สานฝันนิรันดร : ขอบคุณทุกคน
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

๑.   สนใจสั่งจอง
5 (55.6%)
๒.   ขอคิดดูก่อน
4 (44.4%)
๓.   ไม่สนใจ
0 (0%)

จำนวนผู้โหวตทั้งหมด: 5

ปิดการโหวต: 31-05-2012 00:47:21

ผู้เขียน หัวข้อ: สานฝันนิรันดร : ขอบคุณทุกคน  (อ่าน 212391 ครั้ง)

namtaan

  • บุคคลทั่วไป
ตื่นเต้นได้ตลอดเลย
ยิ่งใกล้ปลายทาง(มั้ง) ยิ่งลุ้น
บวก 1 แต้มนะคะ ขอบคุณมากค่ะ

salapaw

  • บุคคลทั่วไป
สเตฟาน ไม่น่ารักแล้วอ่ะ

ฟังดูทั้งเศร้าและดูน่ากลัวในเวลเดียวกันเลย


ปล. ผู้แต่ง ทักบ้างนะคะ ไม่สบายหรือเปนไรหรือเปล่า

ออฟไลน์ กิมตี๋หัดขับ

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-3
หึหึหึ  แล้วสะเตฟานม่ายเอา  พระเอกไปทำเวมไพร์ด้วยเหรอครับ จะได้ไม่ต้องกังวลว่าจาพบกานเวลาไหนนนน

 :oo1:

ออฟไลน์ jannie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 782
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0
พลังการฆ่าการเป็นแวมไพร์นี่เอง...เลยทำให้สเตฟานไม่ค่อยกังวล...อืมๆ

เหมือนไคลแมกซ์จะเข้ามาใกล้ทุกทีๆ

ออฟไลน์ thaitanoi

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1451
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
มาติดตามและให้กำลังใจครับ

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
บทที่ ๔๑

แสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว ความมืดเริ่มเข้ามาปกคลุมแทนที่ แต่ถนนสายนี้กลับยังสว่างไสวไปด้วยแสงไฟ จากหลอดไฟที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น ในขณะที่ผู้คนมากมายต่างพากันกลับเข้าสู่ที่พัก เพื่อพักผ่อนหลังการทำงานมาทั้งวัน ถนนสายนี้กลับเริ่มมีผู้คนทยอยเดินทางเข้ามา เพื่อจะเริ่ม ‘งาน’ ของพวกเขา และผู้คนที่มายังถนนสายนี้ด้วยจุดประสงค์ต่างๆกัน ถนนสายนี้จึงเริ่มคึกคักขึ้นด้วยผู้คนในยามค่ำคืน

ไป่เทียนเดินผิวปาก ดวงตาก็สอดส่ายหาเป้าหมายที่เขาต้องการ ความจริงเขาชอบที่จะออกมาในยามวิกาลมากกว่านี้ แต่วันนี้เขาจำเป็นต้องนำ ‘อาหาร’ ไปให้กับสมาชิกใหม่ แล้วต้องกลับออกมาหา ‘อาหาร’ ให้กับตัวเองอีกครั้ง จึงจำเป็นต้องออกมาตั้งแต่หัวค่ำ ไป่เทียนเดินอยู่สักครู่ก็ตัดสินใจเดินตรงไปยังบาร์แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ชายที่นิยมชมชอบในความเป็นชายด้วยกัน ผู้คนในบาร์ยังน้อยอยู่ มีคนนั่งดื่มอยู่เพียงไม่กี่คน และในหมู่คนเหล่านั้น ก็ยังไม่น่าดึงดูดใจเท่าที่ควร เขาคิดว่าทอดเวลาไปอีกสักหน่อย เผื่อว่าจะมีคนที่ถูกใจเขามากกว่านี้ ไป่เทียนคอยเหลือบมองดูบานประตูเป็นพักๆ หวังไว้ในใจว่า คนที่จะเปิดประตูเข้ามาเป็นคนต่อไป น่าจะทำให้เขาตัดสินใจได้เสียที แล้วเขาก็ถึงกับใจเต้นระทึกเมื่อบานประตูถูกเปิดออก พร้อมกับการก้าวเข้ามาของชายหนุ่ม

เสื้อเชิตสีเขียวเข้ม เนื้อผ้าทอประกายราวกับปีกแมลงทับ กับกางเกงสีน้ำตาลเข้ม ทำให้ไป่เทียนสะดุดตาตั้งแต่ร่างนั้นก้าวเข้ามาในบาร์ แต่นั่นยังไม่ทำให้เขาตื่นเต้นเท่ากับผิวขาวอมชมพูที่เนียนละเอียด เรือนผมสีทองส่องประกาย และใบหน้าที่ระบายยิ้มน้อยๆอย่างอ่อนโยน ผิดกับสีหน้าดุดัน แข็งกร้าวที่เขาเห็นอยู่เป็นนิจ โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น เหมือนมีอำนาจบางอย่าสะกดให้เขาจ้องมอง จนไม่คิดที่จะส่งสัญญาณบอกแก่ผู้เป็น ‘นาย’ ว่าเขาพบกับใคร จนกระทั่งชายหนุ่มผู้นั้นเดินเข้ามานั่งอยู่ข้างเขานั่นแหละ ไป่เทียนจึงได้สติขึ้นบ้าง

“เราพบกันอีกแล้วนะ” สเตฟานทักทายเบาๆ

เสียงนุ่มๆ กับรอยยิ้มที่อ่อนโยน ทำให้ไป่เทียนอดจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีเขียวมรกตไม่ได้ แต่เมื่อดวงตาของเขาสบเข้ากับดวงตาคู่นั้น ราวกับดวงตาสีเขียวมรกตของฝ่ายตรงข้ามดึงดูดเขาให้ตกอยู่ในภวังค์ ไม่อาจรับรู้และไม่อาจบังคับตนให้ตอบคำถาม ที่สเตฟานถามออกมาทีละคำถาม และเมื่อสติกลับมาอีกครั้ง ก็ไม่พบกับร่างของสเตฟานเสียแล้ว
.................................................................
.............................
“คุณทัตไม่ได้แวะมาที่นี่ครับ” ทรงเดชรีบบอกทันทีที่สเตฟานก้าวเข้ามาในห้องทำงานของเขา
“ผมรู้แล้ว” สเตฟานตอบพลางนั่งลงไปบนเก้าอี้โซฟา “แล้วผมยังรู้อีกว่า สองคนนั้นอยู่ที่ไหน”
“เหรอครับ” ทรงเดชทำตาโต ลุกจากโต๊ะทำงานมานั่งข้างๆสเตฟานที่โซฟา
“ทั้งสองคนอยู่กับโจชัวร์อย่างที่ผมคิด” พูดจบก็ต้องอมยิ้ม เมื่อมองเห็นหัวคิ้วที่ขมวดมุ่นของทรงเดช “แล้วตอนนี้ก็กลายเป็นแวมไพร์ไปแล้ว เพราะโจชัวร์เข้าใจผิดว่า รังสรรค์เป็นคนรักของผม เค้าคิดจะใช้รังสรรค์มาบีบบังคับผม”
“แล้วนี่เราจะทำยังไงกันดีล่ะครับ” ทรงเดชถามด้วยความกังวล
“ผมบอกแล้วไง ว่าผมช่วยพวกเค้าได้ แต่ตอนนี้ผมต้องการของอย่างหนึ่ง” คราวนี้สีหน้าของสเตฟานบ่งบอกถึงความกังวล
“ของอะไรครับ สงสัยมันคงหายากน่าดู คุณถึงดูกังวลใจแบบนี้”
“หาไม่ยากหรอก เพียงแต่ว่าผมให้ภูริทัตไปแล้ว ผมไม่รู้ว่าจะบอกเขายังไงดี ถึงความจำเป็นที่ต้องใช้ของสิ่งนั้น”
“อะไรเหรอครับ”
“กรีนอายส์” สเตฟานพูดพลางดึงสร้อยคอออกมาให้พ้นจากคอเสื้อ ทรงเดชมองตามก็เห็นว่ามีอัญมณีสีเขียวร้อยอยู่กับสายสร้อย
“อ้าว ... คุณก็มีนี่ครับ แล้วทำไมต้องไปเอามาจากคุณทัตอีกล่ะครับ”
“กรีนอายส์มีอยู่สอง หนี่งชิ้นต่อหนึ่งชีวิต” สเตฟานพูดช้าๆ พลางชูอัญมณีนั้นขึ้นมาจ้องมองแน่วนิ่ง “คนที่ผมต้องช่วยมีอยู่สองคน”
“คุณก็เลยต้องใช้กรีนอายส์อีกชิ้นหนึ่ง ที่อยู่กับคุณทัต” ทรงเดชพูดแทรกขึ้นมา “แต่คุณเคยบอกว่า คุณสามารถทำให้แวมไพร์กลายเป็นมนุษย์ได้ แล้วทำไมคุณต้องใช้กรีนอายส์อีกล่ะ”
สเตฟานละสายตาจากอัญมณีในมือ ยิ้มน้อยๆให้กับทรงเดช
“สำหรับคนที่เป็นแวมไพร์มาเป็นเวลานาน ผมก็คงใช้วิธีเดิม แต่รังสรรค์และปรีชา เพิ่งจะเริ่มเปลี่ยนเป็นแวมไพร์ ถ้าผมใช้วิธีนั้นทั้งสองคนอาจจะกลายเป็นเหมือนผม”
“ยังไงครับ” ทรงเดชถามพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผมฟังแล้วก็ งง งง”
“เอาเป็นว่ามีความจำเป็นต้องใช้กรีนอายส์ทั้งสองชิ้นก็แล้วกัน อีกอย่าง” สเตฟานหยุดพูด จ้องมองทรงเดชด้วยสีหน้าจริงจัง “ผมคงต้องขอแรงคุณด้วย คุณกลัวที่จะไปเสี่ยงอันตรายกับผมไหม”
“ถามอะไรอย่างนั้นครับ” ทรงเดชหัวเราะเบาๆ “สองคนนั้นก็เป็นเพื่อนผมเหมือนกันนะครับ แล้วอีกอย่าง ผมเชื่อว่าคุณต้องปกป้องผมเต็มที่แน่ๆ”
.................................................................
.............................
“แล้วเจ้าบอกอะไรสเตฟานไปบ้าง” โจชัวร์ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ถามด้วยเสียงราบเรียบ
“ข้า ... ข้า” ไป่เทียนตะกุกตะกัก “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนั้นบอกอะไรออกไปบ้าง อย่างที่บอกว่าพอข้าเห็นสเตฟาน ก็เหมือนจะไม่รู้เรื่องอะไรอีกเลย พอรู้สึกตัวอีกครั้งหนึ่ง สเตฟานก็จากไปแล้ว” พูดจบไป่เทียนก็ต้องก้มหน้าลง เพราะประกายตาของโจชัวร์เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธ
“มันจะเป็นไปได้ยังไง” ไลล่าย่นจมูก “อย่างสเตฟานน่ะเหรอ จะมีพลังขนาดที่สะกดแวมไพร์ด้วยกันได้”
“นั่นสิ มันคงต้องมีอะไรมากกว่านั้น” โจชัวร์พูดพลางครุ่นคิด ประกายตาสีแดงเริ่มอ่อนจางลง จนเปลี่ยนกลับคืนเป็นสีฟ้าเช่นเดิม
“ไม่น่าเป็นไปได้” ไลล่าซึ่งยืนอยู่ด้านข้างของเก้าอี้ที่โจชัวร์นั่งอยู่พูดพลางขมวดคิ้ว “สเตฟานไม่น่ามีพลังมากพอที่จะสะกดพวกเราได้ ถ้าเป็นคุณก็ว่าไปอย่าง เพราะคุณเป็น ‘ผู้สร้าง’ พวกเราขึ้นมา คุณย่อมมีพลังที่จะสะกดพวกเราได้” พูดแล้วก็หันไปมองหน้าของโจชัวร์
“นั่นสิ” โจชัวร์พยักหน้าเบาๆแสดงความเห็นด้วย “มันมีอะไรประหลาดหลายอย่างเกี่ยวกับสเตฟาน” ประกายตาของโจชัวร์เริ่มอ่อนลง และเปลี่ยนจากสีแดงเจิดจ้าเป็นสีฟ้าเช่นปรกติ “เริ่มจากที่ข้าไม่สามารถตามจิดของสเตฟานได้ หรือการหายตัวไปต่อหน้าต่อตาพวกเราเมื่อวันก่อน”

โจชัวร์เลื่อนสายตามองไปยังร่างทั้งสอง ที่ยืนสงบนิ่งอยู่อีกข้างหนึ่งของเก้าอี้ คนหนึ่งเป็นชายหนุ่มผิวค่อนข้างขาว อีกคนเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ผิวสองสี ชายหนุ่มทั้งสองมีสีหน้าเรียบเฉย ดวงตาค้างนิ่งกระทั่งเปลือกตายังไม่กระพริบ
“สเตฟานเป็นอะไรกันแน่ จงตอบมา ทาสของข้า” โจชัวร์ถามชายหนุ่มทั้งสอง
“สเตฟาน” ชายหนุ่มที่ตัวเล็กกว่าทวนชื่อนั้นออกมา พร้อมกับสีหน้าที่เริ่มมีรอยยิ้ม “งดงาม น่าหลงใหล” ชายหนุ่มพูดต่อ
“แต่น่าเสียดาย” ชายหนุ่มอีกคนพูดแทรก สีหน้าเหมือนจะมีแววหม่นหมองลงเล็กน้อย
“เสียดายอะไร” โจชัวร์ถาม
“เสียดายที่กลายเป็นคนรักของเจ้าทัต ไม่อย่างนั้น ...” ชายหนุ่มผิวคล้ำตอบ
“เจ้าทัต” โจชัวร์พูดขัดขึ้น ในขณะที่ไป่เทียนและไลล่าต่างหันมองหน้ากันด้วยความสงสัย “ใครคือเจ้าทัต” โจชัวร์ถามเสียงเข้ม
“ภูริทัต เพื่อนของพวกเรา และเป็นคนรักของสเตฟาน” เสียงตอบจากชายหนุ่มผิวขาว
“อะไรนะ” โจชัวร์เค้นเสียง “หมายความว่าเจ้าไม่ใช่คนรักของสเตฟานหรอกรึ”
“ไม่ใช่ สำหรับสเตฟานพวกเราเป็นเพียงเพื่อน คนรักของสเตฟานคือภูริทัต” คนร่างสูงเป็นคนตอบ
ดวงตาของโจชัวร์เริ่มส่องประกายแวววาว และเปลี่ยนเป็นสีแดงอีกครั้งหนึ่ง ค่อยๆยันตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้
“ภูริทัต” โจชัวร์เรียกชื่อนั้นด้วยเสียงที่เค้นออกมา ผ่านไรฟันที่ถูกขบจนกรามนูนเป็นสัน
...................................................................
...............................
กิ๊งก่อง~~~~
เสียงกริ่งดังขึ้น แล้วก็ดังขึ้นอีกเป็นระยะๆ ทำให้ภูริทัตต้องลุกขึ้นจากที่นอนด้วยความหงุดหงิด
“ใครวะ มาดึกๆดื่นๆ กำลังจะหลับเชียว”
ถึงจะบ่นอย่างอารมณ์เสียแต่ก็ยังเดินไปเปิดไฟ และเปิดประตูออกไปจากห้องนอน เพื่อไปดูว่าใครกันที่มากดกริ่งอยู่หน้าบ้าน ระหว่างนั้นเสียงกริ่งก็ยังคงดังอยู่เป็นระยะๆ
“มาแล้วครับ” ภูริทัตพูดไม่ดังนัก เมื่อเปิดประตูบ้านออกเดินตรงไปยังประตูรั้ว แล้วเมื่อชายหนุ่มมองเห็นคนที่ยืนอยู่หน้าบ้าน ก็ต้องส่งเสียงด้วยความดีใจ
“ไอ้สรรค์ ไอ้ชา พวกเอ็งหายไปไหนมาวะ” พูดพลางเปิดประตูรั้วออก แล้วมองดูเพื่อนรักทั้งสองคนอีกครั้ง ชายหนุ่มก็เริ่มเห็นสิ่งผิดปรกติ
“เฮ้ย ... เป็นอะไรไปวะ” ภูริทัตถาม แต่ไม่มีคำตอบนอกจากอาการนิ่งเงียบ แล้วเมื่อชายหนุ่มเพ่งมองดูเพื่อนทั้งสอง ก็เริ่มรู้สึกถึงความผิดปรกติ “เป็นอะไรไปวะ หรือว่าไปโดนอะไรมา”
พูดพลางเอื้อมมือไปจับไหล่รังสรรค์ แต่ก็ยังไม่มีกิริยาโต้ตอบใดๆกลับมา
“เพื่อนของคุณไม่เป็นอะไรหรอกครับ” เสียงหนึ่งดังขึ้น
เมื่อภูริทัตหันไปตามเสียง ก็เห็นว่าไม่ห่างนักมีรถคันหนึงจอดอยู่ ข้างรถยืนไว้ด้วยคนสามคน ชายหนุ่มผิวขาวใบหน้าออกไปทางชาวเอเชีย กับหญิงสาวผิวคล้ำรูปร่างอวบอัด ยืนขนาบชายหนุ่มคนหนึ่งอยู่
“สเตฟาน” ภูริทัตเรียก ก้าวเท้าออกเตรียมจะเดินเข้าไปหา แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นชัดเจนขึ้นว่า ชายหนุ่มคนนั้นไม่ใช่คนที่ตนคิด “ไม่ใช่นี่ ... ใครกันล่ะ” ชายหนุ่มพูดเบาๆกับตัวเอง ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“สวัสดีครับ คุณภูริทัต” ชายหนุ่มคนนั้นส่งเสียงทักทายพร้อมกับรอยยิ้ม “คุณภูริทัต คนรักของสเตฟาน”
“คุณเป็นใคร” ภูริทัตถามออกไป รู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นดูไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย
“ผมเป็นใครน่ะเหรอครับ” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับเริ่มสืบเท้าเดินเข้ามา พร้อมกับคนทั้งสองที่ขนาบข้างก็เริ่มสืบเท้าตาม “ผมชื่อโจชัวร์ ...โจชัวร์ ซึ่งเป็นทั้งเจ้านาย และคนรักของสเตฟาน”

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
 :z3: :z3:

ไมโจชัวร์ถึงภูริทัตก่อนสเตฟานล่ะ   o22 o22

namtaan

  • บุคคลทั่วไป
สเตฟานมัวแต่ไปทำอะไรอยู่
ทำไมไม่รีบมาปกป้องภูริทัตล่ะ
หรือว่ามีกรีนอายส์แล้วจะพอป้องกันตัวได้
บวก 1 แต้มเป็นกำลังใจให้ค่ะ
หายไปนานเลย คนแต่งสบายดีมั้ยคะ

ออฟไลน์ jannie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 782
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0
ดีใจที่กลับมาค่า... :mc4:

อ่านตอนนี้แอบสงสัยสเตฟานจะใช้ ภูริทัตเป็นนกต่อ....ไม่น่านา....

zeen11

  • บุคคลทั่วไป
กีสสสสสสสสสสสสสสส ลุ้นๆๆๆๆ ทัตจะเป็นไรไหมเนี่ย  สเตฟานทำไรอยู่ :serius2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
งานเข้าแล้ว ภูริทัต
ระดับตัวพ่อมาเองเลยที่นี่  :m29:

ออฟไลน์ zandwizz

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2245
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +148/-7
กรรม

เข้มข้น ๆ ขึ้นเรื่อย ๆ

เอิ๊กกกก

รออ่านต่อไปครับ

nartch

  • บุคคลทั่วไป
หายไปนานมาต่อแล้ว...ตื่นเต้นๆๆๆ ใกล้ถึงจุดแตกหักละสิ
มาพบตัวพระเอกแล้วนี่  :a5:

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
 :z3: งานนี้สเตฟานเหนื่อยเพิ่มละจิ

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
บทที่ ๔๒

ทรงเดชขับรถช้าๆเลียบรั้วของสวนสาธารณะใหญ่ใจกลางเมือง เวลาดึกมากแล้ว และประตูทุกบานของสวนสาธารณะ ซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่แห่งนี้ถูกปิดลง แต่เขาก็รู้ว่าบานประตูเหล่านั้น และกำแพงที่รายรอบ ไม่เป็นอุปสรรค์ต่อสเตฟานเลยแม้แต่น้อย

... คุณจะไปทำไมล่ะครับ ทำไมไม่รีบไปหาคุณทัต ... ทรงเดชถามสเตฟานก่อนที่จะขับรถออกมา
... ผมคงต้องเสริมพลังเสียก่อน เพราะผมไม่มั่นใจว่าคืนนี้พวกเราจะต้องพบกับอะไรบ้าง บางทีโจชัวร์อาจจะเคลื่อนไหวเร็วกว่าที่เราคิด ... สเตฟานตอบ ก่อนที่จะ ‘ล่วงหน้า’ มายังสวนสาธารณะแห่งนี้
... แล้วถ้าพวกนั้นถึงตัวคุณทัตก่อนพวกเล่าล่ะครับ ...
... คุณก็รู้ ผมไม่มีทางให้พวกนั้นแตะต้องภูริทัตได้เด็ดขาด ...
ตอนนั้น ถึงแม้สเตฟานจะตอบด้วยความมั่นใจ แต่วูบหนึ่งที่ทรงเดชสังเกตเห็นความหม่นหมองในดวงตาสีเขียวมรกต ทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก

เขาค่อยๆชลอรถจอดรับสเตฟานที่ยืนรออยู่ตรงบริเวณที่นัดกันไว้ แล้วออกรถด้วยความรวดเร็วไปยังจุดหมาย ตลอดทางก็เหลือบตามองดูคนที่นั่งอยู่ข้างๆเป็นระยะ ดวงตาที่ปิดสนิท ลมหายใจแผ่วเบาเหมือนคนกำลังหลับสบาย แต่ความเงียบแบบนี้ ทำให้เขากังวลใจไม่น้อย
“ไม่ต้องกังวลไปหรอก มั่นใจในตัวผมหน่อยสิ” เสียงพูดทำลายความเงียบจากสเตฟาน ถึงจะแผ่วเบา แต่ก็ดูเหมือนจะสร้างกำลังใจให้เขาไม่น้อย “ไม่เพียงแต่ภูริทัตหรอกนะ ทั้งปรีชา รังสรรค์ หรือแม้แต่คุณ ผมก็จะปกป้องไว้ให้ได้” กระแสเสียงบ่งบอกถึงความมั่นใจ ทำให้ชายหนุ่มมีกำลังใจขึ้นมาก
“แต่ผมคงต้องล่วงหน้าไปก่อน คุณขับรถตามไปก็ระมัดระวังตัวด้วย อย่ารีบเร่งมากนัก อาจเกิดอุบัติเหตุได้”
จบคำพูดนั้น ทรงเดชเหลือสายตามองดู ก็พบกับความว่างเปล่า บนเบาะอีกด้านหนึ่งปราศจากคนนั่งอยู่เสียแล้ว
......................................................................
.................................
“สเตฟาน” ภูริทัตเรียก ก้าวเท้าออกเตรียมจะเดินเข้าไปหา แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นชัดเจนขึ้นว่า ชายหนุ่มคนนั้นไม่ใช่คนที่ตนคิด “ไม่ใช่นี่ ... ใครกันล่ะ” ชายหนุ่มพูดเบาๆกับตัวเอง ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“สวัสดีครับ คุณภูริทัต” ชายหนุ่มคนนั้นส่งเสียงทักทายพร้อมกับรอยยิ้ม “คุณภูริทัต คนรักของสเตฟาน”
“คุณเป็นใคร” ภูริทัตถามออกไป รู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นดูไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย
“ผม เป็นใครน่ะเหรอครับ” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับเริ่มสืบเท้าเดินเข้ามา พร้อมกับคนทั้งสองที่ขนาบข้างก็เริ่มสืบเท้าตาม “ผมชื่อโจชัวร์ ...โจชัวร์ ซึ่งเป็นทั้งเจ้านาย และคนรักของสเตฟาน”
“คนรักของสเตฟาน” ภูริทัตทวนคำอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ขณะที่กำลังงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น คนทั้งสามก็ก้าวเท้าเข้าใกล้เขามากขึ้น แต่แล้วก็ต้องชะงักลง และมีสีหน้าเหมือนประหลาดใจ
“โจชัวร์ คุณควรหยุดอยู่แค่นั้นดีกว่า” เสียงนุ่มแต่กังวาลดังขึ้นจากทางด้านหลังของภูริทัต
“สเตฟาน คุณมาได้ยังไง” ภูริทัตอุทานเมื่อหันไปตามเสียง และพบสเตฟานยืนอยู่ด้านหลังเขา ห่างไปเพียง ๒-๓ ก้าว “แล้วคนพวกนี้เป็นใครกัน” เขาถามต่อไปอย่างรวดเร็ว
“คนพวกนี้แหละ ที่ผมเคยเล่าให้คุณฟัง คุณถอยมาทางนี้ดีกว่า พวกเขาอันตรายกว่าที่คุณคิด”
ภูริทัตรีบเดินไปยืนอยู่ด้านข้างของสเตฟาน แต่ไม่ใช่เพราะกลัวอันตรายที่จะเกิดขึ้น ประกายตาแข็งกร้าวที่จ้องมองไปยังพวกโจชัวร์ทั้งสาม แสดงออกอย่างแจ่มชัด ถึงความคิดที่จะปกป้องบุคคลอันเป็นที่รักจากคนเหล่านี้
“เจ้าสรรค์กับเจ้าชาเป็นอะไรไปก็ไม่รู้ ท่าทางไม่เหมือนคนปรกติ ไม่รู้ว่าคนพวกนี้ทำอะไรกับสองคนนั้น” ภูริทัตเอนตัวไปพูดกับสเตฟาน สายตายังคงจ้องมองดูท่าทีของพวกโจชัวร์ สลับกับมองดูเพื่อนทั้งสองไปมา
“สเตฟาน” โจชัวร์เรียกด้วยน้ำเสียงอันเต็มไปด้วยคยวามปิติ ดวงตาทั้งสองทอประกายแวววาว ทั้งสามคนเดินเข้าไปรวมกลุ่มกับปรีชาและรังสรรค์ที่ยืนนิ่งอยู่ “สเตฟาน ทาสที่หลบหนีของข้า วันนี้แหละข้าจะทำให้เจ้ากลับคืนสู่อ้อมอกของข้าเหมือนเดิม”
ภูริทัตกำลังจะโต้ตอบไปด้วยความโมโห แต่สเตฟานก็ชิงพูดขึ้นก่อน
“สองคนนั้นคงกลายเป็นทาสของคุณไปแล้วสินะ” พูดแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ มองดูทีท่าของคนทั้งสาม โจชัวร์ยิ้มกริ่ม ไปเทียนมีประกายตาแวววาว สีหน้าพึงพอใจ แต่ไลล่ากลับมีสีหน้าเหมือนไม่ค่อยพอใจนัก
“ใช่ ... ถึงข้าจะพลาดไปหน่อย แต่ตอนนี้ ข้าก็ทำให้เจ้าออกมาพบข้าจนได้ ดูสิว่า ครั้งนี้เจ้าจะหนีไปเหมือนครั้งก่อนได้อีกหรือเปล่า แต่ก็ไม่แน่ เจ้าอาจจะพาเจ้าหนุ่มคนนั้นหนีไป โดยทิ้งคนทั้งสองนี้ไว้กับข้าก็ได้ แต่ถ้าเจ้าทำแบบนั้น คงจะรู้นะว่าข้าจะทำอย่างไรกับสองคนนี้”
“พวกนายทำอะไรกับสองคนนั้นกันแน่ รีบปล่อยพวกเค้ามานะ” ภูริทัตตวาดด้วยความโมโห ปนไปด้วยความเป็นห่วงเพื่อนทั้งสอง
“เจ้าต้องการตัวเพื่อนของเจ้าคืนหรือ” โจชัวร์ยิ้มอย่างมีเลศนัย “ได้สิ ... เจ้าเข้ามารับตัวเพื่อนของเจ้าไป” พูดจบก็ก้าวเท้าออกห่างจากปรีชาและรังสรรค์ โดยมีไป่เทียนและไลล่าเดินตามไป
ภูริทัตเห็นเช่นนั้น ก็หันหน้าไปมองสเตฟานเหมือนจะขอความเห็น รอยยิ้มน้อยๆของสเตฟาน ทำให้เขาก้าวเท้าเข้าไปหาเพื่อนทั้งสองด้วยความมั่นใจ

ถึงแม้จะเป็นระยะห่างเพียงไม่กี่ก้าว แต่แต่ละย่างก้าวของภูริทัต ทำให้โจชัวร์ใจเต้นระทึกด้วยความตื่นเต้น ว่าตนกำลังจะได้ในสิ่งที่ต้องการเสียที ความรู้สึกนั้นทำให้มองข้ามบางสิ่งบางอย่างไป

.... ทำไมสเตฟานถึงยอมปล่อยให้ภูริทัตเดินเข้าสู่กับดักได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ...

ทันทีที่มือของภูริทัตจับแขนของปรีชาและรังสรรค์ พร้อมกับออกแรงดึงให้คนทั้งสองเดินตามไป โจชัวร์ก็ออกคำสั่งททันที
“จับมันไว้” โจชัวร์ส่งเสียงไม่ดังนัก ซึ่งความจริงเขาสามารถออกคคำสั่งโดยไม่ต้องออกเสียงด้วยซ้ำไป
แต่แล้วความปิติที่เกิดขึ้นก็ต้องกลายเป็นความงุนงง เมื่อปรชาและรังสรรค์ต่างก็ก้าวเท้าเดินตามภูริทัตไป แทนที่จะจับกุมภูริทัตไว้ตามที่เขาสั่ง ไม่เพียงแต่โจชัวร์เท่านั้น แม้แต่ไป่เทียนและไลล่าเอง ก็ตกตลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นกัน คนทั้งสามได้แต่มองดูกลุ่มของภูริทัตเดินไปหยุดอยู่ข้างๆสเตฟาน
“แปลกใจหรือ” เสียงของสเตฟานทำให้โจชัวร์รู้สึกตัว “ไม่สิ ผมคิดว่าคุณคงแปลกใจมาก ผมเคยบอกคุณแล้ว ว่าผมมีอำนาจเหนือคุณ ตอนนี้คนทั้งสองอยู่ในการควบคุมของผมแล้ว” สเตฟานพูดพร้อมกับเดินมาอยู่หน้ากลุ่มของภูริทัต
“เป็นไปไม่ได้” โจชัวร์พึมพำ จ้องมองดูปรีชาและรังสรรค์ เหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น สักพักก็ตวาดเสียงดังด้วยความโมโห “มันจะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อมันเป็นทาสของข้า ข้าเป็นผู้สร้างมันขึ้นมา ไม่ใช่เจ้า”
“ลืมไปแล้วหรือเปล่า ว่าหลายครั้งผมควบคุมได้ แม้แต่ทาสเก่าของคุณทั้งสอง”
โจชัวร์ได้ฟังก็หันไปมองดูไป่เทียนและไลล่า ซึ่งทีทีท่ากระอักกระอ่วน แล้วหันกลับมาที่สเตฟาน แล้วโดยที่ไม่มีใครคาดคิด พวกโจชัวร์ทั้งสามก็พุ่งตัวเข้าหาสเตฟานด้วยความรวดเร็ว จนภูริทัตต้องอุทานด้วยความตกใจ

สเตฟานยิ้มที่มุมปากน้อยๆ การเคลื่อนไหวของโจชัวร์ อาจจะรวดเร็วมากในสายตามนุษย์ แต่สำหรับแวมไพร์แล้ว มันก็เหมือนกับการเคลื่อนไหวที่สามารถมองเห็นได้ตามปรกติ โดยเฉพาะในสายตาของสเตฟานแล้ว มันเหมือนจะเชื่องช้าจนมองเห็นได้อย่างชัดเจนเสียด้วยซ้ำ

ในสายตาของสเตฟาน โจชัวร์พุ่งตัวมาได้ครึ่งทางก็หยุดชะงักลง แล้วก้าวเท้าถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว คนที่พุ่งตัวเข้ามาแทนกลับเป็นไป่เทียนและไลล่าที่เข้าไปประชิดซ้ายขวา แล้วยื่นมือออกเพื่อจะจับตัวเขาไว้ แล้วช่วงเวลานั้นเอง โจชัวร์ก็พุ่งตัวออกไปอีกครั้ง แต่เป้าหมายของเขาคือภูริทัต

ช่วงเวลาเพียงส่วนเสี้ยวของวินาที อาจก่อให้เกิดความคิด ก่อให้เกิดการกระทำ ซึ่งอาจส่งผลให้สิ่งที่คาดคำนวณไว้นั้น เกิดการเปลี่ยนแปลงไป

ช่วงเวลาที่โจชัวร์ก้าวถอยหลัง แล้วไป่เทียนและไลล่าพุ่งตัวเข้ามานั้น สเตฟานคิดว่าโจชัวร์คงไม่มั่นใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น จึงเปลี่ยนให้ทั้งสองคนเข้ามาจัดการกับเขาแทน จึงเตรียมที่จะใช้พลังในการผลักกระแทกคนทั้งสองออกไป แต่กลับกลายเป็นว่าภูริทัตกลายเป็นเป้าหมายของโจชัวร์เสียแล้ว ดังนั้นพลังที่คิดว่าจะใช้ปกป้องตนเอง จึงต้องส่งไปยังแก้วผลึกที่ร้อยอยู่กับสายสร้อยบนลำคอของภูริทัตแทน

ร่างของโจชัวร์ที่พุ่งเข้าไปจนถึงตัวภูริทัต พร้อมกับมือที่เอื้อมไปจนเกือบถึงลำคอของชายหนุ่มอยู่ จู่ๆโจชัวร์ก็มองเห็นลำแสงเจิดจ้าสีเขียว เปล่งประกายออกมาจากบริเวณทรวงอกของภูริทัต แล้วรู้สึกเหมือนร่างของตนชนเข้ากับกำแพงที่มีแรงสะท้อนอย่างรุนแรง ทำให้กระเด็นออกไปอย่างแรง ความตกใจของโจชัวร์ไม่ต่างกับภูริทัตนัก แต่ภูริทัตยิ่งตกใจมากขึ้นเมื่อเห็นว่า ร่างของสเตฟานถูกไป่เทียนและไลล่าโอบรัดไว้

“ไม่~~~~~~~~~~~~~” ภูริทัตตะโกนเสียงดัง เมื่อมองเห็นเขี้ยวขาวแวววาวโผล่ออกมาจากริมฝีปากของคนทั้งสอง และฝังลงไปในลำคอของสเตฟาน

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-10-2009 22:20:17 โดย บุหรง »

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
แอร๊ยยยย ภูริทัต จะตกใจจนทำเสียเรื่องหรือเปล่า
แล้วก็รอตอนต่อไปอย่างใจจดจ่อ  :monkeysad:

namtaan

  • บุคคลทั่วไป
ค้างและตื่นเต้นมากๆๆๆๆๆ คาดเดาไม่ถูก
สมุนของโจชัวร์ดูดเลือดสเตฟานงั้นหรือ
แล้วจะมีผลยังไงเนี่ย
บวก 1 แต้ม ขอบคุณมากค่ะ รีบมาต่อนะคะ

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
 :serius2: ลุ้น แ้ล้วก็ค้าง คุณบุหรงรีบมาต่อไวๆ

ออฟไลน์ mist

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4505
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +263/-3
เหมือนจะจำได้ลางๆ ว่าคนที่ดูดเลือดของกรีนอายส์ จะกลายเป็นคน ใช่ป่าวหว่า

salapaw

  • บุคคลทั่วไป
ตื่นเต้นๆๆๆ

สเตฟานของข้า จะเป็นไรไหมนะ
 :กอด1: :L2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ zandwizz

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2245
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +148/-7
เหวอ เกิดไรขึ้น

รออ่านต่อไปครับ

nartch

  • บุคคลทั่วไป
เหมือนจะจำได้ลางๆ ว่าคนที่ดูดเลือดของกรีนอายส์ จะกลายเป็นคน ใช่ป่าวหว่า

เหมือนจะกลายเป็นคนแต่ป่นเป็นผงเพราะอายุมากเกิน...สรุปว่าตายไปโดยปริยาย
ภูริทัตจะตกใจไปทำไมเนี่ยยยย 5555 โจชัวส์ต่างหากต้องตกใจ  :laugh:

ออฟไลน์ กิมตี๋หัดขับ

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-3
ถูกปลดปล่อยแล้วสิ  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
เหมือนจะจำได้ลางๆ ว่าคนที่ดูดเลือดของกรีนอายส์ จะกลายเป็นคน ใช่ป่าวหว่า

เหมือนจะกลายเป็นคนแต่ป่นเป็นผงเพราะอายุมากเกิน...สรุปว่าตายไปโดยปริยาย
ภูริทัตจะตกใจไปทำไมเนี่ยยยย 5555 โจชัวส์ต่างหากต้องตกใจ  :laugh:


แย่ละสิ มีคนรู้ตอนต่อไปซะแล้วเดี๋ยวไปนึกมุขก่อนว่าจะพลิกผันยังไงดี  :laugh:

แล้วที่ภูริทัตตกใจน่ะ เพราะสเตฟานถูกงับ เอ๊ย ถูกกัดคอน่ะฮับ เพิ่งเริ่มกัด เลือดยังไม่ลงคอเลยอะ  :try2:

namtaan

  • บุคคลทั่วไป
^
^
อย่าคิดนานนะจ๊ะ  o18
ไม่ต้องพลิกก็ได้มั้ง
รอลุ้นอยู่จ้า


ออฟไลน์ jannie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 782
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0
ถ้าดูดเลือดสเตฟานแล้วสองคนนั่นตาย โจชัวส์ก็จะไม่มีลูกน้อง ไม่มีตัวช่วยอีกสิ....เหมือนจะง่ายไป (หรือไม่ง่าย)

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
บทที่ ๔๓

“โอ๊ย!!!” เด็กชายอายุราวๆ ๑๑-๑๒ ร้องเสียงดัง เพราะสะดุดเข้ากับรากไม้จนหกล้ม คบไฟที่ถือมาร่วงจากมือ กลิ้งหลุนๆออกไป เด็กชายยันตัวลุกขึ้นแต่ก็ต้องทรุดนั่งลงอีกครั้ง เพราะความเจ็บปวดที่ข้อเท้า
“ซวยจริง สงสัยขาจะแพลง”เด็กชายก้มหน้าใช้มือนวดข้อเท้าไปมา ไม่ได้สังเกตว่าแสงสว่างจากคบไฟบนพื้น เหมือนจะเลื่อนสูงขึ้น และเลื่อนเข้ามาใกล้
“เป็นกระไรฤาเจ้า”
 เสียงนุ่มๆดังขึ้น ทำให้เด็กชายสะดุ้งสุดตัว เพราะคิดว่าถูกจับได้ที่ออกมาจากบ้านในยามวิกาลเช่นนี้ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมองดูคนที่ส่งเสียง ก็ยิ่งตกใจมากขึ้น เพราะชายที่ถือคบไฟของตน มีเรือนผมและขนคิ้วเป็นสีทอง ดวงตาสีเขียวมรกตส่องประกายแวววับ จมูกโด่งเป็นสันเล็กน้อย ริมฝีปากสีชมพูอ่อน และผิวที่ขาวราวกับจะส่องประกายในความมืด
“หย่ะ...หย่ะ...อย่าจับข้าไปเลยนะ ข้าตัวเล็ก ผอมแห้งอย่างนี้ เนื้อไม่ค่อยมีหรอก” เด็กชายระล่ำระลัก พร้อมกับถดตัวถอยหลัง หวังจะหนีให้พ้นจากพวก ‘ฝรั่งตาใส’ ที่พวกผู้ใหญ่ชอบเอามาขู่ตั้งแต่เขาเป็นเด็กชอบงอแง ว่าคนพวกนี้ชอบจับเด็กไปเป็นอาหาร

แต่เหมือนชายหนุ่มจะไม่ยอมฟังสิ่งที่เด็กชายพูด เขาเดินอย่างรวดเร็วจนถึงตัวเด็กชาย แล้วย่อตัวลงนั่ง คุกเข่าลงข้างหนึ่ง มือข้างที่ว่างอยู่จับไหล่เด็กชายไว้

“ข้าเห็นเจ้าหกล้ม หรือว่าขาจะแพลง จนลุกเดินไม่ไหว” เสียงของชายหนุ่มอ่อนโยน  ปักคบไฟลงบนพื้น แล้วเอื้อมมือไปจับบริเวณข้อเท้าของเด็กชาย
“โอ๊ย” เด็กชายร้องคราง ลืมความกลัวไปชั่วครู่
“ขาแพลงจริงๆ” ชายหนุ่มหยิบคบไฟที่ปักอยู่บนพี้นขึ้นมา แล้วส่งให้เด็กชาย “ถือไว้ เดี๋ยวจะพาไปส่งที่บ้าน”
เด็กชายรับคบไฟมาถือ มองดูใบหน้าที่มีรอยยิ้มอย่างอ่อนโยน รู้สึกหายกลัวไปมาก
“พาข้าไปส่งบ้านจริงๆหรือ มิได้หลอกพาข้าไปกินหรอกนะ” เด็กชายถามเสียงแผ่วเบา
“กินหรือ” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “เหตุไรเจ้าจึงคิดว่า ข้าจะเอาตัวเจ้าไปกินเล่า”
“ก็พวกผู้ใหญ่ชอบพูดนี่นา ว่าถ้าดื้อ ถ้าซน จะเอาตัวไปให้พวกฝรั่งตาน้ำข้าวจับกิน”
“ฮ่าๆๆ” ชายหนุ่มหัวเราะอยู่ครู่หนึ่ง มองดูเด็กชายอย่างเอ็นดู “เขาหลอกเจ้าดอก พวกข้าหาได้กินเด็กไม่”
“จริงหรือ” เด็กชายยังคงสงสัย
“เจ้าดูข้าเหมือนพวกที่กินเด็ก หรือกินคนเป็นอาหารหรือ”
เด็กชายสั่นหน้า
“ไปเถอะ ข้าจะไปส่งเจ้า” พูดจบชายหนุ่มก็หันหลังให้ ทำสัญญาณให้เด็กชายขึ้นขี่หลัง
เด็กชายพยุงตัวลุกขึ้น แล้วล้มตัวลงไปบนแผ่นหลังของชายหนุ่ม ทั้งสองขยับตัวเล็กน้อย แล้วชายหนุ่มก็ลุกขึ้นเดิน โดยมีเด็กชายอยุ่บนแผ่นหลัง
“เฮ้อ...” เด็กชายถอนหายใจ
“เป็นไรฤา” ชายหนุ่มหยุดเท้า ถามเบาๆ
“อีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงต้นลำพูแล้วเชียว ข้าฟังมาจากพวกบ่าวไพร่ ว่ามีหิ่งห้อยมากมาย น่าดูนัก ไม่น่าเลย”
ชายหนุ่มหันหลัง เดินย้อนกลับไปทางเดิม
“จะไปไหนเล่า ไหนบอกว่าจะพาข้าไปส่งที่บ้านไง หรือว่าท่านหลอกข้า” เด็กชายโวยวาย
“เจ้าอยากดูหิ่งห้อยมิใช่หรือ” ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“พบหรือยัง” หญิงสาวถามชายหนุ่มที่ยืนกอดอกอยู่ตรงหัวกระไดบ้าน
“ยัง” ชายหนุ่มตอบห้วนๆ สีหน้ากังวลไม่แพ้ฝ่ายหญิง
“ท่านขอรับ” บ่าวชายวัยกลางคน วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามานั่งยองๆอยู่เบื้องหน้าชายหนุ่ม “เจอตัวแล้วขอรับ”
“เจอแล้วเหรอ แล้วอยู่ไหนล่ะ” หญิงสาวส่งเสียงด้วยความดีใจ หันหน้าส่งสายตามองหาไปทางที่บ่าวชายวิ่งมา”คุณพระคุณเจ้าช่วย” หล่อนอุทานยกมือทาบอก จนชายหนุ่มต้องมองตามสายตาของเธอไป

ชายหนุ่มผมทอง ดวงตาสีเขียวมรกต จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพู ผิวที่ขาวผ่องตัดกับเสื้อผ้าดำสนิท แสดงให้เห็นชัดเจนว่าเป็นชาวต่างชาติที่พวกเขามักเรียกว่า พวกฝรั่งตาน้ำข้าว ทำไมจึงมาปรากฏตัวในละแวกบ้านของเขาได้

ชายหนุ่มผิวขาวเดินเข้ามาจนถึงคนทั้งสอง แล้วค่อยๆทรุดตัวลงนั่ง พอเด็กชายลงจากหลังแล้ว เขาก็เอี้ยวตัวไปประคองตัวเด็กชายไว้ พลางหันหน้าไปบอกคนทั้งสอง
“ขาแพลงน่ะท่าน พอดีข้าผ่านไปพบ จึงพามาส่ง”
หญิงสาวพุ่งตัวไปหาเด็กชาย คว้าตัวได้ก็รีบพาตัวออกห่างจากชายหนุ่มชาวต่างชาติ ชายหนุ่มเข้าใจดีว่าหญิงสาวคงเป็นห่วงเด็กชาย โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่าอยู่กับเขาซึ่งเป็นชาวต่างชาติ หันไปมองดูเด็กชายที่กำลังส่งยิ้มมาให้ ก็อดยิ้มตอบไปไม่ได้
“วิกาลดึกมากแล้ว ข้ากลับหล่ะ” ชายหนุ่มพูดแล้วก็หันหลัง
“เดี๋ยวสิ” เด็กชายส่งเสียงออกมา “ไหนว่าจะเล่าเรื่องเมืองที่ท่านเคยไปมาให้ข้าฟังไง”
“พรุ่งนี้แล้วกันนะ” ชายหนุ่มหันกลับมาตอบ “พรุ่งนี้พระอาทิตย์ตกดิน ข้าจะมาได้หรือไม่” เขาถามชายหนุ่มกับหญิงสาวที่เหมือนจะเป็นเจ้าของบ้าน
ชายหนุ่มเจ้าของบ้าน หันไปมองใบหน้าที่มีแววขอร้องอยู่ในทีของเด็กชาย แล้วจึงหันไปตอบชายชาวต่างชาติ
“บ้านข้ายินดีต้อนรับท่าน ข้าชื่อแสน นี่เมียข้าพุดซ้อน”
“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ข้าจะมาเล่าเรื่องพวกนั้นให้เจ้าฟัง” ชายชาวต่างชาติพูดพลางส่งยิ้มให้เด็กชาย ทำท่าจะหันหลังเดินจากไป
“ประเดี๋ยวสิ ข้ายังไม่รู้ชื่อท่านเลย” ชายหนุ่มส่งเสียงถาม
“สเตฟาน ... เรียกข้าว่าสเตฟาน” เขาตอบก่อนที่จะเดินหายไปในความมืด
....................................................................
.....................................
“เป็นเช่นไรบ้าง เหล่านางรำของข้า” พุดซ้อนหันหน้าไปถาม เมื่อจบการร่ายรำของเหล่านางรำ
“งดงามยิ่งแล้ว” ชายหนุ่มตอบด้วยรอยยิ้ม “โดยเฉพาะบุตรีท่าน ช่างงามเด่นกว่าผู้อื่นนัก”
“อย่าให้ได้ยินเชียวหนา” เด็กชายที่นั่งอิงแอบอยู่ข้างๆชายหนุ่มยื่นหน้าออกมาพูด “เดี๋ยวนางจะอิ่มอกอิ่มใจจนนอนไม่หลับ”
“เจ้าสิน” เสียงของสาวแรกรุ่นดังขึ้นมา พร้อมกับจ้าของเสียงที่ทรุดนั่งลงข้างๆพุดซ้อน “ข้ารู้นะว่าเจ้ากำลังนินทาข้า”
“น้องกำลังชมว่าเจ้ารำได้อ่อนช้อยงดงามต่างหากเล่า ดาวเรือง” พุดซ้อนพูดพลางยกมือขึ้นลูบไหล่บุตรสาวด้วยความเอ็นดู
“นั่นสิ ... เจ้าร่ายรำได้อ่อนช้อยกว่าผู้ใด” ชายหนุ่มยิ้มให้หญิงสาว “จริงมั๊ย สิน”
ดาวเรืองยิ้มจนแก้มแทบปริ
“สานฝัน” เด็กชายส่งเสียงเรียก พลางเขย่าแขนชายหนุ่ม “วันนี้ท่านจะเล่าเรื่องใดให้ข้าฟังอีก”
“วิกาลดึกมากแล้ว เจ้ายังจะฟังนิทานอีกหรือ” แสนซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกล พูดขัดขึ้น “พ่อว่า เจ้าเข้านอนได้แล้วกระมัง นั่งฟังสานฝันมาแต่เย็นย่ำ ไว้วันหลังค่อยฟังอีก ก็ยังมิสายดอก”
เด็กชายอิดออด หันหน้าไปมองผู้เป็นมารดา พุดซ้อนแกล้งทำเป็นไม่สนใจ หันไปคุยกับดาวเรือง ท่าทางไม่ยินยอมของเด็กชาย ทำให้ชายหนุ่มอมยิ้ม
“เชื่อฟังบิดาเถอะเจ้า” พูดพลางชายหนุ่มก็ลูบหัวเด็กชายด้วยความเอ็นดู “เอาอย่างนี้ ถ้าบิดาเจาอนุญาต ข้าจะเล่านิทานกล่อมเจ้าจนหลับ ดีหรือไม่”
เด็กชายได้ฟังก็หันหน้าไปทางบิดา แสนมองดูท่าทางของชายหนุ่มชาวต่างชาติ ที่แสดงท่าทางรักใคร่เอ็นดูบุตรชายเขานัก จึงพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต เด็กชายยิ้มด้วยความดีใจ ลุกขึ้นกึ่งจูงกึ่งลากชายหนุ่มเดินลับหายไปทางห้องนอน

“ดูเจ้าสินช่างติดใจสานฝันนัก” แสนพูดพลางส่ายหน้าเบาๆ
“สานฝันเองก็เอ็นดูบุตรเราอยู่ไม่น้อย ดูราวกับพี่ชายคนโต กับน้องชายคนเล็กก็มิปาน” พุดซ้อนพูดพลางลุขึ้น จูงมือดาวเรือง พากันเดินไปนั่งข้างๆแสนผู้สามี
“ช่างน่าอิจฉาเจ้าสินนัก” ดาวเรืองพูดอย่างแง่งอน
“ดูเจ้าสิ” พุดซ้อนเอ็ด “เจ้าเป็นสาวแล้วนะ กระไรมาพูดเยี่ยงนี้”
“พ่อดูแม่สิ คิดไปถึงไหนแล้ว” ดาวเรืองหัวเราะคิกคัก “ลูกหมายความว่า น่าอิจฉาที่เจ้าสินได้ฟังนิทานก่อนนอน ข้าเองก็อยากฟังสานฝัน เล่าเรื่องบ้านเมืองที่เขาเดินทางไปพบเจอมายิ่งแล้ว”
“แค่นั้นจริงฤา” แสนถามบุตรสาว “ความจริงเจ้าก็เป็นสาวแล้ว อีกไม่นานก็คงออกเรือนได้ สานฝันเองก็เป็นบุรุษที่อัธยาศัยดี ถึงจะดูมิค่อยเข้มแข็งนัก ผิดแต่ว่าเป็นฝรั่งตาน้ำข้าว ทำมาหากินอะไรก็ไม่แน่ชัด”
“ดูสิ พ่อเองก็คิดไปถึงไหนแล้ว” ดาวเรืองร้องอุทธรณ์ “ข้าหาได้คิดเช่นชู้สาวไม่ ข้าคิดเพียงว่า หากมีพี่ชายเยี่ยงนี้สักคน คงจักดีไม่น้อย”
...................................................................
...............................
“คุณสเตฟานครับ” ทรงเดชเรียกอีกครั้ง เมื่อเห็นสเตฟานนั่งนิ่งอยู่นาน
เสียงนั้นทำให้สเตฟานซึ่งนั่งอยู่บนโซฟา ต้องออกมาจากห้วงคิดคำนึงถึงอดีต เงยหน้าขึ้นมาช้าๆ ด้วยใบหน้าเศร้าหมอง
“ดีแล้วเหรอครับที่ทำแบบนี้”
“อื้อ” สเตฟานรับคำเบาๆ “คุณเองก็เหนื่อยมามากแล้ว กลับไปพักผ่อนเถอะ” พูดจบก็ลุกขึ้นจากโซฟา ไปยืนอยู่ริมกระจกหน้าต่างบานใหญ่ สายตาเหม่อมองออกไปภายนอก
ทรงเดชมองดูสเตฟานด้วยความเป็นห่วง สักครู่จึงเดินออกจากห้องไป พร้อมกับปิดประตูห้องไว้อย่างเรียบร้อย

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
อ่านไปงงไปย้อนอดีต สเตฟาน แล้วครอบครัวนั้น คือไผอีกนะ  :z10:

namtaan

  • บุคคลทั่วไป
ท่าทางจะย้อนอดีตไปไกลพอควรทีเดียว
แต่ครอบครัวนี้เกี่ยวข้องกับทรงเดชและทรงศักดิ์ด้วยใช่มิ
รออ่านต่อจ้าว่าสเตฟานตัดสินใจทำอะไร
บวก 1 แต้มด้วย ขอบคุณนะจ๊ะ

ออฟไลน์ wan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5575
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +643/-10
^^
^^
จิ้มน้องสาว สบายดี บ่ ครับ  :กอด1:

 สานฝัน คงกำลังหาทางออกอยู่  :เฮ้อ:

ปล. หายไปนานเลยนะครับ ตั้ม ฝากให้ +1 นะครับ


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด