ตอนที่ 7 : ชายหนุ่มผู้ชินชากับความเหงา
เต็มฟ้าซึ่งนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์กระโดดแผล็วลงไปยืนตั้งแต่รถยังไม่จอดสนิทเลยด้วยซ้ำ เล่นเอาคนขับถึงกับส่ายหน้า หากเป็นน้องเป็นนุ่งคงจะโดนอบรมไปหลายกระบุงโกย ศิธาพัฒน์มองตามคนที่กำลังเดินตรงไปยังแผงขายขนมโบราณหลากชนิดทั้งลูกกวาดสีสวย บ๊วยเค็ม ซึ่งไม่ค่อยมีให้เห็นทั่วไปตามท้องตลาด
“ยังมีขายอยู่อีกเหรอเนี่ย” ชายหนุ่มร่างสูงที่เดินตามมาเอื้อมมือหยิบขนมโก๋รูปปลารองด้วยกระดาษสีบานเย็นใส่ในซองพลาสติกมีของแถมเป็นแหวนทองวงเล็กขึ้นมาดูอย่างพิจารณา
“พวกขนมหรือของเล่นสมัยเด็ก ๆ น่ะ ร้านนี้มีทุกอย่างแหละ” คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กันกล่าวก่อนจะหันไปยิ้มกับอาม่าเจ้าของร้านที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้โยก ฟังเสียงสนทนาของพระเอกนางเอกละครวิทยุซึ่งดังมาจากวิทยุทรานซิสเตอร์เครื่องเล็กที่วางอยู่เหนือตู้โชว์ของเล่นโบราณ ในมือของเธอกำพัดใบลานกวัดแกว่งไปมาคลายความร้อนอบอ้าวของอากาศยามเมื่อฝนใกล้ตกเช่นนี้
“ยังกับย้อนเวลาได้”
เต็มฟ้าพยักหน้าเห็นด้วยกับคนพูด มันเป็นความรู้สึกแบบเดียวกันกับที่เขารู้สึกทุกครั้งที่ได้แวะเวียนมาที่นี่ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองตังเมไม้ที่ถูกเย็บติดกับแผงกระดาษซึ่งแขวนอยู่เหนือศีรษะขึ้นไปเล็กน้อย พลันรอยยิ้มเล็ก ๆ ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าก่อนจะเอื้อมมือดึงถุงขนม
“เดี๋ยวหยิบให้” คนตัวสูงกว่ากล่าวก่อนจะขยับตัวเข้ามาใกล้ ‘ใกล้เกินไป’ จนอีกคนต้องขยับหนีปล่อยให้เขาดึงถุงขนมลงมา
“เอาอีกไหม” ศิธาพัฒน์หันมาถามพร้อมกับยื่นถุงขนมให้
“อีกอันเดียวก็พอ เดี๋ยวซื้ออย่างอื่นด้วย” พูดจบก็หันไปคว้าถุงเจลลี่รูปขวดโคล่า 2-3 ถุงกับกังหันลมของเล่นที่ด้ามจับทำจากพลาสติกใสใส่ลูกอมเม็ดเล็ก ๆ หลายสีอีก 2 อัน
“อาม่าคิดเงินด้วยครับ”
“ลื้อคิดมาเลยอาเต็ม ราคาเท่าเดิม เงินทอนก็อยู่ในกระป๋องนั่นทอนเอาเอง” หญิงชราเจ้าของร้านกล่าว เธอยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ท่าทางที่ดูเหมือนไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องของกำไรหรือขาดทุนนั้นชวนให้อดีตนักการตลาดอย่างศิธาพัฒน์รู้สึกแปลกใจไม่น้อย
“ติดละครตามเคย” เต็มฟ้าส่ายหน้าก่อนจะเอื้อมมือหยิบกระป๋องนมสนิมเขรอะที่ถูกผูกไว้กับเชือกไนลอนร้อยเข้ากับรอกบนขื่อลงมาจัดการทอนเงินให้ตัวเองเสร็จสรรพ
