บทที่ 23
ไม่พูดเปล่า จมูกโด่งเลื่อนมาซุกอยู่ซอกคอของผม เดียร์จูบและหอมตรงนั้น ก่อนจะใช้ปากและเล็มที่ใบหูรวมถึงติ่งหูผมเล่น จนกระทั่งผมใจอ่อน ยอมให้เขาลวนลามแต่โดยดี
ความตั้งใจที่จะนอนพักมลายไป กลายเป็นว่าบนเตียงกลับกลายเป็นสนามรบอีกครั้ง ผมเลยไม่ต้องหลับต้องนอนกันพอดี เพราะเอาตัวลงไปมีส่วนร่วมในปฏิบัติการแห่งความรักด้วยกันกับเขา
เด็กหนุ่มมอบความรักให้ผมครั้งแล้วครั้งเล่าจนผมอ่อนระทวยไปหมด ไม่มีเรี่ยวแรงจะลุกขึ้นอีกแล้ว ได้แต่ซุกซบอยู่ในอ้อมแขนที่อบอุ่นนั้น
ใบหน้าแนบกับแผ่นอกของเดียร์ นอนฟังเสียงหัวใจของเขาที่เต้นรัวจนกระทั่งมันค่อยๆสงบลง โชคดีที่วันพรุ่งนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ และเป็นวันหยุดยาวเนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลปีใหม่ แถมซ้ำไม่มีงานอะไรวุ่นวายมากนัก ทำให้ผมสามารถนอนหลับและตื่นสายได้
เมื่อกลางวันผมโทรไปถามไถ่งานจากจุ๋มเป็นระยะเพื่อมอบหมายงานแต่ละอย่างให้ลูกน้องของผมทำ ถึงจะลางาน แต่ผมก็ยังเป็นห่วง เมื่อเห็นว่าที่แผนกสามารถทำงานกันได้ ไม่มีอะไรที่ต้องกังวลผมก็เลยเบาใจ
จากนั้นผมก็โทรไปขออนุญาตเจ้านายลาป่วยต่อและลาพักร้อนช่วงปีใหม่พร้อมกันโดยผมได้ส่งอีเมล์ไปยังเจ้านายและฝ่ายทรัพยากรบุคคลให้รับทราบด้วย เป็นการใช้สิทธิ์ของตัวเอง ไม่เอาเปรียบผู้อื่นโดยการหยุดไปเฉยๆและเก็บวันลาเอาไว้
เจ้าหนูของผมนอนหลับไปแล้ว ทั้งที่กอดผมเอาไว้แนบแน่น เดียร์คงจะเหนื่อยมาก เพราะทั้งช่วยผมทำงานบ้านแล้วยังจะมาออกแรงกับผมอีกในยามค่ำคืน เสียงลมหายใจของเขาดังสม่ำเสมอ
ผมเงยหน้าขึ้นมองเขา เห็นเปลือกตาของเด็กหนุ่มปิดสนิท แพขนตางอนยาวดกหนาคลี่ทาบทับกับโหนกแก้มสีน้ำตาลทอง ผมมองภาพเดียร์ที่กำลังหลับอย่างเพลิดเพลิน
รู้สึกว่าตัวเองกำลังยิ้ม เป็นยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขสมหวัง ผมรักเด็กคนนี้มากมายเหลือเกิน อยากอยู่กับเขาให้นานที่สุด ตั้งใจไว้แล้วว่าเวลาที่เหลืออยู่ จะพยายามไม่ให้เกิดเรื่องบาดหมางระหว่างเราขึ้นมา
ปรารถนาที่จะเก็บเกี่ยวความทรงจำที่ดีไว้ ก่อนที่จะเลิกร้างจากกันไปในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ถึงแม้ผมจะกลับไปรักผู้หญิง ผมก็ไม่อยากจะลืมเด็กหนุ่มคนนี้ เขาเป็นเด็กดี แล้วก็น่ารักเกินกว่าที่จะลบเลือนเขาออกไปจากใจ
ผมปิดเปลือกตาลง ไม่อยากคิดอะไรอีกต่อไปแล้ว เริ่มล้ากับการต่อสู้กับความรู้สึกของตัวเอง ทั้งอยากอยู่ใกล้ ทั้งอยากหนีหายไปจากเดียร์
ไม่อาจจะแน่ใจได้ว่าอะไรคือสิ่งที่ผมต้องการอย่างแท้จริง ผมคล้ายคนบ้าเข้าไปทุกทีที่เอาแต่คิดวนเวียนไม่จบไม่สิ้น เพื่อไม่ให้ตัวเองฟุ้งซ่านไปมากกว่าเดิมการหลีกลี้ความเป็นจริงเข้าสู่โลกแห่งความฝันในห้วงนิทราจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
ผมหลับตาลงและแนบหน้าเข้ากับหน้าอกของเดียร์ ฟังเสียงหัวใจของเขาที่เต้นเป็นจังหวะต่อเนื่อง จนกระทั่งหลับไป
อากาศเริ่มหนาวเย็นลงทุกที ฤดูหนาวครั้งนี้ทำให้คนกรุงเทพได้มีโอกาสใส่เสื้อกันหนาวอยู่หลายวัน วันนี้เป็นวันเสาร์สิ้นปี ส่วนพรุ่งนี้เป็นวันเริ่มต้นปีใหม่ เพราะมัวแต่ป่วยกันทั้งสองคน ทำให้ทั้งผมและเดียร์ไม่ได้เตรียมการอะไรเป็นพิเศษ กว่าจะคิดได้ก็ล่วงเข้าสู่เทศกาลแล้ว
“เดียร์ อยากไปไหนบ้างหรือเปล่า”
ผมถามเด็กหนุ่มขณะทำความสะอาดอยู่ด้วยกันในห้องรับแขก เด็กหนุ่มกำลังปัดกวาดฝุ่นอยู่ตรงแถวๆโซฟา ในขณะที่ผมเอาผ้าเช็ดถูทีวีและเครื่องเสียง เดียร์เงยหน้าขึ้นจากงานที่ทำ แล้วหันมาหาผม
“เรียวไปไหน ผมก็ไปที่นั่นล่ะครับ”
“ไม่ต้องมาหวานใส่เลย อยากไปเที่ยวไหนวันปีใหม่ก็บอกมา จะได้พาไป”
“จริงหรือครับ เรียวใจดีจังเลย”
เดียร์เดินเข้ามาใกล้ผมและทำท่าจะกอด แต่ผมเดินหนีด้วยรู้สึกเขิน พลางดุเขา
“พูดมาก ตอบคำถามมาสักทีสิ มัวแต่โยกโย้ อยู่ได้ เดี๋ยวก็ไม่พาไปซะเลยนี่”
“โอ๊ยยยย อย่าทำอย่างนั้นนะครับ”
เด็กหนุ่มทำเสียงอ้อน พลางเดินเข้ามาประชิดตัวแล้วคว้าผมมากอดไว้ก่อนจะทันหนี
“งั้นก็บอกมา”
“ที่ไหนก็ได้ครับเรียว คุณไปที่ไหนผมก็ไปที่นั่นอ่ะครับ”
“เอ๊ะ ที่ที่ฉันชอบ กับที่ที่นายชอบอาจจะไม่เหมือนกันก็ได้ ไหนๆก็เป็นวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ทั้งที ฉันก็อยากจะตามใจนายสักครั้งพาไปที่ไหนๆก็ได้ที่นายชอบน่ะ”
“ผมอยากไปทุกที่ที่มีเรียวอยู่ด้วยนะครับ เรียวอยู่ที่ไหน ผมก็ชอบที่จะอยู่ที่นั่น ความสุขของผมคือการที่ได้อยู่ใกล้ๆเรียวครับ”
คำพูดอ้อนๆของเดียร์ทว่าแฝงไปด้วยความจริงใจนั้นมันทำให้ผมรู้สึกเป็นสุขอย่างบอกไม่ถูก เด็กหนุ่มไม่เพียงพูดจาหวานหูให้ผมเคลิบเคลิ้ม การแสดงออกของเขากลับมีความหมายมากยิ่งกว่า เขาทำให้ผมตระหนักว่าความรักที่มีให้ผมนั้นมากมายเพียงใด
“ช่วงหยุดยาวปีใหม่แบบนี้ ถ้าออกต่างจังหวัดก็คงไม่มีที่พักแล้วล่ะ แล้วคนก็คงจะเยอะแยะไปหมดทุกที่ ทางที่ดี เราควรจะฉลองปีใหม่กันในกรุงเทพนี่แหละ นายว่าไงล่ะ”
“ดีครับ ผมเองก็ไม่ชอบอยู่ในที่ที่มีคนเยอะๆ อยากอยู่ที่บ้านนี้ กับเรียวและฉลองกันสองคนก็พอแล้ว”
“ไม่เบื่อหรือไง อุดอู้อยู่แต่ในบ้านแบบนี้น่ะ”
“การได้อยู่กับเรียวไม่ใช่อะไรที่น่าเบื่อหน่ายสำหรับผม เรียวทำให้ผมอยากอยู่กับบ้านมากกว่าอ่ะครับ ผมรู้ซึ้งถึงคำว่าครอบครัวซึ่งผมไม่เคยมีมาก่อนเมื่อได้มาใช้ชีวิตร่วมกับคุณ ก่อนหน้านั้นผมต้องร่อนเร่ไปมาอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่เป็นนักมวย และนักแสดงโชว์คาร์บาเรต์ พอมาเป็นแดนเซอร์ก็ต้องไปเต้นในที่ต่างๆไม่ได้อยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง พอได้เจอกับเรียวมันทำให้ผมคิดที่จะลงหลักปักฐานสร้างครอบครัวเล็กๆของผมขึ้นมา ตอนนี้ผมเฝ้ารอเวลาที่จะให้มันสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ผมอยากได้บ้านที่สมาชิกครอบครัวอยู่กันอย่างถาวรไม่ใช่ชั่วคราวนะครับ”
น้ำเสียงของเดียร์ขณะที่พูดกับผมก่อให้ความรู้สึกหลายอย่างขึ้นมา ถึงแม้โดยรวมแล้วสิ่งที่เด็กหนุ่มกำลังบอกเล่ากับผมจะให้ความรู้สึกหงอยเหงาเศร้าสร้อย ทว่ากลับแฝงไปด้วยความหนักแน่นจริงจัง เด็กหนุ่มคงคาดหวังให้ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นจริงๆกับเขา
ผมฟังแล้วรู้สึกสะท้านในอก สงสารเดียร์อย่างบอกไม่ถูก เด็กหนุ่มที่ขาดความรักความอบอุ่นมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยได้รู้ความหมายของคำว่าครอบครัวอย่างแท้จริง พ่อแม่และญาติมิตรที่แท้ไม่เคยมีใครดีกับเขา ทำให้เด็กหนุ่มต้องแสวงหาความรักไปเรื่อยๆ โชคดีที่เขาได้รู้จักคนดีๆที่คอยหยิบยื่นความรักให้ แต่มันก็ยังดูไม่เพียงพอต่อความต้องการ จนกระทั่งมาเจอผมเข้า เด็กหนุ่มก็ทำดี เอาอกเอาใจ หวังให้ผมตอบรับรักเขาบ้าง ผมเป็นเสมือนบ้านหลังสุดท้ายที่เขาจะขอพักพิงอาศัย เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ผมยังจะกล้าทิ้งเขาไปได้ละหรือ
“สักวันนายคงจะได้เจอคนดีๆที่จะทำให้ครอบครัวในฝันของนายสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น”
“คงไม่ต้องรอหรอก เพราะตอนนี้ผมเจอแล้วครับ แต่คนที่ผมต้องการให้เขาเป็นสมาชิกถาวรในครอบครัวของผมยังไม่ยอมรับใจตัวเอง ผมเลยต้องพยายามอย่างสุดความสามารถครับที่จะทำให้เขารักผมให้ได้”
พูดแบบนี้ ทำไมผมจะไม่รู้ว่าเดียร์หมายถึงใคร สิ่งที่เขาอยากได้ ผมก็ดันลังเลที่จะให้ ผมได้แต่แอบทอดถอนใจอยู่คนเดียว ทำไมเรื่องแบบนี้ถึงต้องมาเกิดขึ้นกับผมหนอ เด็กที่น่ารัก น่าสงสารคนนี้ ทำไมถึงไม่เป็นผู้หญิงนะ ผมคงไม่ต้องให้เขาง้องอนผมถึงขนาดนี้หรอก เพราะผมนั่นแหละจะเป็นฝ่ายร้องขอให้เขาอยู่กับผมไปตลอดชั่วชีวิต แต่เพราะเดียร์กับผมเป็นเพศเดียวกัน ผมถึงได้วุ่นวายใจแบบนี้ แล้วผู้ชายกับผู้ชายรักกัน มันจะจีรังยั่งยืนเหมือนผู้หญิงกับผู้ชายละหรือ ในเมื่อไม่มีอะไรที่จะผูกพันกันไปตลอด โซ่ทองคล้องใจอย่างเช่นลูกก็มีให้แก่กันไม่ได้ แล้วมันจะเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ไปได้อย่างไร
“ขานายค่อยยังชั่วหรือยัง....”
“ดีขึ้นมากแล้วครับ เดินได้คล่องแล้วล่ะ .......จะชวนผมไปตระเวณที่ไหนเหรอ”
“อื้ม จะชวนนายไปเดินเล่นซะหน่อย อาจจะไปซื้อข้าวของเครื่องใช้ ซื้อของขวัญของฝากไปทานข้าวนอกบ้านสักมื้อ ต่อจากนั้นอาจจะดูหนัง หรือโยนโบล์ เดินดูไฟยามค่ำคืน รอเวลาที่เขาจะนับเวลาถอยหลังไปสู่ปีใหม่กัน นายคิดว่าเป็นไง ไอเดียนี้”
“โอ๊ย ดีครับ ไป ไป ไป ที่ไหนที่มีเรียว ผมไปทั้งนั้นครับ แล้วไปกันตอนนี้เลยหรือเปล่า”
เดียร์ถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เขากอดผมไว้แน่น และใช้ปากซุกไซร้อยู่แถวซอกคอของผม เบี่ยงตัวหนียังไง ก็ไม่พ้น โดนเขาทั้งจูบทั้งกอดแบบนี้ เล่นเอาผมอารมณ์กระเจิดกระเจิง
“นี่นี่นี่ ปากบอกว่าไป แต่ทำไมยังมากอดมาจูบอยู่ได้ เดี๋ยวก็ไม่ต้องไปไหนกันพอดี หมกตัวอยู่แต่ในบ้านนี่แหละ เจ้าเด็กลามก”
ผมเอ็ดเขาเสียงดัง พลางแกะไม้แกะมือที่ยุ่มย่ามเป็นปลาหมึกออกจากตัว เดียร์หัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ ตีหน้าทะเล้นใส่
“ก็แหม มันอยากทำทั้งสองอย่างนี่ครับ ช่วยไม่ได้นี่ เรียวอยากน่ารักทำไมล่ะ ให้ผมขลุกอยู่กับเรียว กุ๊กกิ๊กกันทั้งวันทั้งคืนโดยไม่ต้องเห็นเดือนเห็นตะวันเลยก็ยังได้อ่ะ ชอบมาก เวลาอยู่กับเรียวสองต่อสอง ผมมีความสุขที่สุดเลยรู้ไหม”
เอาอีกแล้ว พูดแบบนี้ผมก็เสร็จนะสิ ใจเต้นไม่เป็นส่ำเลย นี่หน้าผมคงแดงก่ำด้วยความอายปนความสุขต่อหน้าเขาแน่ๆ เพราะผมรู้สึกร้อนวาบๆด้วยเลือดที่ฉีดพล่าน เจ้าบ้าเอ๊ย จะพูดทำไมกันนะ แค่เพียงไม่กี่ประโยคที่เปล่งออกมา ก็สามารถโยกคลอนภูเขาน้ำแข็งในใจของผมได้แล้ว ขืนฟังบ่อยๆต้องใจอ่อนเข้าสักวันแน่เลย
“รีบๆทำงานบ้านเข้าเถอะ แล้วแต่งตัวออกจากบ้านกันได้แล้ว โปรแกรมเยอะแบบนี้ขืนไปช้า จะทำได้ไม่หมดทุกอย่าง”
ชิ่งหนีก่อนดีกว่า ขืนอยู่ใกล้มากๆ เดียร์คงปล้ำผมในห้องรับแขก ไม่ต้องออกไปไหนกันเลย เจ้าเด็กบ้านี่ยิ่งไว้ใจไม่ได้อยู่ ชอบทำเจ้าชู้ยักษ์ใส่ตลอดเวลา เผลอเป็นไม่ได้ ทั้งปาก จมูกมือไม้ลวนลามผมไม่หยุด นับวันผมก็ยิ่งต่อต้านเขาน้อยลงขึ้นเรื่อยๆ แถมซ้ำบางทีก็ออกอาการรู้เห็นเป็นใจให้เขาทำกับผมเสียอีก คิดแล้วก็ให้เหงื่อตก นี่ผมกลายเป็นเกย์ไปแล้วหรือยังนะ ทำไมเวลาที่เด็กหนุ่มนัวเนียเข้าใกล้ มันถึงได้มีแต่ความสุขไม่มีความรังเกียจหลงเหลืออยู่เลยล่ะ
เสียงเดียร์หัวเราะลงคอเอิ๊กอ๊าก ทำท่าเหมือนรู้เท่าทันความคิดของผม โชคดีที่เด็กหนุ่มไม่ทำดึงดันกลั่นแกล้งเหมือนที่เคยยามที่อยากได้ตัวผม เขาแค่ยิ้มล้อเลียนจากนั้นก็ทำท่าตะเบ๊ะเหมือนทหารที่รับคำสั่งให้ไปปฏิบัติก่อนจะหันไปง่วนอยู่กับงานที่ทำคั่งค้างอยู่
ในเวลาไม่นานนัก เราสองคนก็ช่วยจัดการงานทุกอย่างในบ้านเสร็จตั้งแต่กวาดบ้าน ถูบ้าน อาบน้ำให้เจ้าหญิง เอาข้าวให้มันทาน รดน้ำต้นไม้ และซักผ้า ผมกับเดียร์แข่งกันทำเวลาเข้าห้องน้ำ เขาเข้าห้องข้างล่าง ส่วนผมเข้าห้องข้างบน กว่าจะตกลงกันได้ ก็นานพอสมควร เพราะหนุ่มน้อยของผมงอแง จะขออาบน้ำด้วย อ้างว่าจะช่วยผมขัดเนื้อตัว จะได้เร็วขึ้น แต่เมินเสียเถอะผมไม่หลงกลหรอก ขืนเชื่อเขากว่าจะได้ออกจากห้องน้ำก็คงใช้เวลาไม่ต่ำกว่าชั่วโมงแน่
ผมเปิดตู้เสื้อผ้า เพื่อเลือกหาอาภรณ์ที่จะใส่ไปเที่ยวกับเดียร์ แล้วก็เพิ่งจะสังเกตเห็นว่า เสื้อผ้าของเด็กหนุ่มที่ผมวางไว้ข้างนอกตอนที่เขาไปทัวร์คอนเสิร์ตได้กลับเข้ามาแขวนเหมือนเดิม แต่แขวนไว้มุมในสุดถ้าไม่รื้อไปด้านในก็จะไม่เจอ ผมนึกละอายใจที่วางเสื้อผ้าเขาทิ้งไว้อย่างไม่ใยดี เดียร์คงมาเห็นเข้าแล้วคงจะสะเทือนใจ แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการโกรธเคืองออกมาให้เห็น กลับแอบเอามาแขวนไว้ตามเดิมเงียบๆ ผมเอามือลูบไล้ไปตามเสื้อผ้าของเด็กหนุ่มแล้วกล่าวคำขอโทษในใจที่ทำลงไปอย่างนั้น
เสื้อผ้าที่มีอยู่ในตู้ส่วนใหญ่เป็นโทนสีขาวดำ ยกเว้นแต่เสื้อเชิ้ตที่ผมซื้อมาใหม่สี่ห้าตัวที่มีสีสันสดใส ผมเปิดลิ้นชักออก เสื้อยืดที่เดียร์ซื้อให้ยังพับเรียบร้อยอยู่ในนั้น คราวที่แล้วผมใส่ตัวสีชมพูไป คราวนี้ ผมจะใส่เสื้อของเขาอีกดีไหมหนอ เดียร์จะดีใจมากแค่ไหนกันนะ ที่รู้ว่า ของที่เขาให้ผมมา ไม่ได้ถูกทิ้งขว้างไปไหน
หลังจากลังเลใจอยู่นาน ในที่สุดผมก็หยิบเสื้อยืดตัวสีฟ้าอ่อนละมุนตาขึ้นมาสวม เป็นเสื้อคอกลมมีลายเล็กๆอยู่ตรงหน้าอกเป็นรูปหมีสองตัวกอดกัน ผมเลือกกางเกงยีนส์สีซีดๆตัวหนึ่งมาใส่ เมื่อแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินลงไปข้างล่าง ยังไม่ทันจะลงไปถึงบันไดขั้นสุดท้ายก็ได้ยินเสียงผิวปากวิ๊ดวิ้ว มาจากคนหน้าทะเล้นที่ยืนมองผมตาเป็นประกายแพรวพราว เดียร์จ้องเอาจ้องเอาจนผมแทบจะเดินตกบันได เพราะเขินอายและวางตัวไม่ถูก
“มองอะไร เจ้าเด็กบ้า ไม่เคยเห็นกันเลยหรือไง มองอยู่ได้”
ผมแสร้งทำหน้าบึ้งใส่ กลบเกลื่อนอาการเขินจัดของตัวเอง เดียร์ยิ้มยั่วเย้า
“ทุกวันว่าน่ารักแล้ว แต่วันนี้กลับน่ารักมากมายกว่าเดิม นึกแล้วไม่มีผิด คนหน้าหวานแบบเรียว ยิ่งใส่เสื้อผ้าสีสันสดใส ยิ่งดูดีมากยิ่งขึ้น หวานจนจะอดใจไม่อยู่แล้ว เปลี่ยนใจได้ไหมครับ ไม่อยากไปกินข้าวนอกบ้านแล้วอ่ะ อยากกินของหวานที่อยู่ในบ้านมากกว่า”
“นี่นี่นี่ ตื่นได้แล้ว....เพ้ออยู่ได้ ฉันจะออกไปข้างนอกล่ะ ถ้าจะไปก็ตามมา ถ้าไม่อยากไป ก็เชิญอยู่บ้านคนเดียว แล้วนั่งพล่ามไปเถอะ”
พูดจบก็เดินหนีเด็กหนุ่มตรงไปยังประตูหน้าบ้าน เดียร์รีบกระวีกระวาดตามมา จัดการปิดประตูบ้านให้ผมเสร็จสรรพ แล้วก็ขึ้นไปนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ในรถ ผมลอบยิ้มเมื่อเห็นท่าทางกระตือรือร้นนั่น ดูๆไปเจ้าเด็กหน้าทะเล้นนั่นก็น่ารักใช่เล่น ยิ่งเวลาดีอกดีใจก็จะแสดงออกมาโดยไม่ปิดบังคล้ายกับเด็กๆ ทำให้ผมซึ่งเก็บงำความรู้สึกตัวเองมาตลอดอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกลายเป็นคนที่แก่ต่างจากเด็กหนุ่มโดยสิ้นเชิง
“ไปเดินสวนจตุจักรกันไหม ที่นั่นมีของเยอะดี น่าจะซื้อหามาเป็นของฝากได้ อากาศคงไม่ร้อนสักเท่าไหร่ เพราะอยู่ในช่วงหน้าหนาว”
ผมเสนอความคิดกับเดียร์ เด็กหนุ่มพยักหน้า เดียร์เคยบอกผมมานานแล้ว ว่าเขาชอบไปเดินสวนจตุจักร ผมออกไปเที่ยวกับเขาครั้งแรกก็ที่นี่เหมือนกัน เมื่อเดียร์ไม่มีความเห็นขัดแย้ง ผมเลยขับรถมุ่งหน้าตรงไปยังถนนพหลโยธินทันที รถไม่ติดมาก เนื่องจากเป็นช่วงวันหยุดยาวสิ้นปี คนออกไปฉลองกันที่ต่างจังหวัดส่วนหนึ่ง ทำให้ถนนโล่ง ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ผมก็ถึงสวนจตุจักรแล้ว
ร้านรวงบางร้านปิดไปบ้าง ทว่าคนก็ยังคึกคักสำหรับการมาจับจ่ายซื้อของ ผมเดินชมสินค้าไปเรื่อยๆ ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะซื้ออะไรบ้าง ก่อนออกมาจากบ้าน ผมลิสต์รายชื่อ คนที่ผมจะต้องให้ของขวัญไว้แล้ว มีตั้งแต่ระดับผู้ใหญ่เจ้านายของผม ลูกน้องในแผนก เพื่อนร่วมงาน เพื่อนที่สนิทกันสมัยเรียน และ เพื่อนข้างบ้านด้วย โดยกำกับลักษณะนิสัยและความชอบของแต่ละคนเอาไว้ เพื่อที่ผมจะได้ซื้อของให้เหมาะสมกับแต่ละคน
ผมเลือกของขวัญที่ทำจากพวกไม้ เช่นพวกแจกัน โคมไฟที่มีรูปทรงแปลกๆให้กับพวกผู้ใหญ่ เจ้านายโดยตรงของผมชอบสะสมรูปภาพ ผมจึงเลือกงานเขียนพระพุทธรูปลงบนไม้ให้ ส่วนน้องๆในฝ่าย ผมซื้อชุดสำหรับใส่เครื่องเขียนที่ทำจากดินเผาให้
จากนั้นก็มาถึงบรรดาเพื่อนร่วมงาน ถ้าเป็นผู้หญิง ผมจะให้ของน่ารักๆเช่นพวกกรอบรูป กระปุก หรือ ตุ๊กตาต่างๆ ทั้งที่ทำจากเรซิน หรือผ้า ส่วนเพื่อนผู้ชาย ก็จะได้เสื้อยืดที่พิมพ์ข้อความกวนๆแต่สื่อความหมายถึงเพื่อนแต่ละคนได้ดี อย่างเช่นเสื้อที่เขียนว่า “don’t u know I’m a good gay” และ “รักใสใสหัวใจสีรุ้ง” ผมเลือกซื้อให้เจ้าสันต์ ตั้งใจจะแหย่มันเล่นๆ ส่วนเสื้อที่เขียนว่า “เมียจ๋าผมสับสน” ผมดันนึกถึงศักดิ์ชายขึ้นมาทันที เดียร์เลือกเสื้อ “หญิงแท้หรือจะสู้กระเทยไทย”ให้น้อย “ได้หลังลืมหน้า” ให้สมฤทัย และ “โปรดเข้าเยี่ยมชมทางประตูหลัง”ให้ โสภิตนภา ผมเลือกซื้อเสื้อที่พิมพ์คำว่า “I’m not a perfect guy” สำหรับตัวเอง ส่วนเดียร์ซื้อเสื้อสีขาว สกรีนสีดำตัวเป้ง สองแถวว่า “I’m your man”
ตอนที่จ่ายเงิน ผมเห็นคนขายยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ท่าทางตุ้งติ้งเหมือนกระเทย เขามองเราสองคนเขม็ง และมองเสื้อที่พวกเราเลือกซื้อ ผมหน้าร้อนผ่าวด้วยความอาย เมื่อนึกได้ว่า เสื้อแต่ละตัวมันสื่อไปในความหมายของชายรักชายทั้งนั้น ทั้งๆที่ร้านนี้มีเสื้อยืดที่มีข้อความต่างๆเยอะแยะ ไม่เกี่ยวกับเกย์ก็มี แต่เรากลับเลือกซื้อแต่ข้อความที่ระบุความเป็นเพศที่สามออกมาอย่างชัดเจน ก็สมแล้วที่คนขายจะมองด้วยสายตาแบบนั้น
“มีอะไรเหรอครับ”
เดียร์ถามโพล่งออกไป คงจะสังเกตเห็นเหมือนกันว่า คนขายมองเราอยู่ ชายท่าทางตุ้งติ้งจีบปากจีบคอโต้ตอบทันที
“เปล่าค่ะ คือเห็นว่าคุณสองคนหน้าตาดีด้วยกันทั้งคู่เลย มาด้วยกันด้วย ก็เลยสงสัยว่าเป็นแฟนกันหรือเปล่า ถ้าใช่ก็เหมาะสมกันมากเลยค๊า”