็นตัวเป็นตนเล่า”
“ทำอย่างกับจะหาง่ายนักนี่เฮีย”
“แกไม่จริงจังกับใครมากกว่ามั้ง อาลม” คนเป็นพี่สัพยอก
พอพูดถึงเรื่องจริงจัง ภาพใบหน้าของคนติดกิ๊บสารพัดสีก็ผุดขึ้นมาในความคิด
“จริงจังสิ แต่ไม่รู้เขาจะกลัวหรือเปล่า”
“กลัวเหรอ...เอ่อ...เฮียก็ไม่รู้หรอกนะว่าความสัมพันธ์แบบนี้มันเหมือนกับแบบเฮียไหม แต่คิดว่าถ้ารักหรือชอบคนที่เป็นแบบเดียวกัน มากกว่าผู้ชายที่เขาเป็นผู้ชายจริงๆ มันก็น่าจะดีกว่าหรือเปล่าอาลม”
“ผมเข้าใจที่เฮียพูดนะ แต่เรื่องความชอบน่ะ มันห้ามกันได้ที่ไหน”
ปรกติวายุก็มองหาแต่คนที่มีรสนิยมแบบเดียวกันเท่านั้น เพราะมันง่ายต่อความเข้าใจ ง่ายต่อการปรับจูนอะไรหลายๆ อย่าง แต่กับคนที่เขาถูกใจคนล่าสุด วายุใช้แต่ความรู้สึกนำทาง ซ้ำยังไม่อาจห้ามใจตัวเองได้ทันอย่างทุกที
เขาถึงได้นั่งปวดหัวอยู่นี่ เพียงเพราะอีกฝ่ายไม่ค่อยคุยกันเหมือนวันก่อนๆ
“พูดเหมือนไปแอบชอบใคร”
“ก็ใช่น่ะสิ” วายุบอกตรงๆ “แต่ไม่รู้ว่าถ้าเขารู้ เขาจะยอมรับหรือเปล่า ผมดูไม่ออกด้วยว่าเขาเป็นแบบเดียวกันหรือเปล่า”
“ก็ลองดูสักตั้งสิ แกก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ ครอบครัวหรือฐานะก็พอใช้ได้ ถ้าเขาชอบแบบเดียวกัน เขาก็คงตกลงใจด้วยกระมัง”
“ผมกลัวเขาเตลิดไป”
“ถ้าเขาไป นั่นก็แปลว่าเขาไม่ใช่ อยากทำอะไรก็รีบทำเถอะ เวลาเป็นสิ่งมีค่า อย่าเอามาเสียไปกับคนที่ไม่อาจเป็นของเราได้เลยลม”
นอกจากจะเกิดความรู้สึกเห็นใจพี่ชายที่ต้องเลิกกับแฟนสาวซึ่งคบกับมาตั้งหกเจ็ดปีแล้ว วายุก็รู้สึกว่าคำพูดของพสุธาเข้ามาสะกิดในหัวใจของเขาอย่างจัง
ถ้าคนคนนั้นไม่ใช่ เขาก็จะออกห่างไป
แต่ถ้าคนคนนั้นคือคนที่ใช่...มันก็คุ้มค่าที่จะเสี่ยงดูไม่ใช่หรือ
“นิ่งไปเลยนะ คิดอะไรอยู่” เห็นน้องนิ่งไป คนเป็นพี่ก็รีบทัก เพราะกลัวจะพูดอะไรกระทบจิตใจจนน้องชายตัวดีเกิดติสท์แตกขึ้นมาอีก
“ก็คิดที่เฮียพูดนั่นแหละ”
“อย่าคิดนาน เผื่อมีใครมาตัดหน้าไปก่อน เดี๋ยวแกจะเสียใจ”
“นั่นสินะ...” วายุเห็นด้วย เพราะคนคนนั้นยิ่งน่ารักมากเสียด้วย เกิดถูกแย่งตัดหน้าไปก่อน เขาคงทนไม่ได้
“หึๆ ทำหน้าเอาจริงเชียวนะ”
“ก็เฮียอยากพูดปลุกใจผมทำไมล่ะ”
“แล้วได้ผลใช่ไหม”
“ยิ่งว่าได้อีกครับ”
“ฮ่าๆ ๆ ดีๆ ถ้าเกิดโชคดีเขาตกลงปลงใจกับแกจริงๆ อย่าลืมพามารู้จักเฮียคนแรกด้วยนะ”
“ทำไมต้องคนแรก”
“อ้าว! เฮียจะได้เอาไปอวดอาม๊าไงล่ะ ทางนั้นน่ะอยากให้แกมีครอบครัวจะแย่”
“หึๆ โอเค ถ้าเป็นไปอย่างที่เฮียพูดจริงๆ ผมจะเลี้ยงข้าวบนเหลาที่เฮียชอบให้อีกมื้อเลยเอ้า!”
“จำคำพูดของแกไว้นะอาลม แล้วเตรียมเงินไว้เยอะๆ ด้วย”
“ฮ่าๆ ๆ โอเค ผมไม่ลืมหรอก”
พวกเขาสองพี่น้องนั่งคุยกันเรื่อยเปื่อยไปตามประสาอีกเล็กน้อย ก่อนพสุธาจะขอตัวกลับก่อน เพราะเขามีงานที่ต้องสะสางอีกเป็นตั้ง
หลังจากลงไปส่งพี่ชายขับรถกลับแล้ว ก่อนกลับเข้าร้าน วายุก็พบกับเพื่อนสนิทที่หายหัวไปนานเป็นอาทิตย์ยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่หน้าร้าน
“ไอ้ปั้น! พายุอะไรหอบมาวะเนี่ย”
“พายุโมโห!”
“หา? พายุโมโหอะไรของแก”
“ฉันมาเพราะจะเล่าให้แกฟังเนี่ยแหละ” ท่าทางปริญคงถูกพายุโมโหพัดถล่มเข้าจริงๆ เพราะสีหน้าของอีกฝ่ายดูไม่ได้เอาเสียเลยในเวลานี้
“งั้นเข้าไปคุยกันข้างบนแล้วกัน”
“แกทำงานอยู่หรือเปล่า”
“ไม่เป็นไร ฉันสั่งให้เด็กเฝ้าร้านแทนได้” วายุว่า ก่อนจะเดินเข้าร้านไปสั่งให้แซมดูหน้าร้านแทนตัวเอง และพาปริญขึ้นไปยังห้องส่วนตัวที่อยู่ชั้นบนสุด
พอถึงที่หมายและประตูห้องปิดตามหลังปุ๊บ เสียงโอดครวญของเพื่อนสนิทวายุก็ดังขึ้นทันที
“ฉันรู้แล้วว่าใครเป็นแฟนใหม่พศิน”
“หืม? ใครล่ะ”
“นักเขียนในสังกัดเขานั่นไง คนที่ดังๆ หน่อย แกน่าจะรู้จัก เพราะฉันเห็นรูปกิจกรรมในบริษัทอาทิตย์ก่อน มีรูปแกไปขอลายเซ็นเขาด้วย!”
“ห๊า!! แกว่าไงนะ” เสียงดังลั่นที่วายุตะโกนใส่หน้าเพื่อน พร้อมกับท่าทางตกใจจนหน้าซีด ทำเอาปริญต้องขมวดคิ้วและเป็นฝ่ายระงับอารมณ์โกรธลงไปแทน
“ทำไมแกต้องตะโกนด้วย”
“ก็...ฉัน...ฉันตกใจ” วายุแทบพูดไม่เป็นคำ เพราะนักเขียนคนเดียวที่เขาไปขอลายเซ็นเมื่ออาทิตย์ก่อนมีเพียงคนเดียวเท่านั้น ทว่าก่อนสรุปอะไร วายุก็ตั้งสติและถามออกไปอีกครั้ง “แกว่าคนที่เป็นแฟนพศินคือนักเขียนที่ฉันไปขอลายเซ็นเหรอ”
“ใช่”
“แน่ใจหรือ”
“ยิ่งกว่าแน่ เขารู้กันทั้งบริษัทแล้ว วันนี้ฉันเห็นเขาเข้ามาเซ็นสัญญานิยายเรื่องใหม่ พศินแทบจะอุ้มเด็กอ้วนนั่นไปส่งที่รถ ประคบประหงมกันซะเหลือเกิน”
“อย่าว่าน้อง! น้องไม่ได้อ้วน”
“หา?” พอได้ยินเพื่อนหลุดปากปกป้องว่าที่ศัตรูของตัวเองออกไปแบบนั้น ปริญก็ถึงกับทำหน้าเหวอ “นี่แก...แกเข้าข้างนักเขียนในดวงใจขนาดนั้นเลยหรือไงไอ้ลม! เพื่อนแกโดนไอ้เด็กหน้ากลมคนนั้นแย่งแฟนนะเว้ย!”
“อะแฮ่ม...ฉันแค่จะบอกว่า อย่าว่าเขา ถ้าเรายังไม่แน่ใจอะไร” วายุเตือน ก่อนจะพยายามสงบสติอารมณ์ และพูดกับเพื่อนเสียใหม่ “อีกอย่าง ฉันไม่ได้เข้าข้าง แต่แกอาจเข้าใจผิดก็ได้”
“จะเข้าใจผิดได้ไง ฉันก็บอกอยู่นี่ว่าพศินแทบอุ้มเด็กนั่นขึ้นรถด้วยซ้ำ ก่อนหายออกไปด้วยกันทั้งบ่าย แกคิดดู คนบ้างานแบบพศินมีหรือจะโดดงานออกไป ถ้าไม่ใช่เพราะมีเหตุผลอื่น แถมที่บริษัทก็พูดกันทุกคน”
“แล้วสมมติ ถ้าเขาเป็นแฟนกันจริงๆ แกจะทำไงได้ ในเมื่อพศินเลิกกับแกไปแล้ว”
คำถามแทงใจเล่นงานเพื่อนสนิทของวายุจนล้มทั้งยืน ปริญทรุดตัวลงนั่งกับเตียงเพื่อนแล้วงุ้มตัวลงเอามือสองข้างค้ำศีรษะไว้ ท่าทางเหมือนคนแบกโลกไม่มีผิด
“ฉันก็...ทำยังไงไม่ได้ เพราะเลิกกันไปแล้ว แต่มันโมโหนี่ ไม่คิดว่าเขาจะชอบแบบน่ารักบ้องแบ๊วอย่างนั้น ถ้าเป็นแกก็ว่าไปอย่าง”
“เขาอาจมีดีกว่าแค่เรื่องหน้าตาน่ารักก็ได้”
“เนี่ย! ดูสิ ขนาดแกเป็นแค่แฟนหนังสือ แกยังเข้าข้างเด็กนั่นเลย ฉันสิ้นหวังแล้วว่ะ”
ระหว่างที่ปริญโอดครวญ วายุก็อยากจะบอกอีกฝ่ายเหลือเกินว่าตอนนี้ตนเองก็แทบกระอักเลือดและเสียศูนย์ไม่แพ้กัน เพียงแค่ต้องเก็บอาการเอาไว้เท่านั้น
“เอาน่า ในเมื่อมันผ่านไปแล้ว เราก็คงต้องมูฟออน”
“อืม...ก็คงต้องเป็นแบบนั้น เขาเลือกแล้วนี่นะ” ปริญว่าอย่างหมดอาลัยตายอยาก
...วายุก็เช่นกัน
“ใช่ เขาเลือกแล้ว”
“วันนี้แกเลิกงานดึกไหมไอ้ลม”
“ก็ร้านปิดนั่นแหละ”
“กินเหล้ากันไหม” คนช้ำรักชวน
“ก็ได้ เดี๋ยวฉันเลี้ยงแกเอง”
“ดี ไม่เมาล้ม ไม่เลิกเว้ย!!!” ปริญตะโกนลั่น แต่ในใจคงเจ็บปวดจนไม่อาจบรรยาย
วายุได้แต่มองเพื่อนเงียบๆ ก่อนปล่อยให้ปริญยึดห้องไว้เป็นที่พักใจชั่วคราว จากนั้นจึงขอตัวลงไปคุมร้านก่อนถึงเวลาปิด ด้วยหัวใจที่ว่างเปล่าไม่แพ้กัน
ต่อด้านล่างค่ะ