“อาม่าแกไม่กลัวโดนโกงเหรอถึงได้ปล่อยให้ลูกค้าบริการตัวเองขนาดนี้” คนที่ยังคงขมวดคิ้วด้วยความสงสัยเอ่ยขึ้น
“ไม่มีใครกล้าหรอก ส่วนใหญ่คนที่มาซื้อของร้านอาม่าก็คนในละแวกนี้ทั้งนั้น” คนที่กำลังหยิบขนมใส่ถุงกล่าวก่อนจะหันไปลาเจ้าของร้านที่กำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับฉากในละครวิทยุที่พระเอกกำลังต่อปากต่อคำกับนางเอก
ทันทีที่ก้าวเท้าออกจากร้านขนมฝนเม็ดเล็ก ๆ ที่เริ่มโปรยปรายลงมาเมื่อไม่กี่นาทีก่อนก็กลับหนาเม็ดขึ้นจนกระทั่งกลายเป็นม่านน้ำฝนปกคลุมไปทั่วบริเวณ เต็มฟ้าขยับมายืนชิดประตูห้องแถวข้าง ๆ กันที่ถูกปิดเอาไว้เฉย ๆ ซึ่งเจ้าของเพิ่งเอาป้ายประกาศขายมาติดได้ไม่นาน จมูกโด่งสูดเอากลิ่นที่เขาเรียกว่า ‘กลิ่นฝน’ เข้าเต็มปอดแบบที่ไม่สามารถทำได้เมื่ออยู่ที่กรุงเทพฯ ยังจำได้ดีว่าดุ่ยเคยถามอยู่หลายครั้งว่าไอ้กลิ่นฝนที่เขามักจะพูดถึงมันเป็นอย่างไร ซึ่งเขาเองก็ไม่สามารถจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดให้คนถามเข้าใจได้เหมือนกัน
“รีบกลับหรือเปล่า ถ้ารีบจะขี่ไปส่งก่อน มีเสื้อกันฝน” คนที่เดินมายืนข้าง ๆ กันเอ่ยขึ้น
คนถูกถามส่ายหน้าก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งกับพื้น “มีเสื้อกันฝนก็กลับไปก่อนก็ได้”
“นี่ที่พี่พูดตั้งแต่แรกยังไม่เข้าใจอีกเหรอ ก็บอกแล้วไงว่าจะไปส่ง” พูดจบศิธาพัฒน์ก็นั่งลงถัดไปไม่ไกล เต็มฟ้าไม่ได้ใส่ใจคนพูดเท่าไรนัก เขานั่งเอนหลังพิงบานประตูไม้พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองน้ำฝนที่ไหลลงมาเป็นสายตามแนวโค้งเป็นคลื่นของชายคากระเบื้อง ละอองฝนเย็น ๆ สาดกระทบใบหน้า ราวกับทุกสิ่งรอบตัวกำลังเคลื่อนที่ช้าลงจนแทบจะหยุดนิ่ง มันเป็น ‘บรรยากาศชวนเหงา’ แบบที่ใครสักคนได้ให้นิยามเอาไว้ ในที่สุดตาคมเลื่อนลงมามองขนมในถุงที่วางอยู่บนหน้าตักแทน
“ซื้อไปทำไมเยอะแยะ ไม่เห็นจะมีประโยชน์” เสียงนั้นดังขึ้นแข่งกับเสียงฝน ศิธาพัฒน์อดไม่ได้ที่จะถามตามประสาคนเคยถูกคุณย่าบ่นเมาก่อน ตอนนั้นรู้สึกไม่เข้าใจว่าทำไมย่าต้องบ่น แต่เมื่อวันหนึ่งที่กลายเป็นพี่ขึ้นมาบ้าง เขาเองก็มักจะบ่นแทนย่าอยู่บ่อย ๆ เมื่อเปิดเจอขนมไม่มีประโยชน์เหล่านี้ในเป้ใส่หนังสือของน้องชาย
“บางอย่างก็ไม่ได้กินเพื่อเอาประโยชน์นี่”
“ถ้าไม่เอาประโยชน์แล้วจะเอาอะไร พูดแปลก ๆ”
“รำลึกความหลังไง” คนที่ยังคงเงยหน้ามองสายฝนกล่าวเสียงเรียบ “แค่กินเพื่ออยากจะนึกถึงสมัยเด็ก หลาย ๆ คนก็คิดแบบนี้ไม่ใช่เหรอ บางครั้งก็อยากจะทำอะไรเพื่อนึกถึงความหลังครั้งยังเด็กบ้าง ยิ่งคนแก่ ๆ น่ะ”
ทำไมต้องหรี่ตามองมาทางนี้? เขายังไม่แก่นะ แม้อยากจะเถียง แต่หนุ่มวัยเบญจเพสก็เลือกที่จะเบนสายตาหนีสายตาเจ้าของตรรกะบ้า ๆ บอ ๆ นั้นแทน
“ก็เหมือนอาม่า ถ้าอยากได้เงินเยอะ ๆ แค่อยู่เฉย ๆ เก็บค่าเช่าตึกแถวฝั่งตรงข้ามก็พอแล้ว ไม่ต้องมาเปิดร้านขายขนมก็ได้”
ศิธาพัฒน์มองดูตึกแถวสร้างใหม่หลายคูหาตรงหน้าที่ขณะนี้ถูกจับจองจนเต็มหมดแล้ว “ตึกแถวข้างหน้านั่นของอาม่าเหรอ” เป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ เพียงแค่ต้องการตอกย้ำความจริงที่เพิ่งได้รู้เมื่อครู่ก็เท่านั้น
สองหนุ่มนั่งมองฝนที่ตกลงมาอย่างไม่ขาดสายโดยไม่ได้พูดอะไรกัน นาน ๆ ถึงจะมีรถยนต์ขับผ่านมาสักคันพอให้ได้ลุ้นว่าความเร็วจะทำให้น้ำที่นองอยู่บนพื้นถนนสาดถึงตัวพวกเขาหรือไม่ ในที่สุดคนหนึ่งก็ตัดสินใจเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ
“น้องตามบอกว่าเราเรียนมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ใช่ไหม”
“ต้องตอบด้วยเหรอ”
“อ้าว ถามดี ๆ นะ ทำไมต้องตอบกวน” ศิธาพัฒน์ยังคงพยายามข่มใจ “ว่าไงล่ะ นี่จบแล้วใช่ไหม”
เต็มฟ้าเพียงแค่พยักหน้าแทนคำตอบ
“น้องชายพี่ก็เรียนไกลบ้านเหมือนกัน ไปเรียนถึงสงขลาโน่น คุยกันทีไรก็บ่นให้ฟังว่าเหงา คิดถึงบ้านทุกที เราล่ะไม่เหงาเหรอ ไปเรียนไกลบ้านแบบนั้น”
คำถามนั้นทำให้ดวงตาทอประกายวูบหม่นลง ได้แต่ตอบตัวเองในใจ ...คำว่าเหงาสะกดยังไงแทบจะลืมมันไปแล้ว?
ศิธาพัฒน์มองคนข้าง ๆ อย่างรอคำตอบ แต่ชายหนุ่มยังคงเอาแต่นิ่งเงียบอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งฝนเริ่มขาดเม็ด
“ฝนหยุดแล้ว” เต็มฟ้ากล่าวพร้อมกับลุกขึ้น จงใจที่จะไม่ตอบคำถามนั้น ศิธาพัฒน์ลุกขึ้นตามพร้อมกับเงยหน้ามองท้องฟ้ายามบ่ายที่ขณะนี้ถูกแต้มด้วยสีทั้งเจ็ดของรุ่งกินน้ำที่ขอบฟ้าด้านหนึ่งก่อนจะเดินไปที่รถ มือหนาปาดน้ำฝนที่ค้างอยู่บนเบาะก่อนจะหันมาพูดกับร่างโปร่งที่เดินตามมาติด ๆ
“เปียกหน่อยนะ”
“ไม่เป็นไร ฝนตกจะให้มันแห้งได้ยังไง”
“เออ ไม่เถียง” คำตัดบทห้วน ๆ ทำคนพูดจากวนประสาทนึกสะใจเล็ก ๆ แต่ก็พยายามสะกดรอยยิ้มเอาไว้ เจ้าของมอเตอร์ไซค์ทำท่าฮึดฮัดด้วยความขัดใจก่อนขึ้นนั่งประจำที่สตาร์ทแชะ ๆ อยู่ไม่กี่ทีเครื่องก็ติด จากนั้นคนรอก็ขึ้นซ้อนท้ายโดยไม่ต้องให้บอก ใช้เวลาไม่นานมอเตอร์ไซค์คลาสสิคสีฟ้าก็พาสองหนุ่มลัดเลาะถนนที่ชุ่มไปด้วยน้ำฝนจนกระทั่งมาถึงเกสต์เฮาส์ซึ่งอยู่สุดปลายถนน คนซ้อนท้ายก็กระโดดลงโดยไม่รอให้รถหยุดเป็นครั้งที่สอง
“รอให้รถหยุดก่อนไม่ได้หรือไงถึงค่อยลง” ศิธาพัฒน์ว่าจะไม่พูดแต่ก็อดไม่ได้
“บ่นยังกับคนแก่” เต็มฟ้ากล่าวอย่างไม่ใส่ใจนักก่อนจะล้วงหยิบกังหันของเล่นในถุงแล้วยื่นให้ “เอาไปกินไป จะได้รำลึกความหลัง เผื่อจะจำได้ว่าเคยเป็นเด็กมาก่อน ไม่ใช่เกิดมาแล้วแก่เลย”
“ไอ้เด็กบ้า” ศิธาพัฒน์พึมพำด้วยรอยยิ้มก่อนจะรับกังหันของเล่นมาถือเอาไว้ มองหน้าคนที่กำลังยักคิ้วกวน ๆ
“ไปละ”
“นี่ไม่คิดจะขอบคุณเลยหรือไง เป็นเด็กเป็นเล็ก”
“ก็อุตส่าห์ให้ขนมเป็นการตอบแทนแล้วไง ยังต้องขอบคุณอะไรกันอีก”
“แค่นี้น่ะไม่พอค่าน้ำมันหรอก”
“แล้วจะเอายังไง”
“เลี้ยงข้าวสักจานก็แล้วกัน ข้าวผัดไม่ใส่ทั้งหอมเล็กหอมใหญ่น่ะ”
“อือ” เจ้าของกังหันพลาสติกตอบส่ง ๆ ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในบ้านทิ้งให้คนมาส่งยังคงนั่งยิ้มคนเดียวอยู่อย่างนั้น…
ประตูห้องนอนถูกปิดลงส่วนถุงใส่ขนมก็ถูกวางไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือ เต็มฟ้าทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงนุ่มก่อนจะเอนหลังนอนแผ่ยกมือขึ้นก่ายหน้าผากมองดูพัดลมเพดานที่กำลังหมุนช้า ๆ คำถามที่เขาไม่ได้ตอบยังคงก้องอยู่ในความรู้สึก
“เราล่ะไม่เหงาเหรอ ไปเรียนไกลบ้านแบบนั้น”ถ้าให้ย้อนกลับไปตอบได้ คงจะบอกว่ามันคงไม่มีช่วงไหนจะเหงาเท่ากับตอนที่ต้องไปโรงเรียนประจำที่เชียงใหม่หลังจากแม่เสียชีวิตลงอีกแล้ว ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะพ่อให้เหตุผลว่าจะต้องดูแลน้องที่ยังเล็กดังนั้นจึงตัดสินใจส่งเขาไปเรียนโรงเรียนประจำเพื่อจะให้ครูดูแลอย่างใกล้ชิด และเหตุการณ์ในครั้งนั้นก็ทำให้ต้องอยู่ไกลบ้านครั้งแรก จะได้กลับบ้านแต่ละทีก็ต้องรอให้ปิดเทอมเสียก่อน ดังนั้นในปีท้าย ๆ ของการเรียนมัธยมหากมีโอกาสได้กลับมาที่ลำปางเต็มฟ้าจึงมักจะมาขลุกอยู่ที่บ้านของน้าเดือนเป็นส่วนใหญ่ เมื่อใกล้ถึงวันเปิดเทอมก็จะอิดออดไม่อยากกลับทุกครั้งไป จนพ่อและน้าต่างพากันบ่นในความขี้เกียจและเกเรของเขาโดยไม่มีใครรู้เลยว่าเหตุผลในการไม่อยากกลับไปที่โรงเรียนประจำเป็นเพราะคำนิยามที่ฟังแล้วเจ็บปวดในความรู้สึกของเด็กที่ถูกส่งให้มาอยู่ไกลบ้านซึ่งผู้ใหญ่หลายคนใช้อธิบายเกี่ยวกับตัวของเขานั่นเอง
“ไอ้พวกเด็กเหลือขอ พ่อแม่เขาไม่เอาแล้วยังไม่รู้ตัว เขาถึงต้องส่งมาดัดนิสัยที่โรงเรียนประจำนี่ไง”คำพูดไล่หลังของแม่ครัวในโรงอาหารมีให้ได้ยินแทบทุกวันเมื่อเด็ก ๆ ทำอะไรให้รู้สึกไม่สบอารมณ์ เช่นทำช้อนหล่นบ้าง ทำถาดอาหารหลุดมือบ้าง แรก ๆ ก็ฟังแล้วอยากจะเถียงกลับ แต่เมื่อได้ฟังทุกวันก็กลายเป็นซึมซับและยอมรับสภาพนั้นไปโดยปริยาย นึกอยากขอบคุณคนที่ประดิษฐ์เครื่องเล่นเพลงแบบพกพา แม้จะมีราคาแพง ณ ขณะนั้นแต่มันก็ช่วยให้เขาไม่ต้องได้ยินคำพูดเหล่านั้นได้ หูฟังเล็ก ๆ มักจะถูกหยิบออกมายัดใส่หูทันทีหลังออกจากห้องเรียน จากเด็กชายนิสัยเรียบร้อยน่ารักที่เคยใส่ใจดูแลคนรอบข้างกลับกลายเป็นเด็กที่ไม่สนใจโลก จากเด็กธรรมดา ๆ ซุกซนไปตามประสาเด็กก็กลายเป็น ‘เด็กเหลือขอ’ ตามที่ผู้ใหญ่อยากให้เป็นในที่สุด ดังนั้นชีวิตการเรียนมัธยมของเต็มฟ้าจึงไม่ได้สวยงามสักเท่าไรนัก การเรียนจบชั้นม.6 และการสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยได้จึงเป็นหนทางในการพาตัวเองสู่ความเป็นอิสระ
แม้จะไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกันแต่พ่อก็ให้อิสระเขาในการเลือกที่เรียน ให้อิสระในใช้ชีวิต ให้อิสระในการคิดและตัดสินใจ รวมถึงการให้อิสระในการที่รักใครสักคน มีก็แต่ตัวเขาเองที่ยังคงขังตัวเองด้วยกำแพงแห่งความกลัว
กลัวที่จะต้องรักใครสักคนกลัวที่จะต้องเสียใจเมื่อคนที่รักจากไป...
“พี่เต็ม” เสียงนั้นดังอยู่ไกล ๆ ในความมืดมิด
“พี่เต็มครับ” เสียงนั้นค่อย ๆ ดังใกล้เข้ามาพร้อมกับสัมผัสอุ่น ๆ ที่ท่อนแขน
เด็กชายตัวเล็กจ้องมองเปลือกตาของคนตรงหน้าที่ค่อย ๆ ปรือขึ้น ดวงตาคู่นั้นที่ขณะนี้มีเงาของตัวเองตะท้อนอยู่ข้างใน เต็มฟ้ามองหน้าน้องชายก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นนั่งด้วยความงัวเงีย ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไร มองนาฬิกาติดฝาผนังถึงกับตกใจเมื่อเห็นว่าได้เวลาอาหารเย็น
ตามตะวันยิ้มให้ก่อนจะเอื้อนเอ่ยฉะฉาน “น้าเดือนให้มาเรียกพี่เต็มไปทานข้าวกันฮะ วันนี้มีของโปรดพี่เต็มทั้งนั้นเลย” พูดจบหนุ่มน้อยก็หันหลังกลับเดินผ่านประตูออกไป ชายหนุ่มมองตามพร้อมกับยันตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง จากนั้นจึงเดินตามน้องชายไปโดยไม่ลืมที่จะหยิบถุงขนมติดมือไปด้วย
เต็มฟ้าพบชลธรซึ่งเพิ่งกลับมาจากลำพูนที่โต๊ะอาหาร เธอบอกให้ทุกคนรู้ว่าแสงเดือนเกสต์เฮาส์กำลังจะมีสมาชิกเพิ่มขึ้น นั่นก็คือ “นภา” แม่ครัวคนใหม่ที่เพื่อนของเธอหาไว้ให้ ดังนั้นอาหารมื้อนี้จึงเป็นมื้อของการทดสอบฝีมือในด่านที่หนึ่งนั่นเอง ซึ่งหลังจากรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้วกรรมการในด่านที่หนึ่งต่างก็ลงความเห็นให้แม่ครัวคนใหม่ได้ไปต่อ ซึ่งเธอจะต้องรับการทดสอบด่านที่สองซึ่งเป็นสนามจริงในวันพรุ่งนี้
“ตาม เดี๋ยวเช็ดโต๊ะเสร็จแล้วก็ไปอาบน้ำซะนะลูก” เดือนดารากำชับหลานชายก่อนจะออกไปนั่งคุยกับนภาถึงข้อปฏิบัติต่าง ๆ ในการเข้ามาทำงานที่แสงเดือนเกสต์เฮาส์แห่งนี้
เด็กชายตามตะวันล้างไม้ล้างมือก่อนจะเดินออกจากห้องครัวไป เมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้องนั่งเล่น เขาก็พบพี่ชายกำลังนั่งดูทีวีอยู่ หนุ่มน้อยจึงเดินผ่านไปเงียบ ๆ
“ตาม”
เพียงคำเรียกชื่อสั้น ๆ ก็ทำเอาใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่ไม่ได้ถูกเรียกแบบนี้ ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่พี่ชายไม่ได้เรียกชื่อของตัวเอง ตามตะวันหันมองเต็มฟ้าด้วยความรู้สึกแปลกใจไม่น้อยก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ ๆ
“พี่ซื้อมาฝาก” ชายหนุ่มกล่าวเสียงเรียบพร้อมกับยื่นถุงขนมให้ “ไม่รู้ว่าชอบกินหรือเปล่า” สารภาพออกไปตามตรงเพราะไม่รู้จริง ๆ ว่าน้องชอบหรือไม่ชอบอะไร
ตามตะวันยิ้มแก้มแทบปริพร้อมกับยกมือไหว้ก่อนจะรับถุงขนมมากอดเอาไว้แน่น “ชอบครับ ตามชอบทุกอย่างเลย” มันแน่นอนอยู่แล้ว ของชิ้นแรกที่พี่ชายซื้อให้ยังไงก็ต้องชอบ
เต็มฟ้าพยักหน้าก่อนจะลุกขึ้นยืน “กินแล้วก็แปรงฟันด้วยล่ะ เดี๋ยวฟันผุ”
“ครับ” น้องชายรับคำหนักแน่นพร้อมกับมองขนมในถุง ดวงตากลมใสทอประกายระยิบระยับราวกับมันเป็นของมีค่าที่หาไม่ได้ในโลกนี้ “ขอบคุณนะครับพี่เต็ม”
ผู้เป็นพี่ชายไม่ได้พูดอะไร เขาได้แต่ยักคิ้วน้อย ๆ ก่อนจะเดินออกมาจากห้อง
เขินเหรอ? เต็มฟ้าเฝ้าถามตัวเองตลอดทางที่เดินกลับมายังห้องนอนของตัวเอง หากเป็นความรู้สึกเขิน ก็ไม่เข้าใจว่าจะเขินทำไม ชายหนุ่มส่ายศีรษะไปมาพยายามสลัดความคิดแปลก ๆ ออกไปขณะเปิดประตูเข้าไปในห้อง แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ หรือนี่เขาจะเขินจริง ๆ ร่างสูงเดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนเตียง หากเขาแวะมองกระจกก่อนหน้านี้คงได้เห็นเงาสะท้อนใบหน้าตัวเองที่ถูกแต้มด้วยรอยยิ้มเล็ก ๆ แน่ ๆ
ฝนที่ตกไปเมื่อตอนบ่ายทำให้อากาศยามค่ำคืนเย็นกว่าทุกวัน ศิธาพัฒน์ยังคงนอนลืมตามองดูกังหันของเล่นในมือก่อนจะใช้ปลายนิ้วเขี่ยเบา ๆ เพียงสัมผัสเบา ๆ เท่านั้น กังหันสีสวยก็หมุนไปตามแรง นึกถึงวิธีใช้ที่คนให้พูดกำกับแล้วยังรู้สึกเจ็บ ๆ คัน ๆ ไม่หาย
“ใครจะไปกิน” พูดเบา ๆ เพียงแค่ให้ตัวเองได้ยินคนเดียวก่อนจะวางกังหันลมพลาสติกลงที่ข้างหมอน ในที่สุดเปลือกตาก็ไม่อาจต้านทานแรงโน้มถ่วงของโลกและอากาศที่แสนจะเย็นสบายได้ ศิธาพัฒน์หลับตาลงช้า ๆ พร้อมกับรอยยิ้ม คืนนี้นคงมีอย่างน้อยสามคนที่นอนหลับฝันดี...