บทที่ ๕๐
บาร์บีคิวที่สุกไม่ทันใจคนกินในช่วงแรก เริ่มเพิ่มมากขึ้นในจานใหญ่ เมื่อทุกคนคลายความหิวลง เนื่องจากได้กินและพูดคุย หยอกล้อกันเล่น มาเป็นเวลาเกือบ ๑ ชั่วโมง ในสนามหลังบ้านที่ร่มรื่นนั่นเอง
“น้ำแข็งจะหมดอีกแล้ว” ปรีชาพูดดังๆ ขณะกำลังคีบน้ำแข็งใส่แก้ว
“มา ไปหยิบให้เอง” ภูริทัตพูดแล้วก็คว้ากระติกน้ำแข็งใบย่อม เดินเข้าไปทางประตูห้องครัวด้านที่เปิดออกมาทางสวนหลังบ้าน
ไม่มีใครอยู่ในครัวเลย ภูริทัตจึงเดินตรงไปยังตู้เย็นขนาดใหญ่ เปิดประตูด้านบน หยิบถุงน้ำแข็งยูนิตออกมา ฉีกปากถุงออกแล้วค่อยๆเทน้ำแข็งในถุงลงไปในกระติก
“แกเก็บรูปนั้นดีรึยัง” เสียงแว่วมาจากนอกประตูอีกด้านหนึ่งของครัว ซึ่งเปิดเข้าไปในตัวบ้าน
“ก็เอาผ้าไปคลุมไว้เฉยๆ” อีกคนหนึ่งตอบ
“อ้าว ทำไมไม่เอาไปไว้ที่อื่น เกิดพวกคุณๆเข้าไปในนั้น จะทำยังไง”
“เฮ่ย ... ไม่เป็นไรหรอก คุณทรงเดชก็จัดห้องให้ทุกคนเรียบร้อยแล้วว่าใครอยู่ห้องไหน แล้วจะมีใครเข้าไปห้องนั้นอีกล่ะ”
“ว่าได้เหรอวะ เกิดมีใครเข้าไปล่ะ จะว่ายังไง”
“เอ็งนี่ ... ทำไมวะ ข้าน่ะอยากให้เห็นกันนัก เผื่อจะนึกออกบ้าง แกไม่เห็นหรือไง ที่มาอยู่กับคุณท่านครั้งที่แล้ว เธอมีความสุขขนาดไหน แล้วดูวันนี้สิ” เสียงนั้นหยุดพูดไปชั่วครู่ ก่อนจะพูดต่อ “นี่ถ้าไม่รู้มาก่อนว่าความจำเสื่อมนะ เฮ้ออออออ.......”
“พูดไปข้าก็สงสารคุณเธอนะ ปรกติก็ดูเงียบๆอยู่แล้ว แต่ก็ยังยิ้มแย้มบ้าง แต่นี่ทั้งขริม ทั้งเศร้า ข้าล่ะสงสารจริงๆ”
แล้วเสียงพูดคุยก็หายไป เหมือนกับว่าคนทั้งสอง ซึ่งภูริทัตรู้จากทรงเดชว่าเป็นคนดูแลบ้านหลังนี้ คงจะเดินห่างออกไปแล้ว ภูริทัตฟังแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ ว่าคนทั้งสองกำลังพูดถึงเรื่องอะไรกัน แล้วคุณท่าน หรือ คุณเธอที่พูดถึง คงเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ ซึ่งก็คงเป็นคนเดียวกับเจ้านายของทรงเดชด้วย
“แล้วนี่เจ้านายของคุณไม่มาสนุกกับพวกเราด้วยเหรอไง” ภูริทัตถามทันที หลังจากวางกระติกน้ำแข็งลงบนโต๊ะ
“ผมก็ชวนแล้วครับ เจ้านายผมเค้าก็ไม่ได้ตอบอะไร แต่ผมว่ายังไงก็คงมาแน่ครับ ไม่คืนนี้ก็คืนพรุ่งนี้” ทรงเดชตอบยิ้มๆ
“สงสัยจะอยู่กับครอบครัวเค้ามั๊ง คนแก่ก็งี้แหละ” ปรีชาพูดขณะที่กำลังจัดการกับบาร์บีคิวไม้ใหม่
“นี่คุณคิดว่าเจ้านายผมเป็นคนแก่เหรอ” ทรงเดชขมวดคิ้ว
“อ้าว ... ก็คุณเป็นผู้ช่วยกรรมการผู้บริหารไม่ใช่เหรอ เจ้านายคุณก็ต้องเป็นพวกตาแก่ที่นั่งบริหารงานโรงแรมน่ะสิ อย่างน้อยก็น่าจะพอๆกับคุณปู่คุณนะ เพราะคุณเข้ามาทำงานแทนคุณปู่คุณนี่นา” ปรีชาอธิบาย
“นั่นสิ แล้วยังร่ำรวยมีบ้านใหญ่โตโอ่อ่าขนาดนี้อีก จะให้คิดว่าเป็นคนรุ่นพวกเรา ก็คงไม่น่าเป็นไปได้” รังสรรค์ที่กำลังปิ้งบาร์บีคิวอยู่แต่ก็ได้ยินการสนทนาชัดเจน หันมาพูดเสริม
“นั่นสินะ ทีแรกผมก็คิดแบบพวกคุณเหมือนกัน” ทรงเดชยิ้ม เมื่อคิดถึงตัวเองก่อนจะมาทำ ‘หน้าที่’ แทนปู่ของเขา พลางมองหน้าที่มีแววสงสัยของทุกคน “เอาเป็นว่าถ้าได้เจอกันอีกครั้ง พวกคุณก็รู้เอง”
“คุณพูดยังกับว่าพวกเราเคยเจอเจ้านายคุณแล้ว อย่างนั้นแหละ” ภูริทัตท้วง
ทรงเดชไม่ตอบ แต่มองหน้าภูริทัตแล้วยิ้ม แล้วก็เดินไปช่วยรังสรรค์ที่กำลังปิ้งบาร์บิคิวอยู่ ทิ้งให้ภูริทัตคิดสงสัยในรอยยิ้มที่มีเลศนัยบางอย่างอยู่ในรอยยิ้มนั้น
ดึกมากแล้ว แต่ภูริทัตยังนอนพลิกตัวไปมา ผิดกับทรงเดชซึ่งกำลังหลับอย่างสบาย อยู่บนเตียงอีกหลังหนึ่งภายในห้องเดียวกัน เมื่อเห็นว่าไม่หลับแน่แล้ว จึงลุกขึ้นจากที่นอน เดินไปเปิดประตูระเบียงย่างแผ่วเบา ชายหนุ่มเกาะรั้วระเบียงแล้วสูดหายใจลึกๆ รู้สึกว่าอากาศเย็นเล็กน้อย ดวงจันทร์ซึ่งผ่านข้างแรมมาได้ไม่นาน ส่องแสงสลัวเป็นดวงเสี้ยวอยู่บนท้องฟ้า แสงสว่างของตัวเมืองที่อยู่ห่างไปรอบๆ ทำให้มองเห็นท้องฟ้าสลัวเลือนลาง สายตาที่กวาดมองไปทั่วก็ต้องสะดุดอยู่ตรงลานกว้าง เมื่อเห็นคนที่กำลังจ้องมองมา
เรือนร่างสูงโปร่ง เรือนผมสีทองเป็นประกาย ทำให้วงหน้ายิ่งดูกระจ่างตา สายตาทั้งสองประสานกันแน่วนิ่ง ภูริทัตไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไร แต่ตัวเขาเองกำลังร้อนรุ่มด้วยความปรารถนาอย่างที่เขาไม่สามารถบอกได้ว่าทำไม
“สานฝัน” ภูริทัตพูดเบาๆ แต่เงาร่างนั้นก็จางหายไปเสียแล้ว
“หลับสบายกันมั๊ยครับ” ทรงเดชพูดทักทายรังสรรค์กับปรีชาที่กำลังนั่งลงบนเก้าอี้ เพื่อรับประทานอาหารเช้า
“ผมคนนอนง่ายอยู่แล้ว หัวถึงหมอนก็หลับเลย” รังสรรค์ที่มานั่งอยู่ด้านข้างตอบยิ้มๆ
“แล้วเจ้าทัตล่ะ” ปรีชาถาม
“เดี๋ยวคงลงมามั๊งครับ ตอนผมลงมา คุณทัตเพิ่งตื่น” ทรงเดชตอบพลางเลื่อนถาดเครื่องปรุงกาแฟให้คนทั้งสอง
ทั้งสามคนรับประทานอาหารเช้ากันอย่างเอร็ดอร่อย สักพักภูริทัตก็เข้ามาร่วมวงด้วย
“เป็นไงวะ หน้าตายู่ยี่ นอนไม่หลับเหรอไง หรือมีใครทำอะไรวะ” ปรีชาพูดขำๆ ทำเอารังสรรค์หันมามองตาขวาง
“นอนไม่ค่อยหลับหว่ะ ผิดที่” ภูริทัตตอบพลางเทนมลงไปในถ้ายกาแฟ “เมื่อคืนเลยออกไปยืนรับลมที่ระเบียง เลยยิ่งตาสว่าง”
“ทำไมวะ เจอนางไม้เหรอไง” รังสรรค์หยอก
“เปล่า” ภูริทัตตอบแล้วมองหน้าทรงเดช “ผมเห็นสเตฟาน”
“สเตฟานที่เล่นเปีนโนที่โรงแรมนั่นน่ะเหรอ จะมาได้ไงวะ” ปรีชาพูดอย่างไม่ค่อยเชื่อ
“นั่นดิ ตาฝาด หรือว่าคิดถึงจนเห็นภาพวะ” รังสรรค์ล้อเลียน แล้วก็ทำหน้าเหมือนตกใจ
“ไม่หรอกครับ ผมว่าเมื่อคืนคุณสเตฟานคงมาที่นี่จริงๆ” ทรงเดชพูดยิ้มๆ
“คุณก็เป็นไปด้วยเหรอไง” ปรีชาหัวเราะ “เค้าจะมานี่ได้ยังไงกัน”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ” เสียงมาจากทางด้านหลัง ทำให้ปรีชาและภูริทัตหันไปมองด้วยความตกใจ
สเตฟานยิ้มน้อยๆ แล้วเดินช้าๆมายังโต๊ะอาหาร เสื้อยืดคอกลมสีครีม กับกางเกงสีขาว ทำให้ชายหนุ่มดูขาวผ่องไปทั้งตัว
“เมื่อคืนขอโทษด้วยนะครับ ที่มาร่วมวงบาร์บีคิวด้วยไม่ได้” เสตฟานพูดพร้อมกับรอยยิ้มบางๆบนใบหน้า เมื่อนั่งลงลนเก้าอี้หัวโต๊ะ “พอดีว่า ผมมีงาน” เขาเน้นคำว่า ‘งาน’หนักเป็นพิเศษ
“อะไรกัน ปีใหม่อย่างนี้คุณยังมีงานอีกเหรอ” ปรีชาสงสัย
“งานของผมไม่เลือกเวลาหรอกครับ โดยเฉพาะช่วงนี้ ไม่รู้ว่าทำไมงานของผมถึงได้เยอะเป็นพิเศษ”
สเตฟานรับแก้วกาแฟที่ปรุงเรียบร้อยแล้วจากทรงเดชมา แล้วยกขึ้นจิบช้าๆ ภูริทัตส่งสายตาที่มีคำถามไปให้ทรงเดชเมื่อเห็นว่าทรงเดชคอยจัดการสิ่งต่างๆบนโต๊ะอาหารให้สเตฟานตลอดเวลา
“ผมว่า เรามาแนะนำตัวกันอีกทีดีไหมครับ” ทรงเดชยิ้มกว้างเมื่อเห็นสายตาของชายหนุ่ม
“อย่าบอกนะ ... ว่าคุณสองคนน่ะ” รังสรรค์ขัด
“ใช่ครับ” ทรงเดชพูดแล้วหัวเราะเบาๆ หันไปมองสเตฟาน ซึ่งมองเขาแล้วขมวดคิ้ว พลางส่ายหน้าเบาๆอย่างเอือมระอา
“เฮ๊ย ... ขอแสดงความเสียใจกับนายด้วยหว่ะ” ปรีชาหันไปบอกกับรังสรรค์ด้วยใบหน้าเศร้าๆ
“เสียใจเรื่องอะไรเหรอครับ” ทรงเดชแกล้งถาม
“ก็เรื่องคนบางคน” ปรีชาเฉไฉแล้วเบือนหน้าหนี เมื่อเห็นสายตาเอาเรื่องของรังสรรค์ แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นสีหน้าของภูริทัต “เฮ๊ย เป็นอะไรวะ หน้าซีดเชียวเจ้าทัต”
“เปล่า” ภูริทัตตอบสั้นๆ รู้สึกลำคอแห้งผาก จนต้องกลืนน้ำลายลงคอหลายครั้ง
“คุณเล่นมากไปแล้วนะ ทรงเดช” เสียงดุๆของสเตฟานทำให้ทุกคนหันมามองด้วยความแปลกใจโดยเฉพาะทรงเดช
“ขอโทษครับ” ทรงเดชรู้สึกตกใจเล็กน้อย ตั้งแต่ได้รู้จัก เขายังไม่เคยเห็นสเตฟานแสดงความโกรธเลยแม้แต่เล็กน้อย แต่ครั้งนี้ดูจากสีหน้าแล้ว เหมือนสเตฟานจะโกรธมากทีเดียว
“ทรงเดชทำงานกับผม” สเตฟานอธิบายสั้นๆ
“แหะๆ ... ขอแนะนำให้รู้จักเจ้าของบ้านหลังนี้นะครับ คุณสเตฟานเจ้านายของผมเอง”
“เจ้านาย” ภูริทัตทวนคำ “แปลว่าคุณสองคนไม่ใช่ ...”
“ไม่ใช่ครับ ผมล้อเล่น คุณสเตฟานยังไม่มีคนรักครับ แต่ไม่แน่ เร็วๆนี้อาจจะมีก็ได้” พูดแล้วก็ต้องกลั้นหัวเราะ
“ผมขอตัวก่อนนะครับ” พูดแล้วสเตฟานก็ลุกเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
ภูริทัตมองตามสเตฟานที่เดินขึ้นบันไดไป แว่บหนึ่งเขามองเห็นใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม แต่แววตากับสีหน้ากลับมีแววเศร้าหมอง มันดูขัดกันอย่างไรพิกล