สานฝันนิรันดร : ขอบคุณทุกคน
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

๑.   สนใจสั่งจอง
5 (55.6%)
๒.   ขอคิดดูก่อน
4 (44.4%)
๓.   ไม่สนใจ
0 (0%)

จำนวนผู้โหวตทั้งหมด: 5

ปิดการโหวต: 31-05-2012 00:47:21

ผู้เขียน หัวข้อ: สานฝันนิรันดร : ขอบคุณทุกคน  (อ่าน 239714 ครั้ง)

salapaw

  • บุคคลทั่วไป
หายไปอีกแล้วครับท่านนนนนน

ป่วยหรือเปล่าค่า

เป็นห่วงเน้อ

salapaw

  • บุคคลทั่วไป
มาดันนนนนนนนนนนนน

 :z3: :t3:

yaoifan

  • บุคคลทั่วไป
หายไปนานจัง งวดนี้ ไม่สบายหายหรือยัง

มาตาม  เอ๊ย มาดันค่ะ


เป็นกำลังใจให้ค่ะ

ออฟไลน์ jannie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 782
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0
คิดถึงค่ะ....

ออฟไลน์ กิมตี๋หัดขับ

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-3

คิดถึงคุณบุหรงแล้วครับ
กลับมานะครับ กลับมา

จุ้บๆ  :กอด1:

salapaw

  • บุคคลทั่วไป
คิดถึงๆๆๆๆๆ

ไม่สบายหรือว่าไง ก็บอกกันบ้างนะคะ  o13

ออฟไลน์ epoch

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
คิดถึงเหมือนกันค่ะ เพิ่งมาอ่านแต่ชอบมากๆ  o13
แต่ยังไงอย่าจบเศร้าแบบเรื่องที่แล้วนะคะ  :o12:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
น้องตั้มหายไป งานยุ่งหรือเปล่า รักษาสุขภาพด้วยนะ
 :L2: :L2:

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
บทที่ ๓๘

ภูริทัตกับปรีชามองหน้ากันไปมา สลับกับการมองดูปรีชาใช้ช้อนเขี่ยข้าวในจานอย่างช้าๆ ด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย ปรกติปรีชามักจะอารมณ์ดี หาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาคุยเล่นกับเพื่อนๆอยู่เสมอ ไม่บ่อยนักที่จะมีอาการแบบนี้ ทั้งสองคนพอจะเดากันได้ว่าสาเหตุน่าจะมาจากชายหนุ่มรุ่นน้อง ที่วันนี้หายหน้าไปจากโต๊ะอาหาร ไม่มากินอาหารกลางวันด้วยกันเหมือนปรกติ

“เซ็งว๊อย...” ปรีชาพูดอย่างเบื่อหน่าย ถอนหายใจยาว แล้วเงยหน้าจากจานข้าว ขึ้นมามองเพื่อนทั้งสองคน “คืนนี้ไปเที่ยวกันหน่อยดีกว่า”
“ข้าขอตัวหว่ะ” ภูริทัตตอบ “พวกเอ็งก็รู้ว่าพ่อข้ามาจากต่างจังหวัด ช่วงนี้ต้องทำตัวเป็นลูกที่ดีหน่อย”
“เอ้อ ...” รังสรรค์อึกอัก เมื่อมองเห็นสายตาที่เหมือนจะขอร้องของปรีชา “โทษทีหว่ะ ข้ารู้สึกเพลียๆ ทำงานเสร็จแล้ว อยากกลับบ้านเลย”
“เออ... ไม่เป็นไร ไปคนเดียวก็ได้วะ” ปรีชาตอบอย่างเสียไม่ได้

คืนนั้นปรีชาจึงมานั่งอยู่คนเดียวในร้านซึ่งเขามาเป็นประจำ เสียงเพลงยังคงสร้างบรรยากาศคึกคักให้ผู้มาเที่ยวเหมือนเช่นเคย แต่ปรีชาก็ยังคงรู้สึกหงุดหงิดใจอยู่ไม่หาย เมื่อคิดไปถึงความเอาแต่ใจของกรกฏ ชายหนุ่มรุ่นน้องที่เขาติดอกติดใจมากเป็นพิเศษ อดยอมรับไม่ได้ว่าความสัมพันธ์ทางร่างกายที่ผ่านมานั้น กรกฏทำให้เขาอิ่มเอมอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน แต่อุปนิสัยแท้จริงที่เขาเพิ่งได้ประจักษ์ จากการได้อยู่ด้วยกันในช่วงวันหยุดที่ผ่านมา โดยเฉพาะความเจ้าอารมณ์และความเอาแต่ใจ ทำให้เขารู้สึกผิดหวังในตัวชายหนุ่มรุ่นน้อง ที่เขาคิดจะคบหาอย่างจริงจัง ตอนนี้เขาไม่แปลกใจแล้วว่า ทำไมรังสรรค์ที่เป็นคนใจเย็น จึงไม่คิดสานสัมพันธ์กับกรกฏ แม้จะในฐานะ ‘เพื่อนนอน’ ก็ตาม

ปรีชายกแก้วเบียร์ขึ้นจิบช้าๆ สายตาก็เริ่มมองดูรอบๆ ยังไม่มีผู้ชายคนไหนทำให้เขารู้สึกสนใจได้เลยในขณะนี้ แล้วความคิดของเขาก็คิดเลยไปถึงชายหนุ่มคนหนึ่ง ชายหนุ่มชาวต่างชาติผู้มีผิวพรรณละเอียดอ่อน ริมฝีปากสีชมพูรับสีชมพูเนียนใสของผิวหน้า เรือนผมเป็นสีทองดูนุ่มสลวย โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น ทำให้เขาประทับใจมาตั้งแต่วันแรกที่เขาได้เห็น ดวงตาสีเขียวสดใสราวมรกตเนื้อดี ที่ส่องประกายแวววาว

“สเตฟาน” ปรีชาอดเรียกชื่อของชายหนุ่มชาวต่างชาติคนนั้นออกมาเบาๆไม่ได้

แต่เสียงอันแผ่วเบานั้น กลับทำให้ชายหนุ่มที่กำลังจะเดินผ่านปรีชาทางด้านหลัง ชะงักฝีเท้าลงทันทีที่ได้ยินชื่อนั้น

“ขอผมนั่งด้วยคนได้ไหมครับ” เสียงพูดสำเนียงแปร่งหูดังขึ้น พร้อมกับมีคนนั่งลงบนเก้าอี้ตัวข้างๆ
ปรีชาหันหน้ามองชายหนุ่มที่นั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้าง แล้วก็ต้องเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ
“หน้าผมมีอะไรหรือครับ” เสียงทุ้ม นุ่มหู เจือไปด้วยเสียงหัวเราะ ดวงตาสีฟ้าสดในส่อประกายกรุ้มกริ่ม ริมฝีปากสีชมพูเผยอยิ้มน้อยๆ ปรีชารู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นแฝงอันตรายบางอย่างไว้ แต่ก็ดูเชิญชวนและมีแรงดึงดูดอย่างน่าประหลาด จนเขาไม่อาจต่อต้านต่อความรู้สึกที่เกิดขึ้นตามมาได้
“เอ้อ ผมคิดว่าเป็นคนรู้จักน่ะครับ เลยแปลกใจ” ปรีชาตอบด้วยความเก้อเขิน
“คนที่คุณคิดถึงหรือครับ” ชายหนุ่มชาวต่างชาติผมสีเงินยวงถามด้วยรอยยิ้ม “ผมเหมือนเขามากหรือครับ”
“เอ้อ ... ก็เหมือนครับ เหมือนกันอย่างกับฝาแฝดเลย” ปรีชาเริ่มตอบด้วยสีหน้า และน้ำเสียงที่เป็นกันเองมากขึ้น
“สเตฟาน .... คนนั้นชื่อ สเตฟานหรือครับ” ชายหนุ่มถามด้วยรอยยิ้มและประกายตาแวววาว
“คุณรู้จักสเตฟานด้วยเหรอครับ พวกคุณเหมือนกันมากทีเดียว ผิดกันที่สีผม กับสีตาเท่านั้นเอง” ปรีชาพูดพลางมองสำรวจไปทั่วใบหน้าของชายหนุ่ม “คุณ ... เอ้อ ... ผมจะเรียกคุณว่าอะไรดีครับ”
“ผมได้ยินคุณเรียกชื่อนี้เมื่อครู่น่ะครับ เลยเดาเอา” ประกายตาของชายหนุ่มเหมือนส่องประกายมากขึ้น และเริ่มเปลี่ยนสีจากสีฟ้าสดใส เป็นสีฟ้าเข้มขึ้น “ผมชื่อโจชัวร์ครับ”

หลายคนหันมามองดูชายชาวต่างชาติผมสีเงินยวง ค่อยๆโอบประคองปรีชา เดินตรงไปยังประตูด้วยความรู้สึกต่างๆกัน บางคนอิจฉา บางคนเสียดาย ว่าทำไม่คนที่ชายชาวต่างชาตินั้นเลือกไม่เป็นตน บางคนมองอย่างเป็นเรื่องปรกติ แต่หากมีคนมองเห็นใบหน้าของปรีชา คงต้องรู้สึกสงสัยทำไมจึงมีสีหน้าและแววตาเลื่อนลอง เหมือนไม่มีสติอยู่กับตัวเลยแม้แต่น้อย
....................................................................
.....................................
“สรรค์ เย็นนี้ไปธุระด้วยกันหน่อยสิ” ปรีชาพูดด้วยเสียงเนือยๆ ระหว่างที่กินข้าวกลางวัน
“ไปไหน” รังสรรค์หันมาถามเพื่อน รู้สึกแปลกใจในท่าทางที่คล้ายจะเหม่อลอยอยู่ตลอดเวลาของปรีชา
“เออน่ะ ไปเป็นเพื่อนเราหน่อยก็แล้วกัน” ปรีชาตอบด้วยใบหน้าเฉยเมย จนรังสรรค์กับภูริทัตต่างหันมองหน้ากันด้วยความสงสัย
“ไปไหนวะ ต้องให้เราไปด้วยอีกคนมั๊ย” ภูริทัตถามขึ้น เพราะรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ไม่น่าไว้วางใจ
“ไม่ต้อง” ปรีชาหันไปตอบเสียงห้วนๆ แล้วก็กินข้าวต่อไป ในขณะที่รังสรรค์กับภูริทัตก็หันมองหน้ากัน ด้วยความงุนงงในท่าทางของปรีชา
....................................................................
.....................................
“มาทำอะไรที่นี่วะ”
รังสรรค์ถามอีกครั้งหนึ่ง เมื่อประตูลิฟท์ของโรงแรมปิดลง ปรีชายังคงนิ่งเงียบไม่ตอบอะไร เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ออกจากที่ทำงานในตอนเย็น ปรีชาบอกให้เขาขับรถฝ่าการจราจรที่แออัดในช่วงเย็นหลังเลิกงาน มายังโรงแรมเล็กๆอีกฟากหนึ่งของตัวเมือง กว่าจะมาถึงพระอาทิตย์ก็เกือบตกดินแล้ว เมื่อลงจากรถก็เดินตรงมายังลิฟท์ โดยไม่ติดต่อเคาเตอร์ประชาสัมพันธ์แต่อย่างใด แต่ก็เหมือนจะไม่มีใครสนใจ ทำให้รังสรรค์รู้สึกว่า โรงแรมแห่งนี้มีการดูแลความปลอดภัยที่ค่อนข้างหละหลวม ลิฟท์ตัวเล็กๆ พาคนทั้งสองขึ้นมาบนชั้น ๓ ของโรงแรม เมื่อออกจากลิฟท์ ปรีชาก็เดินนำตรงไปยังห้องที่อยู่ด้านในสุด และยังไม่ทันที่จะเคาะประตู บานประตูก็เปิดออก ก่อนที่รังสรรค์จะพูดอะไร ปรีชาก็เดินเข้าไปสียแล้ว ทำให้รังสรรค์ต้องก้าวเท้าตามเข้าไปในห้องนั้น แล้วบานประตูก็ปิดลง เมื่อรังสรรค์เดินเข้าไปในห้องนั้น

แสงไฟสลัวในห้อง ทำให้มองเห็นหญิงสาวผิวสีชอคโกแลตที่ปิดบานประตูลง เมื่อมองเข้าไปด้านใน ก็เห็นปรีชายืนอยู่เคียงข้างชายหนุ่มผิวขาว หญิงสาวก็เดินมายืนเคียงข้างปรีชา ทั้งชายหนุ่มและหญิงสาวนั้นมองดูรังสรรค์ด้วยรอยยิ้ม มีสีหน้าราวกับได้เห็นสมบัติอันล้ำค่า
“สวัสดีหนุ่มน้อย เราได้พบกันอีกแล้ว” เสียงทักทายสำเนียงแปร่งหูมาจากอีกด้านหนึ่งของห้อง รังสรรค์หันหน้าไปตามเสียง
“สเตฟาน” รังสรรค์อุทานด้วยความแปลกใจ แต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้ว เมื่อมองเห็นถึงความแตกต่างระหว่างชายเจ้าของเสียงนั้น กับคนที่เขารู้จัก “ไม่ใช่นี่ คุณไม่ใช่สเตฟาน ... แต่ทำไมเหมือนกันขนาดนี้ คุณเป็นใครกัน”
“ผมเป็นใครงั้นเหรอ” เสียงตอบพร้อมกับรอยยิ้มหยัน “เรียกผมว่า โจชัวร์ ... โจชัวร์ เจ้านายและคนรักที่แท้จริงของสเตฟาน และนั่น ไล่ล่า กับไป่เทียน” รังสรรค์หันไปมองคนทั้งสอง แล้วหันกลับมาทางโจชัวร์
“เจ้านาย...คนรัก” รังสรรค์ขมวดคิ้ว แล้วก็ต้องแค่นเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ “ตลกน่า...พวกคุณเล่นตลกอะไรกันเนี่ย เฮ๊ย...ไอ้ชา นี่มันเรื่องอะไรกันวะ” รังสรรค์หันไปถามเพื่อน แต่ปรีชายังคงนิ่งเฉย สีหน้าเลื่อนลอยเหมือนอยู่ในภวังค์ จนรังสรรค์ต้องขมวดคิ้วอีกครั้งเมื่อเห็นท่าทางของเพื่อน “พวกคุณทำอะไรไอ้ชา” รังสรรค์หันมาไล่เบี้ยกับโจชัวร์
“ผมแค่ให้เขาพาคุณมาหาผม” โจชัวร์เดินไปใกล้รังสรรค์มากขึ้น จนห่างกันแค่มือเอื้อมถึง “โชคดีที่เค้าทำได้ ทำให้ผมได้พบคุณอีกครั้ง”
“อีกครั้ง” รังสรรค์ทวนคำ “ผมว่า ผมเพิ่งเคยพบคุณเป็นครั้งแรกนะ”
“ม่ายยยย .... หนุ่มน้อย” โจชัวร์ลากเสียง ใบหน้ายิ้มกริ่ม “คุณจำไม่ได้หรือ เราพบกันเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมคิดว่าผมจะได้ตัวสเตฟานเสียที แต่พวกคุณก็หนีจากผมไปจนได้”
“สุดสัปดาห์ที่แล้วเหรอ ทำไมผมจำไม่ได้” รังสรรค์เรียบเรียงความทรงจำอย่างรวดเร็ว “ผมไปเที่ยวกับสเตฟาน แล้วผมก็เมาจนสเตฟานต้องเป็นคนพาผมกลับ ผมจำไม่ได้เลยว่าได้พบกับคุณ” รังสรรค์ตอบเสียงเรียบ แต่ไม่ได้สังเกตเลยว่า ไลล่าและไป่เทียนมายืนอยู่ด้านหลังเขาแล้ว
“ไม่เป็นไร จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร” รอยยิ้มของโจชัวร์ราวกับจะเย้ยหยัน “ตอนนี้คุณหนีผมไปไม่ได้อีกแล้ว หนุ่มน้อย ทั้งคุณทั้งสเตฟาน”
พูดจบโจชัวร์ก็ยกมือขึ้น กำมือไว้แล้วชูนิ้วชี้ขึ้นมา นิ้วมือที่เรียวยาวและอวบอ้วน รังสรรค์มองดูนิ้วมือนั้นด้วยความสงสัย แล้วก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นว่า ปลายเล็บกลับงอกยาวขึ้นทีละนิด จนมีความยาวเกือบ ๒ นิ้ว เล็บนั้นดูแวววาวราวโลหะ
“คุณจะทำอะไรน่ะ” รังสรรค์ร้องขึ้นอย่างตกใจ เมื่อแขนทั้งสองถูกรวบไว้โดยไลล่าและไป่เทียน ชายหนุ่มพยายามดิ้นรน แต่ไม่อาจสู้กำลังที่ยึดตัวเขาเอาไว้ได้
“ไม่ต้องกลัวหนุ่มน้อย ผมไม่ร้ายอะไรคุณหรอก เพียงแต่...”
โจชัวร์พูดแล้วยกแขนอีกข้างหนึ่งขึ้นมา ใช้เล็บคมยาวกรีดเบาๆลงไปบนข้อมือ เลือดสีแดงคล้ำไหลรินออกมาทันที รังสรรค์มองดูด้วยความตกใจ มองเห็นเล็บแหลมคมค่อยๆหดตัวลงจนเป็นปรกติ โจชัวร์ยิ้มให้เขาด้วยรอยยิ้มที่ลี้ลับ ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนกระเพาะหดตัว หน้าท้องเริ่มเกร็งเพราะความหวาดกลัว
“คุณ...คุณทำได้ยังไง พวกคุณเป็นอะไรกันแน่” น้ำเสียงที่รังสรรค์พยายามพูดออกไปนั้น สั่นเครือไปเพราะความหวาดกลัว ไม่เข้าใจว่าคนพวกนี้จะทำอะไรกับเขากันแน่ “ชา ... ไอ้ชา ช่วยด้วย ไอ้ชา”
ชายหนุ่มร้องเรียกเพื่อนซึ่งเป็นความหวังว่าอาจจะช่วยเขาได้ แต่ไม่มีประโยชน์ ปรียายังคงยืนนิ่ง สีหน้าเลื่อนลอย ไม่รับรู้เหตุการณ์ใดๆที่เกิดขึ้น
“ไม่ต้องกลัว ผมบอกคุณแล้วไงผมไม่ทำร้ายอะไรคุณ เพียงแต่จะทำให้คุณเป็นพวกของเราเท่านั้น ทำให้คุณเป็นเหมือนผม เป็นเหมือนสเตฟานที่คุณรักยังไงเล่า หนุ่มน้อย...คนรักของสเตฟานเอ๋ย” โจชัวร์ค่อยๆก้าวเท้าข้าหารังสรรค์อย่างช้าๆ
“คุณพูดอะไรกัน ผมน่ะเหรอคนรักของสเตฟาน” รังสรรค์ยิ่งงุนงงมากยิ่งขึ้น
และก่อนที่รังสรรค์จะพูดอะไรต่อ คางของเขาก็ถูกโจชัวร์บีบให้อ้าปากขึ้น ข้อมือของโจชัวร์ถูกจ่อเข้ามาที่ริมฝีปาก กลิ่นคาวโลหิตฉุนเฉียวลอยเข้ามาในจมูก แล้วลิ้นของรังสรรค์ก็ได้รสคาวของเลือดสดๆจากข้อมือของโจชัวร์ ก่อนที่มันจะไหลรินลงไปในลำคอ

ออฟไลน์ กิมตี๋หัดขับ

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-3
พ่อคุณทูลหัว  กลับมาสักที่นะครับ  :กอด1:  :L1:

อย่าหายไปอีกน้า   

คนอ่านคิดถึงมากมาย   :L1:  :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
 :serius2: เริ่มจะเข้าใกล้พระเอกแล้ว แอร๊ยยยส์

namtaan

  • บุคคลทั่วไป
 :mc4: ดีใจจังที่กลับมาต่อแล้ว

น่าสงสารรังสรรค์ที่โดนเข้าใจผิดจนต้องมารับเคราะห์นี้
แต่ที่น่าห่วงอีกคือภูริทัตนี่สิ จะป้องกันยังไงเจ้าตัวยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย
สเตฟานนิ่งนอนใจมากไปแล้วนะ

บวก 1 แต้ม ขอบคุณนะคะ

ออฟไลน์ Seiki

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 838
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2726/-64
ตามทันแว้ว  :m11:

ออฟไลน์ zandwizz

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2245
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +148/-7
มาแว้วววววววววววววววววว

นึกว่าจะไม่ได้อ่านต่อซะแระ

เหอะ ๆ ๆ ๆ ๆ


alterlyx

  • บุคคลทั่วไป
ขอเวิ่นเว้อเล็กน้อย ก่อนคอมเม้น เรื่องนี้นะค่ะ เนื่องจากเพิ่งเข้ามาในเล้า และ สมัครสมาชิกเมื่อไม่นานมานี้เองค่ะ
ช่วงนี้เวลาว่างๆ เบื่อๆจากงาน ก็ไล่อ่านเรื่องโน้น เรื่องนี้ไปเรื่อยๆ
สัปดาห์นี้เพิ่งได้ตามเก็บงานของคุณบุหรงมาอ่าน ... ตั้งแต่ "จะขอเก็บไว้ในความทรงจำ" "ความทรงจำที่หวนคืน"
และกระโดดไปอ่าน "ผู้มาเยือนยามวิกาล" ก่อนจะกลับมาอ่าน "วิหารจันทรา" ด้วยว่า ชื่อเรื่องน่าสนใจกว่า อิอิ
และวันนี้มาปิดท้ายด้วยเรื่อง "สานฝันนิรันดร"


สิ่งที่ค่อยๆซึมซับงานเขียนของคุณบุหรงใน 5 วันนี้คือ ความเต็มอิ่ม อยู่ในใจ  :กอด1:
ความเต็มอิ่ม ที่ไม่ต้องลงเอยด้วยดี ถึงจะไม่สมหวัง ... แต่ทุกๆรายละเอียดกับทำให้รู้สึกดี
เพราะคุณบุหรงถ่ายทอดอารมณ์และบรรยากาศให้เข้าใจและจินตนาการตามไปได้อย่างชัดเจนมากเลย
ทุกเรื่องมีรายละเอียดที่ต่างกันมาก มีเสน่ห์ที่ดึงดูดต่างกัน ... จะว่าไป ก็เอาไปทำเป็นหนังได้ ทุกเรื่องเลยนะคะเนี่ย
อ่านด้วยอารมณ์ว่า ดูหนังแฟนตาซี ตลอดเลยค่ะ

ขอ +1ให้ และ ขอเกาะติดผลงานด้วยอีกคนนะคะ  :impress2:

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
บทที่ ๓๙

“แย่จริงๆเลยนะพี่ ไม่มาทำงานก็ไม่ยอมโทรศัพท์มาบอกเหตุผล จู่ๆก็หายไปซะทั้งคู่”
ภูริทัตไม่ตอบ เพียงแต่เหลือบสายตามองดูชายหนุ่มรุ่นน้อง อย่างเบื่อหน่ายเพียงแว่บเดียว แล้วก็เบือนสายตากลับมายังจานข้าวราดแกงตรงหน้าเหมือนเดิม
“นี่ยังดีนะ ยังมีปูอยู่อีกคน ไม่งั้นพี่ทัตนั่งกินข้าวคนเดียว เหงาแย่เลย” กรกฏพยายามพูด ให้อีกฝ่ายคิดกับเขาในแง่ดี ในแบบที่คิดว่า จะทำให้ภูริทัตสนใจเขามากขึ้น
“ที่นี่พี่ไม่ได้มีเพื่อนอยู่แค่เจ้าชากับเจ้าสรรค์หรอกนะ ความจริงก็มีหลายคนที่เค้าจะมานั่งกินข้าวด้วยกันกับพี่ แต่พอเค้าเห็นปู เค้าก็ไปนั่งที่อื่นกันหมด” พูดจบภูริทัตก็รวบช้อนส้อม ลุกออกจากโต๊ะไปทันที ทิ้งให้กรกฏนั่งอยู่คนเดียวด้วยความงุนงง ว่าที่ภูริทัตพูดนั้นหมายความว่ายังไงกันแน่

ตลอดบ่าย ภูริทัตทำงานด้วยความหงุดหงิด เขาพยายามติดต่อกับเพื่อนทั้งสองคน ทางโทรศัพท์มือถือ โทรศัพท์ที่บ้านของรังสรรค์ และโทรศัพท์ที่คอนโดของปรีชา แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้เหมือนเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา พองานเลิกชายหนุ่มนั่งรถแทกซี่ไปยังคอนโดของปรีชา ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก แต่หลังจากที่กดกริ่งเรียกอยู่หน้าประตูพักใหญ่ๆ ก็ไม่มีคนเปิดประตู เขาจึงเปลี่ยนที่หมายเป็นบ้านหลังเล็กๆชานเมืองของรังสรรค์ แต่ก็ไม่พบใครอีกเช่นกัน ภูริทัตรู้สึกกังวลใจจนไม่รู้จะทำอย่างไรดี สุดท้ายก็ตัดสินใจเรียกรถแทกซี่ตรงไปหาคนที่เขาคิดว่า น่าจะเป็นที่พึ่งทางใจให้แก่เขาได้มากที่สุดในยามนี้

“อะไรนะ ไม่อยู่เหรอ”
“ครับ ไม่อยู่” ทรงเดชตอบเสียงเรียบๆ แต่ในใจนั้นนึกขันในท่าทางลุกลี้ลุกลนของภูริทัต ... อะไรจะคิดถึงมากมายขนาดนี้ ... ทรงเดชอดคิดไม่ได้
“แล้วไปไหนล่ะนี่มันก็ค่ำแล้ว ยังไม่กลับอีกเหรอ”
“คุณสเตฟานไปออสเตรเลียครับ คงจะกลับพรุ่งนี้ คุณไม่ต้องกลุ้มไปหรอกครับ” ทรงเดชยกมือขึ้นตบไหล่ของภูริทัตเบาๆ เป็นเชิงปลอบใจ “อีกไม่กี่วันก็วันหยุดแล้ว เดี๋ยวผมเตรียมโปรแกรมเที่ยวดีๆไว้ให้คุณสองคนเอง ไม่ต้องกลุ้มใจขนาดนี้หรอกครับ”
“ผมไม่ได้กลุ้มเรื่องได้เที่ยว หรือไม่ได้เที่ยวหรอกนะ” ภูริทัตพูดเสียงห้วน “ผมกลุ้มเรื่องเจ้าสรรค์กับเจ้าชามันตะหาก จู่ๆก็ไม่มาทำงาน” พูดจบก็ถอนหายใจยาว รู้สึกเหมือนหายอึดอัดไปบ้าง ที่ได้พูดออกไป
“ไม่มาทำงาน” ทรงเดชทวนคำ “ไม่สบายกันรึเปล่าครับ”
“ไม่น่าใช่ ... โทรศัพท์ติดต่อก็ไม่ได้ ผมไปตามหาถึงบ้านทั้งคู่ ก็ไม่เจอ ไม่รู้หายกันไปไหน” ภูริทัตพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“แปลก ... จู่ๆจะหายไปไหนได้” ทรงเดชยกมือขึ้นกอดอก พูดอย่างใช้ความคิด “ก่อนหน้านี้มีอะไรผิดปรกติรึเปล่าครับ”
“ก็ไม่มีอะไรนี่ แต่...เดี๋ยวนะครับ” ภูริทัตเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “เมื่อวานนี้เหมือนเจ้าชาจะใจลอยผิดปรกติ ตอนเย็นก็ชวนเข้าสรรค์ไปด้วยกัน”
“ไปไหนเหรอครับ” ทรงเดชถามโพล่งขึ้นมา
“ไม่รู้สิ ผมถามเจ้าชา มันก็ไม่ยอมบอก แถมยังทำท่าเหมือนไม่อยากให้ผมไปด้วยซะอีก ทั้งๆที่ทุกครั้งมีอะไร มันจะชวนทั้งเจ้าสรรค์แล้วก็ผมให้ไปด้วยกัน แล้วพอวันนี้ก็ไม่มาทำงานกันทั้งคู่ ... หรือว่ามันจะมีอะไรเกี่ยวข้องกัน”
“ผมก็ไม่แน่ใจนะครับ” ทรงเดชพูดพลางนิ่งคิด แล้วเหมือนจะคิดถึงอะไรขึ้นมาได้ “เอาอย่างนี้ดีกว่า ผมว่าพวกเรารอดูพรุ่งนี้อีกสักวัน ไม่แน่นะครับ พรุ่งนี้ก็คงมาทำงานเป็นปรกติ” ทรงเดชพยายามบังคับตัวเองให้พูดเป็นปรกติ ทั้งๆที่ในใจกำลังวิตก
“อืม ... เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ” ภูริทัตตอบหลังจากนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ถ้าอย่างนั้นผมกลับก่อนแล้วกันครับ”
“คุณทัตทำใจให้สบายๆเถอะ สองคนนั้นอาจจะไปธุระกันที่ไหน แล้วกำลังเดินทางกลับกันอยู่ ผมว่าตายยากครับ โดยเฉพาะคุณรังสรรค์น่ะ”ทรงเดชพูดพลางยักคิ้วหลิ่วตา เหมือนกำลังพูดเรื่องตลก
“นั่นสินะครับ ผมก็หวังว่าคงไม่เป็นอะไร”
..................................................................................
..............................................
ภูริทัตนั่งอยู่บนขอบเตียง คิดถึงบทสนทนากับทรงเดชเมื่อตอนเย็น แล้วคิดย้อนไปถึงตอนที่ได้รู้จักกันในช่วงแรกๆ เขารู้สึกไม่ค่อยชอบท่าทางกวนๆของชายหนุ่มเลยในตอนนั้น แต่พอได้รู้จักกันนานเข้า กลับรู้สึกว่า ทรงเดชมีส่วนคล้ายคลึงกับรังสรรค์อยู่ไม่น้อย ถึงแม้การแสดงออกจะแตกต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือ ทั้งสองคนมักมีวิธีการที่ทำให้คนรอบข้างสบายใจอยู่เสมอ

คิดแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ภูริทัตยกมือขึ้นจับอัญมณีสีเขียวมรกต ที่ร้อยอยู่กับสร้อยคอทองคำขึ้นมาจ้องมองดู ประกายสีเขียวสดสะท้อนวูบวาบ ราวกับจะล้อเล่นกับแสงไฟ ทำให้เขาคิดถึงดวงตาสีเขียวมรกตของคนที่มอบอัญมณีนี้แก่เขา
“สานฝัน ตอนนี้คุณทำอะไรอยู่นะ”
..................................................................................
..............................................
สเตฟานยิ้มน้อยๆ รับรู้ได้ถึงความรักและความคิดถึง ที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงที่ส่งมาในดวงจิต ซึ่งส่งผ่านมาสู่'อัญมณี' ที่ร้อยอยู่กับสายสร้อยบนลำคอ ใบหน้าที่เงยขึ้นมองดูดวงจันทร์บนท้องฟ้า ค่อยๆก้มลงมองดูกองฝุ่นกองโตบนพื้นหญ้า ในป่าโปร่งยามราตรี ถึงจะไม่มีแสงจันทร์เช่นคืนนี้ เขาก็ยังคงมองเห็นทุกอย่างได้อย่างแจ่มชัดอยู่ดี สเตฟานสูดลมหายใจลึกๆ แล้วกระแสพลังแห่งชีวิตจากต้นไม้รอบข้าง ก็เริ่มไหลรินเข้าไปในร่างกาย การเดินของกระแสพลังนั้นทำให้เกิดกระแสลมอ่อนๆ ทำให้กองฝุ่นนั้นค่อยๆกระจายไปกับกระแสลมทีละน้อย ทีละน้อย จนหมดไป
“ก็เหลือเพียงเท่านี้ ไม่ว่าพืช สัตว์ มนุษย์ หรือแม้กระทั่งเหล่าแวมไพร์ ไม่ว่าจะมีชีวิตยืนยาวสักแค่ไหน ไม่ว่าจะยากจนหรือมั่งมี ไม่ว่าในยามมีชีวิตจะมีทุกข์มีสุข สุดท้าย ก็กลายต้องสูญสลายไปอยู่ดี” สเตฟานพูดเสียงแผ่วเบา

ดวงตาสีเขียวมรกตทอแววปวดร้าวขึ้นมาวูบหนึ่ง แล้วกลับสู่แววนิ่งสงบ พร้อมๆกับการหยุดของดูดซึมกระแสพลังแห่งชีวิตรอบข้าง สเตฟานเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์อีกครั้ง
“ผมไม่ยอมให้พวกนั้นทำอันตรายต่อคุณได้เด็ดขาด ผมจะปกป้องคุณเอง ผมจะปกป้องคุณ และคนที่คุณรัก”
เสียงพูดค่อยๆแผ่วเบาลงพร้อมกับร่างที่ค่อยๆเลือนลาง ราวกับจะละลายกลืนหายไปกับอากาศ แล้วสุดท้ายร่างของสเตฟานก็หายไปโดยไร้ร่องรอย
..................................................................................
..............................................
เวลาเช้าตรู่ แต่ภายในห้องที่มีผ้าม่านหนาหนักปิดมิดชิด หลังผ้าม่านยังมีแผ่นเหล็กกั้นไว้อีกชั้น ทำให้แสงของดวงอาทิตย์จากภายนอกที่ค่อยๆสาดแสงแรงขึ้น ไม่อาจลอดผ่านเข้ามาได้เลย สเตฟานนั่งอยู่บนเก้าอี้โซฟาตัวยาว จิบไวน์ในแก้วช้าๆ ขณะที่รับฟังทรงเดชเล่าเรื่องที่ได้ยินมาจากภูริทัต
“คุณว่า ทั้งสองคนจะถูกพวกนั้นจับไปรึเปล่า” ทรงเดชถามด้วยความกังวล
“อาจจะเป็นไปได้” สเตฟานตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ทางทีดี ขอให้มันเป็นอย่างนั้นก็คงจะดี”
“อ้าว ... ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะครับ” ทรงเดชโวยวาย “นี่คุณไม่ห่วงพวกเค้าเลยเหรอครับ สองคนนั้นน่ะ เพื่อนคุณทัตนะ”
สเตฟานหันมามองหน้าเห็นใบหน้าแสดงอาการไม่พอใจของทรงเดช แล้วก็ต้องยิ้มน้อยๆ
“เพราะถ้าสองคนนั้นถูกจับตัวไปจริงล่ะก็ พวกเขาจะปลอดภัยแน่ๆ”
“ทำไมละครับ ผมว่ามันอันตรายมากกว่า ถ้าเกิดพวกนั้น ... พวกนั้น ... เอ้อ” ทรงเดชอึกอัก จนสเตฟานต้องส่ายหน้าช้าๆ
“คุณลองคิดดู ถ้าพวกนั้นจับตัวทั้งสองคนไป พวกเค้าต้องการอะไร” สเตฟานยังคงมีรอยยิ้มบางๆอยู่บนใบหน้า
“ที่พวกนั้นต้องการ ก็ต้องเป็นคุณน่ะสิ ... ไม่น่าถาม” ทรงเดชตอบออกมาในทันที แล้วก็ทำหน้าเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ “หรือว่า...”
“ใช่ ... คนพวกนั้นต้องใช้ทั้งสองคนเป็นตัวล่อให้ผมไปหา ดังนั้นจะต้องไม่ทำอะไรทั้งสองคนนั้นเด็ดขาด นอกจาก ...” หัวคิ้วของสเตฟานขมวดขึ้นมาวูบหนึ่ง แล้วก็กลับไปเป็นปรกติ
“นอกจากอะไรเหรอครับ” ทรงเดชยื่นหน้าถามด้วยความอยากรู้
“นอกจากเค้าจะใช้ทั้งสองคนนั้น ตามไปจนถึงตัวภูริทัตอีกทีหนึ่ง แต่นั่นคงต้องใช้เวลาอีก ๒-๓ วัน” พูดแล้วสเตฟานก็อดหัวเราะเบาๆไม่ได้ เมื่อเห็นสีหน้าที่แสดงความสงสัยของทรงเดช “เอาเป็นว่าผมพอจะรู้นิสัยของโจชัวร์ดี พอจะนึกออกว่าเขาจะทำอะไรกับคนทั้งสองบ้าง ตอนนี้คุณวางใจได้ ว่าคนทั้งสองจะปลอดภัยถ้าอยู่ในมือของคนพวกนั้น แล้วผมจะจัดการช่วยพวกเขาออกมาเอง คุณไม่ต้องเป็นห่วง”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆผมก็เบาใจ” ทรงเดชทำสีหน้าเหมือนโล่งอก “ถ้าอย่างนั้นผมไปทำงานต่อนะครับ คุณก็ดูเพลียๆ พักผ่อนหน่อยคงจะดีนะครับ”
“ขอบใจนะที่เป็นห่วง หลายวันนี้ ‘งาน’ ของผมมีเยอะเหลือเกิน นี่ผมคงต้องไปอีกแล้ว เสร็จจากครั้งนี้ผมคงต้องพักสักหน่อย อย่าให้ใครมากวนผมจนกว่าจะถึงพรุ่งนี้เย็นแล้วกันนะ”
“แม้แต่คุณทัตเหรอครับ” ทรงเดชทำหน้าล้อเลียน
“คุณหาข้อแก้ตัวให้ผมด้วยแล้วกัน” สเตฟานตอบยิ้มๆ
ทรงเดชมองแล้วก็ต้องปิดปากหัวเราะ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป เมื่อเห็นว่าใบหน้าสีขาวอมชมพูของสเตฟาน เริ่มเป็นสีชมพูเข้มขึ้น แต่เมื่อทรงเดชออกไปแล้ว คิ้วของสเตฟานกลับขมวดมุ่น สีหน้าเปลี่ยนเป็นแววกังวล ก่อนที่ร่างจะค่อยๆเลือนหายไปจากห้องนั้น
..................................................................................
..............................................
“ข้ามาหาเจ้าแล้ว ตามที่เจ้าเรียกหา” เสียงที่ฟังดูอ่อนโยน ดังขึ้นอย่างแผ่วเบา ทำให้หญิงชราเงยหน้าขึ้นมองดู คนที่จู่ๆก็ปรากฏตัว มายืนอยู่ตรงหน้าเก้าอี้โยกซึ่งหล่อนนั่งอยู่
“ท่านคือ ...” หญิงชราถามด้วยเสียงสั่นเครือ
“ข้าคือคนที่เจ้าเรียกหา คนที่เจ้าต้องการพบ คนที่จะมอบความหลุดพ้นให้แก้เจ้า” เสียงนุ่มนวล พร้อมกับรอยยิ้มบางๆบนใบหน้า ทำให้หญิงชราเหม่อมองด้วยความแปลกใจ
“ท่านไม่เหมือนกับที่ข้าเคยได้ยินมา” ไม่มีคำพูดจากชายหนุ่มตรงหน้า นอกจากรอยยิ้มที่ดูเปี่ยมไปด้วยไมตรี “ท่านควรเป็นชายชราผู้หนึ่ง ชายชราที่ดุดันและแข็งกร้าว ไม่ใช่ชายหนุ่มที่ทั้งอ่อนโยน และงดงามเช่นนี้ แต่...” หญิงชราชะงักเล็กน้อย เมื่อมองเห็นแววตาสีเขียวมรกต เริ่มเปล่งประกายเรืองรอง “อา ... กรีนอายส์ ท่านคือกรีนอายส์จริงๆ มีแต่กรีนอายส์ ที่มีดวงตาเช่นนี้” เสียงของหญิงชราสั่นเครือ
“ใช่แล้ว ข้าคือกรีนอายส์ ถึงจะไม่เหมือนที่ท่านเคยได้รับรู้ แต่ข้าคือกรีนอายส์ที่แท้จริง กรีนอายส์ผู้จะนำเจ้าให้หลุดพ้นจากห้วงทุกข์ที่แบกรับมาอย่างยาวนาน” ชายหนุ่มพูดพลางคุกเข่าลงตรงหน้าหญิงชรา “มาเถิด ดื่มเอาโลหิตของข้าไป แล้วเจ้าจะได้สมปรารถนา”

หญิงชราโผร่างเข้าหาชายหนุ่มที่ขยับร่างเข้ามาใกล้ เผยอริมฝีปากขึ้นช้าๆ ทำให้มองเห็นเขี้ยวขาวแวววาว ยาว และแหลมคม ก่อนจะค่อยๆฝังมันลงไปบนต้นคอของชายหนุ่ม แล้วค่อยๆดูดกินลือดของของชายหนุ่ม ลงสู่ลำคออย่างช้าๆ

เลือดของกรีนอายส์ ... เลือดที่จะทำให้ความปรารถนาของหล่อนเป็นจริง

ออฟไลน์ กิมตี๋หัดขับ

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-3
และแล้วดวงจิตของแวมไพร์จึงถูกปลดเปลื้องเสียที  เฮ้ออออออ  :กอด1:  :z2:



อยากให้จบแบบ แฮ้ปปี้แอนด์ดิ้งจัง  :L1:

namtaan

  • บุคคลทั่วไป
ภาระของสเตฟานช่างยิ่งใหญ่นัก
แล้วภาระหัวใจจะทำอย่างไรต่อไปหนอ
บวก 1 แต้มนะคะ ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ jannie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 782
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0
ดีใจที่คุณบุหรงกลับมาแล้วค่ะ  :mc4: (กลับเป็นเราที่งมโขงอยู่ไหนก็ม่ายรู้)

สเตฟานต้องคอยไปมอบวาระสุดท้ายให้กับชีวิตแวมไพร์ที่ต้องการหลุดพ้นทุกคนเลยเหรอ??? เหนื่อยน่าดูนะคะ

แล้วเหมือนโจชัวร์ทำให้รังสรรค์กลายเป็นแวมไพร์ไป แล้วงี้จะช่วยกลับมาเป็นปกติได้เหรอ??

ออฟไลน์ zandwizz

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2245
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +148/-7
สเตฟานกลุ้มเรื่องไรอ่ะ

บอกด้วย ๆ ๆ ๆ ๆ

หุหุหุหุ

ขอบคุณนะครับที่มาต่อ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






yaoifan

  • บุคคลทั่วไป
ขอบคุณมากค่ะ ที่มาต่อ :mc4:

เป็นกำลังใจให้เสมอค่ะ o13
 :z13:

ออฟไลน์ mist

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4505
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +263/-3
อ้อ เลือดของกรีนอายส์นี่เอง ที่ทำให้แวมไพร์ตายได้

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
สเตฟาน คนเดียวจะไหวมั้ยเนี่ย ฝ่ายตรงข้ามแต่ละคนดูท่าทางโหดใช่เล่น  :sad4:

ออฟไลน์ Seiki

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 838
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2726/-64

เลือดของกรีนอายส์ ... เลือดที่จะทำให้ความปรารถนาของหล่อนเป็นจริง

มันดีขนาดนั้นเลยหรอเลือดของ กรีนอายส์ ชักอยากดื่มมั้งแระ  :z1: เผื่อสิ่งที่ปรารถนาจะเป็นจริงกะเค้ามั้ง

salapaw

  • บุคคลทั่วไป
มาแล้วๆๆๆๆ

สาว่าเรื่องมันรวบรัดเหมือนจะตัดฉับเลยอ่ะ

รีบจบหรือคะ

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
บทที่ ๔๐

ชายหนุ่มรู้สึกว่าร่างกายของตนเบาหวิว ราวกับล่องลอยอยู่ในอากาศ ความอบอุ่นอย่างประหลาดแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย แต่ไม่นานมันก็เพิ่มมากขึ้นกลายเป็นความร้อนอบอ้าว จนทำให้ลำคอแห้งผาก ความกระหายอยากเริ่มก่อตัว จนทวีเพิ่มขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

... น้ำ ... ไม่
...ไม่ใช่

ชายหนุ่มบอกตนเอง สิ่งที่เขากระหายไม่ใช่น้ำ แต่เขาไม่สามารถบอกตนเองได้ว่า สิ่งที่เขาต้องการนั้นคือสิ่งใด ความกระหายอยากนั้นมีมากขึ้นจนต้องส่งเสียงครางอย่างแผ่วเบา และลืมตาขึ้นมาในที่สุด

สิ่งที่ปรากฏอยู่ในสายตาของชายหนุ่ม คือชายหนุ่มชาวเอเชียคนหนึ่ง เขาพยายามยันตัวขึ้นนั่ง และทันทีที่เขาทรงกายได้ ก็โผร่างเข้าไปหาชายหนุ่มผู้นั้น เขี้ยวขาววาววับของเขาถูกฝังลงไปบนลำคอเนียนนุ่ม แล้วเขาก็ดูดดื่มสิ่งที่ไหลรินออกมานั้นลงไปในลำคอ ... ตามสัญชาติญาณที่เขารู้สึกว่ามันควรจะเป็นไปตามนั้น

หากเป็นในยามปรกติ ของเหลวนั้นคงจะมีกลิ่นคาวฉุนเฉียว และมีรสชาดที่ไม่น่าพึงใจ แต่ตอนนี้ มันกลับกลายเป็นกลิ่นที่หอมหวน และหอมหวานเป็นอย่างยิ่ง ชายหนุ่มดูดกินลงไปจนลำคอที่แห้งผากเริ่มชุ่มฉ่ำ และความโหยหิวเริ่มบรรเทา

“พอได้แล้ว” เสียงที่ชายหนุ่มรู้สึกว่ามีอำนาจอย่างยิ่งดังขึ้น ร่างของเขาถูกผลักออกไป แล้วชายหนุ่มชาวเอเชียคนนั้น ก็ลุกขึ้นเดินไปยืนอยู่ข้างเก้าอี้ ซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างจากเตียงนัก อีกด้านหนึ่งของเก้าอี้มีหญิงผิวคล้ำยืนอยู่ บนเก้าอี้นั่งไว้ด้วยชายหนุ่มผิวขาวสะอาด ใบหน้าซึ่งเขารู้สึกว่างดงาม และคุ้นเคยเป็นยิ่งนัก
“นอนได้แล้ว ทาสของข้า” เสียงดังขึ้นจากชายหนุ่มซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ “ก่อนที่เจ้าจะตื่นขึ้นมาอีกครั้ง แล้วกลายเป็นทาสของข้าอย่างสมบูรณ์”
สิ้นเสียงสั่ง ชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนตนเองเกิดความง่วงงุนอย่างที่สุด จึงค่อยๆเอนตัวลงนอนเหมือนเดิม โดยที่ริมฝีปากยังมีคราบเลือดเปรอะเปื้อนอยู่อย่างนั้น และไม่ได้สังเกตเลยว่า ข้างๆตัวมีชายหนุ่มอีกคนหนึ่งนอนหลับอยู่ในสภาพที่ไม่ต่างจากเขานัก

โจชัวร์มองดู ‘ทาส’ ใหม่ทั้งสองด้วยความพอใจ ตอนนี้ทาสของเขากำลังเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงสภาพร่างกายให้เป็นแวมไพร์โดยสมบูรณ์ ซึ่งคงต้องใช้เวลาอีกสองสามวัน และเมื่อถึงตอนนั้น ... ตอนที่เขาสามรถควบคุมทาสหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ผู้นี้ได้ โดยปราศจากการขัดขืน เมื่อนั้นเขาก็คงได้ในสิ่งที่เขาปรารถนามาเป็นเวลานานหลายร้อยปี
“สเตฟาน ... เจ้าต้องเป็นของข้า” โจชัวร์พึมพัมเบาๆ พร้อมกับยิ้มอย่างมีความสุข
แต่โจชัวร์ซึ่งกำลังกระหยิ่มยิ้มย่อง ไม่ได้สังเกตเลยว่าไลล่า ซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง กำลังแสดงถึงอาการฮึดฮัดไม่พอใจ มีเพียงไป่เทียนเท่านั้น ที่เหลือบตามองไลล่าด้วยความไม่ไว้วางใจ

“เจ้าคิดอะไรอยู่กันแน่” ไป่เทียนกระซิบถาม เมื่อเข้ามาอยู่กันในสถานบันเทิง จุดหมายของคนทั้งสอง
“เปล่านี่ ไม่มีอะไร” ไลล่าเลี่ยงที่จะสบสายตากับไป่เทียน
“อย่าปดข้า ข้ารู้ว่าเจ้าไม่พอใจ จะให้ข้าลองเดาดูไหม” ไป่เทียนจับคางของไลล่าให้มองมาทางเขา “เจ้ากำลังไม่พอใจ ที่สเตฟานจะกลับมา ใช่หรือไม่”
“นั่นก็ส่วนหนึ่ง” ไลล่ายอมรับ
“แล้วยังมีอะไรอีก หรือว่า ...” ไป่เทียนยิ้มอย่างมีเลศนัย เปลี่ยนสายตาเป็นมองไปรอบๆ เพื่อมองหา ‘เหยื่อ’ ในคืนนี้ “เจ้ากำลังปรารถนาในตัวคนรักของสเตฟานล่ะสิ” ไป่เทียนหันกลับมาถามไลล่า
“ใช่” ไลล่าส่งเสียงลอดไรฟันออกมา “หรือเจ้าไม่เป็นอย่างข้า ข้ารู้นะ ... ข้าเห็นสายตาของเจ้า”
“หึ หึ” ไป่เทียนหัวเราะเบาๆในลำคอ พลางยิ้มกริ่ม “อดใจไว้ไลล่า เจ้าจะได้สมหวังแน่ รวมทั้งข้าด้วย ... พวกเราจะได้เสพสุขจากชายหนุ่มผู้นั้นด้วยกันแน่ๆ อดใจซะหน่อยสิ อย่าให้ความต้องการของเจ้า ทำให้เสียเรื่องสำคัญของนายท่าน”
“เจ้าคิดว่าข้าจะได้สมปรารถนางั้นเหรอ” ไลล่า ถามด้วยความตื่นเต้น “ทำไมเจ้าถึงคิดอย่างนั้น”
“นายท่านต้องการเพียงสเตฟานเท่านั้น เมื่อได้ตัวสเตฟานมา สองคนนั่นก็เป็นพวกเดียวกับเรา เป็นเหมือนพวกเรา ถึงตอนนั้นเจ้าจะเสพสุขอย่างไรก็ได้ ... รวมทั้งข้าด้วย”
ทั้งสองคนมองหน้ากันนิ่งสักครู่ แล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะพากันแยกย้ายไปหาจุดหมายที่ตนหมายตาไว้
.................................................................................
.........................................
“ทำไมคุณท่านถึงได้ดูใจเย็นนักล่ะครับ” ทรงศักดิ์เอ่ยปากถาม หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่นาน
“เพราะผมมั่นใจน่ะสิ ว่าคนทั้งสองอยู่กับโจชัวร์แล้ว” สเตฟานตอบ พลางหมุนแก้วเหล้าองุ่นในมือช้าๆ
“แล้วโจชัวร์นั่นก็จะไม่ทำร้ายคุณปรีชา กับคุณรังสรรค์ แน่ๆเหรอครับ” ทรงเดชถามขึ้นบ้าง
ทรงเดชเป็นคนโทรศัพท์ไปเล่าเรื่องต่างๆให้ปู่ของเขาได้รับรู้เมื่อช่วงบ่าย แล้วเย็นนั้นเอง ทรงศักดิ์ก็เข้าพบกับสเตฟานในห้องพักพิเศษ พร้อมกับทรงเดช
“ผมบอกคุณแล้วไง เป้าหมายของเขาคือผม” สเตฟานยิ้มน้อยๆ “เค้าต้องใช้ทั้งสองคนนั้นล่อให้ผมไปหา ไม่มีทางหรอกที่เค้าจะทำร้ายคนทั้งสอง”
“แต่ผมกังวลว่า..” ทรงศักดิ์อึกอัก “เอ้อ...”
“พูดมาเถอะ” สเตฟานวางแก้วลงบนโต๊ะ จ้องมองเข้าไปในสายตาของชายชรา
“ผมกลัวว่า ถ้าโจชัวร์ทำให้พวกเค้ากลายเป็น เอ้อ ...”
“แวมไพร์” สเตฟานต่อคำที่ทรงศักดิ์ไม่กล้าพูด
“อะไรนะครับ เป็นแวมไพร์” ทรงเดชพูดอย่างตกใจ “อย่างนั้นก็แย่สิครับ”
“เรื่องนั้นผมก็คิดไว้แล้ว” สเตฟานยังคงพูดช้าๆอย่างมั่นใจ ใบหน้ายังมีรอยยิ้มน้อยๆ “พวกคุณลืมไปหรือเปล่า ว่าผมแตกต่างจาแวมไพร์ตนอื่นตรงไหน”
“กรีนส์อายส์” ทรงศักดิ์พูดเน้นทีละคำ “แวมไพร์เพียงหนึ่งเดียว ที่มีพลังเหนือแวมไพร์ตนอื่น”
“จริงสิ คุณเป็นแวมไพร์คิลเลอร์ ... แวมไพร์ผู้ฆ่าแวมไพร์” ทรงเดชเสริมด้วยท่างทางติดตลก แต่ก็ต้องเปลี่ยนสีหน้า เมื่อคิดได้ถึงพลังของกรีนอายส์ ... พลังในการนำพาแวมไพร์ไปสู่การสูญสิ้น ... นำพาไปสู่ความตาย
“แวมไพร์คิลเลอร์เหรอ คุณนี่ช่างสรรค์หาคำนะ” สเตฟานพูดแล้วก็หัวเราะเบาๆ “ผมคงพูดอะไรให้พวกคุณเข้าใจผิดเสียแล้ว ผมไม่ได้ฆ่าพวกเขาหรอกนะ”
“แต่คุณท่านเคยบอกว่า คุณท่านสามารถทำให้แวมไพร์หมดความเป็นอมตะ และตายได้อย่างมนุษย์” ทรงศักดิ์ทำท่าเหมือนจะแย้ง
“ใช่ ผมทำอย่างนั้นได้จริงๆ แต่ผมไม่ได้ฆ่าพวกเขา” สเตฟานย้ำอีกครั้ง
“หมายความว่ายังไงครับ คุณพูดให้มันกระจ่างหน่อยดีกว่า” ทรงเดชถามอย่างสงสัย
“ที่ผมเคยบอก มันก็หมายความอย่างนั้นจริงๆ แต่ผมคงบอกสั้นไปหน่อย” สเตฟานสูดหายใจลึกๆก่อนจะพูดต่อ “การที่แวมไพร์หมดความอมตะ นั่นก็คือกลับคืนมาสู่ความเป็นมนุษย์ นั่นเอง”
สองปู่หลานหันมาสบตากันด้วยความงุนงง แล้วก็หันไปมองสเตฟานอย่างต้องการคำอธิบาย
“การคืนความเป็นมนุษย์ให้ ย่อมทำให้แวมไพร์กลับคืนสู่อายุที่แท้จริงของมนุษย์ด้วย” สเตฟานบอกต่อช้าๆ “พวกคุณพอจะนึกออกหรือยัง มนุษย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงอายุจากเพียง ๙๐ หรือ ร้อยปี มาเป็นมนุษย์ที่มีอายุหลายร้อย หรือหลายพันปีด้วยความรวดเร็ว จะมีสภาพอย่างไร”
ทรงเดชรู้สึกเหมือนมีเหงื่อผุดขึ้นมาบนหน้าผาก เมื่อภาพจากหนังหลายเรื่องที่เขาเคยดู ผุดขึ้นมาในความคิด
“คุณกำลังนึกภาพนั้นอยู่ล่ะสิ” สเตฟานถามเบาๆ
ทรงเดชสบตากับสเตฟาน ก็มองเห็นแววตาที่สงบนิ่ง น่าแปลก แววตานั้นทำให้จิตใจที่กำลังแตกตื่นของเขาสงบลงได้อย่างประหลาด
“คนตาย กว่าจะสลายกลายเป็นฝุ่น คงกินเวลาหลายสิบ หรือหลายร้อยปี แต่มันกลายเป็นภาพของการเปลี่ยนแปลงภายในเวลาไม่กี่วินาที เมื่ออยู่ต่อหน้าผม”
ทรงเดชฟังแล้วก็ต้องกลืนน้ำลาย หันไปมองหน้าทรงศักดิ์ ก็พบกับสายตาที่กำลังมองมาด้วยแววตาปลอบประโลม
“คุณคงคิดว่ามันน่ากลัวมากล่ะสิ ผมพอจะเข้าใจ เพราะผมเคยรู้สึกเช่นนั้นมาก่อนเหมือนกัน” แววตาของสเตฟานเหมือนกับกำลังเหม่อลอย เหมือนกำลังระลึกถึงเรื่องราวในครั้งอดีต “แต่เมื่อผมเห็นมันบ่อยครั้งเข้า มันกลายเป็นภาพธรรมดาสำหรับผมเสียแล้ว หึ หึ...”
เสียงแค่นหัวเราะของสเตฟาน ทำให้ทรงศักดิ์และทรงเดชมองดูเขาด้วยความสงสัยอีกครั้ง แต่สเตฟานก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ทุกอย่างอยู่ในความเงียบ จนทรงเดชรู้สึกได้ถึงเสียงเต้นของหัวใจตัวเอง

“เย็นนี้ภูริทัตอาจจะมาหาผม พวกคุณก็คอยต้อนรับด้วยแล้วกัน ผมจะไปทำธุระบางอย่างเสียก่อน คงกลับมาไม่ดึกนัก เอาเป็นว่าผมจะกลับมาก่อนสามทุ่มแล้วกัน”

ทรงศักดิ์และทรงเดชออกไปแล้ว สเตฟานเดินถือแก้วไปยังบาร์เล็กๆภายในห้อง ยกขวดไวน์แล้วรินไวน์ลงไปค่อนแก้ว ยกขึ้นจิบช้าๆ
“แวมไพร์คิลเลอร์เหรอ ... คำนั้นคงจะเหมาะกับผมเหมือนกัน ถ้าผมเลือกจะเป็นแบบนั้น” สเตฟานพูดเบาๆแล้วหัวเราะในลำคอ เดินกลับมานั่งชุดเก้าอี้โซฟา แล้วยื่นมือไปแตะดอกกุหลาบในแจกันบนโต๊ะ เพียงวูบเดียวเท่านั้น ดอกกุหลาบที่บานสะพรั่งงดงาม กลับเหี่ยวเฉาลงอย่างรวดเร็ว จนกลีบดอกและใบหลุดร่วงลงบนโต๊ะ

พลังชีวิตอันน้อยนิดของกุหลาบดอกนั้น ถูกดูดซึมเข้าไปในมือของสเตฟาน เมื่อพลังชีวิตหมดไป กุหลาบจึงแห้งเหี่ยว
พลังของกรีนอายส์ในการดูดพลังชีวิตของสิ่งมีชีวิตรอบตัว มาเป็นพลังชีวิตของตนเอง เหมือนกับแวมไพร์ที่ต้องดูดเลือดของมนุษย์
ไม่ใช่เพียงแค่พืช ... ขอเพียงเป็นสิ่งมีชีวิต เขาก็ใช้พลังของเขาสูบพลังชีวิตนั้นมาได้เช่นเดียวกัน
หากเขาใช้พลังนี้กับแวมไพร์เล่า .... แวมไพร์ตนนั้นก็คงเหมือนกุหลาบดอกนี้
แต่มันคงโหดร้ายเกินไปที่จะให้เป็นเช่นนั้น
ไม่ว่ามนุษย์ หรือแวมไพร์ เมื่อถึงวาระสุดท้าย คงต้องการจากไปอย่างมีความสุขตามเวลาอันสมควรมากกว่า

ออฟไลน์ wan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5575
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +643/-10
^^
^^
จิ้มตั้ม หายไปนานเลยนะครับ ยินดีต้อนรับกลับเล้า

เรื่องกำลังดำเนินด้วยความเข้มข้น

เป็นกำลังใจให้นะครับ +1 ให้ด้วย

ออฟไลน์ [N]€ẃÿ{k}uñĢ

  • ~ῲเจ้าแม่Dramaῴ~
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +740/-5
+1 ต้อนรับการกลับมาครับ
เรื่องดำเนินมาถึงจุดที่เข้มข้นที่สุดจุดนึงแล้ว
สิ่งที่แต่ละคนต่างแบกรับ ดูหนักหนาไม่ต่างกัน
หากต่างกันก็เพียงแค่จุดประสงค์ความมุ่งหมาย
แล้วจะรออ่านต่อ
นิว

ออฟไลน์ zandwizz

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2245
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +148/-7

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
ยิ่งอ่านยิ่งมัน  :impress2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด