ตอนที่ 9
ในวันที่มีความสุขรูปถ่ายหน้าถัดไปทำให้ผมยิ้มออกมาได้อีกครั้งหนึ่ง
ภาพถ่ายสามคน ผม ไอ้ต้า ต้อย เราสามคนกอดคอกันแน่น มีผมอยู่ตรงกลาง ต้าอยู่ด้านซ้าย และต้อยยิ้มแฉ่งอยู่ด้านขวา ฉากหลังเป็นหมอกสีขาวฝ้าหนาทึบจนมองไม่เห็นวิวข้างหลังเลย
ภาพนี้เป็นอีกภาพหนึ่งที่ผมชอบมาก...เพราะในขณะที่ผมกำลังมองกล้องอยู่...สายตาของไอ้ต้ากลับเหลือบมาทางผม...ถึงจะรู้ว่าจริงๆแล้วมันไม่ได้คิดอะไร แต่ก็อดทึกทักเอาเองไม่ได้ว่ามันกำลังแอบมองผมอยู่...แค่นี้ก็มีความสุขมากแล้วครับ
+++++++++++++++++++
“อะ...กินปะ?” เหลือบมองไปด้านข้าง เจอไอ้ต้อยยื่นถุงเลย์มาให้
ผมถอดหูฟังออกพลางส่ายหน้าตอบมัน “ไม่”
ไอ้ต้อยเลยชักมือกลับ นั่งจกขนมกินคนเดียวต่อ
ตอนนี้เรากำลังอยู่บนรถตู้ครับ ไอ้ต้อยกับผมนั่งอยู่แถวกลาง ส่วนไอ้ต้านอนหลับอุตุอยู่ด้านหลัง
หลังจากสอบมิดเทอมเสร็จสิ้น ไอ้ต้าร้องยิกๆจะจัดทริปให้ได้ มันเจาะจงว่ายังไงก็ต้องเป็นภูเขาเท่านั้น เพราะมันไม่อยากไปทะเล...ไอ้นี่นิ ยังไงๆก็ไม่ยอมหัดว่ายน้ำแฮะ
สมาชิกจะเป็นใครไปได้ นอกจากผม ไอ้ต้า ไอ้ต้อย และ...ที่ไม่ได้คาดว่าจะมาด้วยคือ...น้องแพร
จะว่าไปน้องแพรนี่ก็กล้านะครับ มาเที่ยวค้างคืนกับกลุ่มผู้ชายสามคนอย่างนี้ได้น่ะ ไม่รู้พ่อแม่ยอมได้ยังไง ถึงจะนอนห้องเดี่ยว ให้พวกผมสามคนนอนอัดกันอีกห้องก็เหอะ
“พี่ต้าๆ อีกนานมั้ยอะ กว่าจะถึง” นั่นไงครับ เสียงสาวมั่นดังมาจากข้างหลังผมนี่เอง เหล่ตามองก็เห็นว่าเจ้าหล่อนกำลังเขย่าไอ้ต้าที่นอนอ้าปากจนหัวโคลง
ไอ้ต้ามันตื่นเร็วครับ เรียกแค่นิดเดียวมันก็ลืมตาผึง จมูกฟุดฟิด คงได้กลิ่นเลย์ ก็เลยยื่นมือมาจวกขนมในอุ้งมือไอ้ต้อยไปกิน “อีกนานป่าววะ ต้อย?”
ไอ้ต้อยชี้นิ้วไปด้านหน้า “ถึงพอดี กำลังจะปลุกเลย
เราลงจากรถพลางมองลานดินกว้างๆที่มีรถจอดอยู่ไม่มากนัก เพราะยังเป็นเวลาเช้าอยู่ ข้างทางมีเพิงไม้ขายของที่ชาวเขาเอามาขายเรียงรายเป็นทางยาว น้องแพรดูจะสนใจน่าดู...ก็นิสัยผู้หญิงแหละครับ เห็นควักกระเป๋าตังค์ซื้อนู่นซื้อนี่ซะเยอะจนต้าต้องไปลากกลับมา
“เดี๋ยวค่อยมาซื้อตอนกลับก็ได้” มันว่าอย่างงั้นพลางปลอบหัวปลอบหางน้องแพรที่ทำท่าขัดใจอยู่
...ขัดตาชะมัดเลยครับ...
“เมารถหรือไง หน้าบูดเชียว” ไอ้ต้อยยื่นขวดน้ำดื่มเย็นเฉียบเสียบหลอดเรียบร้อยมาให้ พอผมรับมาดูดมันก็ลากผมออกไปไกล “ไปเหอะ เดี๋ยวสายแล้วจะร้อน”
ผมไม่เห็นว่ามันน่าจะร้อนตรงไหนเลยครับ อากาศหนาวไม่พอ เมื่อคืนยังฝนตกอีก ตอนนี้หมอกเลยลงเต็มทาง มองแทบจะไม่เห็นทางเดินข้างหน้า
“แล้วต้าล่ะ” ผมกำลังพะวักพะวนครับ กลัวจะหลงกัน
“ทางเดินมันมีทางเดียว ไม่หลงหรอกน่า” ไอ้ต้อยตอบส่งๆ แถมยังไม่ยอมหยุดลากอีก...มันเอาแรงมาจากไหนวะ แค่สัมภาระของมันก็พะรุงพะรังแล้วนะเนี่ย เพราะมันหิ้วทั้งกระเป๋ากล้อง หิ้วทั้งเสบียงน้ำกับขนม เท่านั้นไม่พอยังมีขาตั้งกล้องบิ๊กเบิ้มอีกต่างหาก
“เอามา ช่วยถือ” ผมจับถุงเสบียงดึงๆเชิงให้มันปล่อยมือ มันดันยื่นไม้ที่เก็บจากข้างทางมาให้ผมแทน
“เอานี่ไปถือแทน เผื่อเมื่อย” คิดๆไปถึงค่อยเข้าใจครับ...มันเอาท่อนไม้มาให้เผื่อจะได้ใช้เป็นไม้เท้าเวลาเหนื่อย! แม่ง!! ดูถูกกันฉิบหายเลย!!!
ผมบอกขอบคุณมันพลางเอาท่อนไม้เคาะหัวมันดังป๊อกๆ ไอ้ต้อยโวยวายใหญ่ แต่ก็หัวเราะเสียงดังด้วย ผมก็เลยหัวเราะตาม
...
...
เดินมาไกลพอสมควรครับ มันเมื่อยจริงๆด้วยแฮะ...ที่จริงทางมันก็ไม่ชันเท่าไหร่หรอก แต่พื้นมันลื่นเลยต้องคอยเอาไม้ของไอ้ต้อยยันพื้นไว้ แถมพื้นยังเป็นหินตะปุ่มตะป่ำ หน้าผาก็เยอะต้องคอยกระโดดน่ะครับ ไอ้ผมที่ช่วงหลังๆไม่ค่อยได้ออกกำลังกายก็เลยหอบแฮ่กเป็นหมาหอบแดดเลยทีเดียว
เหยียบลงไปบนใบไม้เปียก กำลังจะล้มไอ้ต้อยก็คว้าตัวผมเอาไว้ได้ “เดินระวังหน่อยดิ”
จากท่อนแขนที่มันโอบผมอยู่ทำให้รู้ว่า...มันไม่หอบเลยเหอะ!!!...
และก็ทำให้รู้อีกอย่างครับ...
“ต้อย”
“อะไร?”
“สูงขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่” มันสูงกว่าผมแล้วอ้ะ!!!
ไอ้ต้อยหัวเราะ ปล่อยเอวผมแล้วเอามือมาขยี้หัวผมแทน “เพิ่งสังเกตหรือไง”
…
…
ในที่สุดก็เดินมาถึงจุดสูงสุดจนได้ครับ ลานด้านบนเป็นลานกว้าง มีหินก้อนใหญ่ๆให้นั่งพักเหนื่อย...เคยอ่านข้อมูลตอนที่เลือกที่เที่ยว เค้าเขียนไว้ว่าขึ้นมาชมวิวแล้วจะหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง...แต่ไม่เห็นเป็นอย่างนั้นเลยครับ เพราะตอนนี้หมอกมันหนา ฟ้าปิด จนมองไม่เห็นวิวอะไรนอกสีขาวๆรอบตัว
ผมทิ้งตัวลงนั่งบนหินก้อนใหญ่ คว้าขวดน้ำขึ้นกรอกพลางนั่งพักเหนื่อย ตาก็มองไอ้ต้อยที่กางขาตั้งกล้องออกมา จัดกล้องเซ็ดนั่นเซ็ตนี่อะไรของมันก็ไม่รู้ครับ ท่าทางมีความสุขซะจริง
“จะถ่ายอะไรวะ มีแต่หมอก” ผมถามมัน...บอกตามตรงว่าผิดหวังครับ อยากเห็นวิวสวยๆมากกว่า
แชะ...แสงแฟลตวาบขึ้นมา พอมองไปก็พบว่าไอ้ต้อยมันเล็งกล้องมาทางผม “ก็ถ่ายคนหน้าบึ้งไง...ยิ้มหน่อยดิ มาเที่ยวทั้งที ”
มันว่าอย่างงั้น กดอะไรบนกล้องก็ไม่รู้ก่อนจะรีบวิ่งมานั่งข้างๆผม...อ๋อ...ตั้งเวลากล้องน่ะเอง…ว่าแต่จะถ่ายรูปทำไมต้องจับมือกันด้วยวะ?
“เดี๋ยวๆๆๆ รอด้วย!!!” เสียงไอ้ต้าตะโกนมาแต่ไกลเลยครับ มันรีบลากน้องแพรวิ่งเข้ามานั่งอีกข้างของผม ผมพยายามแกะมือของไอ้ต้อยออกจนแทบจะลืมมองกล้อง แต่ไอ้ต้อยก็ไม่ยอมปล่อย มีหน้ากระซิบอีกครับ
“จะถ่ายแล้ว มองกล้องเร็วๆ”
พอเงยหน้าขึ้นมามองกล้องเท่านั้นแหละครับ แสงแฟลตก็วาบพอดี เป็นเวลาเดียวกับที่ไอ้ต้อยปล่อยมือแล้ววิ่งไปเช็ครูปในกล้อง หลังจากนั้นมันก็เที่ยวตระเวณถ่ายรูปดอกไม้บ้าง น้องแพรที่ร้องเรียกให้ถ่ายบ้าง
เรานั่งกินข้าวเช้ากันอยู่บนก้อนหินใหญ่ใกล้ๆหน้าผาครับ พอกินเสร็จไอ้ต้าก็พาน้องแพรแวบหนีไปนั่งหนุงหนิงที่อีกมุมหนึ่ง ตอนนี้เลยเหลือผมกับไอ้ต้อยสองคน
“เหงาใช่ปะ” ผมละเกลียดเวลาไอ้ต้อยมันเดาอารมณ์ผมจริงๆครับ เพราะมันมักจะเดาถูกทุกที
“เปล่า” เรื่องอะไรจะให้รู้ว่าเหงาล่ะครับ ขายหน้าตาย
ไอ้ต้อยเลื่อนมือมากุมมือผมเอาไว้ พอพยายามจะแกะมือมันออก มันก็บีบมือผมทีหนึ่งแล้วพยักเพยิดไปด้านหน้า “มองวิวดี ฟ้าเปิดแล้ว” ผมหันไปมองด้านหน้าตามที่มันบอกแล้วก็ต้องยิ้มออกมาครับ...เพราะตอนนี้ที่ที่เคยมีแต่สีขาวกลับฉาบไปด้วยสีส้มของดวงตะวัน หมอกค่อยๆเลื่อนตัวออกเผยให้เห็นป่าด้านล่าง ดูแล้วมันสวยแบบบรรยายไม่ถูกเลยครับ
แชะ...
ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ที่ไอ้ต้อยปล่อยมือผมไป มือมันกลับไปถือกล้องและกดชัตเตอร์แทน...มันถ่ายรูปผมอีกแล้ว
“ยิ้มแบบเมื่อกี้อีกดิ” มันลดกล้องลงแล้วยิ้มกว้าง...แต่ไม่รู้ทำไม...มันทำให้ผมยิ้มไม่ออกแทน...มันประหม่าน่ะครับ ยิ่งหน้าของมันใกล้เข้ามาเท่าไหร่ สายตาของผมก็ยิ่งหลุบต่ำเท่านั้น
ริมฝีปากของมันแนบลงบนริมฝีปากของผม...แผ่วเบา...ฉาบฉวย...แต่ก็ทำให้รู้สึกขนลุกไปทั้งตัว
ไม่ใช่ว่าผมจะไม่รู้ความรู้สึกของมันที่มีต่อผม แต่ก็แค่..ไม่อยากพูดออกมาเท่านั้นเอง...และตอนนี้ก็เช่นกัน...ที่ผมทำได้ก็แค่ก้มหน้าไม่พูดอะไรออกมา และ...ไอ้ต้อยก็ไม่พูดอะไรเหมือนกัน แต่มันก็ยังนั่งข้างผมอยู่อย่างนี้ มือของมันก็ยังกุมมือผมอยู่อย่างนี้...และผม...ก็ไม่ได้แกะมือมันออก
...ตอนนั้นก็คิดแค่ว่า...มีคนนั่งอยู่ข้างๆอย่างนี้มันก็อุ่นใจดี...
เรานั่งกันเงียบๆ นั่งไปเรื่อยๆ จนเริ่มสาย อากาศเริ่มร้อน คนเริ่มเยอะ ก็ตัดสินใจกลับบ้านพักกัน
+++++++++++++++++++++++++++++++++++
หลังอาหารเย็น ฟ้ามืดไปแล้ว ลมเย็นๆพัดกระทบผิวกาย แต่ผมก็ยังนั่งฟังเสียงจิ้งหรีดขัดปีกอยู่ที่โต๊ะหน้าบ้านพัก
“กินมะ?” เสียงคุ้นเคยดังขึ้นข้างๆตัว แว่บแรกคิดว่าเป็นต้อย แต่พอหันไปดูถึงรู้ว่าเป็นไอ้ต้า มันยื่นถุงคอนเน่ในมือมาให้ผม...
“ขอบใจ” ผมตอบพลางรับถุงขนมเอาไว้ เพิ่งสังเกตครับ ว่าไอ้ต้าหิ้วกีต้าร์ออกมาด้วย มันกรีดนิ้วลงบนเส้นลวดเบาๆ
“ไม่ชอบภูเขาหรอวะ” มันถาม แต่ก็ไม่มองหน้าผม เอาแต่มองนิ้วตัวเองที่จับคอร์ดอยู่
ผมเหล่ตามองใบหน้าด้านข้างมัน...ทำไมถึงรู้สึกว่าคิดถึงมันนะ ทั้งๆที่ก็ไม่ได้ห่างกันไปไหนไกลๆซะหน่อย...แต่มานั่งคิดอีกที...เราก็ห่างกันจริงๆด้วย ตั้งแต่ที่มันมีแฟนนั่นแหละ
นานเท่าไหร่แล้วนะ ที่เราไม่ได้นั่งคุยกันสองคนอย่างนี้
ใบหน้าของไอ้ต้ายังน่ารักเหมือนเคย ผมที่เคยตัดสั้นเริ่มยาวจนผมหน้าเกือบจะปิดตาแล้ว แม้จะมีแค่แสงจันทร์สาดลงมาแต่ ผิวมันก็ขาวผ่องน่ามอง
“ว่าไง?” มันเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผม เล่นซะสะดุ้งเฮือกเลยครับ
“หา?” เอาแต่คิดไปเรื่อยครับ เลยลืมว่ามันถามอะไร
“กูถามว่ามึงไม่ชอบภูเขาเหรอวะ เห็นทำหน้าเบื่อๆ”
“ก็...” ที่จริงผมชอบทั้งภูเขาทั้งทะเลแหละครับ แต่การมาเที่ยวครั้งนี้ชักจะทำให้ผมไม่ชอบภูเขาซะแล้ว...เพราะได้แต่มองไอ้ต้าอยู่กับแฟนมันน่ะสิ
“งั้นคราวหน้า...ไปเที่ยวทะเลกันแทนมั้ย? เรือสำราญเป็นไง ไปทะเลแต่ไม่ต้องว่ายน้ำ” มันพูดไป มือก็ตีคอร์ดกีต้าเป็นเพลง เปลี่ยนจังหวะไปเรื่อยจนไม่รู้ว่าเล่นเพลงอะไรอยู่
“เอาดิ” ผมตอบมันโดยแอบเติมต่อในใจ...ถ้าน้องแพรของมึงไม่ได้ด้วยล่ะก็นะ
ไอ้ต้าพลิกหนังสือเพลงไปมั่วๆ สุดท้ายคงจะเลือกเพลงได้ซักที ทำนองเพลงเลยค่อยเข้ารูปเข้ารอยหน่อย มันร้องคลอเสียงเบาด้วยครับ
มอง มองเธอมาแสนนาน
ฉันไม่กล้าต้องคอยหลบตาเธอเสมอ
กลัวว่าวันหนึ่งถ้าเธอรู้ว่าฉัน
ปิดบังความจริงอะไรเอาไว้
ความลับที่ฉันซ่อนไว้
ไม่เคยบอกใคร จะอดใจไม่ไหว...
เพลงที่มันเลือก...ตรงใจผมจริงๆ...ตรงใจซะจนอดร้องคลอไปด้วยไม่ได้
ผมไม่รู้ว่ามันร้องเพลงนี้เพราะอะไร...อาจจะแค่อารมณ์พาไป...หรือว่ามันรู้ความรู้สึกของผมแล้วกันแน่...แล้วถ้ามันรู้แล้ว...มันจะตอบรับรึเปล่านะ?
เราร้องกันจนจบเพลง เสียงกีต้าร์เงียบลง เหลือแค่เสียงจิ้งหรีดเหมือนตอนแรก
ใจของผมถี่รัว...อยากจะถามมัน...ว่ามันเล่นเพลงนี้ทำไม...อยากจะบอกมัน...ว่ารักมันเหลือเกิน…
“ต้า...กู...” หันไปมองหน้าด้านข้างของมัน เอ่ยออกมาเบาๆได้แค่สองพยางค์ก็ต้องชะงักไป
“พี่ต้า พาแพรไปเดินเล่นหน่อย” เสียงหวานๆของน้องแพรดังแทรกความเงียบขึ้นมา ยังติดจะงอนๆอยู่เลยครับ เพราะตอนเย็นที่นั่งดูภาพที่ถ่ายกันเอาไว้....ภาพรวมภาพแรกและภาพเดียวนั่นแหละครับ ปรากฏว่าถ่ายไม่ติดน้องแพรน่ะสิ...ก็ไอ้ต้อยมันตั้งกรอบไว้แคบ ไม่ได้กะให้ถ่ายสี่คน ก็เลยหลุดกรอบไป น้องแพรเห็นเข้าก็โวยวายใหญ่ เป็นธุระให้ไอ้ต้าต้องคอยตามเอาใจอยู่นาน
“กูไปก่อนนะ” ไอ้ต้ารีบลุกขึ้นโดยไม่แม้แต่จะหันมามองผมด้วยซ้ำ ผมได้แต่นั่งมองมัน...เดินจูงมือน้องแพร ไกลออกไปเรื่อยๆ
...กูรักมึง...
ผมไม่ได้พูดคำนั้นออกไป...นึกเจ็บใจที่ไม่ได้พูดออกไป...เก็บเอาไว้อย่างนี้...เราก็ยังเป็นเพื่อนกันต่อไป แต่...ทรมาน...
...ทรมาน...
อยากมีใครมารัก อยากมีใครมาสนใจ ...อยาก...ให้คนคนนั้นเป็นไอ้ต้า
“เหงาหรือไง?” เสียงที่ดังขึ้นด้านข้างทำให้สะดุ้งเฮือก...ไม่รู้ไอ้ต้อยมานั่งอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ …มันยื่นมือมา เอานิ้วโป้งปาดแก้มผมเบาๆ “ยิ้มแบบตอนเช้าดิ...เราชอบแบบนั้นมากกว่า”
หยดน้ำที่สะท้อนแสงไฟบนปลายนิ้วของไอ้ต้อย ทำให้รู้ตัวว่า...ผมกำลังร้องไห้
ผมไม่ตอบอะไรมัน ไอ้ต้อยก็ไม่ได้ต้องการคำตอบ มันล้มตัวลงนอนหงายหนุนแขนตัวเองอยู่ข้างๆผม หัวมันห่างจากตักผมแค่นิดเดียวเอง
“ธีร้องไห้...แค่คืนนั้นคืนเดียวก็พอแล้ว” มันหลับตาพูดเบาๆหลังจากที่เงียบไปนานจนนึกว่าหลับไปแล้ว ผมไม่รู้ว่ามันคิดอะไรอยู่ ไม่รู้ว่ามันรู้สึกยังไง แต่ที่รู้คือ...เรื่องในคืนนั้น มันยังไม่ลืม...
...เรายังไม่ลืม...และสิ่งที่เกิดขึ้น...ก็ไม่ได้หยุดอยู่กับที่...มันยังเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ ถึงแม้จะช้าจนแทบจะไม่รู้สึกก็ตาม
ผมโน้มตัวลง แนบริมฝีปากเข้ากับปากมัน ไอ้ต้อยสะดุ้งน้อยๆ แต่หลังจากนั้นมันก็อ้าปากรับลิ้นผมเข้าไป เราจูบกันนาน ต่างจากจูบตะกรุมตะกรามในคืนนั้น ต่างจากจูบฉาบฉวยเมื่อเช้า...มันเป็นจูบที่อ่อนนุ่ม เชื่องช้า ราวกับจะตักตวงความรู้สึกไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
...ทำไมผมถึงจูบมัน...ผมตอบไม่ได้...
...อาจจะเพราะว่า...เหงา...จนเผลอตอบรับความรู้สึกของไอ้ต้อยไป...
…เหงา...จนข้ามความรู้สึกผิดต่อไอ้ต้าไป...
...เหงา...จนต้องหาใครสักคนมาช่วยผ่อนคลาย...ทั้งๆที่รู้ว่าผิด...
...แต่ตอนนั้น คิดอะไรไม่ออกแล้ว...อย่างเดียวที่รู้คือ...
...ผมมีความสุข...ที่วันนั้นมีไอ้ต้อยอยู่ข้างๆ…
+++++++++++++++++++++++++++++++++++
TBC
เผื่ออยากฟังค่ะ
ความลับ - พอส