สานฝันนิรันดร : ขอบคุณทุกคน
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

๑.   สนใจสั่งจอง
5 (55.6%)
๒.   ขอคิดดูก่อน
4 (44.4%)
๓.   ไม่สนใจ
0 (0%)

จำนวนผู้โหวตทั้งหมด: 5

ปิดการโหวต: 31-05-2012 00:47:21

ผู้เขียน หัวข้อ: สานฝันนิรันดร : ขอบคุณทุกคน  (อ่าน 212403 ครั้ง)

ออฟไลน์ กิมตี๋หัดขับ

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-3
ชาติที่แล้วของภูริทัต ชิมิเคอะ  อ้ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย  :z1:


"ข้าไม่กินเด็กดอกหนา  เอาไว้ให้โตแล้วค่อย..." คริ  :laugh:

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
บทที่ ๔๔

“คุณปู่ไปดูคุณสเตฟานหน่อยนะครับ ไม่ออกจากห้องมาหลายวันแล้ว” ทรงเดชรายงานทันทีที่ทรงศักดิ์ก้าวเข้ามาในห้องทำงาน
“คุณท่านคงอยากพักผ่อนมั๊ง หรือว่าช่วงนี้ ‘งาน’ ท่านเยอะ ก็เลยไม่ค่อยได้ลงมา” ทรงศักด์ซึ่งเพิ่งกลับมาจากการไปติดต่องานต่างประเทศ ตอบยิ้มๆ
“คุณปู่ไปดูเองดีกว่าครับ ผมไม่รู้จะบอกยังไงดี” ทรงเดชบอกด้วยสีหน้ากังวล

“คุณท่านครับ” ทรงศักดิ์ส่งเสียงเรียก หลังจากที่ยืนนิ่งอยู่นาน
สเตฟานกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้พักผ่อน พาดขาไว้บนเก้าอี้วางขา มือทั้งสองประสานกันไว้ในระดับเข็มขัด ดวงตาหลับพริ้ม เมื่อทรงศักดิ์เปิดประตูเข้าห้องมาก็ไม่มีปฏิกิริยาใด ทั้งๆที่ทุกครั้งก็จะทักทายเขาด้วยดี ทรงศักดิ์เดินเข้าไปยืนอยู่ข้างๆเก้าอี้อยู่นาน จึงส่งเสียงเรียกออกไป
“คุณท่านครับ” ทรงศักดิ์เรียกอีกครั้ง แต่ยังเหมือนเดิม
เมื่อเห็นท่าทางผิดปรกติ จึงเดินเข้าไปใกล้ๆด้วยความกังวล แต่พอเขาขยับตัว มือของสเตฟานข้างหนึ่งก็ยกขึ้นมาโบกเบาๆ เป็นสัญญาณว่าให้ออกไป ทรงศักดิ์ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แต่ก็ต้องเดินออกจาห้องไปตามคำสั่ง
.......................................................................
.................................
“คุณท่านจะไม่ออกไปข้างนอกบ้างหรือครับ ตั้งแต่ผมกลับมาผมยังไม่เป็นคุณท่านออกจากห้องเลยแม้แต่ก้าวเดียว” ทรงศักดิ์พูดด้วยความเป็นห่วง เมื่อพบว่า ‘คุณท่าน’ ของเขาไม่ได้ออกมาจากห้องพักเลย เป็นเวลาเกือบสัปดาห์แล้ว นับจากที่เขากลับมาจากการเดินทางไปติดต่องานที่ต่างประเทศ
ไม่มีคำตอบ ... สเตฟานยังคงนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้พักผ่อน ทอดขายาวไปบนเก้าอี้วางขา ดวงตาสีเขียวมรกตเหม่อลอย และไม่ส่องประกายแวววับเหมือนที่เคยเป็น
“ผมไปก่อนนะครับ พรุ่งนี้ผมจะมาหาคุณท่านใหม่” ทรงศักดิ์กล่าวลา เมื่อเห็นว่าสเตฟานคงไม่โต้ตอบกับเขาเป็นแน่
“ทรงศักดิ์” สเตฟานเอ่ยปากเป็นครั้งแรก ทำให้ทรงศักดิ์หันตัวกลับมาทันทีด้วยความกระตือรือร้น “ผมไม่เป็นอะไร ไม่ต้องเป็นห่วงผม ขอเวลาให้ผมอยู่แบบนี้สักพัก แค่นี้แหละ” พูดจบก็พริ้มตาลง
ทรงศักดิ์ถอนหายใจ หันหลังเดินไปเปิดประตูและออกจากห้องไป แต่หากเขายังอยู่ต่ออีกสักหน่อย คงจะเห็นหยดน้ำที่เริ่มก่อตัวขึ้น และค่อยๆไหลรินจากหัวตา ลงสู่แก้มที่ขาวซีดของสเตฟาน

“เป็นยังไงบ้างครับ” ทรงเดชลุกขึ้นเดินจากโต๊ะทำงาน เดินเข้าไปหาคนที่เปิดประตูห้องเข้ามา
“เหมือนเดิม” ทรงศักดิ์ตอบพลางถอนหายใจ เดินไปนั่งลงบนโซฟาตัวยาว ทรงเดชก็เดินตามไปนั่งลงข้างๆ “แกยังไม่ได้เล่าให้ชั้นฟังเลย ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างที่ชั้นไม่อยู่” น้ำเสียงของทรงศักดิ์เข้มขึ้นทันที
“เอ้อ คือ...” ทรงเดชอึกอัก ถูมือไปมา
“หรือว่าเกียวกับคุณภูริทัต” ทรงศักดิ์ถามหลังจากที่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“คืองี้ครับปู่” ทรงเดชค่อยๆใช้ความคิดเรียบเรียงเรื่องราว “คุณรังสรรค์ กับคุณปรีชา ถูกพวกโจชัวร์จับไป แล้วพวกนั้นก็ตามไปจนเจอคุณภูริทัต คุณสเตฟานกับผมก็เลยพากันไปช่วย .......”

ทรงเดช ค่อยๆเล่าเรื่องราวต่างๆอย่างระมัดระวังเท่าที่รู้ พยายามไม่ให้ตกหล่นในรายละเอียด
.....................................................................................
...........................
หลังจากที่สเตฟาน ‘ล่วงหน้า’ ไปก่อน ทรงเดชก็ใช้เวลาพักใหญ่ๆจึงขับรถไปถึงจุดหมาย ชายหนุ่มสองคนที่ยืนอยู่ และอีกคนนั่งอยู่บนพื้น ทำให้เขาต้องจ้องมองด้วยความสังเกต จึงเห็นว่าคนที่ยืนอยู่คือปรีชาและรังสรรค์ ส่วนคนที่นั่งอยู่นั้นคือภูริทัต มองไปรอบๆก็ไม่เห็นว่ามีใครอื่นอยู่อีก จีงลงจากรถกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปหาคนทั้งสาม
“คุณสรรค์ คุณชา” ทรงเดชส่งเสียงเรียก “ปลอดภัยรึเปล่าครับ”
ไม่มีคำตอบจากคนทั้งสอง นอกจากความนิ่งเงียบราวรูปปั้น ทรงเดชยืนงงอยู่ชั่วครู่ จึงหันไปสนใจภูริทัตแทน
“คุณทัต เป็นยังไงมั่งครับ” ทรงเดชทรุดตัวลงนั่ง แล้วก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นท่าทางที่ตื่นตระหนกของภูริทัต “คุณทัตเป็นอะไรไปครับ” พูดพลงเอื้อมมือไปจับไหล่ของชายหนุ่ม
“หายไปแล้ว ... หายไปแล้ว ... จู่ๆก็หายไปหมด” ภูริทัตพึมพำ ดวงตาทอแววหวาดหวั่น “คนพวกนั้นเป็นอะไรกันแน่” น้ำเสียงสั่นเครือ “สานฝันเค้าเป็นอะไรกันแน่”
“ใจเย็นๆครับคุณทัต” ทรงเดชพยายามปลอบ “เราเข้าบ้านกันก่อนดีกว่า เดี๋ยวค่อยว่ากันนะครับ”
ใช้เวลาไม่มากนักในการพาภูริทัตเข้าไปในบ้าน สำหรับปรีชาและรังสรรค์ น่าแปลกที่คนทั้งสองเดินช้าๆตามเข้ามาในบ้านเอง แล้วพากันนั่งลงบนเก้าอี้ของชุดโซฟาในห้องรับแขก ทรงเดชมองดูท่าทางราวกับหุ่นยนต์ของคนทั้งสอง ด้วยความประหลาดใจ แต่ที่น่าเป็นห่วงคือภูริทัต นั่งก้มหน้ายกมือขึ้นกุมศรีษะ ตัวสั่นเทา
“เกิดอะไรขึ้นครับ คุณทัต” ทรงเดชนั่งลงข้างๆ ถามอย่างระมัดระวัง
“คนพวกนั้น ... พวกนั้นสองคนกัดคอสานฝัน แล้ว ... แล้ว ...” น้ำเสียงตะกุกตะกัก “ไม่น่าเป็นไปได้... มันอะไรกัน”
“คุณสานฝันโดนทำร้ายเหรอครับ” ทรงเดชถามแล้วก็มองดูท่าทางของภูริทัตที่ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองเขา
“สองคนนั้นค่อยๆกลายเป็นคนแก่ แล้ว...แล้วกลายเป็นฝุ่น ... หายไป”  ภูริทัตเล่าด้วยสีหน้าหวาดกลัว คิ้วกระตุกเป็นระยะ “มันเป็นไปได้ยังไง ทำไมมันเป็นอย่างนั้นได้”
“ใจเย็นครับคุณทัต แล้วคุณสเตฟานล่ะครับ”
“สเตฟาน ใช่ สเตฟาน ... สานฝัน” ภูริทัตหยุดไปชั่วครู่แล้วพูดต่อด้วยสีหน้าพรั่นพรึง “คนที่เหมือนสานฝัน พุ่งเข้าหาสานฝัน แล้ว ... แล้วพวกเค้าก็หายไป ... หายไปเลย ... หายวับไปจากตรงนั้น มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” 
ภูริทัตจับแขนทรงเดชเขย่าไปมา ท่าทางตกใจเต็มที่ พูดเสียงดัง เหมือนจะเริ่มคุมสติไม่อยู่
“ตกลงคนพวกนั้นเป็นอะไรกันแน่ เป็นคนรึเปล่า คุณบอกผม ... พวกนั้นเป็นอะไรกัน”
“เอ้อ ... คุณทัตใจเย็นๆนะครับ ตั้งสติก่อน ใจเย็นนะครับ”
ทรงเดชพยายามพูดปลอบ ภูริทัตหยุดโวยวาย เปลี่ยนเป็นนั่งก้มหน้าเอามือปิดหน้า ไหล่สั่นระริก ทรงเดชมองดูด้วยความกังวล แล้วเขาก็ได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ จึงหันมองไปตามเสียง ขณะที่จะส่งเสียงเรียกชื่อของคนที่ปรากฏตัวขึ้นมา ก็ได้รับสัญญาณบอกว่าให้เงียบไว้

สเตฟานมาถึงห้องรับแขกภายในบ้านของภูริทัตได้พักหนึ่งแล้ว มองดูท่าทีที่ตื่นตระหนกของชายหนุ่มแล้วก็อดถอนใจออกมาไม่ได้ เหมือนเสียงนั้นจะทำให้ทรงเดชรู้สึกตัว จึงหันมาทางเขา สเตฟานก็ยกนิ้วชี้แตะริมฝีปากเป็นสัญญาณบอกให้เงียบไว้ ทรงเดชก็ทำตามและหันหน้ากลับไปมองดูรังสรรค์กับปรีชา พอเขาหันกลับมาทางภูริทัตอีกครั้ง ก็เห็นว่าชายหนุ่มสงบนิ่งอยู่ในอ้อมกอดของสเตฟานเสียแล้ว
“ผมทำให้หลับไปแล้ว” สเตฟานบอกกับทรงเดชด้วยใบหน้าเศร้าๆ
“คุณปลอดภัยใช่มั๊ยครับ” สเตฟานไม่ตอบแต่พยักหน้าน้อยๆ “แล้วพวกโจชัวร์ล่ะครับ” ทรงเดชถามต่อ
สเตฟานไม่ตอบ เดินเข้าหาภูริทัตที่นั่งอยู่
“เดี๋ยวผมมานะ”
พูดจบก็อุ้มภูริทัตเดินขึ้นไปยังชั้นสองของตัวบ้าน ทรงเดชมองดูด้วยความแปลกใจ เพราะภูริทัตมีรูปร่างสูงใหญ่กว่าสเตฟาน แต่กลับถูกอุ้มไปราวกับไร้น้ำหนัก สักพักสเตฟานก็กลับลงมานั่งลงบนโซฟา ล้วงเอาสายสร้อยของตนออกมา
“พวกเราก็ไปกันเถอะ พาสองคนนี้กลับไปที่โรงแรมก่อน”
“เดี๋ยวครับ” ทรงเดชขัดขึ้น “แล้ว ‘ของ’ ชิ้นนั้นล่ะครับ คุณบอกว่าจะต้องใช้ช่วยสองคนนี้”
“ผมเอามาแล้ว” สเตฟานพูดเบาๆ ยื่นมือออกมาข้างหน้าเล็กน้อย ทรงเดชมองไปบนผ่ามือก็มองเห็น ‘ของ’ ชิ้นนั้น เพียงแต่ไม่มีตัวเรือน มีเพียงอัญมณีสีเขียวสดใสวางอยู่บนใจกลางฝ่ามือของสเตฟาน

อัญมณีสีเขียว ส่องประกายแวววาว ประกายสีเขียวราวมรกตเนื้อดี ... กรีนอายส์


ออฟไลน์ wan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5575
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +643/-10
^^
^^
หายไปนานเลยตั้ม มามาะ :กอด1:

กว่าจะทำใจได้คงอีกนาน แล้วสานฝันจะอยู่ยังไงน้าถ้าไม่มีภูริทัต  :เฮ้อ:

รอตอนต่อไปอยู่นะครับ อย่าหายไปนานอีกนะ ตั้ม

+1 เป็นการติดสินบนเลย

LifeTime

  • บุคคลทั่วไป
 :m4:
เก่ง ๆๆ ยังคิดว่าจะมีประเด็นอะไรนะที่จะดึงความสนใจได้อีก
ลืมไปว่าพระเอกเรายังไม่รู้จักตัวตนของสานฝันเลยนี่นะ...

แต่เรื่องราวยังไม่เคลียร์ ผู้ช่วยตายแล้ว แต่โจชัวส์???
เรื่องของสินในอดีต...ภูริทัต...กลับมาเกิดรึหน้าคล้าย???

แต่ที่แน่ ๆ ความเหน็ดเหนื่อยของสานฝัน...กับชีวิตที่ยืนยาว  :m15:

namtaan

  • บุคคลทั่วไป
สงสารภูริทัต และสงสารสเตฟานยิ่งกว่า
หรือว่าภูริทัตจะรับความจริงไม่ได้เลย  :เฮ้อ:
บวก 1 แต้มจ้า รอมาต่อนะจ๊ะ

ออฟไลน์ jannie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 782
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0
ทิ้งประเด็นให้ขบคิด ชวนติดตามตลอดทุกครั้งเลยค่า.....สงสารสเตฟานด้วยย

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
สานฝันท่าจะแย่ ภูริทัต จะรับได้มั้ย  :serius2: สงสารอะ

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586

คิดเหมือนรีบนเลยคะ  :sad4:

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
บทที่ ๔๔

“ไม่~~~~~~~~~~~~~” ภูริทัตตะโกนเสียงดัง
“อะไรของเอ็งวะไอ้ทัต” ปรีชาหันไปมองเพื่อนที่นั่งอยู่บนเบาะส่วนหลังของรถยนต์
“นั่นดิ เป็นอะไรวะ ฝันกลางวันรึไง” รังสรรค์ มองผ่านกระจกมองหลัง ไปยังเพื่อนที่นั่งหลับมาตลอด ตั้งแต่ขับรถออกมาจากร้านอาหาร แล้วจู่ๆก็ตื่นขึ้นมา แล้วส่งเสียงร้องดังลั่นรถ
“กู...เหมือนกูจะฝันร้ายหว่ะ” ภูริทัตตอบพร้อมกับหอบหายใจ ท่าทางตื่นตระหนก
“ฝันว่าอะไรวะ” ปรีชาถามด้วยความอยากรู้ “ฝันว่าพวกชะนีไล่ปล้ำเอ็งเหรอไง” พูดจบก็หันไปหัวเราะกับรังสรรค์
“กูจำไม่ได้เว๊ย” ภูริทัตยกมือขึ้นตบท้ายทอยเบาๆ “แต่รู้สึกมันจะน่ากลัวมาก”
“เออ ... เออ เอ็งเคยเล่าหลายครั้งแล้ว” รังสรรค์มองดูรถที่ค่อยๆแล่นไหลไปอย่างช้าๆ เพราะการจารจรที่ติดขัด ถึงแม้จะเริ่มค่ำแล้ว แต่ถนนสายนี้ในช่วงเย็นวันศุกร์ ก็ยังมีรถมากมายอยู่ดี

ภูริทัตมองออกไปนอกรถ ตัวอาคารและต้นไม้ใหญ่ริมถนน ถูกตกแต่งประดับด้วยหลอดไฟหลากสี และเครื่องประดับหลายอย่าง ให้เข้ากับบรรยากาศของเทศกาลของชาวคริสต์ ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วัน
“เปลี่ยนที่ได้มั๊ยวะ” ภูริทัตพูดขึ้น
“อ้าว ไม่ไปลานเบียร์แล้วจะไปไหนล่ะ” รังสรรค์ถาม
“อยากไปนั่งที่เงียบๆหว่ะ ฟังเพลงเบาๆ ... ไปที่เดิมกันมั๊ย” ภูริทัตพูดโดยที่ยังมองออกไปนอกหน้าต่าง
“เออ ก็ดีเหมือนกันนะ วันศุกร์แบบนี้ลานเบียร์คงหาที่นั่งยาก” ปรีชาทำท่าเห็นด้วย
รังสรรค์หัวเราะในลำคอ ไม่พูดอะไร แต่หักพวกมาลัยพารถเปลี่ยนเลนไปยังเส้นทางที่ต้องการ
...............................................................................
.........................................
“สวัสดีครับ ไหนว่าวันนี้จะไปลานเบียร์กันไงครับ” ทรงเดชเดินเข้าไปส่งเสียงทักทายชายหนุ่มทั้งสาม ที่กำลังนั่งรอเครื่องดื่มที่สั่งไว้
“ก็ว่าจะไปอยู่แหละครับ แต่เจ้านี้มันเปลี่ยนใจ” รังสรรค์พูดพลางชี้มือไปที่ภูริทัต
“อยากนั่งสบายๆ แล้วก็ฟังเพลงเบาๆน่ะครับ” ภูริทัตตอบยิ้มๆ แต่สอดส่ายสายตาไปรอบๆ อย่างช้าๆ
“คุณทัตมองหาใครเหรอครับ” ทรงเดชถาม
“เอ้อ...เปล่าครับ” ภูริทัตอึกอัก “บอกไม่ถูกเหมือนกัน ผมรู้สึกเหมือนกับว่าผมจะได้เจอใครซักคน... ที่นี่”
“โหย ... ถ้าจะเจอนะ นายเจอนานแล้ว ไม่ต้องมามองหาตั้งหลายเดือนแบบนี้เหรอ” ปรีชาพูดกลั้วหัวเราะ ทำให้ภูริทัตอมยิ้มด้วยความขัดเขิน โดยที่เจ้าตัวก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่า ทำไมต้องเกิดอาการเช่นนี้
“เจ้าทัตมันก็แบบนี้แหละครับ มันรู้สึกว่ามันกำลังตามหาใครซักคน แต่คนคนนั้นหน้าตาเป็นยังไง มันก็ตอบไม่ได้” รังสรรค์พูดเสริม พลางหันตัวไปรับเครื่องดื่มจากพนักงานที่นำมาเสริฟ
“ผิดกับเจ้าสรรค์ มันบอกว่าหาเจอแล้ว” ปรีชาพูดแล้วก็หัวเราะ
“สัปดาห์หน้าก็คริสต์มาสแล้ว คืนอีฟไปไหนกันรึเปล่าครับ” ทรงเดชถามยิ้มๆ
“อ้าว...เปลี่ยนเรื่องเลยเหรอ” ปรีชาทำหน้าเหวอ
“ยังไม่ได้คิดเลยครับ ว่าจะเอายังไง” รังสรรค์ตอบ ส่งสายตาล้อเลียนไปให้ทรงเดช
“งั้นมาที่นี่สิครับ บางทีนะ” ทรงเดชเปลี่ยนสายตาไปที่ภูริทัต “บางทีคุณอาจจะเจอใครที่คุณตามหาก็ได้”
“หือ ... คุณพูดเหมือนคุณรู้ว่าผมกำลังหาใคร” ภูริทัตขมวดคิ้ว
“ผมก็พูดไปอย่างนั้นแหละครับ” ทรงเดชหัวเราะในหน้า “ผมขอตัวไปดูแลทางโน้นก่อนนะครับ” พูดแล้วทรงเดชก็ลุกจากเก้าอี้ เดินไปดูแลลูกค้าประจำที่โต๊ะอื่น
“นายเอาแน่เหรอวะ รายนี้” ปรีชาชะโงกหน้าไปถามรังสรรค์เบาๆ เมื่อเห็นเพื่อนมองตามคนที่ลุกไป อย่างไม่วางตา
“ไม่รู้หว่ะ บางทีอาจแค่อยากได้เป็นเพื่อนสนิทอีกสักคนเหมือนพวกเอ็งก็ได้” รังสรรค์ตอบ ยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ
“โห ... ป่านนี้ยังไม่สนิทกันอีกหรือไงวะ ตั้งแต่พวกเราเจออุบัติเหตุ แล้วเค้าเจอเข้า พาไปรักษาจนหายดี แล้วยังจัดการเรื่องหยุดงานของพวกเราอีก เราว่ามันน่าจะมีอะไรมากกว่าแค่คนผ่านทางแหละวะ”
“แรกๆข้าก็คิดแบบนั้นหว่ะ” ภูริทัตพูดขึ้นบ้าง “แต่ดูไปดูมา ข้าว่าเค้าคงไม่ได้ติดใจอะไรพวกเราเป็นพิเศษ นอกจากเห็นเป็นเพื่อน”
“แล้วทีแรกเอ็งคิดว่าเค้าติดใจเอ็งหรือไงวะ” รังสรรค์ถาม
“ก็สงสัยอยู่ เพราะตอนเจอเค้าครั้งแรก ตอนที่ไปเยี่ยมพวกเอ็ง ดูเค้าใส่ใจข้าเป็นพิเศษ แต่ไปๆมาๆ” ภูริทัตยักไหล่ “ไม่มีอะไรในกอไผ่”
“ว่าไปก็แปลกดีนะ แค่คนที่เห็นเหตุการณ์ แล้วมาเอาใจใส่พวกเราขนาดนั้น” ปรีชาส่งสายตาไปยังเพื่อนทั้งสอง เหมือนจะขอคำตอบ แต่ก็ได้รับแต่สายตาที่มีความหมายแบบเดียวกัน จ้องตอบกลับมา

ชายหนุ่มทั้งสามต่างก็คิดไปถึงอุบัติเหตุทางรถยนต์ ที่รังสรรค์และปรีชาประสบเมื่อช่วงกลางปี ทรงเดชผ่านทางมาได้จัดการพาคนทั้งสองไปส่งยังโรงพยาบาล และรับเป็นเจ้าของไข้ แล้วยังติดต่อไปยังที่ทำงานของคนทั้งสองเพื่อแจ้งข่าว ส่วนภูริทัตเองช่วงนั้นบังเอิญป่วยจนไปทำงานไม่ได้อยู่หลายวัน ด้วยไข้หวัด ซึ่งเจ้าตัวเองก็ยังแปลกใจว่า ด้วยสุขภาพที่แข็งแรงของตน ไม่น่าเป่วยหนักขนาดนั้นได้ เมื่อรังสรรค์และปรีชาออกจากโรงพยาบาล จึงได้มาเป็นแขกประจำของโรงแรมแห่งนี้

“อย่าลืมนะครับ คืนอีฟ ถ้าว่างแวะมาที่นี่” ทรงเดชย้ำอีกครั้ง ขณะเดินไปส่งชายหนุ่มทั้งสามออกจากโรงแรม
...........................................................................
....................................
“คืนวันคริสต์มาสอีฟเหรอ” สเตฟานขวมดคิ้วเล็กน้อย
“นะครับ พอดีคนเล่นเปียโนเค้าอยากไปโบสถ์ ผมก็เลยรับปากเค้าว่าจะลองหาคนแทน” ทรงเดชพูดยิ้มๆ
“แล้วทำไมต้องเป็นผม” สเตฟานถามทั้งๆที่ยังเอนตัวพิงพนักเก้าอี้
“ผมอยากให้คุณทำตัวเหมือนเดิม เมื่อก่อนคุณก็เคยลงไปเล่นเปียโนเวลาที่เราต้องหาคนมาแทนไม่ใข่เหรอครับ”
“ก็ใช่ แต่...”
“คุณเอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในห้องมาตั้งแต่ตอนนั้น” ทรงเดชพูดอย่างจริงจัง “ออกไปข้างนอกมั่งเถอะครับ ผมไม่อยากให้คุณเป็นแบบนี้เลย เมื่อก่อนคุณดูสดใส มีชีวิตชีวา แต่ดูเดี๋ยวนี้สิ” ทรงเดชพูดพลางดูใบหน้าที่มีค่อนข้างซูบเซียว และมีแต่ความหม่นหมองมาตลอดแน่วนิ่ง
“ขอบใจที่เป็นห่วงผม” สเตฟานพูดช้าๆ “เอาเป็นว่าผมจะช่วยคุณก็แล้วกัน” พูดจบสเตฟานก็หลับตาลง เหมือนเป็นสัญญาณว่า การสนทนาจบลงเพียงแค่นี้
“ผมถามจริงๆเถอะ ทำไมคุณไม่กลับไปหาคุณทัต ผมว่ามันน่าจะดีกว่าเมื่อก่อน เพราะคุณไม่ค้องหลบซ่อนจากใครอีกแล้ว” ทรงเดชถามอย่างหมดความอดทน
สเตฟานลืมตาขี้นช้าๆ จ้องมองทรงเดชด้วยแววตาเศร้า
“เพื่ออะไร .... เพื่อที่ผมจะได้พบความเจ็บปวดอีกอย่างนั้นเหรอ” สเตฟานพูดช้าๆ
“ทำไมคุณคิดว่ามันต้องเจ็บปวดล่ะ”
“คุณลืมไปแล้วหรือ ว่าผมเป็นอะไร”
“แต่คุณทัตไม่รู้ ... คุณลบความทรงจำเขาไปแล้ว ทำไมคุณไม่เริ่มต้นใหม่อีกครั้งล่ะ ผมว่าลึกๆแล้ว คุณทัตกำลังรอคุณอยู่”
“ผมรู้ว่าคุณยังเจอกับพวกเค้าอยู่ ผมทำได้เพียงทำให้ความทรงจำบางส่วนของพวกเขาผิดเพี้ยนไป ไม่สามารถเปลี่ยนความรู้สึกลึกๆในใจได้ ที่คุณพูดมาก็คงไม่ผิด ในส่วนลึกของความรู้สึก เขาอาจจะยังคงจำความรู้สึกที่มีต่อผมได้  แล้วถ้าได้พบกันอีกครั้งจะเป็นอย่างไรเล่า ความสุขอาจจะกลับมาหาผมอีกครั้งอย่างที่คุณบอก แต่สักวันเราก็ต้องจากกันอยู่ดี คุณอย่าลืม ... ผมไม่ใช่มนุษย์” สเตฟานหยุดถอนหายใจยาว “สักวันผมก็ต้องแยกจากเขาอยู่ดี”
“แต่ ...” ทรงเดชพยายามจะท้วง
“ผมไม่ต้องการสูญเสียคนที่ผมรักอีกแล้ว ครอบครัวของผม ... มิตรสหาย ... บุคคลอันเปรียบเสมือนครอบครัว และคนที่ผมรักปานดวงใจ” สเตฟานกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น พริ้มตาลงช้าๆ “คุณไม่รู้หรอกว่า การที่ต้องเห็นชีวิตของคนที่เรารัก ต้องดับสูญไปต่อหน้า แต่ตัวเรายังต้องมีชีวิตอยู่ไปอีกนานแสนนานนั้น มันทรมานขนาดไหน อย่าให้ผมต้องเจ็บปวดมากไปกว่านี้อีกเลย”

ทรงเดชถึงกับพูดอะไรไม่ออก เมื่อมองเห็นหยดน้ำใสเริ่มก่อตัวเกาะอยู่กับแพขนตา แล้วเริ่มรวมตัวเป็นหยดตรงหัวตาที่หลับพริ้ม ก่อนที่จะค่อยๆไหลรินลงมาอย่างช้าๆ

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
สเตฟานน่าสงสารจังเลย  :monkeysad: มันก็จริงเนอะ มีชีวิตอมตะใช่ว่าจะดี
ทำไมไม่ทำให้ทัตเป็นแบบตัวเองล่ะ จะได้ครองคู่ตลอดไป  :laugh:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






LifeTime

  • บุคคลทั่วไป
 :m15:
โอ้ววว สเตฟานเปลี่ยนแปลงความทรงจำพระเอกเราซะแล้ว...
สุดท้ายคงต้องเลือก...จะอมตะไปด้วยกันรึเปล่า???  :เฮ้อ:

namtaan

  • บุคคลทั่วไป
สงสารสเตฟานจังเลย
ต้องพรากจากคนรักด้วยกาลเวลา
จะไม่มีทางออกอย่างอื่นงั้นเหรอ

บวก 1 แต้ม ขอบคุณนะคะ


ออฟไลน์ jannie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 782
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0
เศร้าแทนสเตฟานจังเลย....อยู่ใกล้กันก็เจ็บ จากกันก็เจ็บ

salapaw

  • บุคคลทั่วไป
น่าสงสาร อมตะมันจะดียังไง ถ้าไม่มีคนรัก เคียงข้าง

ออฟไลน์ zandwizz

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2245
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +148/-7
กรรม

ดูดเลือดภูริทัตเลย จะได้เป็นแวมไพร์เหมือนกัน

คิกคิก....

yaoifan

  • บุคคลทั่วไป
หายไปนานเลย (คนอ่าน)

สงสารสเตฟานเหมือนกัน  :z3:

ขอบคุณมากค่ะ

 :z13:


ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
น่าเห็นใจสานฝันมากมาย แล้วภูริทัตพอจะทำอะไรได้มั้งมั้ยเนี่ย  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
บทที่ ๔๖

“ดึกมากแล้ว ฝนก็หยุดตกพอดี ข้าคงต้องขอกลับเสียที” สเตฟานบอกเจ้าบ้านทั้งสอง
“ฝนเพิ่งจะหาย ทางเดินคงเฉอะแฉะ ไหนจะงูเงี้ยวเขี้ยวขอ ทำไมไม่ค้างเสียที่นี่เล่า” พุดซ้อนพูดด้วยความที่คุ้นเคยกันมานาน
“มิเป็นไรดอก” สเตฟานาตอบสั้นๆ แล้วลุกขึ้นช้าๆ
“แล้วพรุ่งนี้ เจ้าจะมาอีกหรือไม่” แสนถามด้วยรอยยิ้ม ลุกขึ้นยืนพร้อมกับพุดซ้อน พากันเดินไปส่งสเตฟานที่ประตู
“ไว้อีกสัก ๓ ราตรี ข้าจะมาใหม่” สเตฟานพูดพร้อมกับรอยยิ้ม แล้วเดินลงบันได
สเตฟานเดินไปยังไม่ทันพ้นสายตาของคนทั้งสอง ฝนก็เริ่มลงเม็ดลงมาอีกครั้ง
“เจ้าไปเอาร่มมา ข้าจะเอาไปให้สานฝัน” แสนหันไปบอกภรรยา
พุดซ้อนรีบวิ่งเข้าไปในตัวบ้าน แล้วกลับออกมาพร้อมกับร่มในมือ แสนคว้าร่มมา  แล้ววิ่งลงไปจากตัวบ้านด้วยความรวดเร็ว ฝอยฝนที่โปรยปรายบางๆ กลับหนาเม็ดขึ้น แสนวิ่งตามสเตฟานจนเกือบทัน เสียงเม็ดฝนทึ่ตกระทบพื้นและใบไม้รอบข้าง ทำให้สเตฟานไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของแสนที่วิ่งเข้ามาหา แต่แล้วแสนก็ต้องหยุดชะงัก เบิกตามองภาพตรงหน้าด้วยความตกตะลึง

เม็ดฝนที่โปรยปรายลงมา เมื่อจะกระทบถูกสเตฟาน กลับกระเซ็นออกไป ไอขาวบางๆที่ห่อหุ้มร่างของชายหนุ่ม เหมือนจะเป็นดั่งกำแพง ที่กางกั้นชายหนุ่มไว้จากเม็ดฝน แล้วร่างของชายหนุ่มก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นเลือนลางและหายไปในที่สุด

ทั้งๆที่กำลังตื่นตกใจ แต่แสนก็เดินช้าๆไปยังจุดที่สเตฟานหายไป เขายกมือขึ้นปาดเช็ดคราบน้ำที่อยู่บนใบหน้า มองไปรอบๆราวกับจะมองหาว่า คนที่หายตัวไป อาจจะอยู่ในบริเวณใกล้เคียงก็ได้
...........................................................................
........................................
สเตฟานค่อยๆเดินตรงไปยังแสงไฟเบื้องหน้า รอยยิ้มน้อยๆระบายไปทั่วใบหน้า เมื่อคิดถึงครอบครัวอันอบอุ่นที่เขากำลังจะไปเยี่ยมเยียน แสนและพุดซ้อนต้อนรับเขาอย่างสหาย ดาวเรืองที่งดงามอ่อนหวานแต่ก็ยังแฝงความแก่นอยู่ในที และสิน เด็กชายที่เขารักราวน้องชายร่วมสายเลือด
“จะมีใครมาเยือนท่านหรือ ถึงได้เตรียมคนไว้ต้อนรับมากมายเช่นนี้” สเตฟานถามอย่างสงสัย เมื่อมองเห็นแสนยืนอยู่หน้าบันได พร้อมกับบ่าวชายอีกจำนวนหนึ่ง
ไม่มีคำตอบจากแสน ซึ่งกำลังจ้องมองสเตฟานแน่วนิ่ง แววตาเปี่ยมไปด้วยความหวาดระแวง
“ทำไมเจ้ามองข้าเช่นนั้น” สเตฟานขมวดคิ้ว กวาดสายตามองดูใบหน้าของบ่าวไพร่ แล้วมาหยุดลงที่แสนอีกครั้ง
“วันก่อนข้าตามเจ้าไป” แสนพูดช้าๆ “ข้าเห็นหมดแล้ว”
สีหน้าของสเตฟานแสดงออกถึงความตกใจออกมาวูบหนึ่ง แล้วจึงกลับเป็นปรกติ
“ข้าเข้าใจแล้ว” สเตฟานพูดช้าๆ แล้วหันหลังเตรียมจะเดินออกไปจากที่นั้น

“ทำไมถึงไม่พูดแก้ตัวบ้างเล่า” ดาวเรืองพูดด้วยน้ำเสียงกังวล พลางกุมมือมารดาด้วยความตื่นเต้น จากภาพที่เห็นทางซอกประตู
“นั่นสิ แม่เองก็ไม่อยากเชื่อนัก” พุดซ้อนพูดกับบุตรสาว “ที่พ่อเจ้าเห็นอาจเป็นเพราะสายฝนทำให้เกิดภาพลวงตาก็ได้”

“เจ้าจะไปทั้งอย่างนี้หรือ ทำไมไม่พูดสิ่งใดบ้าง” แสนตะโกนเสียงดัง เมื่อเห็นสเตฟานค่อยๆก้าวเท้าจะจากไป
สเตฟานหยุดยืนนิ่ง ค่อยๆหันตัวกลับไปทางแสนและบ่าวไพร่
“จะมีประโยชน์อันใดที่ข้าจะพูดแก้ตัว หากเจ้าเชื่อใจข้าจริง คงมินำบ่าวไพร่ออกมาต้อนรับข้าเช่นนี้” เสียงของสเตฟานไม่ดังนัก แต่ทุกคนก็ได้ยินอย่างชัดเจน แม้แต่คนที่ซ่อนตัวอยู่บนเรือน
แสนมีสีหน้ากระอักกระอ่วนอยู่พักใหญ่
“คืนก่อน ข้าตามเจ้าออกไปเพราะฝนเริ่มตกลงมาอีกครั้ง ข้าเห็นเจ้าอยู่กลางสายฝน แต่เม็ดฝนมิอาจต้องกายเจ้า แล้วเจ้าก็หายไป”
“ใช่ ... สิ่งที่เจ้าเห็น มันเกิดขึ้นจริงๆ” สเตฟานตอบ พลางนึกเสียใจในความไม่รอบคอบของตน
“เจ้าเป็นพ่อมดหมอผีหรือไร” แสนตวาดถาม
“พ่อมดหมอผี” สเตฟานทวนคำ แล้วหัวเราะในลำคอ เสียงหัวเราะแผ่วเบา แต่แทรกอยู่ในทุกอณูของอากาศ บ่าวไพร่บางคนถึงกับหน้าซีดลงด้วยความกลัว “อย่านำข้าไปเปรียบกับพวกนั้น”
“หรือว่าเจ้าเป็นปีศาจ” แสนถามด้วยความกังวลแกมไปด้วยความหวาดหวั่น หากคนตรงหน้าเป็นปีศาจจริง อันตรายข้างหน้าจะผ่านพ้นไปได้หรือไม่
“ปีศาจ ... คำนี้ค่อยน่าฟังหน่อย” สเตฟานพูดด้วยความรู้สึกรันทด

“คุณพระคุณเจ้าช่วย” พุดซ้อนอุทานยกมือขึ้นทาบอก “ไม่น่าเป็นไปได้”
“นั่นสิ แม่ท่าน ไม่น่าเป็นเช่นนั้น สานฝันที่แสนจะอ่อนโยนนั้น จะเป็นปีศาจไปได้เยี่ยงไร” ดาวเรืองเองก็ตกใจไม่แพ้กัน
ทั้งสองคนมัวแต่ตกใจโดยไม่ทันได้คิดว่า ระยะทางที่ห่างกันของพวกตนกับสเตฟานนั้น ทำไมถึงได้ยินสิ่งที่สเตฟานพูดได้อย่างชัดเจนนัก

“ไม่จริงข้าไม่เชื่อ” เสียงเล็กๆดังขึ้น พร้อมกับร่างของเด็กชายที่วิ่งออกมาจากใต้ถุนเรือน พุ่งตรงเข้าไปหาเสตฟาน
“เจ้าสิน กลับมา” แสนร้องด้วยความมตกใจ ทำท่าจะวิ่งออกไปสกัดตัวเด็กชาย
แต่ช้าไปเสียแล้ว แสนวิ่งอย่างรวดเร็ว พอถึงตัวก็กอดเอวสเตฟานไว้แนบแน่น
“เจ้าโกหก ข้ามิเชื่อ” เด็กชายร่ำร้อง เงยหน้าขึ้นจ้องมองใบหน้าของชายหนุ่ม
“ข้ามิได้โกหก ข้าจะแสดงให้เจ้าดู ว่าจริงๆแล้วข้าเป็นเช่นไร”
พูดจบสเตฟานก็แกะแขนของเด็กชายอกจากตัว แล้วดันตัวเด็กชายออกห่าง ร่างกายค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

ผิวสีขาวเปล่งประกายเรืองรอง ผมสีทองลุกชี้ชันเส้นผมพริ้วดั่งมีลมกระหน่ำ ดูแล้วเหมือนกองไฟสีทองที่ลุกโชนอยู่บนศรีษะ ดวงตาสีเขียวมรกตเปล่งแสงเจิดจ้า เขี้ยวสีขาวแวววาวงอกพ้นออกมาจากริมฝีปาก มือที่ยกขึ้นมาแล้วกางออก แสดงให้เห็นถึงเล็บที่งอกยาว คมเล็บส่องประกายแวววับดูแหลมคม ราวกับสามารถจะฉีกกระชากร่างน้อยๆ ให้แหลกเป็นชิ้นๆได้ในพริบตา
........................................................................................
..........................................
“อ๊า~~~~~~~~~~~~~~~”
ภูริทัตสะดุ้งสุดตัว ลืมตาแล้วมองไปรอบๆ ที่เขาเห็นยังคงเป็นภาพเดิมๆของห้องนอนที่คุ้นเคย ชายหนุ่มค่อยๆยันตัวลุกขึ้นนั่ง รู้สึกว่าทั้งตัวเต็มไปด้วยเหงื่อ เอื้อมมือไปเปิดโคมไฟเล็กๆตรงหัวเตียง ดูนาฬิกาแล้วอีกไม่กี่นาทีก็จะได้เวลาที่ต้องตื่นนอนตามปรกติ ถอนหายใจยาวแล้วก็ลุกขึ้นจากที่นอน เดินตรงไปยังห้องน้ำ เพื่อทำกิจวัตรประจำวัน เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับวันใหม่อีกวันหนึ่ง

“ตั้งแต่วันนั้นแล้วเอ็งฝันทุกคืนเลยเหรอวะ” ปรีชาถามด้วยความอยากรู้
“เออ” ภูริทัตตอบ “ตอนนี้เป็นเรื่องเป็นราวชัดขึ้นทุกวัน นับตั้งแต่วันที่ทรงเดชพูดอะไรแปลกๆวันนั้น”
“แล้วตกลงฝันเรื่องอะไรวะ” รังสรรค์เองก็อยากรู้ไม่แพ้ปรีชา
“ปีศาจหว่ะ ... ปีศาจสีเงิน ตาสีแดงกล่ำ มีเขี้ยวยาว เล็บแหลมคม กับลูกสมุนสีขาวกับสีดำ พวกมัน ๓ ตัวจับเอ็งสองคนไว้ ทำให้กลายเป็นลูกสมุน แล้วพากันมาตามล่าข้า”
“แล้วเป็นไง นายถูกจับได้แล้วโดนพวกเราเรียงคิว ใช่มั๊ยวะ” ปรีชาถามแล้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

“แล้วคุณทัตถูกจับได้รึเปล่าครับ” ทรงเดชถามด้วยสีหน้าจริงจัง คนชายหนุ่มทั้งสามพากันแปลกใจ
“ถามอย่างนี้ค่อยอยากตอบหน่อย ไม่เหมือนไอ้สองตัวนี่ ทำเป็นเรื่องตลกจนผมไม่อยากเล่า” ภูริทัตพูดแล้วหันหน้าไปล้อเลียนเพื่อนทั้งสอง
“พอเลิกงาน คุณก็เลยพากันมาเล่าให้ผมฟังงั้นสิครับ” ทรงเดชถามยิ้มๆ
“ผมน่ะไม่เท่าไรหรอก ...” ภูริทัตลากเสียงยาว เหลือบสายตาไปที่รังสรรค์ “แต่บางคนมันลากมา”
“รีบๆเล่าต่อสิวะ” รังสรรค์พูดอ้อมแอ้มไม่ค่อยเต็มเสียง
“นั่นสิครับ แล้วเป็นยังไงต่อ ผมอยากรู้” ทรงเดชสนับสนุน
“พอเกือบๆจะจวนตัว ก็มีปีศาจสีทองโผล่ออกมาน่ะสิครับ แต่น่าแปลกที่มันมาช่วยผม”
“ลักษณะมันเป็นยังไงครับ ไอ้ปีศาจสีทองที่คุณว่าเนี่ย” ทรงเดชถามอย่างกระตือรีอร้น
“ก็คล้ายๆเจ้าสามตัวแรกนะ แต่ดวงตาเป็นสีเขียววูบวาบ แล้วผมสีทองของมันตั้งชัน ดูเหมือนมีเปลวไฟสะบัดไปมาอยู่บนหัว มันผลักไอ้ตัวสีเงินกระเด็นไป ตัวลูกน้องสีดำกับสีขาว ก็พุ่งเข้ากัดคอตัวสีทอง แล้วจู่ๆเจ้าสองตัวนั้นก็กรีดร้องแล้วสลายกลายเป็นฝุ่น”
“แล้วเจ้าตัวสีเงินล่ะครับ” ทรงเดชขัดขึ้น
“ไอ้ตัวนั้นพอมันเห็นลูกน้องมันตาย ก็เลยพุ่งเข้าไปสู้ แต่พอมันคว้าคอเจ้าตัวสีทองไว้ได้ ก็หายไปเลยทั้งคู่” ภูริทัตหยุดเล่า
“มีเค่นี้เหรอครับ” ทรงเดชถามขึ้นเมื่อภูริทัตไม่มีทีท่าว่าจะเล่าต่อ
“ก็แค่นี้แหละครับ” รังสรรค์ตอบแทน เพราะเขาฟังภูริทัตเล่ามาครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อตอนกลางวัน
“แน่ใจเหรอครับ ว่ามีแค่นี้ ผมว่ามันน่าจะมีอะไรมากกว่านี้นะครับ” ทรงเดชพูดพลางจ้องมองภูริทัตอย่างคาดคั้น
“เอ้อ ... ที่จริงมันก็มีนะครับ แต่ผมว่ามันแปลกๆ ก็เลยไม่อยากเล่า” ภูริทัตอึกอัก
“ผมว่า คุณน่าจะเล่าออกมานะครับ บางที ...” ทรงเดชหยุดพูด นิ่งไปเหมือนใช้ความคิด
“คุณพูดเหมือนคุณรู้อะไรเกี่ยวกับความฝันของผม” ภูริทัตสงสัย
“ให้ผมเดามั๊ยครับ ว่าต่อจากนั้นมันมีอะไรเกิดขึ้น” ทรงเดชถามยิ้มๆ
เมื่อทุกคนนิ่งเงียบ พร้อมกับสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความสงสัย ทรงเดชจึงพูดต่อ
“ปีศาจสีทองกลับมาหาคุณอีกครั้ง แล้วกลายร่างเป็นคน คนที่มีลักษณะ...ยังไงดีนะ ให้ผมคิดก่อน”
ทรงเดชยกมือขึ้นเกาคางเหมือนใช้ความคิด มองหน้าภูริทัตนิ่งสักพัก ก่อนที่จะพูดออกมาช้าๆ
“ปีศาจตัวนั้น เปลี่ยนเป็นชายหนุ่มผิวขาว ผมและคิ้วเป็นสีทอง ริมฝีปากสีชมพูอิ่มเอิบ แก้มสีขาวอมชมพู ดวงตาเป็นสี...สีอะไรดีนะ” ทรงเดชทำเป็นหยุดคิด “เอาเป็นสีเขียวแล้วกันนะครับ ดวงตาสีเขียวที่มีประกายเหมือนมรกต ... เป็นยังไงครับ จินตนาการของผม”

ภูริทัตเบิกตาค้าง คิดไม่ออกเลยว่า ทำไมทรงเดชถึงได้รู้สิ่งที่เกิดขึ้นในความฝันของเขาได้

LifeTime

  • บุคคลทั่วไป
 :serius2:
เค้าก็ยังไม่เคลียร์...โจชัวส์เป็นไง...สินเป็นอะไรกะภูริทัตรึเปล่า
เกิดอะไรขึ้นหลังจากแสดงตัวให้ครอบครัวสินเห็นแล้ว ????  :serius2: :serius2: :serius2:

Merry X-Mas ล่วงหน้าจ้า.... :L2:

namtaan

  • บุคคลทั่วไป
ภูริทัตคือสินในอดีตรึป่าวนะ

แต่ความทรงจำของภูริทัตก็ยังปรากฏในความฝันนี่นา
แบบนี้ก็คงไม่ได้ลืมไปหมด

รอคอยตอนต่อไปจ้า
บวก 1 แต้มนะจ๊ะ ขอบคุณมาก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
นั่นสิ เด็กน้อยสิน ในอดีต คือ ภูริทัต ในปัจจุบันหรือเปล่า  แล้วภูริทัตกับสเตฟานจะเป็นไงต่อคู่นี้ เศร้าๆ เนอะ

ออฟไลน์ jannie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 782
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0
ชอบทรงเดชจริงๆ เลย จัดการให้ทุกอย่าง คอยเชียร์ คอยดูแล คอยห่วง

ออฟไลน์ zandwizz

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2245
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +148/-7
ภูริทัต กับ สเตฟาน ต้องเคยเจอกันมาตอนภูริทัต เป็นเด็ก

กลับมาเจอกันอีกครั้ง

หุหุ.....

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
บทที่ ๔๗

ท่ามกลางเสียงพูดคุยกันของคนที่นั่งอยู่ในห้องลอบบี้ของโรงแรม เสียเปียโนเริ่มต้นขึ้นอย่างแผ่วเบา แล้วค่อยๆดังขึ้นทีละนิดจนสามารถได้ยินได้อย่างชัดเจนขึ้น ท่วงทำนองที่เกิดจากตัวโน้ตมากมาย และควรจะมีสำเนียงที่รุนแรง กลับถูกบรรเลงออกมาอย่างแผ่วเบา เสียงที่ควรจะหนักแน่น แร่งเร้าความรู้สึก กลับผสมกลมกลืนไปกับสรรพสำเนียงของผู้คนภายในห้อง หลายคนหันมองดูนักเปียโนด้วยความประหลาดใจ ในสำเนียงที่เกิดจากปลายนิ้วเรียวงาม แม้แต่ภูริทัตเอง ก็อดสะกิดใจไม่ได้ ที่ เอทรูทโอปุส๑๐ หมายเลข๑๒ เรโวลูชั่น ถูกบรรเลงออกมาได้อย่างนุ่มนวลเช่นนั้น มันทั้งแปลกหูและไพเราะจนเขาต้องหยุดการพูดคุย ฟังบทเพลงนั้นอย่างตั้งอกตั้งใจ

“นักเปียโนคนนี้เล่นเพราะจนคุณตั้งใจฟังขนาดนั้นเลยเหรอครับ” ทรงเดชพูดล้อ เมื่อเห็นท่าทางของภูริทัตซึ่งนี่งอยู่ข้างๆบนโซฟาตัวยาว
“เอ้อ...” ภูริทัตยกมือขึ้นลูบท้ายทอยเบาๆ “มันแปลกหูน่ะครับ  ผมไม่เคยได้ยินคนเล่นเพลงนี้ด้วยสำเนียงแบบนี้มาก่อนเลย”
“เหรอ ... แล้วแบบนี้เรียกว่าเก่งรึเปล่า” ปรีชาถามด้วยความสนใจ
“ก็คงเก่ง เพราะเพลงนี้แค่เล่นธรรมดาก็เทคนิคเยอะแล้ว ปรกติเล่นแล้วมันจะยิ่งดัง แต่นี่เค้าควบคุมเสียงได้ดีมาก ถึงจะค่อนข้างเบากว่าที่ควร แต่เสียงโน้ตชัดเจนทุกตัวเลย” ภูริทัตตอบ
“เค้าคงตั้งใจมั๊ง ห้องลอบบี้แบบนี้ ขีนเล่นดังๆ ก็ไล่แขกหมดสิ จริงมั๊ยครับ” คำสุดท้ายรังสรรค์หันไปทางทรงเดช
“ก็คงอย่างนั้นน่ะครับ” ทรงเดชตอบยิ้มๆ

บทสนทนาดำเนินไปเรื่อยๆ ในขณะที่บทเพลงถูกบรรเลงจบลง ต่อด้วยเพลงใหม่ เพลงแล้วเพลงเล่า เอทรูทของโชแปง โซนาตาของบีโทเฟน แม้กระทั่งอินเวนชั่นของบาค แทบไม่น่าเชื่อว่าเสียงเพลงที่ได้ยินกลับแผ่วเบา นุ่มนวล สะกิดความสนใจจนภูริทัตต้องหยุดการสนทนาลงชั่วคราวหลายต่อหลายครั้ง และบางครั้งก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปยังผู้เล่น ซึ่งเห็นเพียงแผ่นหลังในชุดสูทสีขาว และเรือนผมสีทองเป็นประกายเท่านั้น

“คุณทัตนี่ ชอบฟังเพลงมากเลยนะครับ” ทรงเดชถามพลางจ้องหน้าภูริทัต
“เจ้าทัตมันชอบฟังเพลงมากๆเลย มีคอนเสริทดีๆที่ไหน ต้องกระเสือกกระสนหาตั๋วไปดู บางทีไม่มีอะไรทำก็เปิดเนต ค้นว่าที่ไหนมีคอนเสริทอะไรบ้าง” รังสรรค์ตอบแทน
“แต่ท่าทางคุณทัตจะชอบเพลงที่นักเปียโนคนนี้เล่นมาก” ทรงเดชถามอีก
“ก็ ... ครับ เค้าเล่นด้วยสำเนียงที่ต่างไปจากที่ผมเคยได้ยิน แต่ก็เพราะดีนะ มันนุ่มนวล อ่อนโยน แล้วก็ ....” ภูริทัตหยุดพูด ทำท่าเหมือนครุ่นคิด
“แล้วก็อะไรเหรอครับ” ทรงเดชถามพลางรอคอยคำตอบอย่างตั้งใจ
“มันแปลกๆน่ะครับ” ภูริทัตตอบ “มันเหมือนกับว่า ผมคุ้นกับสำเนียงการเล่นเปียโนแบบนี้จากไหนสักแห่ง”
“เหรอครับ” ทรงเดชยิ้มอย่างดีใจ “แล้วคุณอยากรู้จักนักเปียโนคนนี้มั๊ยล่ะครับ เดี๋ยวผมจะพามาให้รู้จัก”

โดยไม่ฟังคำตอบ ทรงเดชลุกขึ้นจากเก้าอี้โซฟาเดินตรงไปหานักเปียโน ซึ่งกำลังจะลุกขึ้นหลังการบรรเลงบทเพลงสุดท้ายของช่วงนี้ เมื่อทุกคนมองตามไปก็เห็นทรงเดชคุยอะไรกับนักเปียโน ซึ่งก็คงพูดชักชวนให้มาทำความรู้จักกับกลุ่มของตน แต่จากท่าทางเหมือนว่าจะมีการปฏิเสธจากฝ่ายตรงข้าม แต่ดูเหมือนทรงเดชจะใช้ความพยายามจนอีกฝ่ายใจอ่อนจนได้ และเมื่อนักเปียโนคนนั้นหันตัวมาทางพวกเขา ภูริทัตถึงกับจ้องมองอย่างตะลึงลาน

ชุดสูทสีขาว ทำให้ผิวสีขาวอมชมพูของเรือนร่างสูงโปร่งดูขาวผ่อง ราวกับมีประกายออกมากรอบๆ เรือนผมสีทองยิ่งทำให้ใบหน้านั้นดูกระจ่างตา ขนคิ้วเรียวยาว จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากสีชมพูอิ่มเอิบ ดูโดดเด่น แต่นั่นยังไม่เทียบเท่าประกายตาที่ฉายแววสีเขียวมรกตออกมาจางๆ แต่ที่ภูริทัตตกตะลึง ไม่ใช่เพราะเรือนร่างที่ดูบอบบางแต่สมส่วน หรือเครื่องหน้าที่ดูงดงาม และไม่ใช่ดวงตาสีเขียวมรกตคู่นั้น แต่เป็นเพราะชายหนุ่มชาวต่างชาติผู้นี้ เหมือนกับคนในความฝันของเขาเสียเหลือเกิน

“นั่งตรงนี้แล้วกันนะครับ” ทรงเดชพูดพลางนั่งลงบนเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง คนที่เข้ามาใหม่ลังเลอยู่ชั่วครู่จึงนั่งลงบนตำแหน่งที่ทรงเดชเคยนั่งอยู่ก่อน แล้วเริ่มทำหน้าที่เหมือนแนะนำทั้งสองฝ่ายให้รู้จักกัน “นี่คุณรังสรรค์ นี่คุณปรีชา แล้วก็นี่ ...”
“ภูริทัตครับ” ภูริทัตชิงแนะนำตัวเอง “แล้วคุณ เอ่อ ...”
“สเตฟานครับ ผมชื่อสเตฟาน” ชายหนุ่มตอบเสียงแผ่วเบา นุ่มแต่ชัดเจน พลางเบือนหน้าหลบสายตาของภูริทัตที่จ้องมองตนอย่างไม่วางตา
“คุณสเตฟานพูดไทยได้เหรอครับ” รังสรรค์ถามอย่างสนใจ
“ครับ”
“แล้วเป็นคนชาติไหนครับนี่” ปรีชาถามบ้าง
“ผมเป็นคนอังกฤษครับ”
“แล้วมาทำอะไรที่เมืองไทยนี่ล่ะครับ หรือว่าเป็นนักดนตรีที่ตระเวณแสดงไปเรื่อยๆ” รังสรรค์ถามอีก
“คุณสเตฟานไม่ได้เป็นนักดนตรีหรอกครับ พอดีวันนี้มาเป็นกรณีพิเศษ” ทรงเดชตอบแทน “ปรกติก็ไปประเทศโน้น ประเทศนี้เป็นประจำ แต่ช่วงนี้พักอยู่เมืองไทย”
“โอ้โห แล้วเดินทางรอบโลกแล้วรึยังครับนี่” ปรีชาถามอย่างติดตลก สเตฟานไม่ตอบคำถาม ได้แต่อมยิ้มน้อยๆ
“อ้าวไอ้ทัต เป็นอะไรวะ เอาแต่จ้องหน้าเค้าอยู่นั่นแหละ” รังสรรค์หันไปถามกลั้วหัวเราะ แต่ไม่มีคำตอบจากภูริทัต
“ผมขอตัวก่อนนะครับ เดี๋ยวจะต้องเล่นเปียโนอีก”
พูดจบสเตฟานก็ลุกขึ้นเดินไปทางเคาเตอร์เครื่องดื่ม โดยมีสายตาของภูริทัตมองตามไปอย่างไม่วางตา
“คุณทัตครับ” ทรงเดชเรียกเบาๆ
“ว่าไงครับ” ภูริทัตหันมาตอบ เมื่อเห็นสเตฟานเดินหลบหายไปทางมุมหนึ่งของห้องลอบบี้
“มองอะไรเค้านักหนาวะ ท่าทางจะเขินจนต้องลุกหนีไปเลย” รังสรรค์ถามในสิ่งที่ทุกคนก็อยากรู้
“เอ้อ ...” ภูริทัตอึกอัก ยกมืขึ้นเกาท้ายทอย “จะว่าไงดีวะ”
“ว่าอะไรก็ว่ามา กำลังรอฟัง” ปรีชาทำหน้าทะเล้น ยื่นหน้าเข้าไปใกล้มากขึ้น
“คือ...” ภูริทัตทำสีหน้าเหมือนลำบากใจ “เค้าหน้าเหมือนคนที่ข้าเห็นในฝันหว่ะ”
“ฝันอะไรวะ” รังสรรค์ถาม
“ก็ฝันที่มีปีศาจไล่ทำร้ายข้าไง แล้วปีศาจสีทองที่มาช่วยข้ากลายเป็นชายหนุ่ม สเตฟานคนนี้ เหมือนคนที่ข้าเห็นในฝันเปี๊ยบ”
“คุณทัตเคยบอกว่ามันเป็นฝันที่น่ากลัวนี่ครับ” ทรงเดชพูดขึ้น “ถ้าอย่างนั้น คุณทัตก็น่าจะกลัวคุณสเตฟานสิ”
“นั่นสิครับ ผมก็เคยคิดว่าถ้าผมได้เจอคนที่เหมือนในฝัน ผมคงจะต้องตกใจกลัว แล้วอยากอยู่ห่างๆ แต่พอผมได้เจอเข้าจริงๆ ทำไมผมถึงรู้สึกแบบนี้ได้ก็ไม่รู้” พูดแล้วภูริทัตก็ถอนหายใจ
“ยังไง อธิบายมาให้เข้าใจดิ๊” ปรีชาเร่ง
“ข้าว่าคนนี้แหละ” ภูริทัตพูดพลางจ้องหน้าเพื่อนทั้งสองสลับกันไปมา “คนนี้แหละคนที่ข้ารอมาตลอด” แล้วภูริทัตก็หันหน้ามาทางทรงเดช “จริงๆนะ ความรู้สึกของผมมันบอกอย่างนั้นจริงๆ”
“ผมเชื่อครับ แค่ผมเห็นท่าทางที่คุณมองคุณสเตฟาน ผมก็เชื่อสนิทใจ” ทรงเดชพูดพร้อมกับยิ้มกริ่ม ทำให้รังสรรค์และปรีชาพากันมองหน้ากันด้วยความสงสัย เมื่อเห็นสีหน้าและรอยยิ้มนั้น
.......................................................................................
......................................
“เค้าจำคุณได้” ทรงเดชพูดยิ้มๆ “ถึงสมองของเค้าจะจำคุณไม่ได้ แต่เค้าจำคุณได้จากความรู้สึก จากส่วนลึกของจิตใจ” ทรงเดชพูดพลางจ้องมองสเตฟานซึ่งยืนหันหลังให้ ตรงริมหน้าต่าง
“ทำไมไม่เริ่มต้นใหม่ล่ะครับ” ทรงเดชพูดอีก “บางทีอะไรมันอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่คิดก็ได้ ผมว่าเค้ารับตัวตนที่แท้จริงของคุณได้แน่ๆ”
“คุณพูดราวกับมันเป็นเรื่องง่ายๆ” สเตฟานหันกลับมา “ถามจริงๆ ทั้งๆที่คุณก็รู้ว่าผมเป็น ‘อะไร’ คุณเคยมีความรู้สึกกลัวผมบ้างไหม”
“ตลกน่ะครับ คุณมีตรงไหนน่ากลัว”พูดแล้วทรงเดชก็ถอยหลังไปสองก้าว แล้วใช้สายตามองดูสเตฟานไปจนทั่วตัว “แค่แก่ช้ากว่าผมหลายๆปีเท่านั้นเอง” พูดแล้วทรงเดชก็อดหัวเราะไม่ได้
สเตฟานอมยิ้ม ส่ายหน้าเบาๆ แล้วก็ถอนหายใจ
“พูดจริงๆนะ ถ้าผมไม่รู้มาก่อนว่าคุณเป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่ของผม ... ผมอาจจะหลงรักคุณก็ได้”ทรงเดชพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“ขอบใจนะ ขอบใจมากสำหรับคำปลอบใจของคุณ”
สเตฟานเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ของชุดโซฟา ทรงเดชก็ก้าวตามไปนั่งลงบนเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง
“คุณทำให้ผมนึกถึงเด็กชายตัวน้อยคนหนึ่ง ที่ไม่กลัวผมเลย ถึงแม้จะเห็นรูปร่างที่น่ากลัวของผม ในยามที่ผมกลายเป็นแวมไพร์โดยสมบูรณ์”
“แวมไพร์โดยสมบูรณ์ ... หมายถึงมีปีกมีเขา มีเขี้ยวงอกออกมาเหมือนที่ในหนังสือนิยายเขียนไว้น่ะเหรอครับ” ทรงเดชขมวดคิ้ว “ผมนึกภาพไม่ออกเลยว่าคุณจะเป็นแบบนั้นได้ยังไง ว่าแต่ใครเหรอครับ เด็กชายตัวน้อยที่คุณพูดถึงน่ะ”
“มันเป็นเรื่องนานมากแล้ว ด็กชายตัวน้อยที่ผมได้พบเมื่อตอนที่ผมมายังประเทศนี้ครั้งแรก เด็กชายตัวน้อย เด็กสาวที่น่ารัก และคู่สามีภรรยา เป็นครอบครัวที่อบอุ่นทีเดียว”
“เล่าให้ผมฟังหน่อยสิครับ ผมอยากรู้”

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
บทที่ ๔๘

“คุณพระช่วย”
พุดซ้อนอุทาน ยกมือขึ้นทาบอก ตกใจกับภาพที่เห็น พอตั้งสติได้ก็ลุกขึ้นเปิดประตู วิ่งลงบันได หวังจะวิ่งไปให้ถึงตัวบุตรชายคนเล็ก แต่ก็ต้องหยุดชะงัก เพราะเหมืนมีกำแพงกั้นไว้ ทำให้ไม่สามารถก้าวเท้าออกไป เกินแนวที่สามีของนางและพวกบ่าวไพร่ยืนอยู่ได้
“เจ้าสิน” พุดซ้อนตะโกนเสียงดังด้วยความเป็นห่วง “คุณค่ะ ช่วยเจ้าสินยังไงดี” หล่อนหันไปพูดกับสามีที่เดินมายืนอยู่ข้างๆ
“ใจเย็นก่อนเถิดแม่ ข้าว่ามันมีอะไรผิดไป” ดาวเรืองที่วิ่งตามลงมา พูดพลางเกาะแขนมารดาไว้แน่น
“นั่นสิ ข้าก็เห็นเช่นนั้น” แสนพูดแล้วก็เปลี่ยนสายตาไปมองยังบุตรชายที่ยืนนิ่งเงียบอยู่ ผิดไปจากบรรดาบ่าวไพร่ที่ต่างซุบซิบกันถึงสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า

“ทำอะไรของเจ้า” สินพูดอย่างหงุดหงิด “คิดจะหลอกให้ข้ากลัวหรือไร แกล้งข้าเช่นนี้ ข้าหากลัวไม่” พูดแล้วก็ยกมือขึ้นท้าวสะเอว
“อวดเก่งนักหรือเจ้าเด็กน้อย” เสียงดังออกมาจากร่างที่ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีทอง ประกายตาสีเขียวทอแสงวูบวาบ เรือนผมที่ลุกชี้ชันพริ้วไสวราวกับกลุ่มไฟขนาดย่อม “หากยังมิถอยกลับไป ข้าจักใช้เล็บนี้ฉีกเข้าเป็นชิ้นๆ แล้วสูบกินโลหิตเจ้าให้อิ่มหนำ”
“เช๊อะ...!!!” สินแค่นเสียง “อย่ามาหลอกข้า เจ้านะรึจะทำร้ายข้า รีบคลายมนตราของเจ้า แล้วกลับมาเป็นสานฝันรูปงามของข้าได้แล้ว”
“หึ..หึ” ร่างสีทองหัวเราะในลำคอ แล้วค่อยๆย่อตัวลงนั่งชันเข่า จ้องมองใบหน้าของสินแน่วนิ่ง “เจ้ามิกลัวข้าเลยหรือไร”
“กลัวเหรอ” สินขมวดคิ้ว “หากข้ามิรู้มาก่อนว่าเจ้าเป็นใครก็ว่าไปอย่าง แต่นี่เจ้าใช้เลห์มายาบิดเบือนรูปกายต่อหน้าข้า” พูดพลางเดินเข้าไปใกล้มากขึ้น “ข้ารึจะกลัวสานฝัน...พี่ชายอันเป็นที่รักของข้า”
ร่างสีทองค่อยๆเปลี่ยนแปลงกับเป็นชายหนุ่มอีกครั้ง ใบหน้าระบายไปด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน มือขาวผ่องยกขึ้นจับไหล่ทั้งสองของเด็กชาย แล้วลูบเบาๆ
“เจ้าสิน...น้องชายที่รักของข้า” สเตฟานพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าดีใจนักที่เจ้าพูดเช่นนี้ แต่อย่างไร ข้าก็ต้องไปแล้ว”
“ไป...ทำไมต้องไปด้วยเล่า”
“เจ้าลองคิดดู เรื่องของข้าอาจแพร่งพรายออกไป หากถึงหูผู้มีอำนาจ ครอบครัวของเจ้าอาจเป็นอันตรายได้”
“อันตรายจากสิ่งใดกัน” สินเอียงคอด้วยความสงสัย
“เอาไว้ให้พ่อแสน กับแม่พุดซ้อนของเจ้าอธิบายก็แล้วกัน”
“แล้วเมื่อไรจักกลับมาเล่า”
“ข้าไม่รู้” พูดแล้วก็หลุบสายตาลงไปที่พื้น เพราะไม่อยากให้เด็กชายเห็นแววตาของเขา
“ข้าคงคิดถึงเจ้ามาก หากไม่ได้พบเจ้าอีก” พูดแล้วสินก็โผตัวกอดคอสเตฟานไว้แน่น
ชายหนุ่มโอบกอดร่างของเด็กชายไว้อย่างอ่อนโยน จุมพิศเบาๆที่แก้มเนียน แล้วกระซิบเบาๆที่หูของเด็กชาย
“จำคำข้าไว้ น้องชายข้า แล้วเบื้องหน้า เมื่อเจ้าออกเรือน มีบุตหลานมากมาย จงบอกต่อแก่บุตรหลาน ผู้ที่เจ้ารักแลไว้ใจที่สุด”
“สิ่งใดฤา” สินถามเบาๆซบหน้าลงไปบนไหล่อันอบอุ่น
“จงจำข้าไว้ จดจำรูปลักษณ์ของข้า จดจำดวงตาของข้า หากยามที่พวกมันพบเจอข้า แลมันสามารถขานนามของข้าที่เจ้าตั้งให้ได้ ข้าจักแก้ปัญหาให้แก่มันประการหนึ่ง”
“ข้าจักจำไว้”
“ดีแล้ว” สเตฟานจุมพิศแก้มของเด็กชายอย่างอ่อนโยนอีกครั้ง ก่อนจะจับตัวเด็กชายให้ถอยห่างออกไป “ตอนนี้เจ้ากลับไปได้แล้ว ให้ข้าได้เห็นเจ้ากับครอบครัวของเจ้าโดยพร้อมหน้ากันอีกสักครั้ง”
“สานฝัน” เด็กชายเรียก แล้วโผเข้าไปกอดสเตฟานไว้อีกครั้ง ก่อนจะจุมพิศแก้มของชายหนุ่มทีละข้าง
“ไปเถิดน้องชายข้า” สเตฟานดันตัวเด็กชายออกห่าง สินขืนตัวเล็กน้อยราวกับไม่ยินยอม “อย่าได้ร้องไห้ให้ข้าเห็น”
สินหันตัวกลับ ค่อยๆเดินเข้าไปหาแสนและพุดซ้อนอย่างช้าๆ ระหว่างที่เดินก็เหลียวหน้ากลับไปมองดูสเตฟานเป็นระยะๆ
“สินเป็นอะไรรึเปล่าลูก” พุดซ้อนทรุดตัวลงนั่ง กอดเจ้าสินไว้แน่น
“แม่ ... สานฝันจะไปแล้ว” พูดแล้วก็น้ำตาคลอ หันหน้ากลับไปมองชายหนุ่ม

ภาพสุดท้ายที่เด็กชายเห็น คือรอยยิ้มอันอ่อนโยน แล้วร่างของชายหนุ่มก็ค่อยๆเลือนหายไป
..................................................................
.................................
“แล้วคุณได้เจอลูกหลานของเด็กสินมั๊ย” ทรงเดชถามอย่างสนใจ แต่สเตฟานกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้มน้อยๆ
“พบ ... ความจริงอย่าเรียกว่าพบเลย ผมเองกลับมาประเทศนี้บ่อยๆ และได้เห็นความเป็นไปของครอบครัวนั้น จากรุ่นหนึ่ง สู่อีกรุ่นหนึ่ง มันเป็นความสุข ถึงแม้จะเป็นเพียงการเฝ้ามอง มันเหมือนกับผมมองดูครอบครัวของผมเองทีเดียว แล้ววันหนึ่งผมก็ได้ทำตามคำที่ผมให้ไว้ ชายคนนั้นเองก็ไม่ค่อยเชื่อในคำสั่งเสียจากบรรพบุรุษนัก จนผมต้องแสดงหลักฐานให้ดู”
“หวังว่าคงไม่มากไปกว่าตอนที่ผมเจอคุณครั้งแรกนะครับ” พูดแล้วก็หัวเราะออกมา
“ไม่มากไปกว่านั้นหรอก” สเตฟานหัวเราะเบาๆไปด้วย “เขาเป็นคนฉลาดมากทีเดียว คำขอของเขา ทำให้ผมแทบจะต้องอยู่ในประเทศนี้เลย”
“เอ๋ ... ยังไงเหรอครับ”
“เขาให้ผมช่วยเหลือในกิจการที่กำลังประสบปัญหา และรับเป็นประธานกรรมการดูแลกิจการนั้นตลอดไป”
“เอ๊ะ!!”
“ใช่ ... ปู่ทวดของคุณนั่นแหละ บุตรหลานของสิน น้องชายอันเป็นที่รักของผม”
..................................................................
.................................
“ใจลอยเชียวนะเอ็ง คิดอะไรอยู่วะ” รังสรรค์ทักขึ้น
“นั่นดิ เอาแต่กินเหล้า ไม่พูดไม่จาเชียว” ปรีชาสนับสนุน
“เบื่อๆหว่ะ ข้ากลับก่อนดีกว่า” พูดจบ ภูริทัตก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้
“อะไรกัน เพิ่งจะสี่ทุ่ม จะรีบกลับทำไมกัน” ปรีชาบ่น
“เก็บแรงไว้เที่ยวให้เต็มที่ตอนปีใหม่ไงวะ ข้าไปหล่ะ” พูดจบ ภูริทัตก็เดินตรงไปยังประตูทางออกของผัปเล็กแห่งนั้น

ออกมาจากผัปแล้ว ภูริทัตก็เดินดูของบนแผงลอยที่ตั้งเรียงรายอยู่บนทางเดินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเกือบถึงบริเวณหน้าห้างสรรพสินค้า ที่มีเด็กชายวัยรุ่นนั่งกันอยู่หลายคน แว่บหนึ่งที่ชายหนุ่มเห็นภาพนั้นแต่ไกล ความทรงจำบางอย่างในวัยเด็กก็ผุดเข้ามาในความคิด

... อายุเท่าไหร่แล้ว ...
... สิบสามครับ ...
... โซ ยัง เธอยังเด็ก สำหรับคนไทย เธอยังเด็กเหลือเกินที่ทำแบบนี้ ..

พร้อมกับความคิดนั้น ภาพของชายหนุ่มต่างชาติรูปร่างสูงโปร่งในเสื้อโค๊ตสีเขียวเข้ม ก็ปรากฏขึ้นมาในหัวสมอง ราวกับว่าภาพนั้นเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ผิวขาวละเอียดอ่อน กับเรือนผมสีทองดูกระจ่างตา มีเพียงใบหน้าที่เหมือนมีหมอกบางๆคลุมไว้ ทำให้มองเห็นได้ไม่ชัดเจน คิดมาถึงตรงนี้ ภูริทัตก็ถอนหายใจแรง สายตาเหลือบมองไปเห็นเด็กชายคนหนึ่งที่ยืนห่างออกไปจากกลุ่ม  กำลังพูดคุยกับชายรูปร่างสูง เมื่อมองจากด้านหลังทำให้เขาขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ

เรือนผมสีทอง ในเสื้อโค๊ตสีเขียวเข้ม แผ่นหลังของชายหนุ่มชาวต่างชาติช่างดูคุ้นตาเขาเสียเหลือเกิน

การนำเสนอ หรืออาจจะเป็นการต่อรอง ดูเหมือนจะไม่เป็นผลสำเร็จ เด็กชายก้มหน้าด้วยความไม่พอใจ มือขาวละเอียดยกขี้นตบบ่าของเด็กชายเบาๆ ราวจะปลอบโยน แต่เหมือนเขาจะไม่ใส่ใจ หันหลังเดินกลับไปยังกลุ่มอย่างไม่ค่อยพอใจนัก ชายชาวต่างชาติหันมองดูเด็กชายเล็กน้อย พลางส่ายหน้าเหมือนอ่อนใจ ภูริทัตมองเพ่งดูเสี้ยวหน้าที่หันมาอย่างแปลกใจ
“สเตฟาน” ภูริทัตเรียกพึมพำของชาวต่างชาติคนนั้นเบาๆ

ความสงสัย และความต้องการบางอย่าง ทำให้ภูริทัตเดินตามสเตฟานไปช้าๆ ข้ามถนนสายใหญ่ไปสู่อีกด้านหนึ่งซึ่งเป็นสวนสาธารณะ เดินไปตามทางที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ คนที่อยู่ด้านหน้าเดินช้าๆอย่างสบายอารมณ์ ชายหนุ่มเองก็เดินตามไปด้วยฝีเท้าที่เงียบกริบ สักพัก สเตฟานก็หยุดเท้าลงที่โคนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เอื้อมมือแตะลำต้นอันแข็งแกร่งนั้นไว้ ทันใดกิ่งก้านที่สงบนิ่ง ก็สั่นไหวราวมีลมพัด เพียงแค่นั้น ภูริทัตคงไม่รู้สึกอะไร แต่ภาพที่เขามองเห็น ทำให้เขาตกตะลึง

หมอกสีขาว รวมตัวกันอยู่รอบๆลำต้นของต้นไม้ใหญ่  แล้วรวมตัวกันเป็นเส้นสาย พุ่งหายเข้าไปในร่างของสเตฟาน

ออฟไลน์ wan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5575
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +643/-10
^^
^^
สวัสดีปีใหม่ครับ ตั้ม

ไม่พบกันนานมากเลยนะครับ จาก 10 ธันวา แต่ก็ดีใจน่ะครับ

ที่กลับมาต่อ เป็นกำลังใจให้ครับ

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
ลุ้นกับคู่นี้จริงๆ ว่าจะได้ลงเอยกันหรือเปล่า  :a2:  น่าสงสารทั้งคู่เลย

สวัสดีปีใหม่ค่ะ  :mc4:

namtaan

  • บุคคลทั่วไป
สวัสดีปีใหม่ค่ะ  :L2:
ขอให้มีความสุข สุขภาพแข็งแรงนะคะ

ภูริทัตได้เห็นเอง เจอเองในตอนนี้
จะได้พิสูจน์ใจว่ายอมรับสเตฟานได้มั้ย
ได้สมหวังในช่วงชีวิตหนึ่งก็ยังดีนะ

บวก 1 แต้ม ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ jannie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 782
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0
ครอบครัวทรงเดชนี่เอง...

อยากให้ happy ending จังเลย แต่ประเด็นการลาจากก็มาชวนให้เศร้าอีก ...หรือถ้าภูริทัตรักสเตฟานจริง ก็ยอมเป็นแวมไพร์ไปด้วย แต่ไม่หม่ำเลือด ให้สเตฟานแบ่งพลังจากธรรมชาติให้ (ไม่รู้ได้รึเปล่าน้อ?)

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
บทที่ ๔๙

แสงสว่างเพียงเล็กน้อยจากไฟทาง ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ภูริทัตเห็นภาพตรงหน้าได้อย่างชัดเจน แต่คงเป็นเพราะประกายจางๆที่ออกมาจากร่างภายใต้ต้นไม้นั้นมากกว่า ที่ทำให้ภาพนั้นดูลึกลับน่าหวาดหวั่น

ไอหมอกที่ออกมาจากต้นไม้ใหญ่ รวมตัวเป็นกำแพงหมอก หมุนเป็นวงล้อมรอบร่างของเสตฟานไว้ เรือนผมสีทองลุกชี้ชัน พริ้วไสวราวกับถูกแรงลมโชยพัด แล้วหมอกนั้นก็ค่อยๆกลายเป็นเส้นสายบางละเอียด แทรกซึมเข้าสู่ร่างนั้นอย่างช้าๆ

แต่ภาพที่ภูริทัตเห็นกลับดูสวยงามในความรู้สึกของชายหนุ่ม จนเจ้าตัวเองก็แปลกใจไม่น้อย ว่าทำไมถึงไม่รู้สึกหวาดกลัวต่อภาพตรงหน้าเลย แม้แต่เสี้ยวของความรู้สึก สเตฟานเบือนหน้ามาทางเขาอย่างช้าๆ วูบหนึ่งภูริทัตเหมือนจะมองเห็นรอยยิ้มเศร้าปรากฏขึ้น ก่อนที่ร่างของสเตฟานจะค่อยๆเลือนหายไป ทิ้งไว้แต่เงาของต้นไม้ใหญ่ที่สงบนิ่งเหมือนที่ตรงนั้นไม่เคยมีใคร หรือสิ่งใดอยู่มาก่อนเลย

“คุณตั้งใจใช่มั๊ย” ภูริทัตพึมพำ “คุณตั้งใจให้ผมเห็น ... ทำไมกัน ...ทำไม ... สเตฟาน” หัวคิ้วของภูริทัตขมวดเข้าหากัน แล้วชื่อหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในความคิด และเขาก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยชื่อนั้นออกมาเบาๆ
“... สานฝัน ...”
.........................................................................................
.......................................
“คุณตั้งใจใช่มั๊ย ... ทำไมกันครับ” ทรงเดชถามพร้อมกับส่งสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความสงสัย มองดูคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้นวม ซึ่งถูกนำมาตั้งไว้ข้างหน้าต่างบานใหญ่
ไม่มีคำตอบจากสเตฟาน สายตาของเขาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ราวกับว่ากำลังมองดูแสงไฟภายนอก ซึ่งบางดวงกระพริบวิบวับราวกับประกายของดวงดาราบนฟากฟ้า
.........................................................................................
.......................................
“ว่าไงครับคุณทัต เอาแต่เหม่ออยู่ ฟังที่ผมเสนอบ้างรึเปล่าครับ” ทรงเดชเอ่ยถามชายหนุ่ม ที่ราวกับกำลังเหม่อลอยอยู่ในวงสนทนา
“มันเป็นแบบนี้มาหลายวันแล้ว ถามอะไรก็ไม่ยอมบอกว่าคิดอะไรอยู่” รังสรรค์บอกยิ้มๆ “เอาเป็นว่าผมกับเจ้าชาไปแน่ ส่วนไอ้ทัต ปล่อยให้มันอยู่กับโลกในฝันของมันต่อไปก็แล้วกัน”
“เอ้อ ... โทษที” ภูริทัตถอนหายใจเบาๆ “พอดีมีเรื่องให้คิดน่ะ แล้วนี่คุยเรื่องอะไร จะไปไหนกัน”
“คุยกันเรื่องปีใหม่ไงครับ ก็พวกคุณบอกว่า อยากหาที่พักผ่อนสงบๆ สบายๆ ซักที่ แต่ไม่อยากไปไกล ผมก็เลยชวนพวกคุณไปพักกันที่บ้านเจ้านายผม” ทรงเดชพูดยิ้มๆ
“ที่ไหนเหรอ” ภูริทัตทำท่าสนใจ
“ในกรุงเทพฯนี่แหละครับ ไม่ต้องห่วงเรื่องความสงบ เรื่องความสบายยิ่งไม่ต้องพูดถึง บ้านเจ้านายผมกว้างขวาง เงียบสงบ รับรองเลยว่าพวกคุณอาจจะติดใจจนไม่อยากกลับเลย”
“แล้วจะไปกันเมื่อไหร่ล่ะ”
“ก็วันที่ ๑ ไงวะ” ปรีชาบอก “เคาท์ดาวน์กันเสร็จ บ่ายๆค่อยมาเจอกันที่นี่ ไปค้างกันซักคืนหรือสองคืน”
“หรือไม่ก็ ๓ คืนซะเลย เพราะหยุดกันยาวตั้ง ๕ วันนี่หว่า” รังสรรค์พูดเสริม
“เออ ... ว่าไงก็ว่าตามกัน ว่าแต่ต้องเอาอะไรไปกันบ้าง” ภูริทัตถามอย่างกระตือรือร้น
๔ หนุ่มจับกลุ่มสนทนากันอย่างสนุกสนาน โดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งจ้องมองอยู่
“แล้วคุณล่ะทรงเดช ... คุณทำแบบนี้ไปทำไมกัน”
พูดแล้วสเตฟานก็ถอนหายใจยาว ก่อนจะถอนสายตาออกจากคนกลุ่มนั้น แล้วเดินจากไป
.........................................................................................
.......................................
“ชนแก้วเว๊ย” ปรีชาพูดชวนเพื่อนทั้งสองเสียงดัง เพราะรอบข้างเต็มไปด้วยผู้คน และเสียงของวงดนตรีที่กำลังสร้างบรรยากาศส่งท้ายปีเก่าอยู่บนเวที
“เป็นอะไรไปอีกวะเอ็ง ทำหน้าไม่สบายอีกแล้ว” รังสรรค์ถามภูริทัต หลังจากดื่มเบียร์เข้าไปอึกใหญ่
“รู้สึกขาดๆหว่ะ” ภูริทัตตอบ “ข้ารู้สึกเหมือนกับว่า พวกเราน่าจะมีใครอีกคนอยู่ในกลุ่ม”
“หมายถึงเจ้าปูน่ะเหรอ” ปรีชาแสดงความเห็น “รายนั้นปล่อยมันไปเหอะ ได้ผัวฝรั่งไปอยู่เมืองนอก ป่านนี้สบายไปแล้ว”
“ไม่ใช่หวะ ข้าไม่ได้หมายถึงไอ้ปู” ภูริทัตตอบแล้วก็คิดไปถึงเพื่อนรุ่นน้อง ที่ลาออกไปอย่างกระทันหันเมื่อต้นปี
“แล้วจะเป็นใครอีกล่ะวะ พวกเราก็มีกันอยู่สามคนมาตั้งแต่เรียนด้วยกัน พอมาทำงานก็มีเจ้าปูเข้ากลุ่มมาอีกคน แล้วก็ ...” รังสรรค์พูดแล้วก็เงียบไปสักพัก “เออ .. จริงด้วยหว่ะ ทำไมข้าก็รู้สึกวะ”
“รู้สึกอะไร”  ปรีชาด้วยสายตากรุ้มกริ่ม “รู้สึกว่าเราน่าจะเป็นมากกว่าเพื่อนกันได้แล้วใช่มะ”
“รอชาติหน้าเหอะ” รังสรรค์หัวเราะแล้วก็พูดคุยหยอกล้อกับเพื่อนต่อ แต่ใจกลับมีเงาของใครบางคนผุดขึ้นมา

นักเปียโนหนุ่มชาวต่างชาติคนที่เขาได้พบเมื่อช่วงคริสต์มาส รังสรรค์รู้สึกเหมือนได้พบคนที่ใกล้ชิด จนอยากเข้าไปสนิทสนมด้วย แต่ความรู้สึกอีกอย่างก็ค้านออกมา มีบางอย่างบอกเขาว่า คนคนนี้มีเจ้าของแล้ว และไม่มีทางสนใจเขา

“นี่ถ้าทรงเดชกับสเตฟานมาด้วยก็ดีนะ” สุดท้าย รังสรรค์ก็หลุดปากออกมาจนได้
“นั่นดิ ว่าแต่ว่านายคิดถึงทรงเดชน่ะ พอเข้าใจนะ” ปรีชาขมวดคิ้ว “แต่สเตฟานนี่ นายคิดถึงเค้าด้วยเหรอวะ”
“บอกไม่ถูกหว่ะ เอาเป็นถูกชะตาแล้วกัน” รังสรรค์ยิ้มน้อยๆ
“อืม ... นั่นสิ” รังสรรค์พยักหน้าเห็นด้วย “เราเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกันหว่ะ ว่าทำไมรู้สึกเหมือนกับว่าพวกเรารู้จักเค้ามานาน หรือนายว่าไงวะ ไอ้ทัต”
“อื้อ ... ข้าก็รู้สึกเหมือนกัน”
ภูริทัตตอบสั้นๆ พลางคิดไปถึงใบหน้าขาวอมชมพู และดวงตาสีเขียวมรกตคู่นั้นที่สะกดให้เขาแทบจะหยุดหายใจ
.........................................................................................
.......................................
รั้วบ้านที่ค่อนข้างเก่า แต่ดูร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย หลังคาบ้านโผล่พ้นยอดไม้ขึ้นมาเพียงเล็กน้อย ทำให้พอจะเดาออกว่า ภายในจะมีต้นไม้แน่นขนัดขนาดไหน แล้วก็เป็นดังคิด เมื่อรถแล่นเข้าไปในประตูบ้านที่เปิดกว้าง ราวกับเตรียมการต้อนรับไว้แล้ว ตัวบ้านไม้ขนาดใหญ่ ดูร่มเย็นภายใต้เงาไม้ใหญ่ที่เรียงรายกันอยู่สองฟากข้าง ท้องฟ้าที่มีเมฆมาก จนเหลือเพียงแสงแดดอ่อนๆ ทำให้บริเวณภายในรั้วบ้านแห่งนี้ ดูร่มรื่นยิ่งนัก แล้วรถสปอร์ตคันงามก็ค่อยๆจอดลงหน้าบ้านไม้ทรงยุโรปสองชั้นขนาดย่อม ยกพื้นเล็กน้อยเหมือนบ้านสมัยเก่า

“โอ้โห เนี่ยเหรอบ้านเจ้านายคุณ” ปรีชาอุทาน เมื่อลงจากรถตู้มายืนอยู่หน้าบ้านหลังใหญ่ มองดูมุขหน้าของบ้านโค้งเป็นครึ่งวงกลม แล้วแยกออกเป็นปีกซ้ายขวาอย่างลงตัว
“เป็นไงครับ พอจะอยู่กันได้มั๊ย” ทรงเดชหัวเราะ ขณะที่ช่วยกันนำกระเป๋า และกล่องน้อยใหญ่ลงจากรถ
“ยิ่งกว่าได้ซะอีก นี่ใหญ่กว่าที่ผมคิดอีกนะ แล้วยังเงียบสงบยังกับบ้านตากอากาศต่างจังหวัดอย่างงั้นแหละ หรือเอ็งว่าไงวะ เจ้าทัต” รังสรรค์หันไปถามเพื่อน ที่กำลังมองไปรอบๆบริเวณบ้านด้วยอาการแปลกๆ
“สวยมากใช่มั๊ยครับคุณทัต บ้านหลังนี้น่ะเดิมเป็นบ้านของคนในตระกูลใหญ่ แต่เจ้านายผมมาซื้อไว้ คิดว่าจะใช้เป็นที่อยู่ถาวร” ทรงเดชเดินมายืนข้างๆภูริทัต หลังจากนำของลงจากรถเสร็จแล้ว ตอนนี้คนงานในบ้าน ๔ คนกำลังนำข้าวของต่างๆไปเก็นในที่เหมาะสม
“ครับสวยมาก”
ภูริทัตพูดพลางค่อยๆเดินไปทางด้านข้างของตัวบ้าน จนถึงบริเวณซุ้มทางเดิน เป็นทางปูด้วยอิฐสารพัดสี ดูลานตา ด้านบนเป็นโครงไม้สานกันคล้ายตาข่าย ให้เถาวัลย์เกาะเกี่ยวจนเป็นเหมือนหลังคาของทางเดิน ชายหนุ่มค่อยๆเดินไปตามทางเดินนั้นอย่างช้าๆ
“ไปไหนวะ” รังสรรค์ที่เดินตามมา ถามขึ้นอย่างแปลกใจ
“สวนหลังบ้านไง” ภูริทัตหันมาตอบ
“สวนเหรอ” ปรีชาที่เดินตามมาทวนคำ “นายรู้ได้ยังไงว่าทางเดินนี้มันไปสวนหลังบ้านน่ะ”

ภูริทัตยืนนิ่งสีหน้าสับสน นั่นสิ ... เขารู้ได้อย่างไร ชายหนุ่มถามตัวเอง แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด