ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 12/2/2021]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 12/2/2021]  (อ่าน 6593 ครั้ง)

ออฟไลน์ ButlerofLOVE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
CHAPTER
22




เหมือนกำลังเดินอยู่ท่ามกลางความฝัน หมอกสีขาวลอยเรี่ยพื้นไปทั่ว เสียงเรียกที่ดังขึ้นทำให้มรุตเหลียวไปมองก่อนจะงุนงงเมื่อสตรีวัยกลางคนหันมาหาและยื่นหม้อดินเผาใบน้อยให้ตรงหน้า ภาพตรงหน้าทำให้ชะงักกึกเพราะยามนี้มรุตยืนอยู่ใต้ถุนเรือนไม้โบราณแห่งหนึ่ง ด้านหนึ่งไม่ไกลนักเป็นลำน้ำไหลริน ผู้คนมากมายและกลิ่นควันจากเตาดินเผาที่กำลังสูบลมด้านหนึ่งทำให้เจ้าตัวเผลอมองอย่างตื่นตาตื่นใจ

“อ้ายอินทร์...เหม่ออันใดเล่า ข้าฝากยาบำรุงหม้อนี้ไปให้แม่หญิงนากด้วยได้ฤาไม่”

กลิ่นยาต้มนั้นไม่น่าพิสมัยจริง ๆ เขาทำหน้าแหยก่อนจะเงยหน้ามองสตรีวัยกลางคนตรงหน้า

“เอ่อ...คือ”

“ยกไปเถิด ไปกับอ้ายเชิดก็ได้ ถึงนางจะเอาแต่ใจไปบ้าง แต่นางก็มิได้มีนิสัยเลวร้ายอันใด”

ประโยคนั้นทำให้เขางุนงงไปครู่หนึ่ง

ใครคือ...แม่หญิงนาก...แล้วเขา...อ้ายอินทร์ ?

ผู้ชายอีกคนรูปร่างล่ำสันผิวสองสี ท่าทีแย้มยิ้มร่าเริงเดินตรงมาหาเขา ก่อนที่ภาพจะตัดมาที่เรือนไม้ขนาดใหญ่โตมโหฬารตรงหน้า เรือนใหญ่ขนาดนี้ดูท่าว่าคงเป็นของผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่เป็นแน่ แต่ก็คล้ายกับว่ากำลังเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น ผู้คนบนเรือนวิ่งกันให้วุ่นวาย เสียงกราดเกรี้ยวตวาดอึงดังขึ้นเป็นระยะทำให้เขาต้องนิ่วหน้าทันควัน

ในความฝันนั้น เขากำลังเดินประคองยาหม้อของแม่คำหล้าพลางยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ตรงบันไดเรือน บ่าวคนหนึ่งวิ่งลงมาชะงักเมื่อเห็นเขายืนอยู่

“ข้า..เอายาบำรุงมาให้แม่หญิงนาก...” มรุตเอ่ยอย่างตะกุกตะกักคล้ายไม่แน่ใจนัก

“เดี๋ยวข้าไปเรียนแม่นมก่อน รอสักประเดี๋ยวนาพ่อ...”

และไม่รอคำตอบ บ่าวนั้นรีบปราดขึ้นไปบนเรือนอีกครา เสียงสนทนาที่ลอดมาจากห้องด้านบน ทำให้มรุตขมวดคิ้วงุนงง

“...แม่หญิง...เขาไม่รักเราเสียแล้ว อย่าทรมานตนเองเยี่ยงนี้อีกเลย” เสียงสตรีคนหนึ่งดูคล้ายจะมีอายุดังขึ้น

“...หากก่อนหน้านั้น อาจไม่สนใจได้ แต่เมื่อลึกซึ้งเยี่ยงนี้..จะให้ข้าตัดใจได้เยี่ยงไร !”

เสียงตวาดของแม่หญิงที่ชื่อนากทำให้มรุตนิ่งงัน ก่อนจะตัดสินใจวางหม้อยาบำรุงไว้บนแคร่ แล้วหมุนตัวออกมา...
................................................................

เหมือนโทรทัศน์ที่ตัดสลับรวดเร็ว เวลากลางวันผันเปลี่ยนเป็นยามราตรี เสียงสนทนาและเอ็ดอึงกันเบา ๆ ริมศาลาท่าน้ำ ทำให้ต้องขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะย่องไปฟัง เงาดำตะคุ่มสองร่างที่อยู่ท่าน้ำคล้ายโต้เถียงรุนแรง ความสงสัยทำให้มรุตก้าวเข้าไปใกล้จนได้ยินบทสนทนาบางส่วนที่ให้เลือดในกายแข็งตัวในบัดดล

“จักให้ข้าทำเยี่ยงไร ข้าไม่อาจรอได้อีก” สตรีผู้หนึ่งกึ่งจะร่ำไห้พร้อมกับเสียงสั่นพร่า

“อย่าบีบบังคับข้าแม่หญิง! อย่าให้ข้าต้องรับในสิ่งที่ข้าไม่ได้ทำ!”

เสียงนั่น...คุ้นเคยนัก...อ้าย...อ้ายสีหราช ?

“ท่าน ! ท่านช่างกล้า! ข้าไม่คิดเลยว่าคนอย่างท่านจะทำตัวเยี่ยงนี้ เสียดายนักมิคาดว่า บุตรบุญธรรมของเจ้าจอมมารดาพิมจะเป็นคนเยี่ยงนี้ อย่าคิดว่าท่านจะรอดไปได้!”

เสียงกราดเกรี้ยวของสตรีผู้นั้นดังขึ้นก่อนจะหายไปในความมืดตรงหน้า มรุตยืนแข็งเป็นหินก่อนจะเผลอซวนกายไปชนกับโคนไม้ใกล้ ๆ

“ออกมาเถิด อ้ายอินทร์ เจ้าได้ยินหมดแล้วใช่ฤาไม่” เสียงเปรยแผ่วเบาดังขึ้น ก่อนที่เจ้าตัวจะหันกลับมา

น้ำเสียง...และใบหน้าที่คุ้นตา...อ้ายสีหราช !

ยมทูตหนุ่มในวัยฉกรรจ์ อยู่ในชุดแต่งกายโบราณยืนกอดอกอยู่ตรงหน้าเขา สายตาที่มองมา...อ่อนหวานระคนหม่นเศร้า

เหตุใด...หัวใจถึงเต้นรัวนัก...เพียงแค่สายตาอ่อนหวานของคนตรงหน้า...

แต่ก่อนจะทำสิ่งใด สีหราชก็ก้าวยาว ๆ ปราดมาคว้าท่อนแขนไว้ก่อนดึงมากอดแนบอก

“ต่อให้ใครไม่เชื่อข้า ข้าไม่สนใจ ขอเพียงแค่เจ้า...เจ้าเชื่อข้าฤาไม่...ข้าไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับนาง”

เสียงนั้นคล้ายอู้อี้เมื่อเจ้าตัวกดแนบริมฝีปากกับเรือนผมของเขา กลิ่นเครื่องหอมไทยบนเสื้อและกลิ่นเหงื่อจาง ๆ ของอ้ายสีหราชอวลอยู่รอบกาย แต่เขาได้แต่อึ้งตะลึงอย่างนั้น

“เอ่อ..ข้า...ข้าไม่รู้...”

จะให้ตอบสิ่งใดได้...เมื่อเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่านี่คือความฝันหรือสิ่งใด

ท่าทางลังเลไม่แน่ใจทำให้คนตรงหน้าเหมือนจะน้อยใจ สีหราชก้มลงจับบ่าทั้งสองข้างไว้แน่นแล้วก้มหน้ามองนิ่ง ๆ

สายตาหวาน...มองตรงมาไม่หลบหลีกใด ๆ สายตาที่ทำให้จู่ ๆ ก็แก้มร้อนขึ้นมาเสียเฉย ๆ

“หากข้ารัก...คือรักมั่นไม่ผันแปร หากข้าไม่รัก...ต่อให้ฟ้าถล่มตรงหน้า ข้าก็ไม่มีวันเหลือบแล...ไม่เข้าใจฤา”

ต้นแขนเขาถูกคนตรงหน้าเกาะกุมจนอุ่นร้อน...และกำลังอุ่นกรุ่นไปถึงหัวใจ...

“ที่สำคัญ...ข้าจะไปทำเรื่องอย่างนั้นกับผู้อื่นได้เยี่ยงไร...เมื่อเจ้าอยู่ในหัวใจข้าตลอดมา”

สิ้นประโยคนั้น มรุตก็เงยหน้ามองคนพูดอย่างตื่นตะลึง

...วะ...ว่าอย่างไรนะ ! ….

สีหราชก้มมองอย่างแน่วแน่แล้วยกยิ้มจาง ๆ มืออุ่นเลื่อนมาปัดปอยผมคนตรงหน้าอย่างอ่อนโยน

“เมืองอินทร์...คือเจ้า...เจ้าคนเดียวเท่านั้นที่ข้ารัก...ตลอดมา และจะตลอดไป...” 

.........................................................................................

ประโยคนั้นทำให้หัวใจกระตุกวูบไหวทันที

...เหลว...ใจข้า...เหลวไปหมดเมื่อเห็นดวงตาร้อนระอุคู่นี้...

มือแข็งแรงคว้าจับข้อมือมันไว้ก่อนจะยกเชยขึ้นแล้วกดจุมพิตที่ข้อมือก่อนจะขบเม้มเบา ๆ ไล่ขึ้นมาจนถึงท่อนแขน ลมหายใจร้อนผะผ่าวไล่ความหนาวของยามราตรีไปทันที ดวงตาคมเงยขึ้นมองก่อนจะยกยิ้มแล้วดึงคนที่ตกตะลึงไปกอดแน่นแนบอก

“อะ...อย่า...อ้ายสีห์”

เหมือนจะพูดได้เพียงแค่นั้น เมื่อมือหนารัดเอวเขาไว้แน่นก่อนจะตรึงวงหน้าด้วยมืออีกข้าง เพลิงร้อนจุดขึ้นกลางดวงตาคมคร้าม ทุกอย่างเริ่มต้นรวดเร็วจนมรุตตื่นตะลึง คนตรงหน้ากลายเป็นพายุร้อนแรงที่พร้อมพัดทำลายทุกอย่างตามอารมณ์ กลีบปากเขาถูกคนตรงหน้ารุกรานและกัดขบเม้มเบา ๆ อย่างมันเขี้ยว ปลายลิ้นรุกรานจนเบลอสับสน ทุกอย่างในสมองขาวโพลน รู้สึกเพียงความนุ่มร้อนระอุที่แนบชิด เจ้าตัวถอนจูบออกก่อนจะจ้องตาแน่วแน่แล้วก้มลงจูบซ้ำอีกครั้ง

อาการบอกชัด...ตั้งใจในทุกสัมผัส ทุกรายละเอียดของจูบ...จนเขาหายใจแทบไม่ทัน

ไม่มีส่วนใดบนใบหน้าที่รอดพ้นไปจากจุมพิตคนใจร้อน จมูกโด่งไซ้ไล้ต่ำไปตามผิวกายที่หอมกลิ่นกระแจะจันทร์ เสียงร่างสูงที่รุกรานสั่นพร่างึมงำก่อนจะไล้จูบจากปลายขมับลงสู่ซอกคอขาว ๆ เขาได้แต่หรี่ตาปรือปรอยไปกับสัมผัสที่ร้อนแรงระคนหวานละมุน

“มองข้าด้วยสายตาหวานเยี่ยงนี้...อันตรายนะ เมืองอินทร์” เสียงกระซิบแผ่วเบาอยู่ข้างหู ทำให้รู้สึกร้อนผ่าว

เดี๋ยวก่อน...เมื่อครู่นี้ เขามองอ้ายสีหราชแบบใดกัน ?

บางสิ่งกลางอกไม่ได้ขัดขืนร่างตรงหน้า แต่กลับคล้ายว่าสุขล้น และพร้อมยินยอมวางลมหายใจไว้ในมือของบุรุษตรงหน้า

ใบหน้าร้อนผ่าวและแดงเรื่อ เสียงหอบเบา ๆ เมื่อหายใจไม่ทัน จนต้องทุบประท้วงคนตรงหน้าเบา ๆ ร่างกายสีหราชยามนี้ร้อนรุ่มและปลุกเร้าอย่างประหลาด อารมณ์ถูกปลุกให้ลุกฮือโหมกระหน่ำราวไฟป่า ไหล่กว้างโอบกระชับตัวเขาไว้แนบกาย เขาหน้าแดงก่ำเมื่อรู้สึกว่าบางส่วนด้านล่างของคนตรงหน้าแข็งขึงราวกับลูกธนูที่พร้อมจะดีดออกจากเกาทัณฑ์

ตายแน่...จูบแบบนี้ หายใจไม่ทัน!

“อย่าเมินข้า...อ้ายอินทร์...” เสียงงึมงำแหบพร่ากระซิบที่ข้างหู

“ข้าทนไม่ได้เมื่อเจ้าเมิน ข้าปวดร้าวเมื่อเจ้าห่างหาย ข้ายิ้มได้เพียงเห็นรอยยิ้มของเจ้า”

เสียงนั้นราวละเมอจากส่วนลึกของหัวใจ ก่อนที่จะบรรจงจูบแผ่วเบาที่หน้าผากเขาอย่างถนอม

“หากทั้งหมดนี้คือสิ่งที่หัวใจบอกข้า ข้าก็มั่นใจว่ามันคือรัก...”

“บอกข้าบ้าง...หากเจ้ารู้สึกไม่ต่างกัน...” สีหราชเอ่ยแผ่วเบาก่อนจะมองตาคนในอ้อมกอด

แม้จะเป็นสุข...แต่กลับปวดร้าวเจียนตาย....เหมือนว่าใจกำลังสลาย...

แล้วเหมือนไม่ใช่ตัวเองเลยเมื่อในฝันนั้น เป็นเขาเองที่ฝืนผลักร่างสูงให้ออกห่าง ก่อนจะทรุดกายอย่างหมดเรี่ยวแรงบนพื้น
หยดน้ำตาพรู...กบตา

“ไม่...ไม่ได้...ทำเยี่ยงนี้...ไม่ได้..” เสียงกระท่อนกระแท่นของเมืองอินทร์ดังขึ้น เจ้าตัวเม้มปากอย่างอัดอั้นใจ

สีหราชเอื้อมมือหวังจะดึงร่างที่ทรุดอยู่ขึ้นมา แต่เป็นเขาที่ปัดมือที่เอื้อมมาทันควัน..

“ท่านและข้ากำลังสับสน...อ้ายสีห์...ความรู้สึกนี้เป็นจริงไม่ได้...”

หลากหลายความรู้สึกและความคิดที่ประดังกันขึ้นมากลางหัว เป็นความรู้สึกที่ปวดร้าวยากจะข่มใจ

...อ้ายสีหราช...น้องบุญธรรมผู้ที่จะก้าวเป็นเจ้าเหนือชีวิตคนต่อไป...จะมาผิดจารีตแลรักกับบุรุษมิได้...

...มีเพียงเขาที่รำพันในหัวตัวเองซ้ำไปซ้ำมา...

...ได้โปรดเถิดอ้ายสีห์... หากไม่คิดถึงตน โปรดคิดถึงสำนักดาบแลพ่อสิน...เกียรติวงศ์ตระกูลทั้งหลายจะมลายสิ้น...

หากยอมให้อารมณ์ความปรารถนาอยู่เหนือศักดิ์ศรีของตระกูลของพ่อสิน เขาจักไม่เป็นคนอกตัญญูดอกหรือ

คนรักประเภทใดกัน...ที่เอาเกียรติของคนที่ตนรักและชาติตระกูลมาทำลายทิ้ง...

หากต้องมีสิ่งใดที่ย่อยยับ...ขอให้เป็นหัวใจเขาเพียงผู้เดียวเถิด...

“.อ้ายสีห์...ท่านเป็นดั่งพี่ชายข้า...ข้าเห็นท่านเป็นดั่งพี่ชาย...”

ประโยคนั้นราวกับสายฟ้าฟาดลงมาระหว่างคนทั้งสอง

นานกว่าที่คนทั้งคู่จะเอ่ยสิ่งใดออกมา แล้วเสียงสีหราชดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ

“มองตาข้าได้ไหมอ้ายอินทร์...หากเจ้าไม่รักก็จงมองตาข้าแล้วเอ่ยออกมา..”

มีเพียงเสียงสะอื้น...เบาจากร่างที่อยู่ตรงนั้น ในที่สุดก็มีเสียงดังขึ้นกลางความเงียบ

“...ข้าไม่เคยรักท่าน...ข้าเห็นท่านเป็นเพียง...พี่ชาย อ้ายสีห์” น้ำเสียงคนพูดสั่นเครือ

มือหนาที่ประคองอยู่นั้นคล้ายตกลงข้างกายอย่างหมดเรี่ยวแรง...ร่างสูงของสีหราชนิ่งงันก่อนจะหันหลังช้า ๆ แล้วถอยออกมา ประโยคสุดท้ายดังขึ้นแผ่วเบา

“เจ้าจักโกหกผู้ใด ก็ทำไปเถิด...แต่มีผู้เดียวที่เจ้าโกหกไม่ได้...อ้ายอินทร์...คือ หัวใจเจ้าเอง...”

