สานฝันนิรันดร : ขอบคุณทุกคน
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

๑.   สนใจสั่งจอง
5 (55.6%)
๒.   ขอคิดดูก่อน
4 (44.4%)
๓.   ไม่สนใจ
0 (0%)

จำนวนผู้โหวตทั้งหมด: 5

ปิดการโหวต: 31-05-2012 00:47:21

ผู้เขียน หัวข้อ: สานฝันนิรันดร : ขอบคุณทุกคน  (อ่าน 212409 ครั้ง)

LifeTime

  • บุคคลทั่วไป
โอ้ววว ไม่ได้อ่านซะหลายเพลา...เดินเรื่องไปไกลเลยทีเดียว
ไขข้อข้องใจสิ้น...ยกเว้นเรื่องโจชัวส์...จะดำเนินต่อไปอย่างไร
รอตอนต่อไปค้าบบบบ  :L2:

ออฟไลน์ mist

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4505
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +263/-3
สนับสนุนให้จบอย่างแฮปปี้เอนดิ้ง  :call:

ออฟไลน์ zandwizz

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2245
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +148/-7
อ่า มาต่อแระ

รออ่านตอนต่อไปครับ

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
เมื่อไร ภูริทัต จะนึกอะไรออกซะที  :sad4:

namtaan

  • บุคคลทั่วไป
สงสารสเตฟานจัง รักแต่ก็อ่อนไหวใช่มิ

ส่วนภูริทัตก็คงใกล้แล้วที่จะปะติดปะต่อความทรงจำได้

ขอให้สมหวังกันด้วยเหอะ

บวก 1 แต้ม ขอบคุณมากค่ะ

ออฟไลน์ jannie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 782
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0
ความผูกพันมันก็ตัดไม่ขาดเนอะ แม้ว่าจะพยายามทำให้ลืมแล้วก็เถอะ

ชอบทรงเดชที่คอยช่วย คอยเชียร์ คอยยุยงส่งเสริม ให้สเตฟานกลับมาหาภูริทัต

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
 :serius2: รอลุ้นต่อไป

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
บทที่ ๕๐

บาร์บีคิวที่สุกไม่ทันใจคนกินในช่วงแรก  เริ่มเพิ่มมากขึ้นในจานใหญ่ เมื่อทุกคนคลายความหิวลง เนื่องจากได้กินและพูดคุย หยอกล้อกันเล่น มาเป็นเวลาเกือบ ๑ ชั่วโมง ในสนามหลังบ้านที่ร่มรื่นนั่นเอง
“น้ำแข็งจะหมดอีกแล้ว” ปรีชาพูดดังๆ ขณะกำลังคีบน้ำแข็งใส่แก้ว
“มา ไปหยิบให้เอง” ภูริทัตพูดแล้วก็คว้ากระติกน้ำแข็งใบย่อม เดินเข้าไปทางประตูห้องครัวด้านที่เปิดออกมาทางสวนหลังบ้าน

ไม่มีใครอยู่ในครัวเลย ภูริทัตจึงเดินตรงไปยังตู้เย็นขนาดใหญ่ เปิดประตูด้านบน หยิบถุงน้ำแข็งยูนิตออกมา ฉีกปากถุงออกแล้วค่อยๆเทน้ำแข็งในถุงลงไปในกระติก

“แกเก็บรูปนั้นดีรึยัง” เสียงแว่วมาจากนอกประตูอีกด้านหนึ่งของครัว ซึ่งเปิดเข้าไปในตัวบ้าน
“ก็เอาผ้าไปคลุมไว้เฉยๆ” อีกคนหนึ่งตอบ
“อ้าว ทำไมไม่เอาไปไว้ที่อื่น เกิดพวกคุณๆเข้าไปในนั้น จะทำยังไง”
“เฮ่ย ... ไม่เป็นไรหรอก คุณทรงเดชก็จัดห้องให้ทุกคนเรียบร้อยแล้วว่าใครอยู่ห้องไหน แล้วจะมีใครเข้าไปห้องนั้นอีกล่ะ”
“ว่าได้เหรอวะ เกิดมีใครเข้าไปล่ะ จะว่ายังไง”
“เอ็งนี่ ... ทำไมวะ ข้าน่ะอยากให้เห็นกันนัก เผื่อจะนึกออกบ้าง แกไม่เห็นหรือไง ที่มาอยู่กับคุณท่านครั้งที่แล้ว เธอมีความสุขขนาดไหน แล้วดูวันนี้สิ” เสียงนั้นหยุดพูดไปชั่วครู่ ก่อนจะพูดต่อ “นี่ถ้าไม่รู้มาก่อนว่าความจำเสื่อมนะ เฮ้ออออออ.......”
“พูดไปข้าก็สงสารคุณเธอนะ ปรกติก็ดูเงียบๆอยู่แล้ว แต่ก็ยังยิ้มแย้มบ้าง แต่นี่ทั้งขริม ทั้งเศร้า ข้าล่ะสงสารจริงๆ”

แล้วเสียงพูดคุยก็หายไป เหมือนกับว่าคนทั้งสอง ซึ่งภูริทัตรู้จากทรงเดชว่าเป็นคนดูแลบ้านหลังนี้ คงจะเดินห่างออกไปแล้ว ภูริทัตฟังแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ ว่าคนทั้งสองกำลังพูดถึงเรื่องอะไรกัน แล้วคุณท่าน หรือ คุณเธอที่พูดถึง คงเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ ซึ่งก็คงเป็นคนเดียวกับเจ้านายของทรงเดชด้วย

“แล้วนี่เจ้านายของคุณไม่มาสนุกกับพวกเราด้วยเหรอไง” ภูริทัตถามทันที หลังจากวางกระติกน้ำแข็งลงบนโต๊ะ
“ผมก็ชวนแล้วครับ เจ้านายผมเค้าก็ไม่ได้ตอบอะไร แต่ผมว่ายังไงก็คงมาแน่ครับ ไม่คืนนี้ก็คืนพรุ่งนี้” ทรงเดชตอบยิ้มๆ
“สงสัยจะอยู่กับครอบครัวเค้ามั๊ง คนแก่ก็งี้แหละ” ปรีชาพูดขณะที่กำลังจัดการกับบาร์บีคิวไม้ใหม่
“นี่คุณคิดว่าเจ้านายผมเป็นคนแก่เหรอ” ทรงเดชขมวดคิ้ว
“อ้าว ... ก็คุณเป็นผู้ช่วยกรรมการผู้บริหารไม่ใช่เหรอ เจ้านายคุณก็ต้องเป็นพวกตาแก่ที่นั่งบริหารงานโรงแรมน่ะสิ อย่างน้อยก็น่าจะพอๆกับคุณปู่คุณนะ เพราะคุณเข้ามาทำงานแทนคุณปู่คุณนี่นา” ปรีชาอธิบาย
“นั่นสิ แล้วยังร่ำรวยมีบ้านใหญ่โตโอ่อ่าขนาดนี้อีก จะให้คิดว่าเป็นคนรุ่นพวกเรา ก็คงไม่น่าเป็นไปได้” รังสรรค์ที่กำลังปิ้งบาร์บีคิวอยู่แต่ก็ได้ยินการสนทนาชัดเจน หันมาพูดเสริม
“นั่นสินะ ทีแรกผมก็คิดแบบพวกคุณเหมือนกัน” ทรงเดชยิ้ม เมื่อคิดถึงตัวเองก่อนจะมาทำ ‘หน้าที่’ แทนปู่ของเขา พลางมองหน้าที่มีแววสงสัยของทุกคน “เอาเป็นว่าถ้าได้เจอกันอีกครั้ง พวกคุณก็รู้เอง”
“คุณพูดยังกับว่าพวกเราเคยเจอเจ้านายคุณแล้ว อย่างนั้นแหละ” ภูริทัตท้วง
ทรงเดชไม่ตอบ แต่มองหน้าภูริทัตแล้วยิ้ม  แล้วก็เดินไปช่วยรังสรรค์ที่กำลังปิ้งบาร์บิคิวอยู่ ทิ้งให้ภูริทัตคิดสงสัยในรอยยิ้มที่มีเลศนัยบางอย่างอยู่ในรอยยิ้มนั้น

ดึกมากแล้ว แต่ภูริทัตยังนอนพลิกตัวไปมา ผิดกับทรงเดชซึ่งกำลังหลับอย่างสบาย อยู่บนเตียงอีกหลังหนึ่งภายในห้องเดียวกัน เมื่อเห็นว่าไม่หลับแน่แล้ว จึงลุกขึ้นจากที่นอน เดินไปเปิดประตูระเบียงย่างแผ่วเบา ชายหนุ่มเกาะรั้วระเบียงแล้วสูดหายใจลึกๆ รู้สึกว่าอากาศเย็นเล็กน้อย ดวงจันทร์ซึ่งผ่านข้างแรมมาได้ไม่นาน ส่องแสงสลัวเป็นดวงเสี้ยวอยู่บนท้องฟ้า  แสงสว่างของตัวเมืองที่อยู่ห่างไปรอบๆ ทำให้มองเห็นท้องฟ้าสลัวเลือนลาง สายตาที่กวาดมองไปทั่วก็ต้องสะดุดอยู่ตรงลานกว้าง เมื่อเห็นคนที่กำลังจ้องมองมา

เรือนร่างสูงโปร่ง เรือนผมสีทองเป็นประกาย ทำให้วงหน้ายิ่งดูกระจ่างตา สายตาทั้งสองประสานกันแน่วนิ่ง ภูริทัตไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไร แต่ตัวเขาเองกำลังร้อนรุ่มด้วยความปรารถนาอย่างที่เขาไม่สามารถบอกได้ว่าทำไม
“สานฝัน” ภูริทัตพูดเบาๆ แต่เงาร่างนั้นก็จางหายไปเสียแล้ว

“หลับสบายกันมั๊ยครับ” ทรงเดชพูดทักทายรังสรรค์กับปรีชาที่กำลังนั่งลงบนเก้าอี้ เพื่อรับประทานอาหารเช้า
“ผมคนนอนง่ายอยู่แล้ว หัวถึงหมอนก็หลับเลย” รังสรรค์ที่มานั่งอยู่ด้านข้างตอบยิ้มๆ
“แล้วเจ้าทัตล่ะ” ปรีชาถาม
“เดี๋ยวคงลงมามั๊งครับ ตอนผมลงมา คุณทัตเพิ่งตื่น” ทรงเดชตอบพลางเลื่อนถาดเครื่องปรุงกาแฟให้คนทั้งสอง
ทั้งสามคนรับประทานอาหารเช้ากันอย่างเอร็ดอร่อย สักพักภูริทัตก็เข้ามาร่วมวงด้วย
“เป็นไงวะ หน้าตายู่ยี่ นอนไม่หลับเหรอไง หรือมีใครทำอะไรวะ” ปรีชาพูดขำๆ ทำเอารังสรรค์หันมามองตาขวาง
“นอนไม่ค่อยหลับหว่ะ ผิดที่” ภูริทัตตอบพลางเทนมลงไปในถ้ายกาแฟ “เมื่อคืนเลยออกไปยืนรับลมที่ระเบียง เลยยิ่งตาสว่าง”
“ทำไมวะ เจอนางไม้เหรอไง” รังสรรค์หยอก
“เปล่า” ภูริทัตตอบแล้วมองหน้าทรงเดช “ผมเห็นสเตฟาน”
“สเตฟานที่เล่นเปีนโนที่โรงแรมนั่นน่ะเหรอ จะมาได้ไงวะ” ปรีชาพูดอย่างไม่ค่อยเชื่อ
“นั่นดิ ตาฝาด หรือว่าคิดถึงจนเห็นภาพวะ” รังสรรค์ล้อเลียน แล้วก็ทำหน้าเหมือนตกใจ
“ไม่หรอกครับ ผมว่าเมื่อคืนคุณสเตฟานคงมาที่นี่จริงๆ” ทรงเดชพูดยิ้มๆ
“คุณก็เป็นไปด้วยเหรอไง” ปรีชาหัวเราะ “เค้าจะมานี่ได้ยังไงกัน”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ” เสียงมาจากทางด้านหลัง ทำให้ปรีชาและภูริทัตหันไปมองด้วยความตกใจ
สเตฟานยิ้มน้อยๆ แล้วเดินช้าๆมายังโต๊ะอาหาร เสื้อยืดคอกลมสีครีม กับกางเกงสีขาว ทำให้ชายหนุ่มดูขาวผ่องไปทั้งตัว
“เมื่อคืนขอโทษด้วยนะครับ ที่มาร่วมวงบาร์บีคิวด้วยไม่ได้” เสตฟานพูดพร้อมกับรอยยิ้มบางๆบนใบหน้า เมื่อนั่งลงลนเก้าอี้หัวโต๊ะ “พอดีว่า ผมมีงาน” เขาเน้นคำว่า ‘งาน’หนักเป็นพิเศษ
“อะไรกัน ปีใหม่อย่างนี้คุณยังมีงานอีกเหรอ” ปรีชาสงสัย
“งานของผมไม่เลือกเวลาหรอกครับ โดยเฉพาะช่วงนี้ ไม่รู้ว่าทำไมงานของผมถึงได้เยอะเป็นพิเศษ”
สเตฟานรับแก้วกาแฟที่ปรุงเรียบร้อยแล้วจากทรงเดชมา แล้วยกขึ้นจิบช้าๆ ภูริทัตส่งสายตาที่มีคำถามไปให้ทรงเดชเมื่อเห็นว่าทรงเดชคอยจัดการสิ่งต่างๆบนโต๊ะอาหารให้สเตฟานตลอดเวลา
“ผมว่า เรามาแนะนำตัวกันอีกทีดีไหมครับ” ทรงเดชยิ้มกว้างเมื่อเห็นสายตาของชายหนุ่ม
“อย่าบอกนะ ... ว่าคุณสองคนน่ะ” รังสรรค์ขัด
“ใช่ครับ” ทรงเดชพูดแล้วหัวเราะเบาๆ หันไปมองสเตฟาน ซึ่งมองเขาแล้วขมวดคิ้ว พลางส่ายหน้าเบาๆอย่างเอือมระอา
“เฮ๊ย ... ขอแสดงความเสียใจกับนายด้วยหว่ะ” ปรีชาหันไปบอกกับรังสรรค์ด้วยใบหน้าเศร้าๆ
“เสียใจเรื่องอะไรเหรอครับ” ทรงเดชแกล้งถาม
“ก็เรื่องคนบางคน” ปรีชาเฉไฉแล้วเบือนหน้าหนี เมื่อเห็นสายตาเอาเรื่องของรังสรรค์ แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นสีหน้าของภูริทัต “เฮ๊ย เป็นอะไรวะ หน้าซีดเชียวเจ้าทัต”
“เปล่า” ภูริทัตตอบสั้นๆ รู้สึกลำคอแห้งผาก จนต้องกลืนน้ำลายลงคอหลายครั้ง
“คุณเล่นมากไปแล้วนะ ทรงเดช” เสียงดุๆของสเตฟานทำให้ทุกคนหันมามองด้วยความแปลกใจโดยเฉพาะทรงเดช
“ขอโทษครับ” ทรงเดชรู้สึกตกใจเล็กน้อย ตั้งแต่ได้รู้จัก เขายังไม่เคยเห็นสเตฟานแสดงความโกรธเลยแม้แต่เล็กน้อย แต่ครั้งนี้ดูจากสีหน้าแล้ว เหมือนสเตฟานจะโกรธมากทีเดียว
“ทรงเดชทำงานกับผม” สเตฟานอธิบายสั้นๆ
“แหะๆ ... ขอแนะนำให้รู้จักเจ้าของบ้านหลังนี้นะครับ คุณสเตฟานเจ้านายของผมเอง”
“เจ้านาย” ภูริทัตทวนคำ “แปลว่าคุณสองคนไม่ใช่ ...”
“ไม่ใช่ครับ ผมล้อเล่น คุณสเตฟานยังไม่มีคนรักครับ แต่ไม่แน่ เร็วๆนี้อาจจะมีก็ได้” พูดแล้วก็ต้องกลั้นหัวเราะ
“ผมขอตัวก่อนนะครับ” พูดแล้วสเตฟานก็ลุกเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

ภูริทัตมองตามสเตฟานที่เดินขึ้นบันไดไป แว่บหนึ่งเขามองเห็นใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม แต่แววตากับสีหน้ากลับมีแววเศร้าหมอง มันดูขัดกันอย่างไรพิกล

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
:serius2: จำได้ซะทีซี่ภูุริทัต สงสาร สเตฟานจะแย่แล้ว  :monkeysad:

ออฟไลน์ zandwizz

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2245
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +148/-7
เยสส

เจอกันแระ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






namtaan

  • บุคคลทั่วไป
สงสารสเตฟานมากขึ้นทุกที
ทรงเดชก็ช่วยลุ้นมากมาย เมื่อไรภูริทัตจะจำเรื่องราวได้
คงต้องเห็นรูปที่เก็บไว้ก่อนแน่ๆเลย

บวก 1 แต้มนะคะ ขอบคุณคุ่

ออฟไลน์ jannie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 782
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0
สงสารสเตฟาน อยากให้ปาฎิหาริย์แห่งรักเกิดขึ้นเร็วๆ จัง (รู้สึกน้ำเน่ายังไงไม่รู้  :o8:)

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
อยากจะก๊อปปี้ตอนที่ คู่นี้กำลังอินเลิฟ ส่งไปให้ ภูริทัต อ่านจริงๆๆๆ จะได้จำไ้ด้สักที กรี๊ดดดดดดดดด ลุ้นจนอึดอัด  :serius2:

ออฟไลน์ jannie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 782
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0
คิดถึงค่ะ

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
บทที่ ๕๑

สายมากแล้ว ทุกคนนั่งพักผ่อนกันตามสบายภายในห้องนั่งเล่น ดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือ พูดคุยกัน จนภูริทัตรู้สึกเพลียเล็กน้อย เนื่องจากพักผ่อนไม่เพียงพอมาตั้งแต่ก่อนวันส่งท้ายปีเก่า เขาจึงขอตัวไปนอนในห้องพัก

ภูริทัตเดินขึ้นบันได้ ความรู้สึกคุ้นเคยบางอย่าง ทำให้พาตัวเองเดินไปอีกฟากหนึ่งของห้องพัก มือของเขาเอื้อมไปเปิดบานประตูออก แล้วเดินเข้าไป กวาดสายตามองไปรอบๆห้อง เตียงนอนขนาดใหญ่กลางห้อง มีผ้าคลุมสีขาวสะอาด หน้าต่างบานใหญ่ปิดสนิท พร้อมผ้าม่านหนาหนัก ที่กั้นแสงสว่างจากภายนอกไว้ เครื่องเรือนเพียงไม่กี่ชิ้นทำให้ห้องนอนดูโล่งสบายตา และในแสงสลัว เขามองเห็นของสิ่งหนึ่งตั้งอยู่ทางมุมห้องใกล้ๆหน้าต่าง มีผ้าคลุมเอาไว้อย่างมิดชิด

... แกเก็บรูปนั้นดีรึยัง ...
... ก็เอาผ้าไปคลุมไว้เฉยๆ ...

ภูริทัตคิดไปถึงคำสนทนาที่เขาได้ยินเมื่อวานนี้ ขาของเขาก้าวเข้าหาของสิ่งนั้น แล้วเอื้อมมือออกไปดึงผ้าคลุมออกช้าๆ ภายใต้ผ้าคลุมนั้นเป็นขาตั้งพร้อมภาพเขียน ชายหนุ่มเดินไปเปิดผ้าม่านให้แสงสว่างส่องเข้ามา แล้วเดินกลับไปดูภาพบนขาตั้งอีกครั้ง
“เอ๊ะ ...” เขาอุทานเบาๆด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นภาพนั้นชัดตา

ภาพสีไม้บนกระดาษปอนด์นั้นดูสวยงาม เก็บรายละเอียดทุกอย่างได้อย่างครบถ้าน ต้นหญ้าบนพื้นและต้นไม้รอบๆ ดูเขียวขจีสดใส ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงกลางกำลังแย้มยิ้มด้วยความสุข
... มันคงเป็นภาพเขียนธรรมดาที่เพียงแค่ดูสวยงาม หากว่าชายหนุ่มในภาพนั้นไม่ใช่ตัวเขา ...

“คุณเห็นแล้วสินะครับ” เสียงของทรงเดชดังขึ้นมา ภูริทัตหันไปมองก็เห็นเจ้าของเสียงยืนอยู่ตรงประตู
ทรงเดชเดินมายืนข้างๆภูริทัต จ้องมองดูรูปภาพแล้วยิ้มกว้าง
“ทำไมคนในรูป...” ภูริทัตถามช้าๆ
“ครับ คุณนั่นแหละ” ทรงเดชตอบก่อนที่ภูริทัตจะถามจบ
ภูริทัตหันไปมองรูปอีกครั้ง ครู่หนึ่งก็หันกลับมามองทรงเดช ทำหน้าเหมือนจะถามต่อ แต่ทรงเดชก็ชิงพูดต่อ
“ผมเองก็อยากจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้คุณฟังเหมือนกัน แต่มันคงเหมือนผมยัดเยียดเรื่องที่คุณไม่แน่ใจ ให้คุณรู้สึกว่ามันเป็นความจริง คิดให้ออกนะครับคุณทัต คิดให้ออกว่าคุณเคยมาที่นี่กับใคร คนคนนั้นสำคัญกับคุณขนาดไหน และตัวคุณมีความสำคัญขนาดไหนสำหรับคนคนนั้น พยายามเข้านะครับ”
ทรงเดชยกมือขึ้นบีบไหล่ของภูริทัตเบาๆ ยิ้มกว้างก่อนจะเดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้ภูริทัตยืนครุ่นคิดอยู่คนเดียว

ทรงเดชปิดบานประตูอย่างแผ่วเบา พอหันหลังมาก็ต้องอุทานอย่างตกใจ
“คุณท่าน”
“คุณคิดว่ามันจะเป็นไปได้เหรอ” ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่เข้าใจคำถามนี้ของสเตฟาน แต่ไม่ใช่สำหรับทรงเดช
“ได้สิครับ นอกจากว่าคุณไม่อยากให้มันเป็น” ทรงเดชตอบอย่างจริงจัง
“ใจหนึ่งผมก็อยากให้เขาจำผมได้” น้ำเสียงของสเตฟานดูเศร้า “จำความรู้สึกที่เคยมีต่อกัน แล้วกลับมาเป็นเหมือนเดิม ถึงตอนนั้นผมคงมีความสุขมาก”
“ผมเองก็อยากให้เป็นแบบนั้นเหมือนกัน” ทรงเดชพูดแล้วเดินเข้ามาใกล้สเตฟานมากขึ้น
“แต่ผมก็กลัว ... ถ้าเขาจำได้ว่าคืนนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น จำได้ว่าผมเป็น ‘อะไร’ ... ตอนนั้นผมอาจจะต้องสูญเสียเขาไปอีกครั้ง”
“ไม่หรอกครับ ไม่หรอก” ทรงเดชละล่ำละลัก “มันต้องไม่เป็นแบบนั้น ผมมั่นใจ”
...............................................................
...........................
“โอ้โห เยอะอย่างนี้ผมจะเลือกหนังสือยังไงละ” รังสรรค์อุทาน
ทรงเดชพารังสรรค์และปรีชาเข้ามาในห้องหนังสือของบ้าน ห้องขนาดใหญ่ ชั้นหนังสือติดผนังเต็มไปด้วยหนังสือมากมายจนเกือบจรดเพดาน
“เคยหาหนังสือจากตู้ดรรชนีในห้องสมุดไหมครับ ที่นี่ก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน” ทรงเดชเดินนำไปที่ตู้เล็กๆ มีลิ้นชักมากมาย ด้านหน้าติดตัวอักษรเหมือนตู้ในห้องสมุด
“แล้วนั่นรูปอะไรครับ” ปรีชาถามพลางเดินเข้าไปดูภาพเขียนขนาดใหญ่ ที่ติดอยู่หลังโต๊ะทำงาน ซึ่งตั้งอยู่ด้านหนึ่งของห้อง ที่สามารถรับแสงสว่างจากภายนอกได้มากที่สุด
“อ๋อ ภาพเขียนครอบครัวของคุณสเตฟานน่ะครับ” ทรงเดชตอบแล้วเดินตามมาพร้อมกับรังสรรค์

ภาพเขียนสีน้ำมัน เป็นรูปชายหญิงกลางคนนั่งอยู่บนโซฟา ระหว่างคนทั้งสองมีเด็กชายอายุราวๆสิบเอ็ดหรือสิบสองปีนั่งอยู่ ทางด้านหลังยืนไว้ด้วยชายหนุ่มสองคน หนึ่งในสองนั้นคือสเตฟาน ที่น่าแปลกคือทุกคนแต่งตัวเหมือนชาวอังกฤษในยุคโบราณ

“ดูคลาสสิคยังกับภาพโบราณแน่ะครับ” ปรีชาชื่นชม “สองคนนี้คงเป็นพ่อแม่ของคุณสเตฟาน แล้วนี่คงเป็นพี่ชาย ส่วนคนนี้ น่าจะเป็นน้องชาย” ปรีชาพูดพลางชี้ไปยังบุคคลต่างๆในรูปทีละคน
“อ้าว...อยู่นี่กันเองเหรอ” เสียงดังมาจากทางประตู พร้อมกับภูริทัตที่เดินเข้ามาหาคนทั้งสาม
“มาได้จังหวะเลยนะเอ็ง มานี่” รังสรรค์ดึงตัวภูริทัตเข้าไปใกล้ๆภาพ “ภาพครอบครัวของคุณสเตฟาน”
“ผมว่าเด็กคนนี้” ทรงเดชพูดช้าๆ ชี้รูปเด็กชาย แล้วหันมองหน้าภูริทัต “ดูคล้ายคุณทัตนะ พวกคุณว่ามั๊ย”
“เออเน๊อะ พูดขึ้นมาแล้วผมก็ว่าอย่างนั้น” รังสรรค์ตอบพลางเพ่งมองดูเด็กชายในรูปอย่างพิจจารณา “คล้ายๆเอ็งตอนเด็กๆนะ”
“นั่นสิ ผมเองยังคิดว่าคล้ายเลย ผิดกันแค่สีผิว กับสีผมเท่านั้นเอง” ภูริทัตยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองเบาๆ ความทรงจำเมื่อตอนเด็กวูบขึ้นมาในสมอง

... อายุเท่าไหร่แล้ว ... ภาพของสเตฟานถามเขาเบาๆ
... สิบสามครับ ... ตอนนั้นเขาตอบไป
...โซ ยัง เธอยังเด็ก สำหรับคนไทย เธอเด็กเหลือเกินที่ทำแบบนี้ ... สเตฟานพูดแล้วถอนหายใจ


“คนวาดนี่เก่งนะ วาดออกมายังกับภาพโบราณ” รังสรรค์ยังคงชื่นชมกับความงามของภาพวาด
“ถ้าผมบอกว่ามันเป็นภาพโบราณจริงๆล่ะครับ” ทรงเดชหัวเราะเบาๆ
“ล้อกันเล่นแล้ว ถ้าเป็นภาพโบราณจริงๆ ตอนนี้สเตฟานไม่อายุเป็นร้อยๆปีเหรอไง” รังสรรค์เองก็หัวเราะไปด้วย

... แล้วคุณอายุเท่าไหร่ ทำไมพูดไทยเก่งจัง ...ตอนนั้นเขาจำได้ว่าถามสเตฟานด้วยความอยากรู้ของเด็กๆ
... ลองเดาดูสิ ... สเตฟานยิ้มให้กับเขา อย่างอ่อนโยนและเอ็นดู
... ยี่สิบต้นๆ ...เขาคาดเดา สเตฟานได้ฟังก็หัวเราะเบาๆ เสียงหัวเราะและรอยยิ้ม ทำให้เขาคลายความวิตกลงไป
... ฉันอายุมากกว่าที่เธอคิดมาก  มากจนเธอคิดไม่ถึง ... ตอนนั้นเขายังคิดว่าสเตฟานเป็นชายหนุ่มอายุสามสิบต้นๆ



“แล้วนี่ครอบครัวคุณสเตฟานอยู่ที่ไหนล่ะครับ” รังสรรค์ถามอย่างสนใจ
“ไม่อยู่แล้วครับ ทุกคนเสียชีวิตไปหมดแล้ว ตอนนี้คุณสเตฟานตัวคนเดียวครับ” น้ำเสียงของทรงเดชมีความเสียใจปนอยู่ไม่น้อย
“แล้วคนรักล่ะ ไม่มีเหรอ” รังสรรค์ถาม
“เคยมีครับ” ทรงเดชยิ้มเศร้าๆ
“อะไรกัน กระทั่งคนรักก็ตายเหรอ” ปรีชาคาดไม่ถึง
“เปล่าครับ ... แต่ก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่ คนนั้นเขาจำคุณสเตฟานไม่ได้” ทรงเดชพูดพลางเหลืบสายตามองดูสีหน้าของภูริทัต
“ฟังแล้วแย่จังนะครับ” รังสรรค์ถอนหายใจ “น่าสงสารคุณสเตฟาน คงเศร้าน่าดู”
“ถ้าพูดถึงความเศร้า ผมคิดว่าคงไม่มีใครในโลก เก็บความรู้สึกแบบนั้นไว้มากมายเท่าคุณสเตฟานอีกแล้ว คนเราไม่ว่าจะสุขจะเศร้ายังไง พอตายแล้วมันก็จบ” ทรงเดชพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“คุณพูดยังกับว่าสเตฟานไม่มีวันตายอย่างนั้นหล่ะ”
“ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ในโลกนี้ไม่มีใครหรอกครับที่จะไม่มีวันตาย เพียงแต่ว่าบางทีช่วงชีวิตของบางสิ่งบางอย่าง กว่าจะถึงวันสิ้นอายุ มันอาจจะยาวนาน จนเป็นสิ่งที่เราเรียกกันว่านิรันดรก็ได้”
“แหม ถ้าผมเป็นอย่างนั้นได้ คงมีความสุขน่าดู” ปรีชาพูดแล้วพริ้มตาลง
“แต่ผมว่ามันคงเป็นทุกข์มากกว่า” ทรงเดชพูดช้าๆ “คุณจะดูหนุ่มอยู่ตลอด ในขณะที่คนรอบๆข้างคุณแก่ลง แล้วตายไปในที่สุด คนแล้วคนเล่า ไม่มีใครอยู่เคียงข้างใช้ชีวิตร่วมกับคุณได้ แม้แต่คนที่คุณรัก หรือถ้าคุณมีคนรักใหม่ คุณก็จะต้องสูญเสียเขาไป เป็นแบบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า แบบนี้แล้วคุณยังอยากจะเป็นอีกไหม”

คนทั้งสามไม่มีคำตอบ มีเพียงภูริทัตที่มีแววตาครุ่นคิดอย่างจริงจัง แล้วหันไปมองรูปของชายหนุ่มผู้มีดวงตาสีเขียวมรกตอีกครั้ง

ออฟไลน์ zandwizz

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2245
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +148/-7
โห โดน

เศร้าแทนสเตฟาน

ขอบคุณที่มาต่อครับ

salapaw

  • บุคคลทั่วไป
 :pig4:

ขอให้มั่นใจในความคิด แล้วมุ่งไปเล้ย

LifeTime

  • บุคคลทั่วไป
ชีวิตธรรมดาชีวิตเดียวก็ยุ่งยากวุ่นวายสารพัดละ...ถ้าจะให้เป็นนิรันดร์ ขอสละสิทธิ์ละกัน

สงสารสเตฟานจัง...เมื่อไหร่จะคิดออก คิดได้ละจะเป็นไงต่อ  :serius2:

namtaan

  • บุคคลทั่วไป
ยิ่งอ่านยิ่งสงสารทั้งสเตฟานและภูริทัต
อย่างน้อยได้มีความสุขในห้วงเวลาหนึ่งของชีวิตก็ยังดีกว่าต้องเศร้าไปตลอดกาล
ต้องแยกจากทั้งที่ความตายยังไม่ได้มาพรากไป
ภูริทัต จำได้เร็วๆหน่อยนะ

บวก 1 แต้ม ขอบคุณมากนะคะ

ออฟไลน์ jannie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 782
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0
ยิ่งอ่านยิ่งชอบทรงเดช...แบบว่าคอยช่วย คอยเชียร์ เป็นกำลังใจ ตลอดเวลา  o13

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
น่าเห็นใจสเตฟาน ขึ้นอยู่กับภูริทัตแล้ว ว่าแต่จะทำไงให้จำได้ซะที  :z3:

ออฟไลน์ εїзป่วงน้อยεїз™

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 197
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
ทัตจังจำได้สักทีเถอะ เพี้ยงงงงงง

ออฟไลน์ IIMisssoMII

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-2
ขอติดตามด้วยคนนะคะ

ออฟไลน์ tutu

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
ตามมาอ่านจนทันเเล้วตื่นเต้นมาก... o13

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
บทที่ ๕๒

ภูริทัตนั่งจิบกาแฟอยู่บนเก้าอี้โซฟาตัวยาว สายตามองดูรายการโทรทัศน์ที่กำลังฉายอยู่ในยามดึก ทุกคนกลับไปแล้ว แต่เขายังอยากอยู่ในบ้านหลังนี้ต่อ ซึ่งทรงเดชก็ไม่ขัดข้องเมื่อเขาบอกความต้องการนี้ออกไป เสื้อผ้าชุดลำลอง ๓ ชุด รวมทั้งชั้นในใหม่เอี่ยมภายในกล่องบรรจุ ที่ทรงเดชนำออกมาจากห้องของเจ้าของบ้าน ทำให้เขามีเสื้อผ้าเพียงพอที่จะใช้ผลัดเปลี่ยนไปจนถึงวันพรุ่งนี้เย็น

บ้านหลังใหญ่ในอาณาเขตกว้างขวาง ร่มรื่นไปด้วยเงาไม้ใหญ่น้อย และเสียงของธรรมชาติในยามกลางวัน กลับเหลือเพียงความเงียบสงบในยามค่ำคืน แต่ชายหนุ่มกลับรู้สึกอบอุ่นและเป็นสุข และรู้สึกเหมือนเคยมีเวลาแห่งความสุข ร่วมกับใครบางคนในสถานที่แห่งนี้

ขณะที่นั่งจมอยู่กับความคิด จู่ๆภูริทัตก็รู้สึกเหมือนมีสายตาของใครบางคน กำลังจ้องมองเขาอยู่ ชายหนุ่มเหลียวหน้ามองไปรอบๆ ก็มองเห็นร่างสูงโปร่งยืนอยู่ไม่ไกลนัก ใบหน้าสีขาวเหมือนจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูวูบหนึ่ง ดวงตาสีเขียวมรกตมีแววลังเลและสับสน
“เพิ่งกลับมาจากข้างนอกเหรอครับ” ภูริทัตส่งเสียงถามไปพร้อมกับรอยยิ้ม
“ครับ” สเตฟานตอบแล้วเดินช้าๆเข้ามานั่งลงบนเก้าอี้โซฟา ข้างเก้าอี้โซฟาตัวยาวที่ภูริทัตนั่งอยู่
“ปีใหม่ทั้งที คุณยังต้องออกไปทำงานอีกเหรอครับ” ภูริทัตพยายามหาเรื่องคุย
“งานของผมไม่มีเวลาแน่นอน” สเตฟานตอบสั้นๆ “แล้วคุณยังไม่กลับเหรอครับ”
“ผม...” ภูริทัตอึกอัก “ผมคิดว่า ...ผม...ผมอยากเจอคุณ ผมมีเรื่องอยากถามคุณ” ชายหนุ่มยกมือขึ้นเกาท้ายทอยด้วยความเคยชิน
“มีเรื่องอะไรก็ถามมาเถอะครับ” สเตฟานรู้ว่าชายหนุ่มกำลังสับสน จากท่าทางที่เคยเห็นจนชินตา
“เรา...เอ้อ คุณกับผมเคยเจอกันมาก่อนใช่มั๊ย”
“เมื่อช่วงวันคริสต์มาสของปีที่แล้วไงครับ”
“ไม่ใช่” ภูริทัตมองหน้าสเตฟาน ด้วยสีหน้าที่คาดหวัง “ผมหมายถึงก่อนหน้านั้น”
สเตฟานไม่ตอบในทันที แต่จ้องมองภูริทัตแน่วนิ่ง ในแววตามีความสับสนเจือปนไปด้วยความเศร้าหมอง แล้วจู่ๆก็กระพริบตาถี่ๆแล้วเบือนหน้าเสไปทางโทรทัศน์ ก่อนจะตอบด้วยเสียงแผ่วเบา
“ผมเคยเจอคุณหนหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว”
“เฮ้ ... เปย์มีไฟว์ฮันเดรด ไอวิวโกวิทยู ... โอเค๊” ภูริทัตพูดช้าๆ รอฟังคำตอบจากคนที่นั่งนิ่งจนเขาแทบจะหยุดหายใจ
“ทำอะไรได้บ้าง”ครู่ใหญ่สเตฟานจึงตอบเบาๆ
“ทำได้ทุกอย่างครับ ให้ผมทำอะไรให้ หรือจะทำอะไรผมก็ได้” ภูริทัตพูดพลางขยับตัวเข้าไปใกล้เก้าอี้ที่อีกฝ่ายนั่งอยู่มากขึ้น
“อายุเท่าไหร่แล้ว” สเตฟานถามกลับมา
“สิบสามครับ”
“โซ ยัง .... เธอยังเด็ก สำหรับคนไทย เธอเด็กเหลือเกินที่ทำแบบนี้”
“แล้วคุณอายุเท่าไหร่ ทำไมพูดไทยเก่งจัง”
“ลองเดาดูสิ” สเตฟานหันหน้ามามองภูริทัต ด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
“ยี่สิบต้นๆ”
“ฉันอายุมากกว่าที่เธอคิดมาก ... มากจนเธอคิดไม่ถึง”
ภูริทัตจ้องมองคนตรงหน้าแน่วนิ่ง ความรู้สึกหลายอย่างปะปนกัน ทั้งดีใจ ประหลาดใจ หวาดหวั่น ... และปรารถนา
“เป็นคุณ” ภูริทันเอื้อมมือไปจับมือของสเตฟาน “ผมคิดอยู่แล้วว่าต้องเป็นคุณ”
“ใช่ ... ผมเองที่คุณได้พบเมื่อ ๑๖ ปีก่อน”
“แล้วทำไมคุณถึงไม่เปลี่ยนแปลงเลย” ภูริทัตมองดูสเตฟานไปทั่วทั้งตัว
“ผมคิดว่าคุณน่าจะรู้คำตอบแล้วว่า ... ทำไม” สีหน้าของสเตฟานสลดลง
“อื้อ” ภูริทัตพยักหน้า เงียบไปครู่หนึ่ง “ผมรู้แค่ว่า คุณคงไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา”
“แล้วคุณไม่กลัวผมหรอกหรือ” สายตาที่จ้องมองภูริทัตเศร้าสร้อย แต่เปี่ยมไปด้วยความหวัง
“นั่นสิ ...” ภูริทัตยกมืออีกข้างขึ้นไปแตะที่แก้มของสเตฟานอย่างแผ่วเบา “ทำไมผมไม่กลัวคุณ ทำไมผมถึงอยากสัมผัสคุณแบบนี้ ... หรือ ...” ภูริทัตอึกอัก “หรือมากกว่านี้”
สเตฟานพริ้มตาลง หยาดน้ำตาไหลรินลงมาอย่างไม่อาจข่มกลั้น
“ผมเป็นแวมไพร์ ... แวมไพร์ที่คร่าชีวิตของมนุษย์ ...แวมไพร์ที่มนุษย์ถือว่าเป็นปีศาจ... ปีศาจที่คอยหลอกลวงมนุษย์ให้หลงใหล แล้วแย่งชิงชีวิตและวิญญาณของมนุษย์” น้ำเสียงของสเตฟานสั่นเครือ

ภูริทัตแปลกใจในความรู้สีกของตัวเอง ความจริงที่ได้รับรู้น่าจะทำให้เขาหวาดกลัวต่อคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า แต่ท่าทางที่อ่อนแอ ปวดร้าวราวจะแตกสลายไปได้ทุกเวลา ผิดไปจากแวมไพร์อันน่าหวาดกลัว ที่เขาเคยได้รับรู้จากหนังสือที่อ่าน หรือภาพยนต์ทั้งจอเงินและจอแก้ว กลับทำให้เขาเจ็บปวดในหัวใจ และรู้สึกว่าเขาต้องการปกป้องคนคนนี้ ถึงแม้จะเป็นแวมไพร์ก็ตาม ยิ่งกว่านั้น ความรู้สึกอีกอย่างหนึ่ง กลับประทุรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

“ถ้าคุณเป็นแวมไพร์ ... ถ้าคุณเป็นปีศาจ” ภูริทัตพูดช้าๆ ค่อยๆเช็ดน้ำตาบนแก้มเนียน “คุณจะแย่งชิงวิญญาณของผมไหม ... คุณจะเอาชีวิตของผมหรือเปล่า”
“ไม่... ผมไม่มีทางทำแบบนั้นกับคุณเด็ดขาด”  สเตฟานตอบด้วยความรวดเร็ว ใบหน้าและดวงตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึก จับจ้องอยู่บนใบหน้าของภูริทัต
“ตอนที่ผมเจอคุณเมื่อตอนเด็ก คุณดีกับผมมาก ผมยังจำได้” ภูริทัตเลื่อนตัวเข้าไปใกล้สเตฟานมากขึ้นอีก
“คุณยังจำอะไรได้อีก” สเตฟานถาม
“มีอะไรมากกว่านั้นอีกเหรอ” ภูริทัตขมวดคิ้ว “หรือว่าระหว่างคุณกับผม ยังมีเรื่องราวมากกว่านั้นอีก”
“คุณยังจำไม่ได้” สเตฟานถอนหายใจเบาๆ
“คุณเล่าให้ผมฟังได้มั๊ย”
“มันเป็นเรื่องของคริสมาสต์เมื่อ ๒ ปีที่แล้ว แต่มันจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อคุณจำมันไม่ได้”  สเตฟานดึงมือที่ภูริทัตกุมไว้ออกมา ลุกขึ้นจากเก้าอี้ หมุนตัวเหมือนจะเดินจากไปจากที่นั้น  ภูริทัตก็ลุกขึ้นตามอย่างรวดเร็ว
“ทำไมล่ะ หรือคุณไม่อยากให้ผมจำได้ ว่ามีอะไรเกิดขึ้น ... ระหว่าเรา”
สเตฟานหันกลับมา มองดูภูริทัตด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความรัก
“ผมอยากให้คุณคิดออกเองมากกว่า”
“แล้วถ้าผมนึกไม่ออกตลอดไปล่ะ” ภูริทัตถามเสียงด้วยสีหน้าตัดพ้อ
“ผมรอได้ ... คุณคงรู้ว่าเวลาของผมมีมากมาย มากจนเกือบเป็นนิรันดร์” น้ำเสียงเจือไปด้วยความขมขื่น ผิดกับสีหน้าที่เรียบเฉย พูดจบสเตฟานก็เดินจากไป

ภูริทัตมองดูสเตฟาน แล้วก้าวเท้าตามอย่างช้าๆ จากห้องรับแขก ขึ้นบันไดไปเดินเข้าห้องนอนและปิดประตูลง ชายหนุ่มเดินไปหยุดนิ่งอยู่หน้าประตูบานนั้น ดวงตาทอแววสับสน ความคิดหลากหลายวนเวียนเป็นคำถามอยู่ในสมอง หลายคำถามที่สมองของเขาปฎิเสธ แต่หัวใจกลับยอมรับมัน ความนึกคิดในส่วนสมอง กำลังต่อสู้กับความรู้สึกของหัวใจ ในความรู้สึกของชายหนุ่ม ช่วงเวลาแห่งการต่อสู้นี้มันช่างยาวนานเหลือเกิน

...ในที่สุดฝ่ายหลังก็ได้ชัยชนะ ...

ภูริทัตเอื้อมมืออันสั่นทาออกไปจับลูกบิดไว้ แล้วค่อยๆหมุนเปิดบานประตู ก้าวเข้าไปในห้องที่มีเพียงแสงสลัวของไฟกิ่ง กวาดสายตาไปทั่วห้อง ก็เห็นร่างสูงโปร่งของสเตฟานยืนอยู่บริเวณหน้าต่างบานใหญ่ เขาปิดประตูลงอย่างแผ่วเบา แล้วก้าวเท้าเข้าไปหาร่างนั้นอย่างช้าๆ

ออฟไลน์ zandwizz

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2245
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +148/-7
อ่า คืนดีกันแระ ๆ ๆ ๆ

จำได้ไว ๆ นะภู

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
ลุ้นจนจะช็อคตาย ตัดจบแบบนี้  :serius2:  ต้องมาต่อเร็วๆ นะ

salapaw

  • บุคคลทั่วไป
จำไวๆๆนะ

จะมีฉาก....อ่ะเปล่าเนี่ยยยยยยยยยย :call:

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
ค้างงงงงงงง ได้อีก ลุ้นนะเนี่ย  :z1:

LifeTime

  • บุคคลทั่วไป
คืนดีกันไวๆ ซึ้งใจจนน้ำตาจะไหล...สงสารสเตฟาน  :m15:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด