“นี่บัตรวีไอพี หน้าสุด ฉันเตรียมไว้ให้เรียบร้อย นายไปนั่งรอที่นั่นแล้วกัน” พี่หมอพูดทันทีที่เราเดินมาถึงหอประชุม ตลอดทางไอ้ไนท์มันจับมือผมมาตลอด คิดดูแล้วกันนะครับ ผู้ชายตัวโตๆ สองคนเดินจับมือกัน เหอะๆ เอาเถอะครับ ผมก็แอบดีใจอยู่นิดหน่อย (หน้าบานขนาดนี้อ่ะนะ นิดหน่อย) หรือว่ามันจะหึงผมวะ?? ถ้ามันหึงจริงนี่ผมจะยอมเล่นละครแบบถวายชีวิตเลย ให้กระโดดจากที่สูง ไอ้เวย์ก็จะโดด ให้นอนกลิ้งเกลือกบนเวทีไอ้เวย์ก็จะกลิ่ง ให้บุกน้ำไอ้เวย์ก็จะบุก ให้ลุยไฟ..ขอคิดดูก่อนแล้วกัน ไอ้ที่เขาบอกว่าคนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้นั่นผมก็พอจะเชื่อบ้าง แต่ถ้าคนดี (ใจ) มากไปมันจะไม่ไหม้ไฟด้วยรึเปล่าวะ? (หวังว่าทุกคนจะเข้าใจมุกนี้ แม้จะแป้ก เราก็จะเล่น)
“ถ้าฉันไม่ไปล่ะ” กูว่าแล้ว -*- คิดไว้แล้วล่ะครับว่ามันต้องพูดอย่างนี้ เหอะๆ กูก็ไม่อยากให้มึงไปหรอก กูอยากอยู่กับมึงตลอดเวลาไม่ว่าจะกิน ขี้ ( ปี้) นอน แต่ถ้ามึงไม่ไป มึงก็ต้องตามกูไปแต่งตัวข้างหลังเวที แล้วพอถึงที่นั่นนอกจากกูต้องคอยดูแลสวัสดิภาพตัวเอง กูยังต้องมาคอยห่วงสวัสดิภาพมึงด้วย จะอะไรซะอีกล่ะครับ ถ้าไม่ใช่ว่าช่างฝ่ายคอสตูมแต่ละคนล้วนเป็นภัยคุกคามต่อมนุษย์เพศชาย ขอแค่คุณมีหนังหน้าที่ติดจะดูดี คุณมีสิทธิ์ลุ้นรับบริการเสริมได้ทันทีแถมมีอ็อพชั่นให้เลือกกันอีกไม่หวาดไม่ไหว แน่นอนครับกระทั่งคนชอบของฟรีอย่างผม ยังไม่ยอมตกหลุมเลย คิดดูเองแล้วกันว่ามันเป็นบริการเสริมแบบไหน
“ค่ะ..คือ ไอ้ไนท์ มึงไปนั่งรอกูก่อนนะ เขา (กู) ไม่ให้คนนอกเข้าหลังเวทีอ่ะ นะๆ” โดยเฉพาะมึง ห้ามเข้าเด็ดขาด เพราะถ้ามึงเข้าไป ไม่ตัวมึงซวย (อย่างที่บอกล่ะครับ) ก็เป็นพวกกูซวย (แต่งตัวไม่ทัน เพราะพวกเจ๊ๆ แกมีเหยื่อรายใหม่เข้ามาให้อ้อล้อ)
“...” มันไม่ตอบแต่จ้องหน้าผมนิ่ง โกรธอะไรล่ะโว้ย ที่ทำนี่เพราะกูเป็นห่วงมึงหรอกนะ สักพักมันก็ยอมหันหลังเดินกลับไป เล่นเอาผมใจไม่ค่อยดี อะไรมันจะเชื่อฟังกันง่ายขนาดนั้น นี่ถ้าเป็นปกติต้องมีเถียง ไม่ก็ถีบนะ
“เดี๋ยว” ก็เลยเรียกมันไว้ครับ เอ้า! แล้วเรียกทำไมวะ? ไม่รู้ตัว(อีกแล้ว) ครับ ปากมันขยับของมันไปเอง เลยต้องเดือดร้อนมาถึงสมอง ต้องมานั่งคิดทางหนีทีไล่อีก
“หืม?” ส่งเสียงแต่ก็ยังไม่หันมา นี่ไม่ใช่ว่างอนกูหรอกนะ ก๊ากก ว่าเข้าไปนั่น
“มึงจะไม่ให้กำลังใจกูหน่อยเหรอ” อ๊ากก พูดไปแล้วก็อยากกระโดดถีบตัวเอง มึงด้านได้ใจมากไอ้เวย์ ถามไปหน้าก็แดงไป ฉิบหายเอ๊ย แต่ได้ผลครับ ไอ้ไนท์มันหันกลับมายิ้มให้ในที่สุด มันเดินเข้ามาหาผม ในขณะที่อีกคนเดินหายเข้าไปหลังเวที
“กูจะรอดูนะ” มันกระซิบเสียงเบา มือใหญ่ยื่นมาลูบผมยุ่งๆ จนไอ้คนขอร้องอย่างผมแทบอยากจะกัดลิ้นตัวเองตาย ไปเรียกให้มันมาทำมึงเขินทำไมว้า ไอ้เวย์ ไอ้บ้า ฮ่วย เสียเชิงว้อย (อยู่กับมัน มึงเคยมีเชิง มีฟอร์มกับเขาด้วยเหรอวะ)
“น้องเวย์ข-า มาทางนี้เลยค่า แหมมม พี่ล่ะรอวันนี้มานานแล้ว” นั่นไงครับ ยังไม่ทันที่ผมจะโผล่เข้าไปหมดทั้งตัว ( ยื่นหน้าเข้าไปดูลาดเลาก่อน) เจ๊ดอลลี่ (ชื่อเดิม : แดนไทย) กระเทยช่างแต่งหน้าฝ่ายคอสตูมก็เดินลิ่วๆ มาลากตัวผมไป - - แล้วไอ้ที่แกบอกว่ารอวันนี้มานานแล้ว มันชวนให้ผมคิดว่าตลอดช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่าน แกคงเก็บกดไว้มาก หวังว่าแกจะเก็บไว้ต่อไปนะครับ อย่าให้ความพยายามในการรักษาชีวิตของผมต้องสูญเปล่าเลย
“แหมม หน้าก็ใส๊ใส ผิวก็เนียนน่ากิ๊นน่ากิน เอ๊ย น่าลงแป้ง หุหุ พูดผิดไปหน่อย” ผมว่าพี่ไม่ได้พูดผิดซะล่ะมั้ง มันหลุดปากมากกว่านะนั่น อย่าเพิ่งกระเดือกผมลงท้องเลยครับ สงสารลูกนกลูกกาที่ยังต้องเลี้ยงดูครอบครัว มีผม มีไอ้ไนท์ มีแม่ แล้วก็ลูกอีกคนในท้อง - -
“นั่นสิคะ คุณหมอก็อีกคน หน้าบริ้งค์เชียว กระเทยล่ะอิจฉา” เจ๊แจน (เจนจบ) ช่างแต่งหน้าอีกคนที่กำลังสัมผัสใบหน้าขาวๆ ที่ออกจะซีดของพี่หมอพูดขึ้น เจ๊แจนแกเอาหน้าเข้าไปใกล้เสียจนผมแอบคิดว่าแกอาจอยากจะใช้ลิ้นพิสูจน์ความเนียนแทนมือ
“ขอตัวก่อนนะครับ ผมจะไปแต่งตัว” พี่หมอลุกขึ้นเดินไปหาพี่นี ผู้จัดการเสื้อผ้านักแสดง เฮ้ย! พี่ทิ้งผมไว้อย่างนี้ เดี๋ยวเจ๊แจนแกก็....
“โธ่ ไปซะละ ไหนๆ ขอดูหน้าน้องเวย์มั่ง” นั่นไง งานเข้าแล้วกู พอไอ้เวย์ทำท่าจะขยับเท่านั้นแหละ
“น้องเวย์ อย่าคิดหนี” เฮือก! แกสารภาพแล้ว ช่วยด้วย คนหล่อยังไม่อยากตาย บอกแล้วไงว่ามีครอบครัวต้องเลี้ยง ฮ่วย ฟังไม่รู้เรื่องรึไงวะ “เอ๊ย ไม่ใช่ อย่าขยับสิจ๊ะ เดี๋ยวผมยุ่ง” ยุ่งไม่ยุ่งมันจะเกี่ยวอะไรล่ะคร้าบบบบบ ก็ในเมื่อผมต้องใส่วิก แล้วจะมาเซ็ทผมให้เพื่อ??? ว้อยย และแล้ว...ไอ้คนไม่เคยยอมคนอย่างผม ก็นั่งนิ่งปล่อยให้แกแทะโลมต่อไป ด้วยเกรงว่าถ้าแกไม่ได้ดั่งใจ แกอาจจะเป็นคนเสนอตัวช่วยผมเปลี่ยนเสื้อผ้าแทน
“หมอนัทจ๊ะ นี่ชุดจ้ะ เปลี่ยนเองหรือให้พี่ช่วยดี ชุดใส่ลำบากนะ” พี่นีครับ พี่มาช่วยผมก่อนดีกว่าไหม แม่งงง บอกว่ากูต้องใส่วิก จะเซ็ทผมไปเพื่อ???? ถึงจะพูดว่าเซ็ท ผมก็ยังดูไม่ออกว่าไอ้การขยำเส้นผมไปมานี่มันเป็นการเซ็ทตรงไหน ตกลงพี่จะทำให้มันเป็นทรงหรือจะทำให้มันยุ่งครับ ส่วนเจ๊แจนแกก็กำลังทำอะไรสักอย่างกับขนตาของผม แม่งง คันก็คัน ขยับก็ไม่ได้ เพราะมึงเลยไอ้พี่วาย โยนงานบ้างานบออะไรมาให้ หรือว่าแกรู้อยู่แล้ววะว่าต้องเจออะไรมั่ง เฮ้ย! ชัวร์เลย คราวก่อนแกเล่นเป็นพระเอกด้วยนี่หว่า (เรื่องที่แล้วพระเอกเป็นคางคกครับ) แม่งง จบงานเมื่อไรพี่จะรู้ว่านรกมีจริงเหมือนอย่างที่ผมรู้อยู่ตอนนี้ แล้วต่อให้หมื่นพี่ออยก็ช่วยพี่ไปจากพวกเจ๊ๆ เขาไม่ได้
“ไม่เป็นไรครับ ถ้าใส่ไม่ได้ ผมกะว่าจะให้นางเอกเขาช่วย” เสียงคนที่เงียบไปนานเอ่ยขึ้น แล้วทำไมพี่ต้องโยนมาให้ผมด้วยล่ะ ไอ้เท่าที่เห็นนี่มันยังไม่น่าอนาถพอใช่ไหม?
“ว้ายย อย่ามีรักนอกจอกันเชียวนะ เดี๋ยวกระเทยช้ำใจตาย” พี่จะช้ำใจตายหรือเปล่าผมไม่รู้ แต่ตัวผมน่ะจะช้ำในตายอยู่แล้ว
“ไม่ม่ะ..” ผมกำลังจะปฏิเสธ
“ไม่แน่ครับ ฮ่าๆ” แต่อีกคนพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน ผมชะงักแล้วหันไปมองหน้าเขาทันที อีกฝ่ายกำลังมองมาทางนี้อยู่เหมือนกัน แถมยังยิ้มในแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน นั่นพี่กำลังยิ้มอยู่จริงๆ น่ะเหรอ?? ปกติพี่ยิ้มทีไรก้มักจะมีออร่าสีขาวล้อมอยู่เสมอ แต่ครั้งนี้กลับตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง (ได้โปรดอย่าถามว่าผมเห็นออร่านั่นได้ยังไง กระทั่งว่ามันคืออะไรผมยังไม่ค่อยจะแน่ใจเลย เฮ้ย! แต่ผมไม่ได้มั่วนะ เห็นจริงๆ)
“ว้ายย วิ้ววว คุณหมอร้ายจริงๆ แอบไปเคลมน้องเวย์ของเจ๊มาเมื่อไรเนี่ย” เคลมบ้านเจ๊ดิ เห็นผมเป็นคนไงครับเจ๊ ขนาดเจ๊ตะล่อมแกมบังคับผมมาเกือบเดือน ผมเคยยอมเจ๊สักครั้งไหม ถามใหม่ดีกว่า เคยมีใครยอมเจ๊สักคนไหม??
“ร้าย?? คงจะอย่างนั้นล่ะครับ” คนยอมรับว่าตัวเองร้ายละสายตาไปแล้ว แต่ทำไมผมยังละสายตาไปจากเขาไม่ได้ ทำไมล่ะ ทำไมผมถึงเห็นว่าคนที่เจ็บจริงๆ คือพี่ต่างหาก เหอะๆ มึงตาฝาดไปเองไอ้เวย์ อย่ามาทำเป็นโง่ในเมื่อมึงก็รู้ความจริงอยู่แล้ว อย่ามาทำเน่าเป็นคนดี ไม่เหมาะกับมึงเลย
“เวย์ นายมาช่วยผูกเชือกข้างหลังหน่อยสิ” เสียงคนร้ายในคราบคนดีเอ่ยขึ้น เห็นไหมครับว่าผมเปลี่ยนวิธีเรียกแกใหม่ เพื่อเตือนตัวเองอยู่เสมอจะได้ไม่เผลอคิดว่าเขามาดีอีก สุดยอดอ่ะมึง คิดได้ไงวะ ช่วยได้มากเลยเหอะ - -
“ผมไม่ว่าง ให้คนอื่นช่วยแล้วกัน” และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผมปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยทั้งๆ ที่ทุกครั้งที่ผ่านมา ตลอดการซ้อมเราสองคนแทบจะตัวติดกัน เพราะในบทพี่เขาเป็นพระเอกส่วนผมเป็นนางเอก (อย่าให้พูดเลยครับ มันน่าอนาถนักแล บอกไว้ก่อนนะว่าถ้าไม่ใช่เพราะหลงคารมพี่เอ ผมไม่มีทางทำเด็ดขาด แม่ง แกเล่นเล่า หว่านล้อมไปนู่นไปนี่จนผมงง รู้อีกทีได้บทนี้มาแล้ว) ซ้อมก็ซ้อมด้วยกัน กินข้าวก็กินด้วยกัน เหนื่อยก็เหนื่อยด้วยกัน ไม่แปลกหรอกครับที่ใครๆ จะสงสัยว่าอาจมีรักนอกจอ เหอะ พูดเป็นดาราในหนังน้ำเน่าไปได้ ถึงผมจะไม่ใช่คนดีนักแต่ก็รักคนที่หักหลังตัวเองไม่ลงหรอก หรือจะพูดให้ถูกตอนนี้ผมยังพอใจกับการเป็นเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่ออยู่ แถมดูท่าว่าเริ่มจะเข้าทางแล้วด้วย ไม่เสียแรงที่ลงทุนขุดหลุมไว้ถี่ๆ เอิ้กๆ กูว่าแล้วว่าถ้ากูขุดเยอะ สักวันมึงต้องตก ฮ่าๆ
“แหม น้องเวย์คะ ไปช่วยคุณหมอหน่อยเถอะ ไม่ต้องมาเขินพวกพี่หรอก” พวกพี่เขาคงคิดว่าที่ผมไม่ยอมไปช่วยเหมือนทุกทีเพราะเป็นความเขิน - - กูล่ะอยากจะบ้า
“ผมไม่ได้..”
“แค่ผูกเชือก ก็ไม่ได้เหรอ” น้ำเสียงมีแววเว้าวอนแปลกๆ น่าตลกดีจริงๆ ทั้งที่พี่ตั้งใจจะร้ายกับผมแล้วทำไมไม่ลงมือซะที มัวแต่วางมาดคนดีอยู่ได้ มาดคนดีที่เหมาะกับพี่มากกว่าอะไรทั้งหมด มาดคนดีที่ผมไม่เคยปฏิเสธได้สักครั้ง
“.... ก็ได้ครับ” ไม่ค่อยจะใจอ่อนเลยกู แค่เขาทำเสียงเศร้าหน่อยเดียว มึงยอมแล้ว
“รักกันมากไหม??” คำถามที่ทำให้มือที่กำลังผูกเชือกของผมต้องชะงัก รักกันมากไหมน่ะเหรอ ปัญหาของผม พี่จะอยากรู้ไปทำไม กะอีแค่จะทำร้ายผมอย่างที่น้องสาวต้องการ จำเป็นต้องรู้ด้วยเหรอว่าตอนนี้ผมกับมันเป็นยังไง หรือถ้ายิ่งรักมาก ก็จะยิ่งทำร้ายผมได้มาก งั้นพี่คงต้องเสียดายแล้วล่ะเพราะมันยังไม่เคยบอกรักผมสักครั้ง
“พี่...ทำไม”
“แค่อยากรู้”
“มันไม่ใช่เรื่องของพี่ ผมคงไม่จำเป็นต้องบอก” อยากทำอะไร แค่ไหน ก็ทำไปเถอะ เห็นแก่ความดีของพี่ ไม่ว่าพี่ตั้งใจทำหรือแค่เสแสร้งก็ตาม แต่พี่ก็ทำอะไรให้ผมมามาก เพราะฉะนั้นอยากจะร้ายแค่ไหนก็ตามใจ แต่ขออย่างเดียวอย่าทำลายความสัมพันธ์ที่ผมเพียรสร้างมาก็แล้วกัน ต่อให้เป็นพี่ก็อย่าหวังว่าผมจะยอม (ได้ข่าวว่าแกเพิ่งยอมเขาไปเมื่อกี้)
อีกฝ่ายเงียบไปสักพักก่อนที่จะหมุนตัวมาเผชิญหน้ากับผม แล้วรวบมือทั้งสองข้างของผมไว้ สายตาที่มองมาบอกไม่ได้ว่าเขารู้สึกยังไง หรือบางทีอาจเป็นผมเองที่ไม่อยากจะรับรู้กับความเสียใจในดวงตาคู่นั้น
“อย่ายั่วโมโหพี่บ่อยนัก พี่ไม่ได้มีความอดทนมากมายขนาดนั้น” พี่น่ะเหรอไม่อดทน หึ ไม่หรอกพี่อดทนมากๆ เลยต่างหาก ไม่งั้นจะรอจนถึงวันนี้ วันที่ผมเชื่อใจพี่สุดๆ ได้ยังไง ไอ้คนความอดทนต่ำจริงๆ น่ะมันไอ้คนที่ไปนั่งรออยู่หน้าเวทีต่างหาก ไม่พอใจใครมันซัดเลย ไม่เหมือนพี่ หลอกให้คนอื่นตายใจแล้วค่อยฆ่ากันช้าๆ
“ผมไม่เคยยั่ว แต่บอกไว้ก่อนนะ ถ้าพี่คิดจะแก้แค้นแทนน้องสาวก็เล่นกันตัวๆ อย่างลูกผู้ชายดีกว่า” ที่ท้านี่ไม่ใช่เพราะผมถนัดบู๊ แต่เรื่องวิ่ง (หนี) น่ะ บรูซลีเรียกพี่ล่ะครับ
“ตัวๆ อย่างนั้นเหรอ นายไม่ต้องห่วง พี่ไม่ยั้งมือหรอก” เอาแล้วไง ไปท้าเขา แล้วจะรอดไหมล่ะกู แต่แค่คำพูดเพียงไม่กี่ประโยคกลับทำให้แผนหนีทั้งหมดของผมพังครืน เหมือนความหวังลึกๆ ว่าแกอาจจะไม่กล้าทำร้ายผมจริงๆ มืดสนิทลง ฮ่าๆ มึงยังมัวหวังบ้าบออะไรอีกวะ ติดใจกับแค่ความดีของเขาอยางนั้นเหรอ ไม่ใช่หรอกครับแต่ผมสงสัยว่าถ้าอยากจะทำร้ายกันนักล่ะก็ แค่มาต่อยมาตีผมก็พอ ทำไมต้องเข้ามาทำดีให้ผมตายใจด้วย ทำไม ทำไม
“พี่ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าทุกอย่างที่ผ่านมาเพราะพี่ต้องการแก้แค้นไอ้ไนท์” แค่จะแก้แค้นใครสักคนต้องทำดีขนาดนี้เลยเหรอ ต้องมาคอยเอาใจ มาคอยห่วง มาคอยดูแลขนาดนี้เชียวเหรอ ถ้าอย่างนั้นพี่คงลงทุนมากไป ลงทุนไปมากเสียจนผมอดคิดไม่ได้ว่าพี่จะเรียกทุนคืนจากผมเท่าไร (คิดตามประสาเด็กเศรษฐศาสตร์เหลือเกินนะมึง)
“นายคิดอย่างนั้นจริงๆ เหรอ??” ก็แล้วจะให้คิดยังไงล่ะในเมื่อพี่เป็นคนบอกเอง ในเมื่อน้องสาวของพี่บอกเอง ในเมื่อผมได้ยินอย่างนั้นมากับหูของตัวเอง
“ผม....”
“ทุกคน อีกห้านาทีจะได้เวลาเปิดม่านแล้ว มารวมกันตรงนี้หน่อย” เสียงพี่เอ ประธานองค์ใหญ่และผู้รับผิดชอบละครเวทีครั้งนี้ทำให้ผมไม่ต้องตอบคำถามนั่น คำถามที่ตัวผมเองก็ยังหาคำตอบให้มันไม่ได้
นักแสดงรวมถึงทีมงานทั้งหมดต่างวางงานในมือแล้วเดินไปหยุดอยู่หน้าพี่เอ นิสิตคณะรัฐศาสตร์ผู้เป็นหัวใจของงานในครั้งนี้ งานที่แลกมาด้วยหยาดเหงื่อของเราทุกคน งานหนึ่งที่แสดงถึงศักดิ์ศรีของมหาวิทยาลัย
“วันนี้เป็นวันที่ความเหน็ดเหนื่อยตลอดหลายอาทิตย์ของพวกเราจะได้รับการตอบแทน วันนี้จะเป็นวันที่เราทุกคนทำได้ดีที่สุด วันนี้จะเป็นวันที่เราจะจำไปตลอดชีวิต เพราะฉะนั้นขอให้ทุกคนพยายามให้เต็มที่ ทำให้ละครเวทีเรื่องนี้ประทับอยู่ในใจคนดู ทำให้พวกเขาได้คิด คิดจะเสียสละเพื่อประเทศชาติอย่างที่เราทุกคนหวังไว้ จงคิดว่าการแสดงวันนี้ไม่ใช่แต่เพียงเพื่อมหาวิทยาลัย แต่เป็นการแสดงเพื่อประเทศชาติของเราด้วย เอาล่ะ ลุย!!” คำพูดของแกแสดงถึงคณะที่เรียนได้เป็นอย่างดี แต่ผมก็ยิ้มรับคำพูดนั่นด้วยใจที่พองฟู แน่นอนว่าสิ่งที่ตามมาคือเสียงเฮที่ดังขึ้นพร้อมๆ กัน คำพูดให้กำลังใจและเรียกความมั่นใจอย่างประหลาดๆ ของประธานองค์ใหญ่กลับทำให้ใจฮึกเหิมเหมือนยามจะออกรบ แสดงเพื่อประเทศชาติเหรอ?? ฟังดูไม่เลวนะ
“เรื่องของเราเอาไว้ก่อนแล้วกัน ตั้งใจแสดงให้ดีล่ะ ถึงนายจะเกลียดพี่มากแค่ไหนแต่ยังไงซะ...วันนี้ช่วยรักพี่สักวัน อ้อ วันนี้นายสวยมากเลยนะ เจ้าสาวของพี่” นั่นคือประโยคสุดท้ายก่อนการแสดงจะเริ่มขึ้น รักพี่สักวันเหรอ?? พี่อาจไม่รู้ความรักของผมมีให้พี่มาเสมอ แม้จะไม่ใช่แบบที่พี่ต้องการแต่ผมก็ให้พี่มาตลอด ก่อนที่พี่จะเป็นคนทำลายมันด้วยตัวเอง
“Ladies and gentlemen welcome to the most inspiring performance: The prince, The tyrant and The lover…….”
ในที่สุดม่านการแสดงก็เปิดออกพร้อมกับเพลงบรรเลงที่ทุกคนคงคุ้นหูนั่นคือเพลงประกอบภาพยนตร์ The prince of Egypt ในเวอร์ชั่นของเพลงบรรเลงเปียโน เรื่องราวที่พวกผมนำเสนอเป็นเรื่องเกี่ยวกับการต่อสู้เพื่อประชาชนและชาติบ้านเมืองของเจ้าชายพลัดถิ่นนามว่าเลโอ (นำแสดงโดยพี่หมอ) และคนรักของเขานามว่า เมราเซีย (นำแสดงโดยผมเอง - - ) เลโอเป็นผู้ชายที่มีอุดมการณ์และกล้าหาญต่อต้านเจ้าเมืองที่โลภมาก ขายชาติ โดยมีเมราเซียคนรักที่กำลังจะแต่งงานของเขาคอยให้กำลังใจ ก่อนงานแต่งงานเพียงหนึ่งวัน สายของเขาได้นำข่าวสำคัญมาบอกว่าเจ้าเมืองกำลังจะขายเทวรูปเครีอัส เทวรูปคู่บ้านคู่เมืองให้แก่เจ้าชายเลทิส เจ้าเมืองข้างๆตอนฟ้าสางของวันรุ่งขึ้น เขาจึงรีบรวบรวมชายหนุ่มในหมู่บ้านที่ตัวเขาเป็นคนฝึกสอนวิชาการต่อสู้ต่างๆ ลอบเข้าปราสาทเจ้าเมือง โดยที่ไม่รู้เลยว่าเมราเซียแอบตามไปด้วย การต่อสู้กับทหารของเจ้าเมืองเป็นไปอย่างทุลักทุเล แต่เลโอผู้เก่งกาจก็นำชายหนุ่มที่เหลืออยู่ไม่ถึงสิบคนบุกตะลุยไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ถึงห้องนอนของเจ้าเมือง ด้วยความดีใจเลโอจึงรีบรุดไปยังเจ้าเมืองที่นั่งสั่นอยู่บนเตียง ชายหนุ่มขว้างดาบยาวในมือทะลุร่างท้วมของชายชรา เลือดสีแดงไหลทะลักจากบาดแผล แต่ไม่มีใครสนใจรวมทั้งไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าก่อนสิ้นลม ชายแก่ได้กดปุ่มหนึ่งบนเตียง ปุ่มที่ทำให้ลูกธนูพุ่งตรงมายังชายผู้พรากชีวิตไปจากเขาอย่างแม่นยำ
“เลโอ ระวัง!!” ผมตะโกนแล้วพุ่งไปรับธนูที่ถูกปามาจากด้านข้างเวที แล้วแอบใช้มือข้างหนึ่งดึงผ้าโพกหัวออกเพื่อเผยให้เห็นเส้นผมสีทองยาวถึงกลางหลัง - - หนักก็หนัก คันก็คัน แต่ไม่อาจปฏิเสธครับ เพราะไอ้พี่เอมันบอกอย่างชัดเจนว่า มึงเป็นนางเอก มึงต้องสวย เพราะฉะนั้นอดทน!
“เมราเซีย!!” พี่หมอตะโกนเสียงดังแล้วรับร่างของผมไว้ด้วยใบหน้าซีดเผือด ดวงตาสีดำสนิทฉายแววตกใจและเจ็บปวด สุดยอดเลยพี่ ผมว่าพี่อย่าไปเป็นหมอเลย หันมาเอาดีทางด้านการแสดงดูจะรุ่งกว่ากันเยอะ
“ล่ะ..เลโอ” ผมขานเรียกอีกฝ่ายเสียงสั่น แหม ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกันนะกู
“เมราเซีย อย่าเป็นอะไรไปนะ ข้ารักเจ้า”
“ข้า ก็... รักท่าน รัก” ทันทีที่ผมพูดจบ ร่างสูงก็กอดผมแน่น น้ำตาชื้นสัมผัสแก้มผมเหมือนจริงจนน่าทึ่ง เก่งจริงๆ ตอนซ้อมยังไม่ได้เท่านี้ พี่ไปแอบเอายาหยอดตาหยอดไว้ก่อนรึเปล่าเนี่ย แม่ง เนียนว่ะ
“เจ้าสาวของข้า เจ้าจะอยู่กับข้าตลอดไป”
ฉากนี้เป็นฉากสุดท้ายของสงครามที่แลกมาด้วยชีวิตของผู้คน สงครามที่ต้องเสียสละส่วนน้อยเพื่อส่วนใหญ่ แม้คนๆ นั้นจะเป็นคนที่เขารักยิ่งกว่าชีวิต ผมหลับตารอรับสัมผัสจุมพิตที่หน้าผากตามที่ซ้อมมา (ที่จริงก็ซ้อมแบบเฉียดๆ มาตลอดครับ จะได้ลองของจริงก็คราวนี้แหละ พูดเหมือนอยากนะมึง) ทว่าสัมผัสชื้นกลับเกิดขึ้นที่ริมฝีปาก!!! วินาทีที่ผมเกือบจะหยุดหายใจไปจริงๆ เฮ้ย!! นี่มันนอกบทนะเว้ยพี่ พี่มองปากผมเป็นหน้าผากไปได้ยังไง หรือว่าปากผมมันเรียบลื่นแนบสนิทไปกับเนื้อ? จะบ้าเรอะ จะดิ้นหนีก็ไม่ได้ จะลืมตาก็ไม่ได้จึงได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายจูบต่อไป บดขยี้เร่าร้อน นานกว่าจะยอมปล่อย จูบร้อนไล่ไปตามแก้ม เปลือกตาและจบลงที่หน้าผาก หาเจอแล้วเรอะ หน้าผากผมเนี่ย
“เมราเซีย ที่รักของข้า” ประโยคสุดท้ายจบลงที่ริมฝีปากอีกครั้งพร้อมกับนักร้องคอรัสเปล่งเสียงเพลง When you believe
Many nights we've prayed
With no proof anyone could hear
In our hearts a hopeful song
We barely understood
Now we are not afraid
Although we know there's much to fear
We were moving mountains long
Before we knew we could
There can be miracles, when you believe
Though hope is frail, it's hard to kill
Who knows what miracles you can achieve
When you believe, somehow you will
You will when you believe
ขณะที่คนดูต่างปรบมือชื่นชมกันดังลั่นหอประชุมกลับมีคนหนึ่งที่นั่งกัดฟันกรอดอย่างสะกดกลั้นอารมณ์ สองมือของเขาจับที่วางแขนแน่นกลัวจะห้ามตัวเองไม่ให้กระโดดขึ้นไปกระชากคนสองบนเวทีออกจากกันไม่ได้ ไฟค่อยๆหรี่ลงจนปิดม่านการแสดง
TBC จ้า