“ไม่ใช่เพียงเจ้าที่จักเจ็บปวด...แต่เป็นข้าที่เจียนตายกับเจ้าด้วย...”

ร่างนั้นยืนนิ่งก้มหน้ามองผืนน้ำยามราตรี แล้วหันมองร่างตรงหน้าอีกครั้ง

“เอาเถิด...หากเจ้าปรารถนาเช่นนั้นจริง...ข้าจักไม่มายุ่งกับเจ้าอีกเลย อ้ายอินทร์...”

เสียงนั้นแหบโหย...ราวกับเจ้าตัวพยายามเค้นเสียงที่ไม่เหลืออยู่ออกมา

“ข้าจะไม่ยุ่งกับเจ้าอีก แม้ว่ามันจักทำให้ข้าเจ็บเจียนตายก็ตาม...”
......................................................

ในฝัน...ความรู้สึกของคนที่ชื่อ “อ้ายอินทร์” ปะปนสับสนไปหมด ความปวดร้าวกลางอกเมื่อครู่ยังไม่ทันหาย ภาพก็ตัดสลับมาอีกครั้ง เขากำลังนั่งอยู่ตรงหน้าชายสูงวัยบุคลิกน่าเกรงขามผู้หนึ่ง แววตาอารีที่มองมาที่เขา บอกถึงความผูกพันและเอ็นดูห่วงใย และเหมือนเจ้าตัวจะเสียใจกับคำพูดของเขาไม่น้อย

“ข้าจักหาเงินที่พ่อปู่อินทร์แขวนยืมไปจากท่านพ่อครู...ข้าจักหาเงินมาไถ่ตัวข้าเอง !”

“อ้ายอินทร์เอ๋ย....เหตุใดจึงคิดจะไปจากเรือนนี้เล่า ที่นี่มิใช่บ้านของเจ้าแล้วดอกหรือ....” ชายสูงวัยตรงหน้า “พ่อครูสิน” ถามเบา ๆ แต่เขาได้แต่ก้มหน้างุดมองพื้นเรือนอยู่อย่างนั้น ความรู้สึกทั้งสุขและเศร้าคละเคล้ากันไป เนิ่นนานกว่าจะยอมพูด

“ข้า...มิอาจทำให้ที่นี่แปดเปื้อน...”

ประโยคที่เขาเอ่ยขึ้นนั้นทำให้ชายสูงวัยชะงักค้างไปครู่หนึ่ง แววตาทอแสงอ่อน

“ข้าจักเป็นไท แล้วไปตั้งตัวสักแห่งที่ไกล ๆ ขอพ่อสินโปรดให้อิสระข้าด้วยเถิด...”

สิ้นประโยคนั้นทำให้ “พ่อครูสิน” ตรงหน้าน้ำตารื้นก่อนจะรั้งตัวเขาเข้ามากอดเบา ๆ

...แปดเปื้อน...คำเดียว พ่อครูคงกระจ่างแจ้งแก่ใจ..ว่าหมายถึงสิ่งใด...

เพราะรัก...จึงมิอาจสร้างทำลายชื่อเสียงผู้ที่ตนรัก...

“อ้ายอินทร์...ข้าเห็นเจ้าเป็นดังลูก...ไม่เคยคิดเป็นอื่น เรื่องเงินทองสินไถ่นั้น ข้ายกให้เจ้า...เมืองอินทร์”

“มิได้ ! พ่อสินเลี้ยงข้ามาอย่างดี ไม่เคยปล่อยให้อดอยากหรือเจ็บไข้ เท่านี้ก็บุญคุณเหลือล้น หากพ่อเมตตาข้า ขออย่าบอกเรื่องนี้กับผู้ใด...ทั้งสิ้น”

...ไม่ต้องเอ่ยว่า ผู้ใด...ที่ว่าหมายถึงใคร เพียงมองตาก็รู้แจ้ง...

“อย่าเพิ่งไปเลยอ้ายอินทร์เอ๋ย เมื่อย่ำรุ่งอ้ายสีห์ก็เพิ่งออกเดินทางไปหัวเมืองเหนือ จงรั้งรอให้มันกลับมาก่อนเถิด จะได้กล่าวคำลา...”

‘อ้ายอินทร์’ หรือมรุตนิ่งเงียบ แต่ในใจรู้ดีว่า...

หากเห็นหน้าแล้ว...คงมิอาจตัดใจลา

...........................................................

“อ้ายอินทร์...ข้าไม่สบายใจเลย เหตุใดเจ้าจะทำอะไรเยี่ยงนี้”

เสียงของบุรุษผิวสองสีคนเดิมดังขึ้น ‘อ้ายเชิด’ ก้าวพรวด ๆ เข้ามาในเรือนพักเมื่อตะวันใกล้จะพลบด้วยท่าทีกระสับกระส่าย ทำให้เขาหันมามองก่อนจะถอนหายใจช้า ๆ

“ข้าอยากเป็นไทเสียที อ้ายเชิด เอ็งไม่ได้อยากเป็นไทดอกหรือ”

เมืองอินทร์รวบรวมข้าวของส่วนตัวไว้ในห่อผ้าอย่างเรียบร้อย อัฐจำนวนมากนอนนิ่งอยู่ก้นห่อ

การมีฝีมือเชิงดาบนับว่าเป็นประโยชน์กับเขาไม่น้อย ใครเลยจะคิดว่าเมื่อครั้งเดินกาดเมื่อเดือนก่อน ก็เจอเข้ากับเรื่องทะเลาะวิวาทกันจนเขาและอ้ายเชิดต้องเข้าไปร่วมวงช่วยเหลือชายชราที่ถูกทำร้าย เมื่อทุกอย่างจบลง เขาพบกับหนึ่งในผู้ดูแลละครนอกชื่อดัง

พ่อทรัพย์ หรือขุนทรัพย์ หนึ่งในผู้จัดหานักแสดงละครนอกหน้าใหม่เกิดถูกตาต้องใจในรูปร่างหน้าตาของเขาเข้า

“เอ็งนี่หน่วยก้านดี ฝึกดาบด้วยฤา นี่ช่างเหมาะนัก รูปร่างหน้าตาผิวพรรณก็ละเอียด มิสนใจมาหาอัฐไว้ใช้บ้างฤา”

ยามนั้นเขาไม่สนใจสิ่งใด ได้แต่บอกปัดปฏิเสธคนชี้ชวนไป แต่แล้วรายนั้นยังคงเซ้าซี้อยู่สองสามครา อ้างว่าได้อัฐงามนัก เขาและอ้ายเชิดยังหัวเราะแก่กันร่วนว่า นักดาบอย่างเขาจักไปเป็นนักแสดงได้เยี่ยงไร

เสียงตะโกนไล่หลังยังดังก้องหู

“หากเปลี่ยนใจเมื่อใด จงบอกเถ้าแก่ฮงร้านสุราจีน แล้วข้าจักมาพูดคุยด้วย!”

เมืองอินทร์ยิ้มขื่น ๆ ให้ตนเอง

...เพียงคืนเดียวกันนั้นเองที่สีหราชสารภาพรักริมท่าน้ำ เขาก็คิดไม่ตกและกลัดกลุ้มทั้งคืน จนกระทั่งสองสามราตรีผ่านไปเขาจึงตัดสินใจลอบออกจากเรือนแล้วไปตกปากรับคำกับขุนทรัพย์

อัฐจากการเต้นกินรำกิน..ก็พอให้เขาซื้ออิสระแลความเป็นไทแก่ตัว

เกือบ 7-8 ราตรีที่มันเพียรสะสมมาตลอดครบแล้ว เพียงวันพรุ่งมันก็จะคืนทุกสิ่งแก่พ่อสินและออกเดินทาง

...ป่านนี้ อ้ายสีห์คงถึงหัวเมืองทางเหนือ และอีกหลายราตรีกว่าจะกลับ

...ดีแล้ว...หากเขาออกเดินทางในวันพรุ่ง ก็ไม่ต้องเกรงว่าจะได้พบหน้าอ้ายสีห์...อีก

“แล้วเอ็งจักไปที่ใดกัน อยู่ที่บ้านพ่อสินนี้เอ็งก็แทบไม่ต้องเดือดเนื้อร้อนใจ มีข้าวปลาอาหารสมบูรณ์ดี พ่อสินเลี้ยงทุกคนอย่างลูกหลานหาได้คิดเป็นอื่น ยามนี้จักเป็นเจ้าเองที่คิดการใหญ่จะออกไปสู้รบอยู่ข้างนอกเพียงคนเดียว” อ้ายเชิดส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วยในความดื้อดึงของคนตรงหน้า

“แล้วไอ้ละครนอกที่เอ็งไปช่วยเขาอยู่ทุกวันนี้ ถึงจะจ่ายอัฐให้มากก็ตาม แต่ข้าก็ยังคิดว่ามันแปลกประหลาดอยู่ดี”

“ข้ารู้...แปลกประหลาดก็จริง แต่เขาก็ให้อัฐข้าโขอยู่ มากพอจะคืนพ่อสินและเหลือสำหรับตั้งตัวในยามหน้า...”

“ละครนอกกระไร ไม่เล่นเรื่องรักใคร่ แต่เล่นเรื่องดาบเรื่องอาวุธ แล้วนี่เจ้ายังพาเอาเจ้าโชคไปด้วย” อ้ายเชิดส่ายหน้าพลางบ่นเบา ๆ อย่างข้องใจ

“ประหลาดอยู่ แต่เจ้าของคณะละครนอกคณะนี้เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง ดูท่าอาจเบื่อเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ แล้วกระมัง” เขาหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยเรื่องอื่นเป็นการตัดบท

“หึ! เจ้าพาเด็กอย่างอ้ายโชคไปคณะละครนั่นทุกวัน เดี๋ยวมันจะเปลี่ยนไปเต้นกินรำกินเยี่ยงเจ้ามิฝึกดาบจะทำเยี่ยงไร”

“อย่ากังวลเลย ส่วนเจ้าโชคก็เป็นเด็กซักซนไปตามประสา ดีอยู่ที่มันยอมรอข้าโดยไม่ซุกซนนัก หาไม้หาของละเล่นพอคลายเบื่อไป..แต่วันนี้คงเป็นวันสุดท้ายแล้วที่ข้าพามันไปที่คณะละคร”

“แล้วนี่ เจ้าบอกลาขุนทรัพย์ผู้ดูแลคณะละครอะไรนั่นแล้วหรือ ว่าเจ้าจะไม่ไปอีกแล้ว...” อ้ายเชิดถามขึ้น

“ข้าบอกไปแล้ว แต่ดูท่าเขาจักไม่พอใจนักที่ข้าจะลากะทันหัน แต่...ข้าตัดสินใจแล้วว่าข้าจะเป็นไท”   

สิ่งที่เมืองอินทร์ไม่ได้เอ่ยไปคือ สายตาที่คล้ายจะขุ่นเคืองผิดปกติ ก่อนจะมีนักแสดงละครนอกอีกหลายคนที่เข้ามาตามเขาแจราวกับจะสอดส่องว่าเขาหยิบสิ่งใดออกไปบ้างฤาไม่

...ใครจักลักเล็กขโมยน้อยกับข้าวของการแสดงกัน...

ไม่ทันจะคิดสิ่งใดต่อ เด็กน้อยตาหยีที่เกล้าจุกผิวขาวจัดวิ่งเข้ามาในเรือนพร้อมกับเสียงหัวเราะสนุกสนาน

“อ้าย อิง...เล่ง...” มือเล็ก ๆ คว้ากลักไม้สลักขนาดเท่ากำปั้นเด็กไว้ในมือก่อนจะเขย่าไปมา เสียงกร๊อกแกร๊กจากกลักไม้เหมือนมี
ลูกแก้วหรือบางสิ่งอยู่ในนั้น แต่กลักไม้ดังกล่าวไม่อาจเปิดออกมาได้เพราะมีสลักไม้หลายชิ้นจารอักษรไว้

...เหมือนกับกล่องกล…

...หากทายอักษรไม่ถูก ก็มิอาจเปิดกล่องได้…

เป็นเขาที่ขมวดคิ้วงุนงงก่อนจะทรุดกายลงตรงหน้าเด็กน้อยแล้วถาม

“ของเล่นนี้ เจ้าไปคว้าจากที่ใดมาฤาอ้ายโชค...ข้าไม่เคยเห็น...เจ้านี่ซุกซนนัก” ก่อนจะยีหัวทุยของเด็กน้อยเบา ๆ อย่างเอ็นดู แต่ก่อนจะหยิบกล่องไม้มาดู เสียงอ้ายเชิดที่ถามเบา ๆ  ทำให้ต้องละมือจากกล่องกลตรงหน้า

“เอ็ง...จักไม่รอกล่าวลาอ้ายสีห์จริง ๆ ฤา” เสียงอ้ายเชิดถามเบา ๆ

“ห้ามเอ็งส่งข่าวบอกอ้ายสีห์เด็ดขาดว่าข้าจะไปจากที่นี่ ไม่งั้นเอ็งกับข้าขาดกัน!” ยามนั้นเขากำชับคนตรงหน้า

“เอ็งนี่...ใจจืดใจดำ!” สิ้นประโยคนั้นอ้ายเชิดหมุนตัวออกไปทันควันและลากเอาเจ้าโชคออกไปด้วย ทิ้งมันไว้อยู่ในเรือนเพียงคนเดียว มือที่สาละวนเก็บเสื้อผ้าพลันหยุดลงก่อนเขาจะทรุดนั่งบนตั่งเล็ก ๆ อย่างหมดเรี่ยวแรง

นี่คงดีแล้ว...ดีที่สุดแล้ว...สำหรับทุกคน
..................................................................................

แต่แล้วภาพตรงหน้าพลันเปลี่ยน เรือนสำนักดาบและลานฝึกดาบกลายเป็นทะเลเลือดสีแดงฉาน ร่างผู้คนมากมายล้มอยู่รอบกาย เหล่าช่างตีดาบสูงวัยถูกฟันเข้ากลางหลัง เหล่าบ่าวไพร่ต่างล้มจมกองเลือดทั้งผู้บ่าวผู้สาว ไม่เว้นแม้แต่ผู้เฒ่าผู้แก่ บ้างรายก็ตะเกียกตะกายกระเสือกกระสนคลานบนลานดินตรงหน้าก่อนจะถูกดาบเสียบเข้าที่กลางหลัง ที่เหลือที่ยอมจำนนก็ถูกเหล่าทหารกุมตัวไว้มั่น เสียงร้องครางด้วยความเจ็บปวดระงมไปทั่วสำนักดาบ มือข้างหนึ่งของเขากระชับดาบคู่กายที่เปื้อนเลือดไว้ ไหล่ข้างหนึ่งถูกฟันเป็นแผลแต่เคราะห์ดีที่ถากเส้นเสือดใหญ่ไป ขณะที่ด้านหลังเป็นพ่อครูสินที่กอดเจ้าโชคที่ตัวสั่นงันงกไว้แนบกาย

“อ้ายเด็กนี่เป็นลูกหลานของอั้งยี่ ! จงส่งตัวมันมาเดี๋ยวนี้ !”

“ไม่คิดว่าทหารวังหลวงจะทำการอะไรไร้ขื่อแปเยี่ยงนี้ ! สำนักดาบเราไม่เคยทำผิดคิดคดต่อแผ่นดิน ! เหตุใดมาในยามวิกาลเยี่ยงโจร !” เขาตะโกนออกไปอย่างนั้น

จับเด็กน้อยคนเดียว...แต่กลับพาทหารเมา 30 ชีวิต ก็ประหลาดแล้ว !

“จะยามไหน...ก็ย่อมทำได้ทั้งนั้น เพราะข้า...กรมหลวงไกรสีห์สรคุณรั้งตำแหน่งชำระคดีความของเหล่าราษฎร์แลรักษาดูแลกรมเมือง เหตุที่เกี่ยวเนื่องกับความมั่นคงของแผ่นดินย่อมอยู่ในอำนาจของข้า !”

บุรุษสูงใหญ่รูปร่างสันทัดแต่งกายด้วยผ้าดิ้นทองงดงามยืนอยู่ตรงหน้า  แววตาแข็งกร้าวจ้องเขม็งตรงมาที่เขาและพ่อสิน ก่อนจะส่งสัญญาณให้ทหารกรูเข้าไปในเรือนพักด้านใน เสียงหวีดร้องของเหล่าบ่าวไพร่ผู้สาวหลายคนที่ซุกตัวหลบในเรือนดังขึ้นพร้อมกับเสียงดาบกระชากออกจากฝัก สิ้นเสียงหวีดร้อง เลือดสีแดงสดพลันไหลซึมลงตามร่องกระดานไม้สักก่อนจะหยดรินลงพื้นดิน

“ท่าน ! ไม่มีใครทำสิ่งใดผิดทั้งนั้น ! จงหยุดบัดเดี๋ยวนี้ !”

“มีคนกล่าวว่าที่นี่ซ่องสุมเตรียมการร้าย หากเจ้าช่วยเหลือเกี่ยวข้องกับอั้งยี่ ก็เป็นไปได้ว่าจะมีบางสิ่งที่เป็นภัยร้าย..”

ครู่เดียวทหารนายหนึ่งวิ่งย้อนออกมาพร้อมกับแผ่นหนังสัตว์สีน้ำตาลเข้มแผ่นหนึ่ง

“ทูลเสด็จ....พบแผ่นหนังสัตว์นี้ในห้องที่อยู่เรือนด้านในสุดติดเรือนอาบน้ำพระเจ้าข้า !”

....เรือนนั่นของอ้ายสีหราช ! แผ่นหนังนั่นไม่มีทางเป็นสมบัติในห้องของอ้ายสีห์ได้เด็ดขาด !

“เรือนนั่นใครเป็นเจ้าของ !” สายตาของเชื้อพระวงศ์นั่นวาววามและมองกราดมาที่ทุกคน หลายคนกำลังแตกตื่น บางอย่างทำให้เขาตัดสินใจโพล่งออกไปทันควัน

“ข้าเอง ! ข้าเป็นเจ้าของเรือนนั่น แต่ข้าไม่เคยเห็นแผ่นหนังดังกล่าว นี่พวกเจ้ากล่าวหากันชัด ๆ !”

“เมื่อหลักฐานพร้อมมูล และตัวเจ้าของก็อยู่ที่นี่...จัดการให้หมด !”

สิ้นเสียงเหี้ยมเกรียมนั้น ดาบจำนวนมากชักออกจากฝัก การตะลุมบอนก็เกิดขึ้นทันที แต่สำนักดาบมีจำนวนผู้คนน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด เพราะนักดาบที่แกล้วกล้าล้วนถูกนำไปคุ้มกันขบวนดาบที่ส่งหัวเมืองเหนือทั้งหมด เหลือเพียงเด็กรุ่นที่เริ่มฝึกเพลงดาบแลช่างฝีมือที่ตีดาบบางส่วนเท่านั้น

น้ำน้อย...แพ้ไฟก็ครานี้…

เขาสังหารเหล่าทหารหลวงไปกว่าสิบชีวิตที่ดาหน้าเข้ามา สายตาเมืองอินทร์จ้องเขม็งไปที่เชื้อพระวงศ์บนหลังม้า !

ขอเพียงจับอ้ายคนนั้นได้ ! มันก็จะหยุดทุกสิ่งตรงหน้าได้ !

แต่แล้วก่อนจะถลันตัวเข้าไป เขาก็พลันหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงร้องตะโกนจากด้านหลัง

“อ้ายอินทร์ ! หนี ! อ้ายโชคกลับมา! ” พ่อครูสินตะโกนลั่นก่อนจะกระชากดาบออกมาแล้วคุ้มกันอ้ายโชคตัวน้อย แต่เพราะเสียงม้าศึกและเหล่าทหารจำนวนมาก ทำให้อ้ายโชคตื่นกลัวจนตัวสั่นและสะบัดมือหลุดจากพ่อครูสิน อารามตกใจทำให้ชายชราถลาไปคว้าแขนเด็กน้อยไว้อย่างไม่ทันระวังตัว ทันใดนั้นเองแผ่นหลังกว้างของครูสินก็ถูกดาบทหารหลวงฟันฉับเข้าให้ เจ้าตัวถลาร่วงไปกองกับลานดิน เมื่อกัดฟันยันกายขึ้นมาก็ถูกดาบอีกเล่มแทงเสียบจากด้านหลัง

“อึ๊ก !” ร่างชรากระตุกค้างแต่ยังพยายามยื้อข้อมือเล็ก ๆ ไว้แน่น

“พ่อครู !” เป็นเขาตะโกนลั่นก่อนจะวิ่งสุดชีวิตกระโจนเข้าไปหาร่างที่จมกองเลือด ดาบในมือตวัดฉับเข้าที่ข้อมือของทหารหลวงคนนั้นก่อนจะเสือกแทงเข้าที่ลิ้นปี่ แล้วกระชากดาบออกพร้อมเลือดที่พรูทะลักเจิ่งนอง

“มะ...ไม่เป็นไร เจ้าเร่งพา...อ้ายโชค...หนี...หนีไป” พ่อครูสินกัดฟันผลักร่างเล็ก ๆ เข้ามาในอ้อมแขน

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนทำอะไรไม่ถูก ทุกอย่างในสมองคล้ายจะหยุดนิ่งกับภาพตรงหน้า แต่แล้วก็เป็นอ้ายโต สหายอีกคนปราดเข้ามารับดาบสองสามเล่มของทหารหลวงไว้พัลวัน แล้วตะโกนลั่นใส่หน้า

“ไม่ได้ยินฤา! อ้ายอินทร์ ! หนีไป รออ้ายสีห์กลับมา !”

สิ้นเสียงนั้นสติที่เตลิดคืนกลับมา เขากัดฟันแน่นปาดน้ำตาที่ร่วงพรูก่อนจะคว้าเอวอ้ายโชคที่ตัวสั่นงันงกอยู่แล้วลากมันวิ่งหนีทหารหลวงไปทางเรือนด้านหลัง

จันทราคืนนี้กลายเป็นสีเลือด หูเขา...ยังได้ยินเสียงดาบฟันลงมาสองสามครั้งพร้อมเสียงอ้ายโตที่ร้องโหยหวนไล่หลังตามมา

...หากนี่เป็นเพียงฝัน...ขอเถิด ตื่นขึ้นได้แล้ว...ตื่นที..
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-01-2021 04:02:04 โดย BaoBao »

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
เห้ออออ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-01-2021 04:01:23 โดย BaoBao »

ออฟไลน์ ButlerofLOVE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
CHAPTER
23




หยดน้ำตา....ค้างบนปลายหางตา

เสียงนกร้องเบา ๆ จากด้านนอกปลุกให้มรุตที่หลับอยู่ค่อย ๆ กะพริบตาช้า ๆ สิ่งแรกที่เห็นคือเสื้อนอนสีขาวสะอาดตาที่แนบชิดตรงหน้า ทำเอาเจ้าตัวลืมตาโพลง

 เสื้อใคร...?

เมื่อเรียงเก็บเอาสติที่กระเจิดกระเจิงกลับเข้าร่าง ถึงรู้ว่าตอนนี้เขากำลังซุกตัวเป็นก้อนกลมอยู่ตรงแผ่นอกของยมทูตหนุ่มแถมยังทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของแผ่นอกตรงหน้าด้วยการขยำเสื้อไว้แน่นเสียด้วย เสียงหัวใจและไออุ่นที่แนบชิดทำให้มรุตตกใจรีบปล่อยมือและพลิกตัวหมายจะตะกายลงจากเตียง แต่สีหราชกลับคว้าแขนไว้ทันควันพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ

“กลิ้งแบบนั้น เดี๋ยวก็ได้ตกเตียงหัวโนกันพอดี...”

คำทักทายจากร่างตรงหน้าทำให้มรุตทำหน้าไม่ถูก...ใบหน้ายามนี้เดี๋ยวซีดเดี๋ยวแดงสลับกันไป

“ตื่นดีหรือยัง เจ้าผีขี้เซา...” เจ้าตัวเอ่ยขำ ๆ ก้มหน้ามอง ก่อนจะพูดเย้าเบา ๆ ราวกระซิบ

“...อกข้าอุ่นนักหรือ เจ้าถึงชอบมาซุกนัก...”

แววตาประหลาดของสีหราช..ที่ทำให้มรุตหน้าร้อนฉ่า...

อีกแล้วหรือ...เมื่อคืนเขาปีนขึ้นมาบนเตียงท่านยมทูตตั้งแต่เมื่อไหร่...จะว่านอนละเมอ...ก็ไม่น่าขนาดมาซุกอกกว้างนั่นได้
ความรู้สึกประหลาดบางอย่างที่บางเบาค้างคาจากความฝันทำให้เผลอใจเต้นเมื่ออยู่ใกล้คนตรงหน้า

ใจเต้นหนัก...ถึงขนาดเผลอเม้มปากกลืนน้ำลายช้า ๆ และไม่กล้ามองหน้าตรง ๆ

“ข้า...เผลอซุกท่านอีกแล้วหรือ...” มรุตอุบอิบเบา ๆ แต่เหมือนยมทูตหนุ่มจะไม่ได้ฟัง เพราะทันทีทีเห็นหน้าชัด ๆ เจ้าตัวก็ขมวดคิ้วแล้วเอื้อมมือมาปาดหางตาที่รื้น ๆ

“ฝันร้ายหรือ ?” สีหราชพูดพลางลูบหัวเขาเบา ๆ ไปมา ทำให้มรุตกะพริบตาปริบ ๆ

เมื่อคืนเขาคงฝันร้าย...แต่ตื่นมากลับจำอะไรไม่ได้เลย รู้แต่เพียงว่าเป็นความฝันที่แสนเศร้า และก็มีบางอย่างที่วาบหวามปะปนระคนกันไป

ความรู้สึกพิลึกพิลั่นอย่างเช่น หัวใจเต้นตึกตักเมื่อเห็นริมฝีปากหยักได้รูปของคนที่คร่อมร่างเขาอยู่ตอนนี้...

มรุตรู้สึกว่าตอนนี้หน้าเขาร้อนฉ่าไปหมด ยิ่งอยู่ใกล้สีหราชเหมือนจะยิ่งร้อนปรอทแตกหนักกว่าเดิม ได้แต่กระถดตัว ๆ หนีอ้อมกอดนั้นทีละนิด ๆ โดยไม่รู้เลยว่าอากัปกริยาทั้งหมดอยู่ในความสนใจของสีหราชตลอดเวลา

“เป็นอะไรไป...เจ้าปวดหัวอย่างนั้นหรือ ? ” สายตาสีหราชเหมือนกังวลขณะที่เขารีบส่ายหน้าพรืดเป็นคำตอบ

...จะบอกได้ยังไงเล่า...ว่าร้อนวูบตอนเห็นริมฝีปากหยักได้รูปตรงหน้า

“ แล้ว...จำอะไรในฝันได้บ้าง” สายตาสีหราชคล้ายประเมินบางอย่างแต่เขาก็ส่ายหน้าลูกเดียว

“ใครจะจำความฝันได้ ยิ่งเป็นฝันร้ายด้วยแล้ว...เป็นเพราะท่านทีเดียวที่เล่านิทานเศร้า ๆ ให้ข้าฟัง จนเก็บไปฝัน”

มรุตบ่นอุบอิบแล้วก้มหน้างุด ๆ หลบตาคนตรงหน้าก่อนจะพยายามกระถดตัวหนี

“...หน้าเจ้าแดงมาก...”

...หืม...หน้าแดง...แดงได้ยังไงกัน !...

แต่พอเงยหน้าขึ้นก็รู้ว่าเขาพลาดอีกแล้ว !  ไอ้ท่านยมตัวร้าย...

“ข้าสงสัยว่า ที่เจ้าหน้าแดงแบบนี้ เพราะมีไข้หรือเปล่า” ริมฝีปากได้รูปนั่นหยักยิ้มนิดหนึ่งก่อนจะก้มหน้าลงมาใกล้ ๆ
แถมยังคร่อมร่างเขาไว้บนเตียงอีกต่างหาก นี่มันฉากเลิฟซีนไม่เรอะ!

ลมหายใจอุ่นร้อนอยู่แนบชิด...จมูกเกือบแตะกัน...และหากขยับอีกนิดคงเป็นริมฝีปาก...

“จะ...ทำอะไร...” ทำไมเสียงเขาสั่นขึ้นมาเฉย ๆ ขณะที่สีหราชที่คร่อมตัวอยู่ด้านบนกลับตีหน้าตาย

“ก็วัดไข้อย่างไร สมัยข้า เขาก็วัดไข้กันแบบนี้ หน้าผากแตะหน้าผาก...” สีหราชเอ่ยหน้าตาเฉย

ใคร...ใครเขาวัดไข้กันอย่างนี้บ้าง !

“ข้า...ข้าไม่ได้เป็นไข้...” หน้าเขาร้อนไปหมด ได้แต่อุบอิบบอกคนที่คร่อมร่างเอาไว้

“อย่าดื้อสิ...อยู่นิ่ง ๆ ข้าอยากรู้ว่าร่างจำแลงจะเป็นไข้ได้ไหม..”

รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ไม่เคยเห็นทำให้หนาววูบทันที มรุตรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเป็นลูกแมวโดนราชสีห์หยอกเล่นยังไงก็ไม่รู้ แถมราชสีห์ตัวนี้ก็โตพอจะขย้ำเขาเสียด้วย โดยที่ไม่รอให้เขาตอบ จู่ ๆ เจ้าตัวก็ยิ้มกริ่มและก้มหน้าวูบลงมา ทำเอาเขารีบผลักคนตรงหน้าออกไปเต็มแรงแล้วกลิ้งตัวพรวดเดียวลงจากเตียง !

แต่เหมือนจะกลิ้งแรงไปหน่อย...

ปุ๊ก !

“อุ๊บ !”

ใช่แล้ว...มีผีตัวหนึ่งกลิ้งตกจากเตียงมาจุกแอ๊กแอ้งแม้งอยู่กับพื้นด้วยสีหน้าแหยเกพลางคลึงก้นตัวเองป้อย ๆ พร้อมกับเสียงหัวเราะลั่นของยมทูตหนุ่มที่ลุกขึ้นมาขัดสมาธิบนเตียง

ขำอะไรนักหนา ! ผีทั้งตัวกลิ้งตกเตียง ตลกตรงไหนไม่ทราบ!

อย่าให้พลาดมั่งละกัน ท่านสีหราช... !

“ขะ ขอโทษ...ข้าขอโทษ...” สีหราชพูดไปหัวเราะไปนั่งขำน้ำหูน้ำตาไหล ก่อนจะยันตัวเองก้าวลงมาจากเตียงช้า ๆ ก้มหน้ามองร่างที่กลิ้งอยู่กับพื้นด้วยสายตาหยอกเย้าอารมณ์ดี

“พื้นห้องข้าแข็งแรงดี...เจ้าไม่ต้องช่วยวัดให้ข้าหรอก”

สายตาพริบพราวช่างแกล้งช่างกล้าพูด ! ว่าแล้วโดยที่ไม่บอกไม่กล่าว สีหราชยิ้มพรายก่อนจะก้มตัวลงช้อนร่างผีหนุ่มที่จุกกับพื้นขึ้นมา แขนแข็งแรงนั่นอุ้มเขาตัวปลิวเลย !

มรุตเบิกตาโตอย่างตกใจด้วยไม่คิดว่ายมทูตหนุ่มจะทำแบบนี้

นี่เขาก็แมน ๆ เหมือนกันนะ จะมาอุ้มแบบนี้เสียศักดิ์ศรีผีกันพอดี !

“เฮ้ย! ข้าไม่เจ็บสักหน่อย ข้าเดินเองได้!” เจ้าผีดิ้นกระแด่ว ๆ อยู่ในอ้อมแขนแข็งแรง

“อย่าดิ้นสิ เดี๋ยวก็ตกลงไปหรอก ข้าว่าก้นเจ้าช้ำอยู่นะ ได้ยินเสียงปุ๊กใหญ่แบบนั้น มา...ข้าช่วยพาเจ้าไปห้องน้ำเอง”

ขายาว ๆ ก้าวตรงไปที่ห้องน้ำรวดเร็วทำเอาเขาต้องรีบเกาะคอร่างสูงไว้แน่นกลัวจะตกพื้น ยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งได้กลิ่นหอมจากร่างสูงตรงหน้า

คุ้นจัง...และทำให้อบอุ่นใจอย่างประหลาด...เป็นความอุ่นใจที่ไม่มีเหตุผล

“ไหน...ขอข้าดูซิว่าก้นเจ้าช้ำหรือเปล่า” เจ้าตัวพูดหน้าตาเฉยก่อนจะวางเขาลงกับขอบอ่างอาบน้ำ มือหนาเหมือนจะแกล้งแตะใกล้ขอบกางเกงนอน

“เฮ้ย ! มะ...ไม่ต้อง ! ไม่ช้ำหรอก ไม่ต้องมาห่วงผิวช้ำอะไรนั่นหรอก!”

มือของสีหราชเหนียวจริง ๆ แกะเท่าไหร่ก็ไม่ยอมออกง่าย ๆ !

“แต่ข้าห่วง ! ก็เจ้าเป็นของข้า ! ” คนตรงหน้าพูดทันควัน

เฮือก !

เหลว...ใจเหลวไปแล้วกับสายตาคนตรงหน้า...ยิ่งประโยคนั้นทำให้มรุตหน้าแดงก่ำ

ดูท่า...อ้ายสีหราชจะรีบพูดจนตกไปสักคำหนึ่ง ร่างจำแลงนี้เป็นของเขา

เหอะ...เจ้าของร่างจำแลงก็คงห่วงสมบัติตัวเองละมั้ง

“ม่ะ...ข้าดูให้...” มือแข็งแรงนั่นค่อย ๆ เลิกชายเสื้อขึ้นช้า ๆ ทำให้ผีหนุ่มที่หน้าแดงอยู่แล้วยิ่งแดงหนักกว่าเดิม

มรุตรีบปัดมือซุกซนนั่นออกทันทีก่อนจะแว้ดใส่

“ไปเลย ! ออกไปเลย ! ข้าไม่ยอมโป๊ต่อหน้าท่านแน่ ๆ”

เจ้าตัวชะงักนิดก่อนจะยิ้มกริ่มแล้วพูดหน้าตาเฉย

“อ๋อ...เจ้าเขินนี่เอง เอาอย่างนี้ ข้าถอดเสื้อข้า เจ้าก็ถอดเสื้อเจ้า แบบนี้เราสองคนก็เสมอกันแล้ว จะได้ไม่ต้องอายอย่างไร”
บ้าสิ ! เสมอกันกะมนุษย์สิ !

แต่ก่อนจะทันห้าม คนตัวโตกว่าก็ถอดเสื้อนอนสีขาวออกทันที

แผ่นอกกว้างและ...ซะ...ซิกแพคตรงหน้าทำให้ผีหนุ่มหน้าแดงแปร๊ด

“ไม่เอา ! อยากถอดก็ถอดเองคนเดียวเหอะ !”

ว่าแล้วเขาก็รีบรุนหลังทั้งผลักทั้งดันร่างสูงที่หัวร่องอหายให้ออกไปจากห้องน้ำให้เร็วที่สุด !

ทำไมเช้านี้เห็นยมทูตสีหราชทั้งหล่อทั้งกวนอย่างชิบหายวายป่วง !

...ยุบ...หนอ...พอง...หนอ...ซิคแพคหนอ....ตายห่าแล้วไอ้มรุต!

เผลอใจเต้นกับรูปร่างคนตรงหน้า !

ฮือ...พ่อแก้วแม่แก้วบนสวรรค์วิมาน...ช่วยไอ้ผีน้อย ๆ ตัวนี้ที...

จะมาหัวใจวายตายรอบที่สองเพราะอกหนา ๆ ไม่ได้นะ !

กว่าจะปิดประตูห้องน้ำได้ก็เล่นเอาหอบตัวโยน แต่ดูเหมือนสีหราชจะอารมณ์ดีเหลือเกิน เพราะยังได้ยินเสียงหัวเราะแว่ว ๆ อยู่นอกห้องน้ำเลย...

.....................................................................................

ไม่ไหว...นี่เขากำลังเป็นอะไรไป...

ทันทีที่อาบน้ำเสร็จ จู่ ๆ มรุตก็รู้สึกว่ามีความร้อนบางอย่างที่กำลังแผดเผาตัวเขาจากข้างใน ความร้อนระอุราวกับกระดูกกำลังละลาย อาการผิดปกตินั้นทำให้เขาเวียนหัวหน้ามืดคล้ายหมดเรี่ยวแรงจนต้องเกาะผนังห้องไว้ มองไปทางไหนก็รู้สึกราวกับพื้นห้องโคลงเคลง ทำเอาเจ้าตัวต้องสะบัดหน้าไล่ความมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง

ท่าทางแปลก ๆ เหมือนจะทรงตัวไม่อยู่ ทำให้สีหราชที่ยืนรออยู่ใกล้ ๆ ปราดเข้ามาประคองทันที

“เกิดอะไรขึ้น ! ”

“ข้าเวียน...เวียนหัวมากเลย...เหมือนหัวจะระเบิด...” เสียงสั่น ๆ ของมรุตทำให้สีหราชประคองร่างที่อ่อนระโหยมานั่งบนโซฟาใกล้ ๆ แล้วเจ้าตัวก็รีบผละไปคว้าผ้าชุบน้ำเย็นมาไว้ในมือก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ แล้วแตะซับหน้าผากผีป่วยอย่างเบามือ

มีเพียงสีหราชที่เห็นว่า ในยามนี้หน้าผากของมรุตคล้ายมีไอร้อนลอยขึ้นจาง ๆ ซ้ำยังมีอักขระโบราณประกายสีส้มเปล่งแสงเรืองรองสลับไปมากับอักษรต้องห้ามสีแดงก่ำจากยมโลกปรากฎอยู่

สายตาของสีหราชหม่นวูบระคนเครียดขึงก่อนเจ้าตัวจะกุมมือร่างที่กระสับกระส่ายตรงหน้าไว้แน่น

“ไหวไหม...หลับตาสักพักเถอะ...” มือหนากำแน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว

“ข้าเห็นภาพต่าง ๆ ในหัวข้าเต็มไปหมด...เหมือนลูกไฟกำลังวิ่งอยู่ในหัวข้า สับสนและเวียนหัวมาก...”

ผีหนุ่มหน้าซีดก่อนจะยกมือข้างหนึ่งกุมศีรษะไว้และเผลอใช้มืออีกข้างยันแขนซ้ายของยมทูตหนุ่ม สีหราชสะดุ้งนิดหนึ่งก่อนจะนิ่วหน้าแล้วขยับกายออกห่าง

“ข้า...ปวดหัวมากเลย...”

มรุตกุมศีรษะก่อนจะสะบัดหน้าอย่างมึนงงแล้วหอบหายใจเบา ๆ

“เจ้าพักก่อนเถอะ ไว้ตื่นแล้ว เราค่อยคุยกัน”

สีหราชประคองร่างตรงหน้าให้เอนลงบนโซฟา เพียงครู่เดียวเท่านั้นที่ผีหนุ่มหลับไป สีหราชค่อย ๆ แตะท่อนแขนซ้ายตัวเองแล้วดึงชายแขนเสื้อขึ้นช้า ๆ ก่อนจะถอนหายใจยาวเมื่อเห็นลายโซ่ตรวนสีดำสนิทพร้อมเปลวไฟสีแดงเพลิงปรากฎขึ้นบนท่อนแขนซ้าย เจ้าตัวยิ้มขื่น ๆ ให้กับตนเอง

...บทลงโทษจากยมโลก...มาแล้ว

ทันใดนั้นภุมมเทวาก็ปรากฏกายขึ้นต่อหน้าสีหราช สีหน้าเทวดาอาวุโสหันมองมรุตที่หลับและสีหราชที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น

“ท่านสีหราช ! ท่านทำสิ่งใดลงไป ! ท่านรู้ตัวหรือไม่ว่าท่านกำลังจะเดือดร้อนหนักแล้ว !”

“ข้ารู้...” สีหราชพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“แต่ท่านยังฝืนทำ ! ท่านใช้อาคมคลายผนึกความทรงจำ มนตราต้องห้ามเช่นนี้ มันจะลดตบะท่านลงไปถึงครึ่งหนึ่งเชียวนะ แล้วยังจะเรื่อง...”

“ขอบคุณที่เป็นห่วง แต่นี่เป็นวิธีเดียวที่ข้าจะได้อยู่กับเขา เกือบ 200 ปีที่เฝ้าตามหา ข้าจะไม่ยอมเสียเขาไปอีกเด็ดขาด...”

สายตาอาทรห่วงใยเหลียวมองร่างที่เพิ่งหลับไปเมื่อครู่อย่างแสนรักระคนเจ็บปวด

“แต่ท่านก็รู้ดีว่า ชะตาของท่านแลเมืองอินทร์ยังไม่ถึงเวลาที่จะได้อยู่ด้วยกัน การฝืนลิขิตเช่นนี้ท่านอาจต้องแลกด้วยวิญญาณของท่าน บารมีที่สู้สะสมมาเกือบ 200 ปีจะพลันสูญสิ้น”

“ขอเพียงได้อยู่ร่วมกัน ข้าไม่สนอะไรทั้งนั้น...” ยมทูตหนุ่มส่ายหน้าหนี

“เกรงแต่ท่านจะไม่ได้อยู่เคียงเท่านั้น เพราะเมื่อตบะเดชะเสื่อมถอยลง อำนาจทิพย์จะหาย...วิญญาณจะไม่มีอำนาจยมโลกคุ้มกาย...ท่านคงรู้ดีนะว่ามันหมายถึงสิ่งใด” ภุมมเทวาเอ่ยเบา ๆ ประโยคนั้นทำให้สีหราชนิ่งงันไปครู่หนึ่ง

“ท่านจะปกป้องคนที่ท่านรักได้อย่างไร หากท่านเสียทิพย์สภาวะไป !”

“ท่านรู้ใช่หรือไม่ว่า จากนี้ไปหากท่านบาดเจ็บ...แผลจะไม่สมานกันเฉกเช่นคราวก่อนอีกแล้ว” ภุมมเทวาหยุดครู่หนึ่งก่อนจะย้ำ

“ท่านไม่ได้เป็นอมตะเช่นเดิมอีกแล้วนะ ท่านสีหราช !”
.....................................................................................

กลิ่นหอมของแกงเลียงกรุ่นลอยมาแต่ไกล และเสียงหั่นเนื้อกระทบกับเขียงไม้ดังเป็นจังหวะต๊อก ๆ ทำให้มรุตค่อย ๆ ยันตัวเองลุกขึ้นช้า ๆ   อาการปวดหัวและมึนงงหายไปเกือบหมดแล้ว หมอกสีขาวที่อยู่ในความฝันค่อย ๆ จางไปเช่นกัน รู้สึกคล้ายกับว่ามีหลายสิ่งที่หายไปกลับเข้ามา เหมือนหัวเขาในตอนนี้มีลิ้นชักเป็นร้อย ๆ ที่พร้อมจะเปิดออกหากเจอกุญแจที่ถูกต้อง

“กุญแจแห่งอดีตชาติ” ยังไม่ครบ

ตอนนี้...เขาคือใครกันแน่ ส่วนไหนที่เป็นมรุต...และส่วนไหนที่เป็น...เมืองอินทร์

แม้เรื่องราวในอดีตชาติและเรื่องราวในชาติปัจจุบันถูกร้อยเข้าด้วยกัน แต่ก็เหมือนมีบางอย่างที่ขาดหายไป เป็นความทรงจำที่สำคัญ...สิ่งที่เขาจดจำไม่ได้ อย่างในยามนี้ เขายังไม่แน่ใจ ไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้ว รู้สึกอย่างไรกับร่างที่หันหลังทำครัวอยู่ตรงหน้า

“ตื่นแล้วหรือ...อ้ายอินทร์” สีหราชหันมาพร้อมกับรอยยิ้มกระจ่าง แล้วปราดเข้ามาประคองใกล้ ๆ

"ค่อย ๆ ลุกขึ้นช้า ๆ เจ้ายังไม่หายดีนัก อ้ายอินทร์" น้ำเสียงอ่อนโยนจนต้องเงยหน้ามองทีเดียว

ใช่..ยามนี้เขาคือ อ้ายอินทร์ เมืองอินทร์ นักดาบหนุ่มเมื่อสองร้อยปีก่อน

“อ้ายอินทร์...เมืองอินทร์...” ร่างที่เพิ่งลุกจากเตียงนิ่วหน้านิด ๆ ทวนชื่อเบา ๆ ราวกับว่ายังมึนงงอยู่

“ใช่...เจ้าชื่อ เมืองอินทร์ ดีเหลือเกินที่เจ้าจำตัวเองได้แล้ว...” สีหราชยิ้มอ่อนโยนก่อนจะกอดร่างตรงหน้าไว้ในอ้อมแขน กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากยมทูตหนุ่มทำให้ผีหนุ่มหายใจไม่ทั่วท้อง

“ข้าคิดถึงเจ้า...คิดถึงนัก...” ความอุ่นร้อนผ่าวจากร่างตรงหน้าทำให้บางอย่างในอกหวั่นไหว...

“ยังเวียนหัวอยู่หรือเปล่า” มืออุ่น ๆ ของสีหราชปัดผมที่ปรกยุ่งตรงหน้าผากให้อย่างอ่อนโยน แล้วก้มลงมาใกล้ ๆ

“มะ...ไม่แล้ว ข้าดีขึ้นมากแล้ว...อ้ายสีห์” ทันทีที่เรียกชื่อคนตรงหน้า สีหน้าสีหราชคล้ายจะมีน้ำตารื้นนิด ๆ

นี่สิ ใช่แล้ว วิธีการเรียกชื่อด้วยน้ำเสียงหนุงหนิงเบา ๆ ที่หางเสียงแบบอดีตชาติ...คุ้นเคยยิ่งนัก คล้ายกับเคยเรียกชื่อนี้เป็นร้อยเป็นพันครั้ง

ชื่อ...ที่ทำให้อุ่นวาบในหัวใจอย่างประหลาด

“หิวหรือเปล่า ข้าทำอาหารไว้ให้เจ้า ล้วนแต่เป็นของชอบของเจ้าทั้งนั้นอ้ายอินทร์ แกงเลียงร้อน ๆ และผัดแกงเนื้อใส่ใบมะกรูดเยอะ ๆ แต่บอกก่อนว่าข้าจำวิธีทำเครื่องแกงของแม่คำหล้าไม่เก่งนัก ไม่รู้ว่าจะถูกปากเจ้าหรือไม่..” คนตรงหน้าคล้ายจะไม่มั่นใจในอาหารของตนเองนัก เสียงอ่อนโยนนั้นทำให้มรุตหรือเมืองอินทร์ต้องเงยหน้ามอง

...แม่คำหล้า...ชื่อนี้ก็คุ้น...คุ้นจนทำให้น้ำตารื้นออกมาทีเดียว

“อย่าเพิ่งซึ้งใจนัก...ข้าเพิ่งทำอาหารให้คนอื่นกินเป็นครั้งแรก ไม่รู้ว่าจะอร่อยหรือไม่...” เจ้าตัวพูดกลั้วหัวเราะแล้วมองพร้อมรอยยิ้ม

ท่าทางอ่อนโยนจริงใจของยมทูตหนุ่ม ทำให้เผลอน้ำตารื้น...

ถ้านับจากปีที่เขาตายจนถึงบัดนี้...เกือบจะ 200 ปี

เวลาที่นานขนาดนั้นกลับยังมีผู้หนึ่งที่จดจำเรื่องราวในชีวิตของเขาได้...แม้แต่สิ่งเล็กน้อยที่เขาชอบ

“เจ้าหิวไหม ช่วยข้าชิมอาหารสักหน่อยเถอะนะอ้ายอินทร์...มื้อแรกของเจ้า...” สีหราชยิ้มนิด ๆ ก่อนจะชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ ๆ และกระซิบเบา ๆ

....ชิม....หิว....ทำไมคำง่าย ๆ เหล่านี้กลับเปลี่ยนความรู้สึกซาบซึ้งให้กลายเป็นหน้าร้อนวูบวาบขึ้นมาได้ !

มรุตหรือยามนี้คือเมืองอินทร์เผลอกัดริมฝีปากตนเองเบา ๆ อย่างประหม่า ก่อนจะหลบตาร่างสูงตรงหน้าทันควัน

สีหราชหัวเราะเบา ๆ  ดวงตาคมเข้มยามนี้กลับมองเมืองอินทร์ที่มีท่าทางเลิ่กลั่กนิด ๆ อย่างเอ็นดู

วิธีการมองของคนตรงหน้า...ให้ตายเถอะ...ทำเอาคนป่วยหายใจติดขัดไปครู่หนึ่ง หน้าแดงจัดอย่างไม่รู้สาเหตุ

"ทำไมต้องเขินข้าด้วย...เมืองอินทร์...เจ้าคิดพิเรนทร์อะไรหรือเปล่า"

สีหราชพูดเบา ๆ ก่อนจะขยับเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ แล้วมืออุ่น ๆ ก็ยกเชยคางคนป่วยให้เงยหน้าขึ้นนิด ๆ

สั่น...ตัวเขาสั่นเบา ๆ จนต้องหลบตาคมที่จ้องมา

“เอ่อ...ข้า...ข้าขอถามอะไรสักหน่อยได้ไหม...” เขาถามเสียงเบาหวิว ขณะที่คนตรงหน้าก้มลงมาช้า ๆ

“อืม...ได้สิ...อ้ายอินทร์...” เสียงนั่นแผ่วเบาไม่ต่างกัน

“ในอดีต...ท่านกับข้า...เรา...เป็นอะไรกันหรือ...”

ประโยคนั้นทำให้ร่างที่กำลังก้มลงมาชะงักกึก ก่อนจะถอยออกนิดหนึ่ง

“ทำไม...เจ้าจำเรื่องราวของเจ้ากับข้าไม่ได้หรือ” สีหน้าคนตรงหน้าคล้ายเจ็บปวด

“ข้า...ข้าจำได้ว่าท่านชื่ออ้ายสีห์ สีหราช บุตรชายพ่อสินช่างตีดาบหลวง แลยังเป็นบุตรบุญธรรมของเจ้าจอมมารดาผู้หนึ่งและเป็นน้องบุญธรรมของเสด็จในวังพระองค์หนึ่ง แต่...สำหรับข้า...ท่าน...ท่านเป็น...” คนพูดหลบตาก้มมองพื้นตรงหน้านิ่ง ๆ ก่อนจะลังเลนิดหนึ่งแล้วกลั้นใจพูดออกไป

“จำได้ว่า...ข้าเคยพูดว่าเห็นท่านเป็นดั่งพี่ชาย...ใช่หรือไม่”

ภาพความทรงจำที่คืนกลับมาบางส่วน...เป็นเขาที่ทรุดตัวร้องไห้แล้วย้ำกับคนตรงหน้าว่าเป็นพี่ชาย...ส่วนเรื่องราวอื่นนั้นไม่ชัดเจนสักอย่าง

สิ่งที่เขาจดจำไม่ได้ คล้ายกับฟิล์มภาพยนตร์ที่ขาดแหว่ง และดันขาดในส่วนสำคัญเสียด้วย ทำให้เมืองอินทร์อัดอั้นตันใจ

มันต้องเป็นความทรงจำที่สำคัญแน่...แต่มันคืออะไร

สิ้นประโยคนั้น สีหราชค่อย ๆ ถอยออกมาช้า ๆ สีหน้าคนตรงหน้านิ่งสนิทก่อนจะถอนหายใจพรูแล้วยกมือขึ้นลูบหัวเขาเบา ๆ ราวกับจะปลอบประโลม

“...อย่างนั้น..หรือ...เจ้าจำไว้อย่างนั้นหรือ...”

คล้ายกับเสียงคนตรงหน้าจะหายไปช่วงหนึ่ง ท่าทางนิ่งงันของยมทูตหนุ่มทำให้เมืองอินทร์ใจหายวูบ แต่เหมือนสีหราชจะเก็บอาการต่าง ๆ ทั้งหมดอย่างรวดเร็ว

“ใช่...จะเรียกอย่างนั้นก็ไม่ผิดหรอก เราสองคนโตมาด้วยกัน ข้า...อ้ายสีห์ เป็นพี่ชายเจ้า ส่วนเจ้า เมืองอินทร์...อ้ายอินทร์ก็เป็นทาสสินไถ่ตัวน้อยที่พ่อข้ารักหนักหนา เราอยู่ด้วยกัน เรียนดาบด้วยกัน และเรา...เจ้าจำไว้เท่านั้นก็พอ” สีหราชค้างไว้เพียงเท่านั้นแล้วก็หมุนตัวแล้วเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์ครัว

“อย่าเพิ่งคุยเรื่องปวดหัวกันเลย...มากินข้าวกันก่อนเถิด เจ้าเพิ่งหาย ไปนั่งรอตรงนั้น เดี๋ยวข้าหั่นเนื้อแล้วผัดอีกนิดก็จะเสร็จแล้ว รอกินข้าวกับข้านะ”

ยมทูตหนุ่มเอาแต่หันหลังทำครัวและไม่ยอมหันมาอีก ท่าทางดังกล่าวทำให้เมืองอินทร์ใจหายนิด ๆ บรรยากาศที่เหมือนจะเปลี่ยนไปทันควันทำให้เมืองอินทร์พยายามเปลี่ยนเรื่องคุย

“ข้าจำได้ว่า ในอดีตท่านไม่เคยเข้าครัวเลยมิใช่รึ...อ้ายสีห์ แล้วเหตุใดยามนี้จึงทำอาหารได้เก่งนักเล่า”

อ้ายสีหราชที่เขาเคยรู้จักไม่เคยย่างกรายเข้าไปเรือนครัวสักครั้ง มีแต่รอบ่าวไพร่แลแม่คำหล้ายกสำรับอาหารมาให้ที่เรือนใหญ่ แต่บัดนี้กลับทำอาหารเป็นอย่างคล่องแคล่วเสียด้วย

“เกือบ 200 ปีเชียวนะที่ข้าต้องอยู่คนเดียว หากข้าไม่ทำอะไรแก้เหงาบ้าง คง...อยู่ไม่ได้หรอกอ้ายอินทร์” เสียงสีหราชพูดแผ่วเบา แต่กลับรู้สึกได้ถึงความเหงาที่ซ่อนอยู่ในนั้น

“คราแรก...ข้าก็ไม่รู้ว่าทำอย่างไร แต่พอจำได้เลา ๆ ว่าแม่คำหล้าใช้ไปซื้อของที่กาดบ่อย ๆ เลยเดาเอาว่าต้องใส่อะไรบ้าง ลองผิดลองถูกมาหลายสิบครั้ง กินได้บ้าง...ไม่ได้บ้าง...เททิ้งบ้าง...แต่ข้าว่าคราวหลังนี่ก็พอกินได้อยู่นะ” เสียงยมทูตหนุ่มหัวเราะตัวเองเบา ๆ แล้วหันมามองเขา

“ถ้าข้าไม่มีความทรงจำที่ดีในอดีตหล่อเลี้ยง ป่านนี้ข้าคงวิปลาสไปแล้ว”

ต้องเหงาขนาดไหน...ที่อยู่เดียวดายมากว่า 200 ปี...ข้าขอโทษนะอ้ายสีห์...

“อย่าทำสีหน้าแบบนั้นอ้ายอินทร์...ไม่ใช่ความผิดเจ้า เป็นความผิดยมโลกมากกว่า...ข้าด่าท่านยมบาลทุกเช้าค่ำเพื่อจะได้ไปเกิด แต่เขาก็ไม่ยอมให้ข้าไปเกิดสักที” เจ้าตัวพูดกลั้วหัวเราะแล้วหันกลับไปมองเตาตรงหน้า

“แต่ครานี้ถึงเขาจะไม่ยอม...ข้าจะลากเจ้าไปเกิดพร้อมกันให้ได้ทีเดียว” น้ำเสียงคนตรงหน้าหมายมาดอยู่ในใจ

 “แล้ว....เรื่องป้ายทองคำผ่านทางเล่า...ท่านจักทำเช่นใดต่อไป...” เมืองอินทร์อดถามไม่ได้

“ปล่อยไปก่อนเถิด เราค่อยคิดวางแผนเรื่องนี้กันภายหลัง” เจ้าตัวหัวเราะเฝื่อน ๆ แล้วหันมองเขาด้วยแววตาประหลาด

“ข้าสัญญาว่าเมื่อสิ้นสุดเรื่องนี้ ข้าจักพาเจ้าไปยมโลกกับข้า แล้วเราจักไปเกิดด้วยกันอีกครั้ง...” แล้วก็หันกลับไปจับมีดหั่นเนื้อบนเขียงต่อเป็นจังหวะ

เมืองอินทร์นิ่งงันไป เพราะสังหรณ์ลึก ๆ บอกว่าแม้สีหราชจะทำทีว่าป้ายทองคำไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ แต่สังหรณ์บางอย่างบอกว่า เจ้าตัวไม่ได้พูดทุกอย่าง

“ท่าน...ไม่ได้มีเรื่องโกหกข้า...ใช่ฤาไม่อ้ายสีห์...” สิ้นเสียงนั้นเหมือนเจ้าตัวจะสะดุ้งนิดหนึ่ง

ฉึบ ! มีดหั่นเนื้อพลาดไปโดนปลายนิ้วของพ่อครัวจำเป็น

“อุ๊บ !” เจ้าตัวอุทานเบา ๆ แต่ทำให้เมืองอินทร์ถลาเข้าไปหาทันควัน

“เลือด ! เลือดออกเลยอ้ายสีห์ !” มีดหั่นเนื้อที่พลาดมาโดนนิ้วของพ่อครัวจำเป็นทำให้เขียงไม้ตรงหน้าเลอะเลือดเป็นหย่อม ๆ

เจ้าตัวใช้นิ้วกดปากแผลไว้แน่นก่อนจะหันมายิ้มนิด ๆ

“ไม่เป็นไรหรอก...นิดเดียวเอง เดี๋ยวข้าก็หาย” แต่มือนุ่ม ๆ ของเมืองอินทร์ยังคงคว้ามือคนตรงหน้าไปดูด้วยความเป็นห่วง

“แผลลึกเอาการ ท่านนี่...ไม่ระวังเอาเลย” เมืองอินทร์บ่นเบา ๆ แล้วคว้ามือคนตรงหน้าล้างน้ำทันควัน

“ดุจัง...เจ้าผี...ข้าเจ็บนิ้วอยู่...ยังมาดุกันอีก” ร่างสูงตรงหน้าโอดเบา ๆ ก่อนจะใช้มืออีกข้างกอดเอวนิ่ม ๆ ไว้หลวม ๆ

“ข้ารู้แล้ว ท่านน่ะไม่เป็นอะไรหากมีจอกสุราทองแดง...รีบไปจัดการเถอะ แผลจะได้หายเร็ว ๆ ข้าไม่อยากกินแกงเนื้อใส่เลือดยมทูตของท่าน” เมืองอินทร์หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะรุนหลังยมทูตหนุ่มไปที่ห้องด้านหลัง ขณะที่สีหราชเอาแต่หัวเราะแล้วเดินเข้าไปด้านในอย่างว่าง่ายผิดวิสัย ทำให้เมืองอินทร์มองตามแผ่นหลังนั้นอย่างกังวล ขณะที่เจ้าเฉาก๊วยวิ่งมาวนหน้าวนหลังเช่นเคย เมืองอินทร์ทรุดกายลงยีหัวเจ้าลูกหมาตัวจ้อยเล่นเบา ๆ แล้วพึมพำ

“เฉาก๊วย...เจ้าว่า...อ้ายสีห์ปิดอะไรข้าไว้หรือเปล่า...หืมมมม”

ไม่มีคำตอบจากเจ้าลูกหมาตัวดำตรงหน้า ทำให้เมืองอินทร์ระบายลมหายใจเบา ๆ อย่างกังวล
......................................................................


ButlerofLOVE:
อีกหน่อยหนึ่งก็จะไคลแม็กซ์ของเรื่องแล้ววววว

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-01-2021 04:02:32 โดย BaoBao »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :pig4:
 :3123:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-01-2021 04:01:46 โดย BaoBao »

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
ค่อยๆแล้วมันก็จะชัด เมื่อนั้นท่านยมคงหนักเอาการเพราะแหกกฎและฝืน (ฮา)  :pig4: :pig4: สวัสดีปีใหม่ 2564 นะคะ :L1: :L1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-01-2021 04:02:48 โดย BaoBao »

ออฟไลน์ ButlerofLOVE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
CHAPTER
24



หลังกินอาหารเช้ากันแล้ว สีหราชพาเมืองอินทร์มายังหอจดหมายเหตุเมื่อคืนที่เขาปะทะกับดวงวิญญาณจำนวนมาก ในนั้นนอกจากจะมีบันทึกของเสด็จพระองค์ชายชาญนพแล้ว ยังมีมีดดาบสมัยโบราณจำนวนมากที่เสด็จทรงเก็บรักษาไว้และส่งมอบต่อให้เป็นสมบัติของชาติต่อไป เมืองอินทร์เขม้นมองดาบโบราณเล่มหนึ่งที่อยู่ในตู้กระจกตรงหน้า ความคุ้นตาเหมือนเจอของรักที่หายไปทำให้เผลอเอามือลูบกระจกตรงหน้าอย่างเผลอไผล ท่าทีดังกล่าวไม่พ้นจากสายตาของสีหราชที่ยิ้มนิด ๆ ก่อนจะจูงมือเขาไปยังห้องจัดแสดงอีกแห่งหนึ่งข้าง ๆ

บนโต๊ะจัดแสดง มีแท่นวางวัตถุโบราณ เศษกระดาษที่ฉีกครึ่งมีอักษรเลือนลางไปตามกาลเวลา แต่ยังพออ่านออกอยู่บ้าง เมืองอินทร์ในร่างของมรุตก้มลงอ่านป้ายตรงหน้า ก่อนจะทำตาโตแล้วหันมองสีหราช

“รายนาม...กบฏในครานั้น...กบฏละครนอก...” เมืองอินทร์พูดเบา ๆ

“ใช่ รายนามที่ข้าได้มาจากการลอบเข้าไปฟังแผนการของพวกมันที่วัดร้างริมชายป่า” สีหราชพูดเรียบ ๆ 

เหตุการณ์หลังจากเมืองอินทร์ตาย สีหราชก็ถอดกลอักษรในกล่องไม้ดังกล่าวได้ ทำให้เขาลอบแฝงตัวเข้าไปในสถานที่นัดหมายครั้งสุดท้ายของเหล่ากบฏ และเป็นจริงดังที่คาด เหล่านักแสดงละครนอกเกินกว่าครึ่งล้วนเป็นนักดาบฝีมือฉกาจที่พร้อมจะก่อการใหญ่เพื่อเปลี่ยนราชวงศ์ในคืนราตรีมณิสูงสุดคราหน้า และเป็นขุนทรัพย์กับบุรุษในชุดผ้าคลุมอีกผู้หนึ่งที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร หลังสิ้นสุดการนัดหมายเป็นสีหราชที่ลอบขโมยรายนามเหล่ากบฏละครนอกจากขุนทรัพย์มาได้

รายชื่อกบฏที่ขโมยมาทำให้สีหราชมีปากเสียงครั้งใหญ่กับเสด็จพระองค์ชายชาญนพ เพราะเสด็จพระองค์ชายชาญนพไม่ปรารถนาให้เขาตั้งตัวเป็นศาลเตี้ย แต่ก็ทัดทานไม่ได้ เหล่ากบฏที่หนีพ้นในคืนล้อมปราบของทหารหลวงก็อาจพ้นคมดาบของสีหราชไปได้ สีหราช...ที่กลายเป็นอ้ายเสือสีหราชไล่ตามสังหารทุกชีวิตจนสิ้น และเหยื่อคนสุดท้ายของเขาคือ ขุนทรัพย์ ผู้ช่วยข้างกายของกรมหลวงไกรสีห์สรคุณ ก่อนที่สีหราชจะถูกทหารหลวงจับกุมและปิดฉากชีวิตของนักดาบหลวงอนาคตไกลบนแท่นประหาร

“หรือว่า ผู้ที่ใช้มนตราคุมวิญญาณของพ่อสินและช่างดาบเหล่านั้น...จะเกี่ยวข้องกับกบฏละครนอกด้วย” เมืองอินทร์ถามเบา ๆ

“ข้าก็ไม่แน่ใจนัก แต่ก็แปลกเพราะกบฏเหล่านั้นล้วนถูกประหารไปจนหมดแล้ว ครึ่งหนึ่งตายใต้คมดาบของข้า หากสิ้นชีพด้วยการสังหาร วิญญาณย่อมถูกเหล่ายมทูตนำทางสู่โลกหน้าไม่น่าจะอยู่มาได้จนถึง 200 ปีเช่นนี้”

“ตัวการที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง ย่อมต้องรู้จักข้าดีตั้งแต่ในอดีตชาติ ใครที่อยู่มาได้กว่า 200 ปีโดยรอดพ้นสายตาแห่งยมโลกได้ คนผู้นั้นจะต้องมีไสยเวทชั้นสูงแน่และย่อมเป็นเวทสายดำด้วย” สีหราชเอ่ยเบา ๆ

ใครกันที่ไม่ได้สังเวยชีวิตใต้คมดาบของสีหราช...และมีความแค้นลึกซึ้งมากมายขนาดนี้...

“ในความทรงจำของเจ้า....มีใครที่เกี่ยวกับคณะละครนอกอีกหรือไม่..อ้ายอินทร์” สีหราชถามขึ้น

“ก็มีเพียงขุนทรัพย์และ...กรมหลวงไกรสีห์สรคุณ เป็นตัวการใหญ่ ที่เหลือเป็นกลุ่มนักฆ่าที่สวมรอยเป็นนักแสดง แต่ที่เหลือ...ข้ายังนึกไม่ออกเลย” เมืองอินทร์เอ่ยด้วยสีหน้าเป็นกังวล

“แต่กรมหลวงไกรสีห์สรคุณถูกประหารชีวิตด้วยท่อนจันทน์ไปแล้วตั้งแต่หลังจากที่เจ้าตายไป ข้าเห็นการประหารครั้งนั้นด้วยตาของตัวเอง ขณะที่ข้าเป็นคนกุดหัวอ้ายขุนทรัพย์แล้วลากหัวมันมาเซ่นวิญญาณเจ้าและพ่อสิน” สีหราชเอ่ยขึ้นพร้อมกับทบทวนเรื่องราวในอดีต

หลังจากได้รายนามชื่อแฝงของเหล่านักแสดงละครนอก เสด็จพระองค์ชายชาญนพก็สั่งการรวดเร็วให้ล้อมปราบกบฏละครนอกก่อนที่จะเกิดเรื่องอื้อฉาวในรั้ววัง กรมหลวงไกรสีห์สรคุณถูกจับพร้อมหลักฐานการนัดแนะบุกเข้าเขตพระราชฐาน ขณะที่ทูลกระหม่อมไม่อยากให้เรื่องกบฏโดยเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงแพร่งพรายออกไปให้เกิดความแตกตื่น

“ศึกนอกกับเหล่าฝรั่งมังค่าก็นับว่าหนักหนาแล้ว หากมีข่าวศึกในขึ้นอีกเกรงว่าจะทำให้เกิดความปั่นป่วนระส่ำระสายได้” เสด็จพระองค์ชายชาญนพเอ่ยเบา ๆ กับสีหราชในคืนนั้น

ด้วยเหตุนี้จึงจำต้องเก็บงำเรื่องราว ๆ ความขัดแย้งในราชสำนักอย่างเงียบเชียบ เดชะบุญที่เหล่าทหารหลวงที่คุมเหล่ากบฏนั้นเป็นคนของเสด็จพระองค์ชายชาญนพจึงเก็บงำเรื่องไว้ไม่ให้แพร่งพรายออกไป จากสาเหตุการสั่งประหารด้วยข้อหากบฏจึงเปลี่ยนมาสู่ข้อหาประพฤติชู้สาวเล่นสวาท รวมถึงความประพฤติไม่อยู่ในร่องในรอยสร้างความเสื่อมเสียให้ราชวงศ์แทน
ในตำราประวัติศาสตร์ การสั่งประหารชีวิตเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงองค์สุดท้ายที่สิ้นด้วยท่อนจันทน์ก็เป็นไปเช่นนี้ !

เมืองอินทร์ถอนหายใจเบา ๆ แล้วมองคนตรงหน้า

“อ้ายสีห์ เจ้าว่า...ในบันทึกส่วนพระองค์ของเสด็จพระองค์ชายชาญนพ...จะมีบันทึกรายชื่อใครไว้บ้างหรือไม่”

“ข้ากำลังตรวจสอบอยู่ แต่ต้องตามหาเบาะแสให้ได้ก่อน มิฉะนั้นอาจเป็นการเหวี่ยงแหหาผู้ต้องสงสัยโดยสิ้นเปลืองเวลาไป” สีหราชเอ่ยเบา ๆ

“มีใครบางคนที่เรามองข้ามไปหรือเปล่านะ...” ว่าแล้วทั้งคู่ก็มองหน้ากัน

สีหราชและเมืองอินทร์เดินออกจากพิพิธภัณฑ์ในช่วงเที่ยง ๆ ก่อนจะก้าวเข้าไปในร้านกาแฟบูติคแห่งหนึ่งในย่านนั้น ร่างสูงโปร่งผึ่งผายของสีหราช และเมืองอินทร์กลายเป็นจุดสนใจของคนทั้งร้าน แม้ว่าทั้งสองคนจะใส่แมสก์ปิดใบหน้าไปครึ่งแล้วก็ตาม แต่ด้วยความเป็นกึ่งเทพกึ่งมนุษย์ของสีหราช โครงหน้าเข้มและดวงตาคมกริบของเจ้าตัวยังทำให้กลายเป็นเป้าสายตาของผู้คน

“อ้ายสีห์...ท่านคิดว่ามีใครที่จะให้ความช่วยเหลือกรมหลวงไกรสีห์สรคุณหรือไม่” เมืองอินทร์ถามขึ้นก่อนจะก้าวตรงไปนั่งที่เก้าอี้สตูลใกล้ ๆ เคาน์เตอร์บาร์เครื่องดื่ม

“รับเครื่องดื่มอะไรดีคะ” เสียงพนักงานร้านกาแฟถามขึ้น พร้อมรอยยิ้มหวานให้กับชายหนุ่มทั้งสอง

“ขอกาแฟเย็นแก้วหนึ่งครับ...แล้วเจ้าล่ะจะเอาอะไร” สีหราชถอดแมสก์ออกแล้วหันมาถามเมืองอินทร์

แต่ทันทีที่เงยหน้ามองภาพที่ปรากฎในโทรทัศน์ตรงหน้า สายตาที่ชะงักนิ่งค้างอย่างนั้นทำให้เมืองอินทร์เงยหน้ามองตามด้วย

...ทหารในคราบนักการเมืองรูปร่างอ้วนฉุ หน้าตาคล้ายหมู เจ้าของตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่กำลังให้สัมภาษณ์อยู่ทำให้สีหราชเหยียดริมฝีปากอย่างนึกรังเกียจ

...ไม่อยากเชื่อว่า คนเช่นนี้ยังสามารถกลับมาเกิดบนบัลลังก์อำนาจได้อีกครั้ง !

ประโยคที่คนในโทรทัศน์เคยพูดกับสีหราชย้อนกลับมาในความทรงจำ

“คนหนุ่มก็เช่นนี้ สักวันเจ้าจะรู้ว่าการมียศศักดิ์นั้นบันดาลสิ่งใดให้เจ้าได้บ้าง”

...ไม่คิดเลยว่าสมุหพระกลาโหม กลับมาเกิดเป็นไอ้หมูอ้วนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในยุคนี้ !

คนที่หลงอำนาจในสมัยนั้น...แม้จะสมัยนี้ก็ไม่ต่างกันสักนิด คนที่ไม่ควรได้ดิบได้ดี...แต่กลับมาครองอำนาจอีกครั้งในสมัยนี้ ไม่เข้าใจกฎแห่งกรรมว่าทำงานครบถ้วนจริงหรือไม่

สีหราชเคยนึกสงสัยตัวของสมุหพระกลาโหมเช่นกัน เพราะด้วยนิสัยเดิมของสมุหพระกลาโหมที่ละโมบในเกียรติและอำนาจ ย่อมต้องไม่พอใจตัวเขาเป็นแน่ เพราะเคยปักใจเชื่อว่าเป็นสีหราชที่ลักลอบมีสัมพันธ์กับแม่นากจนตั้งครรภ์ การที่เขาตายเพราะต้องโทษประหารชีวิตในฐานะอ้ายโจรที่เข่นฆ่าผู้คน ย่อมนำความเสื่อมเสียมาให้แก่วงศ์ตระกูลของสมุหพระกลาโหม

แต่เมื่อยามนี้ สมุหพระกลาโหมคนนั้นกลับมาเกิดใหม่เสียแล้ว

‘คนเป็น’ย่อมมิใช่ผีร้ายที่รังควานเขาและใช้มนตราคุมวิญญาณเป็นแน่!

“ข้าว่า...อย่างน้อยเราก็ตัดผู้ต้องสงสัยไปได้อีกหนึ่งรายแล้วล่ะอ้ายอินทร์...” สีหราชเอ่ยเบา ๆ แล้วหันไปสบตาเมืองอินทร์

…อย่างน้อย ในชาตินี้สมุหพระกลาโหมก็ไม่ใช่ศัตรูในเงามืดคนนั้น

...จะเป็นใครไปได้...ศพที่หายไป หรือจะเป็นสหายในสำนักของพระอาจารย์ ?

แต่ก่อนที่จะทันคิดอะไร จู่ ๆ ก็มีกาแฟเย็นแก้วหนึ่งยื่นตรงมาให้กับสีหราช เป็นหญิงสาวรูปร่างหน้าตาดีแต่งตัวเซ็กซี่พร้อมกับก้าวเข้ามาโปรยยิ้มหวานให้ต่อหน้าต่อตาทีเดียว ขณะที่มีสาว ๆ สองสามคนที่หัวเราะคิกคักกันด้านหลังเป็นกองเชียร์

“ขอเลี้ยงกาแฟนะคะ ไม่นึกว่าชอบกาแฟเย็นเหมือนกัน” สายตามีจริตจะก้านของผู้หญิงตรงหน้าทำให้เมืองอินทร์ชะโงกหน้ามองคนขอเลี้ยงกาแฟ แล้วดูท่าทีของยมทูตหนุ่ม

ขณะที่สีหราชชะงักไปนิดก่อนจะเหลือบมองเมืองอินทร์ สายตาคล้ายจะมีคำถามแต่เป็นเมืองอินทร์ที่เบือนหน้าหนีแล้วเงยหน้ามองโทรทัศน์ตรงหน้าราวกับสนใจเสียเต็มประดา สีหราชลอบซ่อนยิ้มในหน้าก่อนจะหันไปมองสาวสวยที่ยืนอีกข้าง

“ขอบคุณ...สำหรับกาแฟ”

ประโยคนั้นทำให้คนที่นั่งข้าง ๆ คล้ายกับจะคอแข็งขึ้นมาทันที

...ความรู้สึกบางอย่างวูบขึ้นกลางอก...

สิ้นประโยคนั้น เมืองอินทร์หันขวับไปสั่งกาแฟกับพนักงานทันที

“ถ้าเขามีคนเลี้ยงกาแฟแล้ว ผมสั่งเพิ่มแก้วเดียวก็พอครับ ขอคาราเมล แมคคิอาโตครับ...ไม่หวาน!”

แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อจู่ ๆ สีหราชก็คว้าข้อมือเขาไว้แน่นก่อนจะหันไปพูดต่อกับผู้หญิงคนเดิมหน้าตาเฉย

“แต่คงรับไว้ไม่ได้...ขอบคุณ”

ประโยคสั้น ๆ ทำให้เมืองอินทร์ชะงักกึกก่อนจะหันมองสีหราช ขณะที่ผู้หญิงคนดังกล่าวเม้มปากแน่นแล้วหันหลังกลับอย่างรวดเร็วก่อนจะเดินฉับ ๆ ออกไปจากร้านพร้อมกับเพื่อน ๆ ในทันที

...นึกว่าจะโดนสาดด้วยกาแฟซะแล้วสิ...

“พูดแบบนั้นไป เขาก็เสียหน้าแย่สิ...” เมืองอินทร์อุบอิบก่อนจะค่อย ๆ ดึงมือตัวเองออกจากการเกาะกุมแล้วเอื้อมไปรับกาแฟจากบาริสต้ามาจิบ

“หายหรือยัง...” คนข้าง ๆ เอ่ยลอย ๆ พลางอมยิ้มนิดๆ

“อะไร...อะไรหาย ?” เมืองอินทร์งุนงง

“ตัวโมโหน่ะ...หายหรือยัง...” สีหราชอมยิ้มนิด ๆ ก่อนจะเอานิ้วจิ้มจมูกคนข้าง ๆ อย่างมันเขี้ยว

“อะ...อะไรนะ...” เป็นเมืองอินทร์ที่ตะกุกตะกักเสียเอง

“จริง ๆ ก็ไม่อยากทำให้ผู้หญิงคนนั้นเสียหน้า แต่ทำยังไงได้...ถ้าต้องแลกกับการที่เจ้าโมโหข้า ต่อให้เอาทองมากองตรงหน้าข้าก็ไม่ยอมหรอก...”

คนพูดยิ้มกริ่มก่อนจะอาศัยจังหวะที่เมืองอินทร์เผลอคว้าแก้วกาแฟในมือไปดื่มหน้าตาเฉย

เหมือนมีไอร้อนฉ่า..พัดวูบจนต้องเม้มปากแน่นเสียอย่างนั้น

“เอากาแฟข้าคืนมา...ท่านมีแก้วนั้นแล้วนี่...” เมืองอินทร์พยายามเปลี่ยนเรื่องก่อนจะเอื้อมคว้ากาแฟจากมือสีหราช

“ไม่ ! ข้ากระหายน้ำ...ข้าจะดื่มกาแฟเจ้าเท่านั้น...” เจ้าตัวพูดหน้าตาเฉยก่อนจะดูดกาแฟในแก้วอย่างไม่รอให้อนุญาต

...ทำอย่างนั้น มันก็เหมือนจูบ...ทางอ้อมไม่ใช่หรือยังไง ?...

“ของท่านก็มี...” เมืองอินทร์หน้าแดงก่อนจะพยายามคว้าแก้วตัวเองคืนกลับมา แต่ก็ไร้ผล

“...แก้วนั้นไม่ใช่ของข้า นี่ต่างหากของข้า...” สายตาคนตรงหน้าคล้ายยั่วเย้า ก่อนจะยกแก้วกาแฟหนีการคว้าจับของเมืองอินทร์
สายตาหยอกเย้า ริมฝีปากสีหราชยิ้มนิด ๆ ก่อนจะดื่มคาราเมลแมคคิอาโตอย่างละเลียดพร้อมกับจ้องเจ้าของแก้วกาแฟด้วยสายตาวาววาม แล้วชะโงกหน้ามาใกล้ ๆ

“ อย่าโกรธข้าสิ บางคนแถวนี้เคยสอนข้าว่า...รับมาก่อน...ไม่อย่างนั้นคนให้จะเสียน้ำใจ...”

“นี่ขนาดข้ารับแค่น้ำใจ...คนแถวนี้ยังเกือบอาละวาด...ขืนรับจริง ๆ คงโกรธข้าไปสามวันเจ็ดวันแน่...”

เสียงกลั้วหัวเราะของสีหราชทำให้เมืองอินทร์อึ้ง...

บางอย่างในความทรงจำครั้งก่อนผุดขึ้นมาย้ำเตือน

“ไม่กิน...เหตุไฉนยังรับมา” ประโยคเดียวกันนี้อ้ายสีห์เคยถามเขาเมื่อครั้งเยาว์วัย

“ก็...ไม่อยากเสียน้ำใจ” เป็นตัวเขาเองที่กล่าวอุบอิบหลังรับเชี่ยนหมากจากผู้สาวมาครั้งหนึ่ง

“เหอะ...รับไว้ คราหลังเขาก็จักเอามาให้เจ้าอีก” สีหราชในวัยหนุ่มฉกรรจ์หน้าบึ้งก่อนจะคว้าดาบฟันหยวกกล้วยเคราะห์ร้ายจนขาดกลาง

ในครั้งนั้นไม่รู้ว่าอ้ายสีห์หงุดหงิดอะไรถึงฟันหยวกกล้วยจนขาด...แต่ครั้งนี้เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงหงุดหงิดอย่างนั้น

“ต่อไป...ถ้าเจ้าไม่ชอบ ข้าจะไม่รับของอะไรจากใครอีกเลย เจ้าตัวเล็ก”

น้ำเสียงล้อเลียนข้าง ๆ หูทำให้เมืองอินทร์ทำหน้าไม่ถูก ก่อนเจ้าตัวจะถูกสีหราชยกมือขึ้นยีหัวเบา ๆ อย่างเอ็นดู

“เจ้าน่ะ...หวง...พี่ชายอย่างข้า...จริง ๆ สินะ อ้ายอินทร์”

น้ำเสียงคนตรงหน้าหยอกเย้ากึ่งล้อเลียน แต่ทำให้คนฟังหน้าแดงก่ำ

ยอมรับก็ได้ว่า ข้าหวง ! ข้าหวงพี่ชาย ! 
..........................................................

หลังจากวันที่สีหราชปะทะกับเหล่าวิญญาณที่หอจดหมายเหตุ เหมือนเหตุการณ์ทุกอย่างจะเงียบสงบลงอย่างน่าประหลาด ไม่มีเหตุร้ายเกิดกับเหล่าวิญญาณเร่ร่อนและไม่มีเงาอาฆาตที่ตามมารังควานสีหราชและเมืองอินทร์อีก แต่ความเงียบสงบนี้เองกลับทำให้สีหราชเคร่งขรึมมากกว่าเดิม คล้ายจะครุ่นคิดหนักกว่าเดิม

...คล้ายกับท้องทะเลที่มักจะเรียบสงบปราศจากคลื่นลม ก่อนจะเกิดพายุร้าย...

และที่สำคัญ เมื่อพ้นจากคืนนั้น สีหราชมักทำหน้าเคร่งใส่เมืองอินทร์ก่อนจะสั่งการให้เขาเร่งฝึกซ้อมดาบอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง ยามกลางวันเจ้าตัวก็มักจะลากเขาไปหาเหล่าวิญญาณเร่ร่อนเพื่อสืบหาเบาะแสเกี่ยวกับป้ายทองคำ ตกกลางคืนก็ยังลากเมืองอินทร์กลับมาฝึกดาบเหมือนครั้งอดีตชาติ เรียกว่าไม่ยอมปล่อยให้รอดพ้นสายตา

และเมื่อฝึกดาบก็ต้องมีดาบคู่กาย ซึ่งเพียงคืนเดียว ดาบประจำตัวของเมืองอินทร์ที่ถูกวางจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ของเสด็จพระองค์ชายชาญนพก็ถูกสีหราชหยิบฉวยออกมาให้ใช้ แม้เมืองอินทร์จะท้วงว่าแบบนี้ไม่ต่างจากขโมย

“เสด็จพระองค์ชายฯ ทรงเก็บรักษาดาบไว้ให้เจ้า แล้วเจ้าเป็นเจ้าของที่แท้จริงของดาบเล่มนี้...จะว่าขโมยได้อย่างไร”

สีหราชพูดหน้าตาเฉยก่อนจะทบทวนเพลงดาบให้เขา ซึ่งน่าประหลาดใจว่าหลังจากได้ความทรงจำกลับคืนมา สมองและร่างกายของเมืองอินทร์สามารถจดจำวิธีการจับดาบและกระบวนท่าต่าง ๆ ได้มากถึง 7-8 ส่วน

เสียงประดาบที่โรมรันพันตูกันระหว่างสองบุรุษในโดมมิติวิญญาณดังก้องอยู่ต่อเนื่องมาเกือบสองชั่วโมงแล้ว อากัปกริยาของสีหราชคล้ายไม่ได้เหน็ดเหนื่อยเท่าใดนักขณะที่เมืองอินทร์ที่กระชับดาบในมือไว้แน่นกำลังหอบหายใจแทบไม่ทัน

“ถ้าเจ้าชนะข้าได้ คืนนี้ข้าจะให้เจ้านอนบนเตียง !” เสียงตะโกนของสีหราชดังขึ้น ประโยคนั้นทำให้เมืองอินทร์ทำตาเขียว

สีหราชคนนี้เป็นปีศาจชัด ๆ !

เมืองอินทร์กัดกรามกรอดก่อนจะถลาเข้าไปโรมรันกับร่างสูงตรงหน้าอย่างไม่ลดละ ร่างกายที่เพรียวลมปราดเปรียวทำให้ขยับร่างกายคล่องแคล่วกว่าเดิม ร่างในชาติปัจจุบันของเมืองอินทร์นับว่าตัวเล็กกว่าชาติที่แล้วอยู่เกือบ 10 cm ทำให้ดูคล้ายลูกแมวน้อยปราดเปรียวที่กระโจนไปทิศนั้นทีทิศนี้ที

ดาบคู่ใจ...ราวกับกรงเล็บของร่างตรงหน้า

สีหราชยกยิ้มนิดหนึ่งก่อนจะยกดาบปัดป้องการจู่โจมของร่างตรงหน้าอย่างสบาย ๆ เท่าที่สีหราชประเมินในใจ เมืองอินทร์ยังไม่ค่อยเจ้าเล่ห์เพทุบายนัก กระบวนท่าที่โถมฟันเข้ามานั้นตรงไปตรงมาดุจพื้นนิสัยของเจ้าตัวทำให้เดาทางได้ง่าย ประกอบกับกำลังแขนที่ยังไม่แข็งแรงเท่ากับร่างเดิมทำให้น้ำหนักการโจมตีไม่รุนแรง แต่หากฝึกไปสักระยะ เจ้าตัวน่าจะคุ้นชินกับน้ำหนักของดาบและอาจจู่โจมได้ดีขึ้น

“เก่ง ! แต่ยังไม่ดีพอ!” เสียงตะโกนของสีหราชทำให้เมืองอินทร์ยิ่งโมโห

“จู่โจมแบบนี้ ใครก็เดาทางได้ !”

“โถมมาทั้งตัวแบบนี้ เจ้าคิดจะกอดข้าหรือยังไง !” เสียงประชดของสีหราชทำให้เจ้าตัวยิ่งโมโหหนักกว่าเดิม

“เวลาต่อสู้ ข้าคือศัตรูที่เจ้าต้องล้ม ห้ามปรานีเด็ดขาด!” สีหราชตะโกนลั่นก่อนจะฟันลงมาเต็มเหนี่ยวจนมือข้างที่จับดาบของเมืองอินทร์สั่นระริก แล้วเจ้าตัวก็ฝืนดันดาบกระแทกออกไปเต็มกำลัง

“ยังสืบเท้าไม่เร็วพอ แล้วฐานไม่มั่นคง เจ้าจะล้ม !” ว่าแล้วสีหราชก็เตะตัดขัดขาทันควันทำเอาเมืองอินทร์ถลาวูบจะหงายหลัง
เคราะห์ดีที่มีมือแข็งแรงของสีหราชเอื้อมมาตรงหน้าคว้าแขนไว้ทันก่อนจะล้มไปกองกับพื้น

ยามนี้เป็นเมืองอินทร์ที่ถูกสีหราชกระชากเข้ามาอยู่ในอ้อมแขน

กลิ่นเหงื่อจาง ๆ ของสีหราชแนบชิดอยู่ใกล้ เจ้าตัวหอบเบา ๆ อย่างหายใจไม่ทัน ขณะที่หัวใจเต้นรัวด้วยจากอะดรีนาลีนและความเหนื่อยล้าจากการฝึกซ้อม

“อ้ายสีห์...นี่ข้าฝึกมาสามสี่ชั่วโมงแล้ว...ขอพักสักครู่เถอะ” เป็นเมืองอินทร์ที่หอบเหนื่อยจนตัวโยน แต่เป็นสีหราชที่ตัดใจผลักเมืองอินทร์ออกก่อนจะกระชากดาบขึ้นมาเตรียมพร้อม

“ในการต่อสู้...มีใครให้เจ้าพักบ้างอ้ายอินทร์ ! ไม่ใช่เจ้าตาย ก็ศัตรูที่ม้วย จงเลือกเอา”

...ไอ้ยมทูตหน้าโหด...ไอ้พี่สีห์ตัวร้าย ถ้าจะมีใครตายก่อนวิญญาณร้ายก็คงเป็นเขานี่แหล่ะ !

เสียงห้วนของสีหราชทำให้เมืองอินทร์เม้มปากแน่น ก่อนจะตัดสินใจใช้แรงที่มีทั้งหมดพุ่งเข้ามาปะทะกับสีหราชอีกครั้ง และครานี้เป็นเขาที่ชนะ เมื่อเขาเสือกดาบเข้าไปก่อนจะตวัดเปลี่ยนกระบวนท่าอย่างรวดเร็ว สีหราชเบิกตากว้างและกระชากแขนหลบแต่ไม่พ้นคมดาบเขา โลหิต...หยดลงดิน เป็นเขาที่เรียกเลือดจากท่อนแขนของสีหราชได้

“อ้ายสีห์ ! ข้าขอโทษ ! ” เมืองอินทร์ทิ้งดาบในมือทันที แล้วปราดเข้าไปคว้าท่อนแขนคนเจ็บขึ้นมาดู แต่เจ้าตัวไม่ใส่ใจ

“ไม่เป็นไร อย่างน้อย...เจ้าก็พอป้องกันตัวเองได้แล้ว แผลนี้ไม่เท่าไหร่หรอก...”

สีหราชพูดนิ่ง ๆ ไม่กล่าวอะไรอีกขณะที่เมืองอินทร์รีบคลี่ผ้าที่พันท่อนแขนตนเองออกมา หมายจะพันรัดต้นแขนของสีหราช แต่ทันทีที่เมืองอินทร์เลิกชายแขนเสื้อสีหราชขึ้น เจ้าตัวกลับรีบกุมชายแขนเสื้อไว้แล้วปัดมือออกทันที ท่าทีดังกล่าวทำให้เมืองอินทร์อึ้งไป

ทำไมปัดมือมันทิ้งเล่า...อ้ายสีห์โกรธอย่างนั้นหรือ ?

แต่ก่อนจะคิดอะไรต่อ สีหราชกลับโยนผ้าขนหนูผืนหนึ่งโปะหน้าเขา !

“วันนี้เลิกฝึกกันได้แล้ว เรากลับกันเถิด” เจ้าตัวทำหน้านิ่ง ๆ ก่อนจะก้าวยาว ๆ เดินล่วงหน้าไปก่อนซะอย่างนั้น

หืม...ใครที่หลงหน้าตาพ่อสีหราชคนเข้ม อยากให้มาดูตอนนี้จริง ๆ !

“เด็กดื้อ! ถ้าไม่ลุกละก็ ข้าจะปล่อยให้เจ้าอยู่ในโดมมิติวิญญาณนี้ละนะ” เสียงห้าว ๆ ตะโกนมาทำให้เมืองอินทร์เบ้หน้านิด ๆ
เมืองอินทร์หน้าง้ำก่อนจะบ่นงึมงำในใจ

...ทำไมจะต้องฟังท่านด้วย  ถ้าข้าจะนั่งพักตรงนี้ต่อสักหน่อยจะเป็นไรไป !

แต่แล้วก็ต้องตาลีตาเหลือกลุกพรวด เพราะประโยคที่สีหราชเปรยเบา ๆ

“ตามใจ...เจ้าอาจจะไม่รู้ว่าโดมมิติวิญญาณที่ปล่อยทิ้งไว้มันเชื่อมต่อกับป่าหิมพานต์ ทำให้ตกกลางคืนมักมีสัตว์ดุร้ายออกมาเพ่นพ่าน...อย่างนรสีห์...คชสีห์...บางทีก็เป็นกุมภัณฑ์ต่าง ๆ ยักษาตัวเป็น ๆ ก็มีแล้วยังชอบกินเนื้ออีกต่างหาก ”

น้ำเสียงคนตรงหน้าเหมือนบอกเล่าเฉย ๆ แต่มีเพียงเจ้าตัวที่ลอบอมยิ้ม เมื่อเจ้าตัวเล็กกว่าหันซ้ายหันขวางแล้วกระโดดตามออกมาจากโดมมิติวิญญาณแทบไม่ทัน

“ไม่ต้องขู่ข้าหรอกน่าอ้ายสีห์ !” เมืองอินทร์หน้าบึ้ง ขณะที่สีหราชหันมามองด้วยแววตาเอ็นดูระคนขำ

“เดี๋ยวก่อน อยู่นิ่ง ๆ อ้ายอินทร์” ประโยคสั่งสั้น ๆ ทำให้เมืองอินทร์เงยหน้าขึ้น เมื่อสีหราชยิ้มก่อนจะเดินอ้อมมาด้านหลังคล้องวัตถุบางอย่างส่องประกายแวววาวเข้าที่คอของเขาอย่างรวดเร็ว

สร้อยทองคำเส้นเล็ก ๆ ดุนลายวิจิตรคล้องอยู่บนคอเขา ?

“เจ้าน่ะชอบทำสร้อยเส้นนี้หายอยู่เรื่อย คราวก่อนก็ทำมันหล่นกับพื้น...คราวนี้ข้าจะคล้องไว้ให้ติดกาย และอย่าทำมันหายอีกนะ...ถือว่าข้าขอร้อง” น้ำเสียงอ่อนโยนและไออุ่นจากลมหายใจผะผ่าวที่ซ้อนอยู่เบื้องหลังทำให้เมืองอินทร์ยืนนิ่งขึงตะลึงไป

มืออุ่น ๆ ของสีหราชขยุกขยิกบรรจงกดตะขอสร้อยทองดังกล่าวให้แน่น ก่อนเจ้าตัวจะเดินอ้อมมาจัดสร้อยตรงหน้าให้เรียบร้อย

น้ำเสียงและแววตาอ่อนโยนของสีหราชทำให้เมืองอินทร์ต้องหลบตา

...ในความทรงจำที่ขาดวิ่น...เขารู้ดีว่าเคยทำสร้อยเส้นนี้ร่วงลงดินก่อนจะสิ้นลมหายใจ...

สร้อยที่เคยถูกฝังไปพร้อมกับร่างของเขาเมื่อกว่าสองร้อยปีก่อน...

หัวใจข้า...กำลังเต้นแรงเหมือนจะหลุดออกมาจากอก...

...ระหว่างสองเรา...มีบางอย่างที่มากกว่าพี่น้อง...ใช่ฤาไม่...อ้ายสีห์...

“เหม่ออะไร...เจ้าตัวจ้อย ขืนมองข้าด้วยสายตาแบบนี้...เดี๋ยวข้าก็จับกินเสียเลย !”

ประโยคกำกวมนั่นทำให้หน้าที่ร้อนนิด ๆ ยิ่งร้อนจัดหนักกว่าเดิม!

“ฝึกดาบเสร็จคราใด ข้าก็ยิ่งหิวจัด ๆ ไปเสียทุกทีสิน่า” สีหราชพูดพลางหัวเราะนิด ๆ

“หิว...”

พูดไม่พูดเปล่าเจ้าตัวดันก้มหน้าลงมาเสียชิดแล้วกระซิบข้างหู...ทำเอาหายใจติดขัดกะทันหันทีเดียว

...หัวใจข้ากำลังสั่นไหว 7 ริกเตอร์ !...



ฺButlerofLOVE:

หายหน้าไปหลายวันเพราะเผลอทำผิดกฎของเล้า ขอบคุณโมเดอเรเตอร์ BaoBao นะคะที่ช่วยแก้ไขให้แก้ว ^^ มาต่อกันค่า  วันสองวันนี้จะอัพรัว ๆ เลย ^^


 :mew3:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
รีบมาอีกน้าาา

ออฟไลน์ ButlerofLOVE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
CHAPTER
25




ก่อนที่หัวใจจะหวั่นไหวไปมากกว่านี้...

ทันใดนั้นปรากฏหมอกจาง ๆ สีขาวขึ้นตรงหน้า ขณะที่ทั้งคู่กำลังตกตะลึงอยู่นั้น ก็มีสตรีสาวสวยร่างหนึ่งก้าวออกมาจากสายหมอก ดวงตาเรียวสวยแฝงความดุ อาภรณ์สีแดงก่ำเนื้อบางเบาสะบัดตามจังหวะการก้าว บนท่อนแขนกลมกลึงสีงาช้างปรากฎสร้อยสังวาลย์สีแดงก่ำคาดขวาง เจ้าตัวดูมั่นอกมั่นใจในตัวเองและไอวิญญาณที่รุนแรงบอกชัดว่าสตรีตรงหน้าสูงศักดิ์ไม่น้อย

“อ้ายสีห์! ตามหาตัวยากจริงนะ ! ทำไมเจ้าทำเรื่องบ้า ๆ เช่นนี้ ! ถ้าข้ารู้ว่าเจ้าจะแหกกฎทำเรื่อง...”

เสียงใส ๆ นั้นตวาดแหววอย่างกราดเกรี้ยวก่อนจะชะงักเมื่อเห็นว่ายามนี้สีหราชไม่ได้อยู่เพียงลำพัง

“อัคนิการ์...” สีหราชอึ้ง ๆ ไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากทักทาย ท่าทีของสตรีที่ชื่อ “อัคนิการ์” คล้ายจะเอ่ยบางอย่างต่อ แต่สีหราชรีบส่ายหน้าเป็นเชิงห้ามทันที ทำให้อัคนิการ์เทวีหน้าบึ้งแล้วหันมองมาเมืองอินทร์ด้วยแววตาที่ไม่เป็นมิตร ขณะที่สีหราชรีบแนะนำสตรีตรงหน้าให้เมืองอินทร์รู้จัก

“อ้ายอินทร์ นี่อัคนิการ์เทวี เป็นบุตรีของท่านยมบาล...และเป็นหนึ่งในผู้คุมกฎระเบียบแห่งยมโลก”

สตรีตรงหน้าเชิดหน้าอย่างหยิ่ง ๆ ก่อนจะมองเมิน ๆ เมืองอินทร์ด้วยหางตาแล้วหันไปถามสีหราช

“อ้อ....เมืองอินทร์....คนนี้หรอกหรือที่ท่านเล่าให้ข้าฟัง...” เจ้าตัวเว้นประโยคไว้อย่างมีความหมาย

ประโยคนั้นทำให้เมืองอินทร์ขมวดคิ้วมุ่น

เล่า ?  อ้ายสีห์ไปเล่าเรื่องข้าให้คนผู้นี้ฟังอย่างนั้นหรือ ?

“เมืองอินทร์คนนี้...รู้อะไรมากแค่ไหนกันอ้ายสีห์...เขารู้หรือเปล่าว่า...” สายตาคมของอัคนิการ์เทวีมองนิ่ง ๆ ก่อนจะกอดอกเบา ๆ อาการคล้ายพร้อมจะอาละวาดได้ทุกขณะทำให้สีหราชรีบคว้าแขนคนมาใหม่ทันที กิริยาดังกล่าวทำให้เมืองอินทร์สะดุ้งยึกในใจ

....สนิทสนมถึงกับจับมือถือแขนกันได้เชียวหรือ...

“นิการ์....ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า…มานี่ก่อน...”

ว่าแล้วสีหราชก็ลากผู้มาใหม่เข้าไปในห้องด้านในโดยไม่รีรอ ทิ้งแต่ความงุนงงและอึ้งไว้กับเมืองอินทร์ ทั้งคู่หายไปครู่ใหญ่ใน
ห้องนั้น มีแต่เสียงตะโกนคล้ายทุ่มเถียงกันเบา ๆ ลอดออกมา เมืองอินทร์ถอนหายใจพรู

อัคนิการ์เทวี เป็นผู้หญิงที่สวยและมั่นใจตัวเองเอาเรื่อง แถมยังดูสนิทสนมขนาดจับมือถือแขนกันได้....

...พวกเขาเป็นเพื่อน...หรือมากกว่าเพื่อนกันนะ...

แต่ช่างสิ ! จะเป็นอะไรก็ไม่เกี่ยวกับเขาเพราะเขาและสีหราชต่างเป็นพี่น้อง...เท่านั้น

ความรู้สึกวูบโหวงในใจนี่คืออะไรนะ ทำไมจู่ ๆ ถึงรู้สึกไม่ชอบคำว่าพี่น้อง...ก็ครั้งนี้เอง

เมืองอินทร์ค่อย ๆ เดินมานั่งรอที่โซฟากลางห้องรับแขก โดยมีเจ้าเฉาก๊วยมาคลอเคลียพันแข้งพันขาเมืองอินทร์อย่างออดอ้อน เจ้าตัวยิ้มหม่น ๆ ก่อนจะลูบหัวเจ้าก้อนกลมเบา ๆ อย่างเหม่อลอย

...ความรู้สึกที่คล้ายจุกกลางอก...หน่วงหัวใจเสียยิ่งกว่าตอนฝึกซ้อมดาบเสียอีก...

จากนั้นครู่ใหญ่ทั้งคู่ก็เดินออกมา สีหน้าอัคนิการ์เทวีคล้ายจะดีขึ้นเล็กน้อย แต่ยังมองเมืองอินทร์อย่างไม่เป็นมิตรนัก

“ข้าจะอยู่ที่นี่ด้วย อ้ายสีห์ !” ธิดาของท่านยมบาลเอ่ยขึ้นหน้าตาเฉย ก่อนจะปรายตามองเมืองอินทร์ที่เล่นกับเฉาก๊วยอยู่

“ไม่ได้!” สีหราชปฏิเสธทันที สีหน้าของสีหราชดูอึดอัดใจ แต่อัคนิการ์เทวีเหมือนจะไม่ใส่ใจอะไร ใบหน้างามเชิดนิด ๆ ก่อนจะหันมองสีหราช

“ครั้งนี้ ข้าหนีออกมาจากยมโลก...ยังไงเสียเจ้าก็ต้องช่วยข้า ให้ที่พักข้า ไม่อย่างนั้น...ข้าจะไปรายงานท่านพ่อเรื่องของเจ้า”
ประโยคนั้นราวกับประกาศิตที่ทำให้สีหราชนิ่งอั้นไปครู่ใหญ่

มีเพียงเมืองอินทร์ที่มองการทุ่มเถียงของคนทั้งสองตรงหน้าอย่างงุนงง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สีหราชที่ปกติจะไม่ยอมใครง่าย ๆ แต่ครานี้ถึงกับถอนหายใจหนัก

“คิดดูดี ๆ นะอ้ายสีห์ ถ้าเจ้าให้ข้าอยู่ที่นี่ น่าจะเป็นประโยชน์กับเจ้ามากกว่า...ไม่ใช่รึ” ดวงตาหวานหรี่มองแฝงความนัย

คำพูดเปรย ๆ ปิดท้ายนั่นที่ทำให้สีหราชต้องพยักหน้าอย่างยอมจำนน

..................................................................................

ตั้งแต่อัคนิการ์เทวีมาอยู่ด้วย ทุกอย่างก็ดูอึดอัดพิกล บุตรียมบาลแสนสวยเป็นสาวแสบอย่างที่คาดไม่ถึง ถ้าบอกว่าสตรีอย่างแม่หญิงนากที่ชื่นชอบอ้ายสีห์ในวันนั้นดูเอาแต่ใจแล้ว อัคนิการ์เทวีคล้ายจะมากกว่านั้นกว่า 3-4 เท่า

...ความแสบและจิกกัดเก่งต้องยกให้กับนาง...

“ห้องนี้เหมือนจะเหม็นกลิ่นอับสักอย่าง...ข้าไม่ชินเอาเสียเลยอ้ายสีห์...” อัคนิการ์เทวีบ่นประโยคแรกเมื่อเขาสละห้องนอนให้กับเจ้าตัว สายตาที่มองยิ้ม ๆ ตรงมาที่เขาทำให้เมืองอินทร์สะอึกขณะที่สีหราชยืนนิ่ง ๆ ถอนหายใจกับท่าทีของคนตรงหน้า

“ถ้าเจ้าไม่ชอบห้องนี้ ข้าก็จะยกห้องเดิมของข้าให้เจ้า” สีหราชพูดเรียบ ๆ แล้วหันมองมาทางเมืองอินทร์

“ส่วนข้าก็จะมานอนห้องนี้กับเมืองอินทร์เอง”

ประโยคนั้นทำเอาเมืองอินทร์ตาโต

...เตียงก็เล็กขนาดนอนคนเดียว แล้วจะให้ยมทูตตัวโตอย่างสีหราชมานอนกับเขา มีหวังเขาคงต้องตกเตียงแน่ ๆ...

แต่แล้วอัคนิการ์เทวีก็หัวเราะร่วนก่อนจะมองสีหราชแล้วยิ้มมุมปาก

“...เป็นความคิดที่...เหมือนจะใจดีกับข้าจังนะ อ้ายสีห์...”

เจ้าตัวเดินช้า ๆ มาวนเวียนตรงหน้าสีหราชแล้วมองมาที่เมืองอินทร์ด้วยรอยยิ้มประหลาด

“..ข้าจะทำเรื่องโหดร้ายกับเจ้าสองคนได้ยังไงกัน นอนเบียดกันบนเตียงเล็ก ๆ ไม่ดีละมัง...”

สรุปสุดท้ายก็ลงเอยที่อัคนิการ์เทวียอมนอนห้องนอนเล็กไปคนเดียวขณะที่สีหราชลากเมืองอินทร์ไปนอนด้วยกันที่ห้องนอนใหญ่ แต่เพราะอะไรก็ไม่รู้จู่ ๆ เจ้าเฉาก๊วยกลับมีท่าทีง่องแง่งใส่กับทั้งอัคนิการ์และสีหราชอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

....เฉาก๊วย...แสนรู้เหลือเกินนะเรา...

มีเพียงเมืองอินทร์ที่ยิ้มนิด ๆ ให้เจ้าก้อนถ่านจอมแสบของเขา

ก็จะไม่แสบได้อย่างไร เมื่อสีหราชขึ้นเอนกายบนเตียง เจ้าตัวหันตะแคงข้างแล้วมองเขาก่อนจะเอามือตบลงบนเตียงเบา ๆ ด้วยท่าทีคล้ายเชิญชวน

“เตียงข้ากว้างจะตาย...เจ้าขึ้นมานอนด้วยกันเถอะ”

ไม่รู้เพราะเหตุใด ความรู้สึกคล้ายลมจะตีขึ้นในท้องจนรวนมวนไปหมด แต่ก่อนจะทันทำอะไร ก็เป็นเจ้าเฉาก๊วยที่กระโดดขึ้นมากลิ้งหมอบกระดิกหางเล่นบนเตียงเสียอย่างนั้นจนสีหราชทำตาดุใส่ แต่เฉาก๊วยน้อยก็ไม่ยอมง่าย ๆ

ก้อนถ่านกลม ๆ ปุ๊กปิ๊กของเขาคำรามแยกเขี้ยวเบา ๆ ใส่สีหราช

...ไอ้ก้อนเอ๊ยยย..ทำตาดุใส่ผิดคนเสียแล้ว เดี๋ยวก็โดนโยนออกไปจากห้องหรอก...

หางเล็ก ๆ ของเฉาก๊วยกระดิกริก ๆ ปากก็เห่าเบา ๆ อย่างไม่ยอมง่าย ๆ ทำเอาเจ้าของเตียงถอนหายใจพรูใหญ่

เมืองอินทร์ค่อย ๆ ก้าวขึ้นไปบนเตียง ลงท้ายก็เลยกลายเป็นว่าเจ้าเฉาก๊วยนอนอยู่กึ่งกลางระหว่างเขาและสีหราช แถมยังทำท่าเป็นยามเฝ้าระแวดระวังให้เสียด้วย เจ้าก้อนถ่านตัวน้อยติดเมืองอินทร์แจซุกตัวอยู่ข้างกายไม่ห่าง บางจังหวะที่เมืองอินทร์กำลังจะงีบหลับก็กลายเป็นว่าเฉาก๊วยหันไปแยกเขี้ยวจะงับแขนเสื้อของสีหราชเสียอย่างนั้น

...ทำไมจะงับแขนเสื้อนอนท่านยมทูตด้วยนะ ? ประหลาดจริงเชียวเจ้าก้อน...

เสียงขยับตัวขยุกขยิกของเจ้าของเตียงที่พยายามดุเจ้าเฉาก๊วยเบา ๆ ดูเหมือนจะไม่ได้ผลเท่าไหร่ จนเมืองอินทร์ต้องลืมตาขึ้นมอง การตื่นขึ้นมากลางดึกของเขาทำให้สีหราชชะงักกึกก่อนจะขยับตัวเบา ๆ มือหนาคล้ายจะรีบวางลงข้างกายทันทีขณะที่สายตาเหมือนจะเข่นเขี้ยวเจ้าก้อนถ่านตรงหน้า

“...มีอะไรอย่างนั้นหรืออ้ายสีห์...เฉาก๊วยมันกวนท่านหรือ...” เมืองอินทร์งัวเงียเบา ๆ

“ก็...มันดุนัก ข้าแค่ขยับนิดขยับหน่อยก็จะกัดชายเสื้อข้าซะทุกที...” เสียงเจ้าของเตียงคล้ายจะโอดเบา ๆ น้ำเสียงคล้ายงอนนิด ๆ ทำให้เมืองอินทร์เงยหน้าขึ้นมองอีกรอบ

“มันอาจไม่คุ้นกับท่าน...” เมืองอินทร์ลูบหัวเจ้าก้อนถ่านเบา ๆ อย่างปลอบใจ

“ใช่...ควรเอามันออกไปข้างนอกน่าจะดีกว่า” สีหราชเปรยเบา ๆ สายตามองตัวขัดจังหวะที่หมอบซุกแยกเขี้ยวอย่างฉุน ๆ 

“อืม...อาจจะ...น่าจะดีกว่าจริง ๆ” เป็นเมืองอินทร์ที่ขยับตัวลุกขึ้นจากเตียง ทำเอาสีหราชผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว

“นั่นเจ้า...จะไปไหนเล่า เมืองอินทร์...” สายตาคนตัวโตกว่าละห้อยโหย

“ข้าจะไปนอนโซฟาอย่างไรเล่า ก็...เฉาก๊วยมันติดข้า ถ้าเอามันไปนอนข้างนอกตัวเดียวก็น่าสงสารแย่” ว่าแล้วก็คว้าหมอนใบโตติดมือออกมาด้วย ขณะที่สีหราชรีบคว้าข้อมือผีหนุ่มไว้

“เอ่อ...ข้าว่า...ข้านอนได้...อีกไม่นานก็เช้าแล้ว” เสียงร่างตรงหน้าอุบอิบ

“อย่าเลย...วันนี้เหมือนเฉาก๊วยเป็นอะไรไปก็ไม่รู้ ข้าว่า ข้าอยู่กับมันดีกว่า ท่านนอนเถิด...อ้ายสีห์...” เมืองอินทร์ปลดมือที่เกาะกุมอยู่อย่างเบา ๆ ขณะที่เฉาก๊วยเห่ารับเบา ๆ อย่างถูกจังหวะ ทำเอาสีหราชนิ่งงันไป

...เหมือนจะมีคนหน้ามุ่ยอีกหนึ่งแถวนี้...

ความป่วนของเฉาก๊วยทำเอาคืนแรกทั้งเมืองอินทร์และสีหราชต่างไม่ได้นอนกันทั้งคู่ และตั้งแต่คืนนั้นเป็นต้นมา เมืองอินทร์ก็ต้องใช้โซฟาห้องรับแขกเป็นที่นอนใหม่พร้อมกับเจ้าเฉาก๊วยเพราะจนแล้วจนรอดเฉาก๊วยก็เอาแต่เห่าไล่สีหราชและอัคนิการ์เทวีเป็นระยะอย่างที่เขาเองก็ไม่เข้าใจ

สงสัยมันจะหวงสีหราช...เหมือนเขาละมัง

ท่าทีสนิทสนมใกล้ชิดของสีหราชและอัคนิการ์เทวีในบางคราทำให้ลมหายใจของเมืองอินทร์ติดขัดในบางครา เช่น บางทีเดินเข้ามาในห้องรับแขก จู่ ๆ สตรีงามร่างนั้นก็เอนซบไหล่ซบบ่ากว้างของสีหราชต่อหน้าต่อตาเขาเสียเฉย ๆ หรือบางครั้งหลังจากที่พวกเขาซักซ้อมเพลงดาบเสร็จ ก็เป็นอัคนิการ์เทวีที่มักจะขลุกกับสีหราชในห้องเงียบ ๆ สองต่อสอง แถมเมื่อก้าวออกมาจากห้อง อัคนิการ์เทวีก็คล้ายจะมีอาการอ่อนเพลียเล็กน้อย มือเรียวยาวสวยคล้องแขนสีหราชออกมาเหมือนจะหมดแรง

...ต่อให้พยายามไม่คิด แต่ถ้าเห็นอยู่เกือบทุกวัน...มันก็อดคิดไปไกล...ถึงไหนต่อไหนไม่ได้

แต่บางคืนที่เขาคิดไปไกลจนนอนไม่หลับ บางคืนแอร์ก็เย็นเกินไป แต่พอตื่นเช้ามักจะมีผ้าห่มผืนใหญ่คลุมบนอก...

กลิ่นหอมติดผ้าห่มบอกชัด ว่าเจ้าของผ้าคือใคร

...อ้ายสีห์...ใจดีกับเขา...แต่ยามนี้ก็ใจดีกับผู้อื่นด้วย เป็นความใจดีที่ทำให้ข้างในโหวง  ๆ พิกล

“ข้าว่าข้าชอบอ้ายสีหราช....เจ้าคิดยังไง” เสียงหวาน ๆ คล้ายยั่วเย้าอยู่ข้าง ๆ ทำเอาเมืองอินทร์สะดุ้งเกือบทำจานหลุดมือลงไปในอ่าง

“ข้า...ก็ไม่คิดอย่างไร...” เป็นเขาที่เอ่ยเบา ๆ ออกไปไม่สบสายตา

“อย่างนั้นรึ...อ้ายสีหราชทั้งดีงามและทื่อมะลื่อนัก ข้าชอบคนที่เสแสร้งไม่เป็นเยี่ยงนี้”

“อย่าว่าอ้ายสีห์อย่างนั้น เขาไม่ใช่คนทื่อมะลื่อหากเป็นคนที่ซื่อตรงต่อความรู้สึกตัวเอง ! หากท่านจะรักเขา จงรักที่หัวใจ และอย่าได้พูดเยี่ยงนั้นอีก !” เป็นเขาที่อดไม่ได้และพูดสวนออกไปทันควัน

“ดูเหมือนน้องชายเช่นเจ้า จะรู้จักพี่ชายเจ้าดีเหลือเกินนะ แต่ขอบอกไว้ก่อน บางอย่างพี่น้องก็แทนคนรักไม่ได้หรอกนะ” ประโยคนั้นกลั้วหัวเราะเบา ๆ ก่อนเจ้าตัวจะนวยนาดเดินจากไปทิ้งไว้เพียงน้ำหอมกรุ่นกำจาย จนเมืองอินทร์ต้องกัดกรามกรอดแล้วคว้าเอารีเฟรสชันเนอร์มาฉีดกลบกลิ่นนั้นอย่างหงุดหงิด

ไม่ชอบ ! ไม่ชอบสักนิด ไม่ชอบกลิ่น ไม่ชอบเสียงอะไรทั้งนั้น ! 

ประโยคสุดท้ายที่ลอยตามลมมาทำให้เมืองอินทร์กำมือแน่น

“ เจ้าน่ะ...ไม่รู้สักนิดว่าสีหราชต้องเสียสละแค่ไหนเพื่อเจ้า...เจ้าคนไร้ประโยชน์ !”

คนที่เฝ้ารอมานานกว่า 200 ปี...ไม่บอกก็รู้ว่าเป็นข้าที่ทำให้เขาต้องติดอยู่ในวงกตยมทูต...

...เป็นเขาเอง...ที่ทำให้คนตรงหน้าเป็นเช่นนี้

...เป็นเขาเอง...ที่ให้คนตรงหน้ารอ...มานานกว่า 200 ปี

ทำไมหัวใจถึงเจ็บได้ขนาดนี้นะ...
...............................................................

ออฟไลน์ ButlerofLOVE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

เมืองอินทร์เพิ่งเข้าใจภาษิตที่ว่า ‘คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก’ ก็คราวนี้เอง เมื่ออัคนิการ์เทวีอยู่กระหนุงกระหนิงกับสีหราชในวันนี้ ก็เป็นเขาเองที่ขอตัวแยกมาซื้อของเพียงลำพัง การหลบออกจากภาพที่ทำให้ใจวูบไหวอย่างน้อยก็ให้เวลาหัวใจเขาเองได้พักและคิดมากขึ้น แววตาผีหนุ่มหม่นลง ก่อนจะถอนหายใจพรู ท่าทางเดินเหม่อ ๆ ถือข้าวของเต็มสองมือก้าวออกมาจากห้างสรรพสินค้าโดยไม่ทันระวังตัว

ปุ๊ก ! โครม !

บรรดาข้าวของที่ถือในมือร่วงลงกองกับพื้นทันที เมื่อชนโครมเข้ากับผู้ชายคนหนึ่งตรงหน้า

“ขอโทษครับ..ผมเดินไม่ดูทางเอง..” เมืองอินทร์รีบขอโทษขอโพยคนตรงหน้าก่อนจะชะงักกึกเมื่อคนตรงหน้าทรุดกายลงช่วยเขาเก็บของที่ร่วงอยู่กับพื้น

“ถ้ารวมกับครั้งแรก นี่ก็เป็นครั้งที่สองแล้วนะ...ดูท่าเราจะมีวาสนาต่อกัน” ร่างสูงโปร่งตรงหน้าหัวเราะเบา ๆ กลิ่นน้ำหอมที่แปลก ๆ กับผมยาวสลวยตรงหน้าทำให้เขาเงