ม่านไหมลายพยัคฆ์
บทที่ 16
“สิ่งที่ลุงคาดคิดไว้ก่อนสงครามโลกจะเกิดขึ้นนั้นได้เป็นจริงขึ้นมาแล้ว”
เฉินจิ้งเหอนายกรัฐมนตรีของจีนกล่าวกับเฉินหย่งหนานผู้เป็นหลานชายขณะเดินกลับไปยังห้องทำงานประจำตำแหน่ง ณ
รัฐสภา สีหน้าของจิ้งเหอบอกชัดว่ากำลังครุ่นคิดอย่างหนัก
“ตอนนี้ประชาชนที่ถูกพรรคสังคมนิยมกล่อมให้เห็นด้วยกับอุดมการณ์แสนสวยของพวกเขามากขึ้นทุกที และถ้าหากนักการ
เมืองฝั่งเรายังไม่ทำอะไร ลุงเกรงว่าพวกเขาจะถือโอกาสนี้โจมตีแน่ๆ”
“สิ่งที่คุณลุงคาดนั้นมันเริ่มต้นแล้วล่ะครับ ผมได้ข่าวมาว่าพวกเขาเริ่มปราศัยโจมตีพวกเราตามหัวเมืองว่าจัดสรรงบประมาณ
อย่างไม่เป็นธรรมหลังจากสงครามจบลง มันใกล้นานกิงเข้ามาทุกขณะ”
สีหน้าของผู้นำอย่างเฉินจิ้งเหอยิ่งดูเคร่งขรึมเมื่อเขาก้าวมานั่งบนเก้าอี้ประจำตำแหน่งในห้องทำงาน
“งานฟื้นฟูเศรษฐกิจก็เป็นงานเร่งด่วน ไหนจะกำลังใจของคนในชาติที่ผ่านพ้นความเลวร้ายที่ต้องเยียวยานั่นก็เป็นงานสำคัญ
ไม่แพ้กัน นี่ยังต้องคอยระวังกับพวกที่หวังจะเหยียบให้จมดินด้วย”
ไม่บ่อยครั้งนักที่จิ้งเหอจะระบายความรู้สึกอันแสนหนักหน่วงออกมาให้ได้ฟัง หย่งหนานเองก็นึกเห็นใจผู้เป็นลุงอยู่ไม่น้อย
อำนาจนั้นก็เหมือนผลไม้ที่มีกลิ่นหอม มันมักจะล่อลวงให้ผู้คนแสวงหาเพื่อลิ้มลองรสชาติของมัน
“อย่าเพิ่งนึกถึงเรื่องที่ยังมาไม่ถึงเลยจะดีกว่า” จิ้งเหอเปลี่ยนเรื่อง “ลุงมีความคิดว่าเราควรจะทำอะไรบางอย่างเพื่อสร้างขวัญ
กำลังใจให้กับชาวบ้านที่เพิ่งจะผ่านวิกฤติกันมา เพื่อสร้างความรื่นเริงบันเทิงใจให้พวกเขาบ้าง”
หย่งหนานนิ่งคิดตามความต้องการของผู้เป็นลุงอยู่ครู่หนึ่งจึงได้เสนอความเห็นออกไป
“เราจัดงานวัฒนธรรมกันดีไหมครับ ให้มีการแสดงงิ้วและร้องรำให้ประชาชนได้เข้าชมกันโดยไม่เก็บค่าเข้าชม”
“เป็นความคิดที่ดี” จิ้งเหอพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของหลานชาย
“หลานสั่งการได้เลยนะ คณะงิ้วและศิลปินที่อยากจะมาร่วมงานก็ให้มาได้เลย เราจะจัดเป็นงานใหญ่ครั้งแรกหลังจากสิ้นสุด
สงคราม”
หย่งหนานรับคำสั่งก่อนจะออกไปปฏิบัติตามอย่างรวดเร็ว
เหวินเป่ารับอาสามาช่วยอาซิ้มแม่ครัวซื้ออาหารสดในวันนี้ เขาลากรถเข็นสำหรับใส่ของมาถึงตลาดในยามเช้า หลังจากวันนั้น
ผ่านมาได้หลายวันแล้วเหวินเป่าก็ยังไม่ได้พบหน้าหย่งหนานอีกราวกับอีกฝ่ายจงใจหลบหน้า หย่งหนานจะกลับถึงบ้านในยามดึกดื่นเมื่อ
มาถึงเขาจะเข้าไปทักทายฟางซินอยู่พักหนึ่งก่อนจะกลับออกมา เขาสั่งให้คนรับใช้จัดเตียงเพิ่มในห้องของเฉินฮุ่ยจงบุตรของเขา หย่ง
หนานเข้าไปพักนอนเพียงไม่กี่ชั่วโมงและตื่นแต่เช้าเพื่อออกไปทำงาน
แม้จะเจ็บปวดแต่ก็ต้องยอมรับความเป็นจริง เหวินเป่าเข้าใจเหตุผลที่หย่งหนานต้องกระทำเช่นนั้น เยื่อใยที่มีต่อกันล้นเหลือ
และช่างน่ากลัวกับความยั่วยวนในไฟปรารถนา หากพบเจอหน้ากันบ่อยครั้งสักวันความอดทนที่มีอาจจะพ่ายแพ้จนกระทำผิดต่อฟางซินที่
เจ็บป่วยเพราะโรคภัย
ตกอยู่ในภวังค์จนเผลอถอนหายใจออกมา อาซิ้มหันมาเห็นเข้าพอดีจึงเผลอดุเบาๆด้วยความเอ็นดู
“อั้ยยะ เหวินเป่า ยังหนุ่มแน่นทำไมถึงถอนหายใจเป็นคนแก่อย่างนี้ล่ะ รออาซิ้มอยู่ตรงนี้นะ เดี๋ยวอาซิ้มจะไปซื้อของตรงฝั่ง
โน้น”
พูดจบอาซิ้มก็ก้าวเดินไปยังจุดหมายอย่างคล่องแคล่วทิ้งให้เหวินเป่ายืนใจลอยจนกระทั่งได้ยินเสียงทักจากเบื้องหลัง
“เหวินเป่า!”
สะดุ้งสุดตัวก่อนจะหันขวับไปมองต้นเสียง เหวินเป่าทำตาโตเมื่อเห็นว่านั่นคือหยางเจี่ยนบุตรชายของหยางซื่อเจ้าของคณะ
งิ้วที่เหวินเป่าเคยอาศัยอยู่นั่นเอง หยางเจี่ยนมีสีหน้าตื่นเต้นดีใจเมื่อเห็นเหวินเป่า เขารีบก้าวเข้ามาและคว้าแขน เหวินเป่าไว้ราวกับกลัว
อีกฝ่ายจะหนีเขาไป
“ในที่สุดพี่ก็ได้เจอเหวินเป่า หลังจากวันที่เธอหนีพี่ไป”
น้ำเสียงของรุ่นพี่ในคณะงิ้วสร้างความลำบากใจให้เหวินเป่าไม่น้อย เหวินเป่าค่อยๆดึงแขนออกจากการเกาะกุมโดยไม่ให้
หยางเจี่ยนเสียน้ำใจนัก
“ผมจำเป็นต้องทำนะพี่เจี่ยน พี่ก็รู้ว่าถ้าผมไม่หนีจะเกิดอะไรขึ้นกับผม”
“แล้วนี่เธอไปอยู่เสียที่ไหน คงสบายดีกว่าอยู่โรงงิ้วสินะ ดูตอนนี้สิกลายเป็นคุณชายมีสง่าราศีกว่าเมื่ออยู่โรงงิ้วจนเกือบจำไม่
ได้ เธอคงลืมความยากลำบากที่เราเผชิญด้วยกันมาแต่เด็กเสียแล้ว”
หยางเจี่ยนมองเหวินเป่าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เด็กน้อยมอมแมมในอดีตที่กลายเป็นนางเอกงิ้วเพราะความจำเป็นกลับ
กลายเป็นหนุ่มน้อยที่มีใบหน้าหมดจดงดงามตรึงตาตรึงใจของเขาเสียยิ่งกว่าวันที่เหวินเป่าสวมชุดงิ้วเสียอีก
ความเสียดายแล่นเข้ามาจุกอก หยางเจี่ยนเห็นเหวินเป่ามาตั้งแต่แปดขวบ เขาถือว่าเขาเป็นผู้มองเห็นความเปลี่ยนแปลงของ
เหวินเป่าเป็นคนแรก หยางเจี่ยนนึกเสียดายวันเวลาที่ผ่านมาหากว่าเขาจะคิดครอบครองหนุ่มน้อยตรงหน้า ป่านนี้เขาก็คงได้ขึ้นสวรรค์ไป
เนิ่นนานแล้ว
“ที่โรงงิ้วเป็นอย่างไรบ้าง” เหวินเป่าเอ่ยถามทำลายความเงียบ เขาไม่ชอบสายตาที่หยางเจี่ยนจ้องมองมาเลย
“ทุกคนยังสบายดีกันไหม”
“คิดว่าทุกคนยังสบายดีงั้นหรือเมื่อเธอและพี่ไป๋ซานหนีไปจากพวกเรา” หยางเจี่ยนพูดด้วยเสียงขุ่นเคือง
“คณะงิ้วที่ขาดชิงอี่ไปคราวเดียวถึงสองคน คิดว่าพวกเราจะสร้างใครขึ้นมาทดแทนได้รวดเร็วขนาดนั้นล่ะ กว่าจะฝึกสอนให้
คนใหม่เล่นได้พอที่จะออกงานเก็บค่าชมก็ต้องลำบากกันมาก นั่นก็เป็นเพราะเธอทีเดียวที่ทอดทิ้งไป”
ถือโอกาสโบยแส้ฟาดหัวใจของหนุ่มน้อย เพราะเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กทำไมหยางเจี่ยนจะไม่รู้เล่าว่าเหวินเป่าเป็นคน
ใจอ่อนและรักพวกพ้องมากขนาดไหน และสิ่งที่เขาทำก็ได้ผล เหวินเป่ากำลังรู้สึกผิดจนหน้าเศร้า
“โธ่ อย่าพูดอย่างนั้นสิพี่เจี่ยน ใช่ว่าผมจะไม่รักทุกคนในโรงงิ้ว หากมีอะไรที่ผมช่วยได้ก็อยากจะช่วย”
ยามยากลำบากที่อยู่ด้วยกันมาทำให้เหวินเป่าเห็นใจทุกคนใรคณะงิ้วอยู่มาก การที่เขาหนีมากับหย่งหนานอาจจะส่งผลกระ
ทบเมื่อนักการเมืองผู้นั้นอาจจะไม่ได้มอบเงินให้อีกต่อไป หยางเจี่ยนลอบยิ้มอยู่ในใจเมื่อเห็นท่าทีโอนอ่อนของเหวินเป่า
“จริงเหรอ ถ้าอยากช่วยอย่างที่พูดออกมาจริงๆน่ะ รัฐบาลจะจัดงานวัฒนธรรมในคืนวันพรุ่งนี้ เธอจะไปช่วยแสดงที่เวทีงิ้วของ
เราได้ไหมล่ะเหวินเป่า แค่คืนเดียวเท่านั้น”
เหวินเป่ายืนอึ้ง สิ่งที่หยางเจี่ยนร้องขอสร้างความลำบากใจไม่น้อย หากแต่สายตาคาดคั้นของหยางเจี่ยนก็ทำให้เขาไม่กล้า
ปฏิเสธเต็มปากนัก
“ผมคงต้องไปปรึกษากับเจ้านายของผมเสียก่อน หากไปได้ผมก็จะไป”
“เธอต้องไปให้ได้” หยางเจี่ยนสำทับ
“นึกถึงบุญคุณที่ต้องทดแทนสิเหวินเป่า เธอโตมากับคณะงิ้วหากไม่มีพ่อ ไม่มีพวกเรา เธอคงตายอยู่ข้างถนนแล้ว อย่าลืมนะ
พี่จะรอเธอที่เวทีงิ้วของเราในคืนพรุ่งนี้”
ไม่รอคำตอบจากหนุ่มน้อย หยางเจี่ยนหันหลังกลับเดินหนีทันที พอดีกับที่อาซิ้มจับจ่ายข้าวของเดินกลับมา
“เหวินเป่า คุยกับใครอยู่”
“เพื่อนเก่าน่ะครับอาซิ้ม ซื้อของเสร็จแล้วหรือครับ ต้องการอะไรอีกไหม”
“ไม่ล่ะ ได้ของครบแล้วรีบกลับกันเถอะ จะต้องไปต้มยาบำรุงให้ฮูหยินอีก”
เหวินเป่าพยักหน้ารับพลางลากรถเข็นตามหลังหญิงชรากลับบ้าน ในใจของเขานั้นครุ่นคิดถึงคำพูดที่จะขออนุญาตหย่งหนาน
เพื่อจะไปแสดงงิ้วตลอดทางกลับบ้าน
หย่งหนานกลับบ้านดึกเช่นเคย เขาสั่งความสาวใช้ไว้นานแล้วว่าไม่ต้องอยู่คอยต้อนรับเขาในเวลาดึกดื่นอีก เมื่อกลับมาแล้ว
หย่งหนานจึงได้เดินเข้าห้องของเขากับฟางซินดั่งเช่นทุกครั้ง เขาเดินเข้าไปหาภรรยาที่นั่งพิงกับหัวเตียงอยู่
“ยังไม่หลับหรือฟางซิน”
เขาถามด้วยความห่วงใย ฟางซินขยับกายคลี่ยิ้มรับเมื่อเห็นสามีกลับมา
“น้องตื่นมาจิบน้ำอุ่นน่ะค่ะ วันนี้ไม่มีไข้ก็เลยไม่แย่เหมือนคืนก่อนๆ”
“ไม่มีไข้ก็ดีแล้ว ฉันเป็นห่วงเธอนะ”
หย่งหนานพูดคุยกับฟางซินอยู่พักใหญ่เขาจึงประคองภรรยาให้เอนกายไปกับเตียง
“นอนพักต่อเถอะ จะได้แข็งแรงไวๆ”
ดูแลจนฟางซินหลับตาลงแล้วหย่งหนานจึงได้เดินกลับออกไปภายนอก เขาเดินย้อนกลับไปทางห้องโถงกลับพบว่ามีร่าง
โปร่งกำลังนั่งคอยเขาอยู่ หัวใจของชายชาติทหารพลันเต้นแรงเมื่อเห็นว่าเป็นเหวินเป่าเด็กในปกครองของเขานั่นเอง
“เหวินเป่า มีอะไรหรือเปล่า”
เหวินเป่ารีบลุกจากเก้าอี้ สีหน้าในวันนี้ดูลำบากใจแต่เขาก็ตัดสินใจพูดออกมาในที่สุด
“วันนี้ผมได้พบกับพี่เจี่ยนลูกชายเหล่าซือที่ตลาดครับนายท่าน ทราบว่าที่คณะงิ้วกำลังลำบาก พี่เจี่ยนจึงขอให้ผมไปช่วย
แสดงงิ้วที่งานวัฒนธรรมคืนพรุ่งนี้”
“ไม่ได้!”
หย่งหนานตอบโดยไม่ต้องหยุดคิด คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันทันที
“ฉันไม่ไว้ใจคณะงิ้วนั่นอีกแล้ว เธอลืมแล้วหรือว่าต้องพบเจอกับอะไรบ้าง”
เสียงดุจนเหวินเป่าสะดุ้ง ใบหน้าหวานสลดลงเมื่อได้ยินคำปฏิเสธนั้น เขาเงยหน้าขึ้นและวอนขออีกครั้ง
“ถึงอย่างไรพวกเขาก็ดูแลผมมาจนโต สมควรที่ผมจะทดแทนบุญคุณให้เขา อนุญาตให้ผมไปเถอะครับ”
“ฉันบอกแล้วว่าไม่ได้ แม้ว่าเธอจะคุกเข่าอ้อนวอนฉันก็ไม่อนุญาตให้เธอไป หากเธอยังดื้อรั้นฉันจะลงโทษเธอ”
“นายท่าน!”
น้ำตาปริ่มด้วยความน้อยใจ แต่หย่งหนานก็พลันเบือนหน้าหนีเพราะกลัวใจอ่อนเมื่อเห็นน้ำตา เขาผลุนผลันเดินหนีออกไป
ทางบ้านหลังใหญ่ทิ้งให้เหวินเป่าทรุดตัวลงนั่งยกหลังมือเช็ดน้ำตา
“เกิดอะไรกันขึ้น”
“นายหญิง เดินออกมาต้องการอะไรหรือเปล่าครับ”
เหวินเป่ารีบเข้าไปประคองเมื่อเห็นฟางซินเดินมาช้าๆ เขาดูแลให้ฟางซินนั่งบนเก้าอี้ แล้วจึงยืนก้มหน้าซ่อนความน้อยใจเอา
ไว้ ฟางซินโบกมือไปมา
“อย่าเป็นห่วงนักเลยเหวินเป่า การเจ็บป่วยของฉันยังไม่ร้ายแรงจนต้องนอนอยู่บนเตียงตลอดเวลาหรอก เมื่อสักครู่ฉันได้ยิน
เสียงเธอกับนายท่านของเธอคุยอะไรกันเสียงดังเชียว”
เหวินเป่ารีบกลั้นน้ำตาและเล่าเรื่องคร่าวๆให้ฟางซินฟัง หญิงสาวรับรู้และมองอย่างเข้าใจ
“เธออยากจะช่วยพวกเขา แต่นายท่านของเธอเขาเป็นห่วงเธอเพราะเหตุการณ์อันตรายในคราวนั้น เธอควรจะเชื่อฟังนะ
หนทางช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ยังมีอีกหลายวิธี”
ความช่างสังเกตของฟางซินทำให้หญิงสาวพิจารณาใบหน้าเศร้าของเหวินเป่า ดวงตาอันงดงามแสดงความรู้สึกออกมาอย่าง
ไม่อาจปิดบังได้เพราะความอ่อนเดียงสา ทำให้ฟางซินฉุกใจคิดอะไรบางอย่างขึ้นมา
“พี่หย่งหนานเขาเป็นห่วงเธอมากๆเลยนะ”
เหวินเป่าเงยหน้าขึ้นสบตากับฟางซิน หนุ่มน้อยกัดริมฝีปากเมื่อเห็นแววตาครุ่นคิดของฟางซิน ความร้อนใจทำให้เขารีบกล่าว
ชี้แจง
“นายท่านแค่เมตตาต่อผมเป็นปกติเท่านั้นครับ”
“งั้นหรือ” ฟางซินเลิกคิ้ว “เท่าที่ฉันเห็น เธอกับนายท่านของเธอผูกพันกันมากมายเหลือเกิน”
“นายหญิงคงอยากพักผ่อนต่อแล้ว ผมจะพานายหญิงไปที่ห้องนะครับ”
รีบก้าวเข้าไปและประคองฟางซินเดินกลับไปยังห้อนนอนก่อนจะเดินกลับไปยังห้องของตน เหวินเป่านอนมองเพดานอย่าง
กลัดกลุ้มเมื่อต้องคิดถึงเรื่องการทดแทนบุญคุณที่เขาจำเป็นต้องทำ
มีต่ออีกนิด...