✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 35] [End] ✪ 08/06/2023
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 35] [End] ✪ 08/06/2023  (อ่าน 9605 ครั้ง)

ออฟไลน์ earthxxide

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตอนที่ 14
วันพิเศษ


     นาฬิกาปลุกดังขึ้นตอนแปดโมงเช้า ผมเอื้อมมือไปปิด ใบหน้าง่วงงุนปรากฏรอยยิ้มเมื่อนึกได้ว่าวันนี้เป็นวันอะไร

     ผมรีบวิ่งลงไปยังชั้นล่าง ตรงไปยังห้องครัว เอ่ยเสียงดังด้วยความตื่นเต้น

     “พ่อ! แม่! วันนี้วันเกิดซนครับ!”

     ภายในครัวว่างเปล่า รอยยิ้มของผมค่อยๆ เลือนหาย จริงสิ ผมลืมไปว่าพ่อแม่ไปทำงานต่างจังหวัด อีกนานกว่าจะกลับมา

     ใบหน้าผมหม่นลง ปกติแล้วพอถึงวันเกิดผมจะรีบวิ่งมากอดพ่อแม่เป็นอย่างแรก ตามด้วยรอฟังประโยคสุขสันต์วันเกิดและคำอวยพร แต่ดูเหมือนปีนี้จะเป็นปีแรกที่ผมตื่นมาแล้วไม่เจอใคร

     ผมกลับขึ้นมาบนห้อง ตั้งใจจะหลับต่ออีกหน่อย แต่เสียงข้อความเข้าทำให้ต้องหยิบโทรศัพท์มาดู

     ผิงส่งข้อความมาบอกว่าอีกหนึ่งชั่วโมงจะมารับไปทำบุญวันเกิด น้องนายก็ไปด้วย ผมลังเลว่าจะนอนต่ออีกหน่อยดีไหม สุดท้ายก็ตัดใจลุกไปอาบน้ำ เพราะเหลืออีกแค่ชั่วโมงเดียว

     เอาวะ พ่อแม่ไม่อยู่แต่ก็ยังมีเพื่อน อย่างน้อยวันเกิดปีที่ยี่สิบเอ็ดของผมก็ยังมีคนจำได้





     ผิงกับน้องนายพาผมไปสวดมนต์ ถวายสังฆทาน รับพรจากพระ เสร็จแล้วก็มานั่งเล่นให้อาหารปลา

     “เป็นไรวะ วันเกิดทั้งทีไม่ยิ้มแย้มเลย” ผิงถามผม น้องนายที่กำลังจะโยนอาหารลงไปในบึงจึงหันมา

     “คิดถึงพ่อแม่น่ะ”

     “จริงสิ มึงอยู่บ้านคนเดียวนี่นะ แล้วพี่ธารล่ะไปไหน ไม่พามึงไปเที่ยวเหรอ”

     “เห็นว่ามีธุระ เมื่อเช้าตอนกูยังไม่ตื่นเขาซื้อแซนด์วิชมาให้แล้วก็ออกไปเลย อีกอย่างกูไม่ได้บอกเขาด้วยว่าวันนี้วันเกิด เขาจะไม่รู้ก็ไม่แปลก”

     ผิงมองผมอย่างเป็นห่วง น้องนายเดินมานั่งข้างๆ อีกฝั่ง ส่งยิ้มมาให้

     “คุณซนยังมีผมกับคุณผิงนะครับ เอาแบบนี้แล้วกัน เดี๋ยววันนี้ผมเลี้ยงส้มตำเอง คุณซนเคยบ่นว่าอยากกินใช่ไหม”

     “อืม แต่ไม่ต้องเลี้ยงหรอก พวกมึงอุตส่าห์มาอยู่เป็นเพื่อน”

     “พูดอะไรอย่างนั้น วันเกิดเพื่อนทั้งที เดี๋ยวกูกับน้องนายหารกัน มึงอยากกินอะไรเต็มที่”

     ผมมองเพื่อนทั้งสองคน หัวใจที่เงียบเหงาเมื่อเช้าค่อยพองโตขึ้นมาบ้าง ถึงจะไม่มีเค้ก ถึงจะไม่มีเซอร์ไพรส์ใหญ่โต แต่แค่นี้ผมก็มีความสุขแล้ว





     “เยอะเกินไปหรือเปล่า” ผมถามผิง ตั้งแต่เข้าร้านมามันสั่งแหลกไม่เกรงใจเจ้าของวันเกิดอย่างผมเลย ส่วนผมสั่งไปแค่สองสามอย่าง ตอนอยู่ในวัดผมทานขนมไปนิดหน่อยเลยไม่ได้หิวมาก

     “ไม่เยอะ เชื่อกูสิ”

     “เหลือโดนปรับกูไม่เกี่ยวนะ”

     “ไม่เหลือแน่นอน กูหิว เมื่อเช้ามัวแต่แต่งหน้ายังไม่ได้กินอะไรเลย”

     “แค่มาทำบุญยังต้องสวยอีกเหรอวะ”

     “เปล่าครับ คุณผิงตื่นเต้นที่จะได้มาหาพี่ธาร” น้องนายพูดอย่างรู้ทัน ผมย่นคิ้ว

     “หมายความว่าไง”

     “ก็บ้านมึงอยู่ติดกับบ้านพี่ธารไม่ใช่เหรอ กูเลยคิดว่าอาจจะได้เจอพี่ธารเลยอยากสวยไว้ก่อนไง ไม่คิดว่าเขาจะไม่อยู่บ้าน”

     ผมส่ายศีรษะอย่างอ่อนใจ ผิงก็ยังเป็นผิงวันยังค่ำ พวกเราหยุดคุยกันเมื่ออาหารมาเสิร์ฟ ผิงรีบลงมือคนแรก มันคงหิวจริงๆ แต่ผมก็ไม่ว่าอะไรหรอก ถือว่ามากินข้าวกับเพื่อนธรรมดา

     “คุณซนอยากได้ของขวัญอะไรครับ เดี๋ยวผมซื้อมาให้” น้องนายถามขึ้นมา ผิงที่จกข้าวเหนียวไก่ย่างอยู่หันไปมอง

     “ใครเขาถามเจ้าของวันเกิดคะไอ้น้องนาย แบบนี้ก็ไม่ใช่เซอร์ไพรส์สิ”

     “ไม่ต้องเซอร์ไพรส์หรอกครับ ขืนซื้อมาแล้วเจ้าของวันเกิดไม่ชอบจะกลายเป็นเสียเงินเปล่าๆ สู้ถามตรงๆ ดีกว่า ของขวัญจะได้ถูกใจคุณซน”

     นี่แหละครับน้องนาย ผมไม่แปลกใจเพราะชินแล้ว ใครคิดจะหาความโรแมนติกจากเพื่อนผมคงต้องหานานหน่อย แต่ถ้าหาความจริงใจ ผมมั่นใจว่าเพื่อนตัวเองมีเต็มร้อย

     “ไม่ต้องซื้ออะไรหรอก แค่เลี้ยงข้าวก็พอแล้ว”

     “ไม่โลภมากเลยนะมึง เป็นกูขอบ้านพร้อมที่ดินไปนานแล้ว”

     “คุณผิงพูดอะไรที่มันเป็นไปได้หน่อยสิครับ”

     “แล้วที่กูพูดมันเป็นไปไม่ได้ตรงไหน”

     “ใครเขาให้บ้านพร้อมที่ดินเป็นของขวัญวันเกิดกัน”

     “พวกเศรษฐีไง”

     “แต่ผมไม่ได้รวยขนาดนั้น”

     ผมตักส้มตำเข้าปากสลับกับนั่งฟังเพื่อนถกกัน เป็นวันเกิดที่ทั้งวุ่นวายและสนุกอีกปี แต่ต่อให้มีเพื่อนกี่คนก็ทดแทนส่วนของพ่อแม่ไม่ได้อยู่ดี อยากกอดพ่อแม่จัง อยากให้พ่อแม่ลูบหัวแล้วอวยพร

     “มึงว่าพี่ธารจะมีของขวัญให้ไอ้ซนไหม” จู่ๆ ผิงก็ถามขึ้นมา น้องนายนิ่วหน้าคิดอยู่ครู่หนึ่ง

     “ไม่น่ามีนะครับ พี่ธารไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดคุณซน หรือถึงรู้ก็ไม่ชัวร์อยู่ดี ผมไม่เคยเห็นพี่ธารให้ของขวัญใคร แม้แต่เพื่อนสนิทก็ไม่เคย” น้องนายหยุดพูดเมื่อผิงส่งสัญญาณทางสายตา พอหันมาเห็นผมก็รีบยกมือปิดปาก “เอ่อ...ผมอาจจะเดาผิดก็ได้ คุณซนไม่ใช่เพื่อนแต่เป็นน้อง คงไม่เหมือนกันหรอกครับ”

     “ไม่เป็นไร กูไม่ได้หวังอะไรจากพี่ธารอยู่แล้ว” ผมยิ้มให้น้องนาย ผิงรีบเปลี่ยนเรื่องคุยเหมือนกลัวผมจะคิดมาก ผมนั่งฟังผิงเพ้อถึงรุ่นพี่สถาปัตย์ที่วันก่อนมันแอบไปส่องมา ภายนอกผมหัวเราะ แต่ภายในใจกลับเกิดคำถามหนึ่งขึ้นมา

     ผมไม่หวังอะไรจากพี่ธารจริงๆ เหรอ?





     ผมหันไปมองบ้านข้างๆ ผ่านกำแพงรั้ว บ้านทั้งหลังยังเงียบสนิทเหมือนเดิม ผมถอนหายใจน่าจะรอบที่ร้อยของวัน ไม่รู้ว่านอยด์อะไร รู้แค่ว่าตอนนี้ไม่มีอารมณ์ทำอะไรเลย

     ผมนั่งกอดเข่าอยู่หน้าประตูบ้านมาสักพักแล้ว ไม่ได้ลืมกุญแจบ้าน แต่ใจมันเอาแต่พะวง อยากเจอหน้าคนที่ไม่อยากเจอ

     ยังไม่กลับเหรอ

     ผมส่งข้อความไปหาพี่ธาร นั่งจ้องโทรศัพท์อยู่นาน พออีกฝ่ายตอบกลับมาก็รีบเปิดดู

     อีกสักพักใหญ่ๆ

     หิวเหรอ

     ในตู้เย็นมีอาหารแช่แข็ง เอามาอุ่นกินก่อน เดี๋ยวกลับไปทำกับข้าวให้

     ใช้ไมโครเวฟเป็นใช่ไหม


     ผมถลึงตาใส่โทรศัพท์ เพราะตัวจริงไม่อยู่จึงได้แต่บ่นกับฟ้าฝน ถึงจะทำอะไรไม่ค่อยเป็นแต่ผมก็เคยใช้ไมโครเวฟอยู่บ้าง ไอ้พี่ธารดูถูกมาก กลับมาเมื่อไหร่ผมจะใช้โชว์เลยคอยดู

     ผมกำลังจะพิมพ์กลับไปว่าใช้เป็น แต่จู่ๆ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมา ถ้าผมตอบว่าใช้ไม่เป็นพี่ธารจะกลับมาไหม ระหว่างธุระกับผมเขาจะเลือกอะไรกันนะ

     ผมส่ายหัวไล่ความคิดแปลกๆ ก่อนจะพิมพ์กลับไปด้วยคำตอบแรก นี่ผมกำลังหวังอะไรอยู่ ผมน่ะเหรออยากให้พี่ธารมาสุขสันต์วันเกิด บ้าไปแล้วเหรอซน มึงเกลียดหน้าไอ้พี่ธารไม่ใช่เหรอ พี่มันไม่อยู่ก็ควรดีใจสิ ไม่ใช่เอาแต่นั่งหงอยเป็นลูกหมาถูกทิ้งแบบนี้

     ผมเงยมองท้องฟ้ายามเย็น พยายามยิ้มออกมา แต่ไม่ว่าจะทำยังไงปากมันก็ยกยิ้มไม่ขึ้น ผมเพิ่งรู้ว่าการอยู่คนเดียวในวันเกิด ไม่มีคนให้ฉลองด้วยมันเหงาแค่ไหน

     ผมก้มหน้าลงกับเข่า ปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาเงียบๆ ขณะที่ความโดดเดี่ยวถาโถมเข้ามา ความรู้สึกหนึ่งกลับเด่นชัด

     พี่ธาร กลับมาเร็วๆ ได้ไหม ผมอยากได้ยินเสียงดุๆ อยากเห็นหน้านิ่งๆ ของพี่ จะกลับมาบ่นมาว่าก็ได้ ผมไม่อยากอยู่คนเดียวแบบนี้เลย





     หลังร้องไห้จนพอใจผมก็เข้าบ้านมาเปิดทีวีดูในห้องนั่งเล่น ตรงหน้าผมคือรายการตลก แต่ผมกลับหัวเราะไม่ออกสักนิด คิดถึงพ่อแม่ คิดถึงผิง คิดถึงน้องนาย คิดถึงพี่ธาร...

     ผมสะดุดความคิดตัวเอง ก่อนจะยิ้มบางๆ ออกมาในที่สุด คงปฏิเสธไม่ได้แล้วสินะ ในเมื่อความรู้สึกข้างในชัดเจนขนาดนี้

     ผมคิดถึงพี่ธาร ถ้าเป็นไปได้ก็อยากได้ยินพี่ธารบอกสุขสันต์วันเกิด แต่มันคงไม่มีทางเกิดขึ้น ก็ผมไม่เคยบอกว่าวันนี้เป็นวันเกิด แล้วพี่ธารจะรู้ได้ไง ผมก้มหน้าลงกับหมอนอิง รู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหลอีกรอบเลย

     เสียงเคาะประตูดังขึ้น ผมปาดน้ำตาลวกๆ ก่อนจะลุกไปเปิด ตอนนี้จิตใจผมไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เลยไม่ได้สนว่าใครมา

     เหงาจัง การไม่มีคนอวยพรวันเกิดมันเหงาขนาดนี้เลยเหรอ

     “Happy birth day to you, Happy birth day to you

     Happy birth day Happy birth day

     Happy birth day to you.”

     ผมยืนนิ่ง ได้แต่มองคนที่กำลังถือเค้กด้วยสายตาตะลึง พี่ธารยิ้มให้ผม ก่อนรอยยิ้มจะค่อยๆ ลดเมื่อเห็นคราบน้ำตา พี่ธารวางเค้กบนโต๊ะข้างประตูแล้วพุ่งเข้ามาหาผม

     “มึงร้องไห้เหรอ”

     “พี่ธาร” เสียงของผมสั่นเครือ ผมโผเข้ากอดด้วยความรู้สึกเหงาจับใจ พี่ธารผงะไปในตอนแรก แต่สักพักก็ยกมือมาลูบหลังช้าๆ

     “ผม...ฮึก...ผมเหงา...เหงามากๆ เลย...”

     “คิดถึงพ่อแม่ใช่ไหม”

     ผมพยักหน้ากับอกกว้าง คนตัวสูงโยกผมไปมาเหมือนปลอบเด็ก ผมกอดพี่ธารแน่นราวกับกลัวว่าถ้าปล่อยแล้วพี่ธารจะหายไป

     “ปีนี้พ่อแม่ไม่อยู่ ฉลองวันเกิดกับกูไปก่อนแล้วกัน” น่าแปลกที่พี่ธารไม่ว่าผมขี้แย แต่กลับพูดด้วยเสียงทุ้มที่แฝงไปด้วยความอ่อนโยน มือที่ลูบศีรษะให้ความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย กลิ่นน้ำหอมจากตัวพี่ธารทำให้ผมสงบลง

     “ไม่เป็นไร เป็นพี่ธารก็ได้ ขอบคุณสำหรับเค้กนะครับ”

     “แปลกแฮะ นึกว่ามึงจะเกลียดกูจนไม่อยากให้อยู่ซะอีก” พี่ธารก้มมองผม ริมฝีปากจุดรอยยิ้มขำ

     “ก็เกลียดจริงๆ แหละ แต่เห็นแก่ที่พี่ซื้อเค้กช็อกโกแลตมาให้ ผมจะยอมไม่เกลียดวันนึง”

     “มึงนี่มัน...” พี่ธารทำเสียงอ่อนใจ ผมลอบยิ้ม ก็พูดไปอย่างนั้นเอง คนเกลียดกันที่ไหนจะเอาแต่คิดถึงทั้งวันล่ะ

     ผมชอบเค้กช็อกโกแลต เดาว่าพี่ธารคงโทรไปถามพ่อแม่ผมถึงซื้อมาให้ถูกรส เรายืนกอดกันพักใหญ่ก่อนที่พี่ธารจะพาผมมาในห้องนั่งเล่น วางเค้กลงตรงหน้าพร้อมกับนั่งลงบนโซฟาอีกฝั่ง

     “อธิษฐานสิ”

     ผมหลับตา นิ่งคิดอยู่สักพักว่าจะขออะไรดี อืม...ขอให้พ่อแม่กลับมาเร็วๆ ขอให้เทอมนี้ไม่ติดเอฟ ขอให้พี่ธารดุน้อยลง ขอให้พี่ธารทำงานบ้านให้ผมไปอีกนานๆ

     ทำไมยิ่งอธิษฐานมันยิ่งแปลกๆ วะ ช่างเถอะ ผมไม่ได้พูดออกมา พี่ธารไม่มีทางรู้หรอก

     ผมลืมตาเมื่ออธิษฐานเสร็จแล้ว หลังเป่าเทียนดับครบทุกเล่มพี่ธารก็เอื้อมมือมาลูบหัว

     “มีความสุขมากๆ ดื้อกับกูให้น้อยๆ หน่อย”

     “นั่นคำอวยพรเหรอ” ผมอดขัดไม่ได้

     “เปล่า เขาเรียกว่าคำขอร้อง”

     “ผมไม่ได้ดื้อขนาดนั้น”

     “แน่ใจ?”

     “ก็...นิดนึง” ผมยิ้มแหย “เอาเป็นว่าหลังจากนี้ผมจะเชื่อฟังพี่มากขึ้น ตกลงไหม”

     “หึๆ” พี่ธารกระตุกยิ้ม มือที่อยู่บนหัวเปลี่ยนเป็นยีเบาๆ “สุขสันต์วันเกิดนะซน”

     ไม่บ่อยที่พี่ธารจะเรียกผมด้วยชื่อเล่นจริงๆ ประโยคที่รอฟังมาทั้งวัน ในที่สุดผมก็ได้ยิน พี่ธารผละมือออกไปก่อนจะตัดเค้กให้ ผมมองคนตรงหน้าไปอมยิ้มไป ไม่ได้ยิ้มเพราะได้กินเค้กรสโปรด แต่เพราะดีใจที่วันเกิดปีนี้มีพี่ธารอยู่ด้วย

     “ว่าแต่พี่รู้ได้ไงว่าวันนี้วันเกิดผม”

     มือที่ถือมีดตัดเค้กชะงักเล็กน้อย พี่ธารตอบกลับมาหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง “อาไพโรจน์โทรมาบอก”

     ผมพยักหน้า ไม่นึกสงสัยอะไรอีก แต่จู่ๆ ก็นึกเรื่องสนุกขึ้นมาได้จึงขยับเข้าไปใกล้ พี่ธารหันมาเลิกคิ้ว

     “ร้องเพลงให้ฟังอีกรอบหน่อยดิ ตอนนั้นผมมัวแต่ตกใจเลยไม่ได้ฟัง”

     “ไม่” พี่ธารปฏิเสธทันควัน ผมแอบเห็นว่าหน้าพี่แกขึ้นสีแดงนิดๆ เขินล่ะสิ

     “น่า ร้องให้ฟังหน่อย ผมอยากอัดเสียงไว้”

     “จะอัดทำไม”

     “อัดไว้เป็นหลักฐานไง คนอย่างพี่ธารร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์ ไปบอกใคร ใครเขาจะเชื่อ”

     “คนอย่างกูมันทำไม”

     “เย็นชา โลกส่วนตัวสูง เข้าหายาก หยิ่ง เดี๋ยวๆ ผมฟังมาจากคนอื่นอีกที ก็พี่ไม่ใช่เหรอที่ทำให้เขาคิดแบบนั้น” ผมรีบแก้ตัวเมื่อสายตาคมตวัดมามอง ดุชะมัด เมื่อกี้ยังใจดีอยู่เลย

     “อืม กูมันเย็นชา งั้นของขวัญนี่ก็ไม่ต้องเอา” พี่ธารหยิบกล่องเล็กๆ ที่ผูกด้วยริบบิ้นสีฟ้าออกมาโชว์ ผมตาลุกวาว อยากตบปากตัวเองขึ้นมาทันที

     “พี่ซื้อของขวัญมาให้ผมเหรอ”

     “เปลี่ยนใจแล้ว กูเก็บไว้เองดีกว่า”

     “พี่ธาร~ ผมขอโทษ ให้ผมเถอะ นะครับ” ผมใช้สายตาอ้อน สายตาแบบเดียวกับที่ใช้อ้อนแม่ พี่ธารชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเหมือนช่วยไม่ได้ แต่ผมเห็นแก้มพี่ธารแดงขึ้นกว่าเดิม เขินอะไรของเขา

     ผมรับกล่องของขวัญมาจากพี่ธาร หลังเจ้าตัวอนุญาตให้แกะผมก็แกะมันตรงนั้นเลย ผมตาโตเมื่อเห็นว่าข้างในคือหูฟังไร้สาย เป็นรุ่นและสีที่อยากได้มานาน ผมหันขวับไปมองพี่ธาร อีกฝ่ายยักคิ้วให้ผม

     “พี่รู้ได้ไงว่าผมกำลังอยากได้”

     “กูเก่ง”

     อยากเบ้ปากใส่นะครับ แต่ติดที่วันนี้พี่มันทำความดีไว้เยอะ ผมจะยอมปล่อยผ่านแล้วกัน พี่ธารให้ผมลองว่าใช้ได้หรือเปล่า ถ้ามีปัญหาอะไรจะได้เอาไปเปลี่ยนให้ โชคดีที่ทั้งสองข้างใช้งานได้ปกติ ผมหันไปขอบคุณพี่ธารอีกครั้ง คราวนี้ผมพูดออกมาจากความรู้สึกจริงๆ ไม่ได้ขอบคุณของขวัญ แต่ขอบคุณทุกอย่างที่พี่ธารทำให้วันนี้

     เราสองคนอยู่ทานเค้กด้วยกัน จนกระทั่งสี่ทุ่มพี่ธารจึงขอตัวกลับ ผมเดินไปส่งพี่ธารที่หน้าบ้าน มองจนอีกฝ่ายหายเข้าไปในบ้านจึงกลับเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม

     พี่ธารที่ใครๆ ก็ว่าเย็นชา พี่ธารที่เพื่อนบอกว่าไม่เคยซื้อของขวัญให้ใคร พี่ธารคนนั้นผมไม่รู้จัก เพราะที่ผมเห็นตอนนี้มีแต่พี่ธารที่แสนจะใจดี เป็นพี่ชายข้างบ้านที่ทำให้วันเกิดของผมปีนี้เป็นวันที่พิเศษที่สุด



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter : earthxxide

     Fanpage : Earthxxide
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-05-2023 19:30:13 โดย earthxxide »

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ prateep

  • magKapleVE
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
    • Top-notch Сasual Dating - Legitimate Girls

ออฟไลน์ earthxxide

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตอนที่ 15
กระต่ายตื่นตูม


     -น้องนาย-

     “ขอโทษที่มาช้าครับ” ผมส่งเสียงนำไปก่อนตัวขณะก้าวขึ้นรถคันหรู พี่บอนด์หันมามองก่อนจะหลุดขำ พาให้ผมย่นคิ้วด้วยความงง แต่พอพี่บอนด์ชี้มือมาบนหัวผมก็เข้าใจทันที

     “รีบอะไรขนาดนั้น” มือหนาเอื้อมมาปัดผมที่ปรกหน้าผากออก ผมนั่งนิ่งให้อีกฝ่ายทำตามใจ แต่ปากก็อดบ่นไม่ได้

     “จู่ๆ พี่บอนด์ส่งข้อความมาว่าอยู่หน้าหอแล้ว ผมก็ต้องรีบสิครับ”

     “ไม่เห็นต้องรีบเลย พี่รอได้”

     “ผมเกรงใจ” ผมพูดเสียงเบา มือที่จัดผมเปลี่ยนเป็นลูบเบาๆ แล้วผละออกไป ผมเอ่ยขอบคุณพลางรัดเข็มขัดนิรภัย รอให้พี่บอนด์ออกรถแล้วจึงถามต่อ

     “เราจะไปไหนกันครับ” พี่บอนด์ทักมาหาผมเมื่อเช้าว่าอยากไปเที่ยว แต่ไม่มีใครไปเป็นเพื่อน พอผมเสนอให้ไปชวนพวกพี่ธาร พี่บอนด์ก็บอกว่าอยากไปกับผมมากกว่า ผมเลยอดงงไม่ได้ว่าทำไมไม่ชวนผมตรงๆ แต่แรก

     “เราอยากไปไหน”

     “มาถามผมทำไมครับ คนที่อยากไปเที่ยวคือพี่บอนด์นะครับ”

     “พี่ตามใจเรา”

     ผมหันไปเอียงคอมองคนพูด มองอยู่นานจนพี่บอนด์หันมาเลิกคิ้ว จนในที่สุดผมก็ค่อยๆ ยิ้มออกมา หรือที่จริงพี่บอนด์ไม่ได้อยากไปเที่ยว แต่พี่บอนด์แค่เหงา ที่ทักมาชวนผมก็เพราะไม่อยากอยู่คนเดียว

     เป็นผู้ชายที่ขี้เหงาจริงๆ เหงาขนาดนี้ทำไมไม่หาแฟนเป็นตัวเป็นตนไปเลยนะ

     “ผมยังไงก็ได้ครับ พี่บอนด์เลือกเถอะ ผมไปด้วยได้ทุกที่ จะอยู่เป็นเพื่อนจนพี่บอนด์หายเหงาเลย”

     พี่บอนด์กะพริบตาปริบ ก่อนจะขำเสียงดังเหมือนที่ผมพูดมันน่าขำมากมาย ผมเลยทำหน้างง

     “คิดว่าพี่ชวนไปเที่ยวเพราะเหงาเหรอ”

     “แล้วมีเหตุผลอื่นด้วยเหรอครับ”

     พี่บอนด์ขำอีกครั้ง จนผมคิดว่านอกจากขี้เหงาแล้วพี่บอนด์น่าจะเส้นตื้นด้วย ผมพูดอะไรไปหัวเราะตลอด ผมว่าผมถามปกติไม่ได้เล่นมุกนะ

     “ตกลง เหงาก็เหงา อืม...สวนสนุกดีไหม ไม่ได้ไปนานแล้ว”

     ผมมองนิ่ง จนพี่บอนด์หันมาทวงคำตอบอีกครั้ง จึงถามออกไปด้วยความสงสัย

     “ผมนึกว่ามีแต่เด็กที่อยากไปเที่ยวสวนสนุกซะอีกนะครับ”

     ถ้าเป็นคนอื่น คำพูดผมอาจชวนให้รู้สึกเคืองนิดๆ แต่ไม่ใช่กับพี่บอนด์ คนที่ผมพูดอะไรไปก็ขำมันไปซะทุกอย่าง จนผมอดกลัวไม่ได้ว่าจะหายใจไม่ทัน

     “เป็นวัยรุ่นมาเยอะแล้ว ขอกลับไปเป็นเด็กวันนึงแล้วกัน ว่าไง สวนสนุกดีไหม” พี่บอนด์ถามความเห็นอีกครั้ง

     “ถ้าพี่บอนด์อยากไปผมก็ไม่มีปัญหาครับ”

     พี่บอนด์พยักหน้าก่อนจะขับรถไปโดยไม่พูดอะไรอีก ผมจึงใช้โอกาสนี้ลอบสังเกตด้านข้างของพี่บอนด์ ใบหน้าขาวใส มีความเป็นลูกครึ่งนิดๆ ขนตายาว จมูกโด่งเป็นสัน รับกับริมฝีปากได้รูป ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพี่บอนด์ถึงฮอตพอๆ กับพี่ธาร หล่อตีคู่กันขนาดนี้ ผู้หญิงที่ไหนบ้างจะไม่ชอบ

     ผมหันกลับมามองทางตรง แอบถอนหายใจด้วยความน้อยใจนิดๆ ทำไมฟ้าช่างไม่ยุติธรรม ให้ความหล่อผมมายังไม่ถึงครึ่งของพี่บอนด์เลย ผมเองก็อยากหล่อเหมือนกัน ไม่ได้อยากน่ารักอย่างที่คุณผิงบอกซะหน่อย





     ผมยืนรอพี่บอนด์ไปซื้อตั๋ว สถานที่แรกที่เราจะไปกันคือบ้านผีสิง อันนี้เป็นความคิดผมเอง พี่บอนด์ให้ผมเลือกว่าอยากเล่นอะไรก่อน ผมคิดไม่ออกเลยให้พี่บอนด์เลือกแทน แต่พี่บอนด์ก็ยังยืนยันจะให้ผมเลือกอยู่ดี ผมเห็นว่าถ้าเอาแต่โยนกันไปมาวันนี้คงไม่ได้เล่นจึงเลือกสุ่มๆ มาหนึ่งอย่าง และหวยก็มาออกที่บ้านผีสิง

     “มาแล้ว” พี่บอนด์เดินมาพร้อมตั๋วสองใบในมือ สายตาที่มองผมมีความไม่มั่นใจ “แน่ใจนะว่าอยากเล่นบ้านผีสิง”

     “ครับ” ผมพยักหน้า แต่ก็อดถามไม่ได้ “พี่บอนด์กลัวผีเหรอ”

     “เปล่า”

     “งั้นไปกันเลยไหมครับ”

     “อืม”

     พี่บอนด์ยังมองมาด้วยสายตาลังเล เหมือนจะมีความเป็นห่วงในนั้นด้วย ผมไม่ได้เป็นอะไรซะหน่อย ห่วงอะไรของเขากันนะ





     เพราะทางเดินค่อนข้างแคบ ผมจึงเดินนำหน้าโดยมีพี่บอนด์ตามหลัง ภายในบ้านผีสิงมีเพียงแสงสีเขียวจากหลอดไฟที่ห้อยตามทางเดิน ทำให้บรรยากาศมืดสลัว ผมได้ยินเสียงร้องทั้งผู้หญิงและผู้ชายตลอดทาง ร้องทำไมกันนะ ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวเลย ผีที่โผล่มาหลอกล้วนเป็นคนที่ใส่ชุดทั้งนั้น ทั้งที่รู้กันอยู่แล้วแต่ก็ยังจะกลัวอีก

     “มาเดินหลังพี่ไหม” เสียงพี่บอนด์ดังมาจากด้านหลัง ผมหันไปทำตาปริบๆ

     “พี่บอนด์อยากอยู่ข้างหน้าเหรอครับ”

     “เปล่า พี่เป็นห่วงเรา”

     “เป็นห่วง?” ผมหยุดเดิน ยกมือแตะหน้าผากตัวเอง “ผมสบายดีครับ ไม่ได้เป็นอะไร พี่บอนด์ไม่ต้องเป็นห่วง”

     พี่บอนด์ทำหน้าเหมือนอยากขำ พอๆ กับไม่รู้จะทำยังไงกับผมดี “ไม่ใช่เรื่องนั้น พี่ห่วงว่าเราจะตกใจกลัว”

     “อ๋อ” ผมร้องในลำคอเมื่อเข้าใจสายตาเป็นห่วงที่พี่บอนด์มองมา แต่ก่อนจะตอบอะไรกลับไปก็มีบางอย่างโผล่มาจากกรงข้างจุดที่พวกเรายืนเสียก่อน

     !!!

     ผีหรือซอมบี้ ผมเองก็ไม่แน่ใจเพราะเห็นไม่ชัด บนหน้ามีเลือดไหลลงมาจากศีรษะ คาดว่าคงเป็นเลือดปลอม กำลังยืนชูมือร้องเสียงโหยหวนใส่พวกผม

     พี่บอนด์สะดุ้งตามสัญชาตญาณเวลามีอะไรบางอย่างโผล่มากะทันหัน ส่วนผมเพียงแค่มองนิ่งๆ หลังทิ้งช่วงไว้ครู่หนึ่งก็ค่อยๆ เบนสายตาไปมองคนที่มาด้วยกัน ยิ้มให้นิดหนึ่งเพื่อปลอบใจ

     “ไปกันต่อเถอะครับ”

     ผมหันหลังออกเดินต่อ แวบหนึ่งเหมือนจะเห็นพี่บอนด์มองมาด้วยสายตางุนงงปนเหลือเชื่อ ผมไม่เห็นว่ามันจะแปลกตรงไหน ไม่ใช่ผีจริงๆ ซะหน่อย เอาไว้มาแค่หัวกับไส้ผมจะร้องออกมาแล้วกัน ถ้ามันเป็นของจริงล่ะก็นะ





     “น้ำครับ” ผมส่งขวดน้ำให้คนตัวสูงพลางนั่งลงข้างๆ หลังออกมาจากบ้านผีสิงผมพาพี่บอนด์มานั่งพักที่ม้านั่ง ส่วนตัวเองอาสาไปซื้อน้ำมาให้ ที่จริงพี่บอนด์จะไปซื้อเอง แต่ผมเห็นว่าเพิ่งออกมาจากบ้านผีสิง เลยอยากให้นั่งพักหลังหัวใจทำงานหนัก

     “ต่อไปอยากเล่นอะไรครับ หรือจะให้ผมเลือกเหมือนเดิม”

     พี่บอนด์ไม่ตอบคำถาม เอาแต่มองผมด้วยสายตาอึ้ง

     “ทำไมเราดูปกติจัง”

     “ยังไงครับ”

     “ไม่กลัวผี ไม่สะดุ้ง ไม่ร้องสักแอะ”

     ผมหลุดขำเบาๆ พี่บอนด์เลยงงกว่าเดิม ผมยกขวดน้ำขึ้นดื่มก่อนจะคลี่ยิ้มให้อีกฝ่าย

     “จะบอกว่าผมดูเหมือนคนไม่มีความรู้สึกใช่ไหมครับ”

     “พี่ไม่ได้คิดอย่างนั้น”

     “ไม่เป็นไรครับ คุณผิงก็เคยพูดบ่อยๆ ว่ามาเที่ยวกับผมเหมือนมากับหุ่นยนต์ ผมไม่คิดมากเพราะผมรู้ว่าตัวเองเป็นแบบนั้นจริงๆ”

     “…”

     “อันที่จริงถ้าพี่บอนด์เหงา ชวนคนอื่นมาเป็นเพื่อนจะสนุกกว่านะครับ อย่างในไลน์ก็เหมือนกัน ที่เห็นผมตอบบ้างไม่ตอบบ้างไม่ใช่ว่ารำคาญ แต่ผมชวนคุยไม่เก่ง ผมยังคิดอยู่เลยว่าจะทำให้พี่เหงากว่าเดิมหรือเปล่า”

     ผมพูดออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่มีความน้อยใจหรือประชดในนั้น ผมรู้ว่าตัวเองเป็นคนยังไง เพราะรู้จึงไม่เคยคาดหวังให้ใครมาชอบ ทุกวันนี้แค่คุณซนกับคุณผิงยอมคบผมเป็นเพื่อนก็ดีมากแล้ว ชีวิตผมมันก็จืดชืดแบบนี้แหละครับ

     พี่บอนด์มองผมนิ่ง ผมเลยยิ้มเพื่อให้รู้ว่าไม่ได้เป็นอะไร ผมลุกขึ้นเมื่อเห็นว่าพี่บอนด์น่าจะพักพอแล้ว แต่พอก้มมองนาฬิกาข้อมือ จากที่คิดจะชวนไปเล่นรถไฟเหาะเป็นอันต้องเปลี่ยนใจ

     “ใกล้เที่ยงแล้ว ไปหาอะไรทานกันไหมครับ”

     พี่บอนด์เงยหน้าสบตาผมที่กำลังยืนอยู่ ดวงตาที่มักจะมองผมด้วยความขบขัน ตอนนี้กลับนิ่งเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์

     “อืม”





     “วันนี้ผมสนุกมากเลย ขอบคุณนะครับ” ผมหันไปบอกคนที่กำลังขับรถ ที่ต้องขอบคุณเพราะพี่บอนด์เล่นจ่ายให้ผมทุกอย่าง พอจะคืนเงินก็ปฏิเสธท่าเดียว สุดท้ายผมเลยต้องยอม

     “สนุกจริงเหรอ พี่ไม่เห็นเราหัวเราะเลย”

     “สนุกไม่ได้แปลว่าต้องหัวเราะนี่ครับ เหมือนกับที่หัวเราะก็ไม่ได้แปลว่าคนนั้นๆ กำลังสนุกเสมอไป”

     พี่บอนด์เหลือบมามองผมแวบหนึ่ง ริมฝีปากหนาจุดรอยยิ้ม “รู้ไหมว่าคำพูดคำจาเราเหมือนผู้ใหญ่”

     “รู้ครับ อันนี้คุณผิงก็เคยบอกเหมือนกัน”

     “แล้วผิงเคยบอกไหมว่าเราน่าสนใจ”

     ผมตาโตกับคำพูดของคนตัวสูง นานๆ ทีผมถึงจะหลุดอาการ พี่บอนด์ที่หันมาเห็นพอดีเลยขำไม่หยุด

     “ตกใจอะไร”

     “พี่บอนด์พูดว่าผมน่าสนใจเหรอครับ” ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเองเพื่อให้มั่นใจว่าไม่ผิดคน

     “ใช่”

     “จำคนผิดแล้วครับ ผมไม่เห็นว่าตัวเองจะใกล้เคียงคำว่าน่าสนใจเลย ถ้าเป็นคำว่าจืดชืดก็ว่าไปอย่าง”

     “อย่าพูดถึงตัวเองอย่างนั้น”

     “ก็มันจริง...” นี่ครับ ผมกำลังจะพูดให้จบ แต่สายตาคมที่มองมาทำให้ผมนิ่งงัน

     “นาย”

     “ครับ?” ผมเผลอขานรับ นานแล้วที่ไม่มีใครเรียกชื่อผมคำเดียว

     “เราอาจจะคิดว่าพี่ขี้เหงา พี่ไม่เถียงว่ามันผิด แต่นายไม่คิดบ้างเหรอว่าพี่มีเพื่อนตั้งหลายคน ถ้าพี่เหงาจริงๆ จะชวนคนที่เพิ่งรู้จักอย่างเราทำไม พี่ชวนเพื่อนสนิทไม่ดีกว่าเหรอ”

     ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยคิด ผมสงสัยตั้งแต่วันที่พี่บอนด์ชวนไปทานข้าวด้วยซ้ำ แต่เพราะผมเอาแต่บอกตัวเองว่าผู้ชายคนนี้ขี้เหงา จึงไม่เคยเอะใจอะไรอีก

     “ที่พี่ชวนไปเที่ยว ชวนไปทานข้าว ทักไปคุยบ่อยๆ เพราะพี่สนใจเรา ถ้าเราไม่น่าสนใจพี่จะเข้าหาเราตั้งแต่แรกเหรอ ดังนั้นเลิกคิดแง่ลบกับตัวเองได้แล้ว นายเป็นเด็กน่าสนใจ จำคำของพี่เอาไว้”

     เสียงทุ้มของพี่บอนด์จริงจังจนผมไม่คิดว่ามันเป็นเพียงแค่คำปลอบ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีคนมาพูดกับผมแบบนี้ พี่บอนด์ไม่พูดอะไรต่อ ผมเองก็เช่นกัน เราต่างคนต่างเงียบราวกับอยู่ในห้วงความคิดตัวเอง

     พี่บอนด์ขับรถมาจอดหน้าหอพัก ผมที่ปลดเข็มขัดนิรภัยเสร็จแล้วกำลังจะหันไปขอบคุณ แต่คนตัวสูงก็พูดขึ้นมา

     “เข้าใจที่พี่พูดไหม”

     “เข้าใจครับ”

     พี่บอนด์ทำหน้าเหมือนรอฟังว่าผมจะพูดอะไรต่อ ผมเลยเลิกคิ้วกลับไป หลังมองตากันอยู่นานพี่บอนด์ก็ถามขึ้นมาอีก

     “แค่นี้เหรอที่เราอยากพูด”

     “ครับ”

     ผมว่าผมไม่ได้พูดอะไรผิดนะ แล้วทำไมพี่บอนด์ถึงต้องทำหน้าแปลกๆ ด้วยล่ะ อย่างกับไม่รู้จะทำยังไงดีงั้นแหละ

     “เข้าใจที่พี่บอกว่าสนใจไหม”

     “เข้าใจสิครับ พี่บอนด์สนใจผม”

     “ใช่ พี่สนใจเรา แล้วทำไมถึงไม่ตกใจเลยล่ะ”

     “ผมต้องตกใจเหรอครับ” ผมถามกลับด้วยดวงตาพาซื่อ พี่บอนด์ยกมือตบหน้าผาก ทำหน้าเหมือนอยากยิ้มพอๆ กับอยากร้องไห้

     “ว่าแล้วเชียว พูดกับเด็กนี่ไม่ง่ายจริงๆ ด้วย”

     “พี่บอนด์ว่าอะไรนะครับ”

     “เปล่า” พี่บอนด์ลูบหน้าตัวเอง ก่อนจะส่งยิ้มให้ผม “เอาเป็นว่าพี่สนใจเรา ตอนนี้รู้แค่นี้พอ ที่เหลือเดี๋ยวพี่จัดการเอง”

     “พี่จะจัดการอะไรครับ”

     “บอกไม่ได้ เดี๋ยวกระต่ายจะตื่นตูมก่อน”

     กระต่ายตื่นตูม?

     “ลงไปได้แล้ว วันนี้ตะลอนมาทั้งวัน ขึ้นไปพักเถอะ”

     “อ่า...ครับ” ผมลงมายืนข้างรถอย่างงงๆ อะไรคือกระต่ายตื่นตูม พี่บอนด์จะจัดการอะไร คำถามเหล่านี้คอยวนเวียนอยู่ในหัว แต่ดูเหมือนผมจะหมดโอกาสถามแล้วสินะ ไม่เป็นไร ไม่น่าใช่เรื่องสำคัญหรอกมั้ง

     “นาย” พี่บอนด์ลดกระจกลงตอนที่ผมกำลังจะเดินเข้าหอพัก พอหันกลับไปมองก็เจอรอยยิ้มที่ถ้าเป็นผู้หญิงอื่นคงละลายเป็นไอน้ำแล้ว

     “ครับพี่บอนด์”

     “รู้ว่าพี่สนใจก็อย่าไปสนใจคนอื่นล่ะ เข้าใจไหมเจ้ากระต่าย”

     ผมยืนทำหน้างง พี่บอนด์พูดจบก็ขับรถออกไปเหมือนไม่ได้ต้องการคำตอบ แค่อยากบอกให้รับรู้เฉยๆ มากกว่า ผมยืนที่เดิมอยู่นานก่อนจะเดินเข้าหอด้วยอาการเหม่อลอย เมื่อกี้พี่บอนด์เรียกผมว่ากระต่าย ถ้าอย่างนั้นคำว่ากระต่ายตื่นตูมก็หมายถึงผมเหรอ กระต่ายตื่นตูม พี่บอนด์จะทำอะไรให้ผมตื่นตูมกันนะ?



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter : earthxxide

     Fanpage : Earthxxide
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-05-2023 19:43:22 โดย earthxxide »

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ earthxxide

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตอนที่ 16
รู้สึกดี


     “หา!” ผมกับผิงร้องออกมาพร้อมกัน หลังน้องนายเล่าเรื่องสุดแสนจะเหลือเชื่อให้ฟัง

     “จะเสียงดังกันทำไมครับ ผมตกใจหมด” น้องนายยกมือทาบอก ผมอยากตอบกลับไปจริงๆ ว่าคนที่ควรตกใจคือพวกผม ไม่ใช่มัน

     “พี่บอนด์บอกว่าสนใจมึงเหรอ”

     “ใช่ครับ”

     ผิงอ้าปากค้าง หลุดมาดกุลสตรีที่มันพร่ำบอกนักหนา จนผมอยากให้บรรดาผู้ชายที่มันปลื้มมาเห็นจริงๆ แต่ผมเข้าใจนะ เพราะผมก็ตกใจไม่แพ้กัน พี่บอนด์กับน้องนาย ใครจะคิดว่าสองคนนี้จะมาคู่กันได้

     พวกผมกำลังนั่งเล่นใต้ตึกรอเวลาขึ้นเรียน ผิงถามน้องนายว่าวันหยุดเมื่อวานได้ไปเที่ยวไหนหรือเปล่า มันคงชวนคุยตามปกติไม่ได้คิดอะไร แต่คำตอบที่ว่าเมื่อวานน้องนายไปเที่ยวสวนสนุกกับพี่บอนด์เป็นอะไรที่พวกผมคาดไม่ถึง พอถามไปถามมาก็เจอเรื่องคาดไม่ถึงยิ่งกว่า นั่นคือพี่บอนด์บอกว่าสนใจเพื่อนผม นาทีนี้ไม่ตกใจไม่ได้แล้วครับ

     “เดี๋ยวนะ” ผมทักขึ้นมาเมื่อสังเกตเห็นความผิดปกติ “ทำไมมึงเล่าด้วยหน้านิ่งๆ แบบนั้น”

     “แล้วผมต้องทำหน้ายังไงเหรอครับ” น้องนายยกมือจับหน้าตัวเอง

     “มึงไม่ตกใจเลยเหรอ”

     “ไม่ครับ”

     “ไม่แปลกใจ?”

     “ไม่ครับ”

     “ไม่ดีใจ?”

     “ก็ไม่อีกครับ”

     ผิงหันมามองตาผม สีหน้าเหมือนไม่รู้จะเอายังไงต่อกับชีวิตดี

     “มึงเข้าใจที่พี่บอนด์พูดจริงๆ หรือเปล่า”

     “เข้าใจสิครับ พี่บอนด์บอกว่าสนใจผมก็หมายความว่าเขาสนใจผม ทำไมคุณผิงถามเหมือนพี่บอนด์เลย ผมดูเป็นคนเข้าใจยากขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

     ผิงยกมือกุมขมับ ส่วนผมถอนหายใจยาว ตอนนี้ผมกับผิงน่าจะคิดเหมือนกัน นั่นคือสงสารพี่บอนด์ที่มาชอบคนอย่างน้องนาย

     “เอาเถอะ กูจะเอาใจช่วยพี่บอนด์อยู่ห่างๆ แล้วกัน”

     “อืม ก็ได้แต่หวังว่าพี่เขาจะมีความอดทนกับเพื่อนเรามากพอ”

     น้องนายเอียงคองง ผมกับผิงไม่พูดอะไรต่อ หยุดเรื่องพี่บอนด์ไว้เท่านี้ เรื่องบางเรื่องก็ต้องปล่อยให้รู้ด้วยตัวเอง ถ้าพี่บอนด์ชอบเพื่อนผมจริง เขาต้องทำให้เพื่อนผมรู้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่รู้เพราะคนอื่นบอก หรือถ้าคำว่าสนใจของพี่บอนด์หมายถึงสนใจเฉยๆ ไม่มีอะไรแอบแฝง พวกผมก็ยังกลับลำทัน

     เป็นไงล่ะ เห็นแบบนี้ผมก็มีสาระเหมือนกันนะครับ ที่จริงสาระในตัวผมมีเยอะเลยเถอะ เพียงแต่จะเอามาใช้หรือเปล่าก็อีกเรื่อง

     “เย็นนี้มึงต้องรอพี่ธารไหม” ผิงหันมาถามผม พี่ธารบอกผมก่อนแยกกันว่าเย็นนี้จะเอางานไปปรึกษาอาจารย์ แต่ไม่ได้บอกว่านานไหมและจะให้รอหรือเปล่า

     “ไม่รู้ว่ะ”

     “ทักไปถามดิ ถ้าเขาไม่ว่างเดี๋ยวกูไปส่งมึงก็ได้” ผิงกับน้องนายนัดกันไปกินหมูกระทะเย็นนี้ ถ้าไม่ติดว่าพี่ธารติดธุระผมก็ว่าจะชวนไปด้วย แต่พอเป็นแบบนี้เลยไม่รู้ว่าจะเอายังไงดี

     ผมส่งข้อความไปถามพี่ธารตามที่ผิงแนะนำ ประมาณสิบนาทีพี่ธารก็ตอบกลับมาว่าให้รออยู่ใต้ตึกคณะ แต่จะนานแค่ไหนยังตอบไม่ได้ ผมรู้ทันทีว่าคงต้องให้เพื่อนไปกินหมูกระทะกันสองคน

     “มีผู้ปกครองโหดก็ลำบากหน่อยนะ จะไปเที่ยวกับเพื่อนทีต้องขออนุญาตก่อน”

     ผมพยักหน้าเนือยๆ ให้ผิง น้องนายเอื้อมมือมาจับไหล่

     “ไม่เป็นไรครับ รอวันที่พี่ธารว่างก็ได้จะได้ชวนไปด้วยกัน ไปหลายๆ คนสนุกกว่า”

     “ใช่ๆ กูจะได้ตีเนียนชวนพี่ไกด์ไปด้วย”

     “หือ? พี่ไกด์มาได้ยังไง” ผมทำหน้างง

     “ถามเหมือนไม่ใช่เพื่อนกู มึงก็รู้ว่ากูชอบคนหล่อ”

     ผมส่ายหัวให้กุลสตรีหนึ่งเดียวในกลุ่ม ก่อนที่พวกเราจะพากันขึ้นเรียน เป็นอันว่าทริปหมูกระทะเย็นนี้ถูกยกเลิกเพราะผู้ปกครองผมไม่อนุญาต





     ผมแกว่งเท้านั่งรอพี่ธารอยู่ใต้ตึก ตามคำบัญชาของพี่มันเป๊ะๆ ผิงกับน้องนายกลับไปแล้ว ผมเลยหัวเดียวกระเทียมลีบ ได้แต่มองคนเดินผ่านไปผ่านมาเหมือนลูกหมารอเจ้าของ

     ช้าชะมัด ไอ้พี่ธารไปคุยงานกับอาจารย์ที่ต่างประเทศเหรอ นี่ก็ครึ่งชั่วโมงเข้าไปแล้ว คนมันหิวนะเว้ย

     ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ตั้งใจจะโทรไปหา แต่ก็เปลี่ยนใจเพราะกลัวจะรบกวน เลยส่งข้อความไปแทน

     ผมกำลังพิมพ์ถามพี่ธารว่าปรึกษางานเสร็จหรือยัง เป็นจังหวะเดียวกับที่มีคนมานั่งข้างๆ ผมรีบหันไปมอง แวบแรกคิดว่าเป็นพี่ธาร แต่พอสบตากับอีกฝ่ายผมก็ต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจปนตกใจนิดๆ

     “กำลังรอธารเหรอ” พี่เต้ถามพร้อมรอยยิ้ม ผมมองซ้ายมองขวา หันไปมองด้านหลังเพื่อดูว่าพี่เต้ถามใคร พี่เต้หัวเราะในลำคอ ดวงตาฉายแววขบขัน

     “พี่ถามเรานั่นแหละ”

     “อ่า...ถามผมเหรอครับ” ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเองพลางหัวเราะแหะๆ “ใช่ครับ ผมรอพี่ธารอยู่ ว่าแต่พี่เต้รู้จักผมด้วยเหรอครับ”

     ผมรู้จักพี่เต้เพราะเขาฮอตไม่แพ้พี่ธารกับพี่บอนด์ หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำเพราะเป็นถึงอดีตเดือนมหา’ลัย ผิงเคยเล่าให้ฟังว่าพี่ธารเคยถูกทาบทามให้เป็นเดือน แต่ด้วยนิสัยของพี่ธารเลยปฏิเสธกลับไปอย่างไร้เยื่อใย ตำแหน่งเดือนคณะกับเดือนมหา’ลัยเลยตกเป็นของพี่เต้แทน แน่นอนว่าดีกรีขนาดนี้หน้าตาต้องหล่อถูกใจสาวๆ อยู่แล้ว เพื่อนผมก็เป็นหนึ่งในนั้น ตอนพี่เต้ประกวดผิงมันลากผมไปเชียร์ตั้งแต่งานเริ่มยันงานจบเลย

     “ใครจะไม่รู้จักเรา เล่นเป็นข่าวกับธารขนาดนั้น” พี่เต้พูดยิ้มๆ ผมเลยหัวเราะแหะๆ กลับไปอีกรอบ เผลอปล่อยไก่สองรอบติดกัน ถ้าพี่เต้เป็นสาวสวยผมคงอายมุดดินหนีไปแล้ว

     “ว่าแต่พี่เต้มีอะไรกับผมหรือเปล่าครับ”

     “เห็นเรานั่งอยู่คนเดียวเลยจะมานั่งเป็นเพื่อน ธารมันคุยงานกับอาจารย์อยู่ คงอีกสักพักกว่าจะเสร็จ”

     โอ้โห หล่อแล้วยังใจดีอีก มิน่าสาวๆ ถึงได้ติดกันตรึม สงสัยผมต้องลองเอาวิธีนี้ไปใช้บ้างแล้ว

     “พี่เต้เป็นเพื่อนกับพี่ธารเหรอครับ” ผมเดาจากที่พี่เต้พูดถึงพี่ธาร คิดว่าน่าจะสนิทกันระดับหนึ่ง

     “ใช่”

     “ไม่เห็นพี่ธารบอกผมเลยว่าเป็นเพื่อนกับพี่เต้”

     “พี่กับธารไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น เรียกว่าแค่คุยกันได้ดีกว่า ว่าแต่เราเถอะ รู้จักพี่ด้วยเหรอ”

     “โหพี่ ใครจะไม่รู้จักเดือนมหา’ลัยตัวเอง เพื่อนผมมันชอบพี่มากเลยนะครับ เพ้อถึงพี่ให้ฟังบ่อยจนผมเอียนไปช่วงหนึ่งเลย” ผมพูดจบก็รีบยกมือปิดปาก ก่อนจะส่งยิ้มแหยๆ ไปให้ “ขอโทษครับ”

     “ไม่เป็นไร มีคนชอบดีกว่ามีคนเกลียดอยู่แล้ว ฝากขอบคุณเพื่อนเราด้วยนะ”

     “ครับ” ถ้าผิงรู้ว่าผมได้คุยกับพี่เต้แบบสนิทชิดเชื้อขนาดนี้มันต้องอิจฉาแน่ๆ ว่าแล้วคืนนี้ส่งข้อความไปอวดมันดีกว่า

     “แล้วซนล่ะ”

     “ครับ?”

     “ซนไม่ชอบพี่บ้างเหรอ” พี่เต้ถามไปยิ้มไป ผมไม่รู้จะทำหน้ายังไงเลยได้แต่ยิ้มตาม พี่เขาหมายถึงชอบแบบชื่นชมใช่ไหมนะ อืม...ผมไม่ค่อยอินกับดาวเดือนด้วยสิ ถ้าตอบว่าไม่ได้รู้สึกอะไรจะดูหักหน้าไปหรือเปล่า

     “ก็ต้องชอบสิครับ พี่เต้ออกจะหล่อ ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากหล่อเหมือนพี่” ผมตอบแบ่งรับแบ่งสู้ เอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้โกหกนะ ผู้ชายที่ไหนบ้างจะไม่อยากหล่อ ผมไม่แล้วคนหนึ่ง

     “หึๆ รู้ไหมว่าเรากำลังชมพี่ว่าหล่อ”

     “ผมพูดความจริงครับ พี่เต้หล่อจริงๆ แต่อย่างพี่น่าจะโดนชมจนชินแล้ว”

     “ใช่ พี่โดนชมบ่อยจนชิน แต่พอเราชมพี่ว่าพี่ดีใจมากกว่าคนอื่นนะ”

     จะบอกว่าเพราะผมขี้เหร่เลยเห็นความต่างของหน้าตาได้ชัดเจนกว่าคนอื่นสินะ เอาคำชมผมคืนมาเลย ไม่ชงไม่ชมมันแล้ว พี่เต้นี่ร้ายใช่ย่อยแฮะ มิน่าถึงเป็นเพื่อนกับพี่ธารได้

     “รอนานหรือยัง” จู่ๆ พี่เต้ก็เปลี่ยนเรื่อง ผมงงนิดหน่อยแต่ก็ตอบกลับไป

     “สักพักแล้วครับ”

     “หิวหรือยัง พี่พาไปทานข้าวไหม เรื่องธารเดี๋ยวโทรบอกให้”

     “อ่า...” ผมลังเล ยอมรับว่าสนใจข้อเสนอของพี่เต้ไม่น้อยเพราะตอนนี้ผมหิวจริงๆ เพียงแต่กลัวว่าถ้าขัดคำสั่งเดี๋ยวพี่ธารจะมาโกรธทีหลัง รายนี้ยิ่งผีเข้าผีออกอยู่ เดี๋ยวก็ใจดีเดี๋ยวก็ดุ ตามอารมณ์ไม่เคยทันสักครั้ง

     “ซน”

     ดูเหมือนผมจะไม่ต้องคิดหนักให้เปลืองสมองแล้วล่ะครับ เสียงเย็นยะเยือกแบบนี้มีคนเดียวในโลก ผมหันไปมองคนที่ให้นั่งรออยู่เกือบชั่วโมง พี่ธารกำลังเดินตรงมาหา สีหน้าบึ้งตึงเหมือนเพิ่งมีเรื่องกับคนทั้งโลกมา

     “มาแล้วเหรอ เด็กมึงรอจนไส้กิ่วไปหมดแล้ว” พี่เต้ยืนขึ้น ทักทายพี่ธารด้วยรอยยิ้มมุมปาก

     “หิวเหรอ” สายตาพี่ธารที่หันมาถามผมคลายความดุลงเล็กน้อย ผมพยักหน้ารับอย่างเขินๆ ความหิวที่กำลังครอบงำทำให้ลืมปฏิเสธว่าผมไม่ใช่เด็กพี่ธาร

     “นิดหน่อยครับ”

     “งั้นไปกินข้าวกัน”

     “กูกำลังจะพาซนไปกินข้าว”

     พี่ธารที่กำลังจูงมือผมชะงักเท้า หันไปมองพี่เต้ที่ยืนล้วงกระเป๋ากางเกง มองมาด้วยสายตากับรอยยิ้มแปลกๆ

     “เด็กกู กูดูแลเองได้”

     “กูรู้ กูแค่อยากตอบแทนที่เมื่อกี้ซนบอกชอบกู”

     พี่ธารหันขวับมามองผม ดวงตาคมวาวโรจน์ขึ้นมาอีกครั้ง ไม่รู้ว่าโกรธอะไร แต่ก็ทำให้ผมสะดุ้งทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิด

     “เด็กนี่มันเอ๋อ อย่าไปถือสาเลย มันไม่ได้ชอบมึงจริงๆ หรอก ความรักเป็นยังไงยังไม่รู้จักเลยมั้ง”

     อ้าว! ไอ้พี่ธาร ไหนว่าจะไม่เรียกเอ๋อต่อหน้าคนอื่นไง โกหกกันเหรอ

     “หึๆ กีดกันเก่งจังเลยนะ”

     “ก่อนจะสนเรื่องกู สนเรื่องตัวเองก่อนเถอะ เห็นว่าเดือนมหา’ลัยต้องไปช่วยซ้อมเดือนปีนี้ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงมาอยู่นี่”

     “ก็กำลังจะไป แต่เห็นลูกหมาน่ารักๆ นั่งรอเจ้าของคนเดียวแล้วสงสาร เลยมานั่งเป็นเพื่อน” พี่เต้เอื้อมมือมาตบไหล่พี่ธาร กระซิบบางอย่างที่ผมไม่ได้ยินก่อนจะเดินจากไป “ดูแลเด็กของมึงให้ดีล่ะ ไม่งั้นกูจะแย่งมาดูแลเอง จำเอาไว้”

     ผมมองตามพี่เต้อย่างงุนงง รู้สึกเหมือนตัวเองโง่ที่แค่บทสนทนาง่ายๆ ก็ยังไม่เข้าใจ จนกระทั่งพี่ธารออกแรงฉุดให้เดินตามไปผมจึงเลิกสนใจพี่เต้ หันมามองคนที่เดินอยู่ข้างหน้า

     “เดินช้าๆ หน่อยดิพี่ ผมไม่ได้ขายาวเหมือนพี่นะ”

     “…”

     เหมือนผมพูดกับดินฟ้าอากาศ พี่ธารเพียงแค่เดินเร็วๆ ไม่ตอบอะไรสักคำ ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามพี่ธารไปจนถึงรถ พี่ธารจับผมยัดใส่เบาะข้างคนขับ ยัดจริงๆ ครับ อีกนิดจะถีบผมเข้าไปในรถแล้ว หงุดหงิดอะไรมาวะ เมื่อคืนนอนน้อยเหรอ

     ผมหันไปมองหลังพี่ธารออกรถ หน้าเรียบตึงไม่มีรอยยิ้มทำเอาผมกลัวขึ้นมานิดๆ ขณะที่ผมชั่งใจว่าจะถามดีไหม พี่ธารก็ชิงพูดขึ้นมา

     “ชอบเต้เหรอ”

     “ครับ?”

     “หูตึงหรือไง กูถามว่าชอบเต้เหรอ”

     แล้วทำไมต้องโกรธด้วยเล่า จู่ๆ ถามอะไรแปลกๆ ใครจะไปตั้งตัวทัน

     “ก็ต้องชอบดิพี่”

     “…”

     “พี่เต้เป็นถึงเดือนมหา’ลัยเลยนะ หล่อขนาดนั้น ใครๆ ก็ต้องอยากหล่อเหมือนเขาเป็นธรรมดา” ผมพูดออกไปตามใจคิด แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นใบหน้าบึ้งตึงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเลิกคิ้ว พี่ธารทำหน้าเหมือนไม่คิดว่าคำตอบจะออกมาเป็นแบบนี้ อะไรของเขา ตัวเองถามเองไม่ใช่เหรอ

     “มึงชอบเต้เพราะอยากหล่อเหมือนมัน?”

     “ใช่ครับ”

     หน้าพี่ธารเหมือนคนกำลังโล่งอก ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกอย่างนั้น พี่ธารกระตุกยิ้มหลังหน้าบึ้งมานาน มือหนาเอื้อมมาผลักหัวผมเบาๆ

     “จะอยากหล่อไปทำไม บอกแล้วไงว่าขี้เหร่แบบนี้น่ะดีแล้ว”

     ผมตีหน้าบึ้งใส่พี่ธารบ้าง คนอะไรนิสัยไม่ดี เอาแต่อยากให้คนอื่นขี้เหร่ ผมกำลังจะโวยวาย แต่พอเห็นรอยยิ้มนั้นแล้วก็เปลี่ยนใจนิ่งเงียบ

     ไม่รู้หรอกว่าเป็นอะไร แต่เหมือนตอนนี้พี่ธารจะอารมณ์ดีขึ้นแล้ว ถ้าอย่างนั้นผมจะยอมให้สักวันแล้วกัน

     ผมละสายตาจากพี่ธาร หันมามองนอกกระจก ก่อนจะเลิกคิ้วแปลกใจเมื่อเห็นเส้นทางแปลกไปจากทุกที

     “พี่ไม่กลับบ้านเหรอ” ผมหันไปถามร่างสูง

     “กูจะพาไปกินข้าวนอกบ้าน”

     “ขี้เกียจทำอาหารเหรอ”

     “เปล่า วันก่อนมีเด็กบางคนบอกว่าอยากกินต้มยำปลากะพงร้านดัง กูขี้เกียจสงสารเลยจะพาไป”

     ผมตาโต อารมณ์หงุดหงิดที่โดนว่าขี้เหร่หายไปทันที ผมยิ้มออกมาด้วยความดีใจที่จะได้กินของอร่อย แต่ขณะเดียวกันก็อดแปลกใจไม่ได้

     “พี่จำได้ด้วยเหรอ ผมพูดเองยังจำไม่ได้เลย เกือบลืมไปแล้วด้วยว่าอยากกิน”

     “ถ้าจำไม่ได้กูจะให้มึงหิ้วท้องรอเหรอ ถามอะไรแปลกๆ”

     พี่ธารก็ยังเป็นพี่ธาร ยังคงพูดไม่เพราะ พูดเสียงห้วนใส่ผมเสมอ แต่ผมกลับเริ่มชอบที่เป็นแบบนี้ เพราะภายใต้การกระทำเหล่านั้นล้วนแฝงไปด้วยความใจดีและอ่อนโยน ถ้าเป็นคนอื่นคงมองไม่เห็น แต่ผมที่ใกล้ชิดกับพี่ธารที่สุดย่อมรู้ดี

     ผมอมยิ้ม สีหน้าผมคงแสดงออกถึงความดีใจมากเกินไป พี่ธารเลยหันมาขมวดคิ้ว ผมยิ้มให้พี่ธารแต่ไม่พูดอะไร ไม่บอกหรอกว่าผมคิดอะไรอยู่

     ผมกำลังรู้สึกดีที่พี่ธารใส่ใจคำพูดผม สำหรับคนอื่นอาจเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับผม มันคือเรื่องราวดีๆ ที่ทำให้ความรู้สึกที่ผมมีต่อพี่ชายข้างบ้านเปลี่ยนไปทีละนิด



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter : earthxxide

     Fanpage : Earthxxide
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-05-2023 19:59:07 โดย earthxxide »

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ earthxxide

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตอนที่ 17
ศัตรูหัวใจ


     -ธาร-

     ผมกำลังมีคู่แข่ง

     เป็นคู่แข่งที่ผมคาดไม่ถึง เพราะอีกฝ่ายได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนร่วมคณะ ผมเคยได้ยินกิตติศัพท์ของเต้มาพอสมควร มันชอบคนน่ารัก ไม่เกี่ยงว่าชายหรือหญิง ถ้าน่ารักถูกใจมันไม่ปฏิเสธทั้งนั้น ผมจะไม่ก้าวก่ายรสนิยมมันเลยถ้าคราวนี้คนที่มันถูกใจไม่ใช่ซน เด็กเอ๋อที่ผมรักมาตลอด

     ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายของผมที่ซนชอบผู้หญิง ผมเลยสบายใจว่าซนจะไม่ตกหลุมเต้ง่ายๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังวางใจไม่ได้อยู่ดี แววตาเต้บอกผมว่านั่นไม่ใช่แค่คำขู่ ถ้าผมไม่ทำอะไรสักอย่าง สิ่งที่ผมไม่อยากให้เกิดอาจเกิดขึ้นในสักวัน

     ผมเดินเข้ามาในบ้านซน วันนี้ทั้งซนและผมมีเรียนบ่าย ผมเลยจะมาทำอาหารเช้าให้ จากการดูแลมาร่วมเดือนทำให้ผมรู้ว่าซนชอบตื่นสาย ถ้าผมไม่มาปลุกก็อย่าหวังว่ามันจะตื่นมาใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไป

     โครม!!

     ผมเปลี่ยนจากเดินเป็นวิ่งเร็วๆ ไปยังห้องที่มีอะไรบางอย่างล้มลงพื้น ทันทีที่ผมหยุดอยู่หน้าห้องครัว ซนที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นก็หันมายิ้มแหยให้ ข้างๆ คือบันไดขนาดเล็ก ตู้เหนือหัวถูกเปิดค้างไว้ ผมเลยเดาได้ไม่ยากว่าเจ้าตัวดีคงกำลังปีนบันไดเพื่อจะหยิบของ แต่ดันซุ่มซ่ามตกลงมาก่อน

     ผมเดินเข้าไปพยุงซนให้ลุกขึ้น ปากก็อดบ่นไม่ได้

     “ไม่สร้างเรื่องให้กูปวดหัวสักวันจะตายไหม”

     “ผมไม่ได้สร้างเรื่อง เขาเรียกว่าอุบัติเหตุไม่คาดคิดต่างหาก”

     ถ้าไม่ตอบแบบนี้ก็ไม่ใช่ซนหรอกครับ บางทีผมก็งงตัวเองว่าแค่เด็กเอ๋อคนเดียวจะรักอะไรนักหนา แต่ทำไงได้ ก็มันรักไปแล้ว

     “แล้วนี่กำลังทำอะไร”

     “ทำอาหาร”

     คิ้วของผมเลิกขึ้น ใบหน้าผมแสดงออกชัดว่าคาดไม่ถึงกับคำตอบ

     “กูหูฝาดไปเองหรือมึงบอกว่ากำลังทำอาหารจริงๆ”

     “ไม่หูฝาดหรอก ผมกำลังทำอาหารจริงๆ ทำให้พี่ธารไง”

     จากที่งงอยู่แล้ว ตอนนี้ต้องใช้คำว่าเหลือเชื่อถึงจะเหมาะ ผมเอื้อมมือไปจับศีรษะเล็กพลิกไปมา ซนมองตามมือผมพลางย่นคิ้ว

     “พี่ทำอะไร”

     “เช็กว่าสมองมึงยังปกติอยู่หรือเปล่า เมื่อกี้อาจล้มแรงไป สมองเลยกระทบกระเทือน”

     เจ้าตัวดีหน้ามุ่ย มันปัดมือผมออก ทำหน้าตาจริงจังที่ดูยังไงก็น่าขำในสายตาผม

     “ผมพูดจริงนะ ผมกำลังทำอาหารให้พี่ธาร”

     “เผื่อมึงลืม ครั้งสุดท้ายที่กูให้มึงเข้าครัวมึงยังจะให้กูกินหมูดิบอยู่เลย”

     “เรื่องในอดีตพี่จะรื้อฟื้นมาทำไมเล่า คนเรามันต้องมีผิดพลาดกันบ้าง ตอนนี้ผมพัฒนาขึ้นแล้วนะ”

     ผมอยากถามเหลือเกินว่าพัฒนาไปข้างหน้าหรือพัฒนาถอยหลังลงเหว แต่กลัวว่าถ้าถามแล้วอีกฝ่ายจะเสียกำลังใจเลยเงียบเสีย

     “แล้วนึกยังไงถึงลุกมาทำอาหารให้กูแต่เช้า”

     ซนอึกอัก เอาแต่ก้มหน้างุดไม่ยอมตอบคำถาม สักพักก็เงยหน้ามาพร้อมแก้มแดงๆ ปากเล็กๆ เม้มเข้าหากันก่อนคลายออก

     “ผม...อยากทำอะไรเพื่อพี่บ้าง ไม่อยากให้พี่มาดูแลผมอย่างเดียว”

     ผมกำลังยิ้ม ยิ้มแบบที่ไม่สามารถเก๊กหน้านิ่งได้อีกต่อไป คำถามที่ว่าทำไมผมถึงรักเจ้าเด็กนี่หัวปักหัวปำ ตอนนี้ผมได้คำตอบแล้ว ถึงจะซุ่มซ่าม ถึงจะทำอะไรไม่เป็น ถึงจะชอบทำให้เป็นห่วง แต่มันก็เป็นเด็กเอ๋อที่น่ารักที่สุดในสายตาผม

     “คิดไว้หรือยังว่าจะทำอะไร” ผมรีบหุบยิ้มถามเสียงนิ่ง ยิ้มมากไม่ได้ครับ เดี๋ยวเด็กเอ๋อจะได้ใจไปมากกว่านี้

     “ไข่เจียว”

     “…”

     โอเคครับ หลังจากนี้ผมจะบอกตัวเองว่าไม่ควรคาดหวังอะไรมาก แต่เอาเถอะ มันอุตส่าห์ตั้งใจทำให้ผม ต่อให้เป็นแค่ไข่เจียวผมก็ยินดีทาน

     “แล้วนี่จะหยิบอะไร” ผมถามถึงสาเหตุที่ทำให้เด็กเอ๋อเจ็บตัวแต่เช้า

     “น้ำตาลครับ ผมหาบนเคาน์เตอร์ไม่เจอเลยคิดว่าน่าจะอยู่บนตู้”

     “…” ผมอึ้งรอบที่สอง ไม่รู้จะพูดอะไรกับมันดี

     “พี่ธารชอบกินหวานไหม ผมจะได้กะปริมาณถูก”

     “เอ๋อ!”

     “ครับ?” เจ้าตัวดีตอบกลับมาด้วยดวงตาไม่รู้เรื่องรู้ราว ผมยกมือกุมหน้าผาก ถอนหายใจยาวก่อนผลักมันเบาๆ ให้ถอยห่างจากเคาน์เตอร์ครัว

     “เดี๋ยวกูทำเอง”

     “อ้าว! ไม่ได้ดิ ผมบอกแล้วไงว่าจะทำอาหารให้พี่”

     “ถือว่ากูขอ ถ้ามึงห่วงกูจริงๆ ก็ปล่อยให้กูทำเองเถอะ”

     “พี่ดูถูกผมอีกแล้วนะ แค่ไข่เจียวทำไมผมจะทำไม่ได้”

     “แต่ไข่เจียวที่ใส่น้ำตาลกูยังไม่เคยเห็นใครทำ และกูจะแน่ใจได้ไงว่าถ้าให้มึงทำเองมึงจะไม่ใส่อะไรแปลกๆ ลงไปอีก”

     ซนนิ่งไปครู่หนึ่ง ตากลมโตเบิกกว้างเล็กน้อย ก่อนเจ้าตัวจะยิ้มแหะๆ ราวกับเขินวีรกรรมตัวเอง ผมอยากเขย่าตัวมันแล้วเอาสมองออกมาดูจริงๆ อะไรทำให้คิดว่าไข่เจียวต้องใส่น้ำตาลวะ

     “งั้นผมไปนั่งรอดีกว่า เรื่องทำอาหารปล่อยให้เป็นหน้าที่พี่ธารแล้วกันเนอะ”

     “ก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว”

     ซนรีบหันหลังออกจากห้องครัว ผมส่ายศีรษะให้กับความเอ๋อของมัน ไม่รู้จะเรียกว่าเอ๋อ เปิ่น ซุ่มซ่าม หรือโก๊ะดี หรือบางทีคำนิยามของมันอาจหมายถึงทั้งหมดที่พูดมาก็ได้

     “เอ๋อ”

     “ครับ?” ซนหันกลับมาตอนที่กำลังจะเดินพ้นห้องครัว

     “ขอบใจนะ”

     เจ้าตัวดีทำหน้างง ผมพูดแค่นั้นก่อนจะเริ่มลงมือทำอาหารเช้า ใครว่ามันไม่มีข้อดี ต่อให้หายากแต่ผมก็เจอแล้วข้อหนึ่ง ริมฝีปากผมยกยิ้มเมื่อคิดถึงความเป็นห่วงที่มันมีให้ จะเห็นแก่ตัวไปหรือเปล่าถ้าผมอยากให้ซนห่วงผมคนเดียว ไม่อยากให้มันทำแบบนี้กับคนอื่นนอกจากผม





     “พี่ธารมีธุระอะไรที่คณะผมหรือเปล่า” ซนถามหลังจากผมนั่งลงตรงข้ามมัน โดยฝากไกด์กับโอปอล์ไปซื้อข้าวมาให้ ข้างๆ คือบอนด์ที่นั่งตรงข้ามน้องนาย

     “ไม่มี” ผมตอบด้วยท่าทางสบายๆ “แค่อยากมานั่งกินข้าวด้วย ไม่ได้เหรอ”

     “ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่สงสัยเฉยๆ ตอนก่อนนู้นยังบ่นว่ากับข้าวคณะผมไม่อร่อยอยู่เลย แต่พักนี้กลับมากินทุกวัน”

     ใช่ครับ ช่วงนี้ผมพาเพื่อนมากินข้าวที่คณะซนทุกวัน เหตุผมรองคืออยากอยู่ใกล้มัน เหตุผลหลักคือผมเดาใจเต้ไม่ถูก ไม่รู้ว่ามันจะทำอะไรตอนไหน ถ้าเป็นไปได้ผมอยากเอาเจ้าตัวดีมานั่งเรียนด้วยกันด้วยซ้ำ จะได้ไม่คลาดสายตา

     “ถึงกับข้าวไม่อร่อยแต่สาวๆ คณะนี้อร่อยนะคะ” ผิงส่งยิ้มมาให้ผมกับบอนด์

     “แต่พี่อยากลองชิมหนุ่มคณะนี้มากกว่า ว่าไงครับน้องนาย สนใจให้พี่ชิมไหม” บอนด์ถามน้องนายด้วยสายตาแพรวพราว ไกด์กับโอปอล์ที่เพิ่งกลับมาถึงโต๊ะผิวปากแซวกันยกใหญ่ ส่วนซนกับผิงอึ้งกันไปเรียบร้อย ผมพอจะรู้อยู่บ้างว่าบอนด์คิดยังไงกับน้องนาย พูดแล้วก็อิจฉามันเหมือนกัน ถ้าผมจีบซนแบบเปิดเผยได้เหมือนมันก็คงดี

     “พี่บอนด์อยากชิมเหรอครับ” น้องนายถามกลับด้วยดวงตาพาซื่อ ปราศจากความเขินอย่างที่ผู้หญิงทั่วไปมักจะเป็น

     “ใช่”

     “งั้น...” น้องนายคีบลูกชิ้นของตัวเองมาใส่จานเพื่อนผม “ผมให้สองลูกเลย ชิมให้อร่อยนะครับ”

     เพื่อนผมได้แต่ทำตาปริบๆ เหมือนมันทั้งอยากขำทั้งอยากถอนหายใจพร้อมกัน ถ้าเป็นคนอื่นอาจถูกมองว่ากำลังปฏิเสธทางอ้อม แต่เพราะเป็นน้องนาย ทุกคนจึงหัวเราะโดยไม่มีวี่แววแปลกใจ ผมเบนสายตามามองคนตรงข้าม ซนที่รู้ตัวว่าถูกมองหันมาสบตา ก่อนจะรีบยกชามตัวเองหนีราวกับกลัวว่าจะถูกแย่งอีกคน

     “ผมไม่ให้นะ”

     “กูยังไม่ได้พูดอะไร”

     “แค่มองตาพี่ผมก็รู้แล้ว”

     ผมกระตุกยิ้ม ได้แต่คิดในใจว่าอีกฝ่ายพูดผิดไปนิดหนึ่ง ที่ผมอยากชิมไม่ใช่ลูกชิ้นหรอก แต่เป็นคนที่กำลังยกชามหนีต่างหาก

     “ตกลงไม่มีใครอยากชิมสาวๆ คณะนี้เลยเหรอคะ” ผิงแกล้งทำหน้าผิดหวัง หันมองซ้ายมองขวา ก่อนสายตาจะหยุดอยู่ที่เพื่อนผม “พี่ไกด์ล่ะคะ อยากชิมผิง เอ๊ย! อยากชิมสาวๆ คณะนี้บ้างไหม”

     ไกด์ยิ้มแหยๆ รีบก้มหน้าก้มตากินข้าวจนเกือบติดคอ เรียกเสียงหัวเราะจากทั้งโต๊ะอีกครั้ง ผมกำลังจะหัวเราะตามเพื่อน แต่สายตาพลันไปเห็นคนที่เดินมาทางนี้เสียก่อน ผมหุบยิ้ม ใบหน้าเปลี่ยนเป็นนิ่งเรียบ ซนที่เห็นผมแปลกไปทำหน้างง แต่ก่อนจะพูดอะไรก็มีเสียงจากคนข้างหลังแทรกขึ้นมา

     “น้องซน”

     ทุกคนบนโต๊ะหันไปมองพร้อมกัน ผมได้ยินเสียงผิงอุทานเบาๆ เต้ยิ้มให้ซนพลางมองไปรอบโต๊ะ ก่อนดวงตาคู่นั้นจะหยุดอยู่ที่ผม

     “เผอิญโต๊ะอื่นเต็มหมดแล้ว พี่ขอนั่งด้วยได้ไหมครับ” สายตาคู่นั้นมีแววท้าทาย ผมสบตาเต้ตอบโดยไม่หลบ ก่อนที่ซนกับเพื่อนจะได้ตอบอะไรผมก็ชิงพูดขึ้นมา

     “โทษทีว่ะ โต๊ะนี้ก็เต็มเหมือนกัน”

     “ตรงนั้นก็ยังว่างไม่ใช่เหรอ”

     ตรงนั้นของเต้หมายถึงที่นั่งข้างบอนด์ ซนหันมามองผม สีหน้าแปลกใจที่ผมบอกว่าโต๊ะเต็ม ผมส่งเป้ตัวเองให้บอนด์ ให้มันเอาไปวางข้างๆ ซึ่งบอนด์ที่เข้าใจสายตาผมก็ไม่ทำให้ผิดหวัง

     “ตอนนี้ไม่ว่างแล้ว” ผมยักคิ้วให้คนที่ยืนอยู่ เต้มองผมนิ่ง สักพักรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าอีกครั้ง พวกน้องๆ มองผมกับเต้สลับกัน คงสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ

     “ไม่เป็นไร กูกลับไปกินคณะตัวเองก็ได้” เต้ยักไหล่ ท่าทางไม่ยี่หระกับสิ่งที่ผมทำ ใครจะว่าผมใจแคบกับเพื่อนกับฝูงก็ช่าง แต่ผมจะไม่มีวันเปิดโอกาสให้มันใกล้ชิดกับซนเด็ดขาด

     หลังเต้เดินจากไปไกด์กับโอปอล์ก็หันมามอง ผมส่งสายตาให้เพื่อนว่าจะอธิบายทีหลัง พอดีกับที่ผิงพูดขึ้นมา ทุกคนเลยหันเหความสนใจ

     “หมดกัน นึกว่าจะได้มีโมเมนต์นั่งกินข้าวกับเดือนมหา’ลัยสักครั้ง”

     “คุณผิงอย่าโลภสิครับ”

     “โลภอะไรยะ”

     “แค่นี้โต๊ะเราก็เป็นจุดสนใจของคนทั้งโรงอาหารแล้วนะครับ ขืนมีพี่เต้มาอีกคุณผิงไม่กลัวว่าจะเกร็งจนกินข้าวไม่ลงเหรอครับ”

     “ใครเกร็ง กูออกจะชอบ มีคนมองสิดี เราจะได้ดูน่าอิจฉาไง”

     น้องนายส่ายหัวให้ผิง เพื่อนผมต่างหัวเราะกันใหญ่ มีแต่ผมที่หน้าเรียบเฉยไม่เปลี่ยน ซนที่หัวเราะตามคนอื่น พอหันมาเห็นผมก็หยุดหัวเราะแล้วมองมาอย่างงุนงง ผมยิ้มให้มันก่อนจะทำเป็นทานข้าวต่อ ขณะที่ในใจยังคงพะวงเรื่องศัตรูหัวใจ





     “คุยกันหน่อยสิ”

     ผมชะงักเท้าที่กำลังจะเดินออกจากตึก หันไปมองคนที่จู่ๆ ก็เข้ามาทัก เต้ยืนล้วงกระเป๋ากางเกง มองมาด้วยสายตาที่ชวนให้หงุดหงิด ผมรู้ทันทีว่ามันจะคุยเรื่องอะไร

     “เอาสิ”

     “กูชอบซน”

     ผมนึกว่าเต้จะพาไปหาที่เงียบๆ คุยกัน แต่มันกลับเข้าประเด็นโดยไม่รีรอ ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องอ้อมค้อม

     “มาบอกกูทำไม”

     “แค่อยากให้มึงรู้ไว้ว่ากำลังมีคู่แข่ง”

     “หึ” ผมแค่นยิ้มให้คนตรงหน้า “ดูเหมือนความเป็นเพื่อนของมึงกับกูจะจบลงตรงนี้สินะ”

     “ตรงกันข้ามเลย เพราะกูยังเห็นมึงเป็นเพื่อนเลยมาขอตรงๆ”

     “อย่าหวังว่ากูจะยกซนให้มึง” ผมตอบกลับไปทันควัน ไม่เสียเวลาคิดแม้แต่น้อย เต้ดุนลิ้นที่กระพุ้งแก้ม ท่าทางมันยังสบายอารมณ์ ผิดกับผมที่เสียงเริ่มแข็ง

     “งั้นความเป็นเพื่อนของเราก็คงต้องจบอย่างที่มึงว่า”

     “กูไม่คิดจะแข่งกับมึง สำหรับกูซนไม่ใช่ของรางวัลในการแข่งขัน”

     “พูดซะพระเอกเชียวนะ จะดีเหรอ กูถือแต้มนำมึงอยู่นะ”

     “แต้มอะไร” ผมขมวดคิ้ว

     “มึงชอบซนมานาน ทำไมกูจะไม่รู้ แต่ที่ตอนนี้ยังไม่มีอะไรคืบหน้าเพราะมึงมีเหตุผลบางอย่างเลยไม่กล้าเดินหน้า กูพูดถูกไหม”

     “…” คำพูดคนตรงหน้าราวกับหมัดหนักๆ ที่ชกเข้ามากลางใบหน้า เต้ยิ้มมุมปาก มันทำหน้าเหมือนได้คำตอบแล้วทั้งที่ผมยังไม่ได้พูดอะไร

     “ก็ไม่รู้หรอกนะว่ามึงมีเหตุผลอะไร แต่ถ้ายังทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ ก็ถอยออกไปดีกว่าไหม ปล่อยให้คนที่พร้อมดูแลซนไม่ดีกว่าเหรอ”

     “ซนมันไม่ได้ชอบผู้ชาย”

     “มาลองดูกันไหมล่ะ ว่ากูหรือมึงจะเปลี่ยนใจซนได้ก่อนกัน” เต้ทำท่าจะเดินผ่านผมไป แต่มันก็หยุดยืนข้างๆ เอื้อมมือมาตบบ่าเบาๆ “ไม่ต้องห่วง ถ้าซนเลือกมึงเมื่อไหร่กูจะถอยทันที แต่กูไม่คิดว่าจะมีวันนั้นหรอกนะ”

     ผมยังยืนนิ่ง ถึงแม้คนที่ทิ้งคำพูดชวนหงุดหงิดไว้จะจากไปแล้วก็ตาม มือของผมกำเข้าหากันแน่น วินาทีนั้นเองที่ผมสลัดความกลัวและความลังเลออกไปจากใจ ต่อไปนี้ผมจะทำทุกอย่างเพื่อให้ซนรักผม ไม่ว่ามันจะยากแค่ไหน ไม่ว่าอุปสรรคจะเยอะเท่าไหร่ ผมก็จะไม่มีวันยอมแพ้ ผมรักซนมานาน นานเกินกว่าจะปล่อยให้ใครได้ไป ซนต้องเป็นของผม แค่ของผมคนเดียวเท่านั้น



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter : earthxxide

     Fanpage : Earthxxide
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-05-2023 20:10:15 โดย earthxxide »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

✿。 รัก.ข้าม.รั้ว 。✿ [ตอนที่ 17] ✪ 10/05/2023
« ตอบ #39 เมื่อ: 10-05-2023 18:30:13 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ earthxxide

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตอนที่ 18
คำถามที่ไม่มีคำตอบ


     “มีอะไรว่ามา” ผมถามผิงที่นัดแต่เช้าทั้งที่มีเรียนสิบโมง ข้างๆ คือน้องนายที่กำลังปิดปากหาวหวอดๆ

     “กูรู้สึกว่าพักนี้มักจะเกิดเรื่องแปลกๆ กับกลุ่มเรา”

     “อะไรคือเรื่องแปลกๆ”

     ผิงทำหน้าจริงจังราวกับเรื่องที่จะพูดเป็นเรื่องสำคัญระดับชาติ หันไปหาน้องนายที่หน้าตาง่วงงุน

     “เริ่มจากมึงก่อนเลย”

     “ผม?” น้องนายชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง

     “ตอนแรกกูไม่พูดเพราะอยากให้มึงรู้ด้วยตัวเอง แต่ในเมื่อเมื่อวานพี่บอนด์แสดงออกชัดขนาดนั้น กูในฐานะเพื่อนสนิทคงไม่พูดไม่ได้”

     “คุณผิงจะพูดอะไรครับ”

     “กูเกริ่นขนาดนี้มึงยังเดาไม่ออกอีกเหรอ ต้องให้พี่บอนด์บอกชอบตรงๆ ใช่ไหมมึงถึงจะรู้ตัว”

     ถ้าเป็นคนอื่นคงตกใจตาค้าง ไม่ก็ยิ้มหน้าบานที่รู้ว่าหนุ่มฮอตของมหา’ลัยมาชอบ แต่เพื่อนผมเพียงแค่เอียงคองง ไม่มีวี่แววตกใจสักนิด จนผมอดคิดไม่ได้ว่าต่อมความรู้สึกมันยังทำงานปกติอยู่หรือเปล่า

     “คุณผิงจะบอกว่าพี่บอนด์ชอบผมเหรอครับ”

     “ใช่ รอบนี้กูมั่นใจ ใครเห็นสายตาพี่บอนด์เมื่อวานก็รู้ทั้งนั้น มีมึงคนเดียวนั่นแหละที่ไม่รู้”

     “ใครว่าผมไม่รู้ ผมรู้มาตั้งนานแล้วว่าพี่บอนด์ชอบผม”

     “…”

     “พี่บอนด์เคยบอกว่าเป็นลูกคนเดียว แกคงเหงาเลยสนใจผมอยากเอาไปเป็นน้องชาย เรื่องนี้ผมรู้อยู่แล้วครับ”

     ผิงทำหน้าเหมือนคนหมดแรง หันมามองผมเหมือนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว ผมส่ายหน้าให้ผิงพอแค่นี้ เรื่องแบบนี้คงต้องให้มันไปคุยกับพี่บอนด์เอง พวกผมเป็นแค่เพื่อน พูดยังไงก็คงไม่เข้าใจ

     “เอาเป็นว่าเรื่องมึงจบเพียงเท่านี้ และกูอาจไม่พูดเรื่องนี้อีกเพราะยิ่งพูดกูยิ่งเพลีย ต่อไปก็เรื่องมึง” ผิงเบนสายตามาทางผม “ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องของมึงหรอก แต่กูคิดว่ามึงน่าจะรู้ พี่ธารกับพี่เต้ทะเลาะกันเหรอ”

     “ทำไมมึงคิดแบบนั้น” ผมย่นคิ้ว นึกแปลกใจที่เพื่อนคิดเหมือนกัน

     “มึงไม่เห็นพี่ธารเมื่อวานเหรอ ปกติก็หน้าดุอยู่แล้ว ตอนจ้องตากับพี่เต้ยิ่งดุเข้าไปใหญ่ ไหนจะเรื่องที่ไม่ให้พี่เต้นั่งร่วมโต๊ะอีก คิดเป็นอย่างอื่นได้ด้วยเหรอนอกจากทะเลาะกัน”

     น้องนายพยักหน้าเห็นด้วยกับผิง ผมเองก็คิดเหมือนมัน แต่จะให้ถามออกไปตรงๆ ก็กลัวโดนดุกลับมา เลยได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ

     “กูไม่รู้หรอก กูไม่ได้สนิทกับพี่ธารขนาดนั้น”

     ผิงหรี่ตา สีหน้าเหมือนหมั่นไส้คำพูดผม

     “ถ้าอย่างมึงเรียกไม่สนิท พวกกูก็คงเป็นคนแปลกหน้าสำหรับพี่เขาแล้วล่ะ ในมหา’ลัยไม่มีใครสนิทกับพี่ธารเท่ามึงแล้วค่ะ”

     “กูดูสนิทกับพี่ธารขนาดนั้นเลยเหรอ”

     “ยิ่งกว่าขนาดนั้นเลยแหละ พักหลังมานี้กูนึกว่าพ่อลูก นอกจากเวลาเรียนก็ตัวติดกันตลอดเวลา”

     นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ผมสงสัย พักหลังมานี้พี่ธารมักมาอยู่กับผมบ่อยๆ ทำเหมือนมีเวลาว่างมากทั้งที่งานตัวเองก็ใช่ว่าจะน้อย ไม่รู้เป็นผู้ปกครองหรือเป็นบอดี้การ์ดกันแน่

     “เอาเป็นว่ามึงไปสืบเรื่องพี่ธารกับพี่เต้ให้หน่อย ลองเลียบๆ เคียงๆ เดี๋ยวพี่ธารก็ยอมบอกเอง” ผิงมอบหน้าที่ให้ผม เป็นอันจบการซักฟอกยามเช้า

     “ทำไมกูต้องทำแบบนั้น”

     “เพราะกูอยากรู้ น้องนายก็อยากรู้ และมึงเองก็คงอยากรู้เหมือนกัน ใช่ไหมคุณน้องนาย” ผิงหันไปหาพวก ใช้สายตากดดันจนน้องนายยอมเออออตาม

     “ใช่ก็ได้ครับ”

     “สืบมาให้ได้ล่ะ ภารกิจนี้ห้ามมีคำว่าล้มเหลว กูรอฟังอยู่”

     ผมล่ะเพลียใจกับเพื่อนตัวเองจริงๆ กับเรื่องเรียนไม่เห็นจริงจังขนาดนี้เลย แต่ว่ามันไม่ได้ ผมเองก็อยากรู้อย่างที่มันบอกจริงๆ งั้นลองดูหน่อยแล้วกัน อย่างมากคงโดนว่ายุ่งไม่เข้าเรื่อง ถามนิดๆ หน่อยๆ พี่ธารคงไม่โกรธหรอก





     “เป็นอะไร” พี่ธารถามเมื่อเห็นผมเอาแต่ขยุกขยิก นั่งไม่นิ่ง ผมยกมือมาเกาแก้ม ยิ้มแห้งให้ร่างสูง

     “มันไม่ชินยังไงไม่รู้น่ะครับ” วันนี้พี่ธารพาผมมาทานข้าวบ้านน้าพร พี่ธารอยากทำอาหารฝรั่ง แต่ครัวบ้านผมไม่มีเตาอบเลยต้องมาทำบ้านนี้ ผมเคยเข้าบ้านน้าพรแค่ครั้งเดียวตอนมาขอร้องพี่ธารเรื่องถ่ายวีทีอาร์ พอมานั่งทานข้าวแบบนี้เลยรู้สึกแปลกๆ

     “ทำตัวให้ชินไว้ อีกหน่อยมึงต้องเข้าออกบ้านนี้บ่อยๆ”

     “ทำไมผมต้องทำแบบนั้น”

     “กูไม่ได้ขยันพอจะไปกลับสองบ้านทุกวันหรอกนะ ใจคอจะให้กูไปทำอาหารบ้านมึงทุกวันเลยหรือไง”

     บ่นเป็นคนแก่ไปได้ ได้ข่าวว่าบ้านผมกับบ้านพี่ห่างกันสองก้าวถึง รั้วก็ติดกัน ปีนข้ามมายังได้เลย เอาอะไรมาเหนื่อย

     “งั้นวันไหนพี่อยากอยู่บ้านตัวเองบอกมาแล้วกัน เดี๋ยวผมมาทานข้าวที่นี่” แต่เพื่อปากท้องของตัวเองผมจึงต้องยอมสงบปากสงบคำ แม้ว่ามันจะไม่ค่อยสมเหตุสมผลก็ตาม





     “อิ่มแล้วเหรอ”

     “ครับ” ผมตอบพลางวางช้อนส้อม ที่ผ่านมาพี่ธารทำแต่อาหารไทย พอได้ลองทานอาหารฝรั่งผมเลยรู้ว่าพี่ธารทำอาหารเก่งมาก จนผมอดเสียดายไม่ได้ที่หน้าหล่อๆ ฝีมือการทำอาหารดีๆ ดันมาอยู่กับคนอย่างพี่ธาร

     “ขอบคุณสำหรับอาหาร ผมกลับก่อนนะ” ผมลุกขึ้นยืนเตรียมกลับบ้านตัวเอง แต่คนตัวสูงกลับเรียกเอาไว้

     “ไม่คิดจะช่วยกูล้างจานเลยหรือไง”

     “หือ?”

     “อุตส่าห์ทำอาหารให้ กินเสร็จแล้วจะชิ่งกลับเลยเหรอเอ๋อ”

     “พี่จะให้ผมล้างจานเหรอ”

     “ทำไม มีปัญหา? งั้นวันหลังมึงทำกินเองนะ”

     “เฮ้ย ผมยังไม่ได้พูดอะไรเลย ล้างก็ล้างสิ แค่นี้เองทำไมจะช่วยไม่ได้” ผมไม่ได้ไร้น้ำใจ แต่ที่เห็นผมงงคือนึกไม่ถึงว่าพี่ธารจะไว้ใจให้ผมล้างจานบ้านเขา จานบ้านตัวเองผมยังทำแตกมาแล้วเลย คิดอะไรของพี่มันอยู่วะ

     “งั้นก็มาช่วยยกไปในครัว ถือดีๆ อย่าให้แตกนะมึง”

     “คร้าบๆ”





     “พี่ธาร ไหนบอกว่า...” ผมได้แต่ยืนงง เมื่อจู่ๆ คนที่บอกให้ช่วยล้างจานกลับแย่งจานที่ผมยกมาไปล้างเองหน้าตาเฉย

     “มึงชักช้า”

     อ้าว! คนอุตส่าห์จะช่วย ดันโดนด่าซะงั้น

     “ตกลงผมไม่ต้องช่วยล้างแล้วใช่ไหมจะได้กลับบ้าน”

     “เดี๋ยว”

     พี่ธารจับแขนผมดึงให้ไปอยู่หน้าตัวเอง ก่อนจะยื่นมือผ่านตัวผมไปล้างจานต่อทั้งแบบนั้น เท่ากับตอนนี้ผมตกอยู่ในวงแขนพี่ธาร ถ้ามองเผินๆ จะดูเหมือนผมกำลังถูกพี่ธารกอดจากด้านหลัง

     “ทำอะไรของพี่เนี่ย เดี๋ยวก็ล้างจานไม่สะดวก” ผมพยายามฝืนตัวออกจากวงแขน แต่พี่ธารกลับใช้มือข้างหนึ่งรวบเอวผมไปชิดอกตัวเอง

     “กูจะล้างไม่สะดวกเพราะมึงเอาแต่ดิ้นนี่แหละ อยู่เฉยๆ เป็นไหม”

     “ก็พี่เอาผมมาอยู่ตรงนี้ทำไมเล่า” ผมถามเสียงอ่อย สู้เสียงดุๆ พี่ธารไม่ได้สักครั้ง ได้ยินทีไรเป็นต้องกลัวทุกที

     “เอ๋อ อยู่นิ่งๆ”

     เพียงเท่านั้นผมก็ยืนนิ่งเป็นหุ่นไล่กา ไม่กล้าต่อล้อต่อเถียงอะไรอีก ผมไม่เข้าใจพี่ธารจริงๆ จะล้างจานก็ล้างไปสิ ผมแค่จะกลับบ้านไม่ได้หนีเที่ยวสักหน่อย สงสัยอินกับบทบาทผู้ปกครองเกินไป





     ผมยกมือปิดปากหาว ตรงหน้าคือรายการหนังผีที่ไม่น่ากลัวเลยสักนิด นาฬิกาบนผนังบอกเวลาสี่ทุ่มครึ่ง สาเหตุที่ผมยังอยู่บ้านพี่ธารเพราะเจ้าของบ้านบอกว่าอยากดูหนังผีแต่กลัวผี ผมเลยต้องอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าหนังจะจบ

     ผมหันไปมองคนข้างๆ ที่ตั้งแต่หนังเริ่มก็ไม่มีท่าทางกลัวหรือสะดุ้งให้เห็นสักแอะ นี่น่ะเหรอคนกลัวผี ผมไม่เห็นว่าจะกลัวตรงไหน ออกแนวเบื่อด้วยซ้ำ ผมหันกลับมาเมื่อพระเอกในหนังฆ่าผีได้สำเร็จ จึงลุกขึ้นยืนด้วยอาการง่วงงุน

     “หนังจบแล้ว ผมกลับบ้านก่อนนะ”

     มือหนาเอื้อมมาจับข้อมือผม พี่ธารเงยหน้าขึ้นมอง ริมฝีปากยกยิ้มนิดๆ เมื่อเห็นผมขยี้ตา

     “ง่วงแล้วเหรอ”

     “ครับ”

     “งั้นคืนนี้ค้างที่นี่เถอะ นอนห้องกูก็ได้”

     “ฮะ!?” อาการงัวเงียหายเป็นปลิดทิ้ง ผมตกใจจนเผลออ้าปากค้าง พี่ธารหัวเราะเบาๆ มองผมด้วยแววตาขบขัน

     “ตกใจอะไร มึงเป็นผู้หญิงเหรอที่พอผู้ชายชวนนอนด้วยกันก็เขินอายขึ้นมา”

     “ไม่ใช่แบบนั้น ผมแค่นึกไม่ถึงว่าพี่จะชวน”

     “กูเห็นสภาพมึงแล้วสงสาร กลัวจะกลับไม่ถึงบ้าน สลบคาประตูซะก่อน”

     ก็ใครล่ะบังคับให้อยู่ดูหนังจนดึกดื่น แล้วยังจะมาพูดเหมือนไม่ใช่ความผิดตัวเองอีก มันน่านัก

     “ก็ได้ แต่ผมไม่อาบน้ำแล้วนะ ผมอาบจากบ้านตัวเองมาแล้ว ไม่อยากอาบใหม่”

     “ตามใจ จะนอนทั้งชุดนี้ก็ได้” ปกติผมใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้นนอนอยู่แล้ว เลยไม่ต้องเปลี่ยนชุดนอนให้มากความ

     “งั้นพี่จะขึ้นห้องเลยไหม ผมง่วงแล้ว” เมื่อเจ้าของบ้านอนุญาตแล้วผมจึงไม่คิดจะเกรงใจ มันง่วงจริงๆ ครับ ตาจะปิดอยู่รอมร่อ

     “อืม ขึ้นเลยก็ได้”

     ไม่รู้ผมตาฝาดไปหรือเปล่า เหมือนผมจะเห็นพี่ธารยิ้มตอนที่ผมถาม คงตาฝาดแหละ ไม่เห็นมีอะไรน่ายิ้มเลย ก็แค่ผมถามเหมือนห้องพี่ธารเป็นห้องตัวเอง อย่าถือสาคนง่วงเลยครับ แค่พูดรู้เรื่องก็บุญแล้ว





     “ไม่เอา” ผมส่ายหน้าจนผมกระจาย มองคนบนเตียงด้วยสายตาหวาดหวั่น

     “แล้วมึงจะนอนไหน”

     ผมชี้ไปยังที่ว่างข้างเตียง พี่ธารมองตามก่อนจะถอนหายใจ

     “ห้องกูไม่มีผ้านวม มึงแน่ใจเหรอว่าจะนอนบนพื้นแข็งๆ ในห้องที่เปิดแอร์จนหนาว”

     “พี่ก็อย่าเปิดแอร์แรงดิ”

     “กูขี้ร้อน”

     “งั้นผมกลับไปนอนบ้านตัวเอง”

     “มาถึงนี่แล้วจะกลับทำไม แค่นอนเตียงเดียวกันไม่เห็นเป็นไรเลย”

     เป็นสิ เป็นมากด้วย ผมยังจำความรู้สึกวันที่ถ่ายวีทีอาร์ได้อยู่เลย แค่โดนตัวนิดๆ หน่อยๆ ก็ใจเต้นแรงแล้ว ถ้าต้องนอนเตียงเดียวกันอกผมไม่ระเบิดเลยเหรอ

     “หรือว่า...” พี่ธารยิ้มมุมปากพร้อมกับคลานเข้ามา ผมเผลอก้าวถอยหลัง จู่ๆ ก็รู้สึกถึงอันตรายบางอย่าง “มึงคิดอะไรกับกู”

     “ชะ...ใช่ที่ไหนเล่า!!” ผมโพล่งออกไปเสียงดัง มันเป็นไปเองอัตโนมัติ

     “แล้วทำไมหน้าแดง”

     “ผม...ผมร้อน ห้องพี่อย่างกับซาวน่า จะช่วยลดโลกร้อนเหรอถึงเปิดแอร์เบาขนาดนี้” ผมเถียงข้างๆ คูๆ ทั้งที่ความจริงไม่จำเป็นด้วยซ้ำ

     “ไหนเมื่อกี้ห้ามไม่ให้กูเปิดแอร์แรง”

     “…” ผมเถียงไม่ออกเมื่อโดนคำพูดตัวเองย้อนเล่นงาน พี่ธารหัวเราะหึๆ ถอยไปนอนตามเดิม ตบมือลงบนที่ว่างข้างตัวเอง

     “ไม่แกล้งแล้ว มานอนเถอะ ง่วงไม่ใช่เหรอ”

     ผมยังคงมองด้วยสายตาไม่ไว้ใจ แต่สุดท้ายก็ค่อยๆ ก้าวขึ้นเตียง ผมล้มตัวลงนอนโดยเว้นระยะห่างกับเจ้าของห้อง พี่ธารขมวดคิ้ว เอื้อมมือมาดึงผมเข้าไปชิดจนแทบไม่มีช่องว่าง

     “เฮ้ยพี่!”

     “นอนชิดขอบขนาดนั้นเดี๋ยวก็ตกลงไปหรอก ทำไม กลัวกูปล้ำเหรอ”

     “ปะ...ปล้ำอะไรของพี่!!”

     “หึ” พี่ธารกระตุกยิ้ม โน้มหน้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจ “เด็กน้อยจังนะมึง แค่ปล้ำก็ไม่รู้จัก อยากให้กูสาธิตไหม”

     “อ๊ากกก” ผมใช้แรงทั้งหมดที่มีผลักคนตัวสูงออกไปจากตัว ผมไม่ได้โง่ถึงขนาดไม่รู้จักเสียหน่อย ไอ้พี่ธารนั่นแหละตาบอดหรือเปล่า ผมเป็นผู้ชายนะ มาปลงมาปล้ำอะไร ไม่ขนลุกบ้างเหรอวะตอนพูดออกมา

     “มีแรงแค่นี้เหรอ”

     “เรื่องของผม หลังจากนี้พี่ห้ามเข้ามาใกล้อีก ไม่งั้นผมไล่ไปนอนนอกห้องจริงๆ ด้วย”

     “เดี๋ยว นี่ห้องกู”

     “ไม่รู้แหละ ถ้าเข้ามาใกล้เมื่อไหร่โดนแน่”

     “โดนอะไร”

     นั่นสิ โดนอะไรดี อะไรที่คนตัวเล็กๆ อย่างผมพอจะทำให้คนตัวเท่าควายอย่างไอ้พี่ธารร้องโอดโอยได้บ้าง

     “เอาเป็นว่าถ้าพี่มาโดนตัวผมแม้แต่นิดเดียวจะโดนไม่ใช่น้อย อยากรู้ว่าหมัดผมหนักแค่ไหนก็ลองเข้ามา”

     “หึๆ กลัวจนหัวหดเลยเตี้ยเอ๊ย” สายตาที่มองมาบอกว่าคนพูดไม่ได้กลัวเหมือนอย่างที่พูดแม้แต่น้อย แต่ผมจะไม่เสียเวลาต่อปากต่อคำอีกต่อไป ผมพลิกตัวหันหน้าหนี ไม่พูดอะไรอีก ได้ยินเสียงหัวเราะลอยมาเบาๆ ก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบสงบ

     ไฟกลางห้องถูกปิดลง พี่ธารคงลุกไปปิด ผมรู้ได้เพราะหลังจากนั้นไม่นานเตียงอีกด้านก็ยวบลง ผ้าห่มผืนใหญ่ถูกดึงมาคลุมถึงคอ ผมลืมตาท่ามกลางความมืด หลังรอให้เวลาผ่านไปสักพักจึงค่อยๆ หันไปหาอีกคน

     พี่ธารหายใจสม่ำเสมอ น่าจะหลับไปแล้ว ผมยกมือแตะอกข้างซ้ายตัวเอง หวนคิดถึงอาการใจเต้นตึกตักที่กลับมาอีกครั้งตอนพี่ธารโน้มหน้ามาใกล้ ทำไมผมถึงใจเต้นแรงกับผู้ชาย ทำไมตอนพี่ธารพูดสองแง่สองง่ามผมถึงเขินแทนที่จะขยาด ทำไมผมถึงรู้สึกอยากยิ้มแค่เพราะพี่ธารห่มผ้าให้ คำถามมากมายวนเวียนอยู่ในหัว ล้วนแต่เป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ ดวงตาผมเริ่มปิดลงเพราะความเพลีย หรือที่จริงแล้วผม...Zzz



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter : earthxxide

     Fanpage : Earthxxide
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-05-2023 20:24:39 โดย earthxxide »

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ earthxxide

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตอนที่ 19
ใจเต้นแรง


     “แล้วมึงก็หลับไปทั้งอย่างนั้น ไม่ได้ถามเรื่องพี่เต้” ผิงสรุปหลังผมเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง ผมยิ้มแห้งให้เพื่อน

     “ตามนั้น”

     “กูว่าแล้ว” ผิงทำหน้าไม่แปลกใจจนผมแปลกใจซะเอง

     “มึงรู้อยู่แล้วเหรอว่าพี่ธารจะชวนกูไปนอนบ้านเขา”

     “เปล่า กูรู้อยู่แล้วว่าไหว้วานมึงทีไรไม่เคยได้เรื่องสักครั้ง”

     “คุณผิงก็อย่าว่าคุณซนเลยครับ ที่จริงเราไม่ควรทำอะไรแบบนี้เลยนะครับ มันไม่ใช่เรื่องของเรา”

     “ไอ้น้องนาย มึงพูดขนาดนี้ด่ากูว่าเสือกเลยเถอะ”

     “ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น”

     ผิงทำเสียงขึ้นจมูกใส่น้องนาย เชิดหน้าจนผมกลัวคอจะเคล็ด

     “กูไม่ได้เสือก เขาเรียกว่าเอาใจใส่ด้วยความปรารถนาดี คนหนึ่งกูแอบกรี๊ดมานาน อีกคนก็เป็นถึงพี่ชายข้างบ้านเพื่อน จะให้กูทนอยู่เฉยๆ มองพวกเขาทะเลาะกันเหรอ”

     “พูดอย่างกับมึงจะไปช่วยอะไรเขาได้” ผมอดขัดไม่ได้

     “ถูก กูช่วยอะไรไม่ได้ แต่อย่างน้อยขอกูได้รับรู้ข่าวสารแบบชิดขอบเวทีก็ยังดี”

     ผมกับน้องนายส่ายหน้าพร้อมกัน ถ้าบอกว่าหาความโรแมนติกจากน้องนายยากแล้ว ผมว่าหาสาระจากผิงน่าจะยากกว่า

     “เอาเป็นว่ากูจะลองไปถามพี่ธารให้แล้วกัน คราวนี้กูจะพยายามไม่ลืม” ผมไม่ได้ทำเพราะเพื่อนขอ แต่เพราะผมก็สงสัยเหมือนกัน

     “ว่าแต่คุณซนมีเรื่องไม่สบายใจหรือเปล่าครับ”

     “หือ?” ผมงงเมื่อจู่ๆ น้องนายก็ถามถึงเรื่องอื่น

     “เมื่อเช้าผมเห็นคุณซนเดินขมวดคิ้วมา เหมือนมีเรื่องคิดมากอยู่เลย”

     ผิงหันมามองอย่างสงสัย ผมอึกอัก ไม่นึกว่าเพื่อนจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมา และไม่แน่ใจว่าควรพูดกับเพื่อนดีไหม

     “ทำหน้าแบบนี้ ไอ้น้องนายพูดถูกชัวร์ มีอะไรหรือเปล่า มึงพูดกับพวกกูได้นะเว้ย”

     “มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก คือ...” ผมหลุบตามองต่ำ

     “คือ?” ผิงทำหน้าลุ้นว่าผมจะพูดอะไร น้องนายมองมาด้วยสายตาเป็นห่วง

     “กูแค่กำลังสงสัยน่ะ ว่ามันมีเหตุผลอะไรบ้างที่คนเราจะใจเต้นแรงกับใครสักคน”

     เพื่อนผมต่างทำหน้าเหลอหลา เหมือนไม่คิดว่าผมจะกำลังคิดมากเรื่องนี้ ผิงเอื้อมมือมาจับไหล่ เขย่าจนหัวสั่นหัวคลอน

     “มึงกำลังมีความรักเหรอซน!”

     “เฮ้ย! กูยังไม่ได้พูดเลยว่ามีความรัก” ผมสะดุ้ง

     “โธ่เพื่อนกู โตขนาดนี้แล้วยังไม่ประสีประสาอีก กูถามก่อน คนที่ใจเต้นแรงคือมึงใช่ไหม”

     ผมคิดจะโกหกว่าเป็นเรื่องคนอื่น แต่พอเห็นสายตารู้ทันของเพื่อนก็โกหกไม่ลง ได้แต่พยักหน้ากลับไป

     “งั้นคำตอบก็ง่ายนิดเดียว มันมีไม่กี่เหตุผลหรอกที่เราจะใจเต้นแรงกับใครสักคน ถ้าไม่ใช่เพราะมึงซัดกาแฟเข้าไปสิบแก้วก็แสดงว่ามึงชอบเขาไง”

     !!!

     ผมไม่รู้จะทำหน้ายังไงเมื่อเจอคำตอบของผิงเข้าไป ในหัวเอาแต่เล่นคำพูดของเพื่อนซ้ำไปซ้ำมา มึงชอบเขา มึงชอบเขา ผมชอบพี่ธาร พี่ธารที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน...

     “อ๊ากกก” ผมยกมือทึ้งหัวตัวเอง ผิงกับน้องนายตกใจที่จู่ๆ ท่าทางผมก็แปลกไป

     “มึงเป็นอะไรเนี่ย ผีเข้าเหรอ”

     “กู...กูชอบเขาจริงๆ เหรอวะ” ผมถามผิงอย่างต้องการความแน่ใจ ผิงดูงงๆ แต่ก็พยักหน้า

     “มันจะมีเหตุผลอะไรอีกถ้าไม่ใช่ว่ามึงชอบเขา ทำไมถามแบบนี้วะ คนที่มึงชอบเขาไม่น่าชอบขนาดนั้นเลยเหรอ”

     ไม่ใช่ไม่น่าชอบ แต่มันไม่ควรชอบต่างหาก ผมกับไอ้พี่ธารเนี่ยนะ แค่คิดเฉยๆ ก็รู้สึกแปลกแล้ว ผมเป็นผู้ชายนะเว้ย ผู้ชายที่มองแต่ผู้หญิงมาตลอด แล้วทำไมถึง...

     “ผิง”

     “อะไร”

     “กูเป็นเกย์เหรอวะ”

     “ฮะ!?” สองเสียงดังพร้อมกัน ขนาดน้องนายที่เรียบร้อยที่สุดในกลุ่มยังหลุดคำอุทาน ผมทำหน้าว้าวุ่นใจ นี่เป็นสิ่งที่ผมไม่คิดว่าจะเกิดกับตัวเอง ผมชอบพี่ธารเหรอ ชอบได้ยังไง ชอบตั้งแต่ตอนไหน หรือพี่มันเล่นของใส่ผม

     “มึงอธิบายมาให้เคลียร์ซิ ทำไมถึงคิดว่าตัวเองเป็นเกย์” ผิงถามจบก็เบิกตาโต “อย่าบอกนะว่าคนที่มึงชอบเป็นผู้ชาย”

     “กู...”

     “กูอะไร”

     “กู...ไม่มั่นใจว่ะ กูชอบพี่ธารจริงๆ เหรอ มันเหลือเชื่อมากเลยนะ ใครจะไปทำใจยอมรับได้วะ”

     “พี่ธาร!?” ผิงกับน้องนายตะโกนออกมาพร้อมกัน ก่อนจะหันไปค้อมหัวให้โต๊ะอื่นที่เสียงดังเกินไป วินาทีนั้นเองที่ผมรู้ตัวว่าพลาด

     “เรื่องมันเป็นมายังไงกันแน่ครับคุณซน” น้องนายเริ่มไต่สวน

     “เล่ามาให้หมดเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นก็โดดเรียนกันยกกลุ่มนี่แหละ” ผิงยื่นคำขาด ดูจากสีหน้าแล้วผมรู้ว่ามันเอาจริงแน่นอน โธ่ แล้วผมจะทำอะไรได้ล่ะครับนอกจากเล่าเรื่องทุกอย่างให้เพื่อนฟัง

     แต่เอาเถอะ ไหนๆ ก็หลุดปากไปแล้ว คิดซะว่าเล่าสู่กันฟังแล้วกัน ไม่แน่พวกมันอาจมีคำแนะนำดีๆ ให้ก็ได้ ผมเชื่ออย่างนั้นนะ





     “อย่างนี้นี่เอง” ผิงยกมือลูบคาง ผมที่เล่าเรื่องตัวเองหมดเปลือกแล้วได้แต่รอความเห็นจากเพื่อน

     “คุณซนกำลังสับสนในตัวเอง”

     “ใช่”

     “ใครจะไม่สับสนบ้างวะ ชอบผู้หญิงมาทั้งชีวิต จู่ๆ วันหนึ่งดันใจเต้นแรงกับผู้ชาย” ผมพูดออกมาตามตรง

     “กูรู้ว่ามันทำใจยอมรับยาก แต่ในเมื่อมึงชอบพี่ธารไปแล้วมันก็คือชอบ ความรักไม่เลือกเพศหรอกนะ”

     “มึงคิดว่ากูชอบพี่ธารเหรอ”

     “อ้าวไอ้นี่ อาการชัดขนาดนี้ มึงคงเกลียดพี่ธารมั้งคะ”

     “อย่าเพิ่งประชดดิ กูไม่มั่นใจจริงๆ กูชอบพี่ธารจริงเหรอวะ” ผมรู้ว่ามันเป็นคำถามที่ควรถามตัวเองมากกว่าคนอื่น แต่นาทีนี้ผมคิดอะไรไม่ออกเลย ตั้งแต่คำว่าชอบออกจากปากผิงสมองผมก็เหมือนหยุดทำงาน ในหัวเอาแต่ถามตัวเองซ้ำๆ ว่าผมชอบพี่ธารจริงเหรอ

     ผิงกับน้องนายหันไปมองตากัน สีหน้าเหมือนไม่รู้จะตอบผมยังไงดี แต่ผ่านไปสักพักผิงก็ทำหน้าเหมือนนึกอะไรดีๆ ออก มันหันมายิ้มให้ผม เป็นรอยยิ้มที่แค่มองก็รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ชอบกล

     “กูนึกวิธีดีๆ ออกแล้ว”

     “วิธีอะไร”

     “วิธีที่จะพิสูจน์ว่ามึงชอบพี่ธารจริงหรือเปล่า” ผิงอมยิ้มเหมือนภูมิใจความฉลาดของตัวเอง ก่อนจะเริ่มบอกแผนการของมันให้ฟัง





     “ยังไม่ชินอีกเหรอ”

     “ครับ?” ผมหน้าเหลอหลาเมื่อจู่ๆ พี่ธารก็ถามขึ้นมา

     “กูเห็นมึงเอาแต่ขมวดคิ้ว ทำหน้ายุ่งอย่างกับโดนรถทับ ยังไม่ชินกับบ้านกูอีกหรือไง”

     “อ๋อ เริ่มชินแล้วครับ” ผมทำเป็นยิ้มกลบเกลื่อน ใครจะไปบอกว่าที่หน้าผมยับย่นอยู่ตอนนี้เพราะแผนการสุดบ้าระห่ำของเพื่อนตัวเอง

     “แล้วมึงเป็นอะไร มีเรื่องเครียดเหรอ”

     “เปล่าครับ ไม่มีเลย” ผมยิ้มกว้างขึ้น พี่ธารจะได้ไม่รู้ว่าผมโกหก

     “ไม่มีก็ยิ้มซะบ้าง เอาแต่ทำหน้าอย่างนั้นอาหารกูกร่อยหมด”

     พักหลังมานี้ผมเริ่มจับทางได้แล้วว่าเวลาพี่ธารเป็นห่วงมักจะชอบดุ อย่างเช่นตอนนี้ แต่ผมชินแล้วล่ะ ถ้าไม่ปากอย่างใจอย่างก็ไม่ใช่พี่ธารหรอก

     “เอ่อ...พี่ธาร” ผมเรียกคนตรงหน้าเสียงอ่อย มือที่อยู่ใต้โต๊ะถูกันไปมา ท่องไว้ว่าเพื่อความชัดเจน มึงต้องทำได้ซน

     “อะไร”

     “คือ...คือผม...คือแบบว่า...”

     “ถ้ายังพูดคืออีกคำเดียวกูจะดีดปากให้บวม มีอะไรก็พูดมา ท่ามากอยู่นั่นแหละ”

     อย่าเร่งได้ไหมเล่า คนมันเขินนี่หว่า ตั้งแต่เกิดมาเคยพูดอะไรแบบนี้ที่ไหน

     “คืนนี้ผม...ขอไปนอนห้องพี่อีกได้ไหม”

     มือที่กำลังตักอาหารเข้าปากค้างเติ่งกลางอากาศ พี่ธารเลิกคิ้ว สีหน้าแปลกใจกับคำขอของผม

     “ห้องผมมันร้อน เลยอยากไปนอนตากแอร์เย็นๆ ที่ห้องพี่” ผมรีบพูดต่อเพื่อความแนบเนียน ช้อนตามองสบกับดวงตาคม “ได้ไหมอะ”

     พี่ธารมองผมนิ่ง มันนานจนผมคิดว่าคงไม่ได้ผล แต่จู่ๆ ร่างสูงก็ถอนหายใจ พึมพำบางอย่างที่ผมจับใจความไม่ได้

     “มองกันขนาดนี้ ใครจะปฏิเสธลงวะ”

     “พี่ว่าอะไรนะ”

     “กูบอกว่าจะมานอนก็ได้ แต่ช่วยจ่ายค่าไฟด้วยแล้วกัน”

     อะไรวะ บ้านออกจะรวยแต่งกฉิบหาย ผมยังเรียนอยู่เลยนะ จะรีดไถกันลงจริงๆ เหรอ

     “แต่ค่าขนมเดือนนี้ผมเหลือน้อยแล้วนะ”

     “ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูเก็บกับอาไพโรจน์เอง”

     ผมมองคนตรงหน้าด้วยความอึ้ง คนแบบนี้น่ะเหรอที่ทำให้ผมสับสนถึงขั้นทำตามแผนการบ้าบอของเพื่อน ไม่อยากจะเชื่อ ผมเริ่มสงสัยแล้วสิว่าพี่ธารทำคุณไสยใส่ผมหรือเปล่า ดูยังไงก็ไม่เห็นมีอะไรที่น่าจะทำให้ผมชอบได้เลย





     ผมนอนไม่หลับ

     ทั้งที่ตัวเองเอ่ยปากขอมานอนด้วยแท้ๆ แต่พอถึงเวลาจริงกลับข่มตาหลับไม่ลงซะงั้น ผมหันไปมองคนข้างๆ พี่ธารกำลังนอนหลับตา ไม่แน่ใจว่าเข้าห้วงนิทราไปหรือยัง

     “พี่ธาร”

     “อะไร”

     อ่า...ยังไม่หลับแฮะ

     “ผมขอถามอะไรอย่างหนึ่งได้ไหม” ไหนๆ ก็หลับไม่ลงแล้ว ถือโอกาสถามคำถามที่เพื่อนฝากมาเลยแล้วกัน

     “จะถามก็ถามมา มึงจะเกริ่นให้เสียเวลาทำไม”

     ตอบว่าได้คำเดียวมันจะตายหรือไง ดุมันได้ทุกเรื่องสิน่า

     “พี่กับพี่เต้ทะเลาะกันเหรอ”

     คำถามผมคงเป็นอะไรที่คาดไม่ถึง เพราะพอถามจบพี่ธารถึงกับลืมตา ลดมือที่หนุนท้ายทอยแล้วหันมามอง

     “ทำไมคิดแบบนั้น”

     “โหพี่ ใครบ้างจะไม่คิด วันที่พี่เต้ขอมาร่วมโต๊ะพี่เล่นทำขนาดนั้น”

     “หึๆ” นอกจากเสียงหัวเราะแล้วก็ไม่มีคำพูดอื่นอีก ผมเลยเดาไม่ถูกว่าทะเลาะหรือไม่ทะเลาะกันแน่

     “ตอบหน่อยดิพี่ ผมอยากรู้”

     “มีอะไรมาแลก”

     “แค่นี้ยังจะเอาอีกเหรอ” ผมโอดครวญ

     “เคยบอกแล้วไงว่าอยากให้คนอื่นทำอะไรก็ต้องมีของแลกเปลี่ยน”

     “งั้นผมไม่รู้แล้วก็ได้” ผมพลิกตัวไปอีกทาง ยกมือกอดอกหน้าบึ้ง พี่ธารหัวเราะเบาๆ

     “งอนเหรอ”

     “ผมไม่ได้งอน” อย่าพูดเหมือนผมเป็นผู้หญิงได้ไหม แค่มีแนวโน้มว่าจะชอบผู้ชายผมยังสับสนขนาดนี้เลย

     “อืม ไม่งอนก็ดี กูจะได้ไม่เสียเวลาง้อ”

     พูดอย่างกับตัวเองเคยง้อคนอื่น นอกจากดุผมแล้วผมยังไม่เคยเห็นพี่ธารในโหมดอื่นเลยเถอะ

     “จะไม่บอกผมจริงเหรอ” สุดท้ายความอยากรู้ความเห็นก็ชนะทุกสิ่ง ผมหันกลับมาจ้องตาพี่ธารอีกครั้ง พยายามทำหน้าออดอ้อนเผื่อพี่แกจะใจอ่อน

     “อยากรู้ไปทำไม”

     “ผมไม่อยากให้พี่ธารทะเลาะกับพี่เต้ พวกพี่เป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ เพื่อนทะเลาะกันมันไม่ดีหรอกนะ” ถึงเหตุผลหลักที่ถามเพราะเพื่อนฝากมา แต่สิ่งที่ผมพูดก็เป็นสิ่งที่ผมคิดจริงๆ ถ้าพี่ธารทะเลาะกับพี่เต้จริงๆ ผมคงไม่สบายใจ

     “เป็นเด็กเป็นเล็กหัดสั่งสอนผู้ใหญ่เหรอ”

     “เขาเรียกว่าเป็นห่วงต่างหาก แล้วผมกับพี่ก็ห่างกันแค่สองปี อย่าพูดเหมือนตัวเองโตกว่านักเลย” ผมย่นจมูกใส่ ก่อนจะชะงักเมื่อสายตาของอีกฝ่ายเปลี่ยนไป

     “พูดอีกทีสิ”

     “พูดอะไร”

     “พูดว่ามึงเป็นห่วงกู”

     หน้าผมกำลังแดง ผมรู้ได้แม้จะไม่ส่องกระจกก็ตาม มันใช่เรื่องที่ควรสนใจไหม ผมกำลังถามเรื่องพี่เต้อยู่นะ

     “อย่าเปลี่ยนเรื่องดิ พี่ตอบผมมาเร็ว”

     พี่ธารถอนหายใจ เอียงตัวมาหาผม เอามือรองศีรษะ “กูกับเต้ไม่ได้ทะเลาะกัน แค่มีเรื่องผิดใจกันนิดหน่อย”

     “เรื่องอะไรอะ”

     “ทำไมกูต้องบอกมึง”

     “เผื่อผมช่วยอะไรได้ไง”

     พี่ธารกระตุกยิ้ม ยื่นมือมาดีดหน้าผากผมเบาๆ “ถ้าอยากช่วยจริงๆ ก็ช่วยอยู่เฉยๆ เถอะ”

     “อีกแล้วนะ ชอบพูดเหมือนผมไม่ได้เรื่องตลอดเลย”

     “กูพูดจริง” พี่ธารจ้องเข้ามาในดวงตา บางอย่างในดวงตาคู่นั้นทำให้ผมนิ่งงัน “ถ้ามึงอยากช่วยกูจริงๆ ก็อยู่ใกล้กูไว้ อย่าไปยุ่งกับเต้มาก แค่นี้ทำให้กูได้ไหม”

     ถึงจะเป็นคำขอที่ฟังดูแปลกๆ แต่ผมก็ปฏิเสธไม่ลง เพราะพี่ธารเล่นมองมาด้วยสายตาอ้อนวอน ราวกับเรื่องที่ขอมันสำคัญมาก

     “ทำไมพี่พูดเหมือนพี่เต้นิสัยไม่ดี ไม่น่าคบหาเลย”

     “ไม่ใช่อย่างนั้น”

     “แล้วมันอย่างไหน”

     “เอาเป็นว่าวันไหนที่พร้อมกูจะบอกเหตุผล ตอนนี้ทำตามที่กูขอก่อน ได้ไหมซน” ผมไม่เคยเห็นพี่ธารทำหน้าแบบนี้มาก่อน ใบหน้าที่เหมือนกังวลอะไรสักอย่าง กลัวจะสูญเสียบางอย่างไป ผมไม่ชอบพี่ธารที่เป็นแบบนี้เลย ให้เขาดุผมเหมือนเดิมยังจะดีกว่า

     “ก็ได้ครับ ผมสัญญา”

     พี่ธารยิ้มให้ผม มันเป็นยิ้มที่ดูดีจนผมใจเต้นแรงขึ้นมา ไม่บ่อยนักที่พี่ธารจะยิ้ม แต่บทจะยิ้มทีก็เล่นเอาคนรอบข้างตายกันเป็นแถบ และดูเหมือนผมเองก็คงเป็นหนึ่งในนั้น

     “นอนได้แล้วเอ๋อ นอนดึกมากๆ เดี๋ยวร่างกายหยุดโตกันพอดี” พอได้สิ่งที่ต้องการแล้วก็กลับมาเป็นพี่ธารคนเดิมทันที ผมล่ะอยากถอนคำพูดจริงๆ ไม่น่าชมพี่มันเลย

     “พี่ก็นอนก่อนดิ ผมยังไม่ง่วง”

     “แล้วมึงจะนอนตอนไหน”

     “ช่างผมเถอะ พี่นั่นแหละนอนไปเลย พรุ่งนี้มีเรียนเช้าไม่ใช่เหรอ”

     “เดี๋ยวนี้กล้าสั่งกูเหรอ” พี่ธารว่าแต่ก็ยอมถอยไปนอนที่ตัวเอง จากที่ตอนแรกขยับมาใกล้ “ปิดไฟให้ด้วยแล้วกัน”

     “ครับๆ”

     ผมเดินไปปิดไฟ พอกลับมาที่เตียงพี่ธารก็หลับไปแล้ว เป็นคนที่หลับง่ายจริงๆ ผมค่อยๆ ก้าวขึ้นเตียง ขยับเข้าไปใกล้เจ้าของห้อง มองผ่านความมืดเห็นใบหน้าหล่อเหลาของพี่ธาร ผมขยับไปใกล้อีกนิด

     ขนตายาว จมูกโด่ง ริมฝีปากได้รูป โครงหน้าก็เหมือนผู้ชายทั่วไป แล้วทำไมถึงได้หล่อนักวะ ผมนั่งมองพี่ธารก่อนจะส่ายหัวไปมา นี่ไม่ใช่เวลามาชื่นชมพี่มันนะเว้ย ผมรีบดึงสติกลับมาแล้วเริ่มแผนการค้นหาความจริงของเพื่อน ค่อยๆ โน้มหน้าลงไปจนริมฝีปากเราสองคนห่างกันเพียงนิดเดียว ไม่ต้องถามถึงหัวใจนะครับ มันเต้นแรงจนกลัวว่าจะกระดอนออกมานอกอก





     “ให้กูจูบพี่ธารเนี่ยนะ!” ผมเผลอตกใจเสียงดัง ก่อนจะก้มหน้างุดหลบสายตาโต๊ะอื่น น้องนายหน้าตื่นไม่ต่างจากผม

     “ไม่ได้ให้จูบ กูบอกว่าให้เอาปากแตะปากเบาๆ”

     “เพื่ออะไรวะ”

     “ถ้ามึงไม่ได้คิดอะไร มึงจะเฉยๆ เหมือนจูบกับหมอนข้าง แต่ถ้ามึงทำแล้วใจเต้นแรง หน้าร้อนไปหมด เขินจนทำอะไรไม่ถูก มั่นใจได้เลยว่ามึงชอบพี่ธารชัวร์”





     ผมชะงักริมฝีปากที่กำลังจะทาบทับลงไป ขนาดยังไม่ได้แตะใจเจ้ากรรมก็เต้นแรงแล้ว อย่าตื่นเต้นสิวะซน ทำใจดีสู้เสือเข้าไว้ มึงต้องทำได้ มึงต้องทำได้ มึงต้องทำ...

     จุ๊บ

     ผมรีบถอนริมฝีปากออกอย่างรวดเร็ว ราวกับปากพี่ธารเป็นของร้อน ผมยกมือกุมอกข้างซ้ายตัวเอง ก้อนเนื้อภายในเต้นตุบๆ หัวใจสูบฉีดเลือดเหมือนเพิ่งวิ่งมาราธอนมา

     ‘ถ้ามึงไม่ได้คิดอะไร มึงจะเฉยๆ เหมือนจูบกับหมอนข้าง แต่ถ้ามึงทำแล้วใจเต้นแรง หน้าร้อนไปหมด เขินจนทำอะไรไม่ถูก มั่นใจได้เลยว่ามึงชอบพี่ธารชัวร์’

     คำพูดของเพื่อนกลับเข้ามาในหัว ผมย้ายมือจากอกมาจับแก้มตัวเอง ร้อน ร้อนไปหมด ร้อนจนผมนึกว่ากำลังเอาหน้าอังเตาผิง ทำไมหน้าผมร้อนล่ะ แล้วทำไมผมถึงรู้สึกเขิน ทำไมผมถึงไม่รังเกียจ แถมยัง...อยากลองอีกครั้ง...

     “อ๊ากกก” ผมยกมือทึ้งหัวตัวเอง ล้มตัวลงนอนแล้วดึงผ้าห่มมาคลุมโปง นี่มันชัดยิ่งกว่าชัดเสียอีก ชัดระดับฟูลเอชดี ผมชอบพี่ธาร นาทีนี้ผมมั่นใจเกินร้อย

     นี่มันเรื่องอะไรกัน ผมที่เป็นผู้ชายกลับชอบพี่ธารที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน พระเจ้าเล่นตลกกับผมอยู่ใช่ไหม!!



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter : earthxxide

     Fanpage : Earthxxide
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-05-2023 20:40:51 โดย earthxxide »

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ earthxxide

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตอนที่ 20
ใกล้กว่านี้


     -ธาร-

     ซนกำลังหวั่นไหว ผมค่อนข้างมั่นใจหลังเกิดเหตุการณ์เมื่อคืน ผมตกใจไม่น้อยตอนที่เจ้าตัวดีแตะริมฝีปากลงมา แต่พอเห็นท่าทางหลังจากนั้นผมก็คิดเข้าข้างตัวเองว่าอย่างน้อยมันก็เริ่มสนใจผมแล้ว ไม่งั้นคงไม่ทำอะไรแบบนี้

     ปากมันนุ่มมาก นุ่มเสียจนผมเกือบดึงมาจูบอีกรอบถ้าไม่ติดว่าแกล้งหลับอยู่ สิ่งที่ซนทำไม่ใช่จูบ มันคือปากแตะปากแบบเด็กหัดรู้หัดลอง แต่ผมกลับรู้สึกดีจนอดคิดไม่ได้ว่า...แค่แตะยังขนาดนี้ ถ้าจูบจริงจะขนาดไหน

     ผมตื่นมาอย่างอารมณ์ดี สิ่งแรกที่เห็นหลังลืมตาคือใบหน้าหลับสนิทของเด็กเอ๋อ วันนี้ซนไม่มีเรียนผมจึงไม่คิดจะปลุก ปล่อยให้มันนอนต่อไป เมื่อคืนก็เหมือนจะฟุ้งซ่านใต้ผ้าห่มอยู่นานกว่าจะหลับ

     ผมเอื้อมมือไปลูบจมูกเล่น ซนเป็นผู้ชายที่ถ้ารู้จักเผินๆ จะคิดว่าเป็นเด็กธรรมดา ไม่มีอะไรโดดเด่น แต่พอรู้จักไปนานๆ จะเริ่มเห็นความน่ารักของมัน ผมไม่ได้พูดถึงหน้าตา อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน รู้แค่ว่าทุกอย่างที่มารวมเป็นมันชวนให้รู้สึกว่าเจ้าเด็กนี่โคตรน่ารัก

     ผมลุกจากเตียงเพราะวันนี้มีเรียนเช้า ปล่อยให้เด็กเอ๋อนอนบนเตียงไปคนเดียว ส่วนตัวเองเดินไปอาบน้ำ ผมมองตัวเองในกระจก กระตุกยิ้มมุมปาก ยิ่งคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนก็ยิ่งอารมณ์ดี

     ยังหรอก นี่แค่เริ่มต้น ผมจะทำให้มันหวั่นไหวกว่านี้อีก เตรียมรับมือให้ดีล่ะเจ้าเด็กเอ๋อ เพราะผมจะไม่รออีกต่อไป





     “กินข้าวหรือยัง” ผมโทรหาซนหลังเรียนช่วงเช้าเสร็จ บอนด์กับไกด์กำลังมองหาโต๊ะว่างในโรงอาหาร

     [กินแล้วครับ]

     “เช้าหรือกลางวัน”

     [เช้า]

     “แล้วกลางวันล่ะ”

     [กำลังจะไปหาอะไรกินหน้าปากซอย แต่พี่โทรมาก่อน] เสียงซนเบาเหมือนพูดในลำคอ

     “พูดให้มันดังๆ หน่อย คอแหบหรือไง”

     [ก็คนมันเขิน...]

     “อะไรนะ” ต่อให้เบาแค่ไหนผมก็ได้ยิน เพียงแต่ที่ถามซ้ำเพราะไม่นึกว่าจะได้ยินประโยคนี้

     [ผมบอกว่าเพิ่งตื่นได้สักพัก เสียงเลยยังแหบอยู่]

     “หึ” ผมหัวเราะเด็กขี้โกหก แต่ก็ไม่เซ้าซี้ต่อ “วันนี้แดดแรง ถ้าจะออกไปข้างนอกก็ใส่เสื้อแขนยาวไป”

     [ผมมีที่ไหน]

     “เอาเสื้อกูไปใส่ หาดูในตู้ พวกแขนยาวน่าจะอยู่ด้านใน”

     [ปากซอยแค่นี้เอง เดินไปกลับไม่ทันผิวไหม้หรอก]

     “อย่าเถียง บอกให้ใส่ก็ใส่ไป”

     [พี่ธารนั่นแหละอย่าบังคับ เอาแต่ใจเกินไปแล้วนะ]

     “ทำไม กูห่วงไม่ได้เหรอ ทีเมื่อคืนมึงยังห่วงกูได้เลย”

     […]

     ปลายสายเงียบไปจนผมนึกว่าเผลอกดวางสาย ผมยกโทรศัพท์มาดูก่อนจะเอาแนบหูเหมือนเดิม

     “เอ๋อ ได้ยินที่กูพูดไหม”

     [...อื้อ ได้ยินแล้ว] ซนพูดเสียงเบา เสียงเล็กๆ ของมันทำให้ผมรู้ว่าทำไมมันถึงเงียบไป เขินอยู่นี่เอง

     “ได้ยินแล้วก็ทำตามด้วย อย่าให้กูห่วงบ่อยๆ เข้าใจไหม”

     [เข้าใจแล้ว ไม่ต้องพูดย้ำนักก็ได้]

     “กูพูดอะไร”

     […ไม่มีอะไร ช่างเถอะครับ] ซนตัดบท ไม่ยอมพูดคำที่ทำให้เขินออกมา [แค่นี้นะ ผมหิวแล้ว]

     “เดี๋ยว”

     [อะไรอีก]

     “เย็นนี้รอด้วยนะ กูจะรีบกลับ อยากกินข้าวพร้อมมึง”

     เสียดายที่ผมโทรเบอร์เลยได้ยินแต่เสียง ไม่งั้นคงได้เห็นหน้าคนเขินไปแล้ว ซนรับคำเสียงเบาจนเกือบไม่ได้ยิน หลังบอกลาเสร็จผมก็วางสาย เดินไปหาเพื่อนที่หาโต๊ะได้แล้วด้วยใบหน้าติดรอยยิ้ม

     “ยิ้มมาแต่ไกลเชียว คุยกับน้องซนเหรอ” โอปอล์ถามขึ้นมา ตั้งแต่วันที่ผมกับเต้มีเรื่องกัน เพื่อนผมก็รู้กันหมดว่าผมคิดยังไงกับซน

     “อืม”

     “อิจฉาจัง แฟนเรานี่แทบต้องกราบอ้อนวอนกว่าจะรับสาย เอาแต่บอกติดเรียนอย่างเดียว”

     “งั้นโอปอล์ก็อิจฉาผมด้วยสิ ใครว่ามีแต่ธารที่ได้คุยกับคนที่ชอบทุกวัน”

     “กล้าอวดนะมึง เอาให้น้องมันเลิกตีมึนก่อนเถอะ กูพนันร้อยเอาบาทเลย น้องนายยังไม่รู้ชัวร์ว่ามึงชอบ”

     บอนด์หุบยิ้มทันทีที่โดนไกด์พูดเบรก ผมเห็นใจมันนะ แต่ตอนนี้ขอมีความกับสุขเรื่องตัวเองก่อน ผมยิ้มไม่หุบเมื่อนึกถึงเสียงเขินๆ ของคนบางคน ก็น่ารักซะแบบนี้ แล้วใครจะไปหยุดรักได้





     ที่บอกให้ซนรอไม่ใช่ว่าผมจะกลับไปทำอาหารที่บ้าน แต่ผมจะพามันมาทานอาหารข้างนอก ผมกลัวซนเบื่อบ้านเลยอยากพามาเปลี่ยนบรรยากาศ อีกอย่างวันนี้ผมเรียนหนักเลยขี้เกียจทำอาหารเอง

     “มีแต่แพงๆ ทั้งนั้นเลย” ซนพูดเสียงเบาเพราะห่างไปไม่ไกลมีพนักงานยืนรอรับเมนูอยู่ คิ้วบางย่นเข้าหากัน

     “กูบอกเหรอว่าจะให้มึงจ่าย”

     “ผมรู้ว่าพี่ธารจะจ่ายให้ เพราะรู้ถึงเกรงใจไง อาหารจานละสามร้อย ใครจะไปกล้าสั่ง”

     ผมลอบยิ้ม ไม่รู้ซนรู้ตัวหรือเปล่าว่าพักหลังนี้มันเป็นห่วงผมมากขึ้น คิดถึงผมมากขึ้น ไม่เหมือนช่วงแรกที่ตั้งแง่จะดื้อกับผมท่าเดียว และนั่นทำให้ผมรู้สึกดี

     “สั่งเถอะ นานๆ ทีขนหน้าแข้งกูไม่ร่วงหรอก”

     “แต่...”

     “กูอยากให้มึงกินของอร่อย”

     เจ้าตัวดีนิ่งไป ไม่ต่อล้อต่อเถียงอะไรอีก มันก้มหน้างุดอยู่สักพักก่อนจะยกมือเรียกพนักงาน แต่ผมแอบเห็นว่าหูมันแดง ผมยิ้มมุมปาก เขินง่ายแบบนี้มันน่าแกล้งให้เขินบ่อยๆ นัก

     “พี่ธารเอาอะไร” ซนหันมาถามหลังสั่งของตัวเองเสร็จแล้ว

     “ขี้เกียจเลือก มึงเลือกมาให้หน่อย” ผมวางใบเมนูที่ยังไม่ได้เปิดดูลงตรงหน้า

     “ผมจะไปรู้ไหมว่าพี่อยากกินอะไร”

     “อะไรที่มึงสั่งมากูอยากกินหมดนั่นแหละ”

     รอบสองยังได้ผลดี พอผมพูดจบแก้มมันก็ขึ้นสีแดงอีกครั้ง ซนทำเป็นก้มมองเมนู ก่อนจะหันไปบอกพนักงานเสียงตะกุกตะกัก ผมหัวเราะในลำคอ นึกเอ็นดูเด็กขี้เขิน

     ทีเมื่อคืนไม่เห็นเขิน พอตอนนี้กลับเขินเอาๆ ผมอยากรู้จริงๆ ว่าถ้ามันรู้ว่าผมรู้สึกยังไง จะเขินจนเป็นลมไปเลยหรือเปล่า





     ผมคิดว่าซนกำลังหลบหน้าผม ตอนแรกไม่มั่นใจเท่าไหร่ แต่ผมเพิ่งมามั่นใจเอาตอนนี้ วันนี้ทั้งวันซนไม่ยอมมองหน้าผมตรงๆ แถมตอนนี้มันยังหนีไปนั่งบนพรมแทนโซฟาอีก

     “นั่งแบบนั้นจะสบายเหรอ” ผมถามเจ้าตัวดีที่ทำเป็นสนใจรายการในโทรทัศน์

     “สบายสิ”

     “มานั่งโซฟากับกูดีกว่า”

     “ไม่เอา” ซนส่ายหน้าทั้งที่ยังไม่หันมา แต่ผมเห็นจากด้านข้างว่ามันกำลังเม้มปาก ราวกับครุ่นคิดบางอย่างอยู่ ผมค่อยๆ เขยิบไปใกล้โดยไม่ให้เด็กเอ๋อรู้ตัว ก่อนจะฉวยโอกาสรวบเอวมันขึ้นมานั่งตัก

     “เฮ้ย! พี่ทำอะไรเนี่ย” ซนหันมาทำท่าจะโวยวาย ก่อนจะนิ่งไปเมื่อสบตากับผม

     “พูดดีๆ แล้วไม่ฟังเอง”

     “อะไรเล่า ก็ผมชอบนั่งบนพรมมากกว่า ผิดด้วยเหรอ”

     “แล้วกูอยากนั่งกับมึงนี่ผิดด้วยเหรอ”

     “…” มันเงียบครับ เม้มปากแน่นแล้วเบือนหน้าหนี ผมลอบยิ้ม จะหนีได้สักกี่น้ำเชียว

     “ผมลงได้ยัง” ซนพูดทั้งที่ยังหลบตา

     “ลงทำไม ตักกูนุ่มกว่าพรมตั้งเยอะ”

     “นั่งแบบนี้ผมดูหนังไม่ถนัด”

     ผมขยับตัวเล็กน้อย ยืดหลังตรง รั้งคนบนตักเอนมาพิงอก “ถนัดหรือยัง”

     “ยะ...ยังไม่ถนัด...” ซนพูดติดอ่าง ตัวมันแข็งทื่อ ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่ปลายนิ้ว ผมหัวเราะในลำคอ โดนตัวนิดๆ หน่อยๆ ก็เขินแล้วเหรอ

     “เชื่อกูสิ นั่งไปนานๆ เดี๋ยวก็ถนัด”

     “ผม...ผมนั่งโซฟาก็ได้ แต่ขอนั่งข้างๆ ได้ไหม”

     “จะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาทำไม นั่งตักกูนี่แหละ”

     “แต่...”

     “เอ๋อ กูจะดูหนังอย่าพูดมาก”

     เพียงเท่านั้นซนก็ไม่พูดอะไรอีก ผมยิ้มพอใจ อาศัยจังหวะที่มันไม่กล้าต่อปากต่อคำยื่นมือไปกอดรอบเอว ซนก้มมองมือผมด้วยดวงตาตื่น แต่พอหันมาเจอตาดุๆ ของผม จากที่จะอ้าปากค้านจึงเงียบลงอีกรอบ

     คิดจะสู้ผมยังเร็วไปสิบปีนะเด็กเอ๋อ มาดูกันซิว่าโดนรุกไม่พักแบบนี้เจ้าตัวดีของผมจะทำยังไง





     ผมพาเด็กเอ๋อขึ้นมาบนห้องหลังหนังจบ ซนตั้งท่าจะกลับบ้านอย่างเดียว แต่คิดเหรอว่าผมจะยอม

     “นอนบ้านใครก็เหมือนกัน มึงจะไปๆ มาๆ ให้เหนื่อยทำไม”

     “อยู่ใกล้แค่นี้ เดินสามก้าวถึงเอาอะไรมาเหนื่อย ไม่รู้ล่ะ ผมจะกลับบ้าน” ซนทำท่าจะออกจากห้อง ผมจับมือมันไว้ ใช้แรงที่มากกว่าดึงเข้าหาตัวจนร่างเล็กถลามาชนกับอก

     “ทำไม มึงคิดอะไรกับกูหรือไงถึงไม่อยากนอนด้วยกัน” ผมโน้มหน้าไปใกล้ มองเข้าไปในดวงตากลม

     “คะ...คิดอะไรเล่า ใครจะไปคิด”

     “แน่ใจ?”

     “แน่ใจสิ” คนแน่ใจพูดตะกุกตะกัก ก้มหน้างุดไม่ยอมสบตา ผมยิ้มมุมปาก สอดมือไปกอดรอบเอว ซนกำลังพะวงกับคำพูดของผมจึงไม่ทันรู้ตัว

     “จะว่าไป เมื่อคืนกูรู้สึกเหมือนโดนผีอำด้วย”

     “หือ?”

     “ไม่ใช่สิ เรียกผีอำคงไม่ถูก ต้องพูดว่าโดนผีขโมยจูบจะถูกกว่า”

     !!!

     ผมมองหน้าตื่นๆ ของซนด้วยดวงตากลั้นขำ มันทำหน้าโคตรตลก ปากเล็กๆ เผยอออกเหมือนอยากแก้ตัวแต่ก็ปิดลง เป็นแบบนี้หลายครั้งจนผมอยากฉกปากมันให้รู้แล้วรู้รอด

     “กูเป็นคนกลัวผีซะด้วย เพราะงั้นคืนนี้มึงต้องนอนกับกู ผีจะได้ไม่กล้าอำกูอีก”

     “ผะ...ผีมีจริงที่ไหน พี่แม่งเพ้อเจ้อ”

     ใช่ ผีไม่มีจริง เพราะคนที่ขโมยจูบผมคือคนตรงหน้านี่ไง

     “ไม่รู้ล่ะ กูไม่ให้มึงกลับบ้าน”

     “พี่จะมาบังคับแบบนี้ไม่ได้นะ มันเข้าข่ายกักขังหน่วงเหนี่ยว ถ้าพี่ยังไม่ปล่อยผมจะแจ้งตำรวจจริงๆ...” คำพูดซนหายไปในลำคอเมื่อโดนผมรวบมากอด ผมอาศัยจังหวะที่มันไม่ทันตั้งตัวสูดกลิ่นหอมจากกลุ่มผม

     “กูไม่ได้บังคับ แต่ขอร้อง”

     “…”

     “นอนห้องกูนะซน กูอยากนอนกับมึง”

     ซนยืนนิ่งเหมือนรูปปั้น ผมกอดมันอยู่สักพักก่อนจะถอนตัวออกเพื่อมองหน้า เด็กเอ๋อหน้าแดงอย่างเห็นได้ชัด ปากมันเม้มเข้าหากันแล้วคลายออก ผมโน้มหน้าไปใกล้ เริ่มเห็นความหวังอยู่รำไร

     “นะ นอนกับกู”

     “…อื้อ ก็ได้” ซนพยักหน้าหงึกๆ ริมฝีปากผมจุดยิ้มพอใจ ผมจูงมือมันกลับมาที่เตียง ซนยอมเดินตามมา ไม่หือไม่อือเหมือนก่อนหน้า ผมลอบยิ้ม ดูเหมือนผมจะเจอจุดอ่อนเจ้าตัวดีเข้าแล้ว





     “พี่ธาร”

     “อะไร” ผมขานรับหลังจากเดินไปปิดไฟกลางห้อง ซนนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ผมก้าวขึ้นเตียงไปนั่งมองตามันผ่านความมืด

     ซนอ้าปากแล้วก็หุบปาก ก่อนจะอ้าใหม่อีกครั้ง ทำแบบนี้สลับกันเหมือนอยากพูดบางอย่างแต่ไม่กล้า

     “ถ้าไม่พูดกูจะนอนแล้วนะ ง่วง”

     “แป๊บดิพี่” ซนเอื้อมมือมาห้ามผมที่ทำท่าจะล้มตัวนอน มันอึกอักอยู่สักพักก่อนจะพูดออกมาในที่สุด “พี่ธาร...เอ่อ...พี่เคยชอบคนที่ไม่ควรชอบไหม”

     “เคยสิ”

     “จริงเหรอ” ซนตาโต รีบขยับมาใกล้จนผมได้กลิ่นครีมอาบน้ำจากตัวมัน “แล้วพี่ตัดใจยังไงอะ”

     “ทำไมต้องตัดใจ”

     “ก็เขาเป็นคนที่ไม่ควรชอบไม่ใช่เหรอ”

     “การที่เราชอบใครสักคนแปลว่าคนๆ นั้นต้องมีข้อดีบางอย่าง ยิ่งถ้าเป็นคนที่ไม่ควรชอบ มันก็ยิ่งชัดว่าเราชอบเขาจริงๆ ถึงยอมเปลี่ยนใจไม่ใช่เหรอ”

     ซนเงียบไป คงกำลังเก็บคำพูดผมไปคิด เจ้าตัวดีหลุบตา เอาแต่มองตักตัวเอง ผมเห็นว่ามันไม่พูดอะไรต่อจึงล้มตัวลงนอน

     “แล้ว...แล้วผมควรชอบเขาต่อไปหรือตัดใจดี”

     ผมเบนสายตาไปมอง ดวงตาเราสบกันผ่านความมืด สีหน้าของซนมีความไม่แน่ใจ ความลังเล และความกลัว ผมยิ้มให้มัน เป็นรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความหมาย

     “ชอบต่อไปเถอะ เพราะบางทีคนๆ นั้นอาจจะใจตรงกับมึงก็ได้”

     ซนเงียบไปอีกรอบ มันหลบตาผม ถึงจะอยู่ในความมืดแต่ผมก็เดาออกว่ามันกำลังทำหน้ายังไง ซนล้มตัวนอนโดยหันหลังให้ผม ไม่ถามอะไรอีก

     “ผมจะนอนแล้ว ฝันดีครับ”

     “อืม ฝันดี”

     ผมรออยู่พักใหญ่ๆ จนกระทั่งได้ยินเสียงหายใจสม่ำเสมอจึงชะโงกหน้าไปดู ซนหลับไปแล้ว พอรู้อย่างนั้นผมจึงค่อยๆ ขยับไปใกล้ ผมพลิกตัวเด็กเอ๋อให้หันมา รวบตัวมันมากอดแนบอก กดจูบบนหน้าผากด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่มี

     ผมรู้ว่าที่ซนพูดถึงหมายถึงผม แต่ที่ไม่รู้คือมันกำลังกังวลอะไร แต่ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไร ผมจะทำให้ซนมั่นใจว่าผมเป็นคนที่ดีพอสำหรับมัน

     ตอนนี้ซนเริ่มชอบผมขึ้นมาแล้ว อย่างต่อไปที่ต้องทำคือเข้าไปใกล้มันกว่านี้ ผมเอาแต่มองมันจากที่ไกลๆ มาตลอด แต่หลังจากนี้จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter : earthxxide

     Fanpage : Earthxxide
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-05-2023 18:19:47 โดย earthxxide »

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ prateep

  • magKapleVE
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
    • Top-notch Сasual Dating - Legitimate Girls

ออฟไลน์ earthxxide

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตอนที่ 21
ข้อดีของผู้ชายปากร้าย


     เช้านี้ผมตื่นมาด้วยความรู้สึกเหมือนโดนผีอำ

     ผมเกือบร้องแหกปากออกมา ถ้าไม่เห็นมือที่กำลังกอดรอบเอวเสียก่อน ผมถอนหายใจด้วยความโล่งอก ไม่ใช่ผีแต่เป็นมือพี่ธารเองเหรอเนี่ย เกือบขวัญหนีดีฝ่อแล้วไหมล่ะ

     หือ? มือพี่ธารเหรอ

     “ว้ากกกก”

     “ซน! เป็นอะไร” พี่ธารสะดุ้งตื่นขึ้นมา ถามผมด้วยใบหน้าตกใจ ผมขยับไปชิดขอบเตียง ได้แต่มองอีกฝ่ายด้วยดวงตาตื่น มือที่ชี้ไปข้างหน้าสั่นเทา

     “พี่...พี่มากอดผมได้ไง”

     พี่ธารขมวดคิ้ว แต่ครู่เดียวก็คลายคิ้วออกแล้วระเบิดเสียงหัวเราะ “อย่าบอกนะว่ามึงตกใจที่โดนกูกอด”

     ผมไม่ตอบแต่พยักหน้า เสียงหัวเราะจึงดังกว่าเดิม

     “ให้ตายสิ มึงนี่นะ...” พี่ธารขยับมาใกล้ ผมอยากหนีแต่ติดที่ไม่มีที่ให้หนี หน้าพี่ธารอยู่ห่างแค่คืบเดียว มันใกล้เสียจนหัวใจผมเต้นโครมคราม

     “อะ...เอาหน้ามาใกล้ทำไม”

     “แค่อยากเห็นชัดๆ ว่าหน้าตาเด็กขี้ตกใจเป็นยังไง”

     “แล้วพี่มากอดผมทำไมเล่า โดนผู้ชายด้วยกันกอดใครจะไม่ตกใจ”

     “งั้นกูกอดมึงทุกคืนเลยดีไหม มึงจะได้ชิน”

     “มันใช่เรื่องที่ควรชินไหม” ผมถลึงตาใส่ เจอแบบนี้เข้าไปอาการงัวเงียหายเป็นปลิดทิ้งทันที พี่ธารถอนหน้าออกไป รอยยิ้มขำยังติดใบหน้า ผมเสมองไปทางอื่น พออาการตกใจหายไปแล้วความรู้สึกประหม่าเมื่อคืนก็กลับมา

     “จะอาบน้ำที่นี่หรือกลับไปอาบบ้านตัวเอง”

     “อาบบ้านผม”

     “งั้นเดี๋ยวกูตามไป ขออาบน้ำก่อนแล้วจะไปทำอาหารเช้าให้”

     ผมขานรับในลำคอ รีบลงจากเตียงแล้วออกมาจากห้อง ผมเดินกลับบ้านตัวเองด้วยอาการเหม่อลอย มาถึงบ้านตอนไหนไม่รู้ตัวสักนิด เช้านี้ผมโดนพี่ธารกอด และดูเหมือนจะกอดมาทั้งคืนด้วย ผมไม่ควรรู้สึกดีกับอ้อมกอดพี่ธาร แต่มันก็เป็นไปแล้ว

     จนถึงตอนนี้ผมยังไม่อยากเชื่อว่าผมชอบพี่ธาร ยิ่งได้อยู่ด้วยกันความรู้สึกข้างในก็ยิ่งเด่นชัด การชอบผู้ชายด้วยกันไม่ใช่สิ่งผิด ผมไม่เคยรังเกียจเพศที่สาม แต่ผมไม่เคยคิดว่ามันจะเกิดกับตัวเอง การทำใจยอมรับจึงไม่ใช่เรื่องง่าย

     ถึงจะเสียศูนย์ไปหน่อยแต่ผมก็ไม่คิดจะหลอกตัวเอง ไม่ว่าตอนนี้ผมจะรับได้หรือไม่ ความจริงที่ว่าผมชอบพี่ธารก็ไม่เปลี่ยน ผมชอบพี่ธาร หลังถามตัวเองเป็นร้อยๆ รอบผมก็มั่นใจ แต่จากนี้ผมควรทำอะไรต่อ หลังรู้ใจตัวเองแล้วผมควรทำอะไรต่อไป ผมไม่รู้สักนิด

     ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ลงมาชั้นล่าง ไม่นานพี่ธารก็มาทำอาหารเช้าให้ วันนี้ทั้งผมและพี่ธารไม่มีเรียน เราจึงเอื่อยเฉื่อยได้เต็มที่ ระหว่างพี่ธารทำอาหารผมก็เอาผ้าในตะกร้าไปใส่เครื่อง

     เดี๋ยวนี้ผมใช้เครื่องซักผ้าเป็นแล้วนะ ก็ได้พี่ธารช่วยสอนให้นั่นแหละ พี่ธารสอนผมทำงานบ้านทุกอย่าง ทั้งกวาด เช็ด ถู จนผมรู้สึกเป็นเด็กดีขึ้นมาทันที

     พอคิดมาถึงตรงนี้ผมก็เริ่มฉุกคิดบางอย่าง หรือนี่จะเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมชอบพี่ธาร ผมอาจจะชอบความเอาใจใส่ ความเป็นห่วงเป็นใย ความอ่อนโยนของพี่ธาร ผมหันไปมองคนที่อยู่ในครัว ผู้ชายตัวโตๆ กำลังทอดอะไรสักอย่างในกระทะ ภาพตรงหน้าทำให้ผมหลุดยิ้ม วินาทีนั้นเองที่ผมได้คำตอบให้ตัวเอง

     รู้ใจตัวเองแล้วควรทำอะไรต่อ ไม่เห็นยาก ก็แค่ชอบต่อไปเรื่อยๆ ไง





     “ยิ้มอะไร” พี่ธารหันมาถาม เราหยุดยืนหน้าโซนผักเพื่อแวะซื้อผักกาดขาวกับเห็ดเข็มทอง

     “ไม่บอก”

     “เดี๋ยวนี้หัดมีความลับกับกูเหรอเอ๋อ” พี่ธารถามน้ำเสียงหาเรื่องแต่มุมปากยกยิ้ม เราสองคนมาซูเปอร์มาเก็ตใกล้บ้านเพื่อซื้อของไปทำสุกี้

     “ไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอก พี่อย่าสนเลย” ผมทำเป็นเดินไปหยิบผักกาดขาวบนชั้น เลือกไม่เป็นหรอก หยิบมาส่งๆ ไปงั้นแหละ

     “มึงหยิบมาทำไม” พี่ธารมองผักที่ผมเพิ่งวางลงตะกร้า

     “พี่จะเอาผักกาดขาวไม่ใช่เหรอ”

     “นี่มันกะหล่ำปลี”

     “…”

     รีบหยิบไปวางที่เดิมแทบไม่ทัน ไม่น่าเลย ไม่น่าเปลี่ยนเรื่องด้วยวิธีนี้เลยกู พี่ธารมองมาด้วยสายตาขำ ผมมุ่ยหน้า อยู่ดีไม่ว่าดีหาเรื่องให้ตัวเองหน้าแตกเล่นซะงั้น

     “สงสัยนอกจากงานบ้านแล้วกูต้องสอนความรู้รอบตัวด้วยสินะ”

     “หยิบผิดนิดเดียวเอง พี่จะใส่ใจทำไม”

     “จำผักกาดขาวกับกะหล่ำปลีสลับกัน กูว่าไม่นิดแล้วนะ”

     ใครๆ ก็ต้องเคยจำผิดปะวะ แม่งคล้ายกันขนาดนั้น ผมไม่เชื่อหรอกว่าทั้งโลกมีแค่ผมคนเดียวที่จำผิด

     เอ๊ะ หรือมีแต่ผมจริงๆ วะ ชักไม่แน่ใจ

     “หึๆ” พี่ธารขำหน้ามุ่ยๆ ของผมก่อนเดินไปโซนอื่นต่อ ผมรีบเดินตามไป พอพ้นสายตาริมฝีปากก็คลี่ยิ้มอีกครั้ง ตอนแรกว่าจะบอกว่าผมยิ้มอะไร แต่แกล้งกันขนาดนี้ไม่บอกดีกว่า ปล่อยให้สงสัยนั่นแหละ

     ผมก็แค่ดีใจที่เมื่อเช้าผมพูดเล่นๆ ว่าอยากกินสุกี้ พี่ธารว่าผมเรื่องมาก แต่ยังไม่พ้นครึ่งวันก็พาผมมาซื้อของแล้ว ผมเลยอดยิ้มไม่ได้ มันก็เท่านั้นเอง





     “ยิ้มหน้าบานมาเชียวนะ มีเรื่องดีๆ เหรอ” ผิงถามทันทีที่ผมหย่อนก้นลง

     “ใช่”

     “เล่ามา” ผิงปิดหนังสือในมือ หันมาตั้งใจฟัง น้องนายเองก็หันมาเตรียมฟังทั้งที่ปากยังดูดชานมอยู่ เพื่อนผมไม่ค่อยอยากรู้เรื่องผมกันเท่าไหร่เลย

     “กูชอบพี่ธาร”

     “เหี้ย!!” ผิงตกใจจนเผลอปล่อยสัตว์เลื้อยคลานออกจากปาก น้องนายอ้าปากค้างจนหลอดตกลงไปในแก้ว ดูเหมือนเพื่อนผมจะตั้งตัวไม่ทันกับการสารภาพแบบปุบปับของผม

     “กูชอบพี่ธาร” ผมพูดซ้ำเผื่อเพื่อนได้ยินไม่ชัด

     “ไอ้ซน มึงพูดจริงเหรอ”

     “จริงสิ มึงบอกเองไม่ใช่เหรอว่ากูชอบพี่ธาร แล้วทำไมถึงตกใจอย่างนั้น”

     “กูไม่ได้ตกใจที่มึงชอบพี่ธาร แต่กูไม่นึกว่ามึงจะพูดออกมาเต็มปากแบบนี้ วันก่อนมึงยังดูลังเลอยู่เลย”

     “จริงครับ หรือคุณซนเอาวิธีของคุณผิงไปใช้แล้ว เลยมั่นใจว่าชอบพี่ธารจริงๆ”

     “ใช่” ผมตอบเพื่อนตามตรง ในเมื่อรู้ใจตัวเองแล้วก็ไม่มีอะไรต้องปกปิด ผิงทำหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อหูตัวเอง แต่สักพักก็เปลี่ยนเป็นหน้าเซ็ง พาให้ผมเลิกคิ้ว

     “เสียเงินแต่เช้าเลยกู” ผิงหยิบธนบัตรสีม่วงออกมายื่นให้น้องนาย

     “ผมยังไม่รับท้าพนัน คุณผิงไม่ต้องจ่ายก็ได้ครับ”

     “เอาไปเถอะ กูพูดเองก็ต้องทำให้ได้ ใครจะไปรู้ล่ะว่าไอ้ซนจะกล้า” ผิงยัดเงินใส่มือน้องนาย ผมที่จับต้นชนปลายไม่ถูกรีบถามออกไป

     “พวกมึงพนันอะไรกัน”

     “คุณผิงพนันกับผมว่าคุณซนจะกล้าเอาแผนปากแตะปากไปใช้กับพี่ธารหรือเปล่า”

     “พวกมึงนี่มัน...”

     “ผมไม่ได้รับพนันนะครับ” น้องนายรีบยกมือปฏิเสธ แต่พอรู้ตัวว่าในมือตัวเองมีเงินอยู่จึงเปลี่ยนเป็นยิ้มเจื่อน

     “ใครจะคิดล่ะว่าคนอย่างมึงจะกล้า ถ้าเป็นกูก็ว่าไปอย่าง” ผิงพูดอย่างเซ็งๆ แต่ไม่นานก็ยิ้มแปลกๆ อะไรของมัน เปลี่ยนอารมณ์ไวชะมัด “ว่าแต่...นุ่มหรือเปล่าวะ”

     “อะไรนุ่ม”

     “ปากพี่ธารไง”

     “มะ...ไม่บอกโว้ย” ผมรีบหันหน้าหนี ไม่อยากให้เพื่อนเห็นหน้าแดงๆ ของตัวเอง พอผิงพูดแบบนี้ผมดันนึกไปถึงตอนที่ปากผมกับพี่ธารแตะกัน หยุด! หยุดคิดเดี๋ยวนี้ไอ้ซน

     “แหม พอรู้ใจเข้าหน่อยเก็บอาการไม่มิดเชียวนะ”

     “คุณซนหน้าแดงมากเลยครับ”

     “จะแซวให้ได้อะไรวะพวกมึงนี่” ผมโมโหกลบเกลื่อน ถามขนาดนี้ใครจะไม่หน้าแดง แล้วปากพี่ธารก็ดันนุ่มเหมือนที่ผิงถามจริงๆ พูดแล้วก็อยากลองอีกรอบ...

     อ๊ากกกก บอกให้หยุดคิดไงไอ้ซน!!





     “ซน”

     “…”

     “ซน”

     “…”

     “เอ๋อ!”

     “ครับ?” ผมกะพริบตาปริบ พี่ธารขมวดคิ้ว หยุดมือที่กำลังทำอาหารมามองผม

     “เป็นอะไร กูเรียกตั้งนานก็ไม่ได้ยิน หูตึงเหรอ”

     “ผม...เหม่อนิดหน่อย”

     “ไปหยิบกุ้งในตู้เย็นมาให้หน่อย ไข่สองฟองด้วย”

     “ครับ” ผมรีบไปหยิบของตามคำบัญชา สะบัดหน้าเบาๆ ไล่ความคิดในหัวออกไป ผิงนะผิง ไม่น่าเอาเรื่องปากนุ่มมาใส่หัวเลย ตาผมเลยเอาแต่มองปากพี่ธารตลอดเวลา

     “นี่ครับ” ผมส่งกุ้งกับไข่ให้พี่ธาร ถอยออกมาสองก้าวเพื่อมองพี่มันทำอาหาร พี่ธารนี่เหมาะกับคำว่าพ่อบ้านจริงๆ หน้าตาก็หล่อ ทำอาหารก็เก่ง งานบ้านก็ไม่ขาดตกบกพร่อง ดูอย่างตอนนี้สิ แค่แกะเปลือกกุ้งด้วยหน้านิ่งๆ ยังดูดีเลย

     “พี่จะทำอะไรอะ”

     “กุ้งผัดกระเทียมกับไข่เจียวหัวหอม”

     “ผมไม่ชอบหัวหอม” ผมนิ่วหน้า

     “ไม่ชอบก็ต้องกิน มันมีประโยชน์”

     “แต่มันไม่อร่อย”

     “หวานเป็นลมขมเป็นยา เคยได้ยินไหม” พี่ธารละมือที่กำลังตีไข่ หันมาเคาะหน้าผากผมเบาๆ “เลือกกินเป็นเด็กเลยนะมึง หัดโตซะบ้าง”

     “พูดอย่างกับตัวเองไม่มีของที่เกลียด”

     “กูไม่ได้เลือกกินเหมือนมึง”

     ผมนิ่วหน้ากว่าเดิม พี่ธารหัวเราะหึๆ ท่าทางชอบใจที่ทำให้ผมหน้าบูดได้

     “ยังไงผมก็ไม่กิน” ผมยกมือกอดอก ทำปากยื่นปากยาว แต่แทนที่จะดุเหมือนทุกทีพี่ธารกลับยิ้ม

     “ที่เคยบอกว่าเป็นห่วงกู มึงพูดจริงหรือเปล่า”

     ผมหน้าเหลอหลาเมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็เปลี่ยนประเด็น อารมณ์ไหนของพี่มันวะ

     “พูดจริงสิ”

     “งั้นมึงก็อยากให้กูกินอาหารมีประโยชน์ใช่ไหม”

     “ก็...ก็ใช่”

     “กูก็เหมือนกัน กูเป็นห่วงมึงถึงอยากให้กินอาหารมีประโยชน์ รู้แบบนี้แล้วยังจะดื้ออยู่อีกไหม”

     ยังจะถามอีกเหรอ พูดขนาดนี้ใครจะไปดื้ออยู่ได้ล่ะ ผมได้แต่พยักหน้าขานรับในลำคอ พี่ธารยิ้ม เอื้อมมือมาลูบหัวผม

     “เด็กดี”

     น้อยครั้งมากที่พี่ธารจะชมผม ถ้าเป็นปกติผมคงหัวฟัดหัวเหวี่ยงที่พี่มันพูดเหมือนผมเป็นเด็ก แต่ตอนนี้ผมรู้ใจตัวเองแล้ว ความรู้สึกจึงต่างออกไป พอโดนคนที่ตัวเองชอบชมหัวใจมันเลยพองโต

     ‘การที่เราชอบใครสักคนแปลว่าคนๆ นั้นต้องมีข้อดีบางอย่าง ยิ่งถ้าเป็นคนที่ไม่ควรชอบ มันก็ยิ่งชัดว่าเราชอบเขาจริงๆ ถึงยอมเปลี่ยนใจไม่ใช่เหรอ’

     จู่ๆ คำพูดพี่ธารก็ผุดขึ้นมาในหัว ผมมองอีกฝ่ายนิ่งก่อนจะถามออกไป

     “พี่ธาร”

     “อะไร”

     “พี่เคยทำแบบนี้กับใครหรือเปล่า”

     พี่ธารหยุดมือที่กำลังเทไข่ลงกระทะ หันมาเลิกคิ้วให้ผม

     “ทำอะไร ทอดไข่น่ะเหรอ”

     “ไม่ใช่” ผมส่ายหน้า “ที่พี่ดุผม ว่าผมเอ๋อบ่อยๆ สอนผมหลายๆ อย่าง แล้วก็...ที่เป็นห่วงผม พี่เคยทำแบบนี้กับคนอื่นไหม”

     พี่ธารทำหน้าเหมือนอยากพูดว่า ‘อ๋อ เรื่องนี้เอง’ ก่อนจะหันไปทอดไข่เหมือนเดิม จนผมต้องทวงคำตอบอีกครั้ง

     “ตอบผมก่อนดิ”

     “มึงเห็นกูอยู่กับใครหรือเปล่าล่ะ”

     ผมส่ายหน้าเป็นคำตอบ

     “ก็รู้นี่ วันๆ กูอยู่แต่กับมึง จะให้ไปดุไปด่าใครได้ มีมึงคนเดียวก็ป่วนพอแล้ว อย่าหาภาระเพิ่มให้กูเลย”

     ผมควรโกรธที่พี่ธารพูดอย่างนั้น แต่ที่ผมไม่รู้สึกอะไรคงเพราะพี่ธารพูดด้วยเสียงนุ่มทุ้มจนไม่เหมือนกำลังโดนว่า ริมฝีปากผมยกยิ้ม รอยยิ้มนั้นกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนผมต้องเบือนหน้าหนี ผมว่าผมเจอแล้วล่ะ ข้อดีที่ทำให้ผมชอบคนที่ไม่ควรชอบ

     ผมชอบพี่ธารที่ดุผมคนเดียว เรียกผมว่าเอ๋อคนเดียว และเป็นห่วงผมคนเดียว ข้อดีของผู้ชายปากร้ายคนนี้ คือการทำให้ผมรู้สึกเป็นคนพิเศษยังไงล่ะ



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter : earthxxide

     Fanpage : Earthxxide
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-05-2023 18:31:16 โดย earthxxide »

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ earthxxide

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตอนที่ 22
เข้าใจไหม?


     -น้องนาย-

     “พี่ธารพูดอย่างนั้นเหรอ” คุณผิงพูดขึ้นมาหลังคุณซนเล่าเรื่องพี่ธารกับพี่เต้ให้ฟัง หลังจากเมื่อวานไม่ได้ถามเพราะมัวแต่สนใจเรื่องที่คุณซนชอบพี่ธาร

     “ใช่”

     “แปลก”

     “ใช่ไหม กูก็ว่าแปลก พี่ธารพูดเหมือนพี่เต้เป็นคนไม่ดี ไม่น่าคบอย่างนั้นแหละ”

     “กูไม่ได้หมายถึงแปลกอย่างนั้น”

     “อ้าว แล้วมึงหมายถึงอะไร”

     คุณผิงจ้องคุณซนอยู่นาน จนคนถูกจ้องต้องถามว่ามองอะไร

     “กูคิดว่าพี่ธารชอบมึง”

     “เฮ้ย!” คุณซนดูจะตกใจคำพูดของคุณผิงไม่น้อย แม้แต่ผมที่นั่งฟังเงียบๆ ยังอดตกใจไม่ได้ ไม่นึกว่าคุณผิงจะยังคิดแบบนี้อยู่

     “ไม่ต้องเฮ้ย กูพูดจริงๆ”

     “อะไรทำให้มึงคิดแบบนั้นวะ”

     “ก็ไม่ได้อยากพูดอย่างนี้หรอก พูดเองก็เจ็บเอง แต่เหมือนทั้งพี่ธารกับพี่เต้จะกำลังชอบมึง และตอนนี้พี่ธารก็กำลังกันมึงออกจากพี่เต้ที่เป็นศัตรูหัวใจ”

     “มึงดูละครเยอะไปแล้วผิง” คุณซนทำหน้าไม่เชื่อ แน่ล่ะครับ เรื่องแบบนี้ใครจะไปเชื่อลง ผมไม่ได้ว่าคุณซนขี้เหร่ แต่การที่คนดังอย่างพี่ธารกับพี่เต้จะมาชอบพร้อมกัน ดูยังไงก็เหลือเชื่อเกินไป

     “กูก็ไม่ได้มั่นใจความคิดตัวเองหรอก แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องนี้แล้วจะเป็นอะไรได้อีก อีกอย่าง...”

     “อีกอย่างอะไร”

     “วันที่พี่ธารเอาดอกกุหลาบมาให้มึง ตอนนั้นกูกับน้องนายก็คิดว่าหรือพี่ธารจะชอบมึง”

     “เฮ้ย!!” วันนี้เพื่อนผมดูท่าจะขวัญอ่อนกว่าปกติ คุณผิงพูดอะไรสะดุ้งตลอด

     “แต่พวกกูก็เลิกคิดไป เพราะถ้าพี่ธารชอบมึงจริงป่านนี้คงมีอะไรคืบหน้าไปแล้ว”

     “แต่ละอย่างที่มึงคิดนี่สุดโต่งทั้งนั้นเลยนะ”

     “ตอนนั้นกูอาจจะดูละครเยอะเกินไป แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกันนะซน”

     “จะบอกว่าพี่ธารกับพี่เต้กำลังแข่งกันแย่งกู?”

     “มีความเป็นไปได้”

     “ไอ้ห่า พูดซะกูเหมือนสาวสวยที่มีผู้ชายมารุมจีบเลย” คุณซนทำท่าขนลุกขนพอง

     “แล้วไม่ใช่เหรอ”

     “ไม่ใช่โว้ยยย กูออกจะมาดแมน”

     “ความแมนมึงหายไปตั้งแต่ชอบพี่ธารแล้วค่ะ”

     “พูดกับมึงแล้วปวดหัว ไม่พูดดีกว่า” คุณซนหันมาทางผม ส่งยิ้มเห็นฟันมาให้ “มึงว่าไงน้องนาย ทำไมพี่ธารถึงอยากให้กูอยู่ห่างพี่เต้”

     “...”

     “น้องนาย”

     “…”

     “ไอ้น้องนาย!!”

     “ครับ!?” ผมสะดุ้ง รีบขานรับเสียงดัง “เมื่อกี้คุณซนว่าไงนะครับ”

     “กูถามว่ามึงคิดว่ายังไง ทำไมพี่ธารถึงอยากให้กูอยู่ห่างพี่เต้”

     “อ๋อ ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ แต่ทางที่ดีคุณซนอย่าเพิ่งเดาสุ่มสี่สุ่มห้าเลย รอฟังเหตุผลจากปากพี่ธารดีกว่า”

     คุณซนกับคุณผิงยังเอาแต่มองไม่หยุด ผมเลยเลิกคิ้ว หรือที่ผมพูดไปมีอะไรผิด

     “มึงเป็นไรวะวันนี้ ดูเหม่อๆ ไม่พูดไม่จาเลย”

     “เปล่าครับ ผมไม่ได้เป็นอะไร” ผมคลี่ยิ้มเพื่อไม่ให้เพื่อนกังวล

     “แน่นะ”

     “แน่ครับ”

     คุณซนกับคุณผิงยังมองอย่างเป็นห่วง แต่ในเมื่อผมพูดอย่างนั้นทั้งสองคนจึงไม่ถามต่อ เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทน

     รอยยิ้มผมค่อยๆ ลดลง สวนทางกับอาการปวดหัวที่เพิ่มขึ้น อยากกลับหอไปนอนจัง รู้แบบนี้เมื่อคืนกินยาดักไว้ก็ดี วันนี้มีเรียนเต็มวันด้วย แล้วผมจะรอดไหมเนี่ย





     “กูอยากกินน้ำแข็งไสอะ” คุณผิงพูดขึ้นมาหลังเรียนเสร็จ

     “เอาดิ กูกินด้วย วันนี้แม่งโคตรร้อนเลย มึงล่ะน้องนายอยากกินอะไร”

     “...”

     “น้องนาย”

     “…”

     คุณซนกับคุณผิงหันมามองเมื่อไม่เห็นผมตอบ ผมกำลังจะถามว่าเมื่อกี้คุณซนพูดอะไร แต่คุณผิงก็ยื่นหน้ามาใกล้เสียก่อน

     “เป็นอะไรวะ ทำไมหน้ามึงแดงแบบนั้น”

     “ผม...”

     คุณซนเอื้อมมือมาแตะหน้าผาก ก่อนจะทำตาโตหน้าตื่น “มึงมีไข้เหรอน้องนาย”

     “เฮ้ย ไหนๆ” คุณผิงเอามือมาแตะหน้าผากบ้าง ก่อนจะหลุดคำอุทาน “มึงไม่สบายแล้วทำไมไม่บอกพวกกู”

     “คือผม...”

     “ซน ผิง น้องนาย”

     พวกผมหันไปตามเสียงเรียก พี่บอนด์กับพี่ธารกำลังเดินมาทางนี้ ด้านหลังมีพี่ไกด์กับพี่โอปอล์ตามมา

     “จะไปกินข้าวกันใช่ไหม ดีเลย ไปด้วยกัน ไอ้ธารจะมาหาซนอยู่พอดี”

     คุณซนกับคุณผิงไม่ตอบ เอาแต่เหลือบมามองผมอย่างพะวง พี่ธารที่จับสังเกตได้เลยถาม

     “มีอะไรกัน”

     “เอ่อ...ตอนแรกพวกผมก็จะไปกินข้าวแหละครับ แต่น้องนายดันไม่สบายขึ้นมา เลยกำลังคิดอยู่ว่าจะเอายังไงดี”

     ผมได้ยินเสียงพี่โอปอล์อุทาน พี่บอนด์รีบเข้ามาหา ยกมือแตะหน้าผากเหมือนที่เพื่อนผมทำ

     “ทำไมร้อนขนาดนี้ แล้วนี่เป็นมานานหรือยัง” พี่บอนด์ก้มมาถาม แต่คนตอบไม่ใช่ผม

     “เหมือนจะเป็นมานานแล้วนะคะ ผิงเห็นมันแปลกๆ ตั้งแต่เช้า เมื่อกี้ผิงยังถามอยู่เลยว่าทำไมไม่บอก”

     “ผมไม่อยากให้คุณซนกับคุณผิงเป็นห่วง” ผมพูดเสียงอ่อย พยายามยิ้มทั้งที่ยิ้มแทบไม่ออก

     “มันใช่เรื่องที่ควรเกรงใจไหม” พี่บอนด์พูดเสียงดุ เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ผมเห็นพี่บอนด์ทำหน้าดุแบบนี้

     “ผมไม่เป็นไรครับ พี่บอนด์ไม่ต้องห่วง รีบไปกินข้าวกันเถอะครับเดี๋ยวโรงอาหารจะเต็มก่อน”

     “ยังจะห่วงเรื่องนั้นอีกเหรอ” พี่บอนด์ดุผมอีกครั้ง สีหน้าเหมือนผู้ใหญ่ดุเด็ก

     “ผมบอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร...” ผมหยุดคำพูดไว้เมื่อจู่ๆ พี่บอนด์ก็คว้ามือไปจับ

     “พวกมึงพาน้องไปกินข้าวกันก่อน กูจะพานายกลับไปนอนพัก”

     “พี่บอนด์ ก็ผมบอกว่า...”

     “อย่าดื้อ” เจ้าของมือที่จับอยู่หันมาทำตาดุ อะไรเล่า ก็ผมไม่เป็นไรจริงๆ นี่ครับ แค่ปวดหัวนิดหน่อยเอง

     “ฝากเพื่อนผิงด้วยนะคะพี่บอนด์”

     “ครับ”

     พี่บอนด์จูงมือผมออกมา ไม่สนว่าผมจะร้องให้หยุดแค่ไหน ทำไมแรงเยอะแบบนี้นะ ผมฝืนไม่ได้เลย

     “พี่บอนด์ ผมมีเรียนตอนบ่าย”

     “เป็นหนักขนาดนี้ยังเรียนไหวอีกเหรอ รู้หรือเปล่าว่าตัวเองตัวร้อนแค่ไหน โดดสักวันไม่เป็นไรหรอก”

     “แต่ผมยังไม่อยากกลับ...”

     จู่ๆ คนตรงหน้าก็หยุดเดิน พาให้ผมหยุดตาม พี่บอนด์ตวัดสายตามามอง โน้มหน้ามาใกล้จนแทบชนกัน

     “จะมากับพี่ดีๆ หรือจะให้พี่อุ้ม”

     หือ!?

     “ไม่ตอบ แสดงว่าอยากให้อุ้มสินะ” พี่บอนด์ย่อตัวลง ทำท่าจะช้อนแขนเข้ามาใต้ขา ผมเลยต้องรีบห้ามไว้

     “ผม...ผมยอมแล้วครับ ผมกลับก็ได้”

     พี่บอนด์กระตุกยิ้ม หลังได้คำตอบพอใจแล้วก็จูงมือผมไปที่รถต่อ ผมได้แต่เดินตามคนตัวสูงไป ไม่กล้าพูดอะไรอีก กลัวจะโดนอุ้มโชว์คนที่เดินผ่านไปมาจริงๆ





     พี่บอนด์พาผมกลับมาที่หอ ตอนแรกผมคิดว่าเขาจะมาส่งอย่างเดียว แต่พี่บอนด์กลับตามขึ้นมาบนห้องทั้งที่ตัวเองมีเรียน ผมบอกให้กลับก็ไม่กลับ

     “ทีหลังถ้ารู้สึกไม่ดีต้องรีบบอกเพื่อน ไม่ก็ไลน์มาบอกพี่ เข้าใจไหม” พี่บอนด์ที่ตอนนี้ผันตัวมาเป็นคุณหมอชั่วคราวกำลังนั่งข้างเตียง ส่วนผมที่อยู่บนเตียงก็กัดแซนด์วิชที่ซื้อมาจากเซเว่นเข้าปาก บนหน้าผากมีเจลลดไข้แปะไว้ ผมไม่ได้หิวหรอก พี่บอนด์นั่นแหละบังคับให้กิน บอกว่าจะได้กินยาหลังอาหารแล้วนอนพัก

     “เข้าใจหรือเปล่า” พี่บอนด์ถามซ้ำเมื่อเห็นผมไม่ตอบ

     “ไม่เข้าใจครับ” ผมตอบทั้งที่ยังเคี้ยวแซนด์วิชไม่หมด พี่บอนด์ขมวดคิ้ว

     “ไม่เข้าใจอะไร”

     “ไม่เข้าใจว่าทำไมพี่บอนด์ต้องมาเป็นห่วงผมด้วย ผมไม่ได้เป็นหนักนะครับ”

     “จะหนักหรือเบาพี่ก็ห่วงทั้งนั้น ทีหลังต้องดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้ เข้าใจไหม” อีกแล้ว เอาแต่ถามเข้าใจไหมอย่างเดียว จะให้ผมเข้าใจอะไรล่ะ ตัวเองยังไม่ยอมอธิบายเลยว่าทำไมถึงเป็นห่วง

     “เข้าใจครับ” ผมตอบตัดปัญหา ทึกทักเอาเองว่าพี่บอนด์คงเห็นผมเป็นน้องชายจริงๆ ถึงเป็นห่วง ถ้าอย่างนี้ผมก็พอจะเข้าใจได้

     พี่บอนด์เห็นว่าผมกินแซนด์วิชหมดแล้วเลยส่งยากับแก้วน้ำมาให้ ผมรับมากรอกเข้าปาก พี่บอนด์รับแก้วคืนไปก่อนจะดันตัวผมลงนอน ดึงผ้าห่มมาคลุมให้

     “ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้ครับ พี่บอนด์รีบไปเรียนเถอะ” ผมหันไปบอกคนตัวสูง

     “หน้ายังแดงอยู่เลย จะให้พี่ทิ้งเราอยู่คนเดียวได้ไง”

     “แต่...”

     “ไม่มีแต่ นอนไปได้แล้วอย่าดื้อ” พี่บอนด์ลุคนี้ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ผมเคยเห็นแต่หน้ายิ้มๆ กับเสียงหัวเราะที่มักจะได้ยินบ่อยๆ แต่พี่บอนด์ในตอนนี้ดูเป็นผู้ใหญ่ สุขุมและจริงจัง เขาทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กที่กำลังถูกปกป้อง

     “หนาวไหม อยากให้ลดแอร์หรือเปล่า” พี่บอนด์โน้มหน้ามาถาม ผมส่ายศีรษะเป็นคำตอบ

     “พอผมหลับแล้วพี่บอนด์ก็กลับไปเรียนนะครับ”

     “ไล่อีกแล้ว”

     “ผมไม่ได้ไล่ครับ แต่ผมไม่เห็นความจำเป็นที่พี่ต้องอยู่ต่อ ผมกินยาแล้ว เจลลดไข้ก็อยู่บนหัว แถมกำลังจะนอนพักอีก ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว”

     “นี่จะให้พี่กลับให้ได้เลยใช่ไหม”

     “ก็พี่บอนด์มีเรียน”

     ร่างสูงพ่นลมหายใจ ดวงตาที่มองมาทั้งขำทั้งเหนื่อยใจ “ตกลง ไว้เราหลับแล้วพี่จะกลับไปเรียน”

     ผมคลี่ยิ้มพอใจ พี่บอนด์ไม่ชวนคุยอะไรอีก ผมเองก็ตาเริ่มปิดเพราะฤทธิ์ยาลดไข้ แต่ก่อนที่ผมจะหลับไป มือหนาก็เอื้อมมาวางบนศีรษะ พร้อมกับเสียงทุ้มที่เบาจนผมได้ยินไม่ชัด

     “ป่วยขนาดนี้ยังจะห่วงคนอื่นอีก จะน่ารักไปถึงไหนนะ”





     ผมค่อยๆ ลืมตา สิ่งแรกที่มองเห็นคือเพดานห้องตัวเอง อาการหนักหัวทุเลาลงไปบ้างแล้ว ผมค่อยๆ ดันตัวเองลุกขึ้น เจลลดไข้หล่นมาอยู่บนตัก มองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นพี่บอนด์ คงจะกลับไปเรียนแล้ว ผมกำลังจะก้าวลงจากเตียง แต่สายตาดันเหลือบไปเห็นบางอย่างก่อน

     ผมเดินไปหยิบสิ่งนั้นมาดู มันคือโทรศัพท์ของพี่บอนด์ สงสัยเจ้าตัวจะรีบไปเรียนจนลืมไว้ ผมนิ่วหน้าเล็กน้อย ชั่งใจว่าจะเอายังไงดี ถ้าไม่รีบเอาไปคืนพี่บอนด์อาจเดือดร้อน แต่จะให้ไปคืนตอนนี้เลยผมก็ยังไม่ฟื้นตัวจากไข้ขนาดนั้น

     ขณะที่ผมกำลังยืนจ้องโทรศัพท์ ประตูห้องน้ำก็เปิดออก ก่อนที่ร่างของคนที่ผมนึกว่ากลับไปแล้วจะออกมา พี่บอนด์ชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าผมยืนอยู่กลางห้อง ต่างกับผมที่มีสีหน้าแปลกใจ

     “ตื่นแล้วเหรอ” พี่บอนด์เดินมาหาผม ก่อนสายตาจะตกลงมองโทรศัพท์ในมือ “มีคนโทรมาเหรอ”

     “เปล่าครับ ผมนึกว่าพี่บอนด์กลับไปแล้วลืมโทรศัพท์ไว้” ผมส่งโทรศัพท์คืนให้อีกฝ่าย “พี่บอนด์อยู่เฝ้าผมตลอดเลยเหรอครับ”

     “ใช่”

     ผมมุ่ยหน้า บอกให้กลับไปเรียนทำไมไม่ฟังบ้างเลย มาส่งผมถึงห้องแล้วยังต้องห่วงอะไรอีก ผมแค่ไม่สบาย ไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรงเสียหน่อย

     “ทำไมทำหน้าแบบนั้น”

     “พี่บอนด์โกหกผม”

     “โกหกอะไร”

     “โกหกว่าจะไปเรียน”

     “ก็ถ้าไม่ทำอย่างนี้เด็กแถวนี้ก็เอาแต่ดื้อ ไม่ยอมนอนท่าเดียว” พี่บอนด์พูดยิ้มๆ ยกมือมาแตะหน้าผาก “ไข้ลดลงแล้วนี่ เห็นไหม เพราะพี่ดูแลดีขนาดนี้เราถึงหาย ไหนล่ะคำขอบคุณ”

     “ผมไม่ได้ขอให้มาดูแลซะหน่อยครับ” ผมหันหน้าหนี ไม่บ่อยที่ผมจะทำตัวเสียมารยาทกับคนอายุมากกว่า แต่ครั้งนี้มันอดไม่ได้จริงๆ

     “ทำไมพูดแบบนั้น” พี่บอนด์ขมวดคิ้ว

     “ก็พี่บอนด์โกหกผมก่อนทำไมล่ะครับ”

     “นี่คือจะงอนเรื่องนี้จริงๆ ใช่ไหม”

     “ไม่รู้ครับ”

     พี่บอนด์ถอนหายใจ จูงมือผมกลับมาที่เตียง คนตัวสูงนั่งลงปลายเตียง มีผมยืนอยู่ตรงหน้า พี่บอนด์ยังไม่ยอมปล่อยมือ แต่ยกมาลูบเล่นจนผมรู้สึกแปลกๆ

     “ถ้าซนหรือผิงไม่สบาย เราจะเป็นห่วงไหม” จู่ๆ พี่บอนด์ก็ถามขึ้นมา ผมงงนิดหน่อยแต่ก็ยอมตอบ

     “ก็ต้องห่วงสิครับ”

     “แล้วเราจะทิ้งให้เขาอยู่คนเดียวไหม”

     “ไม่ทิ้งแน่นอนครับ ถ้าคุณซนกับคุณผิงไม่สบายผมจะอยู่เป็นเพื่อนทั้งวันทั้งคืนเลย” ผมตอบออกไปแล้วก็ชะงัก เริ่มเข้าใจสิ่งที่คนตรงหน้าตั้งใจจะสื่อ

     “เห็นไหม พี่ก็เหมือนกัน พี่เป็นห่วงเรา อยากอยู่ดูแลจนกว่าจะมั่นใจว่าเราหายดีแล้วจริงๆ”

     “แต่พี่บอนด์ไม่ได้เป็นเพื่อนผมเหมือนคุณซนกับคุณผิงนะครับ”

     “พี่ก็ไม่ได้บอกว่าเป็นเพื่อน ใครว่าพี่อยากเป็นเพื่อนกับเรา”

     ผมมองตาพี่บอนด์นิ่ง พี่บอนด์ก็มองกลับมา ผ่านไปสักพักผมจึงร้องอ๋อในลำคอ พี่บอนด์เลิกคิ้ว

     “รู้เหรอว่าที่พูดหมายถึงอะไร”

     “รู้สิครับ” ผมยิ้มให้คนตรงหน้า “พี่บอนด์อายุมากกว่าผม ให้เป็นเพื่อนคงไม่ได้ เลยอยากเป็นพี่ชายผมใช่ไหมล่ะครับ ก็พี่บอนด์ขี้เหงาแถมไม่เคยมีน้อง เลยอยากได้ผมไปเป็นน้อง...โอ๊ย!”

     ผมยกมือกุมหน้าผาก จู่ๆ พี่บอนด์ก็มาดีดหน้าผากไม่บอกไม่กล่าว รังแกคนป่วยมันไม่ดีนะครับ

     “เอาความคิดนี้มาจากไหน”

     “ผมคิดเองครับ”

     “งั้นก็เลิกคิดเดี๋ยวนี้เลย คิดจะเป็นแค่พี่น้องเหรอเจ้าตัวยุ่ง ฝันไปเถอะ” พี่บอนด์เอื้อมมือมาบีบจมูกเบาๆ ผมปัดมือออกก่อนจะถามกลับไป

     “พี่ว่าผมยุ่งเหรอครับ”

     “หรือไม่ใช่ คนเขาจีบแทบตาย จู่ๆ จะให้เป็นพี่ชาย ใครจะไปยอม”

     “อะไรนะครับ” ประโยคหลังพี่บอนด์พูดเสียงเบา ผมเลยได้ยินไม่ถนัด รู้แค่ว่าอะไรแทบตายนี่แหละ

     “ถามจริงเถอะ พี่ทำขนาดนี้เราไม่รู้จริงๆ เหรอ” คนตรงหน้าตอบกลับมาด้วยคำถาม

     “พี่บอนด์ทำอะไรครับ แล้วผมต้องรู้อะไร”

     พี่บอนด์ถอนหายใจ สีหน้าทั้งขำ ทั้งเหนื่อยใจ ทั้งอยากยิ้มพร้อมๆ กัน

     “เอาเถอะ ไว้หายดีก่อนแล้วค่อยมาคุยเรื่องนี้กันจริงๆ จังๆ”

     “คุยอะไรครับ”

     “เดี๋ยวเราก็รู้ แต่ตอนนี้ลืมความคิดนั่นไปซะ จำไว้ว่าพี่ไม่ใช่พี่ชายเรา เข้าใจไหม” พี่บอนด์วางมือบนศีรษะแล้วโยกเบาๆ คำถามเดิมรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ของวัน ผมที่ไม่มีทางเลือกเลยได้แต่ตอบว่า...

     “เข้าใจครับ”

     เอาเถอะครับ ถ้าพี่บอนด์ไม่อยากเป็นพี่ชายผมก็ไม่บังคับ บางทีเพื่อนกันไม่จำเป็นต้องอายุเท่ากันก็ได้ อยากเป็นเพื่อนผมก็บอกดีๆ สิ จะอ้อมค้อมทำไมก็ไม่รู้นะพี่บอนด์เนี่ย



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter : earthxxide

     Fanpage : Earthxxide
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-05-2023 18:42:00 โดย earthxxide »

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ earthxxide

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตอนที่ 23
“ชอบ”


     “มึงหายดีแล้วแน่นะ”

     “แน่ครับ”

     “มึงก็ถามอะไรที่ไม่ควรถาม พี่บอนด์ตามไปดูแลถึงห้อง ไม่หายให้มันรู้ไป” ผิงพูดไปมองน้องนายยิ้มๆ ไป “กูแกล้งไม่สบายบ้างดีไหมวะ เผื่อพี่ไกด์จะเป็นห่วงกูเหมือนที่พี่บอนด์ห่วงน้องนาย”

     “ทำไมพักนี้คุณผิงพูดถึงพี่ไกด์บ่อยจังครับ” น้องนายถามคำถามที่ผมกำลังสงสัยอยู่พอดี ผมเห็นผิงเพ้อถึงผู้ชายมาเยอะ แต่ยังไม่เคยเห็นมันสนใจใครเท่าพี่ไกด์มาก่อน

     “กูมาคิดๆ ดู ตามกรี๊ดผู้ชายหลายคนมันเหนื่อย กูเลยตั้งใจว่าหลังจากนี้จะกรี๊ดทีละคน เริ่มจากพี่ไกด์เป็นคนแรก”

     “กูสงสารพี่ไกด์ว่ะ”

     โครม!!

     “ขัดกูนะมึง” ผิงชี้หน้าคาดโทษผม หลังจากมันส่งผมลงมาทักทายพื้นเป็นที่เรียบร้อย ผมลืมบอกว่าผิงเป็นผู้หญิงที่แรงเยอะตามน้ำหนัก ที่ถีบมาเมื่อกี้ใช่ว่าจะเบาที่ไหน ถ้าเอามันไปแข่งกับกระทิงผมว่ามีสูสี

     “ทำไมคุณผิงไม่หาแฟนเป็นตัวเป็นตนไปเลยล่ะครับ หน้าตาคุณผิงก็ไม่ได้แย่นะ” แหมน้องนาย เห็นกูโดนถีบหน่อยอยู่เป็นขึ้นมาเลยนะ

     “กูก็อยากมี แต่มันยังไม่มีใครเข้าตาเลยไง”

     “เหรอ แล้วบรรดารุ่นพี่ที่มึงตามกรี๊ดล่ะ”

     “นั่นเขาเรียกว่ากรี๊ดความหล่อ แต่ถ้าพูดถึงคนที่จะมาเป็นแฟนยังไม่มีใครตรงใจกูสักคน”

     “แล้วต้องเป็นคนแบบไหนถึงจะตรงใจคุณผิงเหรอครับ”

     “หล่อ สุภาพบุรุษ กูพูดอะไรก็เชื่อฟัง ไม่หือไม่อือไม่มีปากเสียง ว่าง่ายๆ ก็คุมง่ายนั่นแหละ”

     “เดี๋ยว มึงกำลังพูดถึงแฟนหรือลูก” ผมอดขัดไม่ได้ รู้สึกสงสารแฟนในอนาคตของมันขึ้นมาจับใจ

     “มึงไม่รู้อะไร หล่ออย่างเดียวอะคุมยาก ต้องหล่อด้วยว่านอนสอนง่ายด้วย สมัยนี้เขาฮิตให้ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหน้าย่ะ”

     “แล้วถ้าอย่างพี่ไกด์ล่ะครับ” น้องนายถามหยั่งเชิง ผมว่ามันคงแซวเล่น

     “พี่ไกด์เหรอ อืม...ไม่รู้สิ หน้าตาผ่านอยู่แล้ว แต่อย่างอื่นต้องดูกันต่อไป”

     “พูดอย่างกับมึงจะจีบเขาจริงๆ”

     “ใครจีบใครเหรอครับ” จู่ๆ พี่ไกด์ก็โผล่มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง ผมกับน้องนายสะดุ้งพร้อมกัน แต่ผิงกลับหันไปยิ้มทะเล้น

     “ก็ผิงจีบพี่ไกด์ไงคะ”

     “ฮะ!?” พี่ไกด์สะดุ้งโหยง เพื่อนผมหัวเราะเสียงดัง

     “ล้อเล่นค่ะ พวกหนูคุยกันไปเรื่อย ไม่มีอะไรหรอก”

     คนเกือบถูกจีบทำหน้าโล่งอก สงสารนะครับ แกคงตกใจน่าดู นอกจากพี่ไกด์แล้วคนอื่นๆ ก็มาเหมือนกัน เรียกได้ว่าครบองค์ประชุมคนหน้าตาดี

     “เย็นนี้ไปฉลองกับพวกพี่ไหม” พี่โอปอล์พูดขึ้นมา

     “ฉลองอะไรครับ”

     “วันเกิดพี่ เราตกลงกันว่าจะไปร้าน F&D พวกซนก็ไปด้วยสิ”

     ผมตาโต ไม่รู้มาก่อนว่าวันนี้เป็นวันเกิดพี่โอปอล์ เสียดายถ้ารู้เร็วกว่านี้จะได้เตรียมของขวัญทัน พี่ธารนะพี่ธาร บอกกันหน่อยก็ไม่ได้

     “พวกผมไปด้วยจะดีเหรอครับ”

     “ดีสิ ไปกันเยอะๆ สนุกดี ขากลับก็ให้ธารกับบอนด์แบ่งกันไปส่ง ได้ใช่ไหม”

     พี่ธารกับพี่บอนด์พยักหน้า ผมเลยหันไปมองเพื่อนเป็นเชิงปรึกษา น้องนายยังไงก็ได้ ขณะที่ผิงพยักหน้ารัวจนคอแทบหลุดจากบ่า เพื่อนผมไม่ค่อยเห็นแก่ของฟรีเท่าไหร่เลย

     “ตกลงครับ พวกผมไปด้วย”

     “งั้นห้าโมงเย็นมาเจอกันที่คณะพี่นะ”

     “ครับ”





     “มึงเลือกเลย”

     “ใช่ครับ คุณผิงเป็นผู้หญิงเหมือนกัน น่าจะเหมาะกว่าผมหรือคุณซนเลือก” ผมกับน้องนายพูดเป็นเสียงเดียวกันหลังเดินเข้ามาในร้านของใช้ผู้หญิง โชคดีที่อาจารย์ยกคลาสช่วงบ่าย พวกผมเลยมีเวลามาหาซื้อของขวัญให้พี่โอปอล์

     “ได้ พวกมึงไว้ใจกูได้เลย”

     “ไม่เอาตุ๊กตากบนะครับ” น้องนายพูดดักไว้ ปีก่อนผิงซื้อของขวัญให้พี่รหัสเป็นตุ๊กตากบ ไม่ใช่กบน่ารักแต่เป็นกบที่เหมือนของจริงจนกอดไม่ลง

     “รู้ย่ะ นั่นกูแกล้งพี่รหัสเฉยๆ ใครจะไปทำแบบนั้นกับพี่โอปอล์ล่ะ”

     ผิงเดินไปเลือกของในร้าน มีผมกับน้องนายเดินตาม ด้วยวัยและฐานะพวกผมจึงไม่คิดจะซื้อของแพงเกินกำลัง แต่ก็ควรมีของขวัญติดมือไปบ้างเพื่อไม่ให้น่าเกลียด พี่โอปอล์อุตส่าห์มาชวนด้วยตัวเองทั้งที

     ผมเห็นของน่าสนใจเลยแวะดู ปล่อยให้ผิงกับน้องนายเดินนำไปก่อน แต่จังหวะที่จะหยิบมาดูก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา

     “ซน”

     ผมหันไปมองคนที่เข้ามาทัก พี่เต้ในชุดนักศึกษาเดินเข้ามาหาผม รอยยิ้มที่ติดใบหน้าพาให้ผู้หญิงในร้านมองมาเป็นแถบ แหม ฮอตจริงๆ พ่อคุณ

     “มาซื้อของเหรอ”

     “ครับ มากับเพื่อน” ผมรีบบอกเมื่อเห็นสายตาสงสัยของพี่เต้ ร้านนี้เป็นร้านของใช้ผู้หญิง จะงงก็ไม่แปลก

     “พี่เห็นเราแล้วคุ้นๆ เลยลองเข้ามาทักดู ไม่นึกว่าจะใช่จริงๆ”

     “พี่เต้ก็มาซื้อของเหรอครับ”

     “ใช่”

     “ซน มึงว่าอะไรดีกว่ากัน” ผิงเดินถือที่คาดผมกับกระเป๋าใบเล็กมาถาม ก่อนที่มันกับน้องนายจะชะงักเมื่อเห็นว่าผมอยู่กับใคร “เอ่อ...พี่เต้”

     “สวัสดีครับ” พี่เต้ยิ้มทักทายเพื่อนผม “พี่ชื่อเต้ เป็นเพื่อนธารนะครับ”

     น้องนายยิ้มรับก่อนจะแนะนำตัวเอง ผมอยากบอกพี่เต้เหลือเกินว่าไม่ต้องแนะนำตัวก็ได้ เพื่อนผมรู้จักพี่อยู่แล้ว แต่แปลกแฮะ ผมนึกว่าผิงจะทำหน้าเคลิ้มเหมือนทุกครั้ง แต่ครั้งนี้มันกลับไม่มีท่าทีอะไรเลย สายตาที่มองพี่เต้ก็แปลกไป

     “ทานข้าวกันหรือยัง” พี่เต้ถามพวกผม

     “ยังครับ ผมกะว่าซื้อของเสร็จแล้วจะไปหาอะไรทาน”

     “ดีเลย ไปทานข้าวกลางวันเป็นเพื่อนพี่หน่อยสิ เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง เลือกร้านกันมาเลย”

     “อย่าเลยค่ะ น้องนายมันกินจุ ผิงเกรงใจพี่เต้”

     น้องนายหน้าเหลอหลา ชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง ก่อนจะปิดปากเงียบเมื่อผิงเหลือบมามอง ผมว่าผมไม่ได้คิดไปเองแล้วล่ะ วันนี้เพื่อนผมแปลกไปจริงๆ อดีตเดือนมหา’ลัยที่ตามกรี๊ดมานานชวนไปทานข้าวแต่มันกลับปฏิเสธหน้าตาเฉย

     “ไม่เป็นไรพี่จ่ายไหว พี่รอหน้าร้านนะ ซื้อของกันตามสบายเลย” พี่เต้ยิ้มให้ก่อนเดินออกไปจากร้าน ปิดโอกาสไม่ให้ใครปฏิเสธอีก ผมกับน้องนายหันไปมองผิงทันที

     “อะไรของมึงวะผิง ไม่สมเป็นมึงเลย”

     “จริงครับ แล้วไหนจะบอกว่าผมกินจุอีก ผมไม่ได้กินเยอะขนาดนั้นเสียหน่อย”

     “เขาเรียกว่าข้ออ้าง ไม่รู้จักเหรอยะ”

     “นั่นแหละที่ไม่สมเป็นมึง พี่เต้ตัวเป็นๆ มาชวนทานข้าวเลยนะเว้ย ปกติมึงต้องรีบรับไม่ใช่เหรอ”

     “กูไม่ได้บ้าผู้ชายขนาดนั้น แล้วพี่ธารก็บอกให้มึงอยู่ห่างพี่เต้ไว้ไม่ใช่เหรอ”

     “แค่ทานข้าวเอง ไม่เป็นไรหรอกมั้ง”

     “อีกอย่าง ตั้งแต่รู้ว่าพี่ธารพูดอย่างนั้นกับมึง กูก็รู้สึกว่าพี่เต้มีอะไรแหม่งๆ”

     “อะไรแหม่งๆ ที่ว่าคืออะไรเหรอครับ”

     “สายตาที่เขามองไอ้ซนเมื่อกี้ไง” ผิงทำหน้าจริงจังใส่ผม

     “กูไม่เห็นจะมีอะไรแหม่ง”

     “มึงมันเอ๋ออย่างที่พี่ธารบอก จะมองไม่ออกก็ไม่แปลก แต่กูผ่านโลกมามากกว่ามึง พี่เต้คิดอะไรอยู่ทำไมกูจะไม่รู้”

     ได้ข่าวว่าอายุเท่ากัน แล้วมันเอาอะไรมาผ่านโลกมากกว่าวะ

     “เดี๋ยวนะ มึงหลอกด่ากูเอ๋อเหรอ” ผมโวยวาย

     “กูพูดความจริง”

     “อย่าเพิ่งทะเลาะกันครับ พี่เต้รออยู่หน้าร้าน คุณผิงจะเอายังไง” น้องนายรีบห้ามทัพ

     “ก็ถ้าเขาพูดขนาดนั้นเราคงปฏิเสธไม่ได้ อย่าให้พี่ธารรู้เรื่องนี้แล้วกัน ไม่งั้นเดี๋ยวไอ้ซนจะซวย”

     “งั้นคุณผิงรีบซื้อเถอะครับ เดี๋ยวพี่เต้รอนาน”

     “โอเค”





     หลังจากเลือกของขวัญอยู่ครึ่งชั่วโมงก็ได้มาเป็นสร้อยข้อมือรูปตุ๊กตาหมี ผิงให้ความเห็นว่าคนสวยๆ อย่างพี่โอปอล์เหมาะกับของน่ารักๆ พี่เต้ให้พวกผมเลือกร้านอาหาร ผมเลยเลือกอาหารญี่ปุ่น หลังสั่งเมนูกันเรียบร้อยพี่เต้ก็ชวนคุย

     “มาซื้ออะไรกัน”

     “ของขวัญวันเกิดพี่โอปอล์ครับ เย็นนี้พี่โอปอล์ชวนไปเลี้ยงวันเกิด พวกผมเลยมาหาซื้อของขวัญก่อน”

     โอ๊ะ!

     ผมเกือบอุทานออกไป ดีที่ยั้งปากไว้ทัน ผมหันไปมองคนที่ยื่นเท้ามาเตะใต้โต๊ะ ผิงถลึงตาใส่ อะไรของมันวะ

     “วันนี้วันเกิดโอปอล์เหรอ”

     “ใช่ครับ” ผมคิดว่าที่พี่เต้ถามเพราะพี่โอปอล์ไม่ได้ชวน ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะไม่สนิทกัน พี่เต้นิ่งไปเหมือนครุ่นคิดบางอย่าง ก่อนมุมปากจะยกยิ้ม

     “พี่ไปด้วยสิ”

     อ่า...ผมว่าผมเข้าใจสายตาที่ผิงมองมาแล้วล่ะ ทำไมผมปากโป้งแบบนี้วะ ชักเริ่มเห็นหายนะลางๆ

     “พี่เต้อยากไปด้วยเหรอครับ”

     “ใช่ ถึงจะไม่สนิทกันแต่โอปอล์ก็เป็นเพื่อนร่วมคณะ อีกอย่างพี่จะได้ไปส่งพวกเราด้วย ไม่มีรถกันไม่ใช่เหรอ”

     “เรื่องเดินทางไม่ต้องห่วงค่ะ ซนมันนัดกับพี่ธารแล้ว ขอบคุณนะคะพี่เต้” ผิงตอบแทนผม พี่เต้เลิกคิ้ว ก่อนจะทำเสียงหึในคอพลางกระตุกยิ้ม

     “ธารไปด้วยเหรอ”

     “ครับ”

     “งั้นพี่ยิ่งพลาดไม่ได้เข้าไปใหญ่”

     “พลาดอะไรเหรอครับ”

     “ไม่มีอะไร เอาเป็นว่าซนบอกร้านพี่มาหน่อย ทานข้าวเสร็จแล้วก็มาช่วยเลือกของขวัญหน่อยนะ พี่จะซื้อให้โอปอล์เหมือนกัน”

     ผิงจ้องผมเขม็ง ราวกับกำลังกดดันให้ผมปฏิเสธ แต่สถานการณ์อย่างนี้บอกได้คำเดียวว่ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ผมไม่ใช่เจ้าของวันเกิด จะให้ห้ามพี่เต้ก็คงไม่ใช่เรื่อง สุดท้ายเลยต้องยอมบอกชื่อร้านไป ถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่าถ้าพี่ธารรู้ทีหลังต้องโกรธแน่

     ไอ้ซนเอ๊ย ไม่น่าหลุดปากไปเลย แล้วแบบนี้จะเป็นยังไงต่อล่ะเนี่ย





     -ธาร-

     ผมค่อนข้างแปลกใจและไม่พอใจเมื่อเห็นคนที่เดินเข้ามาในร้าน เต้ยิ้มให้พวกผมที่นั่งอยู่ หันไปหาโอปอล์พร้อมยื่นกล่องของขวัญให้ เพื่อนผมต่างทำหน้างง

     “สุขสันต์วันเกิดครับโอปอล์”

     “ขอบคุณนะ ว่าแต่เต้มาได้ไง” โอปอล์รับของขวัญมาอย่างงงๆ ผมเพิ่งสังเกตว่าตั้งแต่เต้มา สีหน้าซนกับเพื่อนๆ ก็เปลี่ยนเป็นยิ้มเจื่อน

     “ซนบอกผมว่าวันนี้วันเกิดโอปอล์ ผมเลยอยากเอาของขวัญมาให้”

     ผมหันไปมองเจ้าตัวดีทันที ซนยิ้มแหะๆ มิน่าตอนนั่งรถมามันถึงเงียบแปลกๆ ที่แท้ก็ทำความผิดมานี่เอง

     “ไหนโอปอล์บอกว่าชวนเพื่อนมาครบแล้วไง” ปืนที่เป็นแฟนโอปอล์ถามขึ้นมา ปืนอยู่คนละมหา’ลัยเลยไม่รู้จักเต้

     “ผมกับโอปอล์ไม่สนิทกัน เป็นเพื่อนร่วมคณะเฉยๆ จะไม่ชวนก็ไม่แปลกหรอกครับ ขอโทษนะที่มาทั้งที่ไม่ได้ชวน”

     “ไม่เป็นไร เต้อุตส่าห์มาทั้งที อยู่ด้วยกันก่อนก็ได้” โอปอล์เหลือบมองผมนิดหนึ่ง เพื่อนผมน่าจะเดากันออกว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของเต้คืออะไร เต้พูดขอบคุณก่อนจะนั่งลงร่วมโต๊ะ ไกด์อาสาชงเหล้าให้ ร้านที่พวกผมมาแทบไม่ต่างจากผับ แค่ลุกขึ้นเต้นไม่ได้เท่านั้นเอง

     “ซนไปบอกมึงตอนไหน” ผมถามออกไปตรงๆ บรรยากาศครึกครื้นก่อนหน้านี้เปลี่ยนไปทันที เต้กระตุกยิ้ม เป็นยิ้มที่เห็นแล้วชวนให้หงุดหงิด

     “วันนี้ตอนกลางวันกูบังเอิญเจอซนที่ห้าง เลยอาสาเลี้ยงข้าวนิดหน่อย”

     “มึงโดดเรียนเหรอ” ผมหันไปถามเด็กเอ๋อ ซนกับเพื่อนรีบยกมือปฏิเสธ

     “เปล่านะครับ วันนี้อาจารย์ยกคลาส พวกผมเลยไปหาซื้อของขวัญให้พี่โอปอล์”

     “ทีหลังไม่ต้องหวังดี คนของกู กูเลี้ยงข้าวเองได้” ผมพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่คิดจะเปิดศึกเพราะเห็นว่าเป็นวันเกิดเพื่อน แต่ก็ปล่อยผ่านไม่ได้เช่นกัน ซนตาโตเมื่อได้ยินอย่างนั้น ต่างกับคู่สนทนาที่เพียงแค่ยิ้มมุมปาก

     “ไม่ยักรู้ว่าซนมีเจ้าของแล้ว”

     “งั้นก็รู้ไว้ตั้งแต่ตอนนี้”

     “ถามน้องมันหรือยังว่าอยากเป็นคนของมึงหรือเปล่า อย่าพูดเองเออเองสิธาร”

     ทุกคนบนโต๊ะต่างทำหน้าไม่ถูก ไม่เว้นแม้แต่ปืนที่เหมือนจะจับบรรยากาศมาคุได้ ผมถอนหายใจหนักๆ พยายามข่มอารมณ์ไม่อาละวาด

     “ให้ของขวัญเสร็จแล้วก็กลับไปซะ กูไม่อยากทะเลาะกับมึงที่นี่” ผมรู้ว่าพูดอย่างนี้ไม่ต่างกับการหักหน้า แต่ถ้าเต้ยังอยู่ต่อเพื่อนผมคงไม่เป็นอันฉลองวันเกิด ผมไม่อยากให้วันเกิดเพื่อนกร่อยเพราะเรื่องส่วนตัวของผม

     “อยู่ต่อก็ได้เต้” โอปอล์พูดขึ้นมา ผมรู้ว่าโอปอล์ไม่ได้เต็มใจแต่เกรงใจอีกฝ่ายเฉยๆ

     “ไม่เป็นไร ผมตั้งใจเอาของขวัญมาให้อยู่แล้ว ขอโทษที่ทำเสียบรรยากาศนะครับ เชิญสนุกกันต่อเลย” เต้ลุกขึ้นยืนทั้งที่ยังไม่แตะแอลกอฮอล์แม้แต่น้อย มันยิ้มมุมปากให้ผม เอ่ยขอตัวแล้วออกไปจากร้าน ผมหันไปขอโทษเจ้าของวันเกิด โอปอล์ส่ายหน้าพลางยิ้มให้ สีหน้าทุกคนดูดีขึ้น บรรยากาศเริ่มกลับมาเหมือนเดิม

     ผมหันไปมองทางที่เต้เพิ่งเดินไป คิ้วขมวดเข้าหากัน ผมรู้ว่าที่เต้ยอมถอยเพราะเห็นแก่เพื่อนผม แต่มันยังไม่ตัดใจจากซน ดวงตาที่มันทิ้งท้ายไว้บอกผมแบบนั้น





     ผมพาซนกลับบ้านหลังอยู่รอเจ้าภาพเป่าเค้กวันเกิดแล้ว ส่วนคนอื่นอยู่สนุกกันต่อ ผมฝากบอนด์ไปส่งผิงกับน้องนายแล้วจึงไม่ต้องเป็นห่วง

     เหมือนซนจะรู้ว่าทำไมผมถึงพากลับก่อน มันเลยไม่ดื้อ ไม่ถามอะไรสักแอะ ผมเหลือบมองคนข้างๆ ที่ตั้งแต่ขึ้นรถมาก็ไม่พูดอะไร เอาแต่นั่งนิ่งไม่ขยับ

     “กูบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่าไปยุ่งกับเต้”

     เจ้าตัวดีสะดุ้ง มันยิ้มแห้งให้ผม หน้าเหมือนเด็กถูกจับได้ว่าทำความผิด

     “ผมขอโทษ ปากมันเผลอพูดออกไปเอง แต่เรื่องที่เจอพี่เต้มันบังเอิญจริงๆ นะ ผมสาบาน” ซนชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้ว ดวงตาแป๋วที่มองมาบอกว่าเจ้าตัวไม่ได้โกหก ผมพ่นลมหายใจ รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ทำอะไรผิดแต่ก็อดหงุดหงิดไม่ได้

     “ต่อไปนี้ผมจะอยู่ห่างพี่เต้ ไม่พูดด้วย ไม่มองหน้า จะทำเหมือนพี่เขาเป็นอากาศ ดีไหมครับ” ซนเห็นว่าผมไม่พูดอะไรเลยนึกว่าผมโกรธ รีบพูดเอาใจใหญ่ ผมเหลือบไปมองมัน เจ้าตัวดียิ้มให้

     “รู้บ้างไหมว่าที่กูไม่อยากให้มึงยุ่งกับเต้เพราะอะไร”

     ผมนึกว่าจะได้เห็นหน้าเอ๋อๆ เหมือนทุกครั้ง แต่พอผมถามจบซนกลับหุบยิ้ม เบือนสายตาหนีพลางเม้มปาก

     “ที่เงียบนี่คือรู้?” ผมลองถามหยั่งเชิง

     “ตอนแรกไม่รู้หรอก ผิงมันก็บอกแล้วแต่ผมไม่เชื่อ แต่พอได้ยินพี่พูดกับพี่เต้ในร้านผมก็เริ่มคิดว่า...หรือที่ผิงพูดจะเป็นความจริง”

     “ผิงพูดอะไร”

     “...”

     “เอ๋อ”

     “ถ้า...ถ้าผมบอกแล้วห้ามหัวเราะนะ” สีหน้าซนมีความลังเล จากที่หงุดหงิดเรื่องเต้ตอนนี้ผมเริ่มเห็นความหวังลิบๆ

     “ไม่หัวเราะหรอก บอกมาเร็ว”

     ซนยังคงอ้ำอึ้ง แต่พอโดนผมเร่งอีกครั้งมันก็พูดออกมาในที่สุด

     “ผิงบอกว่าพี่ธารกำลังกันผมออกจากพี่เต้ เพราะพี่เต้ชอบผม และ...”

     “และอะไร”

     “และพี่ธาร...ก็ชอบผมเหมือนกัน”

     เกิดความเงียบขึ้นในรถ ไม่มีใครพูดอะไรต่อ ผมนิ่งไปสักพักก่อนจะหลุดเสียงขำออกมา พยายามแล้วแต่มันกลั้นไม่อยู่จริงๆ

     “ไหนบอกว่าไม่หัวเราะไง” ซนพูดทั้งที่หน้าแดง ไม่รู้แดงเพราะเขินหรือโกรธ

     “ไม่ถามหน่อยเหรอว่ากูหัวเราะอะไร”

     “จะอะไรล่ะ ก็หัวเราะคำพูดผมไง ผมไม่น่าเชื่อเพื่อนเลย รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้”

     “ถูก กูหัวเราะคำพูดมึง แต่ไม่ได้หัวเราะเพราะมันผิด”

     ซนหันขวับมามอง หน้าตกใจปนแปลกใจของมันน่ารักจนผมลืมความหงุดหงิดในวันนี้ไปหมด

     “กูแค่กำลังคิดว่าเพื่อนมึงฉลาดดี เดาถูกทุกอย่างไม่มีผิดเลย”

     ซนตาลุกโพลง อ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก ถ้าไม่ติดว่าขับรถอยู่ผมคว้ามันมาจูบแล้ว เด็กอะไรตกใจได้น่ารักชะมัด

     “พี่กำลังจะบอกว่า...”

     “อืม ตามที่มึงคิดนั่นแหละ” ผมจอดรถเมื่อมาถึงหน้าบ้าน หันไปสบตากับอีกคน มองเข้าไปในดวงตา “กูชอบมึง”



     >>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<

     Twitter : earthxxide

     Fanpage : Earthxxide
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-05-2023 18:59:50 โดย earthxxide »

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด