ตอนที่ 23 : The Prince, The Promise and The Proposalโต๊ะอาหาร 2 ตัวถูกนำมาต่อกันเพื่อให้เพียงพอสำหรับพี่รหัส 4 คน และน้องรหัสอีก 4 คน กลุ่มผมตัดสินใจว่าจะเลี้ยงสายรหัสพร้อมกันเพื่อเพิ่มความมีอรรถรสในการเม้าท์มอย เพราะฉะนั้นกว่าทั้ง 8 ชีวิตจะหาเวลาว่างตรงกัน เวลาก็ล่วงเลยไปจนเกือบจะหมดเทอม 1 ... พวกเราเลี้ยงกันที่ร้านอาหารญี่ปุ่นยอดฮิตแถวมหาวิทยาลัย เป็นร้านอาหารที่พวกผมมักจะมากินกันหลังสอบเสร็จ
“น้องเพชรกินอะไรดีครับ” ผมถามเพราะเห็นว่าน้องยังคงพลิกเมนูไปมา
“ผมยังไม่รู้เลยพี่ ... ราคามันแพง ผมเกรงใจพี่” น้องรหัสกระซิบเสียงผ่า ผมอมยิ้มให้กับคำตอบของน้อง เท่าที่รู้จักกันมาน้องเพชรเป็นคนขี้เกรงใจคนอื่นมาก
“ไม่เป็นไร พี่อยากเลี้ยง อยากกินอะไรสั่งเลย ... ไหน พี่ช่วยเลือก ...” ผมถือวิสาสะดึงเมนูตรงหน้าน้องมาวางไว้ตรงกลางระหว่างเรา
“... ไก่ หมู เนื้อ หรือปลา”
“ไก่ก็ได้ครับ”
“ไก่ย่างหรือไก่ทอดดี” ผมถามพลางพลิกไปยังหน้าเมนูไก่
“ย่างดีกว่าครับ”
“อันนี้ไหม ไก่ย่างซีอิ้ว หวานๆ ติดเค็มนิดนึง พี่ว่ามันอร่อยดี”
“ได้ครับ” น้องเพชรพยักหน้ารับ ผมเลยยกมือเรียกพนักงาน คนอื่นสั่งหมดแล้วเหลือแต่ผมกับน้องเพชร
“ปลาหิมะย่างเกลือ ไก่ย่างซีอิ้ว แล้วขอ Salmon กับ Hamachi sashimi ครับ ...”
“... เพชรช่วยพี่กินปลาดิบนะ” ผมหันมาบอกน้องเพชร
“ได้ครับ” น้องเพชรยิ้มตาหยี
“สั่งครบแล้ว งั้นเรามาแนะนำตัวกันอีกรอบดีไหม” แก้วเสนอไอเดีย ก็ดีเหมือนกันเพราะนอกจากน้องรหัสตัวเองแล้ว ผมไม่รู้จักน้องคนอื่นๆ เลย
พวกมันคาดหวังเอาไว้มากว่าจะได้น้องรหัสสวยๆ หล่อๆ เผื่อจะได้พัฒนาความสัมพันธ์เป็นอะไรมากกว่านั้น ความตลกร้ายคือไม่ใช้ว่าน้องๆ ไม่สวยไม่หล่อแต่พวกเราทั้ง 4 คนได้น้องรหัสเพศเดียวกับตัวเองกันหมด ... ประตูความหวังที่จะเคลมน้องของน้องรหัสของพวกมันเลยถูกปิดตาย
น้องรหัสของแก้วเป็นเด็กผู้หญิงสไตลเดียวกับมัน ตัวเล็ก ใส่แว่น ดัดผมเป็นลอน เลยไม่แปลกที่ 2 คนนี้จะสนิทกัน น้องรหัสไอ้ต้น สูง ตี้ เกาหลี oppa ดีกรีหลีดคณะ ส่วนน้องรหัสไอ้ต่อมาสายนักกีฬา ตำแหน่ง hooker ทีมรักบี้คณะ ส่วนน้องรหัสผมด้วยความที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นเด็กทุนเลยไม่แปลกใจที่น้องจะเป็นหัวกะทิและมือ lecture ของชั้นปี ความบังเอิญคือน้องเพชรกับน้องรหัสไอ้ต้นเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน
ประหลาดใจไหมครับที่กีฬาประจำคณะสัตวแพทย์คือรักบี้ ตอนเข้าปี 1 รุ่นพี่จะมาเกณฑ์น้องๆ ให้ไปสมัครชมรมรักบี้ โดยโฆษณาเชิญชวนว่าแม้ชื่อจะดูเป็นกีฬารุนแรงแต่จริงๆ แล้วเป็นกีฬาที่เล่นกัน softๆ และเป็นชมรมที่มีเฉพาะคณะสัตวแพทย์ สถาปัตย์ วิศวะ และวิทยาศาสตร์เท่านั้น ผลปรากฏว่าวันถัดไปหลังจากการแข่งครั้งแรกกับสถาปัตย์เพื่อนผมเข้าเรียนด้วยสภาพเป้าตาซ้ายช้ำเป็นดวง ตอนปี 1 ผมเคยไปเชียร์เพื่อนๆ ที่สนามครั้งนึงแล้วก็เลิกไปอีกเลยเพราะสู้อากาศร้อนไม่ไหว
หลังจากแนะนำตัวกันเสร็จผมก็หันมาสนทนากับน้องรหัสต่อ
“อยู่มาจะเทอมนึงแล้วเป็นยังไงบ้าง”
“ดีครับ ตอนนี้ปรับตัวได้แล้ว ชีวิตมหาลัยสนุกดีครับ”
“พี่บอกแล้วว่ามันสนุก” เราเคยคุยกันเรื่องชีวิตมหาลัยกันก่อนหน้านี้ น้องมาปรึกษาเพราะช่วงแรกยังปรับตัวไม่ค่อยได้ สิ่งแวดล้อม เพื่อน หรือแม้กระทั้ง life style เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ น้องเลยเกิด culture shock
“ใกล้จะลอยกระทงแล้ว ในรุ่นเริ่มแบ่งงานกันหรือยัง” บทสนทนาถูกย้ายกลับมาที่ไอ้ต้น
“เริ่มแล้วครับ” น้องรหัสไอ้ต้นตอบ ถ้าจำไม่ผิดเหมือนจะชื่อบาส ... หน้าที่หลักของปี 1 คือกีฬา freshy ซึ่งจบไปแล้วตั้งแต่ต้นเทอม อีกงานคืองานวันลอยกระทงที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า
“คุยกันดีๆ แล้วก็ระวังโดนหักหลัง 555 ... ใช่ไหมไอ้มิลค์” นึกแล้วว่าต้องโดนเหน็บ เรื่องที่ผมมีปัญหากับเพื่อนตอนเตรียมงานลอยกระทงปีที่แล้วไม่ใช้ความลับอะไร รู้กันทั้งคณะ เพราะเปิดเรียนวันถัดไปผมก็ขอถอนตัวแล้วออกมาเป็น staff ทำงานยกลังแบกของเหมือนคนอื่นๆ
“เลวววววววว” ผมเบ้ปากมองแรงใส่มัน ซึ่งก็สร้างเสียงหัวเราะจากคนอื่นๆ ได้พอสมควร
“รู้ใช่ไหมมันมีเรื่องเล่าว่าถ้าลอยกระทงแล้วเจอเต่าในสระใหญ่ของมหาลัยจะได้เป็นแฟนกับคนที่มาลอยด้วย แต่ถ้าเจอตะพาบจะเลิกกัน” ไอ้ต่อเริ่มเล่านิทานหลอกเด็กในขณะที่อาหารเริ่มถูกนำมาเสิร์ฟ
มหาวิทยาลัยของผมมีเรื่องเล่าแบบนี้มากมาย ขึ้นบันไดหน้าคณะครุศาสตร์นี้แล้วจะเรียนไม่จบ ใช้ลิฟต์เขียวคณะศิลปกรรมแล้วจะถูก retire เรื่องสะดุดลานเกียร์วิศวะก็เป็นหนึ่งในเรื่องเล่าเหล่านั้น ผมว่ามันก็แค่เรื่องขำขันหรืออาจจะเป็นกุศโลบายให้นิสิตเคารพกฎการใช้สถานที่ที่ถูกส่งต่อมาจากรุ่นสู่รุ่นมากกว่า ... ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ปีที่แล้วพอมีเวลาว่างนอกจากจะตระเวรกินอาหารเลื่องชื่อของแต่ละคณะแล้ว บางคนยังไปตามหาสถานที่ในตำนานที่กระจายอยู่ทั่วมหาลัยอีกด้วย
“แล้วลอยกระทงปีนี้พี่มิลค์มีคนไปลอยด้วยหรือยังครับ” น้องบาสถามในจังหวะที่ทุกคนกำลังสนใจกับจานอาหารตรงหน้า แต่คนหูไวอย่างไอ้ต้นมีเหรอจะไม่ได้ยิน รอยยิ้มมีเลศนัยปรากฏขึ้นบนใบหน้าพี่รหัสของคนพูด … ผมนึกถึงความทรงจำเมื่อปีที่แล้ว กว่าจะเสร็จงานของคณะก็ 4 ทุ่มกว่าแล้ว ยังดีที่พวกไอ้ไอซ์อยู่รอ พวกเราเลยได้ลอยกระทงกันครบทั้ง 5 คน
“มากไปไอ้บาส ต่อให้เป็นเพื่อนสนิทของน้องรหัสพี่มิลค์ก็ไม่มีทางลัด มึงเอาบัตรคิวไปต่อแถว โน้นนนนนน ปลายแถวยาวไปถึงดาวอังคารแล้วมั้ง” ต้นเบรกน้องรหัสตัวเองหัวทิ่ม
“ไม่มีบัตรลัดคิวเหรอครับ”
“หน้าหม้อให้มันน้อยๆ หน่อย หูดำหมดแล้ว” ต้องขอบคุณไอ้ต้นที่ช่วยตลกกลบเกลื่อน เพราะไม่ว่าจะผ่านมานานเท่าไหร่ ผมรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ไม่ค่อยได้อยู่ดี
“อะงั้นผมตัก Takoyaki ให้พี่ เผื่อพี่จะใจดีให้บัตรลัดคิวผมซักใบ” พูดจบ Takoyaki ก็ถูกวางใส่จานตรงหน้า แต่ยังไม่ทันจะเริ่มกิน แก้วที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ใช้ข้อศอกสะกิดผมยิกๆ
“อะไรของแก” มันไม่ตอบ แค่พยักเพยิกหน้าไปอีกทาง พอผมมองตามสายตาของมันไปเท่านั้นแหละ ... เสียวสันหลังวาบบบบบบบ อีติ๋มจะตายหรือไม่ตายผมไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ คืออิมิลค์ตายแน่งานนี้
“เชี่ย!!!”
“ฉิบหาย!!!”
“มึงงานเข้าแน่ หน้าโคตรตึง” เพื่อนทั้ง 3 ตอบสนองกับสถานการณ์ตรงหน้าไปในแนวทางเดียวกัน แม้จะอยากจะคิดเข้าข้างตัวเองแต่นึกไปนึกมาแล้วนึกสงสารตัวเองก่อนน่าจะดีที่สุด
“เดียวกูมา ...” ผมตัดสินใจลุกไปหาเพื่อนสนิทที่ยืนหน้าตึงเป็นยักษ์วัดแจ้งอยู่หน้าร้านอาหาร กระจกหน้าร้านก็ใสแจ๋วขนาดนี้ รับรองว่าจีเห็น shot เมื่อกี้เต็ม 2 ตา
“... มาได้ไง” ผมเดินออกมานอกร้านพร้อมกับยิ้มสยามที่จริงใจ จีมักจะใจอ่อนเสมอเวลาถูกผมอ้อน
“เมื่อกี้คืออะไร” แต่นั้นมันก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ... คนตรงหน้าถามเสียงเข้ม สีหน้าเหมือนไปกินรังแตนมาซัก 10 รัง
“น้องมันตักอาหารให้ กูเอื้อมไม่ถึง” ใจนึงคิดจะกลบเกลื่อนแต่จากประสบการณ์แล้วผมไม่น่าจะตบตาคนตรงหน้าได้ แค่มองสีหน้าแววตาก็รู้สึกหนาวยะเยือกถึงกระดูก ... winter is coming ของแท้ ... สายตาที่มองข้ามไหล่ของผมไป ไม่บอกก็รู้ว่าตอนนี้เรากำลังได้รับความสนใจจากคนที่อยู่ด้านหลังมากแค่ไหน
“มึงมันดื้อ ... กูมาดูเฉยๆ จำได้ว่ามึงบอกเมื่อวันก่อนว่าจะเลี้ยงสายรหัส” รอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหล่า ก่อนที่มือหนาทั้ง 2 ข้างวางลงบนศรีษะทุยของมิลค์แล้วโยกซ้ายขวาด้วยความหมันเคี่ยว
“แล้วเดียวมึงไปไหนต่อ” ผมถาม
“ไม่รู้ อยู่แถวๆ นี้แหละ”
“ได้ๆ เสร็จแล้วเดียวกูโทรหา”
“มึงกลับไปกินต่อเถอะ” ผมพยักหน้ารับ แล้วจึงเดินกลับเข้ามาในร้าน
“หวานเวอร์” ยังไม่ทันได้นั่ง ไอ้ต่อก็เอ่ยปากแซว
“กูคิดว่ามึงจะโดนฆาตกรรมอยู่หน้าร้านซะแล้ว”
“แค่นี้เอง จิ๊บๆ กูเอาอยู่สบายๆ” ผมยักไหล่เหมือนไม่แคร์ แม้ว่าก่อนหน้านี้จะหง่อยเป็นหมาหางตกเลยก็ตาม
“จร้า!!! พ่อคนเก่ง เอาอยู่ทุกสถานการณ์ เมื่อกี้ไม่มั่นใจแบบนี้บ้างละ”
จากนั้นเราก็กลับมาพูดคุยสังสรรค์กันต่อ แต่พอกินไปได้ครึ่งทางคนต้นเรื่องก็เดินกลับเข้ามาในร้านอีกครั้ง
“หวัดดีจี มาหาใคร” แก้วเอ่ยทักทายเพื่อนต่างคณะ แต่ดูจากสีหน้าอมยิ้มของมันแล้วน่าจะอยากล้อเลียนผมกับจีมากกว่า
“มาหามิลค์ ... อะให้” ถุงกระดาษสีชมพูถูกยื่นมาตรงหน้า
“อะไรวะ?” ผมถาม พอเปิดถุงถึงได้เห็นเค้ก 2 ชิ้นอยู่ข้างใน
“เค้ก ...”
“... ซื้อมาให้มึง” ผมขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าบอกไปตอนไหนว่าอยากกิน
“ขอบใจนะ” แต่ถึงอย่างนั้นผมก็เอ่ยปากขอบคุณ
“ซื้อมากินกับมึง”
“ฮะ?” อะไร ยังไง งง ??? ... ผมยังประมวณผลไม่ทันว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น
“มาอย่างเหนือ” ไอ้ต่อพูดออกมาด้วยสีหน้าปลื้มปลิ่ม
“จะกินตอนนี้” พูดจบจีก็ไปลากเก้าอี้มาเพิ่มอีกตัว ... เอาจริงเหรอวะ เพื่อนๆ มองเรา 2 คนด้วยสายตาขบขัน ในขณะที่น้องๆ ดูจะตกตะลึงกับเหตุการณ์ตรงหน้า อย่าว่าแต่น้องเลย ผมก็งงเหมือนกัน อารมณ์ไหนวะ ... ไม่บ่อยนักที่จะเห็นจีในโหมดเอาแต่ใจและงอแงเป็นเด็กน้อยแบบนี้
“จี ไปข้างนอกกับกูแป๊บนึง ...” พูดจบผมก็คว้าข้อมือของเพื่อนสนิท แล้วลากมันออกมาข้างนอก
“... ไม่เล่นแบบนี้ซิ กูอึดอัด”
“มึงอึดอัดกูเหรอ”
“เปล่า อึดอัดสายตาคนอื่น” กับจีผมไม่เคยรู้สึกอึดอัดเลยแม้แต่น้อย
“เสร็จจากเลี้ยงน้องแล้วไปไหนต่อ” คนตรงหน้ายิ้มกว้างจนตาเป็นสระอิ
“ยังไม่มีแผน”
“งั้นไปหาที่นั่งกินเค้กกับกูนะ ...” ผมพยักหน้ารับคำชวน
“... คืนนี้ไปนอนค้างคอนโดมึงด้วย ...” ผมพยักหน้ารับอีกครั้ง ตั้งแต่เปิดเทอมมาผมแวะไปบ้านจีบ้าง จีมานั่งเล่นที่คอนโดผมบ้าง แต่ยังไม่ได้นอนค้างคืนด้วยกันเลยซักครั้ง
“... ไม่เอาดีกว่า ไปกินเค้กที่คอนโดมึง แล้วก็นอนค้าง”
“เอาดิ” ผมตอบรับพร้อมรอยยิ้ม จะแบบไหนผมก็ happy หมดแหละ
“งั้นเดียวกูไปเดินเล่นแถวนี้รอ มึงเสร็จแล้วโทรบอกกูนะ”
คีย์การ์ดสำรองถูกใช้เปิดประตูห้องโดยเพื่อนสนิท มาถึงเจ้าตัวก็เดินตรงไปที่ครัว จัดแจงจานชามช้อนซ้อมสำหรับของหวานมื้อดึก ไม่นานทุกอยากก็ถูกจัดวางไปบนโต๊ะห้องนั่งเล่นพร้อมสรรพ ผมกระโดดขึ้นไปนั่งบนโซฟาพร้อมกับรับจานเปล่ามาถือไว้ในมือ
“อร่อยยยยยย” ยิ้มจนตาปิด ของหวานนี่มันดีต่อใจจริงๆ
“นึกแล้วว่ามึงต้องชอบ ลองอันนี้ๆ” จาน blueberry cheese pie สีม่วงเข้มถูกเลื่อนมาตรงหน้า
“อันนี้ก็อร่อย” ความหวานของซอส blueberry ตัดกับความเค็มติดปลายลิ้นจากแป้ง pie ข้างล่างพอดิบพอดี
“ที่มหาลัยเป็นไงบ้าง” จีถามพลางตักเค้ก red velvet สีแดงสดเข้าปาก
“ก็ดีนะ เรียนหนักแต่ก็สนุก ...” ยอมรับเลยว่าปี 2 เรียนหนักขึ้นกว่าปีที่แล้วเยอะมาก เนื้อหาเปลี่ยนจากวิทยาศาสตร์ทั่วไปเป็นวิชา preclinic ที่ยากกว่าเดิม
“... แต่เกรดกูน่าจะตกวะ ไม่รู้จะ maintain เกียรตินิยมอันดับ 1 ไหวไหม” ผมทำคะแนน midterm ครั้งที่ผ่านมาได้น้อยกว่าที่คิด ดูทรงแล้วเกรดเทอมนี้น่าจะตกลงมาพอสมควร
“เอาจริงๆ ขอให้เกรดเกิน 3 เรื่องเรียนต่อก็ไม่ใช้ปัญหา ... พ่อมึงจะกลับมาเมื่อไหร่นะ”
“กูได้ยินมาว่าปีหน้า ช้าสุดไม่เกิน 2 ปี” ข่าวการตั้ง head office ประจำทวีปเอเชียที่กรุงเทพเป็นข่าวดังมากเมื่อปีที่แล้ว ทั้งในแวดวงนักลงทุนและอสังหาริมทรัพย์ต่างให้การสนใจกับ project นี้ ทุกคนอยากรู้ว่าบริษัทจะลงทุนในประเทศมากน้อยแค่ไหน ตัวเลขการจ้างงานจะเป็นยังไง จะเน้นธุรกิจเดิมหรือต่อยอดธรุกิจใหม่ จะเลือก location ไหนตั้งสำนักงานใหญ่ให้เหมาะสมกับศักดิ์ศรีของ The Nemean Group
“มึงคุยกับพ่อเรื่องเรียนต่อแล้วปะ?”
“คุยแล้ว แม่ช่วยพูดอีกแรง คิดว่าน่าจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ก็คง delay ได้ถึงแค่จบ ป.โท” เรื่องของอนาคตยังคงเป็นเรื่องที่กวนใจของผมเสมอ
“whatever will be, will be เว้ย” พูดจบจีก็ตักเค้กเข้าปากอีกคำ
“I know”
“พูดไปใครจะเชื่อว่าคนแบบมึงก็มีเรื่องของอนาคตให้กังวลเหมือนกัน” คนตรงหน้าพูดติดตลก
“คนเราต่างก็มีเรื่องให้กังวลด้วยกันทั้งนั้น...”
“... พ่อยังชวนมึงมาทำงานด้วยกันอยู่นะ ล่าสุดที่เจอกันก็ยังชวน” ผมหมายถึงตอน summer ที่ผมบินไปหาที่ NY อะนะ
“กูยังไม่ได้ตัดสินใจเลย”
“กังวลอะไรวะ”
“อยากทำงานให้ตรงกับสายที่จบมา แล้วก็ไม่อยากให้คนอื่นมองว่าเป็นเด็กเส้น” ผมเม้มปาก เราเคยคุยกันเรื่องนี้หลายครั้งและจีก็แบ่งรับแบ่งสู้มาตลอด ผมเข้าใจความรู้สึกของจีแต่อีกใจหนึ่งก็อยากให้มันตอบตกลงเพราะถ้าจีทำงานที่บริษัทเราจะได้เจอกันบ่อยขึ้น ชีวิตของเราจะได้โคจรกลับมาใกล้กันอีกครั้ง
“มึงจะเรียนโทต่อหรือเปล่า” ผมถามคำถามที่เริ่มกวนใจผมมาซักพัก ... ความใกล้ชิดของเราจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ ... ถามทั้งที่ก็รู้คำตอบอยู่แก่ใจ ... คำตอบคืออีกไม่ถึง 2 ปีนับจากนี้ ... ตอนนี้จีเรียนอยู่ปี 3 แล้ว อีกแป๊บเดียวก็เรียนจบ จากนั้นก็เริ่มต้นทำงาน ส่วนผมถ้านับรวม ป.โทอีก 3 ปีก็ยังเหลือเวลาใช้ชีวิตเป็นนิสิตอีก 7 ปี
“เรียนต่อดิ แต่ยังไม่รู้จะเรียนอะไร ทำงานก่อนแล้วค่อยว่ากัน” ผมไม่ได้แปลกใจกับคำตอบ มันแน่นอนอยู่แล้วว่าคนเรียงเก่งแบบจีจะต้องเรียนต่อ จีวางแผนสำหรับอนาคตไว้เสมอ
“ไปเรียนต่อต่างประเทศซินะ” จีพยักหน้า ... คำตอบของจีทำผมเผลอคิดไปไกลอีกแล้ว ถ้าไปเรียนต่อต่างประเทศอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลา 2-3 ปี เราจะไม่ได้เจอหน้ากันนานขนาดนั้นเลยเหรอ
“ดูทำหน้าเข้า ชอบคิดมากวะ ...” คนข้างๆ วางจานลงบนโต๊ะ ก่อนจะกระเถิบมานั่งใกล้ๆ จนต้นแขนของเราสัมผัสกันบางเบา ... ผมกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอกับความใกล้ชิดที่เกิดขึ้น
“... กูลองคิดเล่นๆ มาแล้ว กว่าจะได้ไปก็น่าจะพอดีกับที่มึงจบตรีแล้วเริ่มเรียนต่อพอดี เพราะฉะนั้นเราน่าจะจบโทพร้อมๆ กัน ต่างคนต่างยุ่งเรื่องเรียนแป๊บๆ ก็เรียนจบแล้ว ...” ผมยกขาข้างหนึ่งขึ้นมานั่งชันเข่าบนโซฟาแล้ววางแก้มลงบนหัวเข่าหันหน้าไปทางเพื่อนสนิท พร้อมกับฟังจีวางแผนอนาคตราวกับเด็กน้อยกำลังฟังนิทานก่อนนอน
“... เราปิดเทอมคนละช่วงเวลากัน กูบินกลับมาได้ปีละ 2 ครั้ง ส่วนมึงก็บินไปหากูได้ปีละ 2 ครั้ง ... ได้เจอ กันอย่างน้อยปีละ 4 ครั้ง เฉลี่ยทุก 3 เดือนก็ไม่ได้เลวร้ายหรือเปล่าวะ” ผมจินตนาการตามคำพูดของจี
“ทำไมกูถึงรู้สึกว่ายิ่งโตขึ้นเรายิ่งห่างกัน เมื่อก่อนเราเจอหน้ากันทุกวัน ตอนนี้เป็นหลักสัปดาห์ อนาคตอาจจะหลักเดือน ปี หรืออาจจะนานกว่านั้น"
“เพราะเรากำลังเติบโตเป็นผู้ใหญ่ไง จะมีอะไรเข้ามาในชีวิตเราอีกมากมาย โลกใบนี้จะไม่ได้แค่กูกับมึงอีกต่อไป” ผมกรอกตามองไปรอบห้อง ก่อนที่สายตาจะกลับมาหยุดลงที่ตาชั้นเดียวคู่นั้น ... แค่มีจีอยู่ข้างๆ ต่อให้โลกทั้งใบถล่มลงมาตรงหน้าผมก็มั่นใจว่าจะผ่านพ้นไปได้เสมอ
“จะเป็นแบบนั้นเหรอ”
“อืม โดยเฉพาะมึง เทียบกับกูแล้วโลกของมึงจะใหญ่กว่ามาก...”
“... มึงจะเจอผู้คนมากมาย อนาคตของมึงจะไปได้ไกลว่าที่คนๆ หนึ่งจะกล้าฝัน”
“กูไม่เข้าใจที่มึงพูด” จียิ้มให้คนข้างๆ อย่างเอ็ดดู
“โถเด็กน้อย ...” มือหนาของเพื่อนสนิทวางลงบนศีรษะของผมอย่างอ่อนโยน และผมก็เผลอตอบรับสัมผัสนั้นด้วยการขยับศีรษะไปมาคล้ายลูกแมวที่กำลังออดอ้อนอย่างไม่รู้ตัว
“... คิดตามกูนะ อนาคตต่อให้กูเก่งแค่ไหนกูก็เป็นได้แค่พนักงานบริษัท อย่างมากก็เป็น CEO ซึ่งมีโอกาสน้อยมาก ส่วนมึง อนาคตถูกวางไว้แล้วว่าวันหนึ่งจะได้เป็นเจ้าของบริษัทข้ามชาติ ...”
“... มึงอาจจะคิดว่ากูเพ้อเจ่อ แต่กูรู้ว่าเมื่อถึงวันนั้นมึงจะ shine ออกมาด้วยตัวของมึงเอง” ผมจินตนาการภาพตามที่จีบอก คิดไม่ออกเลยว่าคนขี้อาย และไม่มั่นใจในตัวเองอย่างผมจะไปถึงจุดๆ นั้นได้ยังไง ... อนาคตเป็นเรื่องของความไม่แน่นอน แต่สิ่งเดียวที่แน่นอนคือปัจจุบัน
“Must I do it alone?" ผมถาม เมื่อคิดถึงภาระอันหนักอึ้งที่รออยู่เบื่องหน้า
"Yes, my dear" เสียงตอบรับของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ให้ความรู้สึกหนักแน่นแต่นุ่มนวล
"Why?"
" Because only the prince can bear the heavy of the crown." คำตอบขอบจีช่วยสร้างความมั่นใจ ว่าผมจะสามารถยืนหยัดต่อไปได้ แววตาคู่นั้นอบอุ่นจนผมรู้สึกคลายความกังวลลงได้บ้าง
“อืมมม ... whatever will be will be” ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ แค่นั่งนิ่ง ๆ อยู่แบบนั้น ปล่อยให้ความเงียบเติมเต็มห้อง ... ก่อนจะค่อย ๆ ขยับตัวเข้าไปพิงไหล่เพื่อนสนิทอยู่เงียบๆ
เรานั่งอยู่อย่างนั้น จนความเงียบกลายเป็นภาษาที่ปลอดภัยที่สุดระหว่างเรา
“มิลค์ … ถ้าอายุ 40 แล้วเรา 2 คนยังไม่มีแฟน ... แต่งงานกันนะ” ผมผละตัวออกมาแล้วมองเพื่อนสนิท ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างราวกับไม่เชื่อว่าเจ้าตัวพูดประโยคเมื่อครู่ออกมาจริงๆ
เหมือนมีบอลลูนลูกใหญ่เท่าบ้านระเบิดในหัว รับรู้ได้ทันทีว่าตอนนี้ใบหน้าของตัวเองต้องแดงก่ำอย่างแน่นอน หัวใจเต้นระรัวจนแทบจะทะลุออกมานอกอก
“พูดอะไรวะเนี่ย กูเพิ่งบรรลุนิติภาวะได้ไม่กี่เดือน มึงจะขอกูเป็นเมียแล้วเหรอ” ผมโวยวายเสียงดังกลบเกลื่อนความเขินอายที่กำลังถาโถมเข้ามาอย่างหนักหน่วง รู้ทั้งรู้ว่าที่ทำไปยังไงก็กลบความอายของผมไม่มิด ... แต่คนมันเขินนะเว้ยยยยยยยยยยยย
“มึงพูดเองนะว่าจะเป็นเมีย 555” พอได้ยินสิ่งที่จีพูดออกมา ผมถึงได้ตระหนักว่าเมื่อกี้ตัวเองเผลอพูดอะไรออกไป
“อิเหี้ยจี” ผมแยกเคี้ยวใส่เพื่อนสนิทเพื่อซ่อนความเขินอายที่ยังคงไม่จางหายไป
“ตอนอายุ 40 มึงว่าพวกเราจะเป็นยัง ?”
“มึงอาจจะกลายร่างเป็นอาแป๊ะ ส่วนกูก็คงเริ่มมีรอยตีนกาบนใบหน้า”
“มึงเปรียบเทียบกูได้เหี้ยมาก ถ้าตอนนั้นกูเป็นอาแป๊ะ มึงก็มีผัวเป็นอาแป๊ะเหมือนกัน” คนข้างๆ กระโดดเข้ามล๊อคคอผม จากนั้นเราก็คลุกวงใน กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันตามประสา
“555 เออ ... ตอนนั้นมึงอย่าลืมเอาขันหมากมาสู่ขอกูนะ...” ผมยิ้ม แม้จะเป็นเรื่องที่พูดกันเล่นๆ แต่ผมก็อดคิดไม่ได้ว่ากำลังถูกจีขอแต่งงานอ้อมๆ อยู่หรือเปล่า
“... G”
“ครับ, dear”
“Let's forget the future for a while. Right now, it's only you and me”
“Yes, the future can wait. Just us two and that is more than complete”
เรา 2 คนส่งยิ้มให้กัน นิ้วก้อยของเราค่อยๆ เกี่ยวคล้องกันไว้ มือหนาเลื่อนมาวางทับด้านบนก่อนที่นิ้วมือของเราทั้งคู่จะสอดประสานแทบแน่น ... แทนคำสัญญาที่เราให้แก่กันในค่ำคืนนี้
และเรามีเพียง
งานวิวาห์เดียวดายภายใต้แสงจันทร์
สุขสกาวดวงดาวแพรวพราวนับหมื่นร้อยพัน
ร่วมกันเป็นพยานแห่งรัก
ที่ไม่มีพิธีใดจักสําคัญ ... เหนือใจ
เพียงแค่ใจเรารักกัน, วิยะดา โกมารกุล, 1986
----------
#The Prince #The Promise #The Proposal
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
----------
ปล. เหมือนว่าช่วงนี้ web จะมีปัญหาบ่อยๆ สัปดาห์ที่ผ่านมาผมเข้า web ไม่ได้ 2 ครั้ง
ผมขอแป๊ะ link สำรองของนิยายไว้ให้เผื่อกรณีฉุกเฉินนะครับ
ปกติผมจะใช้ Thai Boys Love เป็นหลักอยู่แล้ว
ส่วนใน Read a write เนื้อหาและภาพต่างๆจะเหมือนกับใน Thai Boys Love ทุกอย่างนะครับ
https://www.readawrite.com/a/0077c79d286eab2ea86aa367f44b3ce1