Hear, Me
=======
If I could, I would
======
ตอนที่ 24 แม่เหมือนเดิมเปี๊ยบ! อ้อ...ผมดำสนิทไร้หงอกแซมเพราะแม่ไม่คอยย่อท้อจะไปทำสีผม ไอ้พี่จิวก็ยังหน้าพิมพ์เดียวกับผมเหมือนเดิม
อะไรวะ! 1ปีนี่มีแต่ผมที่มีการเปลี่ยนแปลงงั้นหรอ?
"แม่ครับ!" ผมตะโกนเรียกหลังจากมองทั้งคู่เต็มตา จากนั้นก็วิ่งรี่เข้าไปกอดให้เต็มรัก ให้สมกับคิดถึง หน้าผากผมโดนไอ้จิวตีหลายแปะ ไอ้ห่าพี่จิวตีไปหัวเราะไป แล้วก็โอบผมกับแม่ไว้อีกที มันรับหน้าที่ลากกระเป๋ากลับเข้าบ้านอริยะกุลให้ผม
ส่วนผมเดินเกาะแม่บอกจุดยืนว่าจะเกาะแม่กินไปจนตาย ฮ่าๆๆๆ
"เหนื่อยมั้ยชายเล็ก"
"เมื่อยนิดนึงครับ แต่เจอแม่ เจอพี่จิวก็หายเลย สดชื่นมากกก" ผมย้ำกอดแล้วก็ซุกหัวซบบ่าแม่ แต่ก็โดนไอ้จิวงัดขึ้นมาแล้วตบหัวอีกแป๊ะ
"โอ้ย! เจมเจ็บนะจิว!"
"แม่กู!!"
"ก็แม่กูเหมือนกัน"
"อย่ามาอ้อนนะ ไปเสวยสุขคนเดียวตั้งปี กลับมายังสำออยอ้อน" ห่า!! ไอ้พี่จิวขี้อิจฉา! ผมทำหน้ากวนตีนใส่มัน แต่ก็ปล่อยแม่ไปกอดมันแทน ตบหลังมันป้าบใหญ่แล้วก็คลายออก
"อ้อนพี่จิวแทนได้มั้ยวะ"
"ส้นตีน!" ด่าผมก็หน้าแดง รู้หรอกน่า คิดถึงกูมากล่ะสิ! ผมยิ้มล้อมันแล้วก็เดินตามแม่กับมันจนมาถึงทางออก
"ตาหนึ่งว่าให้มารอประตูนี้ พี่เค้าไปเอารถตั้งแต่เห็นเจมเดินออกมาไกลๆ รอแป๊บนึงนะชายเล็ก”
"ครับ" อ้อ..ก็ว่าทำไมไม่เห็นนายคฤณเลย วันนี้เป็นสารถีนี่เอง ตื่นเต้นหมือนกันแฮะ
แต่ความตื่นเต้นของผมที่จะได้เจอหน้านายคฤณอีกครั้ง ณ สยามประเทศ ก็ถูกกลบโดยความตื่นเต้นเมื่อเห็นรถยนต์คันใหญ่จนควรจัดประเภทเป็นรถบรรทุกหมูที่เขาขับมา
คุณเขาใช้ซีตรอง จัมป์เปอร์เป็นราชรถครับ ใหญ่ชิบหาย!!!
“โอ๊ะ! รถใหญ่อ่ะ คันใหม่หรอ?”
“อื้อ กูก็เพิ่งเห็นวันนี้แหล่ะ ตูดกูมีบุญเพราะมึงเลยนะเจม” ไอ้จิวสารภาพความตื่นเต้นที่มันเองก็รู้สึก ผมจึงได้ยืนตาโตปากเม้มอยู่หน้าประตูรถ
“ขึ้นรถสิเจม” แม่เรียกแล้วเปิดประตูขึ้นไป ไม่มีใครลงมาเปิดให้หรอกครับ ไอ้จิวลากกระเป๋าผมทั้ง 2 ใบไปเข็นขึ้นรถ แล้วค่อยมาดันตัวผมให้ขึ้นรถ ผมก็ยังคงงงๆ กับขนาดของมันอยู่ คนซื้อแม่งไม่เห็นใจรถเล็กๆ อย่างพวกมินิอย่างกรูบ้างหรอ? ขับตามตูดจัมเปอร์นี่ก็โลกดับกันพอดี
“ไง....” คำทักสั้นๆ มาจากคนขับครับ ผมหันมองแล้วเหวอกินเพราะไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนขับรถเอง นึกว่าจะให้พี่พลขับมาให้เสียอีก ผมส่งยิ้มให้นิดนึง แฮะๆ เขินแม่ หางตามันบอกว่าแม่จ้องอยู่ ยิ้มให้เขาแล้วก็นั่งข้างๆ แม่ ส่วนไอ้พี่จิวที่ถูกลืมนั่งเบาะหลังแม่อีกที
