Chapter 20 --- ❝ความจริงของฝันร้าย❞
------------
จุดชมวิวเสม็ดนางชี ถือเป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของไทย เพราะเราสามารถเห็นวิวทิวทัศน์ของเกาะต่างๆ ภูเขาหินปูน ของ อ่าวพังงาโดยเฉพาะในช่วงเช้าที่แสงของพระอาทิตย์ส่องเป็นประกายแสงออกมา ชวนให้ตื่นตาตื่นใจคุ้มค่ากับการปลุกตัวเองให้ตื่นมาเป็นที่สุด
“มาเซลฟี่กันหน่อย”
พี่ปราบยกโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดชัตเตอร์รัวๆ คาดว่าจะได้รูปไม่ต่ำกว่า10รูป แต่ไม่แน่ใจว่าจะใช้ได้ซักกี่รูปกันเชียว เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงขอพี่มันเช็ครูปกันพลาดเผื่อผมไม่หล่อขึ้นมาจะได้ถ่ายใหม่
ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ให้พี่มันถ่ายให้แล้วเกือบๆ หนึ่งชั่วโมงที่มาถึงที่นี่
ไม่รู้ความจำเครื่องกูเต็มไปยังป่านนี้ .. หึหึ
“โห..พี่ปราบทำไมต้องทำหน้าหล่อด้วยอะ”
“ก็คนมันหล่อให้ทำไง”
“จ้า .. งั้นเรามาทำหน้าอุบาทว์ๆ กัน”
พี่ปราบจ้องหน้าผมนิ่งก่อนจะพยักหน้ารับ
“กวนตีนละ” แหมจะบอกว่าให้ทำหน้าแบบผมละสิถึงจะเรียกว่าอุบาทว์
“อะไร ยังไม่ได้พูดอะไรเลย”
“พี่จะบอกว่าหน้าผมอุบาทว์ใช่มั้ย”
“เปล่า..พี่จะบอกว่าทำไมวันนี้น่ารักจัง”
“โว๊ะ..”
“เนี่ย น่ารักอีกละ”
พี่มันยกมือขึ้นมาบีบแก้มผมทั้งสองข้างอย่างมันเขี้ยว แล้วอาศัยจังหวะเผลอรีบจุ๊บแก้มผมก่อนจะวิ่งออกไปจากตรงนี้หน้าตาเฉย
ไอ้พี่ปราบ...อาศัยช่วงชุลมุนอีกแล้วนะ ...
พี่ปราบกับพี่ปกป้องเข้าไปคุยงานกับพี่ไตรและทีมงานตั้งแต่ช่วงบ่ายหลังจากทานข้าวเที่ยงกันเสร็จ ทิ้งให้ผมอยู่กับไอ้เก้าไอ้ปาร์คที่ไม่ค่อยจะสนใจผมสักเท่าไหร่เพราะเอาแต่ตีป้อมไม่หยุดเลยไอ้เวร
พี่ปราบนี่ก็แปลกบอกพาผมมาทำงานสุดท้ายปล่อยให้ผมนั่งแหง่วอยู่นี่ได้..
“แหม ผัวไปทำงานแปบเดียวเองไม่ต้องทำเหมือนผัวไปสงครามขนาดนั้นก็ได้ เดี๋ยวพี่ปราบก็กลับมา”
“ผัวพ่อมึงสิ มึงตีป้อมไปเลยไม่ต้องยุ่งกับกู”
ถ้าจะหยุดเล่นเกมแล้วกวนตีนผม คิดว่าปล่อยให้พวกมันตีป้อมหรือจมอยู่กับโทรศัพท์ซะดีกว่า กวนตีนได้ทุกเวลาจริงๆ เลยเชียว
เออ.. ว่าแล้วก็ลืมเล่าเรื่องเมื่อคืนให้ไอ้สองคนนี้ฟัง
“มึงรู้มั้ยว่าเมื่อคืนกูเจออะไรมา”
“ท่ายากของพี่ปราบชัวร์” ไอ้สัสปาร์คมึงนี่ก็อีกตัว ผมไม่น่าตั้งคำถามแบบนั้นเพื่อให้พวกมันหาคำตอบล่อแหลมแบบนี้กลับมาเลยจริงๆ เออกูผิดเอง
“มึงหยุดเล่นสักพัก แล้วเข้าโหมดจริงจังหน่อยสิ กูซีเรียล”
“ซีเรียสมั้ย” ไอ้ห่าเก้ากูเคยบอกแล้วว่าหน้าผากกูสูง มึงยังเสือกตีอยู่ได้ แค่เล่นมุกนิดเดียวเอง
เอาละ... กูจะจริงจังละนะ!!
“เมื่อคืนกูเจอพี่ไตรกับอินอยู่ด้วยกัน กูคิดว่าเค้าสองคนรู้จักกัน”
ผมเริ่มต้นเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้เพื่อนทั้งสองคนฟัง ว่าเมื่อคืนผมเห็นพี่ไตรกับอินยืนคุยกัน สีหน้าทั้งคู่ดูเคร่งเครียด ทว่าบทสนทนาที่เกิดขึ้นผมฟังไม่ถนัดด้วยเพราะอยู่ไกลประกอบกับเสียงคลื่นและลมค่อนข้างดัง
ประโยคที่แน่ใจว่าฟังไม่ผิดและชัดเจนที่สุดหลุดลอดเข้าหูมีเพียงประโยคเดียวคือ
“อย่าให้พลาดเหมือนคราวที่แล้ว”
จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าประโยคนั้นหมายความว่ายังไง ยิ่งไอ้พี่ปราบทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่พูดไม่คุยเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยทั้งนั้น กลับถึงห้องก็อาบน้ำนอน
“มึงคิดมากไปเปล่า เค้าก็คงรู้จักกันแบบพี่ไตรจ้างไอ้อินมาทำงานอะไรทำนองนั้น อย่าลืมสิว่าอินเป็นนายแบบนะเว้ย”
“กูเห็นด้วยกับไอ้เก้านะ คงไม่มีไรหรอกมั้งมึง” ไอ้ปาร์คสำทับคำพูดของไอ้เก้า
“แต่กูว่าแปลกๆ คุยงานอะไรหน้าตาจะเครียดขนาดนั้น แถมยังจับมือถือแขนกันด้วยนะมึง”
“ช่างมัน ไม่เกี่ยวอะไรกับมึงสักหน่อย ตอนนี้กูว่าพวกเราไปนั่งหาอะไรเย็นๆ ดื่มข้างนอกดีกว่ากูเบื่อเล่นเกมละ”
ไอ้เก้ากับไอ้ปาร์คลากผมออกไปจากห้องนอนมุ่งตรงไปยังส่วนบาร์ของทางโรงแรม พร้อมความสงสัยที่เคลือบแคลงเพิ่มเติมเข้ามาหนักกว่าเดิมอีก
ปกติไอ้สองตัวนี่มันต้องตั้งสมมติฐานที่ดีกว่านี้สิไม่ใช่ปล่อยให้จบแค่นี้
เสียชื่อโคนันยอดนักเสือกหมด.....
Prabpram : ไม่ต้องรอทานข้าวเย็นนะ พี่ติดประชุมน่าจะดึกเลย
ผมนั่งมองข้อความที่ถูกส่งมาจากพี่ปราบเมื่อราวๆ สองชั่วโมงก่อน พร้อมกับเวลาที่ล่วงเลยเกือบจะหนึ่งทุ่มแล้ว ไม่รู้ว่างานมีปัญหาหรือยังตกลงอะไรกันไม่ได้ตรงไหนถึงได้กินเวลาร่วมเกือบหกชั่วโมงแบบนี้ ไอ้ปาร์คกับไอ้เก้าหายหัวไปไหนไม่รู้ตั้งแต่ทานข้าวเย็นกันเสร็จทิ้งผมให้อยู่ตามลำพัง
“มานั่งเหม่ออะไรอยู่ตรงนี้คนเดียว”
เสียงพี่ไตรเอ่ยทักพลางนั่งลงตรงข้ามผมในทันทีที่พูดจบ พี่เขายิ้มส่งมาให้ราวกับเหมือนไม่เคยทำเรื่องเลวร้ายกับผมมาก่อน
แต่เรื่องนั้นช่างมัน เพราะตอนนี้มีเรื่องที่สำคัญกว่านั้น
ถ้าพี่ไตรมาอยู่ตรงนี้แล้วพี่ปราบอยู่ไหน...
“ว่าไง ทำไมมานั่งอยู่ที่นี่คนเดียวละครับ คุณปราบกับคนที่ชื่ออินไปไหนแล้วล่ะ”
ตวัดตามองพี่ไตรด้วยความใคร่รู้ว่าทำไมถึงมีอินเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ คล้ายกับคนตรงหน้าจะอ่านสายตาผมออกว่ากำลังเกิดความสงสัยขึ้นในใจ
“มีอะไรหรือเปล่ามีน”
“พี่ไตรไม่ได้ประชุมกับพี่ปราบหรอครับ”
“เปล่านะ พวกพี่เลิกประชุมกันตั้งแต่ตอนเกือบๆ ห้าโมงแล้ว พี่นึกว่าคุณปราบจะมาหามีนซะอีก”
พี่ไตรเว้นประโยคนั้นไว้ ท่าทางอึกอักคล้ายอยากพูดแต่ก็ไม่กล้า สงวนท่าทีตัดสินใจสลับกับมองมาที่หน้าผมเป็นระยะ ส่วนผมเองก็รู้สึกแปลกๆ เช่นกัน ถ้าพี่ปราบไม่ได้ประชุมแล้วส่งข้อความแบบนั้นมาให้ผมทำไมกัน
“คือพี่ได้ยินคุณปราบคุยโทรศัพท์ว่าจะไปหาที่ห้อง พี่ก็นึกว่ามาหามีนซะอีก”
พี่ไตรกวาดสายตาคมมองไปทั่วบริเวณที่ผมนั่งอยู่ ในเมื่อเลิกประชุมตั้งนานแล้วทำไมพี่ปราบถึงยังส่งข้อความมาบอกผมว่ากำลังประชุมอยู่อีกผมไม่เข้าใจ
“แต่พี่ปราบบอกว่าประชุมกับพี่ไตรนี่นาน หรือว่ามีประชุมต่อแล้วพี่ไตรไม่ได้เข้าหรือเปล่าครับ”
อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ อย่าเพิ่งคิดไปไกล..
“ไม่มีนะ คุยกันจบหมดแล้ว” พี่ไตรสำทับสิ่งที่พูด
“อ้าว แล้วพี่ปราบไปไหนครับ”
“นั่นสิ..ตอนออกจากห้องประชุมพี่เห็นคนที่ชื่ออินมารออยู่แล้วทั้งคู่ก็เดินไปพร้อมกัน ตอนแรกพี่นึกว่าจะมาหามีนซะอีกนะเนี่ย แต่พอมาเจอมีนพี่ถึงไอ้เริ่มเอะใจแปลกๆ”
พี่ไตรถอนหายใจยาว ส่งสายตาที่แบบผมเองก็เรียกไม่ถูกว่ามันคืออะไร แต่สายตานั้นทำผมวูบๆ วาบๆ ในท้องไปหมด อารมณ์เหมือนผมกำลังจะลุ้นอะไรสักอย่าง
“คือพี่ก็ไม่อยากจจะมองในแง่ร้ายนะ แต่ทางที่สองคนนั้นเดินไปไม่ใช่ทางมาที่นี่”
“แล้วเค้าเดินไปไหนกันครับ”
“น่าจะห้องพักของคนที่ชื่ออินครับ”
เรื่องราวที่ฟังพอจะทำให้สามารถปะติดปะต่อทุกอย่างเรียงร้อยจนครบถ้วน พี่ปราบไม่ได้โทรหาผม เขาเพียงแต่ส่งข้อความเข้ามา และตั้งแต่บ่ายผมยังไม่เจอที่พี่ปราบและอินเลยด้วยซ้ำ
ใจผมหล่นวูบในทันทีที่คิดได้ ความชาวาบวิ่งแล่นไปทั่วทั้งตัว ไม่อยากจะคิดในแง่ร้ายว่าพี่ปราบกำลังทำเหมือนคนอื่นๆ ที่ทำกับผม
แต่สถานการณ์มันยากที่จะทำให้ไม่มองเป็นอย่างอื่น....
บานประตูที่ผมยืนจ้องอยู่นานด้วยความกล้าๆ กลัวๆ ที่จะเคาะหรือจะผลักมันเข้าไป เพื่อเจอกับความจริงที่ซ่อนอยู่หลังประตูบานใหญ่นี้ ความสับสน ความวุ่นวาย ความคิดซับซ้อน ตีวนทั่วไปทั้งหัวตลอดจนความรู้สึกที่มี เหงื่อออกชุ่มมือ ใจสั่นระรัว หายใจหอบถี่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นแทรกซ่อนในความรู้สึกตอนนี้มันเรียกว่าอะไร ผมไม่อยากให้ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนครั้งก่อนๆ อีก ความผิดหวังเจ็บปวดในความรักมันทำให้ผมปิดตัวเองจากทุกความหวั่นไหวที่เข้ามาตลอด
จนกระทั่งพี่ปราบได้ค่อยๆ พังมันลงมาเกือบทั้งหมด ด้วยความจริงใจที่มอบให้โดยใช้ระยะเวลาเพียงไม่นาน
ทั้งๆ ที่ผมกำลังจะเปิดใจยอมรับ แต่แล้วทำไมทุกอย่างมันถึงได้คล้ายกับเดจาวูที่วนล้อกลับไปเป็นเหมือนเดิม
หรือเพราะในโลกนี้มันไม่มีความรักดีดีหลงเหลืออยู่แบบนั้นหรอ..
“อย่าคิดมากนะมีน มันอาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้นก็ได้”
ผมยืนนิ่งมือจับไปที่ลูกบิดประตู สูดลมหายใจยาวแล้วพ่นลมหายใจสะสั่นออกมา หลับตาเรียกสติของตัวเองให้กลับเข้ามาประจำที่ เตรียมตัวหากต้องเผชิญกับสิ่งที่ทำให้เจ็บปวดอีกครา
“หรือถ้ามันเกิดขึ้น ก็คิดซะว่ามีนโชคร้ายแล้วกันเนาะ”
โชคร้าย เหอะ!!
มันก็คงจะเป็นจริงอย่างที่พี่ไตร หนึ่งในคนที่มอบความโชคร้ายเกี่ยวกับประสบการณ์ความรักแย่ๆ มาให้ผมพูด ทุกครั้งที่ความรักของผมพังลงไม่เป็นท่า ผมจะกลับมาโทษตัวเองเสมอว่าผมเป็นคนโชคร้ายที่ไม่มีดวงเรื่องความรัก และผมเป็นคนโชคร้ายที่ไม่ดีพอจะทำให้ใครสักคนรักผม เลือกผมเพียงคนเดียวได้
แต่กับพี่ปราบ ... ผมกลับไม่อยากให้เกิดเรื่องโชคร้ายแบบนั้นขึ้นเลยแม้แต่น้อย
แกร๊ก !!!
“พี่ปราบ”
ตาเบิกกว้างขอบตาร้อนผ่าวกับภาพที่เห็นตรงหน้า ใจมันหวิวคล้ายจะพาให้สติวูบไปเสียให้ได้ จุกแน่นเบลอเหมือนโดนต่อยเมาหมัดนับครั้งไม่ถ้วน ได้แต่เฝ้าถามตัวเองในใจว่าทำไมมันถึงเกิดเรื่องเหี้ยๆ แบบนี้ขึ้นกับผมอีกแล้ว
พี่ปราบกับอินจูบกันอยู่บนเตียง ....
ทั้งคู่ผละกันออกหันขวับกลับมายังผมที่ยืนอยู่ตรงประตู สีหน้าท่าทางแสดงความตกใจอย่างถึงที่สุด พี่มันเรียกชื่อผมเสียงดัง ก่อนจะคว้าเสื้อตัวที่ผมติดกระดุมให้เมื่อเช้าขึ้นมาสวมใส่เตรียมจะเดินมาทางนี้ แต่คงช้าไปเพราะผมไม่อยากอยู่ตรงนี้อีกแม้สักเสี้ยววินาทีเดียว
ผมเสียใจ
ผมเสียความรู้สึก
ผมผิดหวัง
และผมกำลังร้องไห้
ไม่รู้ว่าไกลแค่ไหนที่วิ่งพร้อมน้ำตามาจนถึงที่นี่ ความเสียใจมันสั่งให้เท้าของผมรีบก้าวออกจากห้องนั้น เพื่อให้ตัวเองพ้นกับสิ่งที่เห็นอยู่ ค่อยๆ ปาดน้ำตากับยกแขนขึ้นปิดปากตัวเองไม่ให้ลอดส่งเสียงสะอื้นไห้ออกมา ผมไม่อยากกลับไปเป็นคนอ่อนแอแบบเดิมอีกแล้ว ฝันร้ายที่เจ็บปวดทุกๆ ครั้งสร้างบาดแผลในความทรงจำพรุนจนนับแผลไม่ถ้วน ตั้งใจจะเป็นคนเข้มแข็ง ไร้หัวใจไม่โอนอ่อนเผลอใจให้ใคร
แต่สุดท้ายผมก็ต้องยอมแพ้เสียงเรียกร้องหัวใจของตัวเองให้กับพี่ปราบ
และสุดท้ายมันก็จบลงตรงที่ความเสียใจแบบเดิม
หมับ!!
ผมเสียหลักปลิวไปตามแรงดึงของใครสักคนจนเข้ามาอยู่หลังพุ่มไม้ใกล้ๆ พยายามดิ้นและเปล่งเสียงทว่าทำไมสำเร็จเมื่อทั้งมือที่ยกขึ้นมาปิดปากและโอบรัดตัวเอาไวพันธนาการแน่นจนเรี่ยวแรงที่มียากจะต่อต้านไหว สายตากวาดตวัดมองไปยังร่างของคนที่โฉบคว้าผมเข้ามา ก่อนจะพบว่าใช่ใครอื่นทว่าเป็น
“ไอ้เก้า”
“ชู่ว” ไอ้เก้าส่งสัญญาณให้ผมงดใช้เสียง ไอ้ปาร์คที่อยู่ไม่ห่างพยักพเยิดหน้าให้ผม ส่วนพี่ปกได้แต่ส่งยิ้มอ่อนๆ มาให้ ไม่เข้าใจว่าจะลากเข้ามาทำตัวลับๆ ล่อๆ หลังพุ่มไม้นี่ทำไมกัน
คนกำลังเศร้านะเว้ย..
“ลากกูเข้ามาทำไม”
“อย่าพึ่งถาม อยู่เงียบๆ แล้วหยุดร้องไห้ก่อน” ไอ้เก้าเอ่ย ท่าทีมันดูจริงจังจนผมต้องทำตาม
“ใจเย็นนะมีน โน่นดูอะไรนั่นก่อน” พี่ปกลูบไหล่ผมเบาๆ เรียกสติชี้ให้ผมตวัดสายตาไปตามทิศทางนิ้วชี้ของพี่มัน พลางไอ้ปาร์ครีบยกมือถือขึ้นมาแล้วกดอัดวิดีโอบันทึกเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าเอาไว้
“ทำแบบนี้ทำไมวะ”
เสียงพี่ปราบดังขึ้นเรียกพี่ไตรที่กำลังเดินให้ชะงักแล้วหยุดหันกลับไปเผชิญหน้ากับพี่มัน พี่ไตรหัวเราะร่วนด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความสุข ส่วนพี่ปราบสีหน้าเคร่งเครียดตรงกันข้าม อินเดินตามเข้ามาสมทบยืนอยู่ข้างๆ พี่ปราบ
“ผมทำอะไรหรอครับ ไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย” พี่ไตรทำเฉไฉ ท่าทางยียวนกวนตีนกว่าครั้งไหนจนผมเห็นพี่ปราบกำหมดแน่นสะกดอารมณ์
“ทำอะไรมึงรู้อยู่แก่ใจ”
“มึงมากกว่ามั้ง ที่ทำอะไรลงไป นอกใจมีนไปจูบกับไอ้อินจนมีนร้องไห้เสียใจ”
“มึงว่ากูฉลาดมั้ยไอ้ไตร”
พี่ปราบหลุดหัวเราะในลำคอ ดวงตาประกายวับกับสีหน้ามั่นใจปรากฏขึ้นทันที ตอนนี้กกลายเป็นว่าพี่ไตรเองนั่นแหละที่เริ่มถอดสีหน้าลง
“มึงถามทำไม”
“คนฉลาดอย่างกูเนี่ย ไม่ตกเป็นเหยื่อแผนตื้นๆ ละครหลังข่าวของมึงหรอกไอ้ไตร”
พี่ไตรเงียบสนิท เคร่งเครียดหนักกว่าเก่า
“มึงคิดว่ากูไม่รู้ว่ามึงจัดฉากให้กูกับอินจูบกันแล้วให้มึงพามีนมาเจอกู เหอะ..แผนโคตรกระจอกเด็กปอสี่ยังคิดแผนได้ซับซ็อนกว่ามึงอีกมั้ง”
หืม!! ผมเผลอครางในลำคอบวกกับความดีใจและงงในวินาทีเดียวกัน เรื่องที่ผมเห็นไม่ใช่ความจริงสินะพี่ปราบไม่ได้นอกใจผมสักหน่อย
“มึงพูดเรื่องอะไรของมึง กูไม่รู้เรื่องทั้งนั้นแหละ”
“แต่มึงรู้ใช่มั้ยอิน ว่าแผนทั้งหมดเป็นยังไง”
อินเดินขึ้นมายืนประจันหน้ากับพี่ไตรข้างๆ พี่ปราบ กดยุกยิกในโทรศัพท์แล้วยื่นหน้าจอให้พี่ไตรดู คู่กรณีตาเบอกกว้างด้วยความตกใจเตรียมจะคว้าหมับ ทว่าถูกพี่ปราบผลักออกห่าง
“แผนของเราครั้งนี้ก็คือ อินจะต้องชวนไอ้ปราบไปที่ห้องแล้วทำยังไงก็ได้ให้เหมือนมีอะไรกัน แล้วพี่จะพามีนไปเจอ เราจะสร้างสตอรี่ว่าไอ้ปราบกำลังนอกใจมีน”
“ได้เลยพี่ ว่าแต่พี่จะให้ผมเท่าไหร่ครับ”
“ห้าหมื่น เดี๋ยวจบงานพี่โอนให้”
“ได้ครับ”
“อย่าให้พลาดเหมือนคราวที่แล้ว”
“ไอ้อินมึงหักหลังกู” พี่ไตรตวาดเสียงดังลั่นไปทั่ว เขาโมโหจนตัวสั่นเทาหน้าแดงอย่างคนที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองเอาไว้ได้ พี่ไตรเวลาไม่ได้ดั่งใจหรือโกรธจัดจะไร้ซึ่งสติจนหลุดแบบนี้แหละ
“ก็พี่ปราบเขาจ่ายผมเยอะกว่าพี่ตั้งสามเท่าแหนะ ผมรับจ้างก็ต้องเลือกงานที่ได้เงินดีกว่าสิ”
เด็กหนุ่มที่สุภาพ อ่อนโยน ยิ้มเก่ง โลกสวยที่ผมเคยรู้จัก กลายร่างเป็นคนกร้านโลก ท่าทีแข็งกร้าวกวนประสาทนั้นช่างตรงกันข้ามกับที่ผมเคยสัมผัสอย่างสิ้นเชิง ที่แท้เรื่องที่เห็นเมื่อคืนพี่ไตรกับอินก็คุยกันเกี่ยวกับแผนการในวันนี้นั่นเอง
“มึงพูดแบบนี้กับกูหรอ กูไม่เอามึงไว้แน่ไอ้อิน”
พี่ไตรชี้หน้าคาดโทษอินเอาไว้ สายตาคมแดงก่ำกราดเกรี้ยวมองคนตรงหน้าที่ไม่มีท่าทียี่หระกับความแค้นที่ส่งมาให้เลย
“มึงทำแบบนี้ทำไมไอ้ไตร มึงจ้างคนมาทำลายความรู้สึกมีนทำไม”
อินเบี่ยงหลบให้พี่ปราบที่ยืนนิ่งอยู่นานขึ้นมาประจันหน้ากับตัวต้นเรื่อง พี่ไตรไร้ซึ่งคำพูดใดๆ โต้ตอบนิ่งเงียบทว่ายังคงแสดงออกทางสีหน้าและแววตาว่ายังคงแค้นชัดเจนซะเต็มประดา
“กูถามว่าทำไม” พี่ปราบตวาดลั่นเสียงดังจนผมตกใจ ไม่เคยเห็นพี่มันโกรธเดือนดานขนาดนี้มาก่อนในชีวิต พี่มันกระชากคอเสื้อพี่ไตรเข้ามาหาตัวเอง ตาจ้องนิ่งตัวสั่นเทาไปหมด
“ทำไมกูจะทำไมไม่ได้ ก็ไอ้มีนมันทำกูก่อน แค่นี้ยังน้อยไป”
พี่ไตรผลักพี่ปราบให้ถอยห่างออกจากตัว หัวเราะหึในลำคอคล้ายคนเสียสติ ตาจ้องนิ่งไปหาพี่ปราบที่ดูเหมือนพร้อมจะต่อยไอ้พี่ไตรอยู่ตลอดเวลา ความจริงเรื่องของผมกับพี่ไตรมันจบลงไปตั้งนานแล้วและผมก็ไม่ได้ทำอะไรให้พี่มันเลยหลังจากนั้น มีแต่พี่เขาที่ทำร้ายผมอยู่ฝ่ายเดียว
แล้วเหตุผลที่เขาคิดร้ายกับผมมันคืออะไรกัน...
“มีนไปทำอะไรให้มึง มึงกับน้องเลิกกันตั้งนานแล้ว มึงจะตามทำร้ายน้องอีกทำไม”
“ก็เพราะมันเลิกกับกูไง กูถึงได้เกลียดมัน กูอยากทำลายมัน เพราะอะไรรู้มั้ย เพราะคนอย่างกูไม่เคยถูกใครทิ้ง ในชีวิตกูกูเป็นคนเลือกตลอดว่าจะเอาใครจะทิ้งใคร ไม่ใช่จะให้ใครมาทิ้งกู”
ตอนนี้มีมือไม่ต่ำกว่าสี่ข้างที่ฉุดผมให้อยู่ที่ไม่ให้ลุกออกไปต่อยไอ้เหี้ยไตรให้ล้มคว่ำล้มหงายอยู่ตรงนั้น ผมรู้สึกร้อนไปหมดเพราะความโกรธไม่คิดว่าคนคนหนึ่งจะเหี้ยอะไรได้ขนาดนี้ ผมเป็นคนบอกเลิกเพราะมันมีคนอื่นแต่กลายเป็นผมต้องมาโดนทำร้ายต่อมันยุติธรรมตรงไหน
“เรื่องแค่นี้เนี่ยนะ”
“เออ มึงไม่รู้หรอกว่ากูรู้สึกเสียหน้ามากแค่ไหน คนอย่างไตรวิชชีวิตเพียบพร้อมทุกอย่างแต่กลับถูกไอ้เด็กกระจอกๆ คนหนึ่งทำลายความภูมิใจของกู กูถึงต้องทำลายความรักของมันทุกครั้งไง”
ห๊ะ!! ผมอ้าปากค้าง
“มึงว่าไงนะไอ้ไตร มึงทำลายความรักของน้องทุกครั้งเลยหรอ”
“เออ กูทำลายความรักของมันทุกครั้ง ตั้งแต่เลิกกับกู กูก็ให้คนตามดูชีวิตมันตลอด ทุกครั้งที่มันมีแฟนกูก็จะทำให้มันผิดหวัง เสียใจ โดนทิ้งเหมือนกับที่กูโดนไง”
พี่ไตรเอ่ยเล่าสิ่งชั่วร้ายที่ได้ทำเอาไว้อย่างไม่ยี่หระ จนความโกรธที่มีของผมมันทวีขึ้นเป็นเท่าตัวไม่สิสิบเท่าตัวเลยมากกว่า ผมเข้าใจมาตลอดว่าผมโชคร้ายที่เจอความรักแย่ๆ จนปิดกั้นตัวเองจากความรัก
แต่สุดท้ายมันไม่ใช่...
“แฟนคนที่สองของมัน บังเอิญโชคเข้าข้างกูหวะ แฟนเก่ามันเป็นน้องที่กูรู้จักกูเลยเชียร์ให้สองคนนั้นกลับมาคบกัน ยุยงสารพัดจนในที่สุดเค้าก็ทิ้งมัน”
ไอ้พี่ไตรหัวเราะอย่างภาคภูมิใจที่ได้เอาชนะคนอย่างผม
“ส่วนคนต่อมา กูก็จ้างคนให้ไปยั่ว ไปยุ่งกับแฟนมัน สันดานผู้ชายพอเจออะไรที่ถึงใจมันก็ติดจนถอนตัวไม่ขึ้น จนนานวันเข้าผู้ชายก็เริ่มห่างมันและทิ้งมันไปในที่สุด”
พี่ไตรหัวเราะร่วนราวกับคนเสียสติ
“ล่าสุดกูก็จ้างไอ้อินให้ไปจีบมัน ตั้งใจว่าพอมันหลงรักไอ้อินก็จะทิ้งมันเหมือนที่มันทิ้งกู แต่ไอ้นี่เสือกพลาด กูเลยต้องเปลี่ยนแผนเป็นจัดการกับมึงแทน เป็นไงกูเก่งมั้ยทำลายความรักของมันได้ทุกครั้งเลย ฮ่าๆ สะใจโว้ย”
“ไอ้เหี้ย”
ปึก !!!
พี่ปราบชักหน้าพี่ไตรจนล้มลงกับพื้นแล้วพุ่งเข้าไปคร่อมล่างเอาไว้ ปล่อยหมัดใส่ไม่ยั้งด้วยแรงโกรธจนหน้าพี่ไตรอยู่ในสภาพไม่ชวนมองเท่าไหร่ เลือดกบปากเปรอะเปื้อนเต็มเสื้อเช๊ตขาวที่สวมใส่ พี่ปราบยั้งหมัดสุดท้ายเอาไว้ ใบหน้าบิดเบี้ยวสะกดอารมณ์ร้อน ต่างจากคนที่คนอยู่บนพื้นส่งยิ้มหัวเราะราวคนบ้าไม่รู้สึกรู้สากับความเจ็บปวดตลอดจนสิ่งเลวร้ายที่ได้ทำลงไปทั้งหมด
“ต่อยกูเลย เพราะยังไงมึงก็ไม่มีทางได้กลับไปหาไอ้มีนแล้ว”
“มึงแน่ใจหรอไอ้ไตร”
“กูแน่ใจ เพราะมีนเค้าเชื่อในสิ่งที่เห็นไปแล้ว คนโง่ๆ แบบนั้นป่านนึ้คงนั่งร้องไห้ตายไปแล้วมั้งยิ่งคิดกูก็ยิ่งสะใจหวะ ยังไงก็ขอบคุณมึงมากนะ”
พี่ปราบหัวเราะตอบกลับไป ผละลุกขึ้นยืนสะบัดมือไล่ความเมื่อยจากการชกหนัก หันหน้ามาทางพุ่มไม้แล้วเอ่ยขึ้น
“ได้ยิน ได้เห็นทุกอย่างหมดแล้วใช่มั้ยครับมีน”
ผมลุกขึ้นเดินออกมาจากความมืดหลังพุ่มไม้ที่หลบซ่อนอยู่ ก้าวออกมาตามแสงที่ค่อยๆ สว่างขึ้นเรื่อยๆ จนทุกอย่างชัดเจนในที่สุด ไม่ต่างจากหัวใจของผมตอนนี้ที่เคยซุกซ่อนเอาไว้หลังกำแพงสูงเพียงเพราะเข้าใจว่าสิ่งเจ็บปวดตลอดเวลาที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะความรักที่ไม่สมหวังจนกระทั่งทุกอย่างกระจ่างชัด
“มีน”
“ใช่ผมเอง” พี่ไตรพยุงตัวให้ลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับผม ข่มตัวเองให้มีสติระงับความโกรธให้มากที่สุด มันจะได้จบๆ กันไปสักทีไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับคนแบบนี้แล้ว
“เรื่องที่เราเลิกกัน ถ้าพี่คิดดีดีเหตุมันมาจากพี่ที่นอกใจผม ไม่ใช่ผมอยากบอกเลิกพี่ ตลอดเวลาที่คบกันผมพยายามที่จะประคับประคองแล้วแต่มันก็ไปต่อไม่ได้จริงๆ ขอโทษนะครับถ้ามันจะทำให้พี่รู้สึกหมดความภาคภูมิใจในตัวเองได้ถึงขนาดนี้”
ถามว่ารักพี่ไตรมากแค่ไหน ผมตอบได้เลยว่าเคยรักมาก มากที่สุดเท่าที่ชีวิตหนึ่งรักสามารถรักใครสักคนได้ ตลอดระยะเวลาที่มีด้วยกันมันดีมากถึงมากที่สุด ถ้าไม่มีเรื่องนอกใจเข้ามาเกี่ยวข้อง
ผมรับได้ทุกอย่าง ยกเว้นแค่เรื่องนี้จริงๆ ..
“หึ”
“แต่ที่พี่ตามทำร้ายผม ตามทำให้ความรักของผมพังทุกครั้ง จนผมต้องเปลี่ยนตัวเองเป็นคนที่ไม่เชื่อในความรัก เกือบชีวิตพังกลายเป็นคนง่ายๆ นอนกับใครก็ได้อันนี้ผมไม่เห็นด้วยหวะ”
ไม่มีใครที่อยากจะเลิกกับคนที่เรารัก เพราะเมื่อมีรักเราต่างมองไปที่ปลายทางแห่งความสุขมากกว่าปลายทางแห่งความจบสิ้น ทว่าความสุขที่มีเลือนลางเข้าไปในทุกนาทีที่ผ่านเลย
ในเมื่อหนึ่งคนพยายามประคับประคองแต่อีกหนึ่งกลับนิ่งเฉยแถมยังค่อยทำลายลง สุดท้ายมันก็ยากที่จะไปต่อได้
“คนเราเลิกกัน เพราะมันรักกันไม่ได้ เราควรจะจบกันด้วยดี ต่างคนต่างอยู่ไม่ใช่จองเวรกันแบบนี้ ที่ผ่านมาผมจะถือว่าผมชดใช้ให้พี่หมดแล้วนะครับ ผมจะไม่โกรธไม่ถือโทษอะไร”
“แต่กูไม่จบ”
“ถ้ามึงไม่จบ เรื่องที่มึงทำร้ายมีนที่โรงแรม แล้วก็เรื่องที่มึงติดการพนันจะถูกเปิดเผยสู่สังคมทันที คนที่มีแต่ความภาคภูมิใจในตัวเองและหวงแหนมันขนาดนั้น คงไม่อยากให้มีเรื่องอะไรแบบนี้เกิดขึ้นใช่มั้ย”
“ไอ้ปราบ”
“ใช่ กูชื่อปราบปราม จำหน้ากูไว้ดีดี ถ้ามึงไม่จบมึงเจอกู และมึงก็รู้ว่าครอบครัวกูมีอิทธิพลในวงการขนาดไหน”
“พวกมึง”
“เมื่อก่อนมึงอาจจะทำร้ายมีนได้ แต่นับจากนี้มึงไม่มีสิทธิแม้แต่นิดเดียว”
.
“เพราะมีนเป็นคนของกู ถ้ามึงแตะมึงตายไอ้เหี้ยไตร กูไม่เอามึงไว้ทำพ่อหรอก”
จากนี้ไปชีวิตผมคงจะหมดเวรหมดกรรมกับคนแบบนี้และเรื่องรักร้ายๆ ที่เกิดขึ้นเสียใจ
ตราบใดคนที่เอ่ยปากว่าจะปกป้องผม
ยังเกาะกุมมือกันไว้แน่นแล้วเดินไปด้วยกันแบบนี้...
หมดดราม่าแล้วนะทุกคน .... สามตอนสุดท้าย เข้าสู่โหมดหวานกันรัวๆ เลยนะ
เราไม่อยยากเขียนดราม่าอะไรเยอะ ฮ่าๆ
