น้ำเสียงท้ายประโยคสั่นเครือเมื่อเขาเอ่ยคำว่าขอโทษ ภัทรอับอายเหลือเกินกับนิสัยชอบคิดมากของตัวเอง เขาเคยคิดว่าได้เติบโตขึ้นจากอดีตมากพอที่จะยอมรับความเปลี่ยนแปลงและไม่แน่นอนของอนาคตได้แล้ว ทว่าเมื่อมันเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งกับคนเพียงคนเดียวที่เขาอุทิศหัวใจให้ เรื่องที่อาจเป็นเพียงเรื่องเล็กก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ไปในบัดดล เพราะเขาไม่รู้ว่าอนาคตที่เชษฐ์เลือกจะมีที่ว่างพอสำหรับตัวเขาหรือเปล่า
เสียงถอนหายใจหนักหน่วงดังขึ้นเหนือศีรษะเมื่อร่างสูงใหญ่รั้งเขาเข้าไปกอด ภัทรเองก็ไม่ได้ขืนตัวและโน้มร่างเข้าหาตามแรงโอบแต่โดยดี ชายหนุ่มเอียงหน้าลงฟังเสียงจากแผ่นอกอันแข็งแกร่ง ในเวลาที่หัวใจเขาเองอ่อนล้าเหลือเกินกับความไม่แน่นอนที่จับต้องไม่ได้ เสียงหัวใจที่เต้นอย่างแข็งแรงสม่ำเสมอซึ่งส่งผ่านออกมาช่วยเหนี่ยวรั้งภัทรให้อยู่กับความเป็นจริงมากขึ้น
ทั้งคู่ต่างไม่เอื้อนเอ่ยคำใดอยู่เนิ่นนาน มีเพียงเสียงคลื่นเซาะหาดทรายและความเย็นจากน้ำที่ไล้มากระทบฝ่าเท้าซึ่งเป็นสัญญาณของเวลาที่ล่วงผ่าน
"...เมื่อคืนได้ฟังจนถึงตอนไหน?"
น้ำเสียงของเชษฐ์ไม่ได้คาดคั้น ร่างสูงใหญ่เพียงกระซิบถามข้างหูโดยที่ไม่ได้ปล่อยภัทรออกจากอ้อมแขน ฝ่ามือที่ลูบหลังขึ้นลงอย่างปลอบโยนส่งผ่านความอบอุ่นเข้ามาในใจ และทำให้ภัทรรู้สึกว่าเขาสามารถเล่าทุกเรื่องได้โดยไม่ต้องกลัวจะถูกตำหนิ
"ถึงตอนที่คุณเชษฐ์บอกว่าจะเก็บไปคิดดูครับ พอคุณแม่ของคุณเชษฐ์เดินออกมาตาม ผมก็เลยกลับขึ้นไปบนห้อง"
"อ้อ"
เชษฐ์ตอบรับในคอโดยไม่พูดอะไรมากกว่านั้น ครู่ใหญ่กว่าร่างสูงจะดันคนในอ้อมแขนออกแล้วมองตาภัทรตรงๆ อีกครั้ง
"เธออยากให้ฉันไปหรือเปล่า?"
น้ำตาที่แห้งไปแล้วทำท่าจะรื้นขึ้นมาใหม่ แต่ภัทรก็เพียงหลุบตาลงเพื่อเลี่ยงการสบตาคนถาม
"มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับอนาคตของคุณเชษฐ์ครับ แม้แต่คุณปรีชายังเคยบอกคุณเชษฐ์ว่าอย่าทิ้งโอกาสที่มีคนยื่นให้ เรื่องแบบนี้ก็ไม่ใช่ว่าคนอื่นในบริษัทจะมีโอกาสบ่อยๆ เหมือนกัน แม้แต่ผมเอง..."
ภัทรพูดต่อไม่ออกว่า "....ก็ไม่อยากให้คุณเชษฐ์เสียโอกาสแบบนี้ไป" ทั้งที่มันเป็นประโยคที่ควรพูด แต่เมื่อมันหมายถึงการที่ทั้งสองจะต้องอยู่ห่างกัน เขาก็เค้นคำพูดนั้นออกจากคอไม่ได้
เสียงหัวเราะเบาๆ จากเหนือศีรษะทำให้ภัทรมุ่นคิ้วแล้วเหลือบตาขึ้น แววตาอ่อนโยนบนใบหน้าที่กำลังมองเขานั้นสะท้อนความรักใคร่ที่มีให้อย่างเต็มเปี่ยม และยิ่งทำให้ภัทรลำคอตีบตันมากขึ้นไปอีก
"ไม่อยากให้ฉันไปใช่ไหม?"
เชษฐ์ถามยิ้มๆ เหมือนอ่านใจภัทรได้ทะลุปรุโปร่ง ดูเหมือนไม่ว่าเขาจะพยายามปกปิดความในใจด้วยคำพูดสวยหรูเพียงใดก็หลอกลวงอีกฝ่ายไม่ได้เลย ภัทรจึงได้แต่สูดน้ำมูกแล้วเบนสายตาหนีอีกครั้ง
"ผมไม่กล้าพูดแบบนั้นหรอกครับ"
"ทำไมล่ะ? ทั้งที่ฉันอยากได้ยินจากปากเธอน่ะเหรอ?"
ภัทรเม้มปาก นัยน์ตาเรียวยังคงไม่ยอมช้อนขึ้นสบตาคนที่จับต้นแขนทั้งสองข้างของตนไว้แน่น เขาไม่อยากโดนคุณเชษฐ์ล้อเล่นในเรื่องสำคัญแบบนี้ ทั้งที่เจ้าตัวก็รู้ดีว่านี่คือโอกาสสร้างความก้าวหน้าซึ่งคนอื่นคงไม่ลังเลที่จะคว้าไว้
"ภัทร ฟังนะ"
น้ำเสียงที่เป็นการเป็นงานขึ้นเรียกให้ภัทรต้องยอมเหลือบตาขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างไม่เต็มใจ และพบว่าแม้นัยน์ตาที่มองมาจะยังทอประกายแย้มยิ้ม แต่ลึกลงในนั้นก็มีความจริงจังแฝงอยู่
"จริงอยู่ที่โอกาสที่จะได้ไปทำงานที่สำนักงานใหญ่ไม่ได้มีกันบ่อยๆ แต่ว่านะ ฉันไม่เคยคิดจะไปตั้งแต่แรกแล้ว”
"เอ๊ะ? แต่ว่า..." ภัทรหยุดพูดเมื่ออีกฝ่ายส่ายหน้าเป็นเชิงว่ายังพูดไม่จบ
"ฉันคงไม่เคยเล่าให้ฟังว่าก่อนที่บริษัทของเราจะเข้าร่วมกับบริษัทที่ต่างประเทศแล้วเปลี่ยนชื่อ มันเคยเป็นแค่บริษัทเล็กๆ ที่พ่อของฉันกับคุณปรีชาช่วยกันบุกเบิกขึ้นมา แล้วก็ไม่ใช่เรื่องง่ายกว่ามันจะเป็นที่ยอมรับอย่างทุกวันนี้ นั่นเป็นเรื่องที่ฉันรับรู้และเห็นมาตลอดตั้งแต่ยังเด็ก”
ภัทรมุ่นคิ้วด้วยไม่เข้าใจว่าคนตรงหน้าต้องการจะสื่ออะไร แต่ก็ตั้งใจฟังโดยไม่เอ่ยขัด
"ตั้งแต่มาทำงานกับคุณปรีชา ฉันก็รู้ว่าบริษัทของเรายังโตได้อีกมาก ตอนไปเทรนนิ่งที่สำนักงานใหญ่ทำให้ฉันยิ่งรู้ว่าไม่จำเป็นต้องไปอยู่ที่นั่นก็พิสูจน์ความสามารถได้ แค่พัฒนาโครงการที่คิดไว้ให้สำเร็จจนสำนักงานใหญ่ต้องขอโมเดลไปทำตามก็พอแล้ว นี่คือข้อตกลงที่ฉันบอกคุณปรีชาตอนที่ปฏิเสธเรื่องไปคุมออฟฟิศที่เวียดนาม เพียงแต่ฉันไม่ได้บอกพ่อเรื่องนี้”
ภัทรกะพริบตาปริบ สิ่งที่เพิ่งได้รับฟังช่างมีรายละเอียดปลีกย่อยมากมายจนเขาไม่สามารถย่อยข้อมูลทุกอย่างได้ในชั่ววินาที กระนั้นคลื่นความอบอุ่นที่มองไม่เห็นก็ค่อยๆ หลอมละลายความหนาวเย็นที่ห่อหุ้มจิตใจนับตั้งแต่ได้ยินคำว่า 'ฉันไม่จำเป็นต้องไปอยู่ที่นั่น'
"คุณเชษฐ์หมายความว่า...จะไม่ไปอยู่ที่สำนักงานใหญ่?"
แม้จะตีความได้เช่นนั้นแล้ว แต่ภัทรก็ยังอยากได้คำตอบที่ชัดเจนเพื่อความมั่นใจ เขาอยากรู้ว่าการที่อีกฝ่ายเลือกจะไม่ไปนั้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการเติบโตในหน้าที่การงานจริงๆ
"ไม่ไปหรอก จริงอยู่ที่คุณปรีชาเคยสอนฉันว่าเราไม่ควรทิ้งโอกาสที่มีคนหยิบยื่นให้ แต่แทนที่จะเอาแต่รอโอกาสจากคนอื่น เราก็ชิงสร้างโอกาสให้ตัวเองก่อนก็ได้นี่ จริงไหม?”
เชษฐ์ยิ้มขณะมองสีหน้าของภัทรที่ค่อยๆ แปรเปลี่ยนจากหมองเศร้าเป็นเปล่งปลั่งเพราะความดีใจ จริงอยู่ว่าเมื่อคืนนี้เขาตะลึงนิดหน่อยที่ได้รู้ว่าทางสำนักงานใหญ่สนใจในตัวเขา แต่เรื่องโครงการที่เขาอยากทำเพื่อพัฒนาออฟฟิศที่เมืองไทยเป็นสิ่งที่ถูกคิดเพื่อเตรียมนำเสนอคุณปรีชามานานแล้ว และเชษฐ์ไม่ต้องการเห็นแผนงานที่ตนริเริ่มไว้ถูกละทิ้งหรือเปลี่ยนมือให้คนอื่นมารับผิดชอบกลางคัน
คำพูดที่ว่าเราควรสร้างโอกาสให้ตนเองแทนที่จะรอคนอื่น ความจริงแล้วเป็นคำพูดที่พ่อของเขาเคยกล่าวให้ฟังตอนที่แยกไปทำธุรกิจของตัวเองเมื่อสิบกว่าปีก่อน แต่อาจเพราะเวลาที่ผ่านมาเนิ่นนานจึงทำให้เจ้าตัวหลงลืมคำพูดนั้นไป รวมทั้งความดื้อรั้นของลูกชายหัวแข็งคนนี้ด้วยก็เป็นได้
"แล้วทำไมเมื่อคืนคุณเชษฐ์ถึงบอกคุณพ่อว่าจะคิดดูล่ะครับ?"
ภัทรถามคำถามสุดท้าย เพราะถ้าหากเมื่อคืนได้ยินอีกฝ่ายตอบเช่นนี้ตั้งแต่แรก เขาก็คงไม่เก็บเอาเรื่องที่ได้ยินมาคิดมากจนทำให้ตัวเองต้องปวดใจถึงขนาดนี้
คำถามของเขาเรียกเสียงหัวเราะได้อีกครั้ง เชษฐ์ก้มลงแนบริมฝีปากบนผิวแก้มของภัทรก่อนจะใช้นิ้วโป้งลูบตามด้วยความเอ็นดู สัมผัสอันอ่อนโยนทำให้ภัทรรู้สึกว่าผิวแก้มที่โดนแตะต้องอุ่นวาบ
"ตอนนั้นฉันไม่อยากให้พ่อเสียน้ำใจที่อุตส่าห์บินมาเยี่ยมจากต่างประเทศ แล้วพอจะบอกข่าวดีกับลูกชายก็โดนปฏิเสธเสียอีก ทางที่ดีที่สุดก็คือให้คำตอบไปแบบนั้น ฉันตั้งใจว่าพอเวลาผ่านไปสักพักจนโครงการใหม่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้วถึงค่อยบอกพ่อว่าตัดสินใจแบบนี้ ถึงตอนนั้นต่อให้อยากสนับสนุนฉันไปสำนักงานใหญ่แค่ไหนก็คงต้องยอมรับว่าฉันอยู่ที่นี่ดีกว่า แล้วอีกอย่างนะ...ภัทร"
ภัทรมองใบหน้าที่ก้มลงมาหา ระยะที่ใกล้ชิดจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจบนปลายจมูกของกันและกันทำให้เขามองเห็นเงาสะท้อนของตัวเองในแววตาหลังเลนส์ใส ใบหน้าคมคายยิ้มอบอุ่นก่อนจะก้มลงแนบริมฝีปากบนกลีบปากสีชมพูอ่อน
"ต่อให้เลือกจะไม่อยู่ที่นี่ ฉันก็ไม่มีวันทิ้งเธอไว้คนเดียวหรอก เลิกคิดมากเรื่องนั้นได้เลย"
จุมพิตที่แนบลงบนริมฝีปากนั้นนุ่มนวลแต่ก็หนักแน่น เช่นเดียวกับอ้อมแขนที่รั้งตัวภัทรเข้าไปกอดไว้แนบอก เขารู้สึกราวกับความหนักอึ้งดุจหินที่กดทับจิตใจตั้งแต่คืนก่อนค่อยๆ กร่อนสลาย เวลานี้ความเต็มแน่นในอกหาได้มาจากความอึดอัดจนเหมือนจะหายใจไม่ออกอีกต่อไป แต่เป็นความพองฟูจากความยินดีจนทำให้ในหัวว่างเปล่าจากเรื่องไม่สบายใจทั้งหมด
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงไม่กี่นาทีก่อน ภัทรยังรู้สึกเหมือนตัวเองยืนอยู่บนปากเหวแห่งความทดท้อที่พร้อมจะดึงดูดให้ร่วงหล่นลงไปทุกเสี้ยววินาที แต่ตอนนี้เขากลับกลายเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก
"ทำไมยังร้องไห้อีกล่ะ? ไม่ดีใจเหรอที่ฉันไม่ไป?"
เชษฐ์ถามยิ้มๆ หลังถอนริมฝีปากออก ภัทรจึงได้แต่หัวเราะทั้งน้ำตา เพราะรู้ดีว่าคนถามย่อมเข้าใจว่าน้ำตาครั้งนี้ถูกกลั่นมาจากความรู้สึกแบบไหนแท้ๆ
"ผมรักคุณเชษฐ์ที่สุดเลยครับ"
ภัทรยิ้มให้กับเจ้าของอ้อมแขนอุ่นที่โอบตัวเองไว้ ตอนนี้เขายินดีมอบพันธนาการทั้งตัวและหัวใจให้แก่คนตรงหน้าโดยไร้ซึ่งความคลางแคลงใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจากนี้หรือตลอดไป ภัทรก็มั่นใจว่าคนคนนี้จะไม่มีวันปล่อยให้เขาต้องอยู่อย่างอ้างว้างโดดเดี่ยวอย่างแน่นอน เช่นเดียวกับที่เขาก็จะไม่มีวันปล่อยหัวใจให้อ่อนแอจากการระแวงสงสัยในความมั่นคงของอีกฝ่ายอีกเช่นกัน
เชษฐ์ยิ้มพลางใช้ปลายนิ้วกรีดหยาดน้ำจากหางตาของภัทรอย่างทะนุถนอม ภาพรอยยิ้มเปื้อนน้ำตาช่างพร่าพรายจับตาจนเขาถอนสายตาไม่ได้ แม้ไม่อาจให้สัญญาว่าจะไม่ทำให้คนที่ความนึกคิดละเอียดอ่อนเหลือเกินคนนี้ต้องเสียน้ำตาอีกในอนาคต แต่เชษฐ์ก็ให้คำมั่นกับตัวเองได้ว่าอย่างน้อยที่สุด เขาจะทำให้น้ำตาเหล่านั้นเป็นน้ำตาที่หลั่งออกมาจากความยินดีเฉกเช่นในครานี้เท่านั้น
สายตาสองคู่สบประสานโดยไม่ปล่อยมือที่โอบกอดกันและกัน ในแววตามีเพียงภาพสะท้อนของคนตรงหน้าโดยไม่นำพากับสายลมแผ่วพลิ้วที่โอบล้อม แสงอรุณที่ทอลงมาบนร่างผ่านปุยเมฆสีขาวดุจใยสำลี หรือเกลียวคลื่นที่ส่งละอองความเย็นมาให้ทุกครั้งที่ซัดสาดขึ้นบนผืนทราย สิ่งเดียวที่ต่างก็รับรู้ได้ในยามนี้คือความอ่อนหวานอันแสนลึกซึ้งที่ต่างพร้อมจะมอบให้คนในอ้อมแขนเพียงคนเดียว
ไม่จำเป็นต้องขอคำมั่น หรือเอ่ยคำสาบานใดๆ เพื่อยืนยันความในใจอีกแล้ว
เพียงแค่มองเข้าไปในแววตา ก็รับรู้ได้แล้วว่าความสุขชั่วชีวิตที่เคยค้นหา ยืนอยู่ตรงหน้านี้เอง...
++---End---++
A/N: นับเป็นการเดินทางอันยาวนานมากจริงๆ สำหรับคุณเชษฐ์กับน้องภัทรกว่าจะมาถึงจุดนี้ เชื่อว่าหลายคนคงโล่งใจไปด้วยที่ในที่สุดน้องภัทรก็ก้าวข้ามความไม่มั่นใจต่างๆ นานาไปได้เสียที และหลังจากนี้คงมีแต่เรื่องหวานๆ รออยู่ คิดว่าหลายคนคงแอบหวังให้มีอะไรอิ๊อ๊ะกว่านี้สักหน่อย (ตามประสา Bellbomb ... เอ๊ะยังไง) แต่สำหรับตอนนี้ เราว่านี่เป็นบทสรุปที่เหมาะสมของคู่นี้แล้วค่ะ ส่วนอะไรที่อยากอ่านกันซึ่งมากกว่านี้...ก็เอาไว้หลังจากนี้ไปก็แล้วกันเนาะ
ความจริงมีอะไรหลายอย่างอยากพูดเกี่ยวกับตอนจบ แต่ก็พร่ำรำพันไปเยอะพอสมควรแล้วในเฟสบุ๊คจนไม่รู้จะพูดอะไรอีก เอาเป็นว่าจะพยายามเขียนทอล์คยาวๆ หลังจากตอนส่งท้ายที่จะมาแปะให้อ่านหลังจากนี้ก็แล้วกันค่ะ เพียงแต่อาจไม่ได้ตามมาอย่างรวดเร็วนัก ยังไงก็รอติดตามคุณเชษฐ์กับน้องภัทรต่อกันอีกหน่อยนะคะ รักคนอ่าน + ตาหวานใส่ทุกคนที่คอมเม้นต์ให้ค่า