-17-
Here With Me
http://www.youtube.com/v/y0Pu9FqXV1Q?version=3&hl=en_USไร้ค่า...เป็นสิ่งที่ผมให้คำจำกัดความตัวเองเนิ่นนานมาแล้ว
นานมาก...จนผมเกือบลืมเลือนไป
เวลานี้คำๆนี้กลับมาตอกย้ำผมอีกครั้งเมื่อผมโดนคนที่คิดอยู่เสมอว่าพวกเขาเป็นครอบครัวไล่ออกจากบ้านอย่างไม่ไยดี เขาทำราวกับว่าตัวผมเป็นสิ่งชั่วร้ายที่ต้องกำจัดให้เร็วที่สุด แม้เหตุผลจะสมควร...จิตใจผมก็แหลกเหลวย่อยยับจากการกระทำนั้นอยู่ดี
ระยะเวลาที่จากที่นั่นมาเพิ่มความเจ็บปวดขึ้นทุกขณะ ผมตระหนักความจริงที่ว่าปัจจุบันมีแค่ตัวผม ไม่มีคำว่า 'ครอบครัว' อีกต่อไปแล้วในทุกๆวินาทีที่เคลื่อนผ่าน ความทรมานเมื่อถูกทอดทิ้งให้โดดเดี่ยวกัดกินจิตใจ
พื้นที่ๆผมเคยมีตัวตนอยู่ทั้งกับแม่และกับน้าวิทย์...ต่างไม่ใช่ที่ของผม
ผมไม่สามารถเป็นส่วนหนึ่งได้อย่างสมบูรณ์ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม เป็นความจริงที่น่าเศร้าที่ต้องจำใจยอมรับ ผมจมอยู่กับอารมณ์สูญเสียที่มีเพียงตัวเองที่เข้าใจ เหม่อมอง หม่นหมอง ล่องลอย มีควันบุหรี่ลอยอวลเป็นม่านกางกั้นตัดขาดจากผู้คนรอบข้าง
ป็อปกับร็อคให้ผมมาอยู่ด้วยที่บ้านของพวกมัน ความเป็นห่วงฉายชัดทุกครั้งที่มองดูผม เราแทบไม่ได้พูดคุยอะไรกัน ผมบอกพวกมันสั้นๆว่าน้าวิทย์กับน้าเพลงรู้เรื่องของผมกับทะเลแล้วแค่นี้ทั้งสองคนก็เดาเรื่องราวทั้งหมดได้และไม่ได้ซักไซ้อะไรอีก แต่ถึงจะอย่างนั้นพวกมันก็เฝ้าผมไม่ห่างสายตา ผมรู้สึกได้...และก็รู้ว่าพวกมันกลัวอะไร...คราวนั้นที่ผมทำร้ายตัวเองมันก็คงจะรู้แม้ผมจะบ่าบเบี่ยงไม่เคยพูดถึงแต่รอยแผลก็บ่งบอกชัดในตัวของมันเอง...
“เลต้องรอนานแค่ไหน กว่าพี่บลูจะกลับมา"ผมได้รับข้อความของทะเลตั้งแต่คืนวันนั้นที่ผมออกจากบ้าน นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่ทะเลส่งมาก่อนจะติดต่อไม่ได้อีกเลย ผมอ่านมันซ้ำไปซ้ำมาบ่อยครั้งราวกับว่ากำลังจ้องมองทะเลอยู่ มันเป็นสิ่งๆเดียวที่ทำให้รู้สึกถึงความเชื่อมโยงระหว่างกัน จากทุกสิ่งที่ผ่านมาทั้งหมดผมไม่กังขาใดๆในความรักของเรา...แต่ด้วยอะไรหลายๆอย่างทำให้รู้สึกว่ามันกำลังถูกสั่นคลอน เหตุผลก่อนหน้าที่ผมเคยคิดแต่ก็หลีกเลี่ยงและหลงลืมมันกลับมาในสำนึกอีกครั้ง ผมรู้ว่าเรื่องของเราเป็นไปได้ยากตั้งแต่ต้นแต่ก็ห้ามใจตัวเองไม่ได้ ทะเลไม่ใช่คนที่ผมควรจะรัก...ผมรู้ตั้งแต่แรก แต่จะรักหรือเลิกรักเหตุผลไม่ใช่ตัวกำหนด ผมเคยฝืนความรู้สึก สุดท้ายก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น พอปล่อยให้ความรู้สึกนำทาง เหตุการณ์ก็ไม่ได้ทำให้เจ็บปวดน้อยไปกว่ากัน...
ใช่ว่าจะไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง แต่เมื่อมันซัดโถมมาถึงในช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดก็เหมือนสะดุ้งตื่นจากฝันเพื่อมาพบกับความเป็นจริงอันน่าชัง...ดึงความรู้สึกผมให้ลงต่ำได้อย่างน่าใจหาย
สามอาทิตย์ที่ผ่ามมาผมพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุดเพื่อที่จะปกปิดอารมณ์ที่รู้สึกไว้ภายในไม่อยากให้ใครได้รับรู้ กลบเกลื่อนความทรมานเอาไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย...ผมไปเรียน ไปเล่นที่ร้าน ซ้อมดนตรี ทำทุกอย่างเพื่อรักษาชีวิตตรงส่วนนี้เอาไว้ไม่ให้สูญเสียมันไปอีก
ส่วนสิ่งที่เสียไปแล้วผมก็ได้แต่แหงนหน้ามองดูมัน...
เกือบทุกๆวันหากเป็นไปได้ผมจะยืมรถของร็อคเพื่อกลับมาที่บ้าน ในยามดึดดื่นเงียบสงัดบ้านปิดเงียบไม่มีแสงไฟผมจะยืนมองอยู่ข้างนอก ผมไม่แน่ใจว่าการที่ยืนอยู่ตรงนี้จะช่วยเยียวยาหรือซ้ำเติม แต่ที่แน่ๆคือผมอยากจะอยู่...และเฝ้าดูทะเลอยู่ห่างๆแม้จะมองไม่เห็น...
จากการที่ผมไม่เจอทะเลทั้งที่โรงเรียนและที่บ้านทำให้รู้ว่าน้าวิทย์จริงจังกับเรื่องของเราทั้งสองคนมากแค่ไหน ยิ่งระยะเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ผมก็ยิ่งรู้สึกสิ้นหวัง ผมคิดถึงไออุ่นของทะเลเมื่อได้กอดเขาไว้ในอ้อมแขนมากกว่าสิ่งใดทั้งหมด ในเวลาที่ผมนอนจึงไม่อาจหลับสนิทแม้สักครั้ง ฝันร้ายจู่โจมในยามที่จิตใจผมอ่อนแอและผมก็ไม่สามารถปกปิดมันไว้ได้เมื่ออยู่ในห้วงไร้สติ ร็อครับรู้ได้เมื่อผมนอนกระสับกระส่ายอยู่ที่ข้างเตียงมันบ่อยเข้า ความที่ไม่รู้จะทำอย่างไรมันก็คงไปปรึกษากับป็อปเพื่อช่วยกันหาทางออกกับเรื่องของผม
ตัวตนของผมที่ป็อปเคยสัมผัสในช่วงที่เราเคยอยู่ด้วยกันมีส่วนให้มันกังวลยิ่งกว่าใคร ป็อปคอยแต่จะป้วนเปี้ยนอยู่รอบๆตัวผมและเฝ้าสังเกต สายตาที่ใช้มองผมราวกับว่าเห็นเศษซากที่แตกหักและพยายามเก็บรวบรวมซากนั้นเพื่อต่อให้คืนสภาพเดิม...ทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่าทำไม่ได้
ผมมองความห่วงใยของป็อปด้วยหัวใจเฉยชาในทีแรก แต่เมื่อเวลาไหลผ่านไปผมก็ไม่อาจป้องกันตัวเองจากความรู้สึกที่ผมโหยหา ผมยอมปล่อยให้ตัวเองแสดงความอ่อนแอออกมาในคืนวันหนึ่ง ร็อคไม่ได้นอนที่บ้านจากเหตุผลส่วนตัวที่ไม่ต้องบอกก็พอจะรู้ และแม้ผมจะบอกป็อปว่าอยากอยู่คนเดียวป็อปก็ยังไม่ปล่อยผมไปง่ายๆ กลางดึกคืนนั้นผมสะดุ้งตื่น พยายามข่มตาหลับต่อก็หลับไม่ลง ผมลุกขึ้นนั่งหายใจเข้าออกในความมืด ไม่มีสิ่งใดในความรู้สึกนึกคิดเป็นรูปเป็นร่าง เวลาผ่านไปนานเกือบชั่วโมงผมจึงหันไปมองคนที่คาดว่าจะหลับอยู่แต่กลับไม่เป็นอย่างนั้น ป็อปนอนมองผมเงียบเชียบ ไม่มีความง่วงในแววตาแม้แต่น้อย ความรู้สึกบางอย่างที่ป็อปส่งมาทำให้น้ำตาผมไหลโดยไม่รู้ตัว
ป็อปได้แต่นอนมองด้วยความตกใจกับน้ำตาของผมที่เคยเห็นเป็นครั้งแรก ไม่ได้ลุกขึ้นหรือแม้แต่พูดอะไรออกมาสักคำราวกับกลัวว่าผมจะหยุดการกระทำนี้
สิ่งที่รู้สึกยามนี้ยากอธิบาย ผมกำลังรู้สึกอุ่นใจที่มีป็อปอยู่ข้างๆ มันเป็นความอุ่นใจแสนเศร้า พอถึงจุดอ่อนแอการมองเห็นใครสักคนที่รักเราทำให้กำแพงที่พยายามตั้งเอาไว้พังทลายลงได้ง่ายๆ ไม่เกี่ยวกับว่าเราจะรักคนๆนั้นตอบหรือไม่ แต่จุดสำคัญในยามอ่อนแอคือเราต้องการที่จะอยู่กับคนที่เรารู้ว่าเขารักเราเพื่อปลอบประโลมจิตใจ
ที่สุดแล้วคืนนั้นผมก็หลับลงได้อีกครั้ง แม้จะไม่มีบทสนทนาหรือสัมผัสระหว่างกันผมก็นึกเข้าใจสิ่งที่ป็อปพยายามสื่อ
ผมไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว...
ป็อปสื่อออกมาแบบนั้น
...ผมได้แต่ยิ้มเศร้าให้เขาก่อนจะหลับตา...
...
ผมเก็บตัวอยู่ในห้องซ้อมในเวลาที่ไม่มีเรียนไม่มีซ้อม มันเป็นที่ๆป็อปกับร็อคยินดีจะยกให้ผมอย่างเต็มใจ วันนี้หลังจากซ้อมกลองเป็นชั่วโมงจนเหนื่อยผมก็ทิ้งตัวลงกับพื้นนอนพัก ความสับสนทุกข์ใจของผมลอยอยู่ในอากาศบีบอัดออกมาเป็นความหม่นเศร้าอีกครั้ง เสียงดนตรีผ่านเครื่องเสียงดังแว่วเข้ามาในความคิดเป็นพักๆ ขณะที่ความคิดและความรู้สึกของผมกำลังจมลึก บอกไม่ถูกว่ากำลังคิดถึงเรื่องอะไรอยู่ ผมก็ได้ยินเสียงบานประตูเปิดออกและปิดลง จากนั้นไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่เข้ามา เขานั่งลงบนเก้าอี้และหมุนไปมาจนได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดรบกวนประสาท
“ตายรึยังวะ"
เสียงพูดที่ดูเหมือนพูดกับตัวเองเป็นเสียงไม่คุ้นเคยแต่ก็รู้ว่าเป็นใคร ปาร์คพูดออกมาและนิ่งเงียบไป ผมนอนอยู่แบบนั้นไม่ตอบสนองอะไร ในใจนึกหงุดหงิด ไม่นานผมก็ไม่สามารถนอนอยู่แบบนั้นได้อีกเมื่อปาร์คยังคงทำเก้าอี้เสียงดังไม่หยุด ผมลืมตาแล้วลุกขึ้นนั่ง
“โทษที ทำให้ตื่น" ปาร์คบอกแต่ดูก็รู้ว่าจงใจทำแบบนั้น
“ป็อปเลิกสอนกี่โมงรู้ไหม ไปหามันแล้วมันไล่บอกให้มารออยู่กับมึงที่นี่ก่อน" ปาร์คใช้คำพูดสนิทสนมกับผมทั้งๆที่เราแทบไม่เคยพูดคุยกันตรงๆสักครั้ง ผมมองท่าทางสบายๆของปาร์คก่อนตอบคำสั้นๆ
“ไม่รู้...เดี๋ยวมันก็คงมา"
จบคำแค่นั้นเราก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีก เสียงเพลงที่เปิดเอาไว้ช่วยให้เราไม่อึดอัดและต่างคนต่างอยู่ในส่วนของตัวเองไป ถึงจะไม่ได้อยู่คนเดียวแต่ปาร์คก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกเฝ้ามองเหมือนอยู่กับเพื่อนทั้งสองของผม คงเพราะปาร์คไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรของผมมากนัก แม้สายตาจะสงสัยอยู่ในบางทีแต่ไม่นานปาร์คก็เลิกที่จะสนใจ
หลังจากผ่านไปสักพักประตูห้องก็เปิดขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นตูนที่คงจะมารอไอ้ร็อคมันเลิกสอนด้วยอีกคน ความสัมพันธ์ที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆทำให้ผมไม่ถามให้มากความ
“พรุ่งนี้ไม่มีเรียนนะ อาจารย์เลื่อนไปชดเชยอาทิตย์หน้า เคนเพิ่งโทรบอก" ตูนนั่งลงข้างๆผมแล้วบอกขึ้น ผมพยักหน้าตอบกลับไป นึกเสียดายที่ไม่มีเรียนเพราะยิ่งผมว่างมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้ผมคิดฟุ้งซ่าน...
ในตอนนี้จากห้องที่เป็นเขตส่วนตัวของผมกลายเป็นที่สาธารณะสำหรับพวกว่างนั่งรอคนไปโดยปริยาย ทั้งสองคนนอกเหนือจากตัวผมมีจุดร่วมที่เหมือนกัน นั่นคือการมาเพื่อที่จะเจอคนของพวกมัน ความสัมพันธ์ที่คล้ายกับว่าเป็นเรื่องธรรมดาจากมุมมองนี้ แต่ในอีกมุมกลับกลายเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ในสายตาของน้าวิทย์...ยิ่งคิด...ผมก็อดไม่ได้ที่ผมจะเอ่ยถามตูนออกไป
“ตูน พ่อกับแม่งมึงรู้รึเปล่าเรื่องไอ้ร็อค" ตูนมองผมอย่างแปลกใจที่ผมถามขึ้นมา แต่คงเป็นเพราะปัญหาที่ผมกำลังเผชิญอยู่ทำให้ตูนบอกเรื่องส่วนตัวออกมาง่ายๆ
“ไม่รู้หรอก กูมาเรียนนี่ ปิดเทอมค่อยกลับไปก็ธรรมดาที่เขาจะไม่รู้อะไร"
“มึงคิดจะบอกไหม"
“ยังเร็วไป กูยังไม่ได้คิด"
“ถ้าเกิดวันนึงเขารู้ขึ้นมา...มึงว่าเขาจะรับได้รึเปล่า"
“กูก็ไม่แน่ใจ...”
“.......”
“แต่กูคิดว่ากูจะไม่เลิกกับใครเพราะพ่อแม่รับไม่ได้หรอก..."
“แล้วถ้าพวกเขาเสียใจที่มึงทำแบบนั้น...” ตูนถอนใจกับคำพูดกึ่งคำถามของผม
“ไม่รู้สิ...ถ้ากูคิดว่าไม่ได้ทำให้ใครเดือนร้อนกูก็ไม่คิดว่ามันผิด"
ผมรับฟังแล้วครุ่นคิด มุมมองที่ตูนบอกและเหตุผลจะเอามาเปรียบเทียบกับเรื่องของผมก็คงจะไม่ได้ซะทีเดียว เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผมมันซับซ้อนมากกว่านั้น น้าวิทย์กับน้าเพลงเป็นคนที่ผมเรียกว่าครอบครัว แต่ก็ไม่ใช่พ่อแม่แท้ๆที่จะคิดเอาแต่ใจตัวเองได้ ผมไม่อาจปฎิเสธอะไรก็ตามที่พวกเขาต้องการ ชีวิตใหม่และทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาเคยให้มันมีความหมายเกินกว่าจะเพิกเฉยต่อสิ่งเหล่านั้นได้
"มันเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา...” ปาร์คที่นั่งเงียบมานานพูดขึ้นลอยๆ “ถ้าจะให้ยอมรับเรื่องแบบนี้เลยมันก็ออกจะแปลก...ไม่คิดงั้นเหรอวะ..."
ผมหันไปมองปาร์คที่มีสีหน้าจริงจังดูแตกต่างไปจากทุกที สิ่งที่ปาร์คต้องการสื่อผมเข้าใจ มันต้องใช้เวลาผมรู้...แต่ก็ไม่รู้ว่ามันต้องใช้เวลานานแค่ไหน...และไม่รู้ว่าจะมีวันนั้นไหมด้วยซ้ำ...
ผมกลับเข้าวังวนเดิมๆกับการหาทางออกไม่เจออีกครั้ง ตอนนี้ผมอยากเจอทะเลที่สุด อยากเห็นหน้า อยากรู้ว่าทะเลจะเป็นยังไง จะเป็นเหมือนกับผมไหม...
“อยู่กันครบเลย" ร็อคเปิดประตูเข้ามามองรอบๆห้องแล้วพูดขึ้นทำให้ผมหลุดออกจากความคิด ไม่นานป็อปก็ตามเข้ามา หลังจากนั้นพวกมันทุกคนก็ตกลงกันว่าจะไปกินข้าวที่ไหน ผมอยู่ตรงนี้และกำลังมีปัญหาพวกมันจึงมักพาผมไปนู่นมานี่ไม่อยู่กับที่เพราะคิดว่าคงช่วยผมได้ไม่มากก็น้อย เรามาลงเอยกันที่ร้านอาหารประจำที่มักมากินกันก่อนจะไปเล่นที่ร้าน คืนนี้เราเล่นเป็นวงสุดท้ายช่วงดึกจึงนั่งยาวไปจนถึงช่วงค่ำๆ
ปกติแล้วการที่มีร็อคอยู่จะทำให้ผมไม่สามารถอยู่กับความคิดตัวเองได้ มันจะคอยกระตุ้นผมให้มีส่วนร่วมกับบทสนทนาอยู่เสมอโดยเฉพาะในช่วงนี้ เมื่อมีปาร์คที่ดูจะกวนตีนไม่น้อยไปกว่ากันเพิ่มมาก็ทำให้ผมได้สังเกตเพื่อนใหม่คนนี้ชัดๆอีกครั้ง สายตาของปาร์คที่ผมเจอเขาแรกๆบ่งบอกสัญญาณไม่เป็นมิตรเปลี่ยนไปมาก โดยที่ผมไม่รู้ตัวสายตาที่แสดงออกกับผมก็เหมือนกับที่มองเพื่อนๆคนอื่นๆไปแล้ว จะมีพิเศษอยู่กับแค่คนเดียวที่มันนั่งข้างๆอยู่ตอนนี้
ผมนึกแปลกใจกับท่าทีของป็อปอยู่เหมือนกันเมื่อได้เห็นบ่อยเข้า ผมไม่เข้าใจว่าป็อปกำลังคิดอะไรอยู่ ป็อปเป็นคนปกปิดอารมณ์ของตัวเองได้ดีหากเขาไม่ต้องการที่จะให้ใครรู้ก็จะไม่มีใครรู้ กับปาร์คแล้วแววตาที่ป็อปใช้มองไม่เหมือนกับที่มองผม มันเป็นสายตาแปลกประหลาดที่ผมตีความมันไม่ออกเหมือนมีส่วนใดส่วนหนึ่งที่ผมไม่อาจเข้าใจได้ ปาร์คมักจะหงุดหงิดบ่อยๆเมื่อป็อปใช้สายตาแบบนั้นจ้องมอง กฎแรงดึงดูดของปาร์คดูจะใช้กับป็อปไม่ได้ผล ความสัมพันธ์ที่คล้ายจะใช่เมื่อได้มองดีๆแล้วกลับยังไม่เป็นอย่างที่คิดมันทำให้ผมอยากจะรู้ว่าในที่สุดแล้วฝ่ายใดที่จะเป็นฝ่ายชนะ
...
ร้านพี่ตินผู้คนก็ยังแน่นขนัดแม้จะเป็นวันธรรมดา ช่วงที่เราขึ้นเล่นเป็นช่วงที่ทุกคนคึกคักสุดขีด ผมปล่อยพลังงานไปกับจังหวะอารมณ์ที่หนักหน่วงรุนแรงแทบไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น จวบจนเพลงสุดท้ายที่จังหวะเนิบช้าผมจึงค่อยเงยหน้ามองบรรยากาศโดยรอบ
และเห็นดวงตาคุ้นเคยที่จ้องตรงมา...
ผมจังหวะสะดุดแทบล้มเลิกกลางคัน ทะเลยืนอยู่ตรงนั้นที่เดิมเหมือนที่มาทุกครั้ง ในร้านที่มีเพียงแสงไฟไม่มากนักทำให้บอกไม่ได้ว่าเป็นความจริงหรือภาพลวงตาที่เกิดจากความคิดของผมเอง ผมนึกอยากให้เพลงสุดท้ายนี้จบโดยเร็วเพื่อพิสูจน์สิ่งที่สงสัย ผมมองทะเลเอาไว้แทบไม่ละสายตาเพราะกลัวว่าจะหายไป
เมื่อจังหวะสุดท้ายสิ้นสุด...ผมก็ลุกขึ้นกระโดดลงจากเวทีเพื่อไปหาคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น
ผมดึงทะเลเข้าหาตัวและสัมผัสได้ถึงไออุ่น...เป็นทะเลจริงๆ...
ผมกอดรัดทะเลแน่นไม่สนใจสายตาคนรอบข้างที่มองอยู่ แขนทะเลก็กอดรัดผมรุนแรงเช่นเดียวกัน เราดื่มด่ำช่วงเวลานั้นชั่วอึดใจก่อนที่ผมจะพาทะเลออกมาข้างนอก เราอยู่หลังร้านที่ไม่มีใครผ่านไปผ่านมาให้ความเป็นส่วนตัวมากพอที่ผมจะจูบคนตรงหน้าอย่างกระหาย หัวใจบีบรัดจากความรู้สึกคิดถึงจนเต้นถี่แรง
“มาตั้งแต่เมื่อไหร่" ผมผละออกช้าๆแล้วถาม ทะเลมองผมเหมือนอยากจะร้องไห้แต่ก็พยายามข่มกลั้นกัดริมฝีปากเอาไว้
“ดึกขนาดนี้เลมายังไง"
“เอารถพี่บลูมา...เลแอบพ่อออกมา...”
ผมคิดว่าเรามีเรื่องที่ต้องคุยกันเลยเข้าไปบอกพวกไอ้ร็อคให้กลับกันไปก่อนและอาจไม่กลับบ้าน แค่เห็นร็อคพยักหน้ารับรู้ผมก็รีบออกมาอย่างรวดเร็วไม่ได้สนใจสายตาเป็นห่วงของพวกมัน
ผมพาทะเลมาเปิดห้องพักที่อยู่ไม่ไกล ไม่ถามหาความสมัครใจหรืออะไรทั้งนั้น ทะเลก็ยอมตามผมมาโดยไม่ปริปากถาม เมื่อถึงห้องพักเราต่างก็เงียบเหมือนไม่รู้ว่าจะเริ่มที่ตรงไหน ผมจับจ้องคนตรงหน้าแน่นิ่งและเห็นแววตาหม่นเศร้าไม่ต่างจากของผมก็รู้สึกหน่วงหนักในใจ ผมคิดอยากเห็นทะเลที่สดใสคนเดิมเมื่อนานมาแล้ว คิดถึงรอยยิ้มอบอุ่นที่ทำให้ผมหลงรัก อดคิดไม่ได้ว่าตัวเองเป็นคนทำให้รอยยิ้มนั้นกลายเป็นอดีตไป
ทะเลยกมือทั้งสองข้างขึ้นลูบใบหน้าผม เป็นสัมผัสที่บอกว่าคิดถึงและปลอบประโลมใจผมในเวลาเดียวกัน ผมยิ้มตอบสัมผัสรักใคร่แล้วจูงทะเลมาที่เตียง
“เลเพิ่งรู้ว่าจำเบอร์พี่บลูไม่ได้ก็ตอนพ่อเอาโทรศัพท์เลไป" ทะเลบอกเมื่อเราสองคนนอนลงหันหน้าเข้าหากัน
“พี่บลูอยู่ที่ไหนตอนนี้...อยู่กับพี่ป็อปรึเปล่า"
“อืม"ผมจับมือทะเลมาไว้ตรงอก แล้วมองทะเลไม่วางตา "พี่อยู่กับสองคนนั้น"
"เกือบเดือนที่พี่ไม่อยู่เลแทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว...พ่อไม่ให้เลไปไหนเลยนอกจากโรงเรียน เลพยายามคุยกับพ่อหลายครั้งแต่พ่อไม่ก็ฟังอะไรที่เลพูด...เลไม่รู้จะทำยังไงแล้ว...เลเป็นห่วงพี่บลู กลัวพี่เสียใจ...กลัวพี่จะทำร้ายตัวเองอีก..."
“พี่ไม่เป็นไร...”
“ไม่จริงหรอก ดูตาพี่ก็รู้ ตอนที่พี่เห็นเลพี่ทำหน้าแบบไหนรู้ตัวรึเปล่า มันทำให้เลคิดว่าน่าจะออกมาหาพี่ตั้งนานแล้ว" วูบหนึ่งในความคิดหลังจากได้ยินทะเลพูดทำให้ผมไม่อยากปล่อยให้ทะเลกลับไป ความรู้สึกของทะเลที่มีต่อผมเป็นสิ่งที่ผมต้องการที่สุด ผมต้องการความรักของทะเล ต้องการความรู้สึกห่วงใยที่มีให้ผม เพราะมันเหมือนจะเป็นสิ่งเดียวที่จะช่วยผมได้
"ตั้งแต่ออกมาจนถึงตอนนี้พี่ก็ไ่ม่รู้จะทำยังไงเรื่องของเรา" ผมพูดขึ้นเบาๆ "พี่ไม่มีสิทธ์ในตัวเลสักนิดถ้าเทียบกับน้าวิทย์...พี่เลยทำอะไรไม่ได้สักอย่าง"
“พี่บลูไม่ต้องทำอะไร...แค่ไม่เปลี่ยนใจจากเลก็พอ"ทะเลขยับเข้ามากอดผมเอาไว้ “เลได้คุยกับแม่แล้ว แม่ไม่ได้ต่อต้านเรื่องของเราเท่ากับพ่อเลก็เลยเล่าให้แม่ฟัง ถึงแม่จะตกใจที่เห็นภาพแบบนั้นแต่เลคิดว่าแม่เข้าใจ...เลเห็นว่าแม่ห่วงพี่บลูแล้วก็ดูเศร้าตั้งแต่พี่ไม่อยู่..."
ผมไม่ค่อยได้พูดอะไรมากนักได้แต่นอนฟังทะเลพูดไปเรื่อยๆ ทะเลเล่า ผมก็ขานรับให้รู้ว่าฟังอยู่ ผมรู้สึกสบายใจที่สุดที่มีทะเลอยู่ด้วยในตอนนี้ แต่ก็แค่เพียงไม่นานที่ผมมีสติอยู่ได้ ความอบอุ่นและกลิ่นที่คุ้ยเคยทำให้ผมเผลอหลับไป ผมปล่อยความกังวลทั้งหมดแล้วหลับสนิท ความเหนื่อยอ่อนทางจิตใจและทางร่างกายทำให้หลับไปโดยไม่ได้ตั้งใจ เวลาที่มีเพียงน้อยนิดผ่านไปอย่างรวดเร็ว รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ทะเลปลุกขึ้นมาเพื่อบอกว่าต้องกลับบ้านแล้ว
“ใกล้เช้าแล้ว...เลต้องกลับก่อนที่พ่อกับแม่จะตื่น"
“เดี๋ยวพี่ไปส่ง" ผมบอกแล้วก็นึกอะไรขึ้นมาได้เลยมองหาปากการอบๆห้อง เมื่อเจอแล้วก็เขียนเบอร์โทรศัพท์ของตัวเองลงบนฝ่ามือของทะเล ผมบอกให้ทะเลจำมันไว้ด้วยเพื่อจะได้ติดต่อกัน
เมื่อถึงหน้าบ้านทั้งผมและทะเลต่างก็ยังไม่ยอมถอยห่าง ท้องฟ้ายังมืดอยู่ก็ยังดูเหมือนพอมีเวลา ผมรู้สึกดีขึ้นที่ได้เจอทะเลและคลายกังวลไปด้วยส่วนหนึ่ง ช่วงเวลาแสนสั้นกับทะเลยังคงเป็นช่วงที่ทำให้ผมทั้งสุขทั้งเศร้า ผมกอดทะเลแน่นก่อนจะปล่อยเขาไปในที่สุดเเมื่อเริ่มเห็นแสงที่ขอบฟ้า
“เลจะไปหาพี่บลูที่ร้านอีกถ้าออกมาได้"
ทะเลพูดทิ้งท้ายก่อนตัดใจหันหลังเดินจากผมไป
...
มีความเปลี่ยนแปลงในตัวผมหลังจากวันนั้นที่เจอกับทะเล ทุกอย่างดูไม่ได้เลวร้ายไปทั้งหมดเหมือนกับก่อนหน้า ผมหลุดออกจากอารมณ์หม่นหมองเพื่อใช้ชีวิตต่อไปอย่างที่ควรจะทำ ชีวิตผมถูกพัดพาไปจากจุดหนึ่งสู่อีกจุดหนึ่งซึ่งต้องยืนบนขาของตัวเอง ผมโตมากพอที่จะรู้ว่าควรใช้ชีวิตคนเดียวอย่างไร เรื่องครอบครัวผมควรจะทำใจซะในเมื่อมันไม่มีทางที่จะเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว ในไม่ช้าเรื่องที่ผ่านมาก็จะเป็นแค่อีกหนึ่งรอยแผลเป็นให้หวนนึกถึง
นอกจากเรียนและเล่นที่ร้านผมตั้งใจจะทำงานให้มากขึ้น ร็อคกับป็อปรีบเสนอให้ผมช่วยสอนกลองให้กับโรงเรียนดนตรีเล็กๆของพวกมันทันทีที่รู้ว่าผมตั้งใจจะหางาน ผมให้ชั่วโมงว่างทุกชั่วโมงกับพวกมันเพื่อรับงานสอน เมื่อลงมือทำจริงๆจังๆทั้งเรียนและทำงานผมก็คิดว่าไม่ได้หนักหนาเกินไปนักและมีส่วนดีตรงที่ไม่มีเวลาที่จะคิดเรื่องส่วนตัว
ผมเจอกับปาร์คที่นี่บ่อยๆจนเป็นเรื่องชินตา ผู้ชายผมยาวประบ่าพร้อมรอยสักตรงท้ายทอยคนนี้ชอบมานั่งรอป็อปในห้องซ้อมทำให้เราได้พูดคุยกันมากขึ้น ร็อคเคยบอกครั้งหนึ่งว่าผมกับปาร์คดูมีอะไรที่คล้ายกันแต่มันก็บอกไม่ถูกว่าคืออะไร บางทีอาจเป็นในส่วนของความรู้สึกที่จับต้องไม่ได้ไม่ใช่รูปลักษณ์ภายนอกร็อคถึงพูดแบบนั้น ผมพูดคุยกับปาร์คได้อย่างสนิทใจเท่าป็อปกับร็อคและก็ต้องยอมรับว่าปาร์คเป็นคนมีแรงดึงดูดผู้คนให้เข้าหาไม่เว้นแม้แต่ผม
ช่วงนี้ผมคิดว่าถึงเวลาที่ควรจะมีที่เป็นของตัวเองไม่ต้องรบกวนเพื่อนฝูงจึงเริ่มหาห้องพัก พอพูดกับปาร์คไปได้ไม่กี่คำมันก็เสนอห้องว่างที่พี่มันมีอยู่และคิดไว้ว่าจะเปิดให้เช่า ห้องที่ปาร์คว่าอยู่ชั้นบนของร้านสัก พี่ปาล์มพี่ชายปาร์คเคยอยู่ที่นี่แต่ก็ย้ายออกไปอยู่ที่อื่นแล้วตั้งแต่แต่งงานไม่กี่เดือนก่อน
“พี่ปาล์มคิดราคากันเองเพราะเป็นเพื่อนกู ลองดูก่อนแล้วกัน กูว่ามึงน่าจะชอบ" ปาร์คว่าเมื่อพาเรามาถึงที่ร้านช่วงค่ำวันหนึ่ง ผมกับป็อปที่มาด้วยกันเจอพี่ปาล์มแล้วทักทายเล็กน้อยเมื่อเห็นพี่เขากำลังสักให้ลูกค้าอยู่
"ร้านเพิ่งจะย้ายมาที่นี่แค่สองสามปี เมื่อก่อนพี่ปาล์มรับสักมันที่บ้านนั่นแหละคิดว่าจะทำเล่นๆ เอาเข้าจริงลูกค้าเยอะจนกูต้องช่วย" ปาร์คเล่า
อาคารพาณิชย์สองชั้นที่นี่ยังดูใหม่อยู่มาก ห้องชั้นสองก็ค่อนข้างใหญ่ มีเฟอร์นิเจอร์ครบเกือบทุกอย่าง และผมก็ชอบตรงที่มันดูมีความเป็นส่วนตัวอยู่มาก
“กูว่าที่นี่ก็ดีนะบลู ไม่ไกลทั้งมหาลัยทั้งตึกพวกกู" ป็อปพูด ผมเห็นปาร์คเหล่มอง
“อืม ดีเหมือนกัน ไม่ไกลบ้านเท่าไหร่ด้วย..." ผมเห็นด้วยอย่างที่ป็อปว่า อีกอย่างที่ผมคิดคือที่นี่ไ่ม่ไกลจากหาดแล้วก็ไม่ไกลจากบ้านเก่าของผม เมื่อเป็นดังนั้นเราจึงลงมาคุยเรื่องค่าเช่ากับพี่ปาล์มข้างล่าง
ผมตกลงเช่าที่นี่และย้ายเข้ามาอยู่ในอาทิตย์ถัดมา นอกจากย้ายที่อยู่ใหม่ผมก็ซื้อมอเตอร์ไซค์ใหม่ด้วยเพื่อความสะดวก การที่เล่นที่ร้านมานานทำให้ผมไม่เดือดร้อนมากนักเมื่อจะต้องอยู่คนเดียว จะติดอยู่อย่างเดียวคือสภาพจิตใจที่ยังไม่ปกติดีเท่าไหร่
จากที่ทะเลมาหาวันนั้นผมก็ยังไม่ได้เจอทะเลอีก จะมีเป็นบางครั้งที่ทะเลโทรมาหาผมจากเครื่องของคนอื่น เราคุยกันเกือบทุกวันแต่ก็ไม่นาน การได้ฟังแต่เสียงดูเหมือนไม่ได้ช่วยอะไรเลยด้วยซ้ำมีแต่จะโหยหามากขึ้น แม้ผมจะเริ่มทำใจแล้วว่าจะไม่มีวันได้กลับไปอยู่ที่บ้านอีกผมก็ยังนึกเศร้าอยู่ในบางครั้ง การที่ต้องอยู่คนเดียวไร้คนที่เคยอยู่ข้างๆกันก่อเกิดความเหงาขึ้นในใจ
หากว่าไม่มีตั้งแต่แรกก็คงจะไม่รู้สึกขาด...ผมนึกเปรียบเทีบกับความเหงาในวัยเด็กแต่มันกลับไม่ใช่แบบเดียวกัน ยามกลางคืนห้องใหม่ที่ไม่คุ้ยเคยทำให้เวลาเดินช้า รู้สึกนานเนิ่นและเงียบสงัด สร้างความเย็นเยียบในหัวใจได้อย่างทรมาน ช่างดูเป็นชีวิตใหม่ที่เปราะบางจนผมไม่รู้ว่าจะทนได้นานแค่ไหน...
การรอคอยของผมสิ้นสุดลงเมื่อผมได้เห็นหน้าคนที่อยากเจออีกครั้งสามอาทิตย์ถัดมา
ผมยืนสูบบุหรี่อยู่หน้าร้านเพื่อหวังที่จะเจอทะเลอย่างเคย และแม้หวังอย่างนั้นพอได้เห็นทะเลจริงๆผมก็ยังอดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ ทะเลมาด้วยชุดนักเรียนเหมือนไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน แววตาโหยหาที่ทะเลมองผมทำให้รู้ว่าแรงดึงดูดเข้มข้นระหว่างกันยังคงอยู่ เมื่อผมดึงทะเลมากอดก็ได้รับรู้ถึงการเต้นของหัวใจทะเลที่รุนแรงไม่ต่างกัน คืนนั้นหลังจากเล่นเสร็จผมพาทะเลมาที่ห้องเพื่อให้รู้ว่าตอนนี้ผมอยู่ที่ไหน
ผมไม่ถามทะเลว่าทำไมถึงมาหาผมไม่ได้เพราะรู้ดีว่าจะเป็นตัวเองที่เจ็บหากได้ยินท่าทีต่อต้านของน้าวิทย์ที่มีต่อผมอีก
“เลขอโทษที่ไม่ได้มาหา" ทะเลพูดและแสดงออกทางแววตาอย่างที่บอก
“คิดถึง" ผมพูดเสียงสั่นเหมือนไม่ใช่เสียงตัวเอง ทะเลได้ยินแบบนั้นก็โผเข้ากอดผมแล้วร้องไห้ออกมา
“...เลก็คิดถึงพี่บลู เลไม่รู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน..."
ผมนึกคำพูดปลอบใจไม่ออก ในสถานการณ์นี้ไม่รู้ว่าใครที่ทรมานไปกว่ากัน ผมก้มลงจูบทะเลแล้วแสดงความต้องการอย่างชัดแจ้งออกมา ทะเลไม่ได้ว่าอะไรที่ผมรุกเร้าหนักขึ้นและตอบสนองผมไปพร้อมๆกับน้ำตา
“กอดเลแรงๆก็ได้...เลไม่เป็นไร"ทะเลกระซิบบอกเมื่อผมทาบทับลงกับเตียง ทะเลรู้ว่าผมกำลังยับยั้งชั่งใจกับความดิบเถื่อนที่ผมมีอยู่ภายใน
แม้ความเจ็บปวดจะท่วมท้นแต่ผมก็มีความคิดที่อยากจะแสดงความรักมากกว่าแสดงด้านที่จะทำร้ายกัน ผมยิ้มให้ทะเลบางๆกับคำพูดที่เขาเอ่ยกับผม บางทีผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมความเจ็บปวดจากความรักจึงเกิดขึ้นได้แม้เราจะรักกัน ผมเจ็บให้กับอะไรบางอย่างตลอดมาจนถึงตอนนี้ก็ยังเป็นแบบนั้น
หากจะหาเหตุผลที่ใกล้เคียงที่สุดคือผมไม่อาจครอบครอง
ความคิดนั้นทำให้การร่วมรักกับทะเลที่ผ่านมาไม่เคยพอ ไม่ว่าจะตอกย้ำสักกี่ทีก็ไม่เคยถมเต็ม
หลังจากกิจกรรมอันยาวนานทะเลก็หลับไปในอ้อมกอดผม...ผมมองแผ่นหลังเปลือยเปล่าแล้วลูบไล้แผ่วเบา
ไม่อยากให้ทะเลกลับไป
ไม่อยากเลย...
ผมไม่อยากอยู่อย่างโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา...เวลาที่ทะเลอยู่ที่นี่ความเหงาที่มีอยู่ทุกวันหายไปและดึงวันเวลาที่เราอยู่ด้วยกันกลับคืนมา ช่วยไม่ได้เลยที่ตอนนี้ผมจะคิดเห็นแก่ตัวอยากให้ทะเลอยู่กับผมตลอดไป
มันจะเป็นไปได้ไหม...มันจะผิดมากหรือเปล่าหากผมทำแบบนั้น
ผมคิด...และมองแผ่นหลังของทะเลที่ค่อยๆเลือนหายไปเพราะความชื้นจากน้ำตา...
Song Titles : Here With Me
Artist : The Killers
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หายไปตั้งสองอาทิตย์ แหะๆ
เห็นมีคนรออยู่ด้วย แอบดีใจ
ตอนที่ผ่านมาชอบหลายๆคอมเม้นท์เลย
เพลง vincent ของคุณ เมล่อนคอซอง ก็โดนมาก
เพลงของคุณ 1wariya1 นี่ก็เศร้าเชียว (ถ้าบลูกับทะเลจะไปในทิศทางนั้น)
อาทิตย์หน้าก็ไม่แน่ว่าจะมาไหม สปีดต่ำสุดๆ
แต่เรื่องมันคงไม่เศร้าไปมากกว่านี้แล้วล่ะค่ะ เขียนเองก็เศร้าเหมือนกัน...
ยังไงถ้ายังไม่เฮิร์ทกันจนเกินไปก็เจอกันตอนหน้านะคะ