ระหว่างทางก็เหมือนช่วงทอล์คโชว์ของผมนั่นแหล่ะ แม่ถามแค่ว่า “เป็นยังไงบ้างชายเล็ก สนุกมั้ยหนีแม่ไปอยู่คนเดียว”
เรื่องราวที่ผมเล่าก็มาจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ผมเอมใจบ้าง ไม่ชอบใจบ้าง
ความลำบากด้านเนื้อหาที่ผมต้องทำ วิธีการอบรมที่มาหินเอาช่วงท้าย ถูกถ่ายทอดผ่านสีหน้าเปื้อนยิ้มของผม แม่จะได้เข้าใจว่าผมเจอเรื่องลำบาก แต่ก็มีความสุขดี
ส่วนเรื่องที่มันเป็นจุดด่าง ผมไม่ได้เอ่ยปากพูดถึง
“ตาหนึ่งบอกแม่ว่าเจมไม่ค่อยทำอะไรกินเองก็เลยผอมลง เจมนี่ล่ะน้า” หม่อมแม่บ่นเรื่องสุขภาพของผม ผมก็เลยทำหน้าหงอยๆ รับความผิด และได้รางวัลเป็นอาหารมื้อหนักทั้งเดือนนี้ที่แม่บอกว่า “จะบอกป้าพิศแกให้ทำแต่ของชอบเจมนะ”
ถึงบ้านแล้วครับ อบอุ่นเหมือนเดิม
ผมวิ่งขึ้นห้องนอนซึ่งเป็นมาตุภูมิสำคัญของผมเป็นลำดับแรก
ห้องผมได้รับการทำความสะอาดเป็นอย่างดี ผ้าปูก็เปลี่ยนให้ กลิ่นใหม่มันฟ้อง คนทำให้ผมทุกอย่างก็คงไม่พ้นแม่ที่มายืนยิ้มอยู่ที่หน้าประตู ผมตื้นตันจริงๆ เลยเดินไปกอดเพื่อบอกขอบคุณกับอก แล้วก็ลั้ลลาทุ่มตัวลงบนเตียงที่ผมหวงแหน
ในใจผมร่ำๆว่า “กูกลับมาแล้ว กูได้กลับบ้านแล้วโว้ยยยยยยยยย”
กว่างานจะเข้าที่ก็ปาเข้าไปเดือนที่ 2
วันที่ผมมาทำงานวันแรก มีงานเลี้ยงต้อนรับผมด้วย
งานเล็กๆ ครับ แค่นัดพี่ๆ ในโต๊ะเดียวกันไปกินมื้อเย็นกัน นายคฤณเองไม่ขัดขวางอะไร และไม่ได้ตามไปด้วย ซึ่งก็ดีมากครับ ชีวิตผมมันควรเป็นของผมแต่เพียงผู้เดียวใช่มั้ยล่ะ?
แต่พอมางานเลี้ยงใหญ่หน่อย ที่พี่ปูเลี้ยงให้ นายคฤณไปส่งที่ร้านอาหารและรอรับกลับ เขาไม่ได้เข้าไปร่วมงาน ไม่ได้โผล่หน้าไปให้ใครเห็นเลย ทำตัวเป็นนอกสุดๆ และสาเหตุที่เขาไปส่งและรอรับก็เพราะว่า ไอ้แอมก็มาร่วมงานเลี้ยงนี้ด้วย
มันดูจะวางตัวห่างจากผมมากขึ้น เวลาโดนถามเกี่ยวกับตอนที่อยู่อังกฤษด้วยกัน มันจะตอบเฉพาะส่วนของมัน ไม่แตะต้องส่วนของผม แต่เรื่องที่มันตอบก็ทำให้ผมรู้ว่ามันยุ่งกับผมมาก และมันก็สามารถรวมอัลบั้มภาพถ่าย eye’s of London ในมุมของมันเองได้ด้วย ไอ้ห่านี่ซุ่ม!
ส่วนผมก็บอกเล่าเฉพาะที่มันเกี่ยวกับการอบรม แม้จะโดนแซวจนหน้าเหวอว่า “ได้ข่าวมีใครแวะไปหาด้วยนี่” อืมมม แซวเล่นกันใช่ป่ะ? ไม่ได้รู้อะไรมาใช่มั้ยวะ?
ผมไม่ได้แคร์เท่าไหร่ว่าใครจะรู้หรือไม่รู้สถานะระหว่างผมกับนายคฤณ แต่ผมยอมรับว่าผมแคร์สถานะทางสังคมของเขา แม้ปากเขาจะบอกว่าไม่แคร์ แต่มันก็น่าหงุดหงิดเวลาที่ต้องได้ยินสิ่งที่คนอื่นพูดถึงคนใกล้ตัวผม
วันนี้ก็เหมือนกัน
ผมนั่งมองนักข่าวมากมายจอแจกันในห้องแถลงข่าว
บริษัทที่จัดงานแถลงครั้งนี้ก็คือยักษ์ใหญ่รับเหมา ประเด็นหลักวันนี้คือแต่งตั้งเอ็มดีใหม่ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกครับ
นายคฤณ ธีระเสถียร ทายาทคนเดียวของป๋าคณิณ ธีระเสถียรนั่นแหล่ะ
เขามาถึงโรงแรมแล้ว มาพร้อมกับผม แต่ผมมาที่ห้องแถลงก่อน ส่วนเขาก็ทำตามคิวที่พีอาร์จัดเอาไว้
งานเปิดตัวเขาไม่อลังการมาก เพราะนายคฤณขอแบบเป็นกันเอง แต่เน้นประเด็นเหนาะๆ
และตอนนี้เขาก็กำลังพูดเรื่องแผนงานหลังจากเขาก้าวขึ้นมาเป็นซีอีโอว่าจะผลักดันให้บริษัทเติบโตอย่างไร
“หล่อ เก่ง รวย นิสัยดีแบบนี้ คงไม่เหลือแล้วมั้ง” ใครสักคนพูด ผมไม่ค่อยได้คลุกคลีกับนักข่าวรายวันมากนักก็เลยไม่รู้ว่าคนพูดคือใคร ครั้นจะหันไปมองก็ดูจะสนใจเกินไปนัก
“ไม่เหลือหรอก เขามีเจ้าของแล้ว”
“เธอรู้มั้ยว่าใคร เขียนซุบซิบได้มั้ยเรื่องหวานใจเขาเนี่ย”
“เปรี้ยวใจมั้ง แว่วว่าเขาควงหนุ่ม”
“เขาเป็นสาวหรอเธอ?!”
“เขาไม่ได้เป็นสาว เขาเสือสองสิ่งสิไม่ว่า หนุ่มที่เขาควงล่ะมั้งที่เป็นสาว” กูป่ะ? หมายถึงผมใช่มั้ย? เขาไม่ได้ควงใครนะ แต่กับผมเขาก็ไม่ได้ควง แค่เดินจับมือยังไม่ค่อยได้ทำ เพราะผมพูดบ่อยว่าเจมไม่ได้ง่อยนะครับ ผมค่อยๆ ตะแคงหน้าหันมอง 2 สาวที่เมาท์กันจนหัวติด พอเห็นมีคนหันมอง พวกเธอก็ส่งยิ้มอายๆ ให้ผมดูแล้วก็คุยกันต่อ และเสียงก็ไม่ได้ลดระดับลงเลย
“เสียดายเนอะเธอ”
“เสียดายทำไม ต่อให้เขาไม่ใช่ หรือชอบผู้หญิงโอนลี่ เขาก็ไม่แลเธอ!”
“งี้แสดงว่าหนุ่มคนนั้นของเขาต้องโคตรเลอค่าอ่ะ ไม่งั้นจะเอาอะไรมางัดข้อกับชะนีล้วนๆ อย่างเรา”
“กล้าคิดนะยะ” เลอค่าหรอ? เปล่าเลย ผมแค่คนธรรมดาเท่านั้น
ผมกลับมาสนใจสิ่งที่นายคฤณกำลังพูดบนเวที น้ำเสียงเขาน่าฟังมาก นุ่มๆ พูดอย่างค่อยเป็นค่อยไป บอกเป้าหมาย อธิบายแผนงานและความเป็นไปได้ที่แผนจะสำเร็จ เขาเก่งมาก เขาดีมาก
ส่วนผม ก็แค่คนธรรมดาเท่านั้น
งานบนเวทีจบก็มีถามต่อกันนอกรอบตามสไตล์ พี่เก๋พีอาร์เดินมาหาผมแล้วจับไหล่ไว้ก่อนกระซิบถาม
“สัมภาษณ์เดี่ยวมั้ยเจม เดี๋ยวพี่ขอเวลาให้”
“อ๋อ...ก็ดีครับ แต่เขาก็พรุนแล้ว เจมคงต้องหามุมใหม่เขียนเอา”
“งั้นเดี๋ยวพี่เช็คตารางคุณหนึ่งให้นะ ว่างเมื่อไหร่จับใส่พานไปให้เจมเลย”
“ครับ” ผมหัวเราะเบาๆ แล้วก็ยืนอ่านเพรส (ข่าวแถลง) ที่ได้รับมาตั้งแต่ต้นงานไปเรื่อยๆ มีบ้างที่เงยหน้ามองเขาที่ยืนเป็นไข่แดงโดนล้อมด้วยนักข่าวสาว
“แล้วตกลง คุณคฤณโสดหรือไม่โสดกันแน่คะเนี่ย หลายกระแสเหลือเกิน”
“ถามตรงๆ แบบนี้เลยหรอครับ?” เขาตอบแล้วหันมองทางผม จะรู้มั้ยนะว่าอยู่ตรงนี้ผมก็ได้ยินสิ่งที่เขาพูด ก็ห้องแถลงข่าวมันเก็บให้เสียงวนเวียนอยู่ภายในห้องนี่แหล่ะ
“แปลว่าต้องตอบตรงๆ ด้วยค่ะ อย่าโกหกนะคะ ติดโผหนุ่มโสดน่าซดซะขนาดนี้ ตอบว่ามีแฟนแล้วนี่เงิบทั้งประเทศนะคุณคฤณ”
“ฮ่าๆๆ ตกลงจะให้ตอบว่าโสดอย่างเดียวใช่มั้ยครับ?” เขาถามกลับแล้วอมยิ้มกรุ้มกริ่ม สายตาแม่งโคตรล่อลวงหัวใจเลยเถอะ ผมแอบขำนิดๆ แล้วก็ยืนฟังเขาเลี่ยงหลีกไปเรื่อยๆ แต่พอโดนซักหนักๆ เข้า เขาก็พูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“มีแล้วครับ ไม่โสดมา 2 ปีแล้วครับ”“ใครคะเนี่ย บอกกันได้รึเปล่า จะเปิดตัวเมื่อไหร่”
“เขาขี้อายครับ”
“มีแพลนแต่งงานกันมั้ยคะเนี่ย?”
“ให้แหวนเขาไปแล้ว จองไว้ ไม่รู้เขาว่าไงครับ”
“โหยย ต้องสวยมากแน่เลยใช่มั้ยคะ? น่าอิจฉาแฟนคุณคฤณจังเลย รีบแต่งเลยค่ะ”
“ปล่อยให้ธรรมชาติพาไปดีกว่า ผมรักเขา เขารักผม แต่งไม่แต่ง ไม่สำคัญเลยครับ”
“พูดแบบนี้ผู้หญิงใจแป้วแย่ ใครๆ ก็อยากใส่ชุดแต่งงาน” นายคฤณเคลื่อนตามองผมครู่นึงก็ทำไก๋มองไปรอบๆ แล้วก็อมยิ้ม
“ไม่ใส่ชุดแต่งงานก็แต่งงานได้ครับ ผมไม่ถือ” พูดจบก็หัวเราะแล้วผงกหัวขอตัวกลับเพราะตอบคำถามจนไร้เรื่องที่เป็นสาระเกี่ยวกับงานบริษัทแล้ว
เรานัดกันที่รถของเขาเช่นเดิม ผมลาพี่พีอาร์ที่รู้จัก พยักหน้าให้เพื่อนนักข่าวรายสัปดาห์ที่คุ้นเคยกันมากกว่ารายวัน แล้วก็เดินลงไปรอที่เขาที่รถ
เบนซ์สปอร์ตกลับมารองรับตูดผมอีกครั้ง ขอบคุณโลกมากที่เขาไม่บ้าขับยักษ์ซีตรองให้ผมผวากับขนาดมันอีก เป้าหมายของผมกับเขา เรามุ่งไปที่ระยองครับ
เพราะเขาเหนื่อยกับการทำงานมากๆ และผมก็เพิ่งเริ่มจะเข้าที่กับเรื่องงานของผม เราก็เลยเพิ่งว่างตรงกันวันนี้
“เหนื่อยมั้ยครับ?” ผมถามเขาทันทีที่เปิดประตูขึ้นรถ นายคฤณส่ายหัวบอกแล้วก็ยิ้มบางๆ
“ให้เจมขับให้มั้ย?”
“ไม่เอาครับ เดี๋ยวคนมองแล้วขับตามเจมอีก” ฮ่าๆ เรื่องนี้มีประวัติครับ ผมโดนผู้หญิงขับรถตามแล้วมาขอเบอร์ที่ปั๊ม พอบอกเขาเท่านั้นแหล่ะ นายคฤณก็ไม่ให้ผมขับรถเองอีกถ้าไม่จำเป็น โถๆๆ ทำยังกับว่าเขาขับแล้วจะไม่มีหญิงใดมองอีก
เขาหันไปหยิบๆ จับๆ อะไรด้านหลังรถ แล้วก็ได้ขนมป๊อกกี้มาประทังชีวิตผม พร้อมกับน้ำอัดลมรสส้ม
“แก้หิวก่อนนะ กลางวันนี้กินอะไรดีครับ กว่าจะถึงระยองก็ค่ำ”
“แล้วแต่พี่หนึ่งเลย” ผมบอกแล้วก็รวบป๊อกกี้เข้าปากทีละ 5 แท่ง เขาถามผมว่าหิวมากหรอ ผมก็บอกเปล่า แล้วก็รวบป๊อกกี้อีก 5 แท่งเข้าปาก เขาคงรู้แล้วแหล่ะว่าผมหิวมากน้อยแค่ไหน
มื้อกลางวันแสนธรรมดาของผมกับนายคฤณ เกิดขึ้นในปั๊มที่เขาแวะเติมน้ำมันประจำครับ ดีว่ามีสาขาแบล็คแคนยอนมาเปิดที่ปั๊มนี้ เขาก็เลยพาผมกินข้าวมันไก่ข้างๆ อย่าถามว่าผมเอ่ยถึงแก่งดำทำไม ก็เขาพาผมเดินผ่านแล้วพูดว่า “มีร้านนี้ด้วย ดีเนอะ กินข้าวมันไก่มั้ยครับเจม”
เบ็ดเสร็จกันในปั๊มก็เดินทางต่อ รอบนี้ผมขับครับ ความเร็วที่ผมเหยียบคงทำให้เขาหงุดหงิด ถึงได้เปลี่ยนคลื่นวิทยุอยู่บ่อยๆ ราวกับคนว่างจัด ไม่มีอะไรทำ
ผมผ่านด่านตรวจที่เคยโดนสกัดด้วย ก็เลยถือโอกาสเล่าเรื่องที่เคยโดนสกัดจับให้เขาฟัง นายคฤณหัวเราะตัวงอแต่ก็ยิ้มปลื้มตามสไตล์แหล่ะครับ
“ห่วงพี่มากหรอครับ”
“ก็ต้องห่วงสิครับ” ผมตอบแล้วหันไปทำหน้าดุใส่ อยากจะถามเพิ่มว่ามีสิทธิ์ไรมาสงสัยในความรู้สึกผม ผมทำตัวให้เขารู้สึกว่าไม่ได้รับความห่วงใยหรอ ก็ไม่นะ
นายคฤณหัวเราะแล้วยกมือลูบท้ายทอยผม แล้วก็ไม่รู้นึกครึ้มอะไรถึงได้โน้มหน้าผมไปหอม ไอ้เชี่ยพี่หนึ่ง!!! ขับรถอยู่นะ!
“เฮ้ยย! เล่นแบบนี้อันตราย!!”
“พี่มองกระจกหลังแล้ว ไม่มีรถตามมาเลย ไม่มีใครเห็นหรอก”
“ไม่ได้กลัวใครเห็น เกิดเจมขับเป๋ตกทางด่วนเล่า!”
“โอ๋ๆๆๆ พี่หนึ่งขอโทษครับ ก็หน้าเจมมันน่าฟัดนี่นา”
“เดี๋ยวลงทางด่วนแล้วพี่ขับเอง”
“มุกนี้ตลอดเหอะ!”
“พี่หนึ่งขอโทษนะครับ” เขาย้ำคำแล้วยื่นมือมาลูบท้ายทอยผมอีกแล้ว เสียววูบเลยครับ ผมทำคอแข็งแล้วฝืนตัวออกห่าง ปากก็ขู่ไว้ก่อนว่า “ไม่เล่นแล้วนะพี่หนึ่ง เจมขับรถ!”
“ไม่เล่นไง ไม่เล่น เดี๋ยวถึงบ้านค่อยเล่นเนอะ” เนอะแนะอะไรเนี่ย ระยะหลังนี่ลดวัยเยอะจริงไรจริง ผมเหล่มองสำรวจ เบาใจได้นิดนึงว่าเขาคงไม่แกล้งอะไรผมอีก และอารามหมั่นไส้ท่านั่งแสนสบาย กางแข้งกางขา ผมเลยแกล้งเหยีบบปู้ดเดียวถึง 140 รถก็วิ่งฉิวทันใจ ทำเอานายคฤณร้อง “เฮ้ย!” เพราะตั้งตัวไม่ทันทันที
ฮี่ๆ กูเล่นบ้างแล้วเป็นไงล่ะ ตกใจใช่มั้ย? เข้าใจความรู้สึกกูยังเนี่ย?
เป้าหมายมีเอาไว้พุ่งชน แต่ประตูรั้วกับคนชนไม่ได้นะครับ
ผมรีบยกขาหน้ากะเก็งจะถีบหน้ารถผมทันทีที่นายคฤณเร่งเครื่องยนต์ใส่ วันนี้แกล้งกันหนักชิบหาย สงสัยจะหมั่นไส้ผมมาก
“ไอ้พี่หนึ่ง!”
“ครับ ครับ ไม่แกล้งแล้ว” น่าเชื่อชิบหายล่ะ ผมเดินเข้าบ้านไปก่อน กูไม่บ่งไม่โบกหรือดูระยะให้แล้ว บ้านก็บ้านเขา ผมมาแค่ 2 ครั้งเอง
แต่พอเข้ามาในบ้านที่ไม่ได้ล็อคกุญแจนี่อิ้งแดกไปเลยครับ
เฟอร์นิเจอร์ใหม่นี่คืออะไรววะครับ?
ที่คอนโดเขาก็เปลี่ยนยกชุดไปแล้ว ที่บ้านนี้ที่ไม่ได้มาบ่อยมากก็เปลี่ยนหรอ?
จะมีอะไรเปลี่ยนอีกมั้ย? เปลี่ยนใจจจากที่เคยรักกูเลยมั้ยเนี่ย?
“ชอบมั้ยครับ?”
“หือ? ถามเจอหรอ? เจมยังไงก็ได้”
“พี่คิดว่าเจมจะชอบ เอาจริงๆ ก็ อยากให้เจมชอบ” แล้วหน้าแดงทำไม? เขินอะร๊ายยยยยยย? นายคฤณยกมือลูบหัวตัวเองไปมา ผมก็สั้นกุดกว่าผมอีก แต่ข้างหน้ายังสามารถเซตตั้งๆ บังทิศทางลมได้อยู่
“นี่พี่หนึ่ง ทำให้เจมหรอครับ?”
“อือ ดีมั้ย?”
“ที่คอนโดด้วยหรอ?”
“ก็..อือ ก็เจมไม่น่าจะชอบห้องที่มีคนอื่นเข้าไป”
“พี่ยังไม่ชอบบ้านที่อังกฤษเลย” อืม วิเคราะห์พื้นฐานความรู้สึกได้ตรงเป๊ะมาก แต่มันจำเป็นต้องเปลี่ยนโฉมบ้านนี้ด้วยหรอ?
“แล้วที่นี่ล่ะครับ?”
“เปลี่ยนทำไม เจมมีความทรงจำที่ดีที่นี่นะ”
“แต่ลูกแพรมาที่นี่ เจมไม่ชอบนี่ครับ”
“กับคุณลูกแพร เจมไม่คิดอะไรหรอกครับ แล้วเธอก็จากไปแล้ว อีกอย่างเธอก็เป็นน้องสาวที่พี่หนึ่งรักนี่นา อย่าห่วงเลย”
“ห่วงไปแล้ว เจมเคยติดใจเรื่องนี้นี่นา แสดงว่ามันเป็นสิ่งที่เจมให้ความสำคัญ พี่ก็ให้ความสำคัญ”
ละเอียดอ่อนชิบหายล่ะนายคฤณ ผมพยักหน้ารับรู้แล้วก็เดินดูของใหม่รอบบ้าน ในห้องนอนก็เปลี่ยนด้วย
ในห้องนอนของเขาก็เปลี่ยนเหมือนกัน ตู้เสื้อผ้าที่ผมเคยแอบเข้าห้องมาแล้วค้นเจอเรื่องของเขาตอนเด็กๆ ที่ผมเคยลืมไป ก็ถูกเปลี่ยนไปด้วย ไม่มีชุดเดรสผู้หญิงในตู้นั้นแล้ว มันแทบไม่มีอะไรให้ผมสงสัยในตัวเขาเลย
ความจริง เขาไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้
ไม่ต้องเปลี่ยนตัวเอง เปลี่ยนสิ่งรอบตัวเขา เพื่อตัวผม
2 ปีที่เขาดูแลผม บอกทุกอย่างกับผมหมดแล้ว และผมก็คำบอกกล่าวที่ไร้เสียงพวกนั้นไปแล้วด้วย
เขารักผม นายคฤณรักผมจริงๆ
เขารักเขาห่วงของเขาอย่างที่ปากเขาว่าจริงๆ นั่นแหล่ะ
“เจมครับ กินปูอีกมั้ย? ไปหาซื้อกัน”
“ไปครับ” ผมตอบรับทันที นึกล่วงหน้าถึงตอนปั่นจักรยานไปท้ายหาดแล้วหาซื้อปู กุ้ง ปลาหมึกจากพ่อค้าแม่ค้าที่หมู่บ้านชาวเลก็อารมณ์ดีแล้ว
ยัยคิตตี้ขี้ติสยังครองบ้านนี้อยู่ แต่ในโรงรถของเขาก็มีดูคาติสีเหลืองเพิ่มขึ้นมาด้วย เรียกได้ว่าเด่นสุดๆ เมื่อยืนคอเอียงเรียงเป็นตับร่วมกับเจ้าดำกลุ่มเดิมทั้งหลาย
เขาปั่นจักรยานไม่เร็วนัก ทำให้ผมปั่นตามได้ไม่เหนื่อย สายลมระริ้วแก้มผมอยู่ไม่ขาด แสงแดดยามเย็นไม่ส่งความร้อนมากระทบผิวผมแต่อย่างใด
ทุกอย่างในวันนี้ทำให้ผมอารมณ์ดีได้เหมือนกับวันนั้น วันแรกที่ผมมาที่นี่ วันที่เขาพาผมมาพักผ่อนที่ชายทะเลแล้วพูดกับผมว่า
"ขอบคุณครับ ที่ไว้ใจมากับพี่"ผมรู้แล้วว่าเขาขอบคุณคนที่ไว้ใจความรักของเขาด้วยวิธีไหน เข้าใจแล้วว่ารูปร่างคำว่าขอบคุณของเขาเป็นยังไง
ผมเองก็ขอบคุณนายคฤณมากๆ เหมือนกัน
“พี่หนึ่ง พักก่อนได้มั้ยครับ?” ผมเอ่ยเรียก และเขาก็ชะลอความเร็วทันที
ต้นอะไรก็ไม่รู้ที่เราพิงจักรยานเอาไว้ ผมเดินมาที่หน้าหาดทราย เม็ดละเอียดของมันทำให้ผมไม่ลังเลที่จะนั่งลงแช่ก้น นายคฤณนั่งลงข้างๆ แต่เขาโชว์เหนือด้วยการเหยียดขาไปข้างหน้าเต็มเหยียด และแน่นอนว่าขาเขายาวกว่าขาผม อีโธ่! แค่นี้ก็ต้องเกทับ ชิ!
พระอาทิตย์กำลังคล้อยต่ำลงเรื่อยๆ อยากจะติดเบรกให้คุณเขาจริงๆ เหตุผลน่ะหรอ? ก็ผมยังต้องการสักขีพยานอยู่นี่นา
“พี่หนึ่ง”
“ครับ? วันนี้เรียกบ่อยนะเรา รักพี่มากหรอ?”
“เจมไม่ใช่แม่นาคซะหน่อย”
“ก็กล้าเล่น” แขว่ะผมนะ แต่ก็หัวเราะขำ ผมก้มหน้าหลบอาย ข่มได้ก็ล้วงบางอย่างมาจากกระเป๋า
สารภาพเลยแล้วกัน
ผมเตรียมเซอร์ไพรส์มาด้วย
ตอนที่เขาชวนผมมาระยองหลังจากจบงานแถลงข่าวรับตำแหน่งซีอีโอของเขา ผมก็คิดเรื่องนี้ขึ้นมาทันที
แหวนที่เขาเคยทำให้ผม แหวน “ความรักของที่หนึ่ง” คืนสู่นิ้วผมตั้งแต่ผมทำความเข้าใจเรื่องยัยตัวหนังสือ แต่ตอนอยู่ที่อังกฤษ ผมไม่ค่อยได้ใส่ติดตัวหรอกครับ เพราะบางทีออกไปข้างนอกมันต้องใส่ถุงมือ มีอะไรมาครอบมือผมเยอะแยะมากมายแล้วมันพาลหงุดหงิด ผมเลยถอดเก็บไว้ นึกได้ทีก็จะเอาออกมาใส่แล้วอวดแบบแอบๆ ให้เขาเห็น ป้องกันคนน้อยใจครับ
และวันนี้ แหวนของผมก็ควรอยู่บนนิ้วเขาเสียที
อย่าคิดว่าผมใช้อัฐคุณนายวันระพี ซื้อแหวนคุณนายวันระพีล่ะ
ผมซื้อเคาน์เตอร์อื่นครับ ไม่ใช่ไม่ชอบแหวนร้านแม่ แต่ผมอาย แล้วผมก็อยากให้เป็นความลับ อยากให้เขาเป็นคนแรกที่เห็นมัน ยิ้มให้มัน และดีใจที่ได้สวมใส่มัน
“พี่หนึ่ง”
“ครับ ครับ เริ่มสงสัยแล้วนะว่าเรียกทำไม” นายคฤณหันหน้ามาหา แสงส้มสาดกระทบข้างแก้มเขา ลำแสงบางๆ ส่องกระทบม่านตาจนสีดำขลับแปรเปลี่ยนอารมณ์ไปบ้าง แต่ก็ยังน่ามองอยู่ดี
“เจม...อยากขอบคุณ ที่พี่หนึ่งรักเจม จริงๆ”
“อ่ะ ให้” โรแมนติกแล้วใช่ป่ะ?
บอกแล้วไงว่าข้อดีที่สุดของผมคือพูดตรงๆ เข้าเป้า เรื่องโรแมนติกนี่ห่างไกลกันมาก
นายคฤณมองแหวนที่จิ้มหน้าอกเขา ตอนนี้แสงส้มก็ไม่ช่วย เพราะหน้าเขาแดงแป๊ดขึ้นมาทันที เขายกกำปั้นขึ้นบังปาก แต่ผมก็เห็นได้ดีว่าเขายิ้มอยู่
“ไม่รับหรอครับ?” ผมถามเสียงแผ่ว อย่ามาทำกูหน้าแตกตอนนี้นะ หนีลงทะเลไปอยู่กินกับผีเสื้อสมุทรจริงๆ ด้วย!
“สวมให้พี่สิ”
“นี่เจมขอพี่แต่งงานหรอ?”
“บ้าเหอะ! ไม่ได้ขอแต่งงาน เจมแค่...แค่แลกแหวนเอง”
“ก็พี่หนึ่งให้ยังให้เจมได้เลย”
“โธ่เอ้ย! โรแมนติกหน่อยก็ไม่ได้”
“แต่พี่อยากให้เจมใส่นะ หมาเจมใส่ให้พี่หนึ่งทีนะครับ” อ้อนตีนนะเรา เรียกกูหมา ควรค่าแก่การบรรจงสวมแหวนให้มาก
ผมแกล้งส่งเสียงรำคาญ แต่ก็ดึงนิ้วเขามาสวมแหวนให้ สารภาพว่าตอนซื้อก็ไม่รู้ไซส์ เดาไม่ถูกเหมือนกัน เพราะงั้นทุกนิ้วก็ต้องเป็นหนูทดลองหมด
บิงโก!! ใส่ได้ที่นิ้วชี้พอดี เข้ากับเขาดีนะ นายคฤณจอมบงการ ทุกวันนี้กางเกงในผมก็ต้องเป็นยี่ห้อที่เขาชอบ ซึ่งจริงๆ มันก็ยี่ห้อเดิมที่ใส่อยู่ดี
“สลักอะไรรึเปล่า?”
“ไม่ครับ เกลี้ยงลาย”
“เจมชอบแบบนี้นี่” หน้าบูดเป็นตูดหมูเลย แต่ก็แค่วูบเดียว นายคฤณดึงมือตัวเองไปมองใกล้ตา เขาจูบแหวนบนนิ้วตัวเองเบาๆ หูวววว เล่นเอาผมใจเต้นเลย นี่แหวนกับผมสื่อจิตผูกวิญญาณกันรึเปล่าวะเนี่ย?
“พี่หนึ่ง”
“ครับ”
“รักเจมไปเรื่อยๆ จะลำบากมั้ยครับ”
“เจมหมายถึง ขอให้พี่หนึ่ง รักเจมไปเรื่อยๆ”
“ตลอดไปมันดูอลังการไป เจมไม่คาดหวังขนาดนั้น เกิดตายจากกันไปจะไม่หลุดพ้นสักที”
“เจมแค่อยากให้พี่หนึ่งรักเจมไปเรื่อยๆ เหมือนที่เจมจะรักพี่หนึ่งไปเรื่อยๆ”
“พี่จะรักเจมไปเรื่อยๆ ครับ พี่หนึ่งสัญญา”
“เจมไม่สัญญาได้มั้ย? เกิดตาย....”
“เจม เพ้อเจ้อน่า”
“นี่เราสัญญารักกันอยู่นะ ทำไมต้องพูดตายอะไรเยอะแยะ”
“เอาใหม่ ลบๆๆ”
“ลบได้ไง ก็พูดไปแล้ว แล้วเจมก็ไม่อยากผูกสัญญานี่นา”
“มันเหมือนต้องการคำการันตี”
“เจมจะไม่ว่าอะไรเลย ถ้าพี่หนึ่งเจอคนที่ทำให้พี่หนึ่งมีความสุขมากกว่าอยู่กับเจม”
“เราเชื่อใจก็พอครับ”
“ครับ แต่พี่รักเจมตลอดไปได้จริงๆ นะ”
“ก็ไม่อยากให้พูดว่าตลอดไปนี่นา”
“เจมนี่น้า!” เขาบ่นแล้วก็ผลักหัวผมเบาๆ แต่พอผมเอียงออกห่างเขาก็ดึงผมไปกอดจนหน้าผมจมอกเขา
พระอาทิตย์ยังห้อยตัวอยู่ที่ปริ่มขอบฟ้า
แสดงว่าคำสัญญาของเขามีสักขีพยาน งี้ก็ต้องมีผลตามกฎหมายสินะ อ่ะ! แต่ผมไม่ได้คาดหวังอะไรหรอกนะ แต่ก็ยอมรับว่านึกภาพตัวเองยามไม่มีนายคฤณไม่ออกเหมือนกัน
“คุณคฤณครับ” ผมเรียกเขาแบบเป็นทางการ นายคฤณหัวเราะก้องเพียงในลำคอแล้วก็ขานรับ
“ครับ ชานนท์”
“ผมรักของผมมากนะ รักผมมากๆ ด้วยนะครับ”“ได้ครับ ชานนท์”
ยิ้มของผมตอนนี้ สะท้อนความสุขได้เปล่งปลั่งกว่าแสงอาทิตย์ฉ่ำๆ มากครับ เชื่อเถอะ
ความรักของผมไม่ได้ยิ่งใหญ่ไปกว่ารักของใคร
แต่ความรักของนายคฤณใหญ่มาก หนักแน่นมาก จริงจังมาก แต่ก็อ่อนโยนมากเช่นกัน
เขาให้ผมและผมรับไว้ และเขาก็ใช้ความรักของเขาสอนผมในหลายๆ สิ่ง
ผมได้เรียนรู้การรักใครสักคนจากใจจริง เรียนรู้ที่จะผลักความเจ็บปวดออกไปเพื่อรักใครคนหนึ่งต่อไป
ยอมทิ้งสิ่งที่เคยเป็นในอดีต เพื่อก้าวเดินไปพร้อมใครสักคนได้อย่างมีความสุขขึ้น
และยอมไม่กังวลถึงอนาคต ไม่แคร์โลกแสนกว้างที่เต็มไปด้วยกฎเกณฑ์และความคาดหวัง...
เพื่อรักตอบใครสักคน ที่ชื่อว่า คฤณ END
ขอบคุณค่ะ
ขอบคุณทุกๆ คนที่อ่านจนจบนะคะ ได้มาลงฟิคที่นี่ได้ประสบการณ์หลายอย่างเลยค่ะ
