Chapter 03 --- ❝ เรื่องเมื่อคืน ❞
------------
“เสร็จแล้วก็จะกลับเลยหรอ” ผมสะดุ้งโหยงจากเสียงของพี่มันที่อยู่ไม่ไกลหลุดออกมาจากภวังค์ความคิดสู่โลกของความจริงที่ผมยากจะแก้ไข
ทำไมคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ถึงเป็นพี่ปราบไม่ใช่อิน
งั้นก็แปลว่าคนที่ผมมีอะไรก็คือ .. พี่ปราบสินะ !!
เหี้ยเอ๊ย พีคในพีคไปอีก !!!!!!
“ครับงั้นผมขอตัวกลับก่อนละกัน” ทำตัวปกติให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่ใจเต้นสั่นระรัวราวกับจะหลุดออกมา หนีไปตั้งหลักก่อนละกัน
“หรือเพราะว่ากูไม่ใช่คนที่ชื่ออิน มึงถึงไม่อยากอยู่ต่อ”
“เปล่าหรอก ปกติผม .. เอ่อ ..”
จะตอบยังไงดีวะ !! ลิ้นแมร่งพันกันหมดละ
“ปกติเวลามีอะไรกับใครเสร็จผมก็กลับเลยแบบนี้แหละ ขอตัวก่อนนะ”
ผมตอบบส่งๆ ออกไปแบบนั้นเพราะในหัวมันคิดอะไรดีกว่านี้ไม่ออก ปล่อยให้พี่มันคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติสำหรับผมดีกว่า เรื่องทุกอย่างจะได้จบไม่ต้องต่อความยาวสาวความยืดอะไรอีก
แอบพ่นลมหายใจไล่ความรู้สึกประหลาดออกไป เดินไปหยิบเสื้อผ้าที่ตกกระจายอยู่เกลื่อนพื้นขึ้นมาแล้วตรงเข้าไปในห้องน้ำ ไฟติดอัตโนมัติพร้อมกับร่างเปลือยเปล่าที่ยืนอยู่ตรงหน้ากระจก เปิดน้ำแล้วใช้สองมือกวักล้างใบหน้าของตัวเองเพื่อเรียกความสดชื่นให้พร้อมสำหรับการกลับออกไปเผชิญหน้ากับคนข้างนอก
ผมเดินกลับมายังส่วนของห้องนอนหยิบของส่วนตัวขึ้นมาไว้ในมือ โดยมีไอ้พี่ปราบสวมเสื้อคลุมแล้วยืนนิ่งมองผมไม่พูดอะไรสักคำ
ตรงไปยังประตูห้องเตรียมเปิดประตูก้าวเท้าออกไป ฝืนอยู่นานกว่านี้ผมต้องสับสนหนักไปกว่าเดิมแน่นอน แค่นี้ก็ช็อคจะตายห่าอยู่แล้ว คนที่เจอหน้ากันตั้งแต่เด็ก ทะเลาะกันบ่อยๆ สุดท้ายกลับกลายเป็นคนที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกัน
พูดแล้วก็อยากเอาหัวโขกประตูห้อง แต่ก็กลัวเสียงดังจนคนในตึกออกมาด่า
“แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเราจะเอายังไง”
ห๊ะ !! อะไรซิ
“พี่อย่าคิดมากสิ ก็แค่สนุกกัน”
ส่งยิ้มไปให้พี่มันราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นผมไม่ได้คิดอะไรจริงๆ
“มึงคิดแค่นั้นหรอ”
กึก !!! เสียงราบเรียบเย็นชาชวนขนลุกไปทั่วทั้งตัว ..อยู่ไม่ได้แล้วโว้ย
“ใช่ผมคิดแค่นั้นแหละพี่”
“อือ”
“ผมไปละ”
ปัง !!!
ประตูห้องถูกปิดลงพร้อมกับหัวใจของผมที่มันเบาโหวงแปลกพิกล !!!!
ค่อยๆ ปรือตาขึ้นใช้เวลาปรับโฟกัสรับแสงอยู่ครู่หนึ่งจนชินก่อนจะสำรวจสิ่งที่อยู่รอบกายอีกครั้งว่าผมได้พาร่างกายที่ผ่านสงครามบนเตียงมาถึงคอนโดของตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มองนาฬิกาดิจิตอลสีขาวทรงสี่เหลี่ยมข้างหัวเตียงบอกเวลาบ่ายโมงยี่สิบนาที ผมหลับไปนานเกือบแปดชั่วโมงตั้งแต่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ
หย่อนเท้าลงจากเตียงคว้าผ้าเช็ดตัวสีขาวที่วางอยู่ไม่ไกลเดินเข้าห้องน้ำเพื่อชำระล้างร่างกาย ขณะเดินผ่านกระจกผมไม่แม้แต่จะหันไปมองร่องรอยที่ปะเปื้อนเป็นจุดช้ำตามตัว ไม่อยากหวนกลับไปคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนแค่นี้สมองผมก็เต็มไปด้วยคำถามร้อยพันอัดแน่นอยู่จนไม่เหลือพื้นที่ว่างแล้ว
(Rrrr--- Rrrrr)
ไอ้เก้าโทรหาผมเป็นรอบที่สามสิบกว่าแต่ผมปิดเสียงโทรศัพท์ เพิ่งได้ยินก็ตอนอาบน้ำเสร็จเนี่ยแหละ
“ว่าไงมึง”
[ไอ้เหี้ยมีน กว่าจะรับสายกูได้นะมึงเนี่ย นึกว่าโดนฆ่าตายไปแล้ว]
เสียงไอ้เก้าดูร้อนใจมาก ผมรู้ว่าทำให้มันเป็นห่วงแค่ไหน
“โทษที กูปิดเสียงโทรศัพท์เลยไม่ได้ยิน”
[แล้วนี่มึงอยู่ไหน แล้วเมื่อคืนมึงไปกับใครวะ กูตกใจหมดเลย]
“ไว้เดี๋ยวกูเล่าให้มึงฟังละกัน ว่างมั้ยล่ะ”
[กูว่าง อยู่ใต้คอนโดมึงเนี่ยเพิ่งมาถึง]
“เออๆ รอแปบเดี๋ยวกูลงไปขอแต่งตัวก่อน”
[อืม]
วางสายไอ้เพื่อนรักแล้วหันกลับมามองตัวเองในกระจกบานใหญ่ ถอนหายใจไล่ความอึดอัดให้กับคนในนั้น แล้วนี่ผมจะเริ่มต้นเล่าเรื่องชิบหายนี้ให้ไอ้เก้าฟังยังไงดีวะเนี่ย
แมร่งเอ๊ย !! ดวงชงปะเนี่ยกูปีนี้
ทำไมถึงได้มีแต่เรื่อง
“เหี้ย สรุปเมื่อคืนมึงนอนกับไอ้พี่ปราบ”
ถ้ามึงจะพูดดังขนาดนี้มึงขึ้นไปจุดประชาสัมพันธ์แล้วโฟนออกไมค์เลยไอ้เวร เอามือปิดปากมันแทบไม่ทัน
“เบาๆไอ้เก้า”
“เออๆ กูขอโทษก็กูตกใจนี่หว่า ใครจะคิดว่าสุดท้ายมึงก็ได้กับพี่ชายข้างบ้านตัวเองวะ”
ได้กับพี่ชายข้างบ้านตัวเอง .. แค่นึกถึงเรื่องเมื่อคืนหน้าก็รู้สึกร้อนวูบวาบขึ้นมา
“กูไม่รู้ไง ถ้ารู้มันจะเกิดขึ้นหรอ”
ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธตัวเองที่ดื่มหนักจนเมาไม่ได้สติขนาดนั้น แต่ที่โกรธมากกว่าใครก็คือไอ้คนต้นเรื่องนั่นแหละ พี่มันรู้อยู่แล้วว่าเป็นผมแต่ยังเสือกพาขึ้นไปบนห้องแล้วมีอะไรด้วยเนี่ยนะ
อยากรู้จริงๆ ว่าพี่ปราบคิดอะไรของมันอยู่
“แล้วไอ้พี่ปราบของมึงมันกลับมาจากอเมริกาตอนไหนวะ”
“กูก็ไม่รู้เหมือนกัน”
แต่เดี๋ยวนะไอ้เหี้ยเก้า .. พี่มันไม่ใช่ของกูเว้ย
ไอ้พี่ปราบที่พวกผมกำลังพูดถึงอยู่เนี่ย ชื่อเต็มๆ คือปราบปราม ทายาทคนเล็กเจ้าของโรงแรมชื่อดังอันดับต้นๆ ของประเทศ พี่มันเคยเป็นอดีตเดือนมหาวิทยาลัยเดียวกันกับผม ตัวกวนประสาทยืนหนึ่งในระบบสุริยจักรวาล จนได้ฉายาว่า ‘หล่อเสี่ยงตีน’
แล้วบ้านมันก็อยู่ใกล้ๆบ้านผม เราเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็กและทะเลาะกันมาตั้งแต่เด็กด้วยเช่นกัน
ก่อนที่พี่มันจะไปเรียนต่อโทที่อเมริกาตอนจบปีสี่ หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้เจอพี่มันอีกเลย
“สมมติว่าถ้าไอ้พี่ปราบไม่จบมึงจะทำยังไง”
นั่นแหละ !! คือสิ่งที่ผมกลัว ไอ้พี่ปราบถ้าได้ลองเป็นเจ้าของอะไรแล้ว ไม่มีทางที่จะเสียไปเด็ดขาด
“ไม่หรอกก็แค่เรื่องสนุกมึง พี่มันไปอยู่เมืองนอกมาตั้งสองปี คงเจอกับเรื่องพวกนี้บ่อยกว่าเราอีก แถมกูกับมันก็ไม่ค่อยชอบหน้ากันเรื่องอะไรที่มันจะไม่จบกับกูละ”
ภาวนาขอให้เป็นแบบนั้นเถอะไม่อย่างนั้นชีวิตผมชิบหายเพราะผู้ชายคนที่ชื่อปราบปรามแน่นอน
“แต่กูไม่คิดแบบนั้น มึงตัดอคติออกแล้วมองตามหลักของความจริง พี่มันรู้ว่าเป็นมึงแต่แทนที่จะบอกกลับตั้งใจมีอะไรกับมึงจนเลยเถิด”
ไอ้เวรนี่ก็คิดตรงกับผมจริงๆ ราวกับมานั่งอยู่ในใจ
“กูว่างานนี้ไม่ปกติแล้วหวะ”
“มึงเพ้อเจ้อละไอ้เก้า พอเลย”
ผีโคนันยอดนักสืบเข้าสิงมึงปะเนี่ย !! วิเคราะห์เหี้ยไรขนาดนั้น แล้วเสือกตรงทุกข้อด้วย
ยิ่งฟังไอ้เก้าพูดผมก็ยิ่งเครียด ที่ตั้งสมมติฐานทุกอย่างถูกทุกข้อจนผมหาอะไรมาหักล้างไม่ได้ แม้เราจะทะเลาะกันบ่อยแต่ไม่ได้เกลียดกันแค่ไม่ชอบขี้หน้าเฉยๆ
ก็ไอ้พี่ปราบมันชอบกวนตีนแถมแกล้งผมจนร้องไห้เป็นประจำนี่นา ใครจะไปอยากดีด้วย
“เดี๋ยวผมออกไปครับ พี่รอแปบนึงนะ”
ไอ้เก้าวางสายก่อนจะหันมาส่งยิ้มแห้งให้ผมเพื่อแทนคำบอกว่าเห้ยเพื่อนกูต้องไปก่อนนะมีคนโทรตามอะไรทำนองนั้น
“ไปเถอะ กูอยู่คนเดียวได้”
“เออๆ อย่าคิดมากละกัน ยังไงมึงก็ตกเป็นเมียไอ้พี่ปราบแล้ว”
“ไอ้เหี้ยเก้า มึงรีบไปเลย”
“จ้า”
ไอ้เก้าลุกจากโต๊ะหนีกลับไปก่อน ทิ้งให้ผมอยู่กับสมมติฐานที่มันตั้งทิ้งไว้ให้ไขปริศนาจนเต็มหัวไปหมด แทนที่ได้คุยกับเพื่อนแล้วจะสบายใจกับเซ็งหนักเข้าไปอีก
เห้อ !!! ถอนหายใจจนอ็อกซิเจนจะหมดปอดกูอยู่ละ
“นั่งทานข้าวคนเดียวไม่เหงาหรอครับ” ตะเกียบในมือกำลังคีบราเมนค้างไว้หล่นลงทันทีที่ได้ยินเสียงทักทายของใครสักคนข้างหู ร่างกายสะดุ้งโหยงเรียกสติที่หลุดกลับมาหลังจากเป็นบ้าคิดถึงเรื่องเมื่อคืนอยู่ตั้งนานสองนาน ก่อนเจ้าของเสียงจะถือวิสาสะนั่งลงฝั่งตรงข้ามผมพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“ตกใจอินหรอครับ ขอโทษนะไม่รู้ว่าขวัญอ่อน โอ๋ๆๆ”
“ไม่เป็นไร มีนแค่คิดอะไรเพลินๆไปหน่อย” ยิ้มตอบให้กับคนที่ผมเจอเมื่อคืน คนที่ผมต้องไปต่อกับเค้า คนที่ผมเผลอเรียกชื่อของเค้าอยู่ตลอดเวลา แต่พอเปิดตามากลับไม่ใช่
ยิ่งเห็นหน้าอิน .. เสียงไอ้พี่ปราบเมื่อคืนก็ลอยก้องอยู่ในหัวทันที
“เมื่อคืนอินตกใจมากเลยนะที่อินขึ้นรถคันนั้นไป มีนไม่เป็นไรใช่มั้ย”
ไม่ใช่อินคนเดียวที่ตกใจ ผมเนี่ยก็ตกใจ
“ไม่เป็นไร นั่นรถเพื่อนเราอะ พอดีมีนเมามากบังเอิญเจอเค้าเลยขอติดรถกลับไปก่อน”
แถจนสีข้างกูถลอกหมดแล้วมั้ง สปอนเซอร์ยาทาแผลต้องเข้าแล้วแหละงานนี้
“แน่นะครับ ไม่ใช่ว่าไปกับใครมานะ” นี่นายแบบหรือหมอดู เอาจริง!! ไปอยู่สำนักเดียวกับไอ้เก้าเถอะน่าจะรุ่ง
“เปล่าๆ ไม่ได้ไปกับใคร” ยิ้มแห้งๆ กลบเกลื่อนส่งไป
“ดีแล้ว อินหวงนะ”
นั่น !! เจอกันวันเดียวหวงกูซะแล้ว ธรรมดาที่ไหน
“เหอะๆ อือ”
อินเป็นคนที่คุยเก่งมาก ชวนคุยไม่หยุดแต่ก็ไม่ได้น่ารำคาญ รอยยิ้ม ท่าทาง น้ำเสียงโคตรมีเสน่ห์เลยให้ตายสิ ไม่แปลกที่จะเป็นหนุ่มฮอตมีแฟนคลับแวะเวียนเข้ามาขอถ่ายรูปอยู่ตลอดเวลา อินบอกว่าวันนี้มีอีเวนท์ตอนหนึ่งทุ่มเลยออกมาเดินหาอะไรกินบังเอิญเจอผมนั่งอยู่คนเดียวจึงเข้ามาทักทาย
“โลกกลมดีเหมือนกันเนาะมีน” อินบอกแบบนั้น
“อืม กลมแหละ”
เหม่อมองออกไปนอกร้านช่วงย็นวันพฤหัสบดีแบบนี้คนเริ่มหนาตาขึ้นเยอะเมื่อเทียบกับตอนบ่ายที่ผมมาถึง ก็อย่างว่าแหละห้างสรรพสินค้ามีทุกสิ่งให้เลือกสรร ทั้งของกิน ของใช้ มุมให้เดินเล่นมาที่เดียวได้ครบหมดแถมยังมีแอร์เย็นสบายไม่ต้องเปลืองค่าไฟที่ห้อง ผมนั่งมองนั่นนี่ไปเรื่อยระหว่างมีนนั่งคุยโทรศัพท์พลันสายตาเห็นเด็กผู้ชายสองคนที่กำลังยื้อแย่งของในมือกันอยู่
“เอามานี่นะของพี่พี่ไม่ให้” เด็กผู้ชายเสื้อยืดสีแดงวัยราวๆ ห้าหกขวบเยื้อแย่งตุ๊กตาแมวกับคนตัวเล็กกว่าที่ใส่เสื้อแขนยาวสีเขียวเสียงดังลั่น
“แต่คิวจะเอา คิวขอยืมเล่นหน่อย”
“ไม่ได้ของพี่ ปล่อยมือเดี๋ยวนี้”
“ขอเล่นหน่อย”
“รำคาญ” คนเป็นพี่ผลักน้องล้มลงกับพื้นจนร้องไห้เสียงดังลั่น พอเห็นคนตัวเล็กกว่าร้องหนักขึ้นเรื่อยๆ คนเป็นพี่จึงปาตุ๊กตาที่อยู่ในมือใส่น้องอย่างหัวเสีย
“หยุดร้องได้แล้ว”
“พี่คิวใจดี” เด็กน้อยยิ้มออกแล้วกอดตุ๊กตาเอาไว้แน่น แล้วเดินตามแรงจูงมือของพี่ชายไปหาพ่อกับแม่ที่เลือกซื้อของอยู่ไม่ไกล
เห็นแล้วอดคิดถึงตัวเองในอดีตไม่ได้ ผมกับพี่ปราบทะเลาะกันแบบนี้เป็นประจำแต่พอผมร้องไห้คนเป็นพี่ก็จะขว้างของที่ผมอยากได้หรือสิ่งที่ผมต้องการมาให้ทุกครั้ง แม้จะไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ก็ตาม
ว่าแต่นี่ผมจะคิดถึงพี่มันทำไมวะเนี่ย !!
“มีน”
“มีนครับ”
ห๊ะ !!!
“ว่าไงอิน” ผมหลุดจากภาพในอดีตหันกลับมาหาอินที่นั่งอยู่ตรงข้าม
“เดี๋ยวอินจะไปแล้วนะ ต้องไปสแตนบายก่อน ผู้จัดการโทรมาตามแล้วครับ”
“อื้อๆ ได้” พยักหน้ารับพลางมองนาฬิกาในมือถือ หกโมงกว่าแล้วนี่หว่า
“ค่าอาหาร เดี๋ยวอินเลี้ยงเองนะ”
“ไม่เป็นไร”
“อินอยากเลี้ยงนี่ครับ ตามใจอินเถอะนะ”
อินส่งสายตาออดอ้อนขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหารทั้งที่เขากินชาเขียวแก้วเดียว จะจ่ายเองยังไงก็ไม่ยอมรีบเรียกพนักงานมาคิดเงินแล้วส่งบัตรเครดิตตัดหน้าผมไป จึงจำใจต้องตามนั้นทำอะไรไม่ได้แล้วนี่นา
“ขอบคุณที่เลี้ยงข้าวนะ แต่ที่จริงไม่ต้องเลยเราเกรงใจ”
“ถ้าเกรงใจไว้มีนเลี้ยงอินคืนสิครับ”
“อื้อๆ แบบนั้นก็ได้”
“คืนนี้อินโทรหานะครับ กลับบ้านดีดี”
“ตั้งใจทำงานนะอิน”
“กำลังใจดีขนาดนี้ สู้ตายครับผม” อินยิ้มกว้างแล้วโคตรหล่อทำเอาใจผมบางไปหมด รีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่นเดี๋ยวโดนจับได้ว่าเขิน
เราพากันเดินออกจากร้านหลังจ่ายค่าอาหารเสร็จเรียบร้อยก่อนจะแยกตัวเพื่อต่างฝ่ายต่างไปทำธุระของตัวเอง อินเดินไปยังลานกิจกรรมของห้างแต่มิวายหันหลังกลับมาโบกมือบ๊ายบายผมจนเกือบชนกับคนที่ยืนอยู่แถวนั้น
ไอ้นายแบบนี้ก็น่ารักดีเหมือนกันเนาะ พออินหายลับตาไปผมจึงมุ่งหน้าตรงขึ้นชั้นสองอยากไปเลือกดูหนังสือทำขนมให้คุณนายศรีซักหน่อยจะได้มีขนมหลายๆอย่างเอาไว้ขายลูกค้า
มุมหนังสือเกี่ยวกับขนมของที่นี่โคตรเยอะ ผมมองหาเล่มที่น่าสนใจเกี่ยวกับขนมชนิดใหม่ๆ และหลักการทางการตลาดพวกโฆษณาทางโซเชี่ยลรวมถึงแพ็กเกจจิ้งสวยๆด้วย ขนมของแม่จะได้ปังๆ ออเดอร์เข้ามาจนแทบทำส่งไม่ทันนะน้องนะ
(Rrrr--- Rrrrr)
พูดถึงก็โทรมาพอดี มีจิตสัมผัสอะไรรึเปล่าเนี่ยแม่ผม
“สวัสดีครับแม่” ส่งเสียงอ้อนลากยาวให้มากที่สุด
[ได้ข่าวว่าเมื่อคืนแอบหนีเที่ยวอีกแล้ววหรอ]
“บ้าแม่มีนอยู่คอนโดจะหนีเที่ยวได้ยังไงละครับ เมื่อคืนพอสองทุ่มก็หาวหนึ่งทุ่มก็นอนเลย”
เอิ่ม !! รีบพูดไปหน่อยสรวนหมดแล้วกู
[แต่มีสายข่าวโทรมาฟ้องแม่นะว่าเมื่อคืนลูกชายแม่หนีเที่ยว]
“แฮ่ๆ ใครกันนะที่คาบข่าวเร็วขนาดนั้น”
[จะใครก็ช่างอย่าเที่ยวให้มันบ่อยนักนะลูก ที่สำคัญอย่าให้แม่รู้ว่าทำตัวไม่ดีเด็ดขาดไม่อย่างนั้น...เละ]
ขู่เป็นงูเห่าเลยแม่ใครวะเนี่ย !! จ้ากลัวแล้วจ้า
“ครับผมมีนรู้แล้ว”
[เสาร์นี้กลับบ้านใช่มั้ย]
“กลับครับน่าจะบ่ายๆแหละเดี๋ยวมีนกลับไปอ้อนนะครับ”
[ดูแลตัวเองนะลูกโตแล้ว ต้องรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร]
“รับทราบครับผม เนี่ยมีนมาซื้อหนังสือทำขนมให้แม้ด้วยนะเดี๋ยวเสาร์นี้เอาไปให้นะครับ”
รีบเปลี่ยนเรื่องก่อนจะโดนบ่นยาวไปมากกว่านี้ คุณยังไม่รู้จักคุณนายศรีดี นี่โดนบ่นยาวสุดสองชั่วโมงเต็มๆ เบลอไปหมดเลยวันนั้นทั้งวัน เข็ด !! ไปจนวันตาย
[ขอบคุณครับลูก]
ครับแม่สวัสดีครับ มีนรักแม่นะ
[แม่ก็รักมีนเหมือนกันครับ]
ตั้งแต่เข้าปีหนึ่งแม่ก็ซื้อคอนโดใกล้ๆกับมหาวิทยาลัยไว้ให้ผมอยู่จะได้สะดวกในการเดินทาง เพราะระยะทางจากบ้านมาที่มอไปกลับใช้เวลาเกือบๆ สามชั่วโมงเพลียตายพอดี ผมกับแม่เราคุยกันทุกวัน บอกรักกันทุกครั้งที่มีโอกาส ถึงจะอยู่ห่างกันแต่ก็ไม่ได้ทำให้ความรักที่มีลดลงไปแม้แต่น้อยกลับเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมซะอีก ผมจะกลับบ้านทุกๆ วันเสาร์อาทิตย์รวมถึงวันที่ไม่มีเรียนไปช่วยคุณนายเค้าทำขนมส่งลูกค้า
วางสายแม่แล้วเลือกหาหนังสือไปเรื่อยๆ เปิดเล่มนั้นเก็บเล่มนี้จนเจอกับเล่มที่อยากได้ แต่แมร่งอยู่โคตรสูงพี่พนักงานก็ติดลูกค้าหน้าร้านกันหมด หันซ้ายหันขวานั่นไงบันไดใช้ปีนไปสำหรับหยิบหนังสือบนชั้นที่สูงสุด
ไม่รอช้าผมเลื่อนบันไดให้อยู่ในมุมที่สะดวกต่อการปีน เมื่อได้ตามที่ต้องการจึงขึ้นเหยียบขึ้นไปบนบันไดขั้นสุดท้าย แล้วเอื้อมขึ้นไปหยิบหนังสือเล่มที่ผมหามาโคตรนาน ไปทุกร้านก็ไม่มีวันนี้มิชชั่นคอมพลีสแล้วเว้ย
ขณะกำลังจะปีนกลับลงมา ..
“ทำไร”
“เห้ยไอ้พี่ปราบ”
สะดุ้งเสียงของไอ้พี่ปราบที่อยู่ๆก็โพล่งใกล้ๆ ตัวจนเหยียบบันไดพลาด
“มีนระวัง”
โครม !!!!
“โอ๊ยยยยย”
ถ้าเป็นในละครหลังข่าวที่แม่ชอบเปิดทิ้งไว้ตอนทำขนม ผมต้องอยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายคนที่มาช่วยไว้แล้วมองกันตาเชื่อมค้างอยู่แบบนั้นแถมยังมีแสงฟุ้งไปทั่วตัวไม่ใช่หรอ
แล้วทำไมกูถึงตกลงมานอนแผ่หราท่าปลาดาวหมดสภาพแบบนี้ละเนี่ย !!!
“ไอ้พี่ปราบ ทำไมพี่ไม่รับผมไว้”
เจ็บชิบหาย อายด้วยอีกต่างหาก ดีที่หนังสือไม่หล่นลงมาทั้งตู้ มีแค่เล่มที่ผมคว้าไว้ตกอยู่ข้างเท้าไอ้พี่มัน
“โทษที กูนึกว่าจะรับทัน กะผิดไปหน่อย”
ไม่หน่อยแล้วมั้ง ห่างคนละทิศขนาดนี้ สาบานว่าตาพี่มันยังปกติอยู่
ยัง ยังไม่มาพยุงกูลุกขึ้นไปอีกจะปล่อยให้นอนอายคนอื่นแบบนี้อีกนานแค่ไหนกัน ล้มแรงจนชายเสื้อเชิ๊ตเปิดเห็นพุงกะทิกูหมดแล้วเนี่ย
“มาเดี๋ยวกูช่วย”
“ก็ต้องเป็นแบบนั้นมั้ย พี่ทำผมตกใจจนร่วงลงมานะ”
ไอ้พี่ปราบพยุงผมให้ลุกขึ้นพลางโอบส่วนเอวของผมเอาไว้ เบี่ยงตัวตั้งใจจะออกห่างจากไอ้พี่มันแต่เสือกเซแทบล้ม เจ็บหลังไม่เท่าไหร่แต่ข้อเท้าโคตรเจ็บเลยดีที่พี่ปราบยังไม่ได้ปล่อยมือหนาจากตัวผมแถวดึงให้เข้าไปประชิดตัวใกล้จนได้กลิ่นของน้ำหอมของกันและกัน
ตึก ตึก ตึก !!
“เป็นคนขวัญอ่อนตั้งแต่เมื่อไหร่”
“หรือว่าตั้งแต่มื่อคืน”
“เอ๊ะ”
เจ็บอยู่นะไม่มีอารมณ์จะมาเถียงด้วยหรอกวันนี้ พี่มันมองหน้าผมแล้วยกยิ้มขึ้นมาเฉยๆ ไม่รู้จะตลกอะไรนักหนา
“เดินไหวหรือเปล่า”
ผมไม่ตอบแต่ผลักพี่มันออกจากตัว ทำท่าจะเดินออกไปแต่ยังเจ็บตรงข้อเท้าจนเผลอร้องออกมา ยิ่งเคลื่อนไหวยิ่งกระเทือนฝืนเดินเองต่อคงไม่เกินสามก้าวได้ล้มหน้าคว่ำอีกรอบแน่
“ไม่”
“ไม่ต้องหรอ” พี่ปราบยกคิ้วตั้งคำถาม
“ไม่ไหวแล้วผมเนี่ย..พี่ปราบช่วยพาผมไปส่งที่ห้องหน่อยนะครับ”
.
“ก็แค่เนี๊ยะ ”--------------------
ปราบมีน หรือ อินมีน พวกเธอว่ายังไง …
+1 รัวๆ หน่อยเร็ว ชอบไม่ชอบกันเอ่ย
