บทที่ 14
เสียงเดินตึงตังบนพื้นบ้านทำให้ชนินทร์ตื่นขึ้นด้วยอาการอ่อนเพลีย
เมฆิน?
คนที่เปิดประตูเข้ามา กลับเป็นผู้ชายกลุ่มหนึ่ง
หนึ่งในนั้นคือดำ คนงานภายในไร่
“คุณชนินทร์ครับ”
ชนินทร์ชันกายขึ้น มองผู้คน ใครกัน?...
โซ่ตรวนถูกปลดออกจากข้อมือ รอยแดงช้ำยังมีร่องรอยให้เห็นชัดเจนอยู่
“คุณชนินทร์ พวกเรามาช่วยคุณออกจากที่นี่แล้ว”
“ทำไม…”
นายดำนั่งยองๆต่อหน้า แววตาฉายแววสงสาร…
“ผมมีเรื่องต้องบอกคุณ…ผมเป็นนักสืบเอกชนที่คุณอนันต์ คุณลุงของคุณจ้างให้มาสืบรอยคุณ…”
ชนินทร์เบิกตากว้าง
นี่มันอะไรกัน?
คุณอนันต์…ลุงผู้มีชื่อเสียงและอิทธิพลของเขาจ้าง…ผู้ชายคนนี้ออกตามหางั้นหรือ?
“ผมชื่อกวินนะครับ ผมจะพาคุณออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้แหละ”
“เดี๋ยวก่อน” ชนินทร์มองรอบๆ ชายห้าหกคนคอยดูลาดราว ล้วนแล้วแต่เป็นคนงานในไร่ทั้งนั้น
“นายเมฆิน เขาไม่อยู่หรอก ไม่รู้ไปไหน เรารีบไปกันเถอะ”
ทว่าชนินทร์กลับไม่ยอมไปไหน
“เอ่อ…ผม”
“ทำไมครับ? คุณถูกลักพาตัวมากักขังไว้แบบนี้ เรามีพยานครบถ้วนว่าเขาทำร้ายร่างกายและข่มขู่คุณ มันเป็นคดีอาญา เราจะยอมความไม่ได้นะครับ”
ชนินทร์มองหน้านายดำ หรือตอนนี้…กวิน หนุ่มนักสืบผิวคล้ำ ผู้ซึ่งมีใบหน้าครามเข้มทว่าคมคาย
“แต่ผมไม่อยากให้เกิดเรื่อง ขอร้อง…จะไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้น”
นักสืบหนุ่มทำหน้าแบบแทบไม่เชื่อหู
“ผม…ผมมีเรื่องต้องสะสางกับเขา ผมมีเรื่องต้องชดใช้ให้เขา…”
กวินพยายามเข้าใจ และพยักหน้า ก่อนจะลุกขึ้น
“…ก็ได้ครับ ถ้านั่นคือความตั้งใจของคุณ แต่ถ้าคุณพร้อมเมื่อไร บอกผม ผมจะนำตัวคุณออกจากที่นี่ทันที…” กวินกล่าวต่อ…ในฐานะคนรู้จักกัน “ผมอาจจะรู้จักกับคุณในสถานะการณ์ที่ไม่ปกติแบบนี้ แต่ผมรู้ครับว่าคุณเป็นคนดี และผมไม่อยากเห็นคนดีอย่างคุณต้องมารับความทุกข์แบบนี้ ผมรู้ว่าเขาทำอะไรกับคุณ…ผมเข้าใจว่าคุณอาจต้องใช้เวลา แต่ทางบ้านของคุณเขาเป็นห่วงมาก เขานึกว่าคุณหายออกจากบ้านเป็นเดือนๆนั่น อาจหมายความว่าคุณตายไปแล้ว…”
ร่างสูงเดินโซเซด้วยความเมาเข้ามา ล้มลง หัวเราะเป็นบ้าเป็นหลัง
กลิ่นแอลกอฮอลล์โชย ชนินทร์เดินเข้ามาดูใกล้ๆ จึงพบว่าเมฆินหัวเราะทั้งน้ำตา
คนเห็นรู้สึกสะท้อนใจ…
พอเมฆินปรายตามอง พบชนินทร์ยืนดูอยู่ เขาก็อ้าแขนกว้าง
“ว่างายคุณเมียรัก...รู้มั้ยว่าแม่ของผมถามแต่คุณ คุณมันมีดีตรงไหน ถึงทำให้ใครต่อใครหลงใหลได้นักต่อนัก หา?!”
พูดจบก็ล้มลง ชนินทร์ทนไม่ไหว เข้าไปสอดแขน ช่วยพยุงเขาเข้ามาในห้อง
วางลงบนเตียง ไม่รู้ทำไม…เขาต้องมาช่วยถอดเสื้อผ้า ทำความสะอาด ดูแลมัจจุราชซาตานตนนี้ด้วย…
ผู้ที่เฝ้าแอบสังเกตการณ์อยู่ภายนอกเองก็ถึงกับถอนหายใจ…
ชนินทร์ยกอุปกรณ์มาวางลงข้างเตียง เมฆินในตอนนี้สภาพดูย่ำแย่ เนื้อตัวสกปรก โทรมจนดูไม่ได้ เดี๋ยวก็หัวเราะเดี๋ยวก็ร้องไห้
ชนินทร์เริ่มลงมือเช็ดตัวให้…ในใจไม่นึกโกรธเกลียดที่เขาทำร้ายตนเลย
มีแต่เพียงความเห็นใจ…
เมฆินปัดมือออก
“ไม่ต้อง! อย่ามาโดนตัวผม เราไม่จำเป็นต้องยุ่งเกี่ยวกันอีก”
กระนั้นชนินทร์ก็ยังทำหน้าที่ต่อไป
เมฆินเงียบ…เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
“ทำไมต้องทำด้วย คุณไม่โกรธหรือเกลียดผมบ้างเลยเหรอ?”
ชนินทร์ไม่ตอบ เม้มริมฝีปาก
“เกลียดผมบ้างซิ…เพราะแม้แต่ผมยังเกลียดตัวเองเลย…”
ร้องไห้ออกมา เอาท่อนแขนปิดยังไงก็มองเห็น
“ทำไม…ทำไมคุณถึงเป็นคนดีแบบนี้นะ…ผมมันเลวเองใช่มั้ยล่ะ?...”
วันต่อมา ชนินทร์ได้ใช่เวลาเงียบๆระหว่างเมฆินนอนหลับอยู่คิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ
นัดกับกวิน…ว่าพรุ่งนี้จะออกเดินทางเข้ากรุงเทพฯ
กลับบ้าน…
ไม่มีใครรบกวน ไม่มีใครมาหา…ปล่อยให้เรือนเล็กว่างเปล่าไร้ผู้คน…มีเพียงคนสองคนเท่านั้น ที่แทบไม่ได้พูดจากัน ต่างฝ่ายต่างอาศัยอยู่ในความเงียบเชียบ…
ท่ามกลางลมอุ่นร้อนพัดเข้าปะทะ บรรยากาศที่ห้อมล้อมแม้จะต่างถิ่น แต่ชนินทร์ก็ใจหาย…ความทรงจำที่ได้มาอยู่ที่นี่ แม้ว่าจะเหมือนฝัน แต่ทุกอย่างก็เกิดขึ้นจริงจนชนินทร์แทบลบเลือนมันออกไปไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว…
กลับบ้าน…เขาคิดถึงบ้าน คิดถึงครอบครัว
แต่ทำไมนะ…หัวใจมันเจ็บปวด เหมือนมันถูกกักขังไว้ที่นี่เรียบร้อยแล้ว
ใช่ซิ…กายของเขายังเคยถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวเอาไว้ตั้งนมนาน
ช่างหัวใจไม่รักดี…
นับประสาอะไรกับหัวใจ ที่ตอนนี้ยิ่งคิดยิ่งกลัวว่า…จะยึดคืนมาเป็นของตนเองไม่ได้อีกแล้ว!
ชนินทร์หัวเราะ…ตายแน่ เขาคงต้องตายทั้งเป็น…
จริง…เป็นอย่างที่เมฆินต้องการทุกประการจริงๆ…
ตกเย็น เมฆินตื่นขึ้น…
กินข้าว กินน้ำที่ชนินทร์หาไว้ให้
เริ่มมีเรี่ยวแรงลุกออกมาตามหาร่างโปร่ง…
พบอีกฝ่ายยืนกอดอกดูพระอาทิตย์ตกดินอยู่ตามลำพัง
ยืนมองจากด้านหลังอยู่นาน…นานมาก แววตาครุ่นคิด
ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไร
ไม่รู้ว่าคิดอะไร
หรือเพียงต้องการจดจำภาพเหล่านั้นไว้…
รวบรวมความกล้า เดินเข้าไปให้รู้ตัว ยังไม่ปริปากเอ่ยคำใดๆนอกจาก
“ผมขอโทษ…”
ชนินทร์ยืนนิ่ง เมฆินเอื้อมมือมาจับไหล่ ซึ่งเจ้าตัวไม่ขัดขืนใดๆทั้งสิ้น
“พรุ่งนี้ผมจะต้องไปแล้ว…”
มือหนาบีบแน่นขึ้น
“คุณจะไปไหน?”
“คุณไม่ทราบหรือว่ามีคนเห็นคุณทำกับผม แล้วสามารถเป็นพยานให้ผมฟ้องร้องคุณได้”
“คุณกล้า?”
“ผมกล้า แต่ไม่ทำ…เพราะจะมีคนทำแทน ทางบ้านของผมส่งนักสืบมาตามหาผม พวกเขารู้เรื่องระหว่างเราหมดแล้ว”
เมฆินเงียบไป น้ำเสียงเริ่มไม่เจือด้วยอารมณ์
“เรื่องระหว่างเรา…”
ทวนซ้ำ…น้ำเสียงเบาหวิว
“นายดำใช่มั้ย?”
ชนินทร์พยักหน้า
“งั้นคุณก็จะไป?...”
“ใช่ แต่คุณไม่ทักท้วงเลยหรือ…คุณอยากฆ่าผมให้ตายทั้งเป็น อุตส่าห์จับผมมาแบบนี้ ทำร้ายต่างๆนานา…แต่รู้มั้ยว่าผมไม่อาฆาตอะไรคุณเลย ไม่เลยจริงๆ”
เมฆินนิ่งเงียบ นาน…จนชนินทร์นึกว่าจะไม่ยอม
“งั้นคุณก็ไปซิ…ผม…จะไม่รั้งคุณไว้อีกต่อไปแล้ว”
“แสดงว่าคุณทำร้ายผมสมใจแล้วใช่มั้ย?”
“ยัง ความแค้นของผมจะไม่มีวันลดลง”
ชนินทร์ก้าวเข้าใกล้ร่างสูง
“งั้นต้องการอะไร ผมอยากให้เรื่องของเราจบลง หมดสิ้น ไม่มีอันใดต่อๆไปอีกแล้ว…บอกมา เพียงคุณบอกคำเดียว แม้แต่ชีวิตผมก็ให้ใดเลย ณ ตอนนี้”
จู่ๆ เมฆินก็ระเบิดหัวเราะเสียงดัง
ชนินทร์ขมวดคิ้วงุนงง
เมฆินมองหน้าเหมือนจะถามว่า ‘แน่ใจหรือ?’
“ผม…ต้องการตัวคุณ ร่างกายของคุณ จิตวิญญาณของคุณ ความเป็นคนในตัวตนของคุณ!”
ชนินทร์หน้าซีดเผือด แต่พยายามกลืนก้อนแข็งๆที่จุกไว้ในลำคอ
“งั้น…ถ้าคุณต้องการ”
“จนกว่าผมจะพอใจ ผมจะขอศักดิ์ศรีทั้งหมดของคุณ จำไว้ เมื่อผมได้มัน คุณจะไม่หลงเหลืออะไรให้ภาคภูมิใจอีกเลยตลอดชีวิต!”
ชนินทร์สูดลมหายใจลึก…สั่น เพราะพยายามเก็บกลั้นความรู้สึกบางอย่างไว้
ความรู้สึกของหัวใจที่แตกสลาย…หัวใจที่เขาไม่มีวันต้องการ แม้ยามที่จุดสิ้นสุดเดินทางมาถึง
จบแล้ว…พอกันที หากความเป็นคนคือสิ่งที่เขาต้องการ ชนินทร์ก็ไม่กลัวที่จะมอบมัน!
จมูกโด่งกำลังไต่ไปตามสันลำคอระหง…
มือใหญ่หนา ลูบไล้ไปตามเอวคอด…
ร่างสูงหนากอดจากทางด้านหลัง แต่แล้วก็หยุดพัก
“นี่ ไม่ต้องทำหน้าเหมือนกับทำสัญญากับซาตานแบบนั้นก็ได้…ผมเป็นคนนะ พยายามมีชีวิตชีวาหน่อย”
ชนินทร์ก้มหน้า น้ำตา…น้ำตาแห่งความเสียใจหลั่งไหลออกมา
ใช่ซิ…ซาตาน
ซาตานที่ไม่เคยอยากได้หัวใจของเขา!
“อ้อ…ใช่ คุณตกลงแล้ว งั้นผมขอใช้สิทธิอย่างไม่เกรงใจเลยนะ”
เมฆินตักตวงทุกๆความรู้สึกอย่างคุ้มค่า…
เขามีความสุข…ทางกาย
แต่ทางใจ…เขารู้ว่ามันไม่มีวันได้รับน้ำเลี้ยงหล่อให้สดชื่นอีกต่อไป
เขาเพิ่งบดขยี้…ดวงใจที่เขาคิดว่างดงามมากที่สุดลง
เมฆินทำเหมือนครั้งสุดท้ายนี้เป็นเรื่องฝุ่นผง เหมือนเขาไม่แยแส เขาชนะแล้วนี่
ทว่าชนินทร์ไม่มีวันรู้หรอก…ว่าอีกฝ่ายรู้สึกหรือทรมานเช่นไร
คนชั่วร้าย โหดเหี้ยม ป่าเถื่อนอย่างเขา…ไม่มีวันคู่ควรกับคนที่มีหัวใจเปรียบดังเทวดาเยี่ยงชนินทร์
ไม่มีวัน…ไม่มีวัน…
ไม่รู้ว่าที่เขากำลังทำ…เพื่อต้องการยึดเหนี่ยวอะไรบางอย่างไว้หรือเปล่า
สับสน…สับสนไปหมด…
…ปากอุ่นร้อนคาบยอดอกเอาไว้ ส่งให้ร่างบางแอ่นกายตาม…ทั้งสองต่างปลดเปลื้องความเจ็บปวด ความขัดแย้ง เขาอาฆาตแค้น…กองไว้
เพราะวินาทีนี้ มีเพียงสองร่าง ที่เต้นไปตามจังหวะอันเป็นหนึ่งเดียว
หลังจากนี้ จะไม่มีความทรงจำ ไม่มีช่วงเวลา ไม่มีตัวตน ที่บ่งบอกให้ระลึกถึงกันและกันอีกต่อไป…
จบสิ้น จบลงแล้ว…ทุกอย่างจะเริ่มต้นใหม่โดยไม่มีวันมาบรรจบกัน
ลาก่อน