Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 26
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 26  (อ่าน 14628 ครั้ง)

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 21
«ตอบ #90 เมื่อ23-08-2025 13:21:21 »

Teaser ตอนที่ 21


“What’ s the relationship between you two?”

“I don’ t know. I know it’ s more than friend, but we never talk about it.”

“You should. Because just friend don’ t look at each other like that”

“I know, but too much fear.”

“I understand. Do you have the answer you are looking for?”

“Yes, I do ... love him.” คำตอบนั้นพูดออกมาอย่างง่ายดายกว่าที่คิด ... จนผมเองยังเผลอยิ้มบาง ๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัว

“I am glad that you have your answer. But the next step takes a lot of courage. ...”

“... keep fighting, I’ m right behind you.”

“Thanx … But I wonder. Minho said you like me.” พูดถึงประโยคนี้ผมก็หยุดชะงักเพราะไม่แน่ใจว่าจะเป็นการเสียมารยาทหรือเปล่า

Bruno เหมือนรอว่าผมจะพูดอะไรแต่พอเห็นผมเงียบเขาก็ทำท่าเหมือนคิดอะไรอยู่

“I see, but why am I not even flirting with you? . Not once. …” ผมพยักหน้ารับ นั้นแหละที่ผมสงสัย Bruno พักอยู่ห้องข้างๆ ผม เป็นคนแรกที่ผมได้คุยด้วย และถือเป็นเพื่อนร่วมบ้านที่สนิทที่สุดของผม แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาไม่เคยแสดงท่าทีจีบผมเลยแม้แต่น้อย

“… I honestly like you but when I saw you two together. I know I have no chance.” ผมยิ้มรับให้กับคำตอบของ Bruno และภาวนาขอให้ทุกอย่างเป็นจริงตามนั้น


----------


#Just friend don’ t look at each other like that
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Love, In Every Lifetime ตอนที่ 21 : หิมะโปรยปราย
«ตอบ #91 เมื่อ24-08-2025 09:04:49 »

ตอนที่ 21 : หิมะโปรยปราย 1/2

เช้าวันถัดไป ผมลืมตาตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าเราทั้งคู่นอนอยู่คนละฝากฝั่งของเตียง ไม่รู้ว่าเพราะผมหรือมันกันแน่ที่นอนดิ้น เข็มสั้นของนาฬิกาบนผนังชี้ไปเกือบจะถึงเลข 11 ไม่บ่อยนักที่ผมจะตื่นสายจนตะวันโด่งขนาดนี้ ผิดกับคนที่นอนอยู่ข้างๆ ที่ตื่นสบายเป็นปกติ บางวันอาจจะเลยไปถึงช่วงบ่ายเลยด้วยซ้ำ ผมลุกขึ้นมาจากเตียงแล้วหันกลับไปมองเพื่อนสนิทที่นอนหันหลังให้ ภาพที่ตัวเองถูกจีกอดไว้ทั้งตัวฉายวาบขึ้นมาในหัว แม้อุณภูมิวันนี้จะอยู่ที่ 10 กว่าองศาแต่ใบหน้าของผมกลับรู้สึกร้อนผ่าววูบวาป ... จีจะรู้ตัวบ้างไหมว่าเมื่อคืนทำให้ผมใจเต้นแรงแค่ไหน

หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ ผมก็เดินขึ้นมาชั้นบน ทุกอย่างเงียบสงัด คิดว่าทุกคนน่าจะยังนอนหลับอยู่ เดาจากเมื่อคืนก่อนจะเผลอหลับ ผมยังได้ยินเสียงดังมาจากชั้น 1 อยู่เลย ตอนแรกคิดว่าจะรอจีตื่นแล้วค่อยหาอะไรกินแต่ตอนเดินผ่านห้องนั่งเล่นเมื่อครู่ เจ้าตัวยังนอนหลับไม่รู้เรื่องอยู่เลย ถ้ารอต่อไป ผมอาจจะได้กิน late lunch แทน โชคดีที่ในตู้เย็นมีแป้ง pancake เหลือมาจากเมื่อวาน เลยพอประทังความหิวไปได้อีกมื้อ ... pancake เนย วิปครีม และ Maple syrup เป็นส่วนผสมที่โคตรจะลงตัว ขณะกำลังทอด pancake ผมอดคิดไม่ได้ว่าที่เมืองไทยผมแทบจะไม่เคยทำอาหารกินเองเลยด้วยซ้ำ แต่พอมาอยู่ที่นี้ต้องทำเองทุกอย่าง โดยเฉพาะมื้อกลางวันที่ต้องทำ sandwich แล้ว pack ไปกินที่โรงเรียน

“Hi” ในขณะที่กำลังยืนล้างจานอยู่ในครัว น้ำเสียงคุ้นเคยของเพื่อนสนิทก็ดังขึ้นจากด้านหลัง ... จีตื่นแล้ว

“ตื่นเร็วกว่าที่กูคิดนะเนี่ย” เข็มสั้นของนาฬิกายังเลยเลข 1 มาได้ไม่เท่าไหร่

“กูรู้สึกตัวแล้วเห็นว่ามึงตื่นแล้ว ก็เลยลุกขึ้นมา ... มีไรกินบ้างวะ” จีถามเสียงงัวเงีย ดวงตายังปรือ ทรงผมชี้โด่ชี้เด่ ... ตื่นก็สาย พอตื่นมาแล้วก็ร้องหาของกิน ไม่บ่อยนักที่ผมจะเห็นจีทำตัวเป็นเด็กอายุ 5 ขวบแบบนี้

“มี pancake” ผมเพยิกหน้ายังถ้วยแป้ง pancake ดิบ ถ้วยใหญ่ที่ยังวางอยู่บนเคาน์เตอร์ครัว

“ทำให้กินหน่อย” แม้จะไม่ได้ทำท่าทางหรือน้ำเสียงออดอ้อน แต่พอนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ทั้งคำพูดที่เกินเลยจากคำว่าเพื่อนสนิทไปพอสมควร และเรื่องที่นอนกอดกัน สถานการณ์ตอนนี้เลยทำให้หัวใจของผมวูปไหวไม่น้อย ... ทำไมบรรยากาศมันถึงได้เหมือนคู่รักกันขนาดนี้นะ

“อืม ... กินเยอะปะ” ผมพยักหน้ารับ พลางเดินกลับไปหน้าเตา

“4 แผ่น”

“แดกอะไรเยอะแยะวะ”

“ก็กูหิว ... ทำๆ ไปเถอะ มึงยังมีคดีติดตัวอยู่นะ” ผมหันกลับไปขมวดคิ้วใส่จี คดีอะไรของมันวะ?

“กินอิ่มก่อนแล้วค่อยสะสางกับมึงทีหลัง ถ้าอร่อย โทษมึงอาจจะลดก็ได้นะ” มันยักคิ้วข้างเดียวอย่างมีเลศนัย แสดงท่าทางออกชัดเจนมาว่าถือไพ่เหนือกว่า ... เมื่อวานผมทำอะไรลงไปบ้างวะเนี่ย

“ชิห์” ถึงจะสบถ และทำสีหน้าไม่พอใจ แต่ผมก็บรรจงเทแป้ง pancake ลงในกระทะ ก่อนจะปาดเนยใส่ลงไปหน่อยนึง

“เอาเนยเพิ่มอีก ...” โคตรน่าหมันไส้ ทำมาเป็นยืนกอดอกสั่งโน่นสั่งนี้ ได้ทีละเอาใหญ่ ได้ยินแบบนั้นผมเลยจ้วงเนยกระบิใหญ่ใส่ลงกระทะ

“... มึงกวนตีนกูเหรอ” มือหน้าวางลงบนหัวทุยของเพื่อนสนิทก่อนจะโยกไปมา

“ไอ้จี หน้าเตาไหมมึง” ผมมองหน้ามันตาเขียว แม้จะไม่มีความสามารถในการทำครัว แต่ผมก็รู้ว่าไม่ควรเล่นกันหน้าเตา

“เออมิลค์ มึงทำไข่ดาวเป็นเปล่าวะ” มันถามหลังจากเดินกลับไปยืนในที่ของตัวเอง

“ฮึ ...” ผมส่วยหัว ไข่ดาวนี่ advance ไปนะมึง

“... มึงจะกินกับ pancake ?” คนบ้าอะไรวะกินไข่ดาวกับ pancake

“เปล่า มึงทำให้กูได้ปะ มื้อกลางวัน” หืมมมมมมมมมมมมมมมมมมม ?

“ทุกวัน?...” ผมถามกลับ และสิ่งที่ได้รับกลับมาคือรอยยิ้มมุมปากที่แฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์ของคนตรงหน้า

“... มากไปมั้งมึง ข้าวกลางวันกูยังเป็น sandwich โง่ๆ อยู่เลย” มื้อกลางวันของผมคือ sandwich เด็กอนุบาล คือทาเนยบนขนมปัง ใส่ผักใบเขียว ใส่แฮม ใส้กรอก จบแค่นั้นเลย

“นะๆ ทำให้กินหน่อย” อืมมมมม พฤติกรรมออดอ้อนแบบนี้ไม่ดีต่อหัวใจของผมเลยเอามากๆ

“มึงก็ทำได้ไม่ใช้เหรอ” ผมถามกลับ ไม่เข้าใจว่ามันจะให้ผมทำให้ทำไม เพราะก็รู้อยู่แก่ใจว่า skill ทำอาหารของตัวเองมีมากกว่าผม

“กูตื่นไม่ทัน” รอยยิ้มค้างอยู่บนใบหน้าสวย เมื่อได้ยินคำตอบของคนที่ยืนเยื้องอยู่ด้านหลัง ... แม้จะไม่ได้คาดหวังว่าจะได้คำตอบหวานแหววหัวใจพองฟู แต่ก็ไม่ใช้คำตอบจืดชืดแบบนี้ไหมวะ

“อิเหี้ยยยยยยยย!!!”

“นะมึง ทำให้หน่อย” เออ!!! รู้ว่ากูแพ้ทาง ก็ออดอ้อนใหญ่เชียวนะมึง

“ก็ได้ แต่กูต้องไปแอบมองคนอื่นทำนะ” ผมเห็น Bruno ทอดไข่บ่อย วันหลังจะไปแอบเนียนๆ ดูวิธีทำ

“Yesssssss!!! แต่มึง ... กูขอไข่แดงไม่สุกได้เปล่าวะ”

“ไอ้เหี้ยจี!!! ... กูทอดไข่ให้มึงได้นี่ก็บุญแล้วไหมวะ” ถ้าไม่ใช่ว่ามีคดีติดตัวอยู่ ผมจะเอาตะหลิวฟาดหัวมัน

บนโต๊ะอาหาร คนตรงหน้าตัก pancake คำโตเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ สีหน้าของจีมีความสุขมากจนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าฝีมือการทำ pancake ของผมอร่อยขนาดนั้นเลยเหรอวะ

“เบาๆ เดียวติดคอ” ผมปราบเพราะมันยัดห่าขนาดนี้เดียวก็ติดคอตายพอดี

“มึง ...”

“... สัญญากับกู ว่าหลังจากนี้ ถ้าไม่มีกูอยู่ด้วย มึงห้ามไปเมาต่อหน้าใคร” อะไรวะ อยู่ๆ ก็เปลี่ยนโหมด ตามอารมณ์มันไม่ทันเว้ย

“อืม” อ่าว!!! อิเชี่ย!!! กูสัญญากับมันง่ายไปไหม ไม่เถียง ไม่ถามให้พอดูมีจริตซักหน่อยเหรอวะ … อย่างว่าแหละ รักเขาไปแล้ว อยู่ๆ ก็กลายเป็นคนว่าง่ายขึ้นมาทันตาเห็น

“มึงรู้ตัวไหม เมื่อคืนถ้ากูไม่ได้อยู่ด้วยป่านนี้มึงได้ผัวฝรั้งไปแล้ว”

“บ้า!!! มึงพูดอะไร กูไม่เคยทำตัวแบบนั้น”

“เนี่ย มึงเมาแล้วก็จำไม่ได้ใช่ไหม” มันส่ายหัวอย่างเอือมระอา

“ใครเมา เมื่อคืนกูไม่ได้เมา” ผมยังคงเถียงคำไม่ตกฝาก

“แถจนสีข้างถลอดหมดแล้ว”

“นี่มึงด่ากูเหรอ”

“เมื่อคืนมึงเมา”

“กูไม่เมา” มันถอนหายใจใส่ผมเฮือกใหญ่ ทำสีหน้าเบื่อหน่ายเต็มทน ... เจ็บจี๊ดเลยวะ

“มึงเมา ... แล้วไปเต้นสีกับฝรั้ง ...”

“... จะต้องให้กูเล่าไหมว่าพวกมึงสีกันแนบชิดขนาดไหน ...”

“... ถ้ากูไม่ได้อยู่ด้วย รับรองได้ว่าเช้านี้มึงโบ๋ไปแล้ว” คำพูดของจีทำเอาผมอ้าปากค้าง มึงเลือกคำพูดได้เหี้ยมากกกกกกกกก ไม่ให้เกียรติความเป็นกุลสตรีของกูเลยซักนิด

“ไอ้เหี้ยจี!!! ...” นี่ขนาดมึงบอกว่าจะไม่เล่านะ ไอ้เพื่อนเลว

“... เออ กูเมา กูก็สัญญากับมึงไปแล้วไง”

“สัญญาแล้วก็ทำตามด้วย ทอดไข่ดาวให้กูตลอด trip ถือเป็นบทลงโทษของมึง แต่ถ้ามีครั้งที่ 2 นะ ...”

“... มึงโดนดีแน่ไอ้ตัวดี” มีดในมือถูกชี้มาทางผมอย่างคาดโทษ ผมที่กำลังจะอ่าปากเถียง แต่พอคิดได้ว่าสงบปากสงบคำไว้น่าจะเจ็บตัวน้อยกว่า สุดท้ายเลยได้แต่ก้มหน้ายอมรับชะตากรรม



วันถัดๆ ไปสิ่งแรกที่ผมทำคือมายืนดักรอ Bruno ในครัว หลังจากทำเป็นเนียนนั่งกินข้าวไปเรื่อย ในที่สุดเป้าหมายก็เดินขึ้นมาชั้นล่าง เขาเพิ่งไป joking กลับมา ก็ตามประสาคนอยากเรียนวิทย์กีฬาแหละครับ Bruno เป็นพวกบ้าการออกกำลัง แล้วจากที่ได้ยินมา เขาเล่นกีฬาได้ทุกชนิดแต่ที่เก่งที่สุดคงหนีไม่พ้น football ซึ่งถือเป็นกีฬาประจำชาติบราซิล

“Hi, นายไป joking ที่ไหนมา” ผมเดินเข้าไปหา Bruno ในครัว ก่อนจะยืนในจุดที่เหมาะกับการสังเกตการณ์

“สวนสาธารณะแถว uptown” เจ้าตัวพูดพลางตระเตรียมสิ่งของ ... ผมต้องจดจำเอาไว้ กระทะแบนๆ วางอยู่ใต้ซิงค์ แล้วนั้นอะไรวะ หยิบขวดอะไรออกมาจากตู้ด้านบน หน้าตาเหมือนขวดสเปรย์ ... Bruno ฉีดขวดสเปรย์นั้นลงบนกระทะที่ตั้งอยู่บนเตา

“แถวนี้ก็มีสวนไม่ใช้เหรอ” เดินไปอีกหน่อยเป็นโรงเรียนมัธยมที่มีลู่วิ่งรอบสนาม football ผมเคยไปเดินเล่นมาครั้งสองครั้ง

“สวนที่ uptown ดีกว่าเยอะ นายต้องลองไปดู” ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะเห็น Bruno ตอกไข่ใส่กระทะ เสี่ยงซ่าๆ จากในกระทะทำให้ผมคิดออกว่าขวดสเปรย์นั้นคือน้ำมันนี้เอง ฉลาดดีวะเอาน้ำมันใส่ขวดสเปรย์ เวลาใช้ก็แค่พรมให้ทั่วกระทะ ง่ายแถมยังใช้น้ำมันน้อย

“นายไป joking สัปดาห์ละกี่ครั้ง” ผมยังคงหาเรื่องคุยไปเรื่อยๆ เพราะยังต้องสังเกตไปจนกว่าไข่ดาวฟองนั้นจะขึ้นจากระทะ

“3 – 4 วัน ประมาณนั้น ...” เชี่ย!!! โคตร fit ... Bruno ยังคงปล่อยไข่ดาวไว้ในกระทะจนไข่ขาวที่ใสเริ่มจะเปลี่ยนเป็นสีขาวและคงรูปขึ้นมา ในขณะที่ไข่แดงยังดิบเป็นวงสวยอยู่ตรงกลาง

“... ปกตินายออกกำลังบ้างไหม ...” ผมส่ายหัวเป็นคำตอบ

“... นายต้องออกกำลังบ้างนะ มันมีประโยชน์ในระยะยาว” ผมรู้แต่เพราะขี้เกียจไง ... พอดีกับจังหวะที่ไข่ขาวสุกได้ที่ Bruno ใช้ตะหลิวซิลิโคนแซะฐานไข่ดาวขึ้นมา ... แล้วไข่ดาวแบบไข่แดงดิบใบสวยก็วางอยู่บนจาน

“อืม” ผมส่งยิ้มให้กับ Bruno เป็นการบอกว่าผมกำลังจะขอตัว

“นั่งเป็นเพื่อนกันก่อนซิ”

“Okay” ลังเลนิดหน่อยแต่สุดท้ายผมก็ตอบตกลง วันนี้ว่างๆ ไม่มีอะไรต้องรีบอยู่แล้ว

“เงียบหน่อยนะ วันหยุดก็แบบนี้ Minho กับ Nami กว่าจะตื่นก็เกือบเที่ยง ... Linda ก็พาลูกไปข้างนอก” Bruno พูดพลางตักอาหารเข้าปาก

“อืม ฉันชินกับการอยู่ในบ้านเงียบๆ ...”

“... พ่อแม่ฉันไม่ค่อยอยู่บ้านนะ พวกเขาทำงานอยู่ต่างประเทศ” ผมอธิบายเพิ่มเติมเมื่อเห็นคิ้วของคนตรงหน้าขมวดเข้าหากันเล็กน้อย

“ฉันก็พอจะเดาได้ ...”

“... พวกเรารู้สึกว่านายต่างจากเด็กไทยคนอื่นๆ ที่เคยรู้จัก เลยเอาชื่อนามสกลุนายไป google” คนตรงหน้าอธิบายเพิ่มเติมเมื่อเห็นผมทำหน้าสงสัย

“อ่า!!!!” เพราะผมก็เคยเอาชื่อตัวเองไป search เลยรู้ว่าเพื่อนต่างชาติน่าจะเห็นข่าวเกี่ยวกับครอบครัวผมมาไม่น้อย

“นายเป็นคนดังเหรอ ชีวิตของนายมันไม่ง่ายเลยใช่ไหม”

“ก็ไม่เชิง มันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ...” ผมอธิบายต่อเมื่อจับสังเกตได้ว่าคนตรงหน้ายังอยากให้ผมอธิบายเพิ่ม

“ข้อดีคือฉันมีอิสระ อยากทำอะไรก็ทำ อยากได้อะไรก็ได้ แต่ก็แลกมากับการที่ต้องอยู่คนเดียว แล้วตกเป็นจุดสนใจ ... แต่ฉันชินกับมันแล้ว ไม่ได้รู้สึกว่ามีปัญหาอะไร”

“ฉันถามเรื่องส่วนตัวนายได้ไหม ...” ผมพยักหน้า

“...นายกับจี โตมาด้วยกันเหรอ”

“จะพูดแบบนั้นก็ได้ จีเป็นเพื่อนสนิทของเราตั้งแต่เด็ก”

“วันก่อน เราเห็นนาย 2 คน ... นอนกอดกันในห้องนั่งเล่น”

“นายเห็นเหรอ” แม้จะตกใจแต่ก็คิดไว้อยู่แล้วว่าต้องมีคนเห็น กอดกันกลมกลางห้องนั่งเล่นซะขนาดนั้น

“เห็น ... ตกลงว่าคบกันแล้ว?”

“ยัง”

“ขนาดนี้แล้วยังไม่เรียกว่าคบกันอีกเหรอ คืนนั้นที่จีกินแก้ว shot แทนนาย ก็โคตร feel แฟนแล้วนะ”

“มันก็ทำแบบนี้มาตลอด”

“What’ s the relationship between you two?”

“I don’ t know. I know it’ s more than friend, but we never talk about it.”

“You should. Because just friend don’ t look at each other like that”

“I know, but too much fear.”

“I understand. Do you have the answer you are looking for?”

“Yes, I do ... love him.” คำตอบนั้นพูดออกมาอย่างง่ายดายกว่าที่คิด ... จนผมเองยังเผลอยิ้มบาง ๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัว

“I am glad that you have your answer. But the next step takes a lot of courage. ...”

“... keep fighting, I’ m right behind you.”

“Thanx … But I wonder. Minho said you like me.” พูดถึงประโยคนี้ผมก็หยุดชะงักเพราะไม่แน่ใจว่าจะเป็นการเสียมารยาทหรือเปล่า

Bruno เหมือนรอว่าผมจะพูดอะไรแต่พอเห็นผมเงียบเขาก็ทำท่าเหมือนคิดอะไรอยู่

“I see, but why am I not even flirting with you? . Not once. …” ผมพยักหน้ารับ นั้นแหละที่ผมสงสัย Bruno พักอยู่ห้องข้างๆ ผม เป็นคนแรกที่ผมได้คุยด้วย และถือเป็นเพื่อนร่วมบ้านที่สนิทที่สุดของผม แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาไม่เคยแสดงท่าทีจีบผมเลยแม้แต่น้อย

“… I honestly like you but when I saw you two together. I know I have no chance.” ผมยิ้มรับให้กับคำตอบของ Bruno และภาวนาขอให้ทุกอย่างเป็นจริงตามนั้น



ช่วงบ่ายผมนัดจีไว้ที่ supermarket สีเหลืองใกล้บ้าน

“กูไปแอบดูวิธีทอดไข่ดาวจาก Bruno มา” ผมพูดในขณะที่กำลังเดินผ่านชั้นวางของ โดยมีจีอาสาเข็นรถเข็นให้

“แสดงว่าพรุ่งนี้กูจะได้กินไข่ดาว ... อย่าลืมว่าไข่แดงไม่สุกนะเว้ย” จีกำชับ

“ชิห์!!! สั่งจังวะ ... มึงภาวนาให้กูทอดแล้วไม่ไหม้ก่อนเถอะ” ผมแยกเขี้ยวใส่มัน

“เออๆๆ อยู่อีกตั้งนาน ยังไงก็ต้องได้กินไข่ดาวไข่แดงไม่สุกฝีมือมึง” พอได้ยินคำตอบก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือจะร้องไห้ดี

“ทำไมกูต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วยเนี่ยยยยยย”

“เพราะมึงเมาแล้วแรดไง จำไว้ว่าถ้าไม่อยากโดนลงโทษก็อย่าเมาแล้วแรด”

“อิเหี้ยจี !!!” ถ้าทำได้ ผมจะกระโดดงับหัวมันให้รู้แล้วรู้รอด

“พูดมาก เอาขนมไปแดกซักถุงไป” พูดจบมันก็คว้า chip ถุงใหญ่โยนลงมาในรถเข็น

“ไม่เอา ไม่แดก”

“ช่วงนี้มึงแปลกๆ นะ ปกติชอบขนมกรอบๆ ไม่ใช้เหรอ ทำไมตั้งแต่มาอยู่ที่นี่กูเห็นมึงซื้อแต่ผลไม้วะ” มันหรี่ตามองผม สายตาตรงหน้าจ้องจับผิดผมอย่างไม่ปิดบัง

“กูกลัวอ้วน ... ไอ้จี!!!” ยังไม่ทันขาดขำ มือหนาก็หยิกเข้าที่พุงเหมือนทุกครั้ง ... เขินวะ ทำตัวไม่ถูกเลย

“ก็เท่าเดิม อ้วนอะไรวะ”

“เหรอ” แม้จะไม่ได้ไปเที่ยวต่างประเทศบ่อยๆ แต่เวลามาทีไร ผมต้องน้ำหนักขึ้นทุกครั้ง

“กินไปเถอะ ดูข้าวกลางวันของมึงแต่ละมื้อ sandwich ชิ้นเดียว จะเอาที่ไหนไปอ้วนวะ”

“เออๆ ผลไม้กูก็ชอบกิน” ผมเป็นคนที่ชอบกินผลไม้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แล้วที่นี่ผลไม้ก็รสชาติดีกว่าที่เมืองไทยเยอะ เลยอดไม่ได้ที่จะซื้อติดตู้เย็นไว้ตลอด ผิดกับจีที่ไม่ชอบกินผักผลไม้ เพราะฉะนั้นเลยไม่แปลกที่ตอนนี้ในตระกร้ารถเข็นถึงมีแต่ strawberry apple และ cherry ของผม กับถุงขนมขบเคี้ยวหลากหลายยี่ห้อของจี

“มิลค์!!! …”

“... ไก่ย่างน่ากินวะ” พวกเราเดินมาถึงโซนอาหารปรุงสุก พอมองตามสายตาเป็นประกายของจีก็เห็นไก่ย่างตัวใหญ่หมุ่นอยู่ในเตาอบ มันช่างอวบอ้วนยั่วน้ำลายเหลือเกิน พอมองเลยไปอีกหน่อยตาของผมก็เป็นประกายตามเพื่อนสนิทเมื่อเห็นซี่โครงหมูราดซอสบาบีคิวฉ่ำๆ

“กูอยากกินซี่โครงหมู”

“ซื้อกลับไปกินบ้านมึงกัน”

“เอาดิ!!!”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-08-2025 09:11:48 โดย Milky_Milky_Way »

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 21
«ตอบ #92 เมื่อ24-08-2025 09:11:32 »

ตอนที่ 21 : หิมะโปรยปราย 2/2

“พี่แววววววววว พี่ช่วยมิลค์ด้วย” พอเจอหน้าพี่แววที่โรงเรียน ผมก็ถลาตัวเข้าไปหาพี่สาวร่วมคณะ

“เป็นอะไรมิลค์ ทำไมทำเสียงแบบนั้น”

“Linda เขาจะให้มิลค์ทำอาหารไทยเย็นนี้ เขามัดมือชก บอกว่านัดทุกคนไว้แล้ว”

“555 พี่บอกมิลค์แล้วว่าให้ชิงนัดวันไปก่อน อย่างน้อยเราจะได้เลือกวันได้”

“ก็มิลค์คิดว่าจะเนียนไปเรื่อยๆ จน Linda เขาลืม” ผมผลัดวันประกันพรุ่งมาตลอด หวังลมๆ แล้งๆ ว่า Linda จะลืม ใครจะคิดว่าจะโดน host mother รู้ทันดัดหลังด้วยกันมันมือชกแบบนี้

“แล้วนี้ตั้งใจจะทำอะไรบ้าง”

“มิลค์เอาเครื่องแกงสำเร็จรูปมา ... มีพะแนง ต้มยำกุ้ง แล้วมิลค์คิดว่าจะทำผัดผักเพิ่ม กินกับข้าวสวย”

“ฟังดูก็ไม่น่ายากเท่าไหร่นะ”

“555 พี่แววไม่รู้อะไร มิลค์มันหุงข้าวยังไม่เป็นด้วยซ้ำ” เสียงทับถมของจีดังขึ้นจากด้านหลัง

“ไอ้จี ถ้าไม่ช่วยก็อย่ามาชักใบให้เรือเสีย” ผมมองแรงใส่เพื่อนสนิท ใครจะสบายตัวเหมือนมัน host ของจีเขาไม่ได้เป็น type เดียวกับ Linda เลยไม่เคยขอให้มันทำอาหารไทยให้กินซักมื้อ

“มึงก็รู้ตัวอยู่แล้วว่าต้องทำ กูบอกตั้งแต่อยู่เมืองไทยแล้วว่าให้ฝึก มึงก็ไม่ฝึก แล้วจะโวยวายอะไรวะ”

“แล้วมึงจะดุกูทำไม ... เย็นนี้มึงมาช่วยกูเลย” Linda มัดมือชกผม ผมมัดมืดชกจีบ้าง

“ไม่ไป กูไม่อยากโดนข้อหาสมรู้ร่วมคิดวางยาคนทั้งบ้าน 555” พูดจบมันก็ทำสีหน้าลอยไปลอยมา หมันไส้โว้ยยยยยยยยยยยยยยย

“ไอ้จี!!!”

“เอานะๆ ไม่ต้องทะเลาะกัน เดียวพี่พาไปซื้อของ เอาแบบง่ายๆ เหมือนต้มมาม่าเลยดีไหม ...”

“... ว่าแต่ มิลค์ต้มมาม่าเป็นใช่ไหม” พูดเสร็จพี่แววก็อมยิ้มเป็นเชิงหยอกล้อ

“พี่แววววววววววววววว” ผมโวยเมื่อรู้สึกตัวว่ากำลังโดนแกล้ง



ณ supermarket ย่าน China town ผมกำลังเดินตามหลังพี่แวว โดยมีจีที่อาสาเข็ดรถเข็นให้เดินตามหลังมาคู่กับวายุ

“ต้มย้ำกุ้ง ใช้กุ้งแช่แข็งก็ได้ ง่ายดี แต่ตอนต้มต้องคอยเช็คนะ เพราะถ้าสุกเกินไปกุ้งจะเล๊ะ มิลค์เช็คเป็นไหม ...” ผมส่ายหัว

“... จับๆ ดูก็ได้ ถ้าเด่งๆ ก็ใช้ได้”

“จับแล้วมันจะไม่ร้อนเหรอครับ” รอยยิ้มของพี่แววถึงกับแข็งค้างอยู่บนใบหน้า เมื่อได้ยินคำถามตามประสาของคนไม่เคยทำอาหารแบบผม

“งั้นลองกินก็ได้ ถ้าเด้งๆ ก็ใช้ได้”

“โอเคครับ” แล้วผมก็หยิบกุ้งแช่แข็ง 1 pack ใส่รถเข็น

“พะแนง เอาเป็นเนื้อละกัน เพราะถ้าไม่สุกก็กินดิบได้ ...” รอบนี้เป็นผมที่ยิ้มค้าง นี่พี่แววกำลังบอกอะไรผมทางอ้อมหรือเปล่า

“... ซื้อเนื้อหั่นเต๋าเลยเวลาทำจะได้ง่ายๆ” ผมผยิบเนื้อ 2 pack ลงในตระกร้า

หลังจากนั้นพี่แววก็พาผมไปซื้อผักและเครื่องปรุงสำหรับผัดผัก รวมถึงติวขั้นตอนการหุงข้าวและการทำอาหารโดยใช้เครื่องแกงสำเร็จรูป ฟังๆ ดูก็ไม่ยากเท่าไหร่ ไม่ต่างอะไรกับการอุ่นซุปกระป๋องแล้วเติมเนื้อสัตว์ลงไป ... ผมเริ่มมีความหวังขึ้นมาบ้างแล้วว่าจะสามารถเอาตัวรอดจาก challenge อาหารเย็นของ Linda

หลังจากซื้อของเสร็จ มีเวลาเหลืออีกนิดหน่อยพวกเราเลยมานั่งกินไอศกรีมด้วยกัน เรา 4 คน ไม่ค่อยได้ไปไหนมาไหนพร้อมกันบ่อยนัก พี่แววจะอยู่กับเพื่อนร่วมชั้นมากกว่า ในขณะที่ผม จี และวายุ ไปเที่ยวด้วยกันทุกวันหลังเลิกเรียน วายุรับหน้าที่เป็นไกด์ และ navigator กิจวัตรประจำวันของมันคือมาเสนอที่เที่ยวให้ผมกับจีในทุกๆ เช้า

“พี่แววกลับวันไหนครับ” ผมถามในระหว่างที่พวกเรากำลัง enjoy กับไอศกรีมตรงหน้า

“เหลืออีก 2 สัปดาห์ ... ยังดีที่ได้ไป Whisler ก่อนกลับ” เพราะพี่แววต้องกลับไปฝึกงานเลยไม่สามารถอยู่ได้เต็ม 2 เดือนเหมือนพวกเรา … Whisler เป็น trip สุดท้ายก่อนที่พี่แววจะบินกลับ ถือว่าโชคยังเข้าข้างเพราะ Whisler ถือเป็น is a must ของ Canada ใครๆ ก็บอกว่าเป็นเทือกเขาที่สวยมาก เพราะปกคลุมไปด้วยหิมะ นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่จัดโอลิมปิกฤดูหนาวอีกด้วย

“ผมก็อยากไป ยังไม่เคยเห็นหิมะเลย” ผมไม่เคยเห็นหิมะ เพราะปกติเวลาไปเที่ยวต่างประเทศไม่เคยจะตรงกับช่วงหิมะตกซักที

“มันต้องสนุกมากแน่ๆ” หลังจากนั้นผมกับพี่แววก็คุยกันเรื่องที่คณะ ซึ่งหนีไม่พ้น topic เรื่องของชาวบ้าน ... และผมก็ต้องประหลาดใจ ที่พี่สาวคนสวนรู้ทุกเรื่อง ตอบได้ทุกอย่างราวกับเป็น Wikipedia

“มิลค์ มึงกินไอติมยังไงของมึงเนี่ย หกเลอะแขนเสื้อหมดแล้ว ...” จีทักขึ้นมาท่ามกลางเสียงพูดคุยจอแจระหว่างผมกับพี่แวว... กว่าจะรู้ตัว แขนเสื้อกันหนาวของผมก็เปื้อนไอศกรีมรสวานิลลาเป็นวงกว้างเสียแล้ว

สายตาของวายุมองไปยังเพื่อนร่วมคณะที่กระวีกระวาดหยิบทิชชูขึ้นมาเช็ดแขนเสื้อให้เพื่อนสนิทราวกับไอศกรีมนั้นหกเลอะเสื้อของตัวเอง ในขณะที่มิลค์ดูไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่นักเพราะยังคงพูดคุยกับพี่สาวของเขาไม่หยุดปาก ... ภาพที่เห็นทำให้วายุคิดในใจว่านี่มันเพื่อนหรือลูกกันแน่วะ

“... ไปล้างแขนเสื้อกับกู”

“แป๊บนึง กูเม้าท์อยู่” พอได้ยินเสียงตอบรับแบบขอไปทีของมิลค์ นั้นทำให้คนที่ใจเย็นเป็นปกติอย่างจีตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเข้มๆ

“ไปกับกู อย่าดื้อ” คิ้วข้างหนึ่งของวายุเลิกขึ้นอย่างช้าๆ เขาอดที่จะประหลาดใจไม่ได้ เพราะเพียงแค่จีบอกกล่าวด้วยเสียงเรียบๆ คุณหนูเอาแต่ใจอย่างมิลค์ก็ยอมลุกเดินตามเพื่อนสนิทไปอย่างไม่หือไม่อือ

เขาสังเกตมาซักพักแล้วว่าทั้งคู่ต่างก็รู้จุดพอดีของแต่ละฝ่าย จีที่ปกติจะประคบประหงมตามใจ แต่วายุสัมผัสได้ว่ามีจุดๆ หนึ่งที่เจ้าตัวจะไม่ปล่อยให้อีกคนไปไกลเกินกว่านั้น และเช่นเดียวกันกับมิลค์ที่ถึงจะเอาแต่ใจกับจีแต่เจ้าตัวก็รู้ดีว่าไม่ควรเอาแต่ใจจนเกินจุดที่อีกคนขีดเส้นไว้ ... คงเป็นเพราะทั้ง 2 คนรู้จักกันมานาน จนความสัมพันธ์สลับซับซ้อน เขาเคยได้ยินมาว่าจีมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งซึ่งความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดูแตกต่างจากเพื่อนสนิททั่วไป ตอนแรกเขาก็ไม่คิดว่าเป็นเรื่องจริง จนกระทั้งได้มาใช้ชีวิตอยู่ที่นี้ด้วยกัน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนๆ นั้นคือมิลค์อย่างแน่นอน

“แกว่า 2 คนนั้นมี something กันไหม” พี่แววถามขึ้นในช่วงจังหวะที่ทั้งโต๊ะมีกันแค่ 2 พี่น้อง

“ไม่รู้วะเจ้ เคยถามแต่ทั้ง 2 คนก็ตอบเหมือนกันว่าเป็นเพื่อนสนิทกัน”

“ที่คณะคนจีบมิลค์เยอะมากเลยนะ ทั้งผู้ชายผู้หญิง”

“ไอ้จีก็เหมือนกัน popular จนใครๆ ก็แซวว่าเป็นสมบัติคณะ” วายุกล่าวสมทบ

“เจ้เคยสงสัยว่ามีคนจีบมิลค์เยอะขนาดนั้น ไม่มีซักคนเลยเหรอที่เข้าตา ... แต่พอมาเจอ 2 คนนี้ตอนอยู่ด้วยกันแล้ว ก็ไม่แปลกใจนะที่มิลค์จะไม่เคยมีใครอยู่ในสายตาเลย” วายุพยักหน้าเห็นด้วยเพราะเขาคิดว่าเหตุผลของจีก็คงไม่ต่างกัน



ผมกลับมาถึงบ้านในตอนเย็นก็พบว่าทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า host family 3 คน และเพื่อนต่างชาติอีก 3 คน ความรู้สึกตอนที่เปิดประตูเข้ามาแล้วเจอรอยยิ้มของทั้ง 6 คนพร้อมหน้า คือไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี คนเหล่านี้ซินะที่จะเป็นผู้ร่วมชะตากรรมของค่ำคืนนี้ Linda พูดขึ้นตั้งแต่ผมก้าวขาเข้ามาในบ้านว่ามื้อเย็นวันนี้จะเป็นเวที solo เดี่ยวของผม ในขณะที่เธอจะทำหน้าที่เป็นเพียงลูกมือเท่านั้น

เริ่มต้นจากการหุงข้าว พี่แววสอนผมมาอยากดีว่ากินกัน 6 คนใช้ข้าว 3 ถ้วย กับน้ำ 1 ข้อนิ้ว แต่พอมาทำจริงๆ แล้วถึงได้เริ่มสงสัยว่าพี่แววหมายถึงถ้วยขนาดเท่าไหร่ เพราะ Linda มีถ้วยหลากหลายขนาดให้ผมเลือกสรร

"Linda คุณว่ากินกัน 7 คน ข้าว 3 ถ้วย พอไหม" Linda ที่กำลังหันผักเป็นชิ้นอย่างชำนาญ เงยหน้าขึ้นมาพิจารณาถ้วยแบ่ง soup ในมือของผม เธอทำหน้าครุ่นคิด

"ไม่รู้ซิ ฉันเองก็ไม่ค่อยได้หุงข้าวซักเท่าไหร่" รอยยิ้มสวยค้างอยู่บนใบหน้าของผม ถ้าไม่ติดว่าทั้ง 6 คนกำลังตั้งความหวังไว้กับ Thai dinner มื้อนี้ ผมจะกรีดร้องออกมาให้รู้แล้วรู้รอดว่าผมก็หุงข้าวไม่เป็นเหมือนกัน ... แต่พอเห็นรอยยิ้มจริงใจของ Linda แล้ว ... ข้าวสาร 4 ถ้วยก็ถูกโยนลงไปในหม้อพร้อมกับเทน้ำจนสูง 1 ข้อนิ้ว ... เอาวะเหลือดีกว่าขาด

จบปัญหาเรื่องข้าว ผมก็เตรียมตัวจะทำพะแนงเนื้อต่อ พอใส่เครื่องแกงถึงได้เจอกับปัญหาที่ 2 คือผมเอาเครื่องแกงมาน้อยไป ดูจากคำแนะนำข้างถุงแล้วเครื่องแกงน่าจะน้อยกว่าปริมาณเนื้อครึ่งต่อครึ่ง ผมไม่มีทางเหลือกนอกจากอาศัยวิชาเคมีขึ้นพื้นฐานที่ร่ำเรียนมาเมื่อเทอมก่อน สูตรประมาณสารสัมพัทธ์ปรากฏภาพขึ้นในหัว M1V1 = M2V2 ในเมื่อปริมาณมันน้อยก็เจือจางมันซะจะได้มีปริมาณมากขึ้น ผมจัดการเทน้ำลงไปจนแน่ใจว่ามีปริมาณเครื่องแกงมากพอจะคลุกเคล้าเนื้อทั้งหมดได้ แต่พอตักขึ้นมาชิมถึงได้รู้ว่าผมไม่ควรทำแบบนั้น มันคลุกได้ก็จริงแต่ก็แทบไม่เหลือรสชาดของแกงพะแนงเลยแม้แต่น้อย ทุกอย่างเจือจาง หลงเหลือรสพะแนงติดแค่ที่ปลายลิ้น ผมมองซ้ายขวาหาตัวช่วย และสายตาก็เหลือบไปเห็นกระปุกพริกไทยดำ ไม่รอช้าผมจัดการสาดเครื่องปรุงจากโลกตะวันออกลงไปในกระทะหวังเพิ่มความเผ็ดร้อนให้กับโปรตีนจากหลัก เมนูต่อไปคือต้มยำ แม้ผมจะซื้อเครื่องต้มยำมาหลายห่อแต่จากประสบการณ์จากพะแนงก็เดาได้เลยว่าที่เอามานั้นน้อยเกิดไป

"มิลค์ ทำไมเธอยืนหน้าเครียดแบบนั้น" Linda ถามผมที่ยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่หน้าเตา

"ผมว่าต้มยำมันน้อยเกินไป" ครั้งนี้ผมใส่น้ำอย่างระมัดระวังเพื่อรักษารสชาด ถึงกระนั้นต้นยำที่ได้ก็ยังน้อยเกินไปสำหรับ 7 คน

“ฉันมีน้ำกะทินะ ถ้านายอยากลองใส่เพิ่ม" พูดจบเธอก็เปิดตู้ชั้นลอยเหนือเตา ก่อนจะหยิบน้ำกะทิออกมา 3 กระป๋อง

"ดีเลยครับ รสชาดน่าจะออกมาพอดีๆ" ผมยิ้มเพราะคิดว่าถ้าใส่กะทิเข้าไปหน่อย รสชาดคงออกมาใช้ได้พอดี

พูดจบผมก็หันไปจัดการเนื้อในกระทะที่เริ่มจะสุกได้ที่ พอหันกลับมาก็แทบจะกรีดร้องออกมาเต็มเสียงเพราะ Linda จัดการเทน้ำกะทิลงในหม้อรวดเดียว 3 กระป๋องโดยปราศจากการชิมใดใด ... คือจะห้ามก็ไม่ทันแล้ว ต้มยำที่เคยมีสีสันสดใสตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับแกงกะทิสีขาวคลัก สิ่งเดียวที่ทำได้คือ keep cool หยิบช้อนจากลิ้นชักออกมาตักต้มยำขึ้นมาชิม ... เชี่ยยยยยยยยยยยย!!! แย่กว่าแกงกะทิพันเท่า เหมือนแดกน้ำกะทิเปล่าๆ ไม่มีผิดเพี้ยน

"เป็นยังไงบ้าง" Linda ที่ยืนใจจดจ่ออยู่ข้างๆ ถามขึ้นมา

"Yummy!!!" แล้วผมจะตอบอะไรได้มากกว่านี้ ... จะให้บอกว่าในหม้อนี่คือหายนะของอาหารไทยอย่างนั้นเหรอ

"โล่งอกไป ฉันก็คิดว่าจะทำต้มยำของเธอพังซะแล้ว" ... คะ!!! อย่าเรียกว่าพังเลย เรียงว่าฉิบหายน่าจะถูกต้องกว่า

กับข้าว 3 อย่าง อย่างเดียวที่ดูจะฉิบหายน้อยที่สุดคือผัดผัก จนกระทั้งกับข้าวทุกอย่างถูกจัดใส่จาน ผมถึงได้รู้ว่ามีความฉิบหายอย่างสุดท้ายรออยู่ ... ข้าวในหม้อแข็งเกินไป

"ทำยังไงดีละมิลค์" Linda ถามผมด้วยสีหน้าครุ่นคิดไม่ต่างกัน ถ้าผมทำกินเองก็คงช่างหัวมัน โยนข้าวลงถังขยะแล้วกินกับข้าวกับขนมปัง แต่สำหรับฝรั้งแล้วอาหารไทยต้องกินกับข้าวสวยเท่านั้น นอกนั้นผิดผี รับไม่ได้







“แล้วมึงทำยังไงต่อ” จีถามในขณะที่พวกเรานั่งอยู่ใน food court ใกล้โรงเรียน ปกติแล้วพวกเราจะทำอาหารมากินกันมากกว่า แต่ food court ก็เป็นทางเลือกที่ดีในกรณีที่พวกเราเบื่ออาหารฝีมือตัวเองขึ้นสุด บอกเลยว่าผู้ชาย 3 คนที่นั่งอยู่ตรงนี้ฝีมือทำอาหารพอกัน คือกินได้แต่ถ้าเลือกได้ก็อย่ากินเลยจะดีกว่า

“กูคิดอะไรไม่ออก เลยเติมน้ำลงในเพิ่ม ... ไอ้เชี่ย ใครจะคิดว่าข้าวนุ่มขึ้นเฉยเลย 555” ผมพูดออกมาอย่างภาคภูมิใจ แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่คนที่แทบจะไม่เคยเข้าครัวทำอาหารเป็นจริงเป็นจังอย่างผมแก้ปัญหาได้เท่านี้ก็ถือว่าเก่งมากแล้ว

“แล้วต้มยำของมึงละเป็นไง” วายุถาม

“แดกไม่ได้ รสชาติเหมือนกะทิเปล่า ...”

“... แล้ว Linda ก็ซดเอาๆ บอกว่าอร่อยมาก”

“แสดงว่ารอดตัวไป”

“รอดเหี้ยไรละ อยู่ๆ Mark ก็ถามขึ้นมา ว่าถ้าอร่อยขนาดนั้นทำไมกูถึงไม่แตะเลย 555” พูดจบทุกคนก็พร้อมใจกันหัวเราะ ตอนแรกผมก็คิดว่าจะเอาตัวรอดแบบเนียนๆ แต่กลับถูกจับสังเกตได้

“กูนึกแล้วว่าต้องเป็นมื้อเย็นที่บันเทิงที่สุดในชีวิตมึง ... อะมิลค์” จีพูดติดตลกพร้อมกับตักเอาผักสลัดจากจานของตัวเองใส่จานผม ในขณะที่ผมตักข้าวและกับครึ่งหนึ่งให้กับคนข้างๆ

ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่เรา 2 คนตกลงแบ่งอาหารในจานของกันและกัน รู้ตัวอีกทีก็เป็นแบบนี้ทุกมื้อ จีไม่ชอบกินผัก ตั้งแต่มาถึงที่นี้ผักในจานของจีจะเหลือทิ้งไว้เสมอ ในขณะที่ผมไม่สามารถจัดการอาหารในจานได้หมดซักมื้อ food court ที่นี้แม้ราคาจะแพงว่าที่เมืองไทยมาก แต่ปริมาณอาหารก็ให้มาไม่ยั้งเหมือนกัน

“มีไรปะ” ผมถามเมื่อเงยหน้าขึ้นมาแล้วเห็นวายุที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอมยิ้มบางๆ

“เปล่าๆ ไม่มีอะไร ... Whisler พวกมึงพร้อมกันไหม”

“พร้อมดิ โคตรตื่นเต้น” ผมไม่เคยเห็นหิมะ เลยหวังเอาไว้มากๆ ว่าจะได้เห็นหิมะที่ Whisler

“พูดถึงแล้วก็ใจหายเนอะ พี่แววจะกลับแล้ว”

“อืมใช่ ไม่น่าเชื่อว่าแป๊บๆ เราอยู่มาเกินครึ่งทางแล้ว” พี่แววกลับไทยหลังจากหลังจบ trip Whisler ไม่กี่วัน ในขณะที่พวกผมยังเหลือเวลาอีกประมาณ 3 สัปดาห์ เวลาผ่านไปเร็วมาก

“กลับไปไม่รู้จะได้อยู่พร้อมหน้ากัน 3 คนแบบนี้ไหม ...”

“... เสียดาย ตอนแรกกูไม่ได้ทำ visa ไว้ ไม่งั้นจะเปลี่ยนใจไป US กับมึงแล้วเนี่ย ... ทำตอนนี้ทันไหมวะ” วายุพูด

“ไม่ทันแล้ว ... กูเช็คเมื่อวันก่อน คิวยาวเป็นเดือน หรือต่อทันก็ได้ visa แค่ไม่กี่วัน ...”

“... กูลองเช็คดู คิดว่าถ้าทำได้จะมาชวนมึงไป NY ด้วยกัน” จีอธิบายเพิ่มเมื่อเห็นวายุขมวดคิ้วเป็นเชิงสงสัย สัปดาห์ก่อนผมอ้อนจีหนักมากให้ชวนวายุยกเลิกแผน road trip แล้วไป NY กับผม จีเลยลองไปเช็คข้อมูลว่าจะสามารถทำ visa US จากที่นี้ได้ไหม และผลก็ออกมาอย่างที่เห็น

“เสียดายวะ ตอนนั้นเราไม่สนิทกันไง กูเลยไม่กล้าไปรบกวนมึง ถ้ารู้ว่าจะสนิทกันขนาดนี้นะ กูตกลงไปกับมึงตั้งแต่วันแรกที่มึงออกปากชวนแล้ว” วายุพูดด้วยน้ำเสียงเสียดายจริงๆ



...



ผมกระชับเสื้อกันหนาวในมือ แม้จะหนาวยะเยือกแต่ก็ไม่สามารถจะละสายตาจากวิวที่เห็นอยู่ตอนนี้ได้ ... ภาพของต้นสนสีเขียวเข้มสูงฉลูด ตัดกับภูเขาใหญ่น้อยปกคลุมไปด้วยหิมะขาวบริสุทธิ์ ... สวยเหมือนภาพที่มักจะถูกบอกเล่าในนิยาย

“สวยเนอะ” จีที่นั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้น พอผมหันกลับมา ถึงได้เห็นว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็จับจ้องบรรยากาศภายนอกเช่นเดียวกับผม

“อืม” ผมตอบรับ ในขณะที่สายตาไม่สามารถละออกจากใบหน้าของเพื่อนสนิทได้ ตาชั้นเดียวที่ผมโคตรจะหลงใหล จมูกสวย ลูกกระเดือกที่บ่งบอกถึงความเป็นชาย ผิวขาวไม่ต่างอะไรจากหิมะที่ปกคลุมภูเขาอยู่ภายนอก ... หล่อ โคตรหล่อ หล่อวัวตายควายล้ม

“มิลค์”

“ฮะ” เพราะได้ยินชื่อตัวเองผมถึงดึงสติกลับมาได้

“หน้ากูมีอะไรติดเหรอ” มันถามพร้อมกับรอยยิ้มล้อเลียน ... มีความหล่อของมึงไง อิเหี้ย รู้ว่ากูแอบมองแล้วจะทักให้กูเขินเพื่อ

“อ่อ ไม่มี” ผมรีบกลบเกลื่อน แล้วตีเนียนชวนมันคุยเรื่องสัพเพเหระ

Whisler สวยเหมือนที่ใครๆ ก็พูดกัน ข้างในแบ่งเป็นหลายขั้นตามระดับความโปรของนักท่องเที่ยว แน่นอนว่านักเรียนจากประเทศเขตร้อนแบบพวกผมต่างก็เลือกลงหลักปักฐานกันที่ level 1 พวกเราสามารถเลือกได้ว่าจะเล่น ski หรือ snow board แต่เพื่อความ cool พวกเราเลยเลือก snow board

“จี รอกูด้วย” ผมตะโกนเรียกเพื่อนสนิทที่เดินจ้ำๆ อยู่ด้านหน้า พวกเรากำลังแบก board ขึ้นไปด้านบนเพื่อจะได้สไลด์มันลงมา

“มึงก็ก้าวเร็วๆ ดิวะ” มันหันกลับมา

“อีกตั้งไกล กูไปรอข้างล่างได้ไหม” ทุลักทุเลจนผมเริ่มจะท้อ

“ไม่ได้ๆ มาขนาดนี้แล้ว เร็วเข้า” แล้วจีก็ตัดสินใจเดินย้อนลงมา มือหนาคว้าที่ข้อมือผมแล้วออกแรงดึงให้เดินตาม

ด้านบนเป็นลานหิมะโลงๆ พวกเราเลยถือโอกาสลองซ้อมเล่นกันก่อน วายุกับจีดูจะมี skill เกี่ยวกับอะไรพวกนี้พอสมควร ในขณะที่ผม พอสไลด์ไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ล้มหน้าคะมำ แล้วจะให้สไลด์ไปข้างล่าง ผมจะรอดไหมเนี่ย

“โอ้ย!!! ...” ผมที่กำลังนั่งอยู่กับพื้นสะดุงเฮือกเมื่อมีบางอย่างเย็นๆ กระทบเข้ากลางหลัง พอหันกลับมาถึงได้เห็นเพื่อนสนิทยืนถือ snow ball อยู่ในมือ มันฉีกยิ้มกว้างเพราะถูกจับได้คาหนังคาเขา

“... ไอ้จี!!!” ผมไม่ยอมมันหรอก

2 มือโกยหิมะข้างตัว ปั้นเป็นก้อน แล้วขว้างออกไปเต็มแรง เสียงร้องดังขึ้น แต่ดูก็รู้ว่ามันตอแหล หลังจากนั้นสงครามบอลหิมะก็เริ่มขึ้น ผมกับมันขว้างบอลหิมะใส่กันไม่ยั้ง เสียงหัวเราะของเรา 2 คนดังลั่น ก่อนที่ละอองเกร็ดสีขาวจะเริ่มโปรยปรายมาจากฝากฟ้า ... หิมะกำลังตก

“เฮ้ย!!!” เพราะว่ามัวแต่สนใจหิมะที่กำลังตก กว่าจะรู้ตัวก็ถูกเพื่อนสนิทเข้าประชิด มันล๊อคคอผมไว้ในวงแขนก่อนที่จะเริ่มกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันจนเราทั้งคู่ล้มไปกับพื้น แต่แทนที่จะหยุด จีกลับคลุกวงในทำให้เรา 2 คนกลิ้งไปมาอยู่บนพื้นหิมะ เสียงหัวเราะของเราดังไม่หยุดทามกลางเกร็ดหิมะที่ร่างหล่นมาจากท้องฟ้า

“พอแล้วๆ กูหายใจไม่ทัน” พอผมเอ่ยปาก มันถึงได้หยุด เราสบตากันเสี่ยววินาทีก่อนที่เพื่อนสนิทที่คร่อมอยู่ด้านบนจะทิ้งตัวลงมานอนอยู่บนพื้นหิมะข้างๆ เรา 2 คนนอนตะแคงหน้าเข้าหากัน

“มึงได้เห็นหิมะแล้ว” มันพูด ... จีรู้ว่าผมไม่เคยเห็นหิมะ แล้วก็ตั้งความหวังไว้สูงมากกว่าจะได้เห็น

“ใช่ ... ได้เห็นพร้อมกับมึง” ผมตอบ







“ไม่อยากให้ช่วงเวลานี้ผ่านไปเลยเนอะ” คนตรงหน้าพูดความรู้สึกของตัวเองออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เรา 2 คนสบตากันเงียบๆ ก่อนมือหนาค่อยๆ เคลื่อนมากุมมือของผมไว้

“อืม ... อย่างอยู่แบบนี้กับมึง ... ตลอดไป” ผมตอบรับและผลั้งเผลอบอกความในใจออกไป

นิ้วมือเรียวสวยค่อยๆ เกี่ยวพันกับนิ้วมือของเพื่อนสนิทก่อนจะประสานมือของเราให้แนบแน่น แม้เราทั้งคู่จะสวมถุงมือ แต่หัวใจของผมกลับสัมผัสได้ถึงไออุ่นที่ถ่ายทอดมาจากคนตรงหน้า เสี่ยวความคิดหนึ่ง ผมขอพรจากพระเจ้า ...

‘ขอให้ความทรงจำใน summer trip ครั้งนี้

อยู่กับผมไป ... ตลอดกาล’


----------


#ตลอดไป #หิมะโปรยปราย
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-08-2025 20:47:47 โดย Milky_Milky_Way »

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
“เอาเนยเพิ่มอีก ...” โคตรน่าหมันไส้ ทำมาเป็นยืนกอดอกสั่งโน่นสั่งนี้ ได้ทีละเอาใหญ่ ได้ยินแบบนั้นผมเลยจ้วงเนยกระบิใหญ่ใส่ลงกระทะ

“... มึงกวนตีนกูเหรอ” มือหน้าวางลงบนหัวทุยของเพื่อนสนิทก่อนจะโยกไปมา

“ไอ้จี หน้าเตาไหมมึง” ผมมองหน้ามันตาเขียว แม้จะไม่มีความสามารถในการทำครัว แต่ผมก็รู้ว่าไม่ควรเล่นกันหน้าเตา


----------

#เพื่อนเล่น #เล่นเพื่อน #หิมะโปรยปราย
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-08-2025 11:00:34 โดย Milky_Milky_Way »

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
“... ถ้ากูไม่ได้อยู่ด้วย รับรองได้ว่าเช้านี้มึงโบ๋ไปแล้ว” คำพูดของจีทำเอาผมอ้าปากค้าง มึงเลือกคำพูดได้เหี้ยมากกกกกกกกก ไม่ให้เกียรติความเป็นกุลสตรีของกูเลยซักนิด

“ไอ้เหี้ยจี!!! ...” นี่ขนาดมึงบอกว่าจะไม่เล่านะ ไอ้เพื่อนเลว

“... เออ กูเมา กูก็สัญญากับมึงไปแล้วไง”

“สัญญาแล้วก็ทำตามด้วย ทอดไข่ดาวให้กูตลอด trip ถือเป็นบทลงโทษของมึง แต่ถ้ามีครั้งที่ 2 นะ ...”

“... มึงโดนดีแน่ไอ้ตัวดี” มีดในมือถูกชี้มาทางผมอย่างคาดโทษ ผมที่กำลังจะอ่าปากเถียง แต่พอคิดได้ว่าสงบปากสงบคำไว้น่าจะเจ็บตัวน้อยกว่า สุดท้ายเลยได้แต่ก้มหน้ายอมรับชะตากรรม


----------


#ไข่ดาว #ไข่แดงไม่สุก #ทำโทษ #หิมะโปรยปราย
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-08-2025 11:00:44 โดย Milky_Milky_Way »

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
“มิลค์!!! …”

“... ไก่ย่างน่ากินวะ” พวกเราเดินมาถึงโซนอาหารปรุงสุก พอมองตามสายตาเป็นประกายของจีก็เห็นไก่ย่างตัวใหญ่หมุ่นอยู่ในเตาอบ มันช่างอวบอ้วนยั่วน้ำลายเหลือเกิน พอมองเลยไปอีกหน่อยตาของผมก็เป็นประกายตามเพื่อนสนิทเมื่อเห็นซี่โครงหมูราดซอสบาบีคิวฉ่ำๆ

“กูอยากกินซี่โครงหมู”

“ซื้อกลับไปกินบ้านมึงกัน”

“เอาดิ!!!”


----------

#ไก่ย่าง #ซี่โครงหมู #หิว #หิมะโปรยปราย
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-08-2025 11:00:53 โดย Milky_Milky_Way »

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
“มึงได้เห็นหิมะแล้ว” มันพูด ... จีรู้ว่าผมไม่เคยเห็นหิมะ แล้วก็ตั้งความหวังไว้สูงมากกว่าจะได้เห็น

“ใช่ ... ได้เห็นพร้อมกับมึง” ผมตอบ


“ไม่อยากให้ช่วงเวลานี้ผ่านไปเลยเนอะ” คนตรงหน้าพูดความรู้สึกของตัวเองออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เรา 2 คนสบตากันเงียบๆ ก่อนมือหนาค่อยๆ เคลื่อนมากุมมือของผมไว้

“อืม ... อย่างอยู่แบบนี้กับมึง ... ตลอดไป” ผมตอบรับและผลั้งเผลอบอกความในใจออกไป


----------

#อุ่นใจ #ตลอดไป #US #หิมะโปรยปราย
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนพิเศษที่ 2
«ตอบ #97 เมื่อ29-08-2025 22:33:44 »

Teaser ตอนพิเศษที่ 2

ผมกำลังยืนมองภาพสะท้อนของตัวเองอยู่หน้ากระจกเงาบานใหญ่ ลมหายใจเข้าออกเริ่มกลับมาเป็นจังหวะสม่ำเสมอ อาการปากแห้งหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ความประหม่าที่ถาโถมมาตั้งแต่ช่วงเช้ามลายหายไปเมื่อผมสวมเกราะป้องกัน ดวงตาคู่สวยไล่สายตาจากทรงผมที่ถูกบรรจง set มาอย่างดี ชุดสูททักซิโดแบรนด์หรูพอดีตัวที่กำลังสวมใส่ นาฬิกาข้อมือระดับ iconic และ cufflinks ทองประดับอัญมณีสีแดงสด ... ผมพร้อมแล้ว

ในห้อง grand ballroom ของโรงแรมสุดหรูใจกลางมหานคร New York เพดานห้องสูงไม่ต่ำกว่า 5 เมตร ที่มี Chandaria โคมใหญ่แขวนอยู่ใจกลางห้อง ตามผนังประดับประดาไปด้วยไม้ฉลุสีทอง เสียงเพลงบรรเลงจากวงดนตรีคลาสสิกดังคลอไปกับบรรยากาศของการพูดคุยธรุกิจ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมออกงานสังคมในฐานะลูกของพ่อ


----------

มิลค์ : เจอกันวันอาทิตย์ครับ จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือใส่สูทผูกไทด์

#NY #With Arms
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ตอนพิเศษที่ 2 : ปลายฝัน

ผมกำลังยืนมองภาพสะท้อนของตัวเองอยู่หน้ากระจกเงาบานใหญ่ ลมหายใจเข้าออกเริ่มกลับมาเป็นจังหวะสม่ำเสมอ อาการปากแห้งหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ความประหม่าที่ถาโถมมาตั้งแต่ช่วงเช้ามลายหายไปเมื่อผมสวมเกราะป้องกัน ดวงตาคู่สวยไล่สายตาจากทรงผมที่ถูกบรรจง set มาอย่างดี ชุดสูททักซิโดแบรนด์หรูพอดีตัวที่กำลังสวมใส่ นาฬิกาข้อมือระดับ iconic และ cufflinks ทองประดับอัญมณีสีแดงสด ... ผมพร้อมแล้ว

ในห้อง grand ballroom ของโรงแรมสุดหรูใจกลางมหานคร New York เพดานห้องสูงไม่ต่ำกว่า 5 เมตร ที่มี Chandaria โคมใหญ่แขวนอยู่ใจกลางห้อง ตามผนังประดับประดาไปด้วยไม้ฉลุสีทอง เสียงเพลงบรรเลงจากวงดนตรีคลาสสิกดังคลอไปกับบรรยากาศของการพูดคุยธรุกิจ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมออกงานสังคมในฐานะลูกของพ่อ

“Good evening, Mr. ambassador” พ่อทักทายชายสูงวัยกลางคนที่เดินเข้ามาหาด้วยน้ำเสียงสุภาพ

“Hello Mike and Ploy, you look gorgeous as the last time we met.” ท่านทูตเอ่ยปากทักทายพ่อกับแม่อย่างสนิทสนม ทั้งคำพูดและภาษากายบ่งบอกได้ชัดเจนถึงทักษะทางการทูตชั้นเซียน

“Hello” ผมยื่นมือไปตรงหน้าทันทีที่เขาจับมือกับแม่เสร็จ

“And you are?” ท่านทูตเอ่ยถาม

“Let me…” และในขณะที่พ่อกำลังจะแนะนำตัวผม ท่านทูตก็พูดแทรกขึ้นด้วยท่าทางขบขัน

“No no Tim, let me guess … You take after your mom and same nose as your dad. You must me the son”

“You are right. Let me introduce, Milk, my son.” ผมยิ้มกว้างพร้อมกับจับมือทักทายกับอีกฝ่ายที่ยื่นมาตรงหน้า

“Of course, you are, the next line to the throne hahaha. Nice to meet you.”

“Nice to meet you too.” ผมตอบพร้อมรอยยิ้ม

ตลอดช่วงหัวค่ำของวัน ผมส่งยิ้ม หัวเราะ และพูดคุยสนทนาเรื่องจิปาฐะกับแขกระดับ VIP ที่บินลัดฟ้ามาจากทั่วทุกมุมโลก ทุกคนมาร่วมกันที่นี้เพื่อจุดประสงค์เดียวคือเสาะหาโอกาสทางธุรกิจ ถึงตอนนี้ ผมก็ยังไม่เข้าใจว่าการทุมเทเงินทองมากมายเพื่อจัดงานเลี้ยงระดับนี้จะช่วยให้การเจรจาธุรกิจราบรื่นได้ยังไง ในเมื่อสิ่งที่ผมเห็นคือทุกคนต่างพูดคุยเรื่องทั่วๆ ไป บทสนทนาวนเวียนอยู่กับเรื่องครอบครัว งานอดิเรก หรือไม่ก็เรื่องเก่าๆ สมัยวันวาน



“พ่อดีใจนะที่ลูกตกลงมาช่วยงานพ่อหลังจากเรียนจบ” พ่อที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพูดขึ้น ในขณะที่เราทั้ง 3 คนกำลังนั่งอยู่ใน stretched Rolls-Royce Silver Spirit กลับที่พัก

“แต่มิลค์ขอเป็นหลังจากเรียนจบ ป.โทนะพ่อ” คิ้วของคนตรงหน้าขมวดเข้าหากันทันทีที่ผมพูดจบประโยค

“ลูกบอกคุณแล้วไงคะ ว่าจะขอเรียนโทจบก่อนถึงจะกลับมาช่วย” แม่ที่นั่งอยู่ข้างๆ พ่อช่วยผมพูดอีกแรง

“ก็ได้ ถ้าลูกต้องการแบบนั้น” สีหน้าเข้มขึงดูผ่อนคลายลง ไม่รู้ว่าจำไม่ได้จริงๆ หรือแกล้งทำเป็นลืม

“แล้วนี่จีเป็นยังไงบ้าง ตั้งแต่มาที่นี้ได้ติดต่อกันบ้างไหม” แม่เปลี่ยนประเด็นเพื่อช่วยให้บรรยากาศผ่อนคลาย

“ไม่เลยแม่ เมล์ไปแล้วแต่มันไม่ตอบ”

“ไป backpack คงจะหาคอมลำบาก เดียวค่อยกลับไปเจอกันที่เมืองไทย”

“ครับ”

“แล้วนี้เจ้าจีเรียนอยู่ปีไหนแล้ว” พ่อถามด้วยสีหน้าที่ผ่านคลายขึ้นกว่าเดิมเมื่อพูดถึงเรื่องจี ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่จีก็เป็น ‘ลูกรัก’ ของพ่อเสมอ

“ปี 3 แล้วครับ”

“อีกปีเดียวก็จบแล้วเหรอ ...” ผมพยักหน้ารับ

“… ถามจีนะ ถ้าอยากมาทำงานกับพ่อก็บอกได้ตลอด

“ครับ” ผมตอบรับพร้อมกับรอยยิ้ม อดดีใจแทนเจ้าตัวไม่ได้

“เสียดายที่ไม่ได้มา New York ด้วยกัน” พ่อจบบทสนทนาด้วยประโยคลอยๆ หลังจากนั้นประเด็นเรื่องการกลับมาช่วยงานหลังเรียนจบของผมก็ไม่ถูกพูดถึงอีกเลยตลอดช่วงเวลาที่ผมพักอยู่ที่ New York







“มึงตอบตัวเองได้ยัง” ผมยืนเผชิญหน้ากับไอซ์ มันพูดพลางคีบบุหรี่ในมือขึ้นมาสูบ เหมือนเกิดเดจาวูขึ้นระหว่างผมกับมัน สถานการณ์เดิม บทสนทนาเรื่องเดิม ต่างกันแค่ช่วงเวลา

“ได้แล้ว ... กูรักมัน” ผมบอกไอซ์ไปตามตรง มันหรี่ตามองผม ก่อนจะพ่นควันบุหรี่ออกมาลูกใหญ่

“ในที่สุดก็รู้ใจตัวเอง แล้วมึงคุยกับมันหรือยัง” ไอซ์ถาม ผมส่ายหน้าให้กับคำถามนั้น

“กูไม่กล้า”

“ถ้าไม่พูด แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าพวกมึงใจตรงกันหรือเปล่า กูว่าไอ้จีก็มีใจให้มึง ไม่มากก็น้อย ...”

“... ตั้งแต่มึงกลับมาก็ตัวติดกันตลอดเลยไม่ใช่เหรอ ...” ผมพยักหน้ารับ หลังจากเปิดมือถือได้ไม่ถึง 10 นาที สายแรกที่โทรเข้ามาก็คือของจี วันรุ่งขึ้นจีมาหาผมที่คอนโด มาช่วยลื้อกระเป๋า จัดของ มันมานอนค้างกับผมได้ 2 คืนแล้ว และคืนนี้ก็คงนอนค้างอีกคืน ก่อนที่จะกลับไปนอนบ้านตัวเองในวันถัดไปเพราะวันมะรืนมีงานรับน้องของมหาลัย

“... เล่ามาดิว่าเกิดอะไรบ้าง”

ผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้ไอซ์ฟัง ทุกเหตุการณ์ ทุกความรู้สึกถูกร้อยเรียงออกมาเป็นเรื่องเล่า ราวกับนิทานก่อนนอน

“ตกลงว่ามันมานานค้างกับมึงทุกสุดสัปดาห์”

“จะพูดแบบนั้นก็ได้” พอเริ่มคุ้นเคยกับสิ่งแวดล้อมใหม่ รู้ตัวอีกทีจีก็มานอนค้างกับผมทุกวันศุกร์และเสาร์ ก่อนที่จะกลับไปนอนบ้านตัวเองวันอาทิตย์ จนสุดท้ายการเห็นจีเดินไปเดินมาในบ้านก็เป็นกลายเป็นเรื่องปกติสำหรับ housemate ทุกคน

“แล้วเรื่องกอด ทุกคืนเลยเหรอ ...” แม้จะรู้สึกเขินอายแต่ผมก็พยักหน้ารับ

“... แล้วตอนตื่นละ”

“บ้าง แต่ก็จะออกแนวเล่นๆ ซะมากกว่า”

“มันเคยพูดเรื่องนี้กับมึงบ้างไหม” ไอซ์ถามพลางทำสีหน้าครุ่นคิด

“ไม่เคยเลย วันแรกที่นอนกอดกัน กูก็คิดว่าตอนเช้ามันจะพูดอะไรบ้าง แต่ก็เปล่า”

“มีอะไรมากกว่ากอดไหม” ไอซ์ถามคำถามชวนใจเต้นได้เรียบง่ายราวกับเราคุยกันเรื่องลมฟ้าอากาศ ระหว่างรอคำตอบ เจ้าตัวสูดนิโคตินเข้าปอดอีกเฮือกใหญ่

“ไม่มี มากสุดก็ปล่อยมุกทะลึ่งใส่ แต่ตอนนั้นคือเมากันทั้งคู่” พอคิดย้อนไปถึงเหตุการณ์ lubricant หัวใจผมก็เต้นโครมครามอย่างประหลาด

“แปลกนะ จีมันไม่ใช้พวกทำอะไรไม่คิด นอนกอดกันทุกคืนเป็นไปได้เหรอวะ ว่ามันจะไม่ตั้งใจ” ไอซ์ทำสีหน้าครุ่นคิดอย่างหนัก

“กูไม่รู้ มันไม่พูดกูก็ไม่กล้าถาม” ผมตอบเสียงแผ่ว

“พอกลับมา มันยังนอนกอดมึงอยู่ไหม”

“ก็กอดนะ” เมื่อคืนก็กอด คืนก่อนหน้านั้นก็กอด แต่พอตื่นเช้ามามันก็ทำเหมือนไม่มีอะไร

“อืมมมม ... กูเพิ่งสังเกตว่าบางครั้งมึงกับมันพูดภาษาอังกฤษกัน”

“อืม มันบอกว่าไม่อยากให้ลืมสิ่งที่ไปเรียนมา”

“เหรอ? แน่ใจนะว่าไม่ใช้ secret language ของมึง 2 คน...” ผมชะงักไปเมื่อได้ยินคำพูดของไอซ์ ... secret language เหรอ ... ก็ดีเหมือนกันนะ ... แล้วรอยยิ้มจางๆ ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวย

“... ตอนนี้มึงรู้สึกยังไง”

“เอาจริงนะ เหมือนคน in love โลกสีชมพู แค่เห็นหน้ามันหัวใจกูก็เต้นรัว ตอนนี้กูไม่กล้าสบตามันด้วยซ้ำ” พูดไปก็เขิน

“โคตรคลั่งรัก” ไอซ์ยิ้ม

“Summer ที่ผ่านมาเหมือนฝัน”

“ถ้าอยากให้เป็นมากกว่าความฝัน มึงต้องคุยกับมันนะ” คำพูดของไอซ์ทำรอยยิ้มของผมค่อยๆ จางหายไป

“กูกลัว”

“กูรู้ว่ามึงกลัว แต่เรื่องแบบนี้มันต้องเสี่ยงหรือเปล่าวะ”

“แล้วถ้ามันไม่ได้คิดเหมือนกู หรือถ้าสุดท้ายแล้วมันไม่ work ละ กูไม่อยากจะเสียมันไป” ผมใคร่ครวญมาตลอดช่วงระยะเวลาหลายสัปดาห์ แต่ก็ไม่สามารถจะเค้นความกล้าเพื่อบอกชอบจีได้ แน่นอนว่าพอได้จินตนาการว่าอีกฝ่ายตอบรับ หัวใจผมก็ฟองโตเหมือนจะลอยไปได้ไกลแสนไกล แต่พอคิดว่าหากถูกปฏิเสธ หรือสุดท้ายแล้วเราไปได้กันไม่รอด ความกังวลก็ก่อตัวขึ้นมหาศาล เพราะจุดจบของความรักระหว่างเพื่อนทั้ง 3 ครั้งของผมดูจะไม่ค่อยน่าอภิรมย์เท่าไหร่นัก

“ไอ้จีไม่มีวันรังเกียจมึง ที่ผ่านมามันก็ยอมรับความรู้สึกทุกอย่างของมึงได้ไม่ใช้เหรอ มึงมีแฟนคนแรกทั้งที่มันก็เตือนแล้วเตือนอีก แต่พอมึงเสียใจมันไม่แม้แต่จะว่ามึงซักคำ”

“แต่นี้ไม่เหมือนกันนะเว้ย ครั้งนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวมัน ... กูกลัว กลัวทุกอย่าง กลัวว่าจะเสียมันไป”

“กูรู้ว่ามึงใช้ความกล้ามากแค่ไหนกว่าจะยอมรับความรู้สึกของตัวเองได้ แต่มันจะต้องใช้ความกล้ามากกว่านั้นอีกหลายเท่าที่จะพูดความจริงกันมัน”

“เป็นมึง มึงจะบอกไหม” ผมถาม

“บอก เพราะถ้าบอกกูยังมีโอกาส แต่ถ้าไม่บอกโอกาสคือศูนย์” คำตอบของไอซ์ทำผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“กูไม่รู้ว่าจะตัดสินใจยังไง”

“มึงต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง เพราะไม่มีใครตอบได้ว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง ...”

“... ใช้เวลาเท่าที่มึงต้องการ ชั่งน้ำหนักกับความรู้สึกของตัวเอง และเหมือนเดิม คือมึงต้องซื่อสัตย์กับตัวเอง” พูดจบมันก็ทิ้งก้นบุหรี่ลงพื้นก่อนจะใช้เท้าขยี้ซ้ำ


...


งานรับน้อง 3 วัน 2 คืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว รู้สึกใจหายเพราะเหมือนเพิ่งผ่านการเป็นน้องใหม่มาเมื่อวาน เผลอแป๊บเดียวผ่านไปแล้ว 1 ปี

“มิลค์ มึงจะไปกินเลี้ยงกับพวกมันไหม” จีถามในขณะที่ผมกำลังเก็บของใส่กระเป๋า

“ไม่ค่อยอยากไปอะ พรุ่งนี้กูเปิดเทอมแล้ว อยากกลับไปพักมากกว่า” ผมตอบปฏิเสธทั้งที่ในใจอยากไปกินข้าวกับจี แต่ผมไม่สนิทกับเพื่อนคนอื่นๆ เหมือนจี ถ้าไปด้วยคงรู้สึกอึดอัดไม่น้อย ... แต่อีกใจก็รู้สึกลังเล ข้างในมันรู้สึกหวิวๆ ยังไงชอบกล พอคิดได้ว่าเมื่อเปิดเทอมแล้วเรา 2 คนต่างก็ต้องห่างกันอีกครั้ง อยากเก็บเกี่ยวทุกวินาทีที่เรา 2 คนมีด้วยกันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

“ไปเถอะ เปิดเทอมแล้วคงวุ่นๆ ไม่ได้มีเวลามานั่งกินข้าวด้วยกันบ่อยๆ ... นะ ไปด้วยกัน ...” เจอลูกอ้อนของจีเข้าไป แล้วผมจะปฏิเสธยังไงไหว เลยได้แต่พยักหน้าตอบตกลง

“โอเค เดียวกูไปบอกคนอื่นว่ามึงไปด้วย เก็บของเสร็จแล้วตามไปที่ใต้ตึกนะ” พูดจบ มันก็เดินตัวปลิวออกจากห้อง

“เฮ่อออออออ!!!” ผมอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ไม่อยากห่างกับจีเลย คิดๆ ดู ตลอดระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา ผมกับมันตัวติดกันตลอด ตั้งแต่วันแรกที่สอบเสร็จจนกระทั้งวันนี้ ... ถ้าได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลาก็คงจะดีไม่น้อย

ผมเดินตามจีออกมาด้านนอก เสียงพูดคุยจ๊อกแจ๊กจอแจ ทุกคนกำลังพูดคุยกันสนุกสนาน ผมเดินผ่าฝูงคนออกด้านนอก ส่งยิ้มและทักทายกับเพื่อนคนอื่นๆ เป็นระยะ แต่อยู่ๆ ขาทั้ง 2 ข้างกลับแข็งทื่อ นิ้วมือเรียวสวยกำหูหิ้วกระเป๋าแน่นอย่างลืมตัว เหมือนพายุหมุนลูกใหญ่ถาโถมอยู่ในอก ... รุ่นพี่ผู้ชายคณะวิทยากำลังนั่งตักจีอยู่บนม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ แขนทั้ง 2 ข้างของเพื่อนสนิทพาดอยู่บนเอวของพี่คนนั้นอย่างสนิทสนม

“กูจะกลับบ้าน” รู้ตัวอีกที ผมก็ยืนประจัญหน้ากับมัน ... น้ำเสียงเรียบไร้อารมณ์แต่กลับทำให้ทุกคนรอบข้างนิ่งสนิท บรรยากาศสนุกสนานถูกพัดหายไปจากสายลม แม้จะเป็นคนไม่ค่อยสุงสิงกับใคร แต่มิลค์ก็ยิ้มแย้มและสุภาพกับทุกคน ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเห็นมิลค์แสดงอารมณ์ขุ่นๆ ออกมา ... ทุกสายตาจับจ้องมายังคน 3 คน บรรยากาศกดดันคาดคั้นจนรุ่นพี่ต้องลุกออกจากตักของจี ... พอตั้งสติได้ผมที่เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองทำอะไรลงไป

“ขอโทษครับ” ผมกล่าวขอโทษรุ่นพี่ที่ทำกิริยาไม่สุภาพใส่ จากนั้นเลยตัดสินใจหันหลังเดินออกมา

“มิลค์!!!...” เสียงของจีดังไล่หลัง ในขณะที่ผมสาวเท้าก้าวยาวๆ

“... มิลค์ หยุดก่อน ... มิลค์!!!” มือหนาคว้าข้อมือผมไว้ ผมหันกลับไปตามแรงฉุดรั้ง แต่พอช้อนสายตาขึ้นมองหน้าเพื่อนสนิท ก็ยิ่งรู้สึกโกรธมากขึ้นกว่าเดิม

“ทำไม!!!” ผมกระชากเสียง ตอบกลับคนตรงหน้า

“เป็นไรวะ ไหนว่าจะไปกินข้าวกันไง”

“ไม่ไป ไม่กิน จะกลับบ้าน” ผมตอบเสียงเข้ม

“ไปกินข้าวกันก่อน แล้วกลับไปเอาของบ้านกู เดียวกูขับรถไปส่งที่คอนโด” คนตรงหน้าพยายามใช้น้ำเย็นเข้าสู้ ... ผมกลืนน้ำลายลงคอ ลืมไปได้ยังไงว่าของใช้ส่วนตัวอยู่บ้านจีทั้งกระเป๋า เพราะไปนอนค้างกับจีตลอดช่วงงานรับน้อง ... แต่จะให้กลับพร้อมกันก็เสียฟอร์มหมดดิวะ

“ไม่เอา จะกลับตอนนี้” ที่ดึงดันอยู่นี่ ไม่มีอะไรหรอก ... ego ของตัวเองล้วน ๆ ที่ตอนนี้น่าจะสูงกว่าตึกใบหยกแล้วมั้ง

“อย่าดื้อดิวะ”

“ไม่ได้ดื้อ จะกลับ ปล่อย!!!” ผมดึงข้อมือกลับแต่มันก็รั้งไว้ไม่ยอมปล่อย

“อย่าดื้อ ไม่พอใจอะไรก็พูด ไม่ใช้มาทำนิสัยแบบนี้” จีเริ่มตอบกลับเสียงเข้ม

“ไม่ได้ทำอะไรเลย กูแค่จะกลับ เชิญมึงไปกินกับพี่มึงเถอะ”

“มิลค์!!! อย่าประชด ไม่พอใจอะไรก็พูดดีๆ ...” เสียงเข้มๆ กับท่าทางหงุดหงิดถูกแทนที่ด้วยความนิ่งสนิท ผมเสียวสันหลังวาบเพราะ the winter is coming

“... ไหน บอกก็ซิว่าไม่พอใจเรื่องอะไร...”

ผมเลือกที่จะเงียบ เพราะเอาเข้าจริงๆ ก็ไม่กล้าบอกความจริงกับจี

“... มองหน้ากูซิ ... Milk, dear, look at me, please...” น้ำเสียงของจีอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด พอเจอประโยคนี้เข้าไป ผมที่ยังก้มหน้าก็ไม่มีทางเลือกนอกจากช้อนสายตาขึ้นมา ... มันยิ้ม ยิ้มทำไมวะ

“... กูไม่ได้ตั้งใจให้คนอื่นนั่งตักเปล่าวะ เขามานั่งของเขาเองแล้วก็เป็นรุ่นพี่ กูเลยต้องปล่อยเลยตามเลย ...”

“... ถ้ามึงไม่พอใจมื้อเย็นนั่งตักกูตลอดเลยก็ได้นะ” ตอนแรกผมคิดว่ามันล้อเล่น แต่มองจากสีหน้าและสายตาแล้วคิดว่าจีไม่ได้พูดเพราะอารมณ์ชั่ววูปแน่ๆ

“ไอ้บ้า ใครจะนั่งตักมึง” ผมด่ามันเพื่อกลบเกลื่อน

“หายโกรธแล้วใช่ไหม ...” ผมพยักหน้า ... เกียจตัวเองฉิบหาย อิห่ามิลค์ มึงนี่โคตรใจง่าย

“... งั้นไปกินข้าวกันนะ กูอยากใช้ช่วงเวลาสุดท้ายของ summer นี้กับมึง” มือหนากุมมือผมไว้แล้วออกแรงฉุดรั้งให้เดินย้อนกลับไปทางเดิม

สายตาของผมจับจ้องไปยังแผ่นหลังของคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวกันมามากมาย ตลอดช่วงระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมาทำให้ผมกับจีผูกพันกันมากขึ้นไปอีกขั้น ผมไม่รู้ว่าหลังจากนี้เรื่องราวของเราจะเป็นอย่างไร เลยได้แค่ภาวนาอยู่ในใจ ขอให้สุดท้ายแล้วเรา 2 คนใจตรงกัน

ช่วงเวลาวันสุดท้ายของ Trip summer ปี 1 จบลงด้วยการที่จีขับรถมาส่งผมที่คอนโด จากนั้นเรา 2 คนนั่งคุยกันในรถจนดึก ก่อนที่ต่างคนต่างแยกย้ายเพื่อกลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง


‘เธอกับฉัน เราเป็นอะไรช่วยบอกฉันที
อยากรู้สายตาที่เธอมีให้กัน
มันหมายความว่าอะไร
เป็นแค่เพียงอารมณ์อ่อนไหวที่คงหายไป
หรือซ่อนความรักที่มีเอาไว้
เธอคิดยังไงกับฉัน ช่วยบอกฉันที’

                                                                                                       หมายความว่าอะไร, Mean, 2017

----------


#US #ปลายฝัน
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
“เป็นมึง มึงจะบอกไหม” ผมถาม

“บอก เพราะถ้าบอกกูยังมีโอกาส แต่ถ้าไม่บอกโอกาสคือศูนย์” คำตอบของไอซ์ทำผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“กูไม่รู้ว่าจะตัดสินใจยังไง”

“มึงต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง เพราะไม่มีใครตอบได้ว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง ...”

“... ใช้เวลาเท่าที่มึงต้องการ ชั่งน้ำหนักกับความรู้สึกของตัวเอง และเหมือนเดิม คือมึงต้องซื่อสัตย์กับตัวเอง” พูดจบมันก็ทิ้งก้นบุหรี่ลงพื้นก่อนจะใช้เท้าขยี้ซ้ำ


----------


#ปมในใจ #ปลายฝัน
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
“ … You take after your mom and same nose as your dad. You must me the son”

“You are right. Let me introduce, Milk, my son.” ผมยิ้มกว้างพร้อมกับจับมือทักทายกับอีกฝ่ายที่ยื่นมาตรงหน้า

“Of course, you are, the next line to the throne hahaha. Nice to meet you.”

“Nice to meet you too.” ผมตอบพร้อมรอยยิ้ม

ตลอดช่วงหัวค่ำของวัน ผมส่งยิ้ม หัวเราะ และพูดคุยสนทนาเรื่องจิปาฐะกับแขกระดับ VIP ที่บินลัดฟ้ามาจากทั่วทุกมุมโลก ทุกคนมาร่วมกันที่นี้เพื่อจุดประสงค์เดียวคือเสาะหาโอกาสทางธุรกิจ ถึงตอนนี้ ผมก็ยังไม่เข้าใจว่าการทุมเทเงินทองมากมายเพื่อจัดงานเลี้ยงระดับนี้จะช่วยให้การเจรจาธุรกิจราบรื่นได้ยังไง ในเมื่อสิ่งที่ผมเห็นคือทุกคนต่างพูดคุยเรื่องทั่วๆ ไป บทสนทนาวนเวียนอยู่กับเรื่องครอบครัว งานอดิเรก หรือไม่ก็เรื่องเก่าๆสมัยวันวาน


----------


#Duty #The inevitable fate #ปลายฝัน
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 22
«ตอบ #101 เมื่อ06-09-2025 11:35:11 »

Teaser ตอนที่ 22

“กูไม่เห็นเพื่อนมึงซักพักแล้วนะ ยุ่งเหรอวะ”

“ก็ดูจะยุ่งๆ อยู่นะ หายไปเลยเหมือนกัน” ตั้งแต่เปิดเทอมจีก็หายไปเลย ผมเองก็ยุ่งกับการเรียนรู้ตัวอีกทีไม่ได้คุยกันมาหลายวันแล้ว

“พวกแกไม่ได้คุยกันทุกวันเหรอ” แก้วเอ่ยถาม

“เป็นช่วงๆ มากกว่า บางช่วงก็คุยกันบ่อย บางช่วงก็เงียบๆ ไป” พูดแล้วก็คิดถึงช่วง summer ชะมัด เจอหน้ากันทุกวันตั้งแต่เช้ายันเย็น บางวันเจอหน้ากันยันหลับตานอน ตอนเช้าลืมตาตื่นขึ้นมาก็เจอกันอีก ยอมรับว่าหลังจากกลับมารู้สึกไม่ชินเท่าไหร่ที่ต้องห่างจากจี แม้ว่าสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้จะไม่ได้แตกต่างจากช่วงเปิดเทอมก่อนๆ มากนักก็ตาม

“ถามจริง ไป summer ด้วยกัน 2 เดือน ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ เหรอวะ” ต่อเป็นตัวแทนหมู่บ้านถาม ทุกคนดูสนอกสนใจกับความสัมพันธ์ของผมกับจีซะเหลือเกิน กับเรื่องเรียนไม่เห็นจะอยากรู้ขนาดนี้ จำได้ว่าตอนบอกพวกมันว่าปิดเทอมใหญ่จะไป summer กับจี ผมก็ถูกพวกมันล้อไปพักใหญ่

“พวกแกดูละครเยอะไปหรือเปล่า” ผมพูดพลางหยิบเอาเอกสารขึ้นมาเตรียม lecture หวังลึกๆ อยู่ในใจว่าพวกมันจะหยุดถามแล้วเตรียมตัวเรียน ไม่ใช้ครั้งแรกที่ถูกพวกมันถาม และทุกครั้งผมก็ตอบเหมือนเดิม

“ไหนเอารูปตอนไปเที่ยวมาให้พวกกูดูซิ” ไอ้ต้นยังไม่ยอมหยุด

“ไม่ได้เอามา เอาลง PC ไปหมดแล้ว” ผมรีบตัดบท เพราะพวกมันรู้ว่าปกจิผมจะพกกล้อง digital มาถ่าย lab ทุกวัน

“ปากบอกไม่มีอะไร แต่ไม่ยอมเอารูปมาให้พวกกูดูซักที แก้ตัวให้ได้ตลอดนะไอ้มิลค์” ไอ้ต้นกัดฟันพูดแล้วยอมจบบทสนทนาเมื่อเห็นว่าอาจารย์เดินเข้ามาในห้อง ... ใครจะกล้าให้พวกมันดู อิงแอบแนบชิดกันเกือบทุกรูป ไม่กอดคอกันก็โอบไหล


----------


มิลค์ : เจอกันวันพรุ่งนี้นะครับ จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือขึ้นปี 2 แล้ว

#เปิดเทอม #ปี 2 #ตอนที่ 22
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน





ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 22
«ตอบ #102 เมื่อ07-09-2025 09:55:30 »

ตอนที่ 22 : Rare Item

ตั้งแต่ขึ้นปี 2 ชีวิตก็บันเทิงเริงลมต่างจากปี 1 ลิบลับ พอเห็นตารางสอนแล้วถึงเข้าใจว่าทำไมรุ่นพี่ถึงบอกว่าอยากทำอะไรให้รีบทำตั้งแต่ปี 1 ไม่ว่าจะเป็นลงเรียนวิชาเลือก ไปจนถึงการหาแฟนนอกคณะ เพราะตารางเรียนของผมถูกอัดแน่นไปด้วยวิชา lecture และ lab ตั้งแต่จันทร์ถึงศุกร์ 8.00 - 16.00 เต็มเวลาราชการ และจะแน่นแบบนี้ไปอีกหลายปี

“พวกมึงไปกินข้าวในสยามกันไหม” ไอ้ต่อถามเมื่อเราทั้ง 4 คนเดินสมองไหลออกมาจากห้อง lecture

“กินบ้ากินบออะไร ดูเวลาด้วย 12.15 แล้ว” แก้วตอบไอ้ต่อเสียงเข้ม ดูจากเวลาที่เหลืออยู่แล้ว เรา 4 คนเลยจำใจเดินไปหาอะไรรองท้องที่ร้านค้าหน้าคณะ พวกเรามีเวลาพักแค่ชั่วโมงเดียวและไม่ว่าคาบก่อนหน้าจะปล่อยกี่โมง คาบบ่ายก็จะเริ่มตอน 13.00 ตรงเวลาเสมอ

“แกกินได้ไหมวะ” แก้วถาม

“ได้” ผมพูดพลางกัดแซนวิชสำเร็จรูปเข้าปากแล้วตามด้วย mocha เย็นเพื่อเพิ่มระดับ caffeine ในกระแสเลือด ที่คณะไม่มีโรงอาหาร เด็กสัตวแพทย์ส่วนมากเลยมักจะไปฝากท้องกับโรงอาหารของคณะข้างเคียงทำให้เวลาเที่ยงๆ แบบนี้คนในโรงอาหารจะเยอะราวกับมีจลาจล แต่ถึงอย่างนั้นอาหารที่โรงอาหารก็ไม่ได้ถูกปากผมมากนัก ร้านอาหารที่ผมกินได้มีอยู่ไม่กี่ร้าน หนึ่งในนั้นคือร้านอาหารอีสานที่คิวมักจะยาวไปถึงดาวอังคาร

“เย็นนี้เปิดตัวน้องรหัส พวกแกซื้อของ take น้องหรือยัง” ไอ้ต้นถามเมื่อพวกเรากินเสร็จเรียบร้อยและกำลังเตรียมตัวเดินกลับไปตึกเรียน

“ยังเลยวะ ใครจะไปมีเวลาซื้อ เมื่อวานกว่าจะเลิกเรียน ทำรายงาน lab เสร็จ กลับถึงบ้านก็หมดแรงพอดี” ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับคำบ่นของไอ้ต่อ

“งั้นเลิกเรียนแล้วออกไปซื้อของ take ที่สยามกันไหม กว่าจะเฉลยสายรหัสก็น่าเกือบ 5 โมง” ผมเสนอความคิด ไม่ใช้เฉพาะกลุ่มเราเท่านั้นที่ยังไม่ได้เตรียม เพื่อนคนอื่นๆ ก็ยังไม่ได้เตรียมตัวเหมือนกัน

“ตื่นเต้นไหม แกยังไม่เคยเจอน้องปีหนึ่งเลยนิ” แก้วถามผม

“ไม่รู้วะ” จะว่าตื่นเต้นก็ไม่เชิง

ผมกลับมาจาก summer ใกล้กับวันเปิดเทอมมาก เลยเป็นแค่คนเดียวในรุ่นที่ไม่ได้ไปร่วมค่ายรับน้องของคณะ ผมไม่ได้ให้ความสำคัญกับสายรหัสมากนัก สายรหัสของผมไม่เหมือนกับของคนอื่นเพราะพี่ๆ หลายคนลาออกไปเรียนคณะอื่นทำให้สายรหัสขาดช่วง ปีที่แล้วนอกจากวันเปิดตัวสายรหัสแล้วผมกับพี่รหัสก็ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์ใดๆ ร่วมกันอีกเลย

“กูไปบนมาว่าขอได้น้องรหัสหล่อๆ” แก้วพูดติดตลก

“แรดนัก” ไอ้ต้นแซว

“อย่าบอกนะว่าแกไม่อยากได้น้องรหัสสวยๆ”

“อยากได้ซิวะ 6 ปีรั้วมหาลัย กูก็หวังจะมีแฟนเป็นตัวเป็นตนกับเขาซักที” พูดจบพวกมัน 2 คนก็หัวเราะกันสนุกสนาน

“ไอ้มิลค์แล้วมึงละ ลุ้นกับเขาไหม” ไอ้ต้นหันกลับมาถามผม

“เฉยๆ”

“ใช่ซิ!!! ใครจะไปดีเลิศเท่าแฟนมึง...” พอผมไม่เล่นตามน้ำไปกับมัน ไอ้ต้นก็หันมาแว้งกัดทันที งูพิษชัดๆ

“... แซวแค่นี้มาทำเป็นมองตาขวาง”

“บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ใช้แฟน”

“จร้า เช้าถึงเย็นถึงขนาดนี้ เพื่อนสนิทก็เพื่อนสนิท” พวกมัน 3 คนแซวผมเรื่องของจีทุกครั้งที่มีโอกาส

“กูไม่เห็นเพื่อนมึงซักพักแล้วนะ ยุ่งเหรอวะ”

“ก็ดูจะยุ่งๆ อยู่นะ หายไปเลยเหมือนกัน” ตั้งแต่เปิดเทอมจีก็หายไปเลย ผมเองก็ยุ่งกับการเรียนรู้ตัวอีกทีไม่ได้คุยกันมาหลายวันแล้ว

“พวกแกไม่ได้คุยกันทุกวันเหรอ” แก้วเอ่ยถาม

“เป็นช่วงๆ มากกว่า บางช่วงก็คุยกันบ่อย บางช่วงก็เงียบๆ ไป” พูดแล้วก็คิดถึงช่วง summer ชะมัด เจอหน้ากันทุกวันตั้งแต่เช้ายันเย็น บางวันเจอหน้ากันยันหลับตานอน ตอนเช้าลืมตาตื่นขึ้นมาก็เจอกันอีก ยอมรับว่าหลังจากกลับมารู้สึกไม่ชินเท่าไหร่ที่ต้องห่างจากจี แม้ว่าสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้จะไม่ได้แตกต่างจากช่วงเปิดเทอมก่อนๆ มากนักก็ตาม

“ถามจริง ไป summer ด้วยกัน 2 เดือน ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ เหรอวะ” ต่อเป็นตัวแทนหมู่บ้านถาม ทุกคนดูสนอกสนใจกับความสัมพันธ์ของผมกับจีซะเหลือเกิน กับเรื่องเรียนไม่เห็นจะอยากรู้ขนาดนี้ จำได้ว่าตอนบอกพวกมันว่าปิดเทอมใหญ่จะไป summer กับจี ผมก็ถูกพวกมันล้อไปพักใหญ่

“พวกแกดูละครเยอะไปหรือเปล่า” ผมพูดพลางหยิบเอาเอกสารขึ้นมาเตรียม lecture หวังลึกๆ อยู่ในใจว่าพวกมันจะหยุดถามแล้วเตรียมตัวเรียน ไม่ใช้ครั้งแรกที่ถูกพวกมันถาม และทุกครั้งผมก็ตอบเหมือนเดิม

“ไหนเอารูปตอนไปเที่ยวมาให้พวกกูดูซิ” ไอ้ต้นยังไม่ยอมหยุด

“ไม่ได้เอามา เอาลง PC ไปหมดแล้ว” ผมรีบตัดบท เพราะพวกมันรู้ว่าปกจิผมจะพกกล้อง digital มาถ่าย lab ทุกวัน

“ปากบอกไม่มีอะไร แต่ไม่ยอมเอารูปมาให้พวกกูดูซักที แก้ตัวให้ได้ตลอดนะไอ้มิลค์” ไอ้ต้นกัดฟันพูดแล้วยอมจบบทสนทนาเมื่อเห็นว่าอาจารย์เดินเข้ามาในห้อง ... ใครจะกล้าให้พวกมันดู อิงแอบแนบชิดกันเกือบทุกรูป ไม่กอดคอกันก็โอบไหล


เสียงกลองสันทนาการดังกระหึ่มออกมาจากห้องกิจกรรม ผมพร้อมเพื่อนๆ ยืนรออยู่ด้านนอกเพื่อรอเวลาเปิดตัวสายรหัส เสียงพูดคุยดังลั่นโถง ไม่น้อยหน้าเสียงกลอง ในมือของทุกคนต่างมีถุงขนมมากบ้างน้อยบ้างต่างกันไป

“น้องๆ ปี 2 ตั้งแถวได้แล้วครับ ถึงเวลาเปิดตัวสายรหัสแล้วครับ” เมื่อถึงเวลา พี่นิสิตสัมพันธ์ปี 3 ก็เปิดประตูออกมา

ในห้องกิจกรรม น้องปี 1 นั่งขัดสมาธิเรียงเป็นแถวอยู่กลางห้อง วงถัดมาคือปี 2 และวงนอกสุดคือปี 3 ด้วยความที่คนเยอะมาก ทำให้อุณหภูมิในห้องร้อนขึ้นกว่าเดิม จนพี่ปี 3 บางส่วนต้องออกจากห้องเพื่อลดความแออัด แต่ถึงอย่างนั้นคนขี้ร้อนอย่างผมก็ยังมีเหงื่อซึมตามไรผม การเปิดสายรหัสไม่มีอะไรมาก MC จะเรียกเลขสายรหัสให้พี่ และน้องรหัสแสดงตัวเรียงลำดับจากสายแรกไปจนถึงสายสุดท้าย จากนั้นจะมีเวลาประมาณ 5 นาทีให้ให้ทุกคนได้พูดคุยแนะนำตัว ใครที่ตลกก็มักจะอาศัยโอกาสนี้สร้างเสียหัวเราะและเปิดตัวอย่างอลังการ แต่สำหรับคนขี้อายและไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองแบบผมแล้ว การต้องถูกคนที่ไม่รู้จักนับร้อยจ้องเป็นสายตาเดียวกัน แม้จะเป็นเวลาแค่ไม่กี่วินาทีแต่ก็สร้างความอึดอัดให้ได้ไม่น้อย

หัวใจของผมเต้นรัวเมื่อสายรหัสก่อนหน้าแนะนำตัวเสร็จ

“คนถัดไป ถ้าน้องคนไหนได้พี่เขาเป็นพี่รหัสนี่ถือว่ามีแต้มบุญสูงมากนะครับ...” เมื่อถึงคิวของผม MC ก็เอ่ยปากแซว

“... ไม่เคยเห็นหน้าพี่เขาใช่ไหมละ นี่เลยครับ rare item ของคณะเรา ตอนค่ายรับน้องพี่เขายังไม่กลับจาก honey moon 555 ไม่ใช้ๆ พี่พูดผิด ยังไม่กลับจาก summer trip ครับ” ผมอมยิ้ม สงสัยว่าเรื่องที่ผมไปเรียน summer กับจีจะรู้กันทั้งคณะแล้วจริงๆ ไม่ต้องเดาแหล่งที่มาเลย พี่กวินแน่ๆ ตาม concept พี่กวินรู้ โลกรู้

“สวัสดีครับ พี่ชื่อมิลค์ ติณสิงห์ สิงหนาฏ ครับ รหัส 64” เสียงซุบซิบดังขึ้นเมื่อผมแนะนำตัว นึกไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ ผมยิ้มให้กับแววตานับร้อยที่มองมาเป็นสายตาเดียวกัน

“น้องคนไหนรหัส 64 ยกมือขึ้นหน่อยครับ” แล้วทุกสายตาก็จับจ้องไปยังน้องผู้ชายตัวเล็กๆ ใส่เสื้อนิสิตแขนสั่นตัวโคร่งๆ ที่ยกมือขึ้นสุดแขน

“สวัสดีครับผมชื่อ เพชร ชื่อจริงพัชระ นามสกุลกระจ่างดี”

หลังจากแนะนำตัวครบทุกสายรหัสพี่ปี 3 ก็เปิดโอกาสให้พี่รหัสน้องรหัสได้ทำความรู้จักกันประมาณ 5 นาที ผมรู้สึกประหม่าเมื่อต้องเดินผ่านสายตาหลายคู่เพื่อไปหาน้องรหัสที่นั่งอยู่กลางวง ... เพชรมองพี่รหัสเดินข้ามห้องมาหา พี่มิลค์สวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวพับแขนเสื้อถึงข้อศอก กางเกงสแล็ค และรองเท้าหนังสีดำ จะมีซักกี่คนที่แต่งชุดนิสิตถูกระเบียบตั้งแต่หัวจรดเท้าแต่กลับดูดีได้ราว elf ในภาพยนตร์เรื่อง The lord of the ring โครงหน้าสวย กิริยาท่าทางทุกอย่างเหมาะเจาะลงตัว แค่เดินผ่านก็รู้แล้วว่ามาจากครอบครัวที่มีชาติตระกูลดี

“สวัสดีครับ” มิลค์กล่าวทักทายน้องรหัสด้วยรอยยิ้มพร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งขัดสมาธิตรงหน้า

“สวัสดีครับพี่มิลค์ ผมเพชรนะครับ” น้องเพชรยกมือไหว ในใจรู้สึกประหม่าเมื่อต้องอยู่ใกล้ๆ กับพี่รหัสที่เหมือนจะมี aura เปล่งประกายตลอดเวลา

“พี่ซื้อขนมมาให้ กินให้อร่อยนะ” ถุงขนมถูกส่งให้น้องรหัส ดวงตาผู้รับเปล่งประกายเมื่อเห็นขนมหน้าตาน่ากินจากหลากหลายยี่ห้ออยู่ด้านใน

“ขอบคุณครับ”

“น้องเพชรพักที่ไหน”

“หอในครับ”

“บ้านอยู่แถวไหนเหรอ”

“ผมมาจากชุมพรครับ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เข้ากรุงเทพ”

“มีอะไรให้พี่ช่วยบอกได้นะครับ พี่ขอเบอร์น้องเพชรหน่อย” รอยยิ้มสวยปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพี่รหัส ... จังหวะที่เจ้าตัวหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาน้องรหัสถึงได้สังเกตเห็นกำไลและแหวนสีเงินเข้าชุดกัน

“086 xxx xxxx ครับ” นิ้วมือเรียวสวยกดบันทึกเบอร์โทรศัพท์ของรุ่นน้องอย่างรวดเร็ว ก่อนจะโทรไป missed call

“อันนี้เบอร์พี่นะ เดียวจบห้องเชียร์แล้วนัดกินข้าวกัน ...” ไม่นานเบอร์สวยก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอมือถือของน้องรหัส

“... มีอะไรหรือเปล่า” ผมถามเพราะรู้สึกได้ว่าน้องเพชรดูแปลกๆ ตั้งแต่เริ่มพูดคุย

“พี่เป็น hiso เหรอครับ” ผมระบายยิ้มบางๆ ให้กับคำถามของน้องเพชร

“พี่เป็นนิสิตปี 2 คณะสัตวแพทยศาสตร์ครับ”

“มีแต่คนบอกผมว่าพี่เป็น hiso ... ผมเป็นแค่เด็กทุนบ้านๆ มาจากต่างจังหวัด” อ่า!!! กังวลเรื่องนี้อยู่ซินะ

“มหาวิทยาลัยไม่ได้แบ่งแยกว่าเราเป็นใครมาจากไหน ตอนนี้เราเรียนอยู่คณะเดียวกัน สายรหัสเดียวกัน เรื่องอื่นไม่สำคัญหรอกครับ ...”

“... สบายใจขึ้นแล้วเนอะ” น้องเพชรพยักหน้า รอยยิ้มสดใสปรากฏขึ้นบนใบหน้าของรุ่นน้อง

“พี่ร้อนเหรอครับ เหงื่อออกเยอะเลย” น้องเพชรทักเพราะเห็นหยดเหงื่อเกาะตามไรผมของพี่รหัส

“อืม พี่ขี้ร้อน”

“น้องๆ หมดเวลาแล้วคะ เดียวค่อยคุยกันหลังเลิกกิจกรรมเชียร์นะคะ” เสียงรุ่นพี่พี่ปี 3 ดังขึ้นผ่านลำโพง

“พี่ไปก่อนนะ เอาไว้ค่อยคุยกัน”

“สวัสดีครับพี่” ผมยกมือรับไหว้น้องเพชรก่อนจะลุกออกจากห้อง


“น้องแกดูนิสัยดีนะ” แก้วพูดในขณะที่เรา 2 คนเบียดเสียดลงจากอาคารกำลังเดินลงจากอาคาร โถงบันไดคราครำไปด้วยเพื่อนๆ ที่กำลังเดินเบียดเสียดกัน ยิ่งทำให้อากาศอบอ้าวขึ้นไปอีก

“น้องมาจากชุมพร ... มากรุงเทพเป็นครั้งแรก” ก้าวแต่ละก้าวหนักอึ้งราวกับมีใครเอาตุ้มน้ำหนักมาถ่วงไว้ หัวใจเต้นระรัว ผมรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วใบหน้า เหงื่อเม็ดเล็กเริ่มซึมตามไรผม

“แกไหวไหมเนี่ย หน้าซีดมากเลย” เพื่อนสนิททักเมื่อเห็นสีหน้าที่เริ่มซีดขาวของผม

“ร้อน ...” ผมพึมพำเสียงแผ่ว

“อิมิลค์!!!” เสียงสุดท้ายที่ผมได้ยินคือเสียงโหวกเหวกโวยวายของแก้ว ก่อนที่ทุกอย่างจะมืดสนิทไป


ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ใช้เวลาซักพักกว่าจะรับรู้ได้ว่าตัวเองนอนอยู่ในห้องพยาบาล

“มึงเป็นไงบ้าง” ได้ยินเสียงถึงได้รู้ว่าไอ้ต่อนั่งอยู่ข้างๆ

“มึนๆ หัววะ” ผมหลับตา มึนหัวจริง

“มึงหน้ามืดไป สงสัยจะเพราะอากาศร้อน” ต่ออธิบาย

“อืม”

“โทรหาจีให้กูหน่อย” ต่อนึกไว้อยู่แล้วว่าพอลืมตาขึ้นมา ไอ้มิลค์ต้องถามหาจีเป็นคนแรก

“ไอ้แก้วโทรให้แล้ว มันกับจีคุยอยู่กับพี่กิจการนิสิต ...” แก้วคิดไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าต่อให้ไม่มีอะไรร้ายแรง วันนี้มิลค์ก็ไม่ควรจะขับรถ เจ้าตัวเลยถือวิสาสะใช้โทรศัพท์ของมิลค์โทรหาจี ถึงได้เห็นว่าชื่อของจีใน name list มีตัวอักษรพิเศษบ่งบองสถานะพิเศษของเพื่อนสนิทคนนี้ ‘G (^.^) v’

ยังไม่ทันจบประโยค แก้วก็เปิดประตูเข้ามาพร้อมกันคนอื่นๆ โดยมีจีในชุดนิสิตถูกระเบียบสวมทับด้วยเสื้อช๊อปสีน้ำเงินปักสัญลักษณ์ตรามหาวิทยาลัยไว้ตรงหน้าอกซ้าย เดินตามเข้ามาเป็นคนสุดท้าย

“... เรียบร้อยไหมมึง”

“เรียบร้อย เดียวกูพามิลค์ไปตรวจสุขภาพก่อนกลับบ้าน” จีตอบพลางเดินมาข้างเตียง

“กลับคอนโด” ผมค้าน อยากกลับคอนโดมากกว่า

“ใครบอกว่าบ้านมึง บ้านกูครับ ...”

“... ป่านี้ม๊าขึ้นเขาหลงซ่านไปเก็บโสมพันปีมาตุ๋นให้มึงแดกแล้วมั้ง” คนข้างๆ พูดติดตลก

“You don’ t have to tell her”

“You are her favorite. She will know anyway. How do you feel?”

“Better...”

“... ไม่ชอบยาจีนเลยขม” พอคิดถึงรสชาดยาจีนแล้วชีวิตก็รู้สึกห่อเหี่ยวชอบกล รู้เลยว่าพอก้าวขาเข้าบ้านของจีแล้วต้องเจอม๊ายืนรออยู่พร้อมกับยาจีนถ้วยใหญ่ แค่คิดก็ขมคอแล้ว

“ไม่ชอบแดก ก็หัดดูแลตัวเอง รู้ว่าทนร้อนไม่ได้ก็ยังไม่ยอมเลี่ยง” มือหนาวางบนหัวของผมอย่างแผ่วเบา

“กูอยากกินผัดหมี่”

“เดียวบอกม๊าให้ ... มึงลุกไหวไหมหรือจะให้อุ้ม” มันถามราวกับว่าเรื่องจะอุ้มผมผ่านสายตาประชาชีคนที่คณะเป็นเรื่องปกติธรรมดา

“ลุกไหว”

“คลุมนี่ไว้” เสื้อสีน้ำเงินถูกคลุมลงมาบนหัวไหล่ ... เสื้อช๊อปธรรมดาที่เป็นสัญลักษณ์ของเด็กคณะวิศวะแต่พอคลุมอยู่บนไหลของมิลค์ ติฒสิงห์แล้วก็ดูราวกับเสื้อผ้าแบรนด์หรูขึ้นมาทันตา ... แก้วอมยิ้มอยู่ในใจ มิลค์ยังคงไม่รู้ว่าตัวพฤติกรรมของจีโคตรชัดเจน เกินหน้าเกินตาจากคำว่าเพื่อนสนิทไปมาก แสดงความเป็นเจ้าของขนาดนี้ ไอ้มิลค์ยังกล้าพูดว่าเพื่อนกันอีกเหรอ คิดแล้วก็อยากหยุมหัวเรียกสติมันซักรอบ

“กูไปถอยรถมึงมาจอดหน้าคณะให้แล้ว” กุญแจรถ Maserati Granturismo ถูกยื่นมาตรงหน้าแต่ก่อนที่ผมจะยื่นมือไปคว้าไว้ จีก็รับกุญแจรถไปจากมือของไอ้ต้น

กว่าจะทุลักทุเลลงเดินไปถึงรถก็ใช้เวลาหลายนาที รุ่นพี่ปี 3 บางคนเดินเข้ามาถามอาการ บางคนพอเห็นว่าผมไม่มีอาการน่าเป็นห่วงก็เอ่ยปากแซว แต่คนที่ดูจะได้รับความสนใจไม่น้อยไปกว่าผมก็คือเพื่อนสนิทต่างคณะ ในขณะที่ผมรู้สึกอึดอัดเวลาที่คนข้างตัวตกเป็นเป้าสายตา แต่เจ้าตัวเองดูจะไม่รู้สึกรู้สาอะไร จีทำสีหน้าเรียบเฉย มีส่งยิ้มน้อยๆ เป็นมารยาท มือข้างหนึ่งของจีถือกระเป๋าเรียนของผมในขณะที่มืออีกข้างคอยประคองผมไม่ห่าง

“ขอบใจพวกมึงมาก ... เจอกันพรุ่งนี้” ผมเอ่ยปากของคุณเพื่อนทั้ง 3 คนจากในรถ

“ถ้าไม่ไหวก็พัก”

“ไม่อยากหยุด พรุ่งนี้มีเรียน lab ด้วย” วิชา lecture ยังพอขอนั่งฟังเสียงย้อนหลังหรือขอพวกมันลอกได้แต่ถ้าเป็น lab นี่ขาดแล้วขาดเลยต้องไปตามเอาสัปดาห์หน้า

“เออๆ เอาที่ไหว พักผ่อนเยอะๆ”

มิลค์พยักหน้ารับ ก่อนที่รถยนต์คันหรูจะเคลื่อนออกจากคณะ โดยมีเพื่อนสนิทรับหน้าที่สารถีจำเป็น

“ไหนบอกไม่ใช้แฟนกัน” ต้นพูดเมื่อเห็นรถของเพื่อนเลี้ยวออกนอกประตูคณะไป

“นั้นนะซิ ผัวเมียชัดๆ”

“คนนึงก็ออดอ้อน คนนึงก็ช่างเอาอกเอาใจ ... เมื่อไหร่จะได้กันซักที จะได้จบๆ ไป” ภาพกระหนุงกระหนิงยังติดตาของทั้ง 3 คน ทั้งคำพูด การกระทำ และน้ำเสียง เริ่มแรกที่รู้จักกัน ทั้ง 3 คนสัมผัสได้ว่าความสัมพันธ์ของมิลค์กับจีไม่ธรรมดา พอมาตอนนี้ทุกอย่างดูจะเกินเลยจากคำว่าเพื่อนสนิทไปเยอะมากถึงขนาดที่ต่อให้อมวัดทั้งวัดมาพูดก็ยังไม่มีใครไม่เชื่อว่า 2 คนนี้เป็นแค่เพื่อนกัน


...


"จี!!!" ผมลุกขึ้นจากโต๊ะม้าหินริมลานกว้าง โบกไม้โบกมือจนสุดแขน แต่พอโดนไอซ์กับโจที่นั่งอยู่ข้างๆ ดุ ถึงได้รู้ว่าตัวเองเผลอส่งเสียงจนเป็นจุดสนใจของคนรอบข้าง

เวลาประมาณ 5 โมง แสงแดดกำลังรำไร ... หลังจากผ่านสัปดาห์สอบ midterm พวกเราเลยได้โอกาสนัดกินข้าวเย็นกันครบทีม แล้วถ้าอารมณ์ครึ้มๆ อาจจะไปนั่งกินเหล้าชิวๆ กันต่อ

"ว่าไง พวกมึงมารอนานหรือยัง" จีวางกระเป๋าลงบนโต๊ะก่อนจะหย่อนตัวนั่งลงข้างๆ ผม ส่วนไอ้อาร์มนั่งลงฝั่งตรงข้าม

"ไหนว่าพวกมึงเรียนคนละภาค ทำไมมาพร้อมกันได้วะ" ไอ้โจถาม

"บังเอิญเจอกันข้างบน ..." อาร์มตอบ

"...ตกลงจะกินอะไร" อ่าาาาา ปัญหาโลกแตก

"กูอยากกินร้าน Star’ s" ผมชิงเสนอเป็นคนแรก บอกก่อนได้เปรียบ

"มึงไม่เบื่อเหรอวะ ไปกินกับไอ้จีไม่รู้กี่รอบ" ไอ้โจแย้ง

"ไม่!!! กูอยากกินอาหารฝรั้ง"

"อาหารฝรั้งร้านอื่นก็มีไหม ไม่เอา"

"ไม่!!! กูอยากกินสลัดด้วย"

"ไอ้มิลค์ อย่าเอาแต่ใจ กูไม่ใช้ไอ้จีที่จะโอ้มึงเป็นลูก" ไอ้โจมองตาขวาง

"แล้วมึงอยากกินอะไร" ผมถาม

"กูอยากแดกส้มตำ"

“ไม่เอาอะมึงงงงง กูเพิ่งแดกไปเมื่อวันก่อนกับเพื่อนที่คณะ” ผมโวยเพราะเพิ่งไปกินกับพวกไอ้แก้วมาเมื่อวันก่อน หลังจากปรับตัวเรื่องเวลาพักกลางวันอันน้อยนิดได้ ตอนนี้ไม่ว่าจะเหลือเวลาพักอยู่เท่าไหร่พวกเราก็แว๊ปไปกินข้าวทัน ผมเลยได้กินข้าวเหนียว น้ำตกไก่ทอด และปอเปี๊ยะทอดของโปรดเป็นประจำ

“ก็เรื่องของมึง โหวตเลยจะได้จบ” ไอ้เพื่อนตัวดีกวนตีนกลับมา

“เออ!!! โหวตก็โหวต” ผมฮึดฮัดตอบ

“ส้มตำ / Star’ s / Star’ s / ส้มตำ” แล้วเหตุการณ์ชวนอึดอัดก็เกิดขึ้นเมื่อผมและไอซ์โหวต Star’ s ในขณะที่อาร์มกับโจโหวตส้มตำ เพราะฉะนั้นความกดดันทั้งหมดเลยตกอยู่ที่จี

“ให้ไอ้จีโหวต รู้เลยว่าแม่งจะโหวตอะไร” ไอ้โจแขวะจีด้วยน้ำเสียงกวนๆ

“รู้แล้วก็ลุกซิครับ” ไอซ์คว้ากระเป๋า ท่าทางจะโมโหหิว

“ไม่!!! มึงโหวตมาเลยไอ้จี ให้มันรู้กันไปว่ามึงเห็นไอ้มิลค์ดีกว่าพวกกู” ท่าทางมันจะหมดหวังจริงๆ ถึงได้เอาความเป็นเพื่อนมาต่อรอง จริงจังเกินไปไหมวะกับอิแค่เลือกร้าน

“กูโหวต Star’ s” คนข้างๆ ตอบเสียงเรียบ

“เย่!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!” เป็นอีกครั้งที่ผมหลุดตะโกนเสียงดัง

“มึงแม่งงงงง เออ!!! แดกก็แดก” แล้วพวกเราก็เก็บของเตรียมลุกออกจากโต๊ะ

“พวกมึง ... กูปวดฉี่” ผมพูดขึ้นหลังจากที่พวกเราเดินออกมาได้ไม่กี่ก้าว

“ไอ้มิลค์ มึงเรื่องมากวะ” ไอ้โจยังกัดผมไม่เลิก สงสัยจะแค้นจริง

“กูปวดฉี่นี่เรื่องมากตรงไหน พวกมึงรอแป๊บ กูไม่ไหววะ”

“เดียวกูพาไป ... พวกมึงจะไปกันก่อนก็ได้นะ” จีถามคนอื่นๆ

“ไปเป็นไร รอได้ ... ให้เร็วเลยไอ้มิลค์” ไอซ์เป็นฝ่ายตอบ

ผมพยักหน้าแล้วเดินตามหลังคนตัวสูงออกไป จีพาผมเดินตัดกลางลานกว้างด้านข้างของคณะที่ปูพื้นด้วยอิฐตัวหนอน ต้นไม้ใหญ่อายุพอๆ กับมหาวิทยาลัยที่ถูกปลูกอยู่รอบๆ แผ่กิ่งก้านร่มเงาปกคลุมเกือบทั้งลาน คณะวิศวะเป็นหนึ่งในคณะลูกรักของมหาวิทยาลัยเพราะนอกจากจะเป็น 1 ใน 4 คณะเก่าแก่ที่สุดของมหาวิทยาลัย และมีจำนวนนิสิตมากที่สุดแล้ว ยังเป็นคณะที่มีศิษย์เก่าเป็นมีชื่อเสียงในแวดวงต่างๆ มากมาย ไม่แปลกที่คณะนี้จะมีสถานที่กว้างขวาง ตึกเรียนใหญ่โต ต่างจากคณะของผมโดยสิ้นเชิง


“เชี่ยยยยยยยย!!! ...” ผมอุทานเสียงดังลั่นลาน เมื่ออยู่ๆ ก็สะดุดกับอิฐตัวหนอนที่เผยอขึ้นมาจากพื้น ทำให้สุดท้ายต้องมานั่งจับกบอยู่บนพื้นท่ามกลางสายตาประชาชีนับร้อย ... โคตรอาย

“... จี เก็บกระเป๋าให้กูหน่อย” จีมองผมตาค้าง มันเหมือนจะยิ้มก็ยิ้มไม่ออก จะหัวเราะก็เกรงใจ พอผมเรียกเจ้าตัวถึงได้เก็บสีหน้าแล้วเดินไปก้มเก็บกระเป๋าหนังสีดำที่กองอยู่บนพื้น ไม่รู้ล้มท่าไหนกระเป๋าถึงได้ลอยไปไกลขนาดนั้น

“เจ็บไหมมึง” คนที่เดินนำอยู่ข้างหน้าเดินย้อนกลับมา มันเก็บกระเป๋าให้ตามคำขอก่อนจะเดินเข้ามาช่วยพยุงผมขึ้นจากพื้น อายวะแม่ง คนเป็นร้อยจ้องผมเป็นสายตาเดียวกัน

“เจ็บซิวะ ถลอกเลยแม่ง ...” ผมยกฝ่ามือให้คนตรงหน้าดู

“... แต่อายวะ มีแต่คนมองกู” อายจนทำได้แค่มองเพื่อนสนิทที่อยู่ตรงหน้า

“เฮ่อออออ มึงนี่นะ ล้มตรงไหนไม่ล้ม เสือกมาล้มตรงนี้”

“อะไรของมึง” ล้มตรงนี้แล้วมันยังไง คนตรงหน้าไม่ตอบคำถามแค่ยักไหล่แล้วก็หันหลังกลับทางเดิม

ผมเดินฝ่าสายตาประชาชีมาจนถึงอีกฝั่ง ระหว่างทางแม้จะไม่ได้มองตรงๆ แต่ก็สัมผัสได้ว่ากำลังตกเป็นเป้าสายตา รีบเข้าห้องน้ำแล้วรีบเผ่นออกจากที่นี้ดีกว่า

“น้องจี พาใครมา ... เอ๊ะ!!! คนนี้ใช้ rare item ของคณะสัตวแพทย์หรือเปล่า” ขาทั้ง 2 ข้างของผมหยุดชะงักเมื่อใครซักคนเรียกชื่อเพื่อนสนิท ... โต๊ะม้าหินตัวนั้นเต็มไปด้วยเด็กคณะวิศวะ

“ไม่ใช้พี่ พี่จำผิดคนแล้ว” จีโกหกซึ่งหน้า มันรู้อยู่แล้วว่า ‘rare item’ คือคำสรรพนามที่หมายถึงผม ไม่รู้ว่าเริ่มมาจากไหนหรือมีคนอื่นในมหาลัยที่ถูกเรียกด้วยชื่อนี้อีกไหม

“โกหกไม่เนียนเลยนะ คนนี้หรือเปล่าที่ไป summer ด้วยกันมา” จีแสยะยิ้มเมื่อถูกจับได้

“คนนี้แหละครับ มิลค์นี่พี่กาย พี่ในภาค ... พี่กายนี่มิลค์ครับ ...” พี่เขาดูแปลกใจที่ผมยกมือไหว้ แต่ก็ก้มหัวรับไหว้ผมด้วยรอยยิ้ม แม้จีจะเคยเล่าว่าที่คณะไม่ได้จริงจังเรื่องการไหว้เหมือนคณะผมแต่อ่อนน้อมไว้ก่อนย่อมดีกว่าเสมอ

“... เพื่อนสนิทผม” พูดจบแขนหนักๆ ก็พาดลงมาบนหัวไหล่ ก่อนที่คนที่ยืนซ้อนอยู่ข้างหลังจะกระชับแขนดึงผมก็กระเถิบมาใกล้ๆ ... ทันทีที่แผ่นหลังของผมสัมผัสกับหน้าอกของเพื่อนสนิท ใจมันก็สั่นไปหมด

“วี๊ดวิ๊ววววววววววว ... น้องรู้ไหมว่าลานเกียร์ที่นี่มีตำนาน”

“ไม่รู้ครับ” ผมส่ายหัว

“เอ้า!!! ก็เขาบอกว่าใครที่เดินสะดุดลานเกียร์จะได้แฟนเป็นเด็กคณะวิศวะ ...” มือหนาปิดลงบนหูทั้ง 2 ข้างก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงเฮโลของคนแถวนั้นดังลอดเข้ามา แต่มันช้าเกินไปเพราะผมได้ยินประโยคก่อนหน้านั้นเต็ม 2 หู ... อิเหี้ยยยยยยยยยยยยยยยย ใบหน้าเห่อร้อนจะแทบจะต้มน้ำสุก ผมไม่กล้าแม้แต่จะหันไปสบตาเพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ข้างหลังเพราะกลัวว่ามันจะรับรู้ถึงความในใจ ... จีออกแรงพลักผมให้เดินไปข้างหน้า ผมพยายามจะหันไปมองแต่ก็สู่แรงของมันไม่ได้เลยได้แต่ก้าวเดินต่อไป ... หลังจากออกมาจากห้องน้ำ จีก็บอกว่าพวกมันไปรอที่หน้าคณะแล้วพาผมเดินออกไปอีกทาง


----------

#ใครสะดุดานเกียร์ #เขาว่าจะได้แฟนเป็นเด็กวิศวะ #Rare item
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 22 : Rare Item
«ตอบ #103 เมื่อ09-09-2025 11:21:10 »

“กลับคอนโด” ผมค้าน อยากกลับคอนโดมากกว่า

“ใครบอกว่าบ้านมึง บ้านกูครับ ...”

“... ป่านี้ม๊าขึ้นเขาหลงซ่านไปเก็บโสมพันปีมาตุ๋นให้มึงแดกแล้วมั้ง” คนข้างๆ พูดติดตลก

“You don’ t have to tell her”

“You are her favorite. She will know anyway. How do you feel?”

“Better...”

“... ไม่ชอบยาจีนเลยขม” พอคิดถึงรสชาดยาจีนแล้วชีวิตก็รู้สึกห่อเหี่ยวชอบกล รู้เลยว่าพอก้าวขาเข้าบ้านของจีแล้วต้องเจอม๊ายืนรออยู่พร้อมกับยาจีนถ้วยใหญ่ แค่คิดก็ขมคอแล้ว

“ไม่ชอบแดก ก็หัดดูแลตัวเอง รู้ว่าทนร้อนไม่ได้ก็ยังไม่ยอมเลี่ยง” มือหนาวางบนหัวของผมอย่างแผ่วเบา


----------


#ไม่สบาย #ต้มยาจีน #Rare item
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 22 : Rare Item
«ตอบ #104 เมื่อ10-09-2025 21:08:42 »

Writer's talk

สวัสดีครับผู้อ่านทุกคน ก่อนอื่นผมอยากขอบคุณจากใจสำหรับยอดวิว 10,000 วิว … ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีคนมาร่วมเดินทางไปกับมิลค์และจีมากขนาดนี้

ตอนนี้เราส่งมิลค์เดินทางจนจบ Part 2 เรียกได้ว่านิยายเดินมาครึ่งทางแล้ว Canada Trip ก็ทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มที่ จนในที่สุดมิลค์ก็ยอมรับกับตัวเองว่าเขาตกหลุมรักจีแล้วจริงๆ หลังจากนี้คือการก้าวข้ามความกลัวที่ฝังอยู่ในใจ เพื่อจะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

ในฐานะผู้เขียน ผมอยากฝากให้ทุกคนช่วยเป็นกำลังใจให้ตัวละครของเรา แล้วมาติดตามไปพร้อมกันนะครับ ว่าชีวิตจะนำพาพวกเขาไปทางไหน

สุดท้ายนี้ ขอบคุณจากใจอีกครั้งสำหรับทุก ๆ การอ่าน … มันทำให้ผมอยากเขียนนิยายต่อไปเรื่อยๆ จริงๆ ครับ

 :bye2:

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 22 : Rare Item
«ตอบ #105 เมื่อ11-09-2025 21:40:19 »

 ผมรู้สึกประหม่าเมื่อต้องเดินผ่านสายตาหลายคู่เพื่อไปหาน้องรหัสที่นั่งอยู่กลางวง ... เพชรมองพี่รหัสเดินข้ามห้องมาหา พี่มิลค์สวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวพับแขนเสื้อถึงข้อศอก กางเกงสแล็ค และรองเท้าหนังสีดำ จะมีซักกี่คนที่แต่งชุดนิสิตถูกระเบียบตั้งแต่หัวจรดเท้าแต่กลับดูดีได้ราว elf ในภาพยนตร์เรื่อง The lord of the ring โครงหน้าสวย กิริยาท่าทางทุกอย่างเหมาะเจาะลงตัว แค่เดินผ่านก็รู้แล้วว่ามาจากครอบครัวที่มีชาติตระกูลดี

“สวัสดีครับ” มิลค์กล่าวทักทายน้องรหัสด้วยรอยยิ้มพร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งขัดสมาธิตรงหน้า

----------

#พี่รหัส #น้องรหัส #Rare item
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 23
«ตอบ #106 เมื่อ13-09-2025 12:17:33 »

Teaser ตอนที่ 23

 “แล้วลอยกระทงปีนี้พี่มิลค์มีคนไปลอยด้วยหรือยังครับ” น้องบาสถามในจังหวะที่ทุกคนกำลังสนใจกับจานอาหารตรงหน้า แต่คนหูไวอย่างไอ้ต้นมีเหรอจะไม่ได้ยิน รอยยิ้มมีเลศนัยปรากฏขึ้นบนใบหน้าพี่รหัสของคนพูด … ผมนึกถึงความทรงจำเมื่อปีที่แล้ว กว่าจะเสร็จงานของคณะก็ 4 ทุ่มกว่าแล้ว ยังดีที่พวกไอ้ไอซ์อยู่รอ พวกเราเลยได้ลอยกระทงกันครบทั้ง 5 คน

“มากไปไอ้บาส ต่อให้เป็นเพื่อนสนิทของน้องรหัสพี่มิลค์ก็ไม่มีทางลัด มึงเอาบัตรคิวไปต่อแถว โน้นนนนนน ปลายแถวยาวไปถึงดาวอังคารแล้วมั้ง” ต้นเบรกน้องรหัสตัวเองหัวทิ่ม

“ไม่มีบัตรลัดคิวเหรอครับ”

“หน้าหม้อให้มันน้อยๆ หน่อย หูดำหมดแล้ว” ต้องขอบคุณไอ้ต้นที่ช่วยตลกกลบเกลื่อน เพราะไม่ว่าจะผ่านมานานเท่าไหร่ ผมรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ไม่ค่อยได้อยู่ดี

“อะงั้นผมตัก Takoyaki ให้พี่ เผื่อพี่จะใจดีให้บัตรลัดคิวผมซักใบ” พูดจบ Takoyaki ก็ถูกวางใส่จานตรงหน้า แต่ยังไม่ทันจะเริ่มกิน แก้วที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ใช้ข้อศอกสะกิดผมยิกๆ

“อะไรของแก” มันไม่ตอบ แค่พยักเพยิกหน้าไปอีกทาง พอผมมองตามสายตาของมันไปเท่านั้นแหละ ... เสียวสันหลังวาบบบบบบบ อีติ๋มจะตายหรือไม่ตายผมไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ คืออิมิลค์ตายแน่งานนี้


---------

มิลค์ : เจอกันวันพรุ่งนี้นะครับ จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือถูกเอาคอพาดเขียง

#Takoyaki # :katai1:
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ตอนที่ 23 : The Prince, The Promise and The Proposal

โต๊ะอาหาร 2 ตัวถูกนำมาต่อกันเพื่อให้เพียงพอสำหรับพี่รหัส 4 คน และน้องรหัสอีก 4 คน กลุ่มผมตัดสินใจว่าจะเลี้ยงสายรหัสพร้อมกันเพื่อเพิ่มความมีอรรถรสในการเม้าท์มอย เพราะฉะนั้นกว่าทั้ง 8 ชีวิตจะหาเวลาว่างตรงกัน เวลาก็ล่วงเลยไปจนเกือบจะหมดเทอม 1 ... พวกเราเลี้ยงกันที่ร้านอาหารญี่ปุ่นยอดฮิตแถวมหาวิทยาลัย เป็นร้านอาหารที่พวกผมมักจะมากินกันหลังสอบเสร็จ

“น้องเพชรกินอะไรดีครับ” ผมถามเพราะเห็นว่าน้องยังคงพลิกเมนูไปมา

“ผมยังไม่รู้เลยพี่ ... ราคามันแพง ผมเกรงใจพี่” น้องรหัสกระซิบเสียงผ่า ผมอมยิ้มให้กับคำตอบของน้อง เท่าที่รู้จักกันมาน้องเพชรเป็นคนขี้เกรงใจคนอื่นมาก

“ไม่เป็นไร พี่อยากเลี้ยง อยากกินอะไรสั่งเลย ... ไหน พี่ช่วยเลือก ...” ผมถือวิสาสะดึงเมนูตรงหน้าน้องมาวางไว้ตรงกลางระหว่างเรา

“... ไก่ หมู เนื้อ หรือปลา”

“ไก่ก็ได้ครับ”

“ไก่ย่างหรือไก่ทอดดี” ผมถามพลางพลิกไปยังหน้าเมนูไก่

“ย่างดีกว่าครับ”

“อันนี้ไหม ไก่ย่างซีอิ้ว หวานๆ ติดเค็มนิดนึง พี่ว่ามันอร่อยดี”

“ได้ครับ” น้องเพชรพยักหน้ารับ ผมเลยยกมือเรียกพนักงาน คนอื่นสั่งหมดแล้วเหลือแต่ผมกับน้องเพชร

“ปลาหิมะย่างเกลือ ไก่ย่างซีอิ้ว แล้วขอ Salmon กับ Hamachi sashimi ครับ ...”

“... เพชรช่วยพี่กินปลาดิบนะ” ผมหันมาบอกน้องเพชร

“ได้ครับ” น้องเพชรยิ้มตาหยี

“สั่งครบแล้ว งั้นเรามาแนะนำตัวกันอีกรอบดีไหม” แก้วเสนอไอเดีย ก็ดีเหมือนกันเพราะนอกจากน้องรหัสตัวเองแล้ว ผมไม่รู้จักน้องคนอื่นๆ เลย

พวกมันคาดหวังเอาไว้มากว่าจะได้น้องรหัสสวยๆ หล่อๆ เผื่อจะได้พัฒนาความสัมพันธ์เป็นอะไรมากกว่านั้น ความตลกร้ายคือไม่ใช้ว่าน้องๆ ไม่สวยไม่หล่อแต่พวกเราทั้ง 4 คนได้น้องรหัสเพศเดียวกับตัวเองกันหมด ... ประตูความหวังที่จะเคลมน้องของน้องรหัสของพวกมันเลยถูกปิดตาย

น้องรหัสของแก้วเป็นเด็กผู้หญิงสไตลเดียวกับมัน ตัวเล็ก ใส่แว่น ดัดผมเป็นลอน เลยไม่แปลกที่ 2 คนนี้จะสนิทกัน น้องรหัสไอ้ต้น สูง ตี้ เกาหลี oppa ดีกรีหลีดคณะ ส่วนน้องรหัสไอ้ต่อมาสายนักกีฬา ตำแหน่ง hooker ทีมรักบี้คณะ ส่วนน้องรหัสผมด้วยความที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นเด็กทุนเลยไม่แปลกใจที่น้องจะเป็นหัวกะทิและมือ lecture ของชั้นปี ความบังเอิญคือน้องเพชรกับน้องรหัสไอ้ต้นเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน

ประหลาดใจไหมครับที่กีฬาประจำคณะสัตวแพทย์คือรักบี้ ตอนเข้าปี 1 รุ่นพี่จะมาเกณฑ์น้องๆ ให้ไปสมัครชมรมรักบี้ โดยโฆษณาเชิญชวนว่าแม้ชื่อจะดูเป็นกีฬารุนแรงแต่จริงๆ แล้วเป็นกีฬาที่เล่นกัน softๆ และเป็นชมรมที่มีเฉพาะคณะสัตวแพทย์ สถาปัตย์ วิศวะ และวิทยาศาสตร์เท่านั้น ผลปรากฏว่าวันถัดไปหลังจากการแข่งครั้งแรกกับสถาปัตย์เพื่อนผมเข้าเรียนด้วยสภาพเป้าตาซ้ายช้ำเป็นดวง ตอนปี 1 ผมเคยไปเชียร์เพื่อนๆ ที่สนามครั้งนึงแล้วก็เลิกไปอีกเลยเพราะสู้อากาศร้อนไม่ไหว

หลังจากแนะนำตัวกันเสร็จผมก็หันมาสนทนากับน้องรหัสต่อ

“อยู่มาจะเทอมนึงแล้วเป็นยังไงบ้าง”

“ดีครับ ตอนนี้ปรับตัวได้แล้ว ชีวิตมหาลัยสนุกดีครับ”

“พี่บอกแล้วว่ามันสนุก” เราเคยคุยกันเรื่องชีวิตมหาลัยกันก่อนหน้านี้ น้องมาปรึกษาเพราะช่วงแรกยังปรับตัวไม่ค่อยได้ สิ่งแวดล้อม เพื่อน หรือแม้กระทั้ง life style เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ น้องเลยเกิด culture shock

“ใกล้จะลอยกระทงแล้ว ในรุ่นเริ่มแบ่งงานกันหรือยัง” บทสนทนาถูกย้ายกลับมาที่ไอ้ต้น

“เริ่มแล้วครับ” น้องรหัสไอ้ต้นตอบ ถ้าจำไม่ผิดเหมือนจะชื่อบาส ... หน้าที่หลักของปี 1 คือกีฬา freshy ซึ่งจบไปแล้วตั้งแต่ต้นเทอม อีกงานคืองานวันลอยกระทงที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า

“คุยกันดีๆ แล้วก็ระวังโดนหักหลัง 555 ... ใช่ไหมไอ้มิลค์” นึกแล้วว่าต้องโดนเหน็บ เรื่องที่ผมมีปัญหากับเพื่อนตอนเตรียมงานลอยกระทงปีที่แล้วไม่ใช้ความลับอะไร รู้กันทั้งคณะ เพราะเปิดเรียนวันถัดไปผมก็ขอถอนตัวแล้วออกมาเป็น staff ทำงานยกลังแบกของเหมือนคนอื่นๆ

“เลวววววววว” ผมเบ้ปากมองแรงใส่มัน ซึ่งก็สร้างเสียงหัวเราะจากคนอื่นๆ ได้พอสมควร

“รู้ใช่ไหมมันมีเรื่องเล่าว่าถ้าลอยกระทงแล้วเจอเต่าในสระใหญ่ของมหาลัยจะได้เป็นแฟนกับคนที่มาลอยด้วย แต่ถ้าเจอตะพาบจะเลิกกัน” ไอ้ต่อเริ่มเล่านิทานหลอกเด็กในขณะที่อาหารเริ่มถูกนำมาเสิร์ฟ

มหาวิทยาลัยของผมมีเรื่องเล่าแบบนี้มากมาย ขึ้นบันไดหน้าคณะครุศาสตร์นี้แล้วจะเรียนไม่จบ ใช้ลิฟต์เขียวคณะศิลปกรรมแล้วจะถูก retire เรื่องสะดุดลานเกียร์วิศวะก็เป็นหนึ่งในเรื่องเล่าเหล่านั้น ผมว่ามันก็แค่เรื่องขำขันหรืออาจจะเป็นกุศโลบายให้นิสิตเคารพกฎการใช้สถานที่ที่ถูกส่งต่อมาจากรุ่นสู่รุ่นมากกว่า ... ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ปีที่แล้วพอมีเวลาว่างนอกจากจะตระเวรกินอาหารเลื่องชื่อของแต่ละคณะแล้ว บางคนยังไปตามหาสถานที่ในตำนานที่กระจายอยู่ทั่วมหาลัยอีกด้วย

“แล้วลอยกระทงปีนี้พี่มิลค์มีคนไปลอยด้วยหรือยังครับ” น้องบาสถามในจังหวะที่ทุกคนกำลังสนใจกับจานอาหารตรงหน้า แต่คนหูไวอย่างไอ้ต้นมีเหรอจะไม่ได้ยิน รอยยิ้มมีเลศนัยปรากฏขึ้นบนใบหน้าพี่รหัสของคนพูด … ผมนึกถึงความทรงจำเมื่อปีที่แล้ว กว่าจะเสร็จงานของคณะก็ 4 ทุ่มกว่าแล้ว ยังดีที่พวกไอ้ไอซ์อยู่รอ พวกเราเลยได้ลอยกระทงกันครบทั้ง 5 คน

“มากไปไอ้บาส ต่อให้เป็นเพื่อนสนิทของน้องรหัสพี่มิลค์ก็ไม่มีทางลัด มึงเอาบัตรคิวไปต่อแถว โน้นนนนนน ปลายแถวยาวไปถึงดาวอังคารแล้วมั้ง” ต้นเบรกน้องรหัสตัวเองหัวทิ่ม

“ไม่มีบัตรลัดคิวเหรอครับ”

“หน้าหม้อให้มันน้อยๆ หน่อย หูดำหมดแล้ว” ต้องขอบคุณไอ้ต้นที่ช่วยตลกกลบเกลื่อน เพราะไม่ว่าจะผ่านมานานเท่าไหร่ ผมรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ไม่ค่อยได้อยู่ดี

“อะงั้นผมตัก Takoyaki ให้พี่ เผื่อพี่จะใจดีให้บัตรลัดคิวผมซักใบ” พูดจบ Takoyaki ก็ถูกวางใส่จานตรงหน้า แต่ยังไม่ทันจะเริ่มกิน แก้วที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ใช้ข้อศอกสะกิดผมยิกๆ

“อะไรของแก” มันไม่ตอบ แค่พยักเพยิกหน้าไปอีกทาง พอผมมองตามสายตาของมันไปเท่านั้นแหละ ... เสียวสันหลังวาบบบบบบบ อีติ๋มจะตายหรือไม่ตายผมไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ คืออิมิลค์ตายแน่งานนี้

“เชี่ย!!!”

“ฉิบหาย!!!”

“มึงงานเข้าแน่ หน้าโคตรตึง” เพื่อนทั้ง 3 ตอบสนองกับสถานการณ์ตรงหน้าไปในแนวทางเดียวกัน แม้จะอยากจะคิดเข้าข้างตัวเองแต่นึกไปนึกมาแล้วนึกสงสารตัวเองก่อนน่าจะดีที่สุด

“เดียวกูมา ...” ผมตัดสินใจลุกไปหาเพื่อนสนิทที่ยืนหน้าตึงเป็นยักษ์วัดแจ้งอยู่หน้าร้านอาหาร กระจกหน้าร้านก็ใสแจ๋วขนาดนี้ รับรองว่าจีเห็น shot เมื่อกี้เต็ม 2 ตา

“... มาได้ไง” ผมเดินออกมานอกร้านพร้อมกับยิ้มสยามที่จริงใจ จีมักจะใจอ่อนเสมอเวลาถูกผมอ้อน

“เมื่อกี้คืออะไร” แต่นั้นมันก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ... คนตรงหน้าถามเสียงเข้ม สีหน้าเหมือนไปกินรังแตนมาซัก 10 รัง

“น้องมันตักอาหารให้ กูเอื้อมไม่ถึง” ใจนึงคิดจะกลบเกลื่อนแต่จากประสบการณ์แล้วผมไม่น่าจะตบตาคนตรงหน้าได้ แค่มองสีหน้าแววตาก็รู้สึกหนาวยะเยือกถึงกระดูก ... winter is coming ของแท้ ... สายตาที่มองข้ามไหล่ของผมไป ไม่บอกก็รู้ว่าตอนนี้เรากำลังได้รับความสนใจจากคนที่อยู่ด้านหลังมากแค่ไหน

“มึงมันดื้อ ... กูมาดูเฉยๆ จำได้ว่ามึงบอกเมื่อวันก่อนว่าจะเลี้ยงสายรหัส” รอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหล่า ก่อนที่มือหนาทั้ง 2 ข้างวางลงบนศรีษะทุยของมิลค์แล้วโยกซ้ายขวาด้วยความหมันเคี่ยว

“แล้วเดียวมึงไปไหนต่อ” ผมถาม

“ไม่รู้ อยู่แถวๆ นี้แหละ”

“ได้ๆ เสร็จแล้วเดียวกูโทรหา”

“มึงกลับไปกินต่อเถอะ” ผมพยักหน้ารับ แล้วจึงเดินกลับเข้ามาในร้าน

“หวานเวอร์” ยังไม่ทันได้นั่ง ไอ้ต่อก็เอ่ยปากแซว

“กูคิดว่ามึงจะโดนฆาตกรรมอยู่หน้าร้านซะแล้ว”

“แค่นี้เอง จิ๊บๆ กูเอาอยู่สบายๆ” ผมยักไหล่เหมือนไม่แคร์ แม้ว่าก่อนหน้านี้จะหง่อยเป็นหมาหางตกเลยก็ตาม

“จร้า!!! พ่อคนเก่ง เอาอยู่ทุกสถานการณ์ เมื่อกี้ไม่มั่นใจแบบนี้บ้างละ”

จากนั้นเราก็กลับมาพูดคุยสังสรรค์กันต่อ แต่พอกินไปได้ครึ่งทางคนต้นเรื่องก็เดินกลับเข้ามาในร้านอีกครั้ง

“หวัดดีจี มาหาใคร” แก้วเอ่ยทักทายเพื่อนต่างคณะ แต่ดูจากสีหน้าอมยิ้มของมันแล้วน่าจะอยากล้อเลียนผมกับจีมากกว่า

“มาหามิลค์ ... อะให้” ถุงกระดาษสีชมพูถูกยื่นมาตรงหน้า

“อะไรวะ?” ผมถาม พอเปิดถุงถึงได้เห็นเค้ก 2 ชิ้นอยู่ข้างใน

“เค้ก ...”

“... ซื้อมาให้มึง” ผมขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าบอกไปตอนไหนว่าอยากกิน

“ขอบใจนะ” แต่ถึงอย่างนั้นผมก็เอ่ยปากขอบคุณ

“ซื้อมากินกับมึง”

“ฮะ?” อะไร ยังไง งง ??? ... ผมยังประมวณผลไม่ทันว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น

“มาอย่างเหนือ” ไอ้ต่อพูดออกมาด้วยสีหน้าปลื้มปลิ่ม

“จะกินตอนนี้” พูดจบจีก็ไปลากเก้าอี้มาเพิ่มอีกตัว ... เอาจริงเหรอวะ เพื่อนๆ มองเรา 2 คนด้วยสายตาขบขัน ในขณะที่น้องๆ ดูจะตกตะลึงกับเหตุการณ์ตรงหน้า อย่าว่าแต่น้องเลย ผมก็งงเหมือนกัน อารมณ์ไหนวะ ... ไม่บ่อยนักที่จะเห็นจีในโหมดเอาแต่ใจและงอแงเป็นเด็กน้อยแบบนี้

“จี ไปข้างนอกกับกูแป๊บนึง ...” พูดจบผมก็คว้าข้อมือของเพื่อนสนิท แล้วลากมันออกมาข้างนอก

“... ไม่เล่นแบบนี้ซิ กูอึดอัด”

“มึงอึดอัดกูเหรอ”

“เปล่า อึดอัดสายตาคนอื่น” กับจีผมไม่เคยรู้สึกอึดอัดเลยแม้แต่น้อย

“เสร็จจากเลี้ยงน้องแล้วไปไหนต่อ” คนตรงหน้ายิ้มกว้างจนตาเป็นสระอิ

“ยังไม่มีแผน”

“งั้นไปหาที่นั่งกินเค้กกับกูนะ ...” ผมพยักหน้ารับคำชวน

“... คืนนี้ไปนอนค้างคอนโดมึงด้วย ...” ผมพยักหน้ารับอีกครั้ง ตั้งแต่เปิดเทอมมาผมแวะไปบ้านจีบ้าง จีมานั่งเล่นที่คอนโดผมบ้าง แต่ยังไม่ได้นอนค้างคืนด้วยกันเลยซักครั้ง

“... ไม่เอาดีกว่า ไปกินเค้กที่คอนโดมึง แล้วก็นอนค้าง”

“เอาดิ” ผมตอบรับพร้อมรอยยิ้ม จะแบบไหนผมก็ happy หมดแหละ

“งั้นเดียวกูไปเดินเล่นแถวนี้รอ มึงเสร็จแล้วโทรบอกกูนะ”



คีย์การ์ดสำรองถูกใช้เปิดประตูห้องโดยเพื่อนสนิท มาถึงเจ้าตัวก็เดินตรงไปที่ครัว จัดแจงจานชามช้อนซ้อมสำหรับของหวานมื้อดึก ไม่นานทุกอยากก็ถูกจัดวางไปบนโต๊ะห้องนั่งเล่นพร้อมสรรพ ผมกระโดดขึ้นไปนั่งบนโซฟาพร้อมกับรับจานเปล่ามาถือไว้ในมือ

“อร่อยยยยยย” ยิ้มจนตาปิด ของหวานนี่มันดีต่อใจจริงๆ

“นึกแล้วว่ามึงต้องชอบ ลองอันนี้ๆ” จาน blueberry cheese pie สีม่วงเข้มถูกเลื่อนมาตรงหน้า

“อันนี้ก็อร่อย” ความหวานของซอส blueberry ตัดกับความเค็มติดปลายลิ้นจากแป้ง pie ข้างล่างพอดิบพอดี

“ที่มหาลัยเป็นไงบ้าง” จีถามพลางตักเค้ก red velvet สีแดงสดเข้าปาก

“ก็ดีนะ เรียนหนักแต่ก็สนุก ...” ยอมรับเลยว่าปี 2 เรียนหนักขึ้นกว่าปีที่แล้วเยอะมาก เนื้อหาเปลี่ยนจากวิทยาศาสตร์ทั่วไปเป็นวิชา preclinic ที่ยากกว่าเดิม

“... แต่เกรดกูน่าจะตกวะ ไม่รู้จะ maintain เกียรตินิยมอันดับ 1 ไหวไหม” ผมทำคะแนน midterm ครั้งที่ผ่านมาได้น้อยกว่าที่คิด ดูทรงแล้วเกรดเทอมนี้น่าจะตกลงมาพอสมควร

“เอาจริงๆ ขอให้เกรดเกิน 3 เรื่องเรียนต่อก็ไม่ใช้ปัญหา ... พ่อมึงจะกลับมาเมื่อไหร่นะ”

“กูได้ยินมาว่าปีหน้า ช้าสุดไม่เกิน 2 ปี” ข่าวการตั้ง head office ประจำทวีปเอเชียที่กรุงเทพเป็นข่าวดังมากเมื่อปีที่แล้ว ทั้งในแวดวงนักลงทุนและอสังหาริมทรัพย์ต่างให้การสนใจกับ project นี้ ทุกคนอยากรู้ว่าบริษัทจะลงทุนในประเทศมากน้อยแค่ไหน ตัวเลขการจ้างงานจะเป็นยังไง จะเน้นธุรกิจเดิมหรือต่อยอดธรุกิจใหม่ จะเลือก location ไหนตั้งสำนักงานใหญ่ให้เหมาะสมกับศักดิ์ศรีของ The Nemean Group

“มึงคุยกับพ่อเรื่องเรียนต่อแล้วปะ?”

“คุยแล้ว แม่ช่วยพูดอีกแรง คิดว่าน่าจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ก็คง delay ได้ถึงแค่จบ ป.โท” เรื่องของอนาคตยังคงเป็นเรื่องที่กวนใจของผมเสมอ

“whatever will be, will be เว้ย” พูดจบจีก็ตักเค้กเข้าปากอีกคำ

“I know”

“พูดไปใครจะเชื่อว่าคนแบบมึงก็มีเรื่องของอนาคตให้กังวลเหมือนกัน” คนตรงหน้าพูดติดตลก

“คนเราต่างก็มีเรื่องให้กังวลด้วยกันทั้งนั้น...”

“... พ่อยังชวนมึงมาทำงานด้วยกันอยู่นะ ล่าสุดที่เจอกันก็ยังชวน” ผมหมายถึงตอน summer ที่ผมบินไปหาที่ NY อะนะ

“กูยังไม่ได้ตัดสินใจเลย”

“กังวลอะไรวะ”

“อยากทำงานให้ตรงกับสายที่จบมา แล้วก็ไม่อยากให้คนอื่นมองว่าเป็นเด็กเส้น” ผมเม้มปาก เราเคยคุยกันเรื่องนี้หลายครั้งและจีก็แบ่งรับแบ่งสู้มาตลอด ผมเข้าใจความรู้สึกของจีแต่อีกใจหนึ่งก็อยากให้มันตอบตกลงเพราะถ้าจีทำงานที่บริษัทเราจะได้เจอกันบ่อยขึ้น ชีวิตของเราจะได้โคจรกลับมาใกล้กันอีกครั้ง

“มึงจะเรียนโทต่อหรือเปล่า” ผมถามคำถามที่เริ่มกวนใจผมมาซักพัก ... ความใกล้ชิดของเราจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ ... ถามทั้งที่ก็รู้คำตอบอยู่แก่ใจ ... คำตอบคืออีกไม่ถึง 2 ปีนับจากนี้ ... ตอนนี้จีเรียนอยู่ปี 3 แล้ว อีกแป๊บเดียวก็เรียนจบ จากนั้นก็เริ่มต้นทำงาน ส่วนผมถ้านับรวม ป.โทอีก 3 ปีก็ยังเหลือเวลาใช้ชีวิตเป็นนิสิตอีก 7 ปี

“เรียนต่อดิ แต่ยังไม่รู้จะเรียนอะไร ทำงานก่อนแล้วค่อยว่ากัน” ผมไม่ได้แปลกใจกับคำตอบ มันแน่นอนอยู่แล้วว่าคนเรียงเก่งแบบจีจะต้องเรียนต่อ จีวางแผนสำหรับอนาคตไว้เสมอ

“ไปเรียนต่อต่างประเทศซินะ” จีพยักหน้า ... คำตอบของจีทำผมเผลอคิดไปไกลอีกแล้ว ถ้าไปเรียนต่อต่างประเทศอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลา 2-3 ปี เราจะไม่ได้เจอหน้ากันนานขนาดนั้นเลยเหรอ

“ดูทำหน้าเข้า ชอบคิดมากวะ ...” คนข้างๆ วางจานลงบนโต๊ะ ก่อนจะกระเถิบมานั่งใกล้ๆ จนต้นแขนของเราสัมผัสกันบางเบา ... ผมกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอกับความใกล้ชิดที่เกิดขึ้น

“... กูลองคิดเล่นๆ มาแล้ว กว่าจะได้ไปก็น่าจะพอดีกับที่มึงจบตรีแล้วเริ่มเรียนต่อพอดี เพราะฉะนั้นเราน่าจะจบโทพร้อมๆ กัน ต่างคนต่างยุ่งเรื่องเรียนแป๊บๆ ก็เรียนจบแล้ว ...” ผมยกขาข้างหนึ่งขึ้นมานั่งชันเข่าบนโซฟาแล้ววางแก้มลงบนหัวเข่าหันหน้าไปทางเพื่อนสนิท พร้อมกับฟังจีวางแผนอนาคตราวกับเด็กน้อยกำลังฟังนิทานก่อนนอน

“... เราปิดเทอมคนละช่วงเวลากัน กูบินกลับมาได้ปีละ 2 ครั้ง ส่วนมึงก็บินไปหากูได้ปีละ 2 ครั้ง ... ได้เจอ กันอย่างน้อยปีละ 4 ครั้ง เฉลี่ยทุก 3 เดือนก็ไม่ได้เลวร้ายหรือเปล่าวะ” ผมจินตนาการตามคำพูดของจี

“ทำไมกูถึงรู้สึกว่ายิ่งโตขึ้นเรายิ่งห่างกัน เมื่อก่อนเราเจอหน้ากันทุกวัน ตอนนี้เป็นหลักสัปดาห์ อนาคตอาจจะหลักเดือน ปี หรืออาจจะนานกว่านั้น"

“เพราะเรากำลังเติบโตเป็นผู้ใหญ่ไง จะมีอะไรเข้ามาในชีวิตเราอีกมากมาย โลกใบนี้จะไม่ได้แค่กูกับมึงอีกต่อไป” ผมกรอกตามองไปรอบห้อง ก่อนที่สายตาจะกลับมาหยุดลงที่ตาชั้นเดียวคู่นั้น ... แค่มีจีอยู่ข้างๆ ต่อให้โลกทั้งใบถล่มลงมาตรงหน้าผมก็มั่นใจว่าจะผ่านพ้นไปได้เสมอ

“จะเป็นแบบนั้นเหรอ”

“อืม โดยเฉพาะมึง เทียบกับกูแล้วโลกของมึงจะใหญ่กว่ามาก...”

“... มึงจะเจอผู้คนมากมาย อนาคตของมึงจะไปได้ไกลว่าที่คนๆ หนึ่งจะกล้าฝัน”

“กูไม่เข้าใจที่มึงพูด” จียิ้มให้คนข้างๆ อย่างเอ็ดดู

“โถเด็กน้อย ...” มือหนาของเพื่อนสนิทวางลงบนศีรษะของผมอย่างอ่อนโยน และผมก็เผลอตอบรับสัมผัสนั้นด้วยการขยับศีรษะไปมาคล้ายลูกแมวที่กำลังออดอ้อนอย่างไม่รู้ตัว

“... คิดตามกูนะ อนาคตต่อให้กูเก่งแค่ไหนกูก็เป็นได้แค่พนักงานบริษัท อย่างมากก็เป็น CEO ซึ่งมีโอกาสน้อยมาก ส่วนมึง อนาคตถูกวางไว้แล้วว่าวันหนึ่งจะได้เป็นเจ้าของบริษัทข้ามชาติ ...”

“... มึงอาจจะคิดว่ากูเพ้อเจ่อ แต่กูรู้ว่าเมื่อถึงวันนั้นมึงจะ shine ออกมาด้วยตัวของมึงเอง” ผมจินตนาการภาพตามที่จีบอก คิดไม่ออกเลยว่าคนขี้อาย และไม่มั่นใจในตัวเองอย่างผมจะไปถึงจุดๆ นั้นได้ยังไง ... อนาคตเป็นเรื่องของความไม่แน่นอน แต่สิ่งเดียวที่แน่นอนคือปัจจุบัน

“Must I do it alone?" ผมถาม เมื่อคิดถึงภาระอันหนักอึ้งที่รออยู่เบื่องหน้า

"Yes, my dear" เสียงตอบรับของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ให้ความรู้สึกหนักแน่นแต่นุ่มนวล

"Why?"

" Because only the prince can bear the heavy of the crown." คำตอบขอบจีช่วยสร้างความมั่นใจ ว่าผมจะสามารถยืนหยัดต่อไปได้ แววตาคู่นั้นอบอุ่นจนผมรู้สึกคลายความกังวลลงได้บ้าง

“อืมมม ... whatever will be will be” ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ แค่นั่งนิ่ง ๆ อยู่แบบนั้น ปล่อยให้ความเงียบเติมเต็มห้อง ... ก่อนจะค่อย ๆ ขยับตัวเข้าไปพิงไหล่เพื่อนสนิทอยู่เงียบๆ

เรานั่งอยู่อย่างนั้น จนความเงียบกลายเป็นภาษาที่ปลอดภัยที่สุดระหว่างเรา

“มิลค์ … ถ้าอายุ 40 แล้วเรา 2 คนยังไม่มีแฟน ... แต่งงานกันนะ” ผมผละตัวออกมาแล้วมองเพื่อนสนิท ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างราวกับไม่เชื่อว่าเจ้าตัวพูดประโยคเมื่อครู่ออกมาจริงๆ

 เหมือนมีบอลลูนลูกใหญ่เท่าบ้านระเบิดในหัว รับรู้ได้ทันทีว่าตอนนี้ใบหน้าของตัวเองต้องแดงก่ำอย่างแน่นอน หัวใจเต้นระรัวจนแทบจะทะลุออกมานอกอก

“พูดอะไรวะเนี่ย กูเพิ่งบรรลุนิติภาวะได้ไม่กี่เดือน มึงจะขอกูเป็นเมียแล้วเหรอ” ผมโวยวายเสียงดังกลบเกลื่อนความเขินอายที่กำลังถาโถมเข้ามาอย่างหนักหน่วง รู้ทั้งรู้ว่าที่ทำไปยังไงก็กลบความอายของผมไม่มิด ... แต่คนมันเขินนะเว้ยยยยยยยยยยยย

“มึงพูดเองนะว่าจะเป็นเมีย 555” พอได้ยินสิ่งที่จีพูดออกมา ผมถึงได้ตระหนักว่าเมื่อกี้ตัวเองเผลอพูดอะไรออกไป

“อิเหี้ยจี” ผมแยกเคี้ยวใส่เพื่อนสนิทเพื่อซ่อนความเขินอายที่ยังคงไม่จางหายไป

“ตอนอายุ 40 มึงว่าพวกเราจะเป็นยัง ?”

“มึงอาจจะกลายร่างเป็นอาแป๊ะ ส่วนกูก็คงเริ่มมีรอยตีนกาบนใบหน้า”

“มึงเปรียบเทียบกูได้เหี้ยมาก ถ้าตอนนั้นกูเป็นอาแป๊ะ มึงก็มีผัวเป็นอาแป๊ะเหมือนกัน” คนข้างๆ กระโดดเข้ามล๊อคคอผม จากนั้นเราก็คลุกวงใน กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันตามประสา

“555 เออ ... ตอนนั้นมึงอย่าลืมเอาขันหมากมาสู่ขอกูนะ...” ผมยิ้ม แม้จะเป็นเรื่องที่พูดกันเล่นๆ แต่ผมก็อดคิดไม่ได้ว่ากำลังถูกจีขอแต่งงานอ้อมๆ อยู่หรือเปล่า

“... G”

“ครับ, dear”

“Let's forget the future for a while. Right now, it's only you and me”

“Yes, the future can wait. Just us two and that is more than complete”

เรา 2 คนส่งยิ้มให้กัน นิ้วก้อยของเราค่อยๆ เกี่ยวคล้องกันไว้ มือหนาเลื่อนมาวางทับด้านบนก่อนที่นิ้วมือของเราทั้งคู่จะสอดประสานแทบแน่น ... แทนคำสัญญาที่เราให้แก่กันในค่ำคืนนี้


และเรามีเพียง

งานวิวาห์เดียวดายภายใต้แสงจันทร์

สุขสกาวดวงดาวแพรวพราวนับหมื่นร้อยพัน

ร่วมกันเป็นพยานแห่งรัก

ที่ไม่มีพิธีใดจักสําคัญ ... เหนือใจ

เพียงแค่ใจเรารักกัน, วิยะดา โกมารกุล, 1986

----------

#The Prince #The Promise #The Proposal
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

----------

ปล. เหมือนว่าช่วงนี้ web จะมีปัญหาบ่อยๆ สัปดาห์ที่ผ่านมาผมเข้า web ไม่ได้ 2 ครั้ง

ผมขอแป๊ะ link สำรองของนิยายไว้ให้เผื่อกรณีฉุกเฉินนะครับ

ปกติผมจะใช้ Thai Boys Love เป็นหลักอยู่แล้ว

ส่วนใน Read a write เนื้อหาและภาพต่างๆจะเหมือนกับใน Thai Boys Love ทุกอย่างนะครับ

https://www.readawrite.com/a/0077c79d286eab2ea86aa367f44b3ce1
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-09-2025 10:57:18 โดย Milky_Milky_Way »

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
“อร่อยยยยยย” ยิ้มจนตาปิด ของหวานนี่มันดีต่อใจจริงๆ

“นึกแล้วว่ามึงต้องชอบ ลองอันนี้ๆ” จาน blueberry cheese pie สีม่วงเข้มถูกเลื่อนมาตรงหน้า

“อันนี้ก็อร่อย” ความหวานของซอส blueberry ตัดกับความเค็มติดปลายลิ้นจากแป้ง pie ข้างล่างพอดิบพอดี

“ที่มหาลัยเป็นไงบ้าง” จีถามพลางตักเค้ก red velvet สีแดงสดเข้าปาก

----------

#The Prince #The Promise #The Proposal
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
“Must I do it alone?" ผมถาม เมื่อคิดถึงภาระอันหนักอึ้งที่รออยู่เบื่องหน้า

"Yes, my dear" เสียงตอบรับของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ให้ความรู้สึกหนักแน่นแต่นุ่มนวล

"Why?"

" Because only the prince can bear the heavy of the crown." คำตอบขอบจีช่วยสร้างความมั่นใจ ว่าผมจะสามารถยืนหยัดต่อไปได้ แววตาคู่นั้นอบอุ่นจนผมรู้สึกคลายความกังวลลงได้บ้าง


----------


#The Prince #The Promise #The Proposal
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 24
«ตอบ #110 เมื่อ19-09-2025 13:06:26 »

Teaser ตอนที่ 24

น้องวินยังไม่ทันพูดจบประโยคดี Lexus RX300 สีดำก็วิ่งเข้ามาในลานจอดรถด้านข้าง คนอื่นๆอาจจะไม่รู้แต่สำหรับเพื่อนกลุ่มผมพวกมันรู้ดีกว่าใครคือเจ้าของรถ ... SUV คันใหญ่ถอยหลังเข้าซองจอดรถ ไม่นานเกินรอคนขับก็เปิดประตูออกมา

“เพื่อนสนิทมึงรู้คิวอย่างกับติดเครื่องดักพักไว้” เห็นด้วยกับต้น โผล่มาได้จังหวะเหมือนนัดคิวกับคนเขียนไว้

“หล่อสัส ลุคนี้คือมาเพื่อนฆ่าน้องวินโดยเฉพาะ” ผมคิดตามที่ต่อพูด วันนี้จีสวมเสื้อโปโลสีขาว กางเกงสามส่วนสีน้ำตาลอ่อน รองเท้าผ้าใบสีขาว แว่นกัดแดดสีดำช่วยขับให้คนใส่ดูเด่นและตกเป็นเป้าสายตาของคนรอบข้างยิ่งไปกว่าเดิม ... ต้องยอมรับว่าวันนี้มันหล่อจริง

“น้องวินจะต่อคิวจีบเหรอคะ ...” แก้วพูดขึ้นด้วยเสียงดังฟังชัด รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเพื่อนสาว

“... ถามแฟนพี่มิลค์หรือยังว่าอนุญาตไหม”


----------


มิลค์ : เจอกันวันอาทิตย์ครับ จากน้องมิลค์เดิมเพิ่มเติมคือมีคนหล่อมารับ

#โปโลสีขาว #แว่นกัดแดดสีดำ #ติดสินบนคนเขียน
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 24 : Fireworks
«ตอบ #111 เมื่อ20-09-2025 22:19:42 »

พอดีพรุ่งนี้ผมมีธุระด่วน กลัวว่าจะไม่ว่างทั้งวัน เลยเอาตอนที่ 24 มาลงให้อ่านกันตั้งแต่คืนนี้ครับ
Enjoy ครับ  :katai4:


----------


ตอนที่ 24 : Fireworks part 1/2

เสียงกลองสันทนาการดังกระหึ่มเป็นจังหวะสนุกสนาน ผมที่เต้นไปได้ไม่กี่เพลงก็เดินเหงื่อซกกลับมาหาแก้วที่นั่งอยู่ที่โต๊ะสวัสดิการด้านหลัง ... ผ่านไปแล้วอีก 1 ปี ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสุดท้ายของปิดเทอมใหญ่ก่อนที่สัปดาห์หน้าพวกผมจะเป็นนิสิตชั้นปีที่ 3 เต็มตัว

“เหนื่อยก็พัก เดียวเป็นลมเป็นแล้งไปแล้วลำบากพวกกูอีก” แก้วเอ่ยปากแซวทันทีที่ผมหย่อนตัวลงบนเก้าอี้

“มึงตั้งใจจะล้อกูยังปี 6 เลยไหม” ผมรับน้ำมาจากมันมาดื่น ก่อนจะยกแขนขึ้นปาดเหงื่อบนใบหน้า

“ไม่อะ ... กูตั้งใจจะล้อจนมึงแก่เลยต่างหาก 555”

“อิเลว” ผมเป้ปากมองบนใส่มัน พวกเราอยู่ด้วยกันมา 2 ปีแล้ว สนิทกันถึงระดับที่ด่ากันได้โดยอีกฝ่ายไม่เก็บมาคิดมากอะไร

“เตรียมงานมาเกือบปี วันนี้วันสุดท้ายแล้วรู้สึกแปลกๆ วะ” ต้นกับต่อเดินออกจากวงเต้นสันทนาการมาสมทบ ขนาดผมที่ไม่อิน ยังรู้สึกโหวงๆ ปีที่แล้วพวกเราเป็นน้องพี่เลี้ยง ปีนี้ขึ้นปี 3 ต้องมารับผิดชอบทำค่ายรับน้อง ปิดเทอมใหญ่ครั้งหน้า ทำห้องเชียร์ ปิดเทอมขึ้นปี 6 ทำค่ายอาสาต่างจังหวัด

“ปีที่แล้วกูพลาดจากน้องรหัส ปีนี้กูตั้งความหวังใหม่กับหลานรหัส” ต้นพูดด้วยสายตาเป็นประกาย ผมละส่ายหัวให้กับความคิดของมัน สงสัยจะดูละครมากไป

“ทำไมๆ ไอ้มิลค์มึงไม่เห็นด้วย?”

“เรื่องของมึงเถอะ เอาที่มึงสบายใจ”

“ฮึ!!! ใครจะเหมือนมึง ผู้ชายเข้ามาหาไม่ขาด”

“คนมันหน้าตาดีช่วยไม่ได้” ผมยักไหล่

“หมันไส้มึง”

“พูดถึงไอ้มิลค์ มีน้องปี 1 มาขอเบอร์มึงกับกูด้วยนะ” ไอ้ต่อพูดขึ้นมาหลังจากนั่งเงียบอยู่นาน

“ใครวะๆ” พอได้ยินแก้วเลยรีบเข้ามาสมทบ

“น้องที่เป็นตัวเต็งหลีดคณะอะ”

“อ่า!!!” พวกมันก็ตอบรับพร้อมกัน

จังหวะนั้นสายตาผมก็เหลือบไปเห็นน้องที่กำลังตกเป็นประเด็นกำลังเต้นสันทนาการพอดี

“น้องวิน ... หล่อ ขาว สูงประมาณ 180 นักกีฬาบาสโรงเรียน พ่อเป็นเจ้าของโรงพยาบาลสัตว์” ต่ออธิบายคุณสมบัติน้องเขาราวกับเซลล์ขายรถ

“ในที่สุด!!! ก็มีคนคู่ควรกับกับคุณมิลค์ ติฒสิงห์มาจุติบนโลกนี้ซักที” ต้นทำท่าทางดีใจจนออกนอกหน้า

“ถ้ามึงกับน้องได้กันนี้ กูขึ้นสวรรค์เลยนะ ตัว top ของปี 3 กับปี 1 ได้กันเอง จะมีเรื่องอะไรฟินไปมากกว่านี้” แก้วก็เข้ามาร่วมวงไปกับพวกมันด้วย มันกุมมือทั้ง 2 ข้างของตัวเองพร้อมทำสีหน้ากรุ่มกริ่ม

แต่พอพวกมันเห็นสีหน้านิ่งสนิทของผม

“อะไรวะ พวกกูอุตสาห์ชง มึงจะไม่เล่นมุกกับพวกกูซักนิด?” ต่อตัดพ้อด้วยสีหน้าท่าทางที่มองจากดาวอังคารยังรู้เลยว่าตอแหล

“ใช่ซิ ใครจะสู้หนุ่มขาวตี๋ oppa เกาหลี คณะวิศวะคนนั้นได้” พอสบโอกาสไอ้ต้นก็ซ้ำเติมผมทันที

“ถ้ากูเล่นแล้วมีคนมาบังเอิญได้ยินเดียวก็กลายเป็นข่าวลืออีก” ที่คณะสัตวแพทย์กำแพงมักมีหู ประตูมักมีตา ... อัตลักษณ์สำคัญของนิสิตคณะนี้คือพวกเรามี DNA ของความขี้เม๊าท์อยู่ในตัว ราวกับเป็น 1 ในคุณสมบัติที่ถูกคัดเลือกมาตอนสอบสัมภาษณ์

พวกเราจริงจังกันมากขึ้นขนาดมีชมรมวารสาร วารสารคณะจะออกทุกๆ 2-3 เดือน ซึ่งนอกจากจะมีเนื้อหาสาระความรู้และข่าวประชาสัมพันธ์ต่างๆ แล้ว collum หนึ่งที่ได้รับความสนใจไม่แพ้กันคือ gossip ของแต่ละชั้นปีที่ไม่มีใครรู้ว่าคนเขียนคือใคร แต่คิดว่าน่าจะเป็น Natasha Romanoff แห่ง The Avenger แฝงตัวเข้ามาเป็นนิสิตเพราะเขาคนนั้นรับรู้ความเคลื่อนไหวของเราทุกคนแม้ว่ามันจะลึกลับแค่ไหนก็ตาม ตัวผมถูกพูดถึงบ้างเป็นครั้งคราวอย่างเช่นฉบับแรกที่ปล่อยออกมาตอนเพิ่งเข้าปี 1 ผมไม่เคยบอกใครเรื่องครอบครัวแม้แต่ตอบสอบสัมภาษณ์อาจารย์ก็ยังไม่รู้ แต่พอมันถูกเขียนลงใน collum gossip เรื่องที่ผมเป็นทายาท The Nemean Group ก็ไม่ใช้ความลับอีกต่อไป

กิจกรรมดำเนินมาจนถึงช่วงสุดท้ายก่อนจะขึ้นรถกลับกรุงเทพ ประธานค่ายกล่าวขอบคุณ นัดแนะน้องปี 1 ถึงกิจกรรมตอนเปิดเทอม และส่งท้ายด้วยความในใจของน้องๆ บางคนก็พูดซึ้งจนน้ำตาแทบไหล บางคนก็มาแนวตลกฮากระจาย น้องคนไหนที่ popular ในหมู่พี่ๆ เวลาจับไมค์ก็จะมีเสียงกรี๊ดกร้าดตามมา และคนนี้ก็เช่นกัน ... น้องวิน ... นี่ซินะที่เขาเรียกกันว่าสมบัติคณะ หล่อระดับที่ไปเป็นดาราได้สบายๆ ขนาดใส่เสื้อยืดค่ายกากๆ กับกางเกงเลสีเขียวสดก็ยังกด aura ความหล่อของน้องไม่ลง

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!

เสียงจากเพื่อนร่วมรุ่นดังสนั่นเมื่อไมค์อยู่ในมือของน้องวิน

“ไอ้แก้ว เบาๆ หน่อย กูแสบหู” ต้นเอาศอกกระแทกเพื่อนสนิทเพื่อเรียกความสำรวมกลับมา

“สวัสดีอาจารย์ พี่ๆ เพื่อนๆ ทุกคนครับ ผมอยากจะขอบคุณทุกคนที่ตั้งใจทำค่ายนี้ขึ้นมาเพื่อนต้องรับน้องปี 1 อย่างพวกผม”

“แล้วน้องวินมีความประทับใจอะไรจะพูดถึงค่ายนี้ไหมคะ” อยากจะแหมถึงดาวอังคาร คนอื่นพูดจบก็ส่งไมค์ต่อ แต่พอเป็นคนหล่อหน่อยหนึ่งนี่ให้น้องเขามี air time ยาวเลยนะ

“เป็นค่ายที่สนุกมากครับแล้วก็อบอุ่นมากๆ ดีใจที่ได้รู้จักพี่ๆ แล้วก็เพื่อนๆ มันดีจนไม่อยากให้เวลา 3 วันที่อยู่ที่นี้จบลง” เหล่า staff ชายหญิงพากันทำหน้าเคลิ้มไปกับคำหวานของน้อง

“แล้วกับพี่ๆ ละครับ น้องวินมีความประทับใจอะไรไหม” ชงซะเข้มขนาดนี้รู้เลยว่าถามหวังผลแน่นอน รับลองได้ว่าถ้าน้องพูดชื่อใครออกมา collum gossip ในวารสารฉบับหน้าต้องมีประเด็นนี้แน่ๆ

“ประทับใจพี่มิลค์ครับ” ทุกอย่างนิ่งสนิทประมาณ 3 วินาที ก่อนที่

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!

เสียงโห่ร้องดังจนแสบแก้วหู

“พี่มิลค์จะตกคนหน้าตาดีไปทั้งคณะไม่ได้นะคะ ...” พิธีกรทำหน้าเหม็นเบื่อ

“... ทำไมน้องวินถึงประทับใจอะไรในตัวพี่มิลค์” แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังชงมาให้ผมซะเข้ม

“จริงๆ แล้วพี่คณะคนแรกที่ผมเจอคือพี่มิลค์ครับ วันสอบสัมภาษณ์ผมหาทางไปห้องสอบไม่เจอ แล้วบังเอิญเจอพี่มิลค์ พี่เขาเดินไปส่งผมที่ห้องแล้วก็อวยพรให้ผมโชคดี”

“อีมิลค์ ไหนว่ามึงไม่สน” แก้วกระซิบ

“กูยังจำไม่ได้เลยว่าเคยเจอน้อง” ผมกระซิบตอบ เพราะตอนนี้กำลังปั้นหน้ายิ้มสยาม ถ้าน้องไม่พูดผมก็จำเหตุการณ์นั้นไม่ได้จริงๆ

“แล้วก็ ... พี่มิลค์น่ารักมากครับ” ยังไม่หยุดอีกนะไอ้น้องวิน

“เชี่ยยยยยยยยยยยย กูชอบคนตรงๆ แบบน้องเขา” แก้วทำท่าทางเหมือนร่างจะสลายไปตรงนี้ แต่ผมคิดอยู่ในใจว่ามันก็ชอบคนหน้าตาดีทุกคนนั้นแหละ

“ผมถามได้ไหมครับ ...” น้องวินหันไปถามเพื่อนร่วมรุ่นของผมที่ยืนเป็นพิธีกรอยู่ข้างๆ

“... พี่มิลค์กับพี่ต้นเป็นแฟนกันหรือเปล่าครับ”

แล้วทุกอย่างก็นิ่งสนิทไปอีก 3 วินาที

55555555555

ก่อนที่เสียงหัวเราะจะดังขึ้นมาแทน ขนาดผมกับไอ้คู่กรณียังอดที่จะขำไม่ได้

“ว่าไงคะพี่มิลค์ พี่ต้น ตกลงว่าแอบแซ๊บกันเองหรือเปล่าคะ”

“อย่าเลยครับน้อง แค่คิดพี่ก็สยองแล้ว ... นอกจากหน้าตากับฐานะแล้ว พี่ก็ไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรดี” ไอ้ต้นไอ้เพื่อนเลว

“แล้วพี่มิลค์ละคะ มีอะไรจะโต้ตอบไหม” ผมยิ้มเหี้ยมมองหน้ามัน ... มึงเริ่มก่อนนะไอ้ต้น

“ไม่ไหวเหมือนกันครับ นอนตื่นสาย น้ำไม่อาบ ฟันไม่แปรง *&%^*) () %#$%%” ยังไม่ทันพูดจบประโยคไอ้ต้นก็รีบเอามือมาปิดปากผม อย่าให้ได้เผากันรับรองว่าศพไม่สวยทั้งคู่

“555 ปิดด่อมเนอะ เรือล้มตั้งแต่ยังไม่ออกจากฝั่ง ยังไม่ทันไรก็หยุมหัวกันเองแล้ว”

“แสดงว่าพี่มิลค์ยังว่าง ผมจีบได้ใช่ไหมครับ” ไอ้น้องวิน!!! มึงยังไม่จบอีกเหรอ

น้องวินยังไม่ทันพูดจบประโยคดี Lexus RX300 สีดำก็วิ่งเข้ามาในลานจอดรถด้านข้าง คนอื่นๆ อาจจะไม่รู้แต่สำหรับเพื่อนกลุ่มผมพวกมันรู้ดีกว่าใครคือเจ้าของรถ ... SUV คันใหญ่ถอยหลังเข้าซองจอดรถ ไม่นานเกินรอคนขับก็เปิดประตูออกมา

“เพื่อนสนิทมึงรู้คิวอย่างกับติดเครื่องดักพักไว้” เห็นด้วยกับต้น โผล่มาได้จังหวะเหมือนนัดคิวกับคนเขียนไว้

“หล่อสัส ลุคนี้คือมาเพื่อนฆ่าน้องวินโดยเฉพาะ” ผมคิดตามที่ต่อพูด วันนี้จีสวมเสื้อโปโลสีขาว กางเกงสามส่วนสีน้ำตาลอ่อน รองเท้าผ้าใบสีขาว แว่นกัดแดดสีดำช่วยขับให้คนใส่ดูเด่นและตกเป็นเป้าสายตาของคนรอบข้างยิ่งไปกว่าเดิม ... ต้องยอมรับว่าวันนี้มันหล่อจริง

“น้องวินจะต่อคิวจีบเหรอคะ ...” แก้วพูดขึ้นด้วยเสียงดังฟังชัด รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเพื่อนสาว

“... ถามแฟนพี่มิลค์หรือยังว่าอนุญาตไหม”



...



ณ สถานที่ที่เต็มไปด้วยแสงสีและเสียงเพลง ผมเดินเบียดเสียดผ่านผู้คนนับร้อยที่กำลังดื่มด่ำกับค่ำคืนของวันหยุดยาว

“กว่าจะมาถึง ...” แก้วทักทาย เมื่อผมเดินมาถึงโต๊ะที่มันเสียสละมาจองก่อนตั้งแต่หัวค่ำ

“... ถึงกับตามมาเฝ้าเลยเหรอวะ” มันกระซิบข้างหู เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นคนที่เดินตามผมมา

“เปล่าๆ บังเอิญเมื่อเย็นไปกินข้าวกับที่บ้านจีมา มันก็เลยขอมาด้วย” พอดีว่าเมื่อบ่ายจีโทรมาบอกว่าป๊าม๊าให้โทรมาชวนผมไปกินข้าวที่บ้าน ตอนแรกผมปฏิเสธเพราะนัดกับพวกมันไว้ก่อนแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมคุยกันไปคุยกันมา ผลถึงกลายเป็นว่าผมไปกินข้าวกับป๊าม๊าก่อนแล้วค่อยออกมาท่องราตรีพร้อมกับเพื่อนสนิท

“อ่อออ ไปกินข้าวกับพ่อแม่สามีมานี่เอง”

“เลิกแซวได้แล้ว บอกว่าเพื่อนสนิทก็เพื่อนสนิทซิวะ”

“จ๊ะ เพื่อนสนิทเนอะ ... กูเดาว่ามันใช้ข้ออ้างว่ามึงจะได้ดื่มเหล้าได้เต็มที่ ...” คนข้างๆ ทำสีหน้าเหม็นเบื่อเมื่อผมตอบรับด้วยรอยยิ้ม

“... มุกเดิมๆ แต่ก็ยังใช้ได้กับมึงเสมอ ... แต่ก็ดี คืนนี้จะได้ปลดปล่อยเต็มที่ ...”

“... ไม่เมาไม่เลิก”

“ไม่เมาไม่เลิก ชนนนนนนนนนนนนน” ต้นเดินคู่มากับต่อก่อนที่พวกเราจะ party กันยาวๆ



“มิลค์ มึงรีบไปสร้าง land mark ไอ้จีเร็ว” แก้วที่ก่อนหน้านี้คุยเรื่องราวสับเพเหระกับผมอย่างออกรส อยู่ดีๆ มันก็โน้มหน้ามากระซิบข้างหู

“land mark อะไรของมึง” ผมขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่ามันไปสรรหาคำพวกนี้มาจากไหน

“แสดงความเป็นเจ้าของไง เร็วมึง กูเห็น 2 คนนั้นมองเพื่อนสนิทมึงตาไม่กระพริบเลย” ผมมองตามสายตาของแก้วก็เจอกับผู้หญิงแต่งตัวด้วยชุดเกาะอกวาบหวิวกับผู้ชายตัวเล็กๆ ในชุดเสื้อยืดเอวสั่นพอดีตัว 2 คนนั้นมองเพื่อนสนิทของผมไม่ละสายตา

“ไม่เอา ใครจะไปทำอะไรแบบนั้น” แม้จะกรุ่นๆ อยู่ภายในแต่ผมยังคงรักษาท่าทีเพราะไม่อยากแสดงออกให้คนอื่นรับรู้ว่าผมรู้สึกกับจีมากกว่าเพื่อนสนิท จนถึงตอนนี้มีแค่กลุ่มเพื่อนมัธยมเท่านั้นที่รู้ พวกไอ้แก้วผมไม่แน่ใจว่าพวกมันรู้มากน้อยแค่ไหน

“ไอ้มิลค์นี้ไม่ใช้เวลาที่มึงจะมาเขินอายนะเว้ย ...”

“... มึงๆๆๆๆๆ ไม่ทันแล้ว พวกมันเดิมมาแล้ว” ผมหันกลับไปอีกครั้ง 2 คนนั้นก็เดินถึงตัวจีแล้ว ตอนแรกเรานั่งอยู่ข้างกันแต่เพราะแก้วมีเรื่องจะคุยกับผมๆ เลยสลับที่มานั่งฝั่งตรงข้ามกับแก้วแทน ... รู้สึกโกรธตัวเองชะมัด

ไม่รู้ว่า 3 คนนั้นคุยอะไร แต่มันเหมือนมีไฟสุมอยู่ในอกเมื่อเห็นจีโน้มตัวลงไปฟัง 2 คนนั้นใกล้ๆ ผู้หญิงก็ส่งยิ้มหวานย้อย ส่วนผู้ชายอีกคนก็หัวเราะอย่างมีจริตจะก้าน ... รู้ตัวอีกทีผมก็ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังเพื่อนสนิท

“G”

“ครับ, dear ”

“I thirsty for something” น้ำเสียงอ้อแอ้ดังขึ้นจากด้านหลัง พอหันกลับไปตามเสียงเรียก ร่างโปร่งของเพื่อนสนิทก็พุ่งเข้าหา แขนเล็กพาดอยู่หลังต้นคอ โครงหน้าสวยเขยิบเข้ามาแนบชิดจนจีได้กลิ่นแอลกอฮอร์จางๆ จากลมหายใจของคนข้างตัว

“Are you drunk?”

“Little bit” พูดจบมันก็ฉีกยิ้มกว้าง เป็นยิ้มที่สว่างไสวราวกับดวงจันทร์เต็มดวง

“What do you want?”

“Anything sweet will do …”

“... for example … your lip” เหมือนโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ สายตาของจีจับจ้องไปยังปากของเพื่อนสนิทที่เจ้าตัวเผลอกัดริมฝีปากล่างเบาๆ ... ลูกกระเดือกเคลื่อนที่ขึ้นลงตามจังหวะการกลืนน้ำลายของจี ก่อนที่เขาจะแสยะยิ้ม ... แสดงออกขนาดนี้ไม่เรียกว่าเมานิดหน่อยแล้วมั้ง

“My dear, don’ t test me...” ใบหน้าหล่อเหล้าก้มลงมา ระยะห่างใกล้เสียจนทั้งคู่สัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกัน

“… What you’ re asking for is very dangerous ...” ... จีใช้ความพยายามทั้งหมดเพื่อกดความต้องการที่ลุกโชนอยู่ภายในให้ดับมอด ... ในขณะที่คนตรงข้ามดูจะไม่ให้ความร่วมมือเท่าไหร่นัก ไอ้ตัวดีทำตาใส เอียงหน้ามองเขาราวกับกำลังสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อหลังจากนี้ ... ไอ้มิลค์เวลาเมานี่ไม่ปลอดภัยกับหัวใจของเขาเลยแม้แต่น้อย

“... ฮึๆๆๆ ...”

“I like this version of you … but let’ s get you a drink before you say something you really can't take back...” จีค่อยๆ ถอยห่าง ก่อนที่มือหน้าจะวางลงบนศรีษะของเพื่อนสนิทแล้วโยกไปมาด้วยความหมันเคี่ยว

“... Ok, stay here ... แก้ว เราฝากมิลค์ด้วย” จีประคองเพื่อนสนิทนั่งลงบนเก้าอี้ ก่อนจะตะโกนข้ามโต๊ะไปพูดกับเพื่อนผู้หญิงคนเดียวในกลุ่ม แล้วก้าวเท้าออกไป ทิ้งให้แขกไม่ได้รับเชิญทั้ง 2 คนหน้าชาไปตามๆ กันกับพฤติกรรมเฉยเมยของตัวเอง

“ก็ไม่เห็นว่าจะเมาขนาดนั้นซักหน่อย” น้ำเสียงประชดประชัดดังขึ้นจากเด็กผู้ชายในชุดเสื้อยืดเอวสั่น เขามองผมด้วยสายตาเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ

“เราบอกเมื่อไหร่ว่าเมา” แล้วคิดเหรอว่าผมจะยอม ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงลักษณะเดียวกัน

“เป็นแฟนเขาเหรอ ถ้าเป็นเราจะถอยแต่ถ้าไม่ใช้เราก็มีสิทธิเหมือนกัน”

“จะเป็นหรือไม่เป็นนายก็ไม่มีสิทธิ์” ผมที่นั่งไขว้ขาอยู่บนเก้าอี้ทรงสูงยักไหล่แบบไม่แคร์ พร้อมกับเบ้ปากมองบน ยอมรับเลยว่าจงใจกวนประสาทคนตรงหน้า อาจจะเพราะฤทธิ์แอลกอฮอร์ที่ทำให้ผมทำใจตัวเองโดยขาดสติยั้งคิด

“แกนี่มัน” ในจังหวะที่คนตรงหน้าจะเดินเข้ามาประชิด ต้นที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ก็เข้ามายืนขว้างไว้

“พวกเรามาเที่ยวกันเฉพาะกลุ่มเพื่อน พวกเธอกลับไปเถอะ” มันเอ่ยปากไล่อย่างสุภาพ

“เพื่อนนายกวนตีนเราก่อน” กวนตีนก่อนแล้วไง ใครแครรรรรรรรรรรรรรรร์

“มึง ... กลับเถอะ กูไม่อยากมีเรื่อง” ผู้หญิงในชุดเกาะอกพยายามดึงสติของเพื่อนเธอเอาไว้ แม้ว่าเขาคนนั้นจะหล่อราวกับ idol เกาหลีแต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่อยากมีเรื่อง เพราะนอกจากเขาไม่ได้ดูมีท่าทีจะสนใจเธอหรือเพื่อนของเธอแล้ว ที่สำคัญคนที่เพื่อนของเธอกำลังมีปัญหาด้วยอยู่นั้นก็ดูไม่ใช้คนธรรมดา กิริยาท่าทางบุคคิกราวกับคุณหนูตามแบบฉบับละครหลังข่าว ยิ่งพิจารณาเสื้อผ้า นาฬิกา เครื่องประดับ ไม่บอกก็รู้ว่าเป็นพวกลูกหลาน Hiso หากตามใจเพื่อนจนมีเรื่องมีราว คาดว่าผลที่ได้จะไม่คุ้มเสีย

“เออ!!! กลับก็กลับ” พูดจบ 2 คนนั้นก็สะบัดตัวเดินกระแทกเท้าออกไป

“ฮึๆ” ผมหัวเราะอย่างผู้มีชัย ...  ไม่ว่าเราจะมีสถานะอะไรก็ตาม จีเป็นของผม ของผมคนเดียวเท่านั้น

“ส่วนมึง!!! ให้มันน้อยๆ หน่อย ที่นี่ร้านเหล้าไม่ใช้โรงแรม...” ไอ้ต้นหันกลับมามองผมตาขวาง

“... ไหนว่าไม่ได้เป็นอะไรกันไง ... เก็บอาการไม่อยู่แล้วมึงนะ” นิ้วชี้ของเพื่อนจิ้มลงมาที่หัว มันออกแรงผลักจนผมแทบจะตกเก้าอี้

“ไอ้เหี้ยต้น!!!”



...



Maserati Granturismo สีขาวเลี้ยวผ่านประตูบ้านเหล็กดัดลวดลายงดงามวิจิตรที่มีรูปปั้นสิงโต Nemean ตัวใหญ่ประดับอยู่บนเสาประตูทั้ง 2 ข้าง รถคันหรูวิ่งผ่านถนนอิฐตัวหนอนเข้ามาด้านใด เงาของร่มไม้ใหญ่ปกคลุมตัวรถตลอดระยะทางที่วิ่งเข้ามา ไม่นานบ้านสีขาว 3 ชั้นหลังใหญ่ก็ประกฎขึ้นในสายตา ทันทีที่รถคันหรูจอดสนิท ลูกชายเจ้าของบ้านกับเพื่อนสนิทก็ก้าวลงจากรถพร้อมกัน

“มากี่ครั้ง ก็ยังไม่ชินกับบ้านมึงซักที” จีพูดขึ้นพรางมองไปรอบๆ บ้านหลังใหญ่ใจกลางเมืองที่ถูกโอบล้อมไว้ด้วยความเขียวขจีของพืชพรรณนานาชนิด แค่ผ่านประตูรั้วเข้ามาก็เหมือนหลุดเข้ามาอีกโลกหนึ่ง

“ขนาดกูยังไม่ชินเลย ...” จีมองแผ่นหลังของเพื่อนสนิทที่เดินนำหน้า สวยขนาดนี้แต่น่าเสียดายที่มิลค์ไม่ชอบบ้านหลังนี้ แม้มิลค์จะไม่เคยบอกแต่จีก็สัมผัสได้ว่าสาเหตุน่าจะมาจากความห่างเหินของคนในครอบครัว พ่อซื้อคอนโดให้มิลค์ช่วง ม. ปลาย ช่วงแรกเจ้าตัวยังไปๆ กลับๆ ระหว่างบ้านกับคอนโดแต่หลังจากเข้ามหาลัยมันก็ย้ายออกมาอยู่คอนโดและแทบจะกลับบ้านนับครั้งได้ ยิ่งพ่อกับแม่ย้ายกลับมามันก็แสดงออกชัดเจนว่าไม่อยากกลับบ้าน

“... พ่อกูน่าจะมีแขก” เจ้าตัวพูดขึ้นหลังจากที่เห็นรถยุโรปคันใหญ่ที่ไม่คุ้นตา จีมองเลยเข้าไปในโรงจอดรถ Maserati Granturismo ดูจะเป็นรถที่ธรรมดาที่สุดในบ้านหลังนี้ เพราะในโรงรถมีสมาชิกตั้งแต่ Maybach 62S, Rolls Royce phantom, Bentley Mulsanne รวมไปถึงรถหรูอีกหลายคันจอดเรียงกันเป็นแถว

“น้องมิลค์ จะกลับบ้านทำไมไม่บอกพี่” พี่แอน คนเก่าคนแก่ของบ้านสิงหนาฏฉีกยิ้มกว้างเมื่อเห็นเด็กหนุ่มที่ตัวเองเลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก จีอมยิ้มเมื่อเห็นทั้ง 2 คนกอดกันกลม แม้จะเป็นลูกคุณหนูแต่ข้อดีประการหนึ่งของมิลค์คือมันเป็นคนไม่ถือตัว จะกับรุ่นพี่ที่คณะหรือภารโรงในมหาลัย มิลค์ก็ปฏิบัติต่อทุกคนด้วยความเคารพเสมอ

“มิลค์แค่กลับมาเอาของ”

“ช่วงนี้เรียนหนักไหม น้องมิลค์อยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า เดียวพี่แอนทำแล้วเอาไปฝากไว้ให้” พี่แอนเป็นคนที่รู้ใจมิลค์ที่สุด ของใช้ส่วนตัวตลอดจนอาหารที่ชอบ ไม่มีอะไรที่แม่บ้านคนนี้จะไม่รู้เกี่ยวกับคุณหนูของเธอ นอกจากดูแลความเรียบร้อยในบ้านใหญ่แล้ว พี่แอนยังดูแลความเป็นอยู่ของมิลค์ที่คอนโดด้วย พี่แอนจะเข้าไปทำความสะอาดและเติมของสดของแห้งให้คุณชายตัวน้อยของเธอด้วยตัวเอง อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง

“มิลค์อยากกินแกงเขียวหวานเนื้อ ต้มโคล้งใส่ปลาแห้งกับตำลึงเยอะๆ แล้วก็ผัดวุ้นเส้น” จีอดไม่ได้ที่จะขำให้กับดวงตาแวววาวของเพื่อนสนิท มิลค์ชอบอาหารฝีมือพี่แอนที่สุด ใครๆ ก็คิดว่าคุณหนูอย่างมันต้องชอบอาหารฝรั่ง แต่อีกเรื่องที่น่าประหลาดใจคือมิลค์ชอบกินอาหารไทย อาหารอีสานมันก็ชอบแม้จะกินเผ็ดไม่เก่งและกินปลาร้าไม่เป็น แต่ถ้าเป็นตำไทย ลาบ น้ำตก ไก่ย่าง ไอ้มิลค์สู้ไม่ถอย ถึงขั้นใช้มือจกข้าวเหนียวส้มตำก็เคยมาแล้ว

“ได้เลยครับ เดียวพี่แอนทำให้เสร็จแล้วจะรีบเอาเข้าให้นะครับ ... น้องจีอยากกินอะไรไหม พี่แอนจะได้ทำฝากไปพร้อมกัน” พี่แอนหันไปถามจีที่ยืนอยู่ด้านหลังผม

“555 ไม่เป็นไรครับ เดียวจีไปแย้งมิลค์กิน”

“ได้ครับ เดียวพี่แอนทำเผื่อน้องจี” จบประโยคเสียงพูดคุยก็ดังขึ้นมาจากห้องรับแขก เมื่อรู้ว่าพ่อกับแขกกำลังจะเข้ามาพี่แอนก็ขอตัวกลับไปทำงานที่ในครัว

“อ้าวมิลค์ กลับมาบ้านเหรอลูก” พ่อทักทายเมื่อเห็นผม

“มิลค์กลับมาเอาของ ... อาณรงค์สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้ผู้ใหญ่สูงวัยที่เดินตามหลังพ่อเข้ามา ดูจากการแต่งตัวของทั้ง 2 คนแล้วคิดว่าน่าจะกำลังออกไปธุระกัน

“ไม่เจอกันนาน โตเป็นหนุ่มแล้ว” อาณรงค์กล่าวทักทายผมอย่างเป็นกันเอง ผมคุ้นเคยกับอาณรงค์มาตั้งแต่เด็ก อาเป็นคนสนิทของพ่อ ทั้ง 2 คนรู้จักกันตั้งแต่สมัยยังหนุ่มๆ พอพ่อกลับมาเปิด head office ที่ไทย อาณรงค์ก็ออกจากบริษัทเดิมมาช่วยงานพ่อ

“ณรงค์ ... นี่จี เพื่อนสนิทเจ้ามิลค์” พ่ออมยิ้มเมื่อเห็นลูกชายคนโปรดยืนอยู่ข้างหลังผม

“สวัสดีครับ” จียกมือไหว้อาณรงค์

“จีเป็นคนเก่ง ผมชวนมาทำงานที่บริษัทตั้งหลายครั้งแต่เจ้าตัวก็ยังไม่ยอมตอบตกลงซักที” พ่อพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ ทีเล่นทีจริง

“555 ผมไม่ได้เก่งขนาดนั้นหรอกครับ” จีเลยทำได้แค่หัวเราะกลบเกลื่อน

“เป็นคนเก่งก็ดีแล้ว ถ้าอนาคตสนใจมาทำงานด้วยกันบอกลุงได้นะ ...” อาณรงค์ตบไหล่จีหนักๆ 2 ที

“... ไปกันเถอะพี่ เดียวจะสายเอา”

“งั้นพ่อไปก่อน”

“ครับ / สวัสดีครับพ่อ สวัสดีครับอา” พูดจบทั้ง 2 คนก็เดินออกจากบ้าน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 24
«ตอบ #112 เมื่อ20-09-2025 22:21:42 »

ตอนที่ 24 : Fireworks part 2/2

“หยุดยาวนี้แกมี plan ไปไหน” แก้วถามในขณะที่พวกเรากำลังเก็บของหลังเลิก class วันนี้เป็นวันศุกร์สุดท้ายก่อนหยุดยาวปีใหม่ 4 วัน

“อยู่กรุงเทพนี่แหละ วันอาทิตย์นัดเพื่อนมัธยม countdown ที่คอนโด แกละ” เป็นธรรมเนียมประจำทุกปีอยู่แล้วที่พวกเราจะ countdown และนอนค้างคืนด้วยกันที่คอนโดของผม แล้ววันถัดไปพวกเราก็จะไปทำบุญด้วยกัน

“อยู่กับที่บ้าน”

... ‘G’

“ว่าไงจี ถึงแล้วเหรอ ... อืม เดียวเจอกันข้างล่าง” จบประโยคผมก็เก็บของเสร็จพอดี

“ไหนว่านัดกับเพื่อนไว้วันอาทิตย์ไง” ต้นถามด้วยสายตาล้อเรียน

“เมื่อบ่ายจีเพิ่งโทรมาชวนไปกิน buffet ปิ้งย่างนะ”

“กูพนันข้าวมื้อนึงว่าพวกมัน 2 คนต้องตัวกินกันตลอดหยุดยาว 4 วัน”

“กูไม่พนันเพราะดูทรงแล้วตัวติดกันยันวันอังคารชัวร์” ต่อรีบปฏิเสธ

“ไอ้มิลค์ กูเห็นมึงเป็นเด็กน้อยไร้ประสบการณ์ ...” ไอ้ต้นรับคว้าคอผมก่อนที่ผมจะชิ่งหนี

“... ช่วงเทศกาลแบบนี้แหละเหมาะที่จะได้กันที่สุดแล้ว ... หยุดยาว อากาศเย็นกำลังดี เทศกาลแห่งความสุข ...”

“... countdown เสร็จตีหัวลากเข้าห้องเลย เปิดปีใหม่นอกจากเริ่มต้นใหม่แล้ว ยังได้ผัวใหม่ด้วย 555”

“ไอ้เหี้ยยยย จังไรชิบหาย ... กูไปแหละ” ผมพลักมันออก แล้วเดินออกจากห้อง ... ใครจะไปทำอะไรบ้าๆ แบบนั้น

จีนั่งรออยู่ที่โต๊ะไม้ใต้ถุนตึก คนตรงหน้าระบายยิ้มในจังหวะที่เจ้าตัวหันหน้ามาในจังหวะที่ผมก้างออกจากลิฟต์พอดี มันแต่งตัวชุดไปรเวทเพราะวันนี้ไม่มีเรียน จีอยู่ปี 4 แล้วส่วนใหญ่จะเป็นวิชาฝึกงาน หรือไม่ก็ทำ project จบ ยิ่งเป็นช่วงปลายเทอมแบบนี้ ตารางเรียนของเจ้าตัวยิ่งว่าง ผิดกับผมที่ตารางเรียนยังแน่นตั้งแต่จันทร์ถึงศุกร์

“ปะ หิวแล้ว” มันลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเมื่อผมเดินเข้ามาใกล้

“อยากกินเนื้อย่าง” ผมพูดพลางเอามือลูบท้อง แค่คิดถึงเนื้อย่างติดมันนุ่มๆ น้ำลายก็สอแล้ว

“อี้ เหม็นเนื้อ” เจ้าตัวคว้าเอากระเป๋าในมือผมไปถือไว้แล้วทำจมูกย่น

“น่าสงสารพวกไม่กินเนื้อจริงๆ” ผมเชิดหน้าใส่ อย่าคิดว่าจะยอมแพ้ ... จีไม่กินเนื้อเพราะที่บ้านนับถือเจ้าแม่กวนอิม แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้เคร่งถึงขั้นต้องแยกเตากับผม

“รีบไปๆ เย็นวันศุกร์รถติดกว่าจะถึงร้านน่าจะทุ่มหนึ่งพอดี” ผมพยักหน้าเห็นด้วย จากตรงขับผ่ารถติดไปย่านทองหล่อเคยคิดก็น่าเบื่อแล้ว



“กูว่า trip ปิดเทอมปีนี้น่าจะต้องจัดเร็วหน่อย” ผมพูดในระหว่างที่รถของเราติดอยู่ตรง 4 แยก

“กูก็คิดว่าอย่างนั้น”

“ปิด summer กูมีต้องไปฝึกงานที่ฟาร์มเดือนนึง ส่วนพวกมึงก็ต้องเริ่มทำงานกันแล้ว กูว่าภายในสัปดาห์แรกหลังสอบเสร็จน่าจะเหมาะที่สุด” พวกมัน 4 คนที่เหลือเรียนจบแล้ว ผมไม่รู้ว่าปกติแล้วเด็กที่เรียนจบจะเริ่มทำงานกันเดือนไหน แต่เท่าที่เคยคุยกับไอซ์มันบอกวว่าแล้วแต่บริษัท บางที่ก็เริ่มเลย บางที่ก็ให้พักก่อนเดือนหนึ่ง

“มึงฝึกงานเมื่อไหร่”

“กลางเดือนมีนา น่าจะฝึกเสร็จก่อนสงกรานต์ ... มีอะไรหรือเปล่า” ผมถามเพราะคนข้างตัวเม้มปาก ทำสีหน้าครุ่นคิด

“กูได้งานแล้วนะ เขาเพิ่งตอบรับมาเมื่อไม่กี่วันก่อน ...” ความรู้สึกแรกคือผิดหวัง เพราะแม้เจ้าตัวจะปฏิเสธมาตลอดแต่ผมก็ยังหวังอยู่ลึกๆ ว่าจีจะตอบตกลงมาทำงานที่บริษัทของพ่อ

‘Only the prince can bear the heavy of the crown’ คำพูดของจียังคงดังก้องอยู่ในหัว เพราะตั้งแต่พ่อกลับมา น้ำหนักของมงกุฎก็หนักขึ้นเรื่อยๆ ผมรู้ดีว่าในอนาคต แม้แต่จีก็ไม่สามารถแบ่งเบาภาระอันหนักอึ้งของผมได้ แต่การมีเขาอยู่เคียงข้าง ย่อมดีกว่าการต้องเผชิญทุกสิ่งทุกอย่างเพียงลำพัง

“... กูต้องไปทำงาน off shore นะ” แล้วสิ่งที่ผมกลัวก็เกิดขึ้นจริงๆ

“เหรอ แล้วต้องไปนานเท่าไหร่อะ”

“ไป 3 สัปดาห์ กลับ 1 สัปดาห์” พอได้ยินคำตอบแล้วเหมือนชาไปทั้งตัว

“มึงเริ่มทำงานเมื่อไหร่”

“ต้นเดือนเมษา”

“กูกลับมาไม่ทันซินะ” กว่าผมจะกลับมาจีก็ไป off shore แล้ว

“อืมมมม ไม่ทัน”

“แสดงว่าเรื่อง trip ญี่ปุ่นคงต้องเลื่อนไปยาวเลย”

“I am sorry”

“The timing is all wrong...” เราคุยกันตั้งแต่ปีที่แล้วว่าจะไปเที่ยวต่างประเทศด้วยกันซักครั้งก่อนจีเรียนจบ แต่เวลาของเราไม่เคยตรงกันเลยตั้งแต่ปิดเทอมเล็กจนถึงตอนนี้

“... it's beginning now, the distance between us” พูดไปก็ใจหาย เหมือนเพิ่งจะเริ่มคุ้นชินกับความห่างเหินของชีวิตในมหาวิทยาลัยได้ไม่นาน ก็ต้องมาปรับตัวกับชีวิตในวัยทำงานอีกแล้ว

“I promise, no matter what the future holds. You'll always be the most important person in my life” มือหนาวางทับลงบนหลังมือของผมที่วางอยู่บนหัวเกียร์ ผมคลายยิ้มให้กับคำตอบของเพื่อนสนิท แม้ข้างในจะสั่นไหวมากแค่ไหนแต่คำสัญญาจากจีก็ทำให้ผมมั่นใจว่าเราจะเป็นคนสำคัญของกันและกันตลอดไป



“จี!!! มึงเอามาเยอะไปหรือเปล่าเนี่ย” ผมอุทานเมื่อจียกถาดหมู ไก่ กุ้งมาร่วม 10 ถาด

“กินได้ๆ กำลังหิว”

“แต่กูเริ่มอิ่มแล้วนะเว้ย”

“ไรวะ มึงกินไปได้นิดเดียวเอง”

“นิดเดียวอะไร กูแดกวัวไปจะครึ่งตัวอยู่แล้ว ...”

“... กินไหม อร่อยนะเว้ย โคตรนุ่ม” ผมคีบเนื้อวัวชิ้นที่สุกกำลังยื่นไปให้คนตรงหน้า

“ไม่เอาเหม็น ... ไอ้มิลค์เลิกเล่น กูเหม็น” มันพูดเสียงเข้ม เมื่อเห็นว่าผมยังเล่นไม่เลิก

“555 กูกินเองก็ได้ อร่อยยยยยย!!!” อร่อยจนแสงออกปาก เนื้อวัวคือที่สุดดดดดดดดด

“อะ แดกวัวแล้วก็แดงกุ้งต่อปากจะได้ไม่ว่าง...” กุ้งแกะเปลือกแล้ว 2 ตัวถูกคีบมาวางลงบนจานตรงหน้า เนื้อสัมผัสเด้งๆ หวานๆ เนื้อกุ้งคือที่สุดดดดดดดดดดดดดด

“... ต้องทำตาวาวขนาดนั้น”

“ก็มันอร่อยๆ ก่อนหน้านี้กูเครียดเรื่องสอบเลยกินอะไรไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่” เทอมมนี้มีวิชา lab สุดหิน 2 ตัวที่แม้ว่าจะเตรียมตัวมากเท่าไหร่ก็เหมือนจะไม่พอ

“ถ้าอร่อยก็กินเยอะๆ” พูดจบกุ้งทั้งตัวก็ถูกยื่นมาตรงหน้า ผมมองหน้าเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเป็นเชิงถามว่าจะป้อนตรงนี้จริงเหรอ ส่วนมันก็มองหน้าผมก่อนที่สายตาจะเลื่อนไปยังกุ้งตัวนั้นราวกับถามว่าทำไมไม่กินซักที ... ริมฝีปากสีชมพูงับเอาเนื้อกุ้งสีขาวเด้ง รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวย มิลค์เคี้ยวอาหารในปากราวกับว่ามันอร่อยเสียเต็มประดา

แล้วก็เป็นอย่างที่ผมเตือน จีตักอาหารมาเยอะเกินไปจนตอนท้ายๆ ให้ความรู้สึกเหมือนเรามาทรมานตัวเองซะมากกว่า อิ่มจนท้องแทบแตกแต่ก็ฝืนยัดเข้าไปจนหมดเพราะไม่อยากโดนปรับ

“โคตรอิ่ม” มันพูดพลางนั่งผึ่งพุงอยู่ข้างๆ ผมในรถ

“กูเตือนมึงแล้วว่ามันเยอะไป”

“แต่ก็หมด”

“มันมากเกินไปไหม” ผมแยกเขี้ยวใส่มัน อิ่มขนาดนี้ คืนนี้กว่าจะได้นอนมีหวังหลังเที่ยงคืนแน่ๆ

“ของคาวกินแล้ว ของหวานกินแล้ว ทำอะไรกันต่อดี” จีเอนหลังลงบนเบาะแล้วตะแคงข้างมาทางผม ดูท่าแล้วเราจะตัวติดกันไปยังวันอังคารเหมือนที่ไอ้ต้นแซว

“ยังไม่ 4 ทุ่มเลย ไปเช่าหนังมาดูกันไหม” ผมเสนอ จะไปหาของกินต่อคงไม่ไหว จะหาที่เดินเล่นตอนนี้ก็ปิดหมดแล้ว ไปเช่าหนังมาดูที่คอนโดน่าจะเหมาะที่สุด

“เอาดิ ไปดูที่ห้องมึงนะ พรุ่งนี้ตื่นสายหน่อยแล้วขับไปนั่งเล่นหาอะไรกินที่บางแสนกัน”

“ได้ ไม่ได้ไปทะเลนานมากกกกก” โปรแกรมแน่นขนาดนี้ ผมจะได้ชาร์จแบตไปด้วยในตัว

เราขับรถไปจอดไว้ที่คอนโดก่อนจะเดินออกมาร้านเช่าหนังที่อยู่ห่างไปไม่เท่าไหร่ ขำที่พอผมกับจีเดินเข้าร้านพนักงานก็ทำจมูกฟุตฟิตเพราะได้กลิ่นปิ้งย่างจากเสื้อของเรา 2 คน

“สงสัยกลับคอนโดแล้วต้องอาบน้ำก่อนดูหนัง ไม่งั้นกลิ่นติดโซฟาแน่ๆ” ผมพูดในขณะที่เรา 2 คนก้มๆ เงยๆ เลือก CD หนังบนชั้น

“มึงอยากดูแนวไหนวะ” จีถาม มันนั่งยองๆ อยู่ด้านหน้าในขณะที่ผมยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง

“ไม่รู้เลยวะ มีอะไรน่าสนใจไหม” ผมไล่นิ้วไปเรื่อยๆ ถ้าไม่เก่าไปก็เคยดูแล้ว

“มึง!!! กูเจอเรื่องนี้ เป็น director’ s cut ด้วย” กล่อง CD ถูกยื่นออกมาตรงหน้า หน้าปกของมันเป็นรูปเด็กวัยรุ่นชายหญิงรุ่นราวคราวเดียวกับผม

“เคยดูกับมึงแล้วนิ” มันเป็นหนังโรงที่ผมกับจีเคยไปดูด้วยกันแล้ว ถือว่าเป็นหนังกระแสของปีนั้นเลยก็ว่าได้ เพราะตอนแรก tailer ทำออกมาเป็นแนวหนักรักวัยรุ่นแต่พอฉายไปได้ไม่กี่วันกลับเป็นกระแสโด่งดังเนื่องจากแทนที่ตัวเอกในเรื่องจะเป็นคู่ชาย-หญิงแต่กลับพลิกเป็นคู่ชาย-ชาย ถึงกระนั้นกระแสของหนังก็มาแรง รวมถึงคำวิจารณ์จากสำนักต่างๆ ก็ยกย่องให้เป็นหนึ่งในหนังยอดเยี่ยมแห่งปี

“ยังไม่เคยดู Director’ s cut เลย อยากดูตั้งแต่ครั้งนั้นแล้ว” หลังจากหนังออกจากโรงไปได้ไม่นาน ผู้กำกับก็ออก version Director’ s cut โดยเพิ่มเนื้อหาให้ครบถ้วนสมบูรณ์มากขึ้น แต่เพราะเวลาที่ไม่ตรงกันเลยทำให้เราไม่ได้ไปดูจนกระทั้งมันออกจากโรง

“เอาดิ”



“ถ้ามึงเป็นมิวมึงจะทำยังไงวะ” จีถามในขณะที่จอ TV ตรงหน้ากำลังขึ้น end credit

“ถ้าเป็นกูๆ ก็ไปต่อไม่ถูกเหมือนกัน กอดกัน จูบกัน เหมือนว่าจะคบกันแต่สุดท้ายไม่ได้คบ ...”

“... โต้งพูดแบบนี้เห็นแก่ตัวนะ ครึ่งๆ กลางๆ แบบนี้แล้วจะให้มิวทำยังไง อยากให้รอหรือตัดใจก็เลือกเอาซักทาง คนพูดว่าเจ็บแล้วแต่คนฟังเจ็บมากกว่า...”

“… รักกันแต่เป็นแฟนกันไม่ได้ก็เหมือนถูกปฏิเสธเปล่าวะ อาจจะทรมานกว่าด้วยซ้ำ...

“... แล้วถ้ามึงเป็นโต้งมึงจะทำยังไง”

“กูว่าโต้งยอมแพ้ง่ายไป เป็นกูๆ จะสู้ สู้ไปเรื่อยๆ จนกว่ากูจะชนะ”



เราคุยเรื่องราวสัพเพเหระกันต่อกว่าจะได้นอนก็ดึกมาก ไม่แปลกที่กว่าเรา 2 คนจะตื่นก็เลยเที่ยงไปพอสมควร พวกเราเลยตัดสินใจไปนั่งเล่นริมหาดบางแสนกันช่วงเย็น นั่งเก้าอี้เปลริมหาด ดูพระอาทิตย์ตก ฟังเสียงคลื่น กิน sea food ร้านประจำแต่ที่ surprise คือจีชวนผมนอนค้างบางแสนโดยเจ้าตัวให้เหตุผลว่าไหนๆ ก็ขับมาแล้วนอนค้างซักคืน พรุ่งนี้ตื่นมาเดินเล่มริมหาดตอนเช้า กินข้าวกลางวันแล้วค่อยขับรถกลับกรุงเทพมาเตรียม count down กับ ไอซ์ อาร์ม โจ้

น้ำทะเลสีเขียวตกกระทบแสงแดดยามเย็น หาดทรายสีขาว ท้องฟ้าปลอดโปร่ง จีนอนเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้ริมชายหาด เพราะแว่นกันแดดสีดำที่เจ้าตัวใส่ทำให้จีสามารถมองเพื่อนสนิทของตัวเองได้เต็มตาโดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกมิลค์จับได้ มิลค์ยืนอยู่ไม่ห่างจากเขาเท่าไหร่นัก มันกำลังยืนเอาขาแช่น้ำทะเลพรางมองออกไปสุดปลายฟ้า เขาไม่รู้ว่าเพื่อนสนิทกำลังคิดอะไรอยู่ในใจแต่เขาก็ไม่สามารถละสายตาจากมิลค์ได้แม้แต่เสี่ยววินาทีหนึ่ง และในช่วงจังหวะหนึ่งที่มิลค์หันมา จีมั่นใจว่าแว่นกันแดดของตัวเองทึบแสงพอที่มิลค์จะไม่สามารถบอกได้ว่าเขากำลังหลับหรือตื่น แต่ไม่ว่สมิลค์จะรู้ตัวหรือไม่รู้ก็ตาม ทั้ง 2 คนก็สบตากัน แล้วรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเพื่อนสนิท ยิ้มสวยที่ถูกแต้มด้วยแสงแดดยามเย็น สำหรับจีแล้วภาพตรงหน้างดงามราวกับภาพวาดของจิตรกรชั้นครู



“ไอ้มิลค์ เร็วเข้าเดียวไม่ทัน” ผมที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นกระโดดข้ามพนักพิงแล้วหย่อยตัวลงตรงกลางระหว่างจีกับไอซ์

TV จอใหญ่ตรงหน้ากำลังเปิดช่องถ่ายทอดสดงาน count down ชื่อดังย่านใจกลางเมือง ตัวเลขขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ 5 ... 4 ... 3 ... 2 ... 1

เฮ่!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

เสียงโห่ร้องของพวกเราดังลั่นห้องในจังหวะเดียวกับที่พลุไฟนับสิบนับร้อยสว่างไสวท่ามกลางท้องฟ้าสีดำสนิท ... สวยงามราวกับความฝัน ... เป็นเวลาประมาณ 5 นาทีที่พวกเราต่างเงียบแล้วซึมซับกับบรรยากาศตรงหน้า ผมอาศัยช่วงเวลาที่ทุกคนต่างสนใจกับการแสดงพลุไฟตรงหน้า ลอบสังเกตพวกมัน พวกเรา count down ด้วยกันที่นี้ทุกปีมาตั้งแต่ ม. 5 จำได้ว่าตอนขึ้นมหาลัยผมก็กลัวว่าพวกเราจะห่างและสนิทกันน้อยลง แต่ระยะเวลาเกือบ 4 ปีที่ผ่านมาพวกเรากลับสนิทกันมากขึ้น ชีวิตมหาลัยมีเรื่องราวต่างๆ เข้ามามากมายที่ต่างจากชีวิตมัธยม และผมก็หวังว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอีกหนึ่งช่วงชีวิตจะทำให้พวกเราสนิทกันมากขึ้นกว่าเดิม

“มิลค์”

“กูอยู่นี้” ผมขานรับในขณะที่ก้มๆ เงยๆ อยู่แถวตู้ใต้ซิงค์ล้างมือในห้องครัว

“หาอะไรอยู่วะ” จีพูพรางก้าวเท้าเข้ามาในห้อง

“หาถุงขยะ” ผมแทบจะคานเข้าไปในตู้ จำได้ว่ามันเก็บอยู่แถวนี้

“ไอ้มิลค์ ถุงขยะไม่ได้เก็บอยู่ตรงนั้นไหม ...” จีเดินไปอีกฝั่งของครัวก่อนจะเปิดตู้แล้วหยิบเอาถุงดำออกมากหลายใบ

“... นี่ห้องมึงหรือห้องกูวะ” มันส่ายหัวอย่างเอือมระอา

“เอ้า!!! ก็ครั้งสุดท้ายมันอยู่ตรงนี้”

“ครั้งสุดท้ายของมึงนี่คือเมื่อไหร่ ...” ผมเม้มปากคิดหาคำตอบให้กับเพื่อนสนิท นั้นนะซิเมื่อไหร่วะ

“... ไอ้ลูกคุณหนูเอ้ยยยยย” จีเดินเข้ามาหาก่อนที่มือหนาจะขยี้ลงบนหัวของผมอย่างหยอกล้อ

“เออๆ บ่นกูอยู่นั้นแหละ” ผมพูดพร้อมกับก้าวเท้าจะเดินออกจากห้อง

“Wait ...” จีคว้าข้อมือของผมไว้ ก่อนจะออกแรงดึงให้ผมเดินเข้าไปหา ผมยิ้มอย่างเขินอายแต่ขาทั้ง 2 ข้างก็เดินตามแรงดึงอย่างไม่ขัดขืน

“... tell me. What’ s in your mine” เสียงกระซิบดังขึ้นข้างหู ผมถูกดึงเข้าไปในอ้อมกอดของเพื่อนสนิท เรากอดกันหลวมๆ ก่อนที่มันจะส่ายตัวไปมาช้าๆ ราวกับจะชวนผมเต้นรำ

ตั้งแต่กลับมาจาก Canada ผมไม่ได้รู้สึกสับสนกับกอดของคนตรงหน้าอีกต่อไป กลับรู้สึกโหยหาเสียด้วยซ้ำ เราไม่ได้กอดกันบ่อยนัก ส่วนมากจะเป็นกอดตอนนอนหลับไปแล้วซะมากกว่า ... อีกหนึ่งเหตุผลที่ผมตั้งหน้าตั้งตารอคืนวันขึ้นปีใหม่ เพราะมันเหมือนจะเป็นเรื่องปกติไปแล้วที่หลังจาก count down เรา 2 คนจะออกมาหาที่เงียบๆ เพื่อซึบซับกอดของกันและกัน

“Not thing” ผมตอบปฏิเสธ

“I saw it. When you are peeking on me and other ...”

“... Don’ t worry. We will be together next year and the years after. And if they don’ t, I give you my word, I will be here with you, sitting next to you, counting down …”

“… I promise I will keep our friendship before everything, nothing will ever make us apart and I will always stay by your side until the end of time”

“จี ... แค่มีมึงอยู่ข้างๆ ต่อให้โลกทั้งใบถล่มลงมา กูก็มั่นใจว่าจะผ่านมันไปได้”



“ไอซ์ กูเห็นพวกมัน 2 คนกอดกันในครัว” อาร์มพูดขึ้นในห้องที่มืดสนิท ไอซ์รู้ได้ทันทีที่ว่าหมายถึง 2 คนไหน อาร์มไม่ได้ตั้งใจจะแอบดู แต่แค่บังเอิญจะเดินเข้าไปหยิบของในครัวพอดี

หลังจาก countdown เสร็จ พวกเขาทั้ง 5 คน party กันอีกซักพักก่อนจะแยกย้ายเข้าห้องนอน คอนโดไอ้มิลค์มี 2 ห้องนอน พวกเขา 3 คนจงใจนอนเบียดกันในห้องนอนเล็กและให้ 2 คนนั้นนอนด้วยกัน

“กอดแบบไหน” แม้จะรู้อยู่แล้วแต่เจ้าตัวก็อดไม่ได้ที่จะถาม มิลค์เคยเล่าให้เขาฟังว่ากอดกันแต่ไม่เคยลงรายละเอียด กอดมีหลายแบบและให้หลากหลายความรู้สึกกับผู้ถูกกอด

“กอดกันกลมเลยมึง”

“กอดแบบเพื่อนหรือเปล่า” โจที่นอนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของเตียงแย้ง

“ตอนที่เห็น กูไม่ได้รู้สึกแบบเพื่อนกอดกัน ... มันเหมือนคนรักกันมากกว่า” อาร์มพูดความจริงตามสิ่งที่คิด ตอนที่เห็นยังคิดว่าตัวเองหลุดเข้าไปในละครหลังข่าวหรือเปล่า

“อืมมม จริงๆ แล้วไม่ต้องพูดพวกเราก็รู้สึกกันอยู่แล้วไหมว่าพวกมัน 2 คนดูมี something” ไอซ์พูดขึ้นเพราะยิ่งนานวัน 2 คนนั้นก็ดูเหมือนจะปิดปังความสัมพันธ์เกินเพื่อนเอาไว้ไม่อยู่แล้ว ขนาดคนนอกยังสังเกตได้แล้วมีเหรอที่เพื่อนสนิทในกลุ่มเดียวกันจะไม่รู้

“อืม / อืม”

“มึงรู้เรื่องนี้อยู่แล้วใช่ปะ” อาร์มถาม

“ก็นิดหน่อย มิลค์มันเคยมาปรึกษา” ไอซ์ตอบ แม้จะจริงที่มิลค์เคยปรึกษาเขาแต่ก็เฉพาะช่วงแรกที่มันยังสับสน พอยอมรับความรู้สึกของตัวเองได้มันก็ไม่ค่อยพูดอะไรให้เขาฟังเท่าไหร่

“แล้วคือยังไง ตกลงคือมันคบกันแล้ว?”

“กูว่ายัง ถ้าคบอะไรๆ น่าจะชัดกว่านี้” ไอซ์ตอบ

“นี่ยังไม่ชัดอีกเหรอ ป้อนข้าวกัน กอดกัน ไปเที่ยวด้วยกัน 2 คน ในห้องนอนไอ้มิลค์มีข้าวของเครื่องใช้ไอ้จีครบ มึงรู้ใช่ไหมว่ามัน 2 คนตัวติดกันมาตั้งแต่วันศุกร์”

“ไม่บอกก็พอเดาได้” เมื่อเย็นไอ้มิลค์เล่าอย่างหน้าชื่นตาบานว่าไปค้างบางแสนกับจีมาตั้งแต่เมื่อวาน พอขึ้นมาบนห้องก็เจอร่องรอยว่ามีคนมาค้างคืนก่อนหน้านั้นแล้ว

“นี่ยังไม่นับว่าไอ้จีถือ key card สำรองห้องไอ้มิลค์นะ” เรื่องนี้ก็เกินไปมาก มีแต่แฟนกันเท่านั้นแหละที่จะมีกุญแจห้องของกันและกัน ไอซ์คิดว่าไอ้มิลค์น่าจะจงใจสื่อความหมายว่าจีมีความพิเศษมากกว่าเพื่อนสนิททั่วไป

“ให้เวลาไอ้มิลค์มันหน่อย มันก็รักของมันแต่มันยังเอาชนะความกลัวไม่ได้ ...”

“... มึงอย่าลืมว่า puppy love ไอ้มิลค์ก็เริ่มจากเพื่อนสนิทแล้วก็จบที่ต้องเสียทั้งเพื่อนเสียทั้งแฟน ...”

“... ไอ้จีเป็นคนที่สนิทกับไอ้มิลค์ที่สุด ... ถ้าเสียไอ้จีไปอีกคน กูไม่อยากคิดสภาพเลยว่าไอ้มิลค์จะอยู่ยังไง”


----------

#New year #Together #Fireworks
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 24 : Fireworks
«ตอบ #113 เมื่อ23-09-2025 12:15:45 »

“G”

“ครับ, dear ”

“I thirsty for something” น้ำเสียงอ้อแอ้ดังขึ้นจากด้านหลัง พอหันกลับไปตามเสียงเรียก ร่างโปร่งของเพื่อนสนิทก็พุ่งเข้าหา แขนเล็กพาดอยู่หลังต้นคอ โครงหน้าสวยเขยิบเข้ามาแนบชิดจนจีได้กลิ่นแอลกอฮอร์จางๆ จากลมหายใจของคนข้างตัว

“Are you drunk?”

“Little bit” พูดจบมันก็ฉีกยิ้มกว้าง เป็นยิ้มที่สว่างไสวราวกับดวงจันทร์เต็มดวง

“What do you want?”

“Anything sweet will do …”

“... for example … your lip” เหมือนโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ สายตาของจีจับจ้องไปยังปากของเพื่อนสนิทที่เจ้าตัวเผลอกัดริมฝีปากล่างเบาๆ ... ลูกกระเดือกเคลื่อนที่ขึ้นลงตามจังหวะการกลืนน้ำลายของจี ก่อนที่เขาจะแสยะยิ้ม ... แสดงออกขนาดนี้ไม่เรียกว่าเมานิดหน่อยแล้วมั้ง


----------


#Landmark #แค่เพื่อนสนิท #Fireworks
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 24 : Fireworks
«ตอบ #114 เมื่อ25-09-2025 15:04:51 »

รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเพื่อนสนิท ยิ้มสวยที่ถูกแต้มด้วยแสงแดดยามเย็น สำหรับจีแล้วภาพตรงหน้างดงามราวกับภาพวาดของจิตรกรชั้นครู


----------

#แอบมอง #ภาพวาด #Fireworks
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 25
«ตอบ #115 เมื่อ27-09-2025 11:58:54 »

Teaser ตอนที่ 25

BMW series 5 วิ่งผ่านถนนยามค่ำคืน ผ่านย่านทองหล่อ สุขุมวิท พระราม 4 ก่อนจะเลี้ยวเข้าถนนสาทร ด้วยเพราะการจราจรกลางดึกของคืนวันเสาร์ค่อนข้างโล่ง ใช้เวลาประมาณ 20 นาที BMW สีขาวก็จอดสนิทในช่องจอดรถของคอนโดหรู จีหิ้วปีกมิลค์ที่บ่นงึมงำๆ มาตลอดทาง ในขณะที่วายุทำตัวเหมือน bodyguard คอยเปิดปิดประตูอำนวยความสะดวกจนกระทั้งประตูลิฟต์เปิดออก ณ ชั้นบนสุด

คิ้วคมของวายุขมวดเข้าหากันทันทีที่กระเป๋าตังค์ของจีทาบลงบนแท่น key card แล้วบานประตูตรงหน้าปลดล๊อค ... ต้องสนิทกันขนาดไหนถึงได้มี key card ห้องเพื่อน ... แต่ความสงสัยก็ถูกลืมเลื่อน เมื่อเจ้าตัวก้าวเข้ามาในห้อง

“ไอ้เชี่ยยยยยยย ห้องแม่งโคตรสวย” penthouse ขนาดใหญ่ที่พอเดินเข้ามาแล้วจะเจอกับห้องนั่งเล่นเพดานสูง กระจกบานใหญ่สูงตั้งแต่พื้นถึงเพดานทำให้ห้องนี้เห็นวิวเมืองได้แบบ 180 องศา แสงไฟจากตึกสูงส่องแสงระยิบระยับท่ามกลางความมืด พอเงยหน้ามองบนเพดาน ... แม่เจ้า ... โคมระย้าอลังการขนาดนี้น่าจะซื้อรถของเขาได้ทั้งคัน

“มึงตามสบายนะ ครัวกับห้องกินข้าวอยู่อีกทาง ถ้าหิวน้ำหรือจะกินอะไรก็เปิดตู้เย็นได้เลย เดียวกูพามิลค์ไปห้องนอนก่อน” วายุพยักหน้าแบบขอไปทีเพราะกำลังสนอกสนใจกับความอลังการตรงหน้า

จีประคองเพื่อนสนิทให้ทิ้งตัวนอนลงบนเตียง เจ้าตัวถอยออกมาพร้อมกับบิดตัวไล่ความเมื่อยล้า ไอ้มิลค์หลับไปแล้ว เขาเลยต้องรับบทเป็นพระเอก ... 2 ขายาวก้าวไปยังห้องน้ำ ไม่นานก็ออกมาพร้อมกับกะละมังน้ำอุ่นและผ้าขนหนูผืนเล็ก 2 ผืน ... มือหนาจัดการลอกคราบเพื่อนสนิท จนไอ้ตัวดีเหลือแต่ boxer ตอนลอกคราบก็ก้มหน้าก้มตาถอด แต่พอเสร็จแล้วเจ้าตัวถึงกับสติหลุดกับภาพตรงหน้า ... ขนตางอน โครงหน้าสวย ผิวเนียนละเอียดราวกับอาบน้ำแร่แช่น้ำนมมาตั้งแต่เด็ก มันไม่ใช้คนออกกำลังกายเลยไม่ได้มีกล้ามเนื้อแบบคนอื่นเขา แต่เพียงเท่านี้ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าก็แทบจะทำให้เขาลืมหายใจไปชั่วขณะ ... จีกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ ตาชั้นเดียวจดจ้องไปยังแผ่นอกที่เคลื่อนที่ขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ สติสัมปชัญญะตีกันวุ่นวายไปหมด ความคิดและจินตนาการกำลังเตลิดไปไกล รู้ตัวอีกทีใบหน้าของเขากับเพื่อนสนิทก็อยู่ห่างกันไม่ถึงหนึ่งฝ่ามือ


----------
มิลค์ : เจอกันวันพรุ่งนี้นะครับ ... จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือมีคนพามาเข้านอน

#เมา #ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 25 : Fuck Butterfly
«ตอบ #116 เมื่อ28-09-2025 09:48:06 »

ตอนที่ 25 : Fuck Butterfly (Part1/2)


“สุขสันต์วันเกิดนะวายุ ... นี่ของขวัญ ของกูกับจี” ผมยื่นถุงกระดาษสีสันสดใสให้คนตรงหน้า ตั้งแต่เดินเข้ามามาในงานก็เพิ่งได้เจอเจ้าของวันเกิด เพราะเจ้าตัวติดภารกิจ ‘คนของประชาชน’ เดินทักทายโต๊ะนั้นทีโต๊ะนี้ที

“ขอบใจพวกมึงมาก เดียวกูเอาไปเก็บไว้ในรถก่อน ไม่งั้นเดียวเมาแล้วไม่รู้เอาไปวางไว้ไหน ... ตามสบายนะเดียวกลับมาดื่มด้วย” หันหลังเดินกลับไปได้ไม่นาน เจ้าตัวก็ถูกเพื่อนอีกกลุ่มทักทาย ดูจากท่าทางที่พูดคุยกันอย่างออกรสแล้ว เดาว่าวายุน่าจะลืมไปแล้วมั้งว่ากำลังจะเดินเอาของไปเก็บที่รถ

“แบบนี้แหละคนของประชาชน ...” จีที่ยืนอยู่ข้างๆ เอ่ยปากแซว

“... ร้านประจำมันก็แบบนี้ รู้จักไปหมด ตั้งแต่ยามที่ลานจอดรถจนถึงเจ้าของ” วายุฉลองงานวันเกิดอายุ 24 ด้วยการนัดเพื่อนๆ มาสรรสังที่ร้านเหล้าร้านประจำของเจ้าตัว แต่จริงๆ แล้วผมคิดว่าน่าจะเป็นร้านประจำของคณะจีมากกว่า เพราะนอกจากเจ้าของวันเกิดทักทายทุกคนแล้ว คนข้างตัวก็มีรุ่นพี่รุ่นน้องมาทักทายไม่หยุด บรรยากาศตอนนี้คึกครืนมาก ตามประสาคืนวันเสาร์

“มันดูดื่มเก่งนะ กูไม่เห็นมือมันว่างเลย” ผมแซวเพราะเห็นเจ้าของวันเกิดดื่มเรื่อยๆ ตั้งแต่หัวค่ำจนถึงตอนนี้

“มันคอแข็ง ...” ผมพยักหน้ารับ จากประสบการณ์ที่ไป party ด้วยกันมาสมัย summer trip คอแข็งว่าจีก็วายุเนี่ยแหละ ... มีแต่ผมที่คออ่อนอยู่คนเดียว

“... เรื่องฝึกงานมึงพร้อมไหม”

“พร้อมไหม ก็พร้อม”

“ฟาร์มวัวที่นครราชสีมาใช่เปล่า” จีถามย้ำ

“อืม” ผมตอบรับแบบขอไปที จะพร้อมไม่พร้อม ผมก็ต้องไป แม้ฟาร์มที่จะไปจะเป็นของรุ่นพี่ที่คณะ และรุ่นพี่หลายๆ คนต่างการันตีเป็นเสียงเดียวกันว่าสบายที่สุดแล้วในบรรดาฟาร์มทั้งหมดที่เปิดรับนิสิตฝึกงาน แต่ผมก็ยังกังวล ผมไม่ชอบความลำบาก คำว่า “ดี” ในที่นี้คือดีกว่ามาตรฐานฟาร์มทั่วไป แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องทำอาหารกินเอง อยู่ห่างไกลจากตัวเมือง นอนห้องพัดลม และที่สำคัญคือห้องน้ำ แค่นึกถึงห้องน้ำในฟาร์ม ผมก็ขนลุกไปทั้งตัว

“ทำหน้าแบบนี้ รู้เลยว่าไม่อยากไป”

“เอาจริงก็ไม่อยากไป แต่มันเป็นวิชาๆ หนึ่งเลย ไม่ไปก็ไม่ได้ ...”

“... กูไม่เข้าใจว่าทำไมต้องให้ไปอยู่นานขนาดนั้น สัปดาห์เดียวก็พอแล้วหรือเปล่าวะ” ยิ่งพูดผมก็ยิ่งใส่อารมณ์ ผมไม่กล้าบ่นกับเพื่อนๆ ที่คณะเพราะกลัวจะถูกมองว่าติดหรู รักสบาย

“ยิ่งพูดยิ่งหน้างอ 555 ...” ผมหันกลับไปมองแรงเพื่อนสนิทที่ดูจะมีความสุขบนความทุกข์ของผมเสียเหลือเกิน

“... กูไม่รู้หรอกว่าอาจารย์คณะมึงเขาคิดยังไง และกูก็ไม่เข้าใจ life style ของสัตวแพทย์ด้วย ...”

“... แต่การที่มึงต้องทนทำในสิ่งที่มึงไม่ชอบ และผ่านมันไปได้ก็ถือเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์หรือเปล่าวะ...”

“... คนเรานะ ไม่มีทางได้ทุกอย่างที่เราต้องการหรอกนะ แม้ว่าคนๆ นั้นจะคือ มิลค์ ติณสิงห์ ก็ตาม ... บางครั้งเราก็ต้องฝืนทำในสิ่งที่ไม่ต้องการ”

“อืม ...” ผมถอนหายใจ พยายามมองโลกในแง่ดีตามที่เพื่อนสนิทบอก

“... กูผ่าน รด. มาได้ กูก็ต้องผ่านฝึกงานไปได้ซิวะ” คิดเข้าข้างตัวเองว่า รด. ลำบากกว่านี้ยังผ่านมาได้ แค่ฝึกงานฟาร์มเองทำไมผมจะผ่านไปไม่ได้

“เก่งมาก ต้องแบบนี้ซิวะ”



อ้วกกก อ้วกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!

“ไหวไหมมึง” มือหนาของจีลูปขึ้นลงบนแผ่นหลังของเพื่อนสนิทที่นั่งยองๆ อยู่ด้านหลังลานจอดรถในขณะที่แขนอีกข้างก็รั้งเอวบางเอาไว้ไม่ให้ล้มหน้าคะมำ

“อืมๆ” เจ้าตัวตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอ้อแอ ตามประสาคนเมา

“มาๆ เดียวกูช่วยหิ้วมันขึ้นรถ” เสียงของตัวต้นเหตที่ทำให้ไอ้มิลค์เมาไม่ได้สติดังขึ้นจากด้านหลัง

“มึงไม่ต้องเลย!!!” จีหันไปพูดกับวายุเสียงเข้ม พร้อมกับพลักมือของเพื่อนที่จะเข้ามาช่วยพยุงให้ออกห่าง

“เออๆ หวงจริงเว้ย” เจ้าตัวพูดขำๆ ปลดล็อครถตัวเองแล้วเปิดประตูหลังรอ วันนี้จีกับมิลค์ไม่ได้เอารถมาเพราะทั้งคู่ตั้งใจจะมาดื่มในงานเลี้ยง

“กูบอกมึงกี่ครั้งแล้วว่าอย่ามอมเหล้ามิลค์ พอมันเมาแล้วลำบากกูทุกที” วายุเบ้ปากให้เพื่อนของตัวเองที่แม้ปากจะบ่นแต่ก็ประคบประหงมตั้งแต่หัวค่ำ เรียกได้ว่าประกบติดเป็นเงาตามตัวไอ้มิลค์ไม่ห่าง แยกเขี้ยวใส่ทุกคนที่ทำท่าจะเดินเข้าหาเพื่อนสนิทของตัวเอง

“ก็เพื่อนมึงน่ารักน่าแกล้งขนาดนี้ กูอดใจไม่ไหว 555” แม้ปากจะแซวแต่ก็อดคิดไม่ได้ว่ามิลค์ดูดีขึ้นจริงๆ นับจากครั้งสุดท้ายที่เขาบังเอิญเดินสวนกันในมหาลัยเมื่อ 2 ปีก่อน เจอกันครั้งแรกสมัย summer trip ก็คิดอยู่ในใจว่ามิลค์หน้าตาน่ารักดี แต่พอมาวันนี้ดูเหมือนจะมีอะไรมากกว่าคำว่า “น่ารัก” ... โครงหน้าสวย บุคลิกดี ยิ่งเจ้าตัวแต่งองค์ทรงเครื่องแบบวันนี้ บอกเลยว่าหนุ่มๆ ในร้านมองตามกันคอแทบเคล็ด

“เดียวกูจะคิดบัญชีกับมึง” จีพูดพลางพยุงมิลค์เข้าไปในห้องโดยสารด้านหลัง

“คอนโดไอ้มิลค์อยู่ไหนนะ” วายุถามเมื่อเข้ามานั่งประจำที่พลขับ

“สาทร เดียวใกล้ๆ กูบอกทาง ... มึงไปส่งได้ใช่ไหม ไม่ได้นัดใครไว้ต่อเหรอ” วายุมองผ่านกระจกมองหลังถึงได้เห็นว่าจีก้มๆ เงยๆ บรรจงวางหัวของไอ้มิลค์ไว้บนตัก ... ทนุถนอมขนาดนี้ บอกไปก็ไม่มีใครเชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทกัน

“ไปส่งได้ ไม่ได้นัดใครไว้”

BMW series 5 วิ่งผ่านถนนยามค่ำคืน ผ่านย่านทองหล่อ สุขุมวิท พระราม 4 ก่อนจะเลี้ยวเข้าถนนสาทร ด้วยเพราะการจราจรกลางดึกของคืนวันเสาร์ค่อนข้างโล่ง ใช้เวลาประมาณ 20 นาที BMW สีขาวก็จอดสนิทในช่องจอดรถของคอนโดหรู จีหิ้วปีกมิลค์ที่บ่นงึมงำๆ มาตลอดทาง ในขณะที่วายุทำตัวเหมือน bodyguard คอยเปิดปิดประตูอำนวยความสะดวกจนกระทั้งประตูลิฟต์เปิดออก ณ ชั้นบนสุด

คิ้วคมของวายุขมวดเข้าหากันทันทีที่กระเป๋าตังค์ของจีทาบลงบนแท่น key card แล้วบานประตูตรงหน้าปลดล๊อค ... ต้องสนิทกันขนาดไหนถึงได้มี key card ห้องเพื่อน ... แต่ความสงสัยก็ถูกลืมเลื่อน เมื่อเจ้าตัวก้าวเข้ามาในห้อง

“ไอ้เชี่ยยยยยยย ห้องแม่งโคตรสวย” penthouse ขนาดใหญ่ที่พอเดินเข้ามาแล้วจะเจอกับห้องนั่งเล่นเพดานสูง กระจกบานใหญ่สูงตั้งแต่พื้นถึงเพดานทำให้ห้องนี้เห็นวิวเมืองได้แบบ 180 องศา แสงไฟจากตึกสูงส่องแสงระยิบระยับท่ามกลางความมืด พอเงยหน้ามองบนเพดาน ... แม่เจ้า ... โคมระย้าอลังการขนาดนี้น่าจะซื้อรถของเขาได้ทั้งคัน

“มึงตามสบายนะ ครัวกับห้องกินข้าวอยู่อีกทาง ถ้าหิวน้ำหรือจะกินอะไรก็เปิดตู้เย็นได้เลย เดียวกูพามิลค์ไปห้องนอนก่อน” วายุพยักหน้าแบบขอไปทีเพราะกำลังสนอกสนใจกับความอลังการตรงหน้า

จีประคองเพื่อนสนิทให้ทิ้งตัวนอนลงบนเตียง เจ้าตัวถอยออกมาพร้อมกับบิดตัวไล่ความเมื่อยล้า ไอ้มิลค์หลับไปแล้ว เขาเลยต้องรับบทเป็นพระเอก ... 2 ขายาวก้าวไปยังห้องน้ำ ไม่นานก็ออกมาพร้อมกับกะละมังน้ำอุ่นและผ้าขนหนูผืนเล็ก 2 ผืน ... มือหนาจัดการลอกคราบเพื่อนสนิท จนไอ้ตัวดีเหลือแต่ boxer ตอนลอกคราบก็ก้มหน้าก้มตาถอด แต่พอเสร็จแล้วเจ้าตัวถึงกับสติหลุดกับภาพตรงหน้า ... ขนตางอน โครงหน้าสวย ผิวเนียนละเอียดราวกับอาบน้ำแร่แช่น้ำนมมาตั้งแต่เด็ก มันไม่ใช้คนออกกำลังกายเลยไม่ได้มีกล้ามเนื้อแบบคนอื่นเขา แต่เพียงเท่านี้ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าก็แทบจะทำให้เขาลืมหายใจไปชั่วขณะ ... จีกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ ตาชั้นเดียวจดจ้องไปยังแผ่นอกที่เคลื่อนที่ขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ สติสัมปชัญญะตีกันวุ่นวายไปหมด ความคิดและจินตนาการกำลังเตลิดไปไกล รู้ตัวอีกทีใบหน้าของเขากับเพื่อนสนิทก็อยู่ห่างกันไม่ถึงหนึ่งฝ่ามือ

“ไอ้จี มึงหายไปไหนเนี่ย ... มึงอยู่ห้องไหนวะ” เสียงตะโกนของวายุดังขึ้นจากทางเดินนอกห้อง จีรีบพลักตัวออกแล้วรีบก้าวยาวๆ ไปยังประตู ก่อนที่วายุจะเปิดประตูพรวดพราดเข้ามาเห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็น

“กูอยู่นี้” จีโผล่หน้ามาจากห้องนอนใหญ่ ทันทีที่เห็นเพื่อนวายุก็ก้าวเท้าเดินเข้ามา

“ทำไมนานจังวะ มีอะไรหรือเปล่า ไอ้มิลค์อ้วกแตกเหรอ ให้กูช่วยเช็ดไหม ...” มันทำท่าจะยื่นหน้าเข้ามา จีเลยก้าวออกจากห้องพร้อมกับปิดประตู

“... มึงดุมีพิรุธนะ ... ไม่ใช้จะทำอะไรไอ้มิลค์ใช่ไหม ...” วายุมองหน้าเพื่อนด้วยสีหน้าแววตาหยอกล้อ ไม่บ่อยนักที่จะเห็นจีทำท่าทางกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เลยอดไม่ได้ที่จะพูดแซว

“... ทำๆ ไปเถอะ รวบหัวรวบหางแม่งเลยจะได้ happy ending ซักที”

“กูไม่ได้สันดานแบบมึง กำลังจะเช็ดตัวให้มิลค์อยู่ ...” ไอ้เรื่องที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กจนสนิทกัน หรือการจะ take care ดูแลกันวายุพอเข้าใจได้ แต่ถึงขั้นมี keycard ห้องไอ้มิลค์ กับเช็ดตัวให้นี้ก็ดูจะเกินกว่าคำว่าเพื่อนสนิทไปไกลมากจริงๆ ... อาจจะมากกว่าคำว่าแฟนแล้วด้วยซ้ำ

“... มึงจะกลับแล้วเหรอ” อะ!!! ไอ้นี้ พอพูดจาไม่เข้าหูก็ไล่กลับเลยซะงั้น

“ยังวะ อยู่รอก่อนเผื่อมึงมีอะไรให้ช่วย”

“มึงจะกลับก็ได้นะ คืนนี้กูค้างเป็นเพื่อนไอ้มิลค์”

“ทิ้งกูเลยว่างั้น?”

“กูคุยกับมันไว้ก่อนแล้วว่าจะค้าง”

“เออๆ มึงเช็ดตัวให้มันไปเถอะ เดียวกูนั่งๆ นอนๆ รอที่ห้องนั่งเล่น”

จีกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง เขากำลังจ้องมองเพื่อนสนิทที่ตอนนี้กำลังหลับไม่รู้เรื่องอยู่ใต้ผ้าห่ม ... คำพูดของวายุยังวนเวียนอยู่ในหัว ... ใจหนึ่งเขาอยากให้เกียรติมิลค์ ถึงได้รอแล้วรอเล่า ให้ความรู้สึกมันสุกงอม แต่อีกใจหนึ่งก็แทบจะรอต่อไปไม่ไหว ... ทั้งรัก ทั้งหลง ... 4 ปีในรั้วมหาวิทยาลัยไม่ได้ยาวนานอย่างที่เขาเคยคิด อีกไม่กี่เดือนเขาก็จะก้าวเข้าสู่วัยทำงาน เรา 2 คนจะต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง ปากบอกมิลค์ว่าไม่ต้องกลัวแต่ใครจะรู้ว่าในใจเขารู้สึกสั่นไหวทุกครั้งที่นึกถึง แม้จะมั่นใจแต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น ... หรือจะรวบหัวรวบหางให้จบๆ ไปเลยคืนนี้ดี พรุ่งนี้เจ้าตัวคงอาละวาทจนบ้านแตก แต่ต่อให้โกรธขนาดไหนก็มั่นใจว่าเขาจะง้อสำเร็จ

“เฮ่ออออออ” ผ้าห่มครึ่งบนถูกเลิกลงมา จีสลัดความคิดจินตนาการต่างๆ ออกจากหัว เขาจะทำแบบนั้นกับคนที่เฝ้ารักเฝ้าทะนุถนอมมาตั้งแต่เด็กได้ยังไง ... มือหนาคว้าผ้าขนหนูผืนเล็กจุ่มลงในกะละมังน้ำอุ่นก่อนจะบรรจงเช็ดตัวให้เพื่อนสนิทอย่างเบามือ



“วายุ ไอ้วายุตื่น” จากที่เรียกปากเปล่า จีออกแรงเขย่าเพื่อนร่วมคณะที่นอนเหยียดตัวยาวบนโซฟา

“ฮะ!!! อืมๆ โทษที เผลอหลับไป” เจ้าตัวตื่นขึ้นมาด้วยสีหน้างัวเงีย

“ถ้าง่วงก็ไปนอนในห้อง”

“เกรงใจ กูจะไปนอนเตียงเดียวกับไอ้มิลค์ได้ไง” คิ้วขวาของจีกระตุกยิกๆ ไม่รู้ว่ามันตั้งใจกวนประสาทเขาหรือพูดออกมาเพราะความง่วงกันแน่

“นอนอีกห้องซิวะ” จีตอบเพื่อนเสียงเข้ม

“เหรอ ... แต่ก็เกรงใจอยู่ดี ไม่ได้ขออนุญาติเจ้าของห้องไว้ก่อน” เจ้าตัวพูดพลางพลิกตัวขึ้นมานั่ง

“นอนได้ มิลค์ก็รู้จักมึง ...”

“... ดึกแล้วนอนนี่แหละ ขับรถดึกๆ อันตราย” ตอนนี้ตี 3 กว่าแล้ว ไหนจะผลจากแอลกอฮอร์ที่กำลังออกฤทธิ์เต็มที่ ให้มันนอนค้างคืนที่นี้น่าจะปลอดภัยที่สุดสำหรับตัวมันเองและคนอื่นๆ

“เกรงใจไอ้มิลค์”

“นอนได้ มิลค์มันไม่ใช้คนคิดเล็กคิดน้อย” ไปอยู่ Canada มาด้วยกันตั้ง 2 เดือน มิลค์รู้จักวายุดีในระดับหนึ่ง เรื่องแค่นี้ไอ้มิลค์ไม่เก็บมาคิดเล็กคิดน้อยหรอก

“เหรอ งั้นรบกวนไอ้มิลค์ซักคืนละกัน แล้วนี่มึงเช็ดตัวมันเสร็จแล้วเหรอ”

“เสร็จแล้ว”

“ทำไมนานนักวะ” คำถามที่ดูเหมือนจะซ้อนความสงสัยบางอย่างเอาไว้ แต่ดูจากสีหน้าของคนถามแล้วรู้เลยว่ามันไม่ได้คิดอะไร

“ไอ้มิลค์อ้วก เลยต้องเช็ดตัว 2 รอบ” พูดขึ้นมาแล้วก็อยากเดินไปบีบคอไอ้วายุ ถ้าไม่ใช้เพราะมันเขาได้นอนหลับไปนานแล้ว

“ฮึๆ นี่มันเป็นเพื่อนหรือลูกมึงกันแน่วะ” ในใจอยากจะเอ่ยปากแซวว่าเพื่อนหรือเมียแต่ก็กลัวว่าคืนนี้จะไม่มีที่ซุกหัวนอน

“กูก็ชักไม่แน่ใจเหมือนกัน ... ตกลงนอนนี้นะ งั้นกูไปอาบน้ำนอนแล้ว”

“เมื่อไหร่มึง 2 คนจะคบกันซักที ...” 2 ขาหยุดนิ่งอยู่กับที่เมื่อได้ยินคำถามของวายุ

“... มาถึงขนาดนี้แล้วมึง”

“กูไม่เข้าใจว่ามึงพูดเรื่องอะไร” รู้ทั้งรู้ว่าไม่เนียน แต่จีก็ยังแสดงบทเป็นผู้ร้ายปากแข็ง

“มึงรู้ว่ากูพูดถึงเรื่องอะไร คบๆ กันซักที คนที่เชียร์เขาเชียร์กันจนท้อหมดแล้ว” วายุพูดให้ดูยิ่งใหญ่ไปอย่างนั้น คนเชียร์ในที่นี้เขาหมายถึงตัวเองล้วนๆ

“ไม่ต้องเอาคนอื่นมาอ้าง มันอยากเสือกก็บอกกูมา” จีคลายยิ้ม ก่อนจะเดินกลับมานั่งลงบนโซฟาฝังตรงข้าม

“อยู่ใกล้กันขนาดนี้ ทำไมไม่คบกันซักทีวะ”

“มิลค์ยังไม่พร้อม”

“มึงเคยขอเขาเป็นแฟนหรือยัง ...”

“... กากสัส ... กูสอนให้เอาไหม” พอเจ้าตัวส่ายหัว วายุเลยอดไม่ได้ที่จะทับถมคนมาดเยอะ

“มึงไม่ต้องยุ่งเลย เรื่องของกูๆ จัดการเองได้”

“เออ!!! พ่อคนเก่ง จะทำอะไรก็รีบๆ ทำ พอทำงานแล้วมึงไม่มีเวลามานั่งเฝ้ามันแบบนี้นะเว้ย”

“กูรู้น่า”

“รู้แต่ก็ปล่อยจนเวลาผ่านมาเป็นปีๆ ...” เขาคิดว่า 2 คนนี้จะตกลงคบกันตั้งแต่กลับมาจาก summer trip แล้วซะอีก ไม่คิดว่าจะลากสถานะเพื่อนสนิทมาได้นานขนาดนี้

“... อีกไม่กี่เดือนก็เรียนจบแล้ว”

“หรือว่ากูไม่ควรรอวะ” พอโดนจี้จุดเจ้าตัวก็หลุดความในใจตัวเองออกมา

“นี่ตกลงไอ้มิลค์ไม่พร้อม หรือว่ามึงไม่พร้อมกันแน่”

“ไม่รู้ซิ สมัยก่อนกูคิดแค่อยากให้เรื่องของเรามันค่อยๆ พัฒนา ...”

“... แต่พอใกล้จะเรียนจบกูก็กังวลเรื่องหน้าที่การงาน มึงคิดดูดิ กูต้องทำงานกี่ปีถึงจะมีปัญญาซื้อคอนโดแบบนี้อยู่กับไอ้มิลค์ได้ มันอาจจะเป็นเพื่อนที่กูรู้จักมาตั้งแต่เด็ก แต่อีกมุมหนึ่งมันก็คือ มิลค์ ติฒสิงห์เลยนะเว้ย”

“ถ้าให้พูดความจริงคือทำงานทั้งชาติมนุษย์เงินเดือนอย่างเราก็ไม่มีปัญญาซื้อคอนโดระดับนี้ไหว ...

“... แต่กูว่ามึงคิดมากไป ใช่ว่าคบกับมึงแล้วชีวิตมันจะลำบาก? มึงเคยถามไอ้มิลค์หรือยังว่ามันคิดยังไง ...” จีส่างหัวให้กับคำถามของวายุ

“... บางครั้งคนที่มีทุกอย่างแบบไอ้มิลค์ก็อยากจะใช้ชีวิตธรรมดาๆ กับมึง มากกว่าอยู่บนหอคอยงาช้างกับพวกเจ้าชายหรือเปล่าวะ”

“แต่มิลค์มันมีปมกับการคบเพื่อนสนิท” วายุส่ายหน้าเมื่อได้ยินเหตุผลของจี

“อย่าไปคิดแทนไอ้มิลค์ กับคนที่เรารัก มันมีข้อยกเว้นได้กับทุกเรื่องเสมอ ...”

“... แค่มั่นใจในความรู้สึกของมึง แล้วก็พุ่งชนเลยเว้ย กูเป็นกำลังใจให้”



..........



“เป็นไงบ้าง” เสียงของเพื่อนสนิทดังออกมาจาก smart phone 2G รุ่นล่าสุด

“ก็ดี ดีกว่าที่คิด” ผมตอบคำถามของจีท่ามกลางเสียงร้องของจักจั่นที่ดังไปทั่วฟาร์ม ล้มร้อนและแดดแรงจนแสบผิว นี่ซินะฤดูร้อนของจริง

“มึงปรับตัวได้เก่งกว่าที่คิดนะเนี่ย” คนปลายสายเอ่ยปากแซว

“กูก็ยังประหลาดใจกับตัวเองเหมือนกัน” ลำบากแค่ช่วงสัปดาห์แรก แต่หลังจากปรับตัวได้ก็รู้สึกว่าการมาอยู่ฟาร์มไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด สำหรับเรื่องอาหารการกิน ส่วนใหญ่พวกผมจะติดรถส่งนมไปซื้อที่ตลาดนัด กลางคืนที่จากที่กลัวว่าจะร้อนจนนอนไม่ได้ เอาเข้าจริงก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น พัดลมหมุนกลางเพดาน และลมเอื่อยๆ ที่พัดเข้ามาทางหน้าต่างช่วยให้หลับสบายกว่าที่คิด

“เรื่องห้องน้ำมึงจัดการได้ยัง”

“เรียบร้อย กูซื้อรองเท้าแตะมาใส่ก่อนจะเข้าห้องน้ำ” ปัญหาใหญ่ที่สุดของผมคือเรื่องพื้นห้องน้ำเปียกซึ่งก็แน่นอนว่าห้องน้ำตามต่างจังหวัดส่วนมากจะไม่แยกห้องอาบน้ำออกมาเป็นสัดเป็นส่วน ผมเลยแก้ปัญหาด้วยการใส่ของเท้าเข้าห้องน้ำซะเลย

“เหลือเชื่อกับมึงเลยจริงๆ” เสียงหัวเราะของจีดังออกมาจากโทรศัพท์

“เรื่องพื้นห้องน้ำเปียกนี่เรื่องใหญ่นะเว้ย”

“กูรู้ ...” จีต้องรู้อยู่แล้ว เพราะเวลาไปนอนค้างคืนด้วยกันจีจะให้ผมใช้ห้องน้ำเป็นคนแรกเสมอ

“... มิลค์ ... กูต้องไป off shore พรุ่งนี้นะ”

“อืม กูจำได้ แล้วมึงไปยังไงอะ”

“นั่งรถตู้ของบริษัทไปที่ base แถวชลบุรี แล้วนั่งเฮลิคอปเตอร์ออกไป”

“เชี่ยยยยยยยยยได้นั่งเฮลิคอปเตอร์ด้วย ถ่ายรูปมาให้กูดูด้วยนะ”

“ได้ๆ”

“แล้วพรุ่งนี้ต้องตื่นกี่โมง”

“ตื่นตี 4 ออกจากบ้านตี 5 ถึง office 6 โมง ถึง base 8 โมง กว่าจะถึง station ก็น่าจะ 10 โมง แล้วก็เริ่มทำงานเลย”

“เช้าขนาดนี้จะตื่นไหวไหม จะให้กูโทรปลุกเปล่า” ผมถามเพราะเพื่อนสนิทของผมนะนอนขี้เซาเป็นที่สุด

“ไม่ต้องๆ มึงนอนพักไปเถอะ กูตั้งนาฬิกาแล้ว”

“ตื่นเต้นไหม”

“ตื่นเต้นดิ”

“ตอนอยู่ off shore กูโทรหามึงได้ปะ”

“ได้ แต่กูไม่รู้ว่ามันมีสัญญานหรือเปล่านะ”

“เหรอ”

“มันอาจจะมีขาดๆ หายๆ หรือไม่มึงส่ง DM มาใน FB ก็ได้ น่าจะคุยกันง่ายกว่า”

“เหรอ ... กูกังวลวะ ไม่อยากห่างจากมึง”

“กูก็ไม่อยากห่างจากมึงเหมือนกัน อย่าคิดมาก มึง enjoy กับการฝึกงานไปเถอะ แป๊บๆ ก็ได้กลับบ้านแล้ว ...” เวลาผ่านไปเร็วเหมือนที่จีบอก เผลอแป๊บเดียวผมมาอยู่ที่นี้ได้เกือบครึ่งทางแล้วเหลืออีก 2 สัปดาห์เท่านั้น

“... กลับถึงบ้านแล้วรอกูนะ ... กูกลับกรุงเทพเมื่อไหร่ไปหาอะไรกินกัน”

“อืม รอ ... รอมึงมาตลอดนั้นแหละ” ผมตอบรับคำขอของคนปลายสายด้วยรอยยิ้ม


ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 25 : Fuck Butterfly
«ตอบ #117 เมื่อ28-09-2025 09:52:37 »

ตอนที่ 25 : Fuck Butterfly (Part2/2)


ส่องกระจกแล้วส่องกระจกอีก เสื้อตัวนั้นใส่แล้วดูดีไหมนะ ถ้าใส่กับกางเองตัวนี้จะเข้ากันหรือเปล่า ชุดนี้ก็หลวม ชุดนั้นก็ไม่ถูกใจ กำไร แหวน ใส่ทั้งหมดนี่จะเยอะไปไหม ผมหยิบเสื้อผ้ากางเกงเครื่องประดับเข้าๆ ออกๆ มาตั้งแต่ช่วงบ่าย จนถึงตอนนี้ก็ยังตัดสินใจไม่ได้ อีกไม่ถึงชั่วโมงจะถึงเวลานัดแล้ว ... ไม่เอาชุดนี้ ไม่เข้ากัน เลือกใหม่ๆ

ขณะที่กำลังเลือดชุดสำหรับเย็นนี้ อยู่ๆ เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อประตูห้องนอนถูกเปิดออก

“มึงอยู่ในนี้หรือเปล่าวะ ...” เป็นจังหวะ dead air ที่น่าอับอายที่สุดในชีวิต คนตรงหน้าในชุดเสื้อโปโลสีฟ้ากางเกงยีนส์ขายาวกำลังจ้องมาที่ผมด้วยสีหน้าตกตะลึง ตาชั้นเดียวคู่นั้นเบิกกว้างที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นผม

“... เปลี่ยนชุดอยู่เหรอ” จีเป็นฝ่ายที่ตั้งสติได้ก่อน แต่แทนที่จะเดินกลับออกไป เจ้าตัวกลับก้าวเข้ามาในห้อง แล้วทำเหมือนเป็นเรื่องปกติที่เห็นผมจะเดินไปเดินมาโดยสวม boxer อยู่ตัวเดียว  :m25:

 “อะ เออ นั่งก่อนดิ” ผมไม่รู้ว่าควรจะไล่มันออกจากห้อง หรือชวนมันเข้ามาแต่ในเมื่อเจ้าตัวหย่อนก้นลงบนเตียงแล้ว ผมก็เลยๆ ตามเลย

“มึงรื้อชุดออกมาเยอะขนาดนี้เลยเหรอ” เสื้อกางเกงหลายชุดของผมวางอยู่บนเตียง แขวนอยู่บนตู้ พาดอยู่บนพนักเก้าอี้ จีมองไปรอบๆ ก่อนที่สายตาจะกลับมาหยุดอยู่ที่ผมอีกครั้ง

“อ่ออ เออ อืม” เชี่ย!!! ไปไม่เป็นเลยอะ จีนิ่งมาก มันทำเหมือนนี่คือเหตุการณ์ปกติ ส่วนผมก็เขินมาก เขินจนทำตัวไม่ถูก เลยคว้าเสื้อที่อยู่ใกล้ที่สุด ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วใส่ๆ มันไปละกัน

“ตัวนี้ดีกว่า ...” มือที่กำลังสวมเสื้อหยุดชะงัก จีหยิบเสื้อตัวที่วางอยู่บนเตียงแล้วเดินเข้ามาหา

“... น่าจะเข้ากับมึง” ผมรับเสื้อยืดคอกลมสีขาวจากมือเพื่อนสนิท มันเป็นเสื้อยืดคอกลมง่ายๆ มีแค่ logo ของ brand ปักอยู่บนหน้าอกซ้าย

“เหรอ” รับมาแล้วก็รีบสวมอย่างไว

“เอากางเกงตัวนี้” กางเกงยีนส์สีเทาซีดๆ ถูกส่งมาให้ พอใส่เสื้อกางเกงครบ ในใจเลยรู้สึกว้าวุ้นน้อยลง

“ผมไม่ต้อง set แล้วมั้ง แค่นี้ก็ดูดีแล้ว” เชี่ยยยยยยยยยยยยย!!! นี่มันกำลังชมว่าผมดูดีงั้นเหรอ

“อืม ไม่ set แล้วก็ได้”

“ยังขาดอะไรอีกซักหน่อย ...” พูดจบมันก็เดินไปโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วเปิดกล่องใส่ accessory ที่วางอยู่หน้ากระจก

“... เหมือนจะเยอะขึ้นจากครั้งสุดท้ายที่กูเห็นนะ ... นี่ไง ...” เจ้าตัวพูดงึมงำๆ ก่อนจะเดินกลับมา สร้อยข้อมือและกำไลถูกบรรจงสวมใส่บนข้องมือทั้ง 2 ข้าง ตามด้วยแหวนที่ถูกสวมลงบนนิ้วชี้ขวา นิ้วกลางซ้าย และจบลงด้วยนิ้วนางข้างซ้าย

“... perfect” มากกกกกก เกินไปมากสำหรับวันแรกที่เจ้าตัวกลับมาจาก offshore ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงหัวใจของผมทำงานหนักเหมือนไปวิ่งมาราธอนมา 10 รอบ ผมไม่ได้รู้สึกไปเองใช่ไหมว่าบรรยากาศระหว่างเรามันดูแปลกไป เหมือนว่าเรากำลังก้าวขึ้นไปอีก step หนึ่ง

“งั้นเราไปกันเลยไหม” ผมถามขึ้นในขณะที่คนตรงหน้ายังกุมมือข้างซ้ายของผมไว้

“มานั่งกับกูก่อน ...” จีเดินจูงผมไปที่เตียงแล้วดึงตัวผมมานั่งบนตัก

“... นั่งดีๆ อย่ายุกยิกดิ”

“ก็มันนั่งไม่ถนัด” ผมเถียงเพราะนั่งไปถนัดจริงๆ ... ไม่ถนัดทั้งกาย ไม่ถนัดทั้งใจ

“มิลค์ นั่งดีๆ ถ้าของกูมันขึ้นๆ มาจริงๆ กูจะให้มึงช่วยเอามันลงนะ...” เป็นคำขู่ที่ทำผมตัวแข็งทื่อเป็นหินทันที  :oo1:

“... กูไม่อยู่ 3 สัปดาห์ เป็นเด็กไม่ดีหรือเปล่า” เสียงกระซิบที่ดังอยู่ไม่ไกล และลมร้อนที่เป่าลดหลังใบหูทำให้อุณภูมิร่างกายของผมร้อนฉ่า มือหนาที่เคยกุมมือของผมเอาไว้เปลี่ยมมาโอบเอวหลวมๆ

“กูไม่ได้ทำอะไรไม่ดีเลยนะ ไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหน มีแค่ไปทำงานที่คณะเท่านั้นเอง” ผมกลับมาก่อนจีประมาณ 1 สัปดาห์ หลังจากพักร่างได้ 2 วันก็นัดทำงานกับพวกไอ้แก้วที่คณะ แม้จะฝึกงานเสร็จแล้วแต่พวกเรายังต้องทำ assignment ให้เสร็จก่อนเปิดเทอม

“เหรอ แน่ใจ? ว่าระหว่างฝึกงานไม่มีใครมาจีบ ...” ริมฝีปากบางของผมเม้มเข้าหากัน

“... ถ้าโกหกจะถูกทำโทษนะ” คนด้านหลังพูดเหมือนรู้ทันว่าผมคิดอะไรในใจ สงสัยมาซักพักแล้วว่าต้องมีใครซักคนในกลุ่มเป็นสายให้จี หรือความเป็นจริงแล้วอาจจะเป็นสายให้คนข้างๆ ทั้ง 3 คนเลยก็ได้

“ก็ ... ก็มีบ้าง ... มีคนมาขอเบอร์ ขอ Facebook”

“แล้วไงต่อ” น้ำเสียงเรียบสนิทในขณะที่แขนที่พาดอยู่บนเอวกลับออกแรงดึงรั้งผมเข้าหาตัว

“ก็ไม่ได้ให้ บอกเขาว่าไม่สะดวกให้”

“ดีมากครับ ... มิลค์”

“อืม”

“เราไม่พูดกูมึงกันได้ไหม”

“ฮะ??? อารมณ์ไหนของมึงเนี่ย”

“เพิ่งบอกอยู่หยกๆ ว่าไม่พูดกูมึง”

“แล้วจะให้ใช้คำไหน”

“เรียกชื่อแทนไง”

“ไม่เอาอะ ไม่ชิน”

“เรียกบ่อยๆ เดียวก็ชิน ... มิลค์ครับ ...” เชี่ยยยยยยยยยยยย ขนลุกไปทั้งตัว

“... มิลค์หิวข้าวหรือยัง ... ไม่ต้องเขิน ไหนเรียกชื่อจีซิ ...”

...

...

...

“... เรียกเร็วครับ”

“จี ... มิลค์หิวข้าวแล้ว”

“ดีมากครับ งั้นไปกินข้าวกันนะ คนเก่งของจี”

จมูกโด่งของจีกดลงบนลาดไหล่ของมิลค์ ก่อนที่หน้าผากกว้างจะซบลงแผ่นหลังของเพื่อนสนิท แล้วออกแรงรั้งตัวที่นั่งอยู่บนตักของเขาให้อิงแอบแนบชิดมากขึ้นกว่าเดิม

จีกลับมาถึง base กลางดึกของเมื่อคืน สายแรกที่โทรเข้ามาคือสายของมิลค์ แล้วแบบนี้จะไม่ให้เขารีบกลับกรุงเทพแต่เช้าได้ยังไง เป็นครั้งแรกที่เรา 2 คนห่างกันนานขนาดนี้ รวมๆ แล้วเกือบจะเดือนครึ่งที่ไม่ได้เห็นหน้ากัน การได้ยินแค่เสียงกลับยิ่งทำให้คิดถึงมากขึ้นกว่าเดิม ไม่รู้ทำไมตั้งแต่เริ่มทำงาน เวลาอยู่ใกล้ชิดกับมิลค์แล้วมีแต่ความคิดอกุศลเกิดขึ้นมากมาย อยากกอด อยากจูบ อยากดูแลปกป้อง อยากเป็นเจ้าของ อยากมีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง ... เป็นแฟนกันเลยได้ไหม คบกันเลยได้ไหม ไม่อยากรอให้เสียเวลาอีกแล้ว



ผมในชุดไปรเวทยืนถือของพะรุงพะรังอยู่ใต้ร่มไม้ของลานเกียร์ บัณฑิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ในชุดครุยนับร้อยๆ คนเดินสวนกันไปมาให้ขวักไขว่ เสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ รอยยิ้ม และการรวมตัวกันของพ่อแม่ญาติพี่น้องทำให้วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่น่าจดจำของบัณฑิตใหม่

“มิลค์ ไหวไหมของเยอะมากเลย” จีเดินกลับมาพร้อมกับช่อดอกไม้สีส้มในอ้อมแขน ในมือของมันยังถือตุ๊กตาหมีสีขาวใส่ชุดครุยแบบเดียวกันถึง 3 ตัว

“ไหวๆ เอามาๆ เดียวมิลค์เก็บไว้ให้” ผมคว้าเอาช่อดอกไม้ในอ้อมแขนของจี ก่อนจะวางมันไว้บนโต๊ะม้าหินด้านหลัง ทีมีช่อดอกไม้วางอยู่ก่อนแล้วเกือบ 10 ช่อและตุ๊กตาใส่ชุดครุยเกือบ 15 ตัว

“ร้อนฉิบหาย” คนตรงหน้าบ่นพร้อมกับใช้มือทั้ง 2 ข้างกระพือเสื้อพิธีการสีขาวตัวหนาเพื่อระบายความร้อน

“กินน้ำก่อน” มือหนึ่งหยิบขวดน้ำดื่มส่งให้ ส่วนอีกมือหยิบเอาพัดลมไฟฟ้าแบบพกพาขึ้นมาเป่าเพื่อช่วยดับร้อน มือหนารับเอาขวดน้ำจากมือผมไปก่อนจะกระดกน้ำไปค่อนขวด

แม้จะเป็นช่วงเดือนกรกฎาคมที่อากาศไม่ได้จัดว่าร้อนเท่าไหร่นักแต่เพราะชุดที่หนา ไหนจะเสื้อข้างในและเสื้อครุยแค่คิดผมก็รู้สึกเห็นในบัฌฑิตใหม่ที่ต้องสวมชุดรับปริญญาเดินไปเดินมาทั้งวัน

 “อ่า!!! ขอบใจ ... แล้วนี่ร้อนไหม หิวข้าวหรือเปล่า”

“ไม่ร้อนๆ มิลค์กินมาแล้วตอนที่จีอยู่ในหอประชุม ... ป๊าม๊ามากี่โมง” ผมพูดพลางเอาพัดลงไฟฟ้าแบบพกพาเป่าคนตรงหน้าพร้อมกันถึง 2 ตัว

“น่าจะอีกซักพัก นัดไว้บ่าย 3 ...”

“... แล้วนี่โดดเรียนได้ใช่ไหม เกรงใจ”

“โดดเรียนได้ เดียวไปตาม lecture กับไอ้แก้วเอา” วันนี้ผมตั้งใจจะอยู่กับจีทั้งวัน ที่จริงคืออยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เมื่อวาน จีมานอนค้างที่คอนโดของผม เราตื่นพร้อมกันตั้งแต่ตี 3 เพราะคณะวิศวะเข้ารับปริญญาช่วงเช้า เจ้าตัวเลยต้องตื่นเช้ามาแต่งหน้า ทำผม และถึงคณะให้ทันนัดตอน 6 โมงเช้า ในขณะที่เพื่อนสนิทแต่งหล่อ ผมก็จัดเตรียมข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ นานา รวมถึงขับรถมาส่งเพื่อให้คนตรงหน้าได้มีเวลากินข้าวเช้า

“พี่จีคะ ... ถ่ายรูปกันคะ” บทสนทนาของเราถูกขัดจังหวะด้วยกลุ่มรุ่นน้องชายหญิงกลุ่มใหญ่

“ได้ซิครับ” คนตรงหน้าตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ แม้ว่าจะร้อนจนเม็ดเหงื่อขึ้นเต็มหน้าก็ตามแต่จีก็ยิ้มแย้มถ่ายรูปกับทุกคน

“จี ... เหงื่อออกเยอะมาก เดียวมิลค์จัดการให้ ...”

“... แป๊บนึงนะครับ ... หลับตา ...” ผมหันไปบอกกลุ่มรุ่นน้องที่ยืนอยู่ข้างๆ ก่อนจะหยิบเอาสเปรย์น้ำแร่ออกมาฉีดพรมเบาๆ ให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ซักพักแล้วค่อยๆ ใช้ทิชชูซับออก

“รู้สึกดีขึ้นเลยวะ”

“อืม ไปได้แล้ว ...” พูดจบก็พลักไหล่เพื่อนสนิทให้เดินไปหากลุ่มรุ่นน้องที่ตั้งท่ารอถ่ายรูปอยู่ไม่ไกล เสียงหัวเราะ เสียงแซว ดังขึ้นเมื่อพี่บัณฑิตเดินเข้าไปยืนอยู่ตรงกลาง ตั้งแต่วันนั้น เราก็เปลี่ยนสรรพนามเรียกชื่อของกันและกันแทน ไม่มีแล้ว “กู-มึง” มีแต่ “มิลค์-จี” แม้ว่าช่วงแรกจะขัดเขินแต่ซักพักก็ชิน พวกเพื่อนๆ แซวกันสนุกปากแต่ลับหลังพวกมันก็แอบยินดี ผมสัมผัสได้ว่าความรู้สึกของเราทั้ง 2 คนกำลังสุกงอม แม้จะยังไม่ได้คบกันอย่างเป็นทางการแต่ตอนนี้ผมกับจีก็ไม่ต่างอะไรกับคู่รัก

ช่วงที่จีไป off shore ผมนั่งนับวันรอจีกลับมาราวกับเด็กน้อยนับถอยหลังรอวันหยุด ช่วงที่กลับมากรุงเทพจีมานอนกับผมเกือบทุกวัน แม้จะต้องเข้า office แต่ก็เหมือนไปพอเป็นพิธี เจ้าตัวเลยมีเวลาว่างไปรับไปส่งผมรวมถึงพาไปกินข้าวดูหนัง เรากอด จับมือ และสัมผัสตัวกันง่ายขึ้นกว่าเก่า ... แค่มองตาผมก็รับรู้ได้ว่าเรา 2 คนใจตรงกัน ผมไม่สนใจแล้วกับแผลในอดีต ตอนนี้ผมมั่นใจว่าตัวเองพร้อมจะก้าวไปข้างหน้า เพียงแค่จีเอ่ยปาก ผมก็พร้อมจะขยับสถานนะจากเพื่อนเป็นคนรัก

“... มาครับ เดียวพี่ช่วยพี่จีถือ” ถ่ายรูปเสร็จน้องๆ ก็ให้ช่อดอกไม้และของขวัญอีกหลายชิ้นจนผมต้องเดินเข้าไปช่วยถือ

“จะขนกลับหมดไหมวะ” เจ้าตัวพูดพร้อมกับยืนเท้าเอวมองของขวัญมากมายที่กองอยู่บนโต๊ะ

“หมดแหละ ... ทำไงได้เนอะ คนมัน popular” อดใจไม่แซวไม่ได้ ของขวัญจาก FC เยอะจริงๆ กองเต็มโต๊ะจนลุงป้าน้าอาโต๊ะข้างๆ เหล่มองทุกครั้งที่เจ้าตัวกลับมาพร้อมช่อดอกไม้และของขวัญชิ้นใหม่

“แซวๆ ... แป๊บนะป๊าโทรมา ...”

“... ไปกัน ป๊าม๊ารออยู่หน้าคณะ ไปถ่ายรูปกับป๊าม๊ากัน”

“แล้วของละ”

“ทิ้งไว้นี่แหละ ไม่มีใครเอาไปหรอก ...”

“... จีเอาแค่ช่อนี้ไปก็พอ อย่างอื่นหายได้ยกเว้นช่อนี้” ผมหลุดยิ้มออกมาทันทีที่เจ้าตัวหยิบเอาช่อดอกกุหลาบสีแดงสดช่อโตขึ้นมากอดไว้ ช่อดอกไม้ของผมที่ให้เจ้าตัวเป็นช่อแรกหลังจากออกมาจากหอประชุม

“G”

“ครับ, dear”

“Congratulations again, no word can explain how I feel today”

“You don’ t have to said anything. Your smile tells me everything and I cannot wait to take the next step with you.”

“สวัสดีครับป๊า-ม๊า ... สวัสดีครับเฮีย-เจ้” ผมยกมือไหว้พ่อแม่และพี่ๆ ของจี ป๊าผูกเนคไทด์สวมสูทมาเต็มยส ในขณะที่ม๊ามาในชุดเดรสสีชมพูสดใส

“ขอบใจนะอามิลค์ เหนื่อยแย่เลยตื่นตั้งแต่เช้าแล้วยังต้องมาอยู่เป็นเพื่อนอาจีทั้งวัน” ม๊าหันมาพูดกับผม

“ไม่เป็นไรครับม๊า”

“ไม่ได้เจอนานเลย เป็นยังไงบ้างลูก สบายดีนะ”

“สบายดีครับ ม๊าเป็นยังไงบ้างครับ” มือเล็กๆ ของม๊ากุมมือผมไว้ตอนช่วงเวลาที่ไถถามสาระทุกข์สุขดิบ

“ม๊าสบายดี แล้วนี่ใกล้จะเรียนจบหรือยัง”

“ถ้านับปีนี้ด้วยก็อีก 3 ปีครับ”

“ใกล้แล้วๆ พยายามอีกนิด”

“ขอบคุณครับ”

“คุณพ่อคุณแม่สบายดีนะ”

“สบายดีครับ”

“เจ้าจีมาเล่าให้ฟังว่าพ่อของมิลค์ชวนเขาไปทำงานด้วยกัน ม๊าก็เชียร์ให้ไปทำนะ ทำงานกับอามิลค์มีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน แต่อีก็ดื้อเหลือเกิน”

“555 มิลค์พยายามพูดเท่าไหร่จีก็ไม่ยอมเปลี่ยนใจครับ ... ไปครับม๊า ไปถ่ายรูปกัน” ผมจูงมือม๊ามายังป้ายชื่อหน้าคณะ

ผมเขยิบออกมายืนอยู่ด้านข้างเพื่อให้ครอบครัวของจีได้ถ่ายรวมกัน เลยได้เห็นว่าป๊าและม๊ายิ้มกว้างแค่ไหน ลูกชายคนสุดท้องเรียนจบมหาวิทยาลัยด้วยวุฒิเกียรตินิยมอันดับ 1 ความสุขของคนเป็นพ่อเป็นแม่เอ่อล้นออกมาทางสายตาและรอยยิ้ม

“มิลค์ มาถ่ายรูปกันลูก ...” ป๊าเรียกผมหลังจากถ่ายรูปครอบครัวไปได้หลาย act

“... มาๆ มายืนข้างจีเลย” ผมยิ้มรับแล้วค่อยๆ เขยิบเข้ามายืนข้างเพื่อนสนิท

“พร้อมนะครับ ขอ 5 act รั่วๆ เลยนะครับ” พี่ตากล้องตะโกนบอก

หลังมือของผมกับจีสัมผัสกันเบาๆ จากนั้นนิ้วก้อยของคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เริ่มสะกิดนิ้วก้อยของผม เราสะกิดกันไปมาในขณะที่ act ท่าถ่ายรูป ก่อนที่นิ้วก้อยของจีจะตวัดเกี่ยวนิ้วก้อยของผม

“เย็นนี้ไปกินข้าวด้วยกันนะมิลค์” ป๊าเอ่ยปากชวน หลังจากที่ตระเวนถ่ายรูปกับลูกชายคนเล็กจนทั่วคณะ ตอนนี้ทุกคนย้ายมานั่งรวมกันที่โต๊ะมาหิน ยังมีรุ่นพี่รุ่นน้องมาขอถ่ายรูปกับบัณฑิตใหม่ต่อเนื่องจนของขวัญเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว เฮียกับเจ้ต้องอาสาเอาของบางส่วนไปเก็บที่รถก่อน

“จะดีเหรอครับ มิลค์เกรงใจ”

“เกรงใจอะไร คนกันเองทั้งนั้น ป๊าม๊าไปรอที่โรงแรม ลือ 2 คนเสร็จแล้วค่อยตามมานะ”

“ได้ครับ ... งั้นมิลค์ฝากของไว้กับป๊าก่อนนะครับ ขอตัวไปเข้าห้องน้ำแป๊บหนึ่งครับ”



“มึงว่าคนนั้นใช่แฟนพี่จีหรือเปล่าวะ” มือที่กำลังจะเปิดประตูห้องน้ำออกชะงักอยู่กับที่ เสียงของใครซักคนดังขึ้นโดยมีเสียงน้ำไหลจากก๊อกเป็นเสียง background

“พี่จี บัณฑิต อะเหรอ ...”

“... จะเหลือเหรอมึง ตามมาเฝ้าตั้งแต่เช้า กูแอบเห็น shot เขาซับหน้าให้กันด้วย ยิ้มหวานราวกับทั้งโลกมีแค่เรา 2 คน”

“พี่เขาน่ารักดีเนอะ เขาเรียนมหาลัยเราเปล่าวะ”

“นี่มึงไม่รู้จักพี่เขาเหรอ”

“ฮึ ใครวะ”

“มิลค์ ติฒสิงห์ ไงมึง rare item คณะสัตว ลูกเจ้าของ The Nemean Group อะ”

“คนนี้นะเหรอ เชี่ยยยยยย มิน่าละราศีโคตรจับ คนอะไรเหมือนเปล่ง aura ตลอดเวลา”

“ตอนพี่เขาเข้าเรียนปี 1 เป็น talk of the town เลยนะ”

“ใครจะเชื่อเนอะว่าสุดท้ายจะมาเป็นแฟนกับพี่คณะเรา”

“มีข่าวเม้าท์ว่า 2 คนนี้คบกันมาซักพักแล้ว เขาว่ากันว่าเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม”

“ดีเนอะ ได้เป็นแฟนกับเพื่อนสนิท”

“เหมาะสมกันดี พี่จีก็เป็นหนึ่งในสมบัติคณะ หล่อ นิสัยดี เรียงเก่ง มีแต่คนปลื้ม บริษัทที่พี่จีทำงานโคตรใหญ่ เงินเดือนก็ดี”

“จริงมึง 2 คนนี้โคตรเหมาะสมกัน”

“มีคนในใจแล้วนี่เอง มิน่าละพี่จีถึงไม่เคยมีข่าวกับใคร”

“อืม เปิดตัวขนาดนี้ ชัดแล้วมั้งว่าคบกันจริง”



“มันหล่อจริงๆ เว้ยวันนี้” ไอซ์พูดพลางยกแขนขึ้นพาดไหล่ผมไว้หลวมๆ ผมมองเพื่อนสนิทที่แม้จะเดินออกมาไกลจากคณะแต่ก็ยังมีคนมาขอถ่ายรูป สมแล้วที่จะถูกเรียกว่า ‘สมบัติคณะ’

หลังจากส่งป๊าม๊ากลับ ผมกับจีก็เดินมาสมทบกับคนอื่นๆ พวกเรานัดกันถ่ายรวมกลุ่มแถวหน้าหอประชุม

“อืม หล่อ”

“ชมผู้ชายหล่อได้ไม่อายปากเลยนะมึง...” ไอซ์เอ่ยบางแซว มันเบ้ปากมองบนใส่ผมอย่างที่เจ้าตัวชอบทำ จริงๆ ก็อาย แต่ต้องยอมรับว่าวันนี้คุณเขาหล่อจริง หล่อจนอยากเก็บเอาไว้ที่ห้อง ไม่อยากให้ใครเห็น แต่วันนี้เป็นวันของเขาเลยต้องยอมให้วันหนึ่ง

“... วาสนามึงเนอะ ได้แฟนหล่อ”

“บ้า!!! ยังไม่ได้เป็นแฟนกัน” ผมใช้ข้อศอกกระทุ้งเอวไอซ์เบาๆ

“กูก็พูดเผื่อไว้ก่อนไง”

“พูดแบบนี้ มึงไปรู้อะไรมา จีมันไปปรึกษามึงเหรอ”

“หางกระดิกเลยนะอีแรด ... เปล่า มันไม่ได้พูดอะไร จีมันเคยปรึกษาเรื่องแบบนี้กับใครที่ไหน ...”

“... กูแค่สัมผัสได้ว่าความสัมพันธ์ของมึง 2 คนก้าวไปอีก step หนึ่งแล้ว”

“อืม” ไอซ์ไม่ใช้คนแรกที่พูดประโยคนี้ ตอนนี้ความรู้สึกที่เรา 2 คนมีให้กันมันล้นจนซ้อนเอาไว้ไม่อยู่แล้วจริงๆ

“มึงไม่กลัวแล้วเนอะ” ผมส่ายหัวให้กับคำถามของไอซ์

“ไม่กลัวแล้ว” มีจีอยู่ด้วยต่อให้ฟ้าถล่มลงมาผมก็ไม่กลัว

“ยินดีกับมึงด้วย”

“ขอบใจ ... ไปถ่ายรูปกันมึง พวกมันกวักมือเรียกแล้ว”



‘Fuck butterfly, I feel the whole zoo when I’ m with you’



Gossip 3rd Year

ข่าวล่ามาแรงคร่า!!! วันรับปริญญาที่ผ่านมามีแมงเม๊าท์ตาดีแอบไปเห็นไฮโซ ม. ที่ลานเกียร์ ปักหลักอยู่ตั้งแต่เช้าถึงเย็น ทั้งช่วยถือของ ช่วยถ่ายรูป ป้อนน้ำ เช็ดหน้า หนุ่ม ม. ของเราทำหน้าที่ได้ไม่มีขาดตกบกพร่อง จังหวะถ่ายรูปครอบครัวดิฉันน้ำตาลื้อเมื่อพ่อสามีกวักมือเรียกลูกสะใภ้เข้าเฟลม ให้ความรู้สึกเหมือนถ่ายรูปครอบครัวบ่าวสาวมากกว่างานรับปริญญา เหนือสิ่งอื่นใดคือช่อดอกไม้ใหญ่เท่าบ้านราวกับเหมาดอกกุหลาบทั้งปากคลองตลาดมาไว้ในช่อเดียวกัน สมศักดิ์ศรีลูกเขยมหาเศรษฐีแสนล้าน สุดท้ายดิฉันขอแสดงความยินดีกับ หนุ่ม จ. ‘ลูกเขยคณะ’ ที่คว้าเกียรตินิยมอันดับ 1 มาครองได้สำเร็จ และขอให้บ่าวสาวมีชีวิตคู่ที่ยืนยาว ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร


----------

#Next step #พี่จีจะกินน้องแล้วววววววว #Fuck Butterfly
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-09-2025 09:55:53 โดย Milky_Milky_Way »

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 25 : Fuck Butterfly
«ตอบ #118 เมื่อ30-09-2025 12:05:31 »

“กูไม่ได้ทำอะไรไม่ดีเลยนะ ไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหน มีแค่ไปทำงานที่คณะเท่านั้นเอง” ผมกลับมาก่อนจีประมาณ 1 สัปดาห์ หลังจากพักร่างได้ 2 วันก็นัดทำงานกับพวกไอ้แก้วที่คณะ แม้จะฝึกงานเสร็จแล้วแต่พวกเรายังต้องทำ assignment ให้เสร็จก่อนเปิดเทอม

“เหรอ แน่ใจ? ว่าระหว่างฝึกงานไม่มีใครมาจีบ ...” ริมฝีปากบางของผมเม้มเข้าหากัน

“... ถ้าโกหกจะถูกทำโทษนะ” คนด้านหลังพูดเหมือนรู้ทันว่าผมคิดอะไรในใจ สงสัยมาซักพักแล้วว่าต้องมีใครซักคนในกลุ่มเป็นสายให้จี หรือความเป็นจริงแล้วอาจจะเป็นสายให้คนข้างๆ ทั้ง 3 คนเลยก็ได้

“ก็ ... ก็มีบ้าง ... มีคนมาขอเบอร์ ขอ Facebook”

“แล้วไงต่อ” น้ำเสียงเรียบสนิทในขณะที่แขนที่พาดอยู่บนเอวกลับออกแรงดึงรั้งผมเข้าหาตัว

“ก็ไม่ได้ให้ บอกเขาว่าไม่สะดวกให้”

“ดีมากครับ ... มิลค์”


----------


#นั่งตัก #Fuck Butterfly
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 25 : Fuck Butterfly
«ตอบ #119 เมื่อ02-10-2025 13:42:13 »

“มึงอยู่ในนี้หรือเปล่าวะ ...” เป็นจังหวะ dead air ที่น่าอับอายที่สุดในชีวิต คนตรงหน้าในชุดเสื้อโปโลสีฟ้ากางเกงยีนส์ขายาวกำลังจ้องมาที่ผมด้วยสีหน้าตกตะลึง ตาชั้นเดียวคู่นั้นเบิกกว้างที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นผม

“... เปลี่ยนชุดอยู่เหรอ” จีเป็นฝ่ายที่ตั้งสติได้ก่อน แต่แทนที่จะเดินกลับออกไป เจ้าตัวกลับก้าวเข้ามาในห้อง แล้วทำเหมือนเป็นเรื่องปกติที่เห็นผมจะเดินไปเดินมาโดยสวม boxer อยู่ตัวเดียว  :m25:

 “อะ เออ นั่งก่อนดิ” ผมไม่รู้ว่าควรจะไล่มันออกจากห้อง หรือชวนมันเข้ามาแต่ในเมื่อเจ้าตัวหย่อนก้นลงบนเตียงแล้ว ผมก็เลยๆ ตามเลย


----------


#เปลี่ยนชุด #Fuck Butterfly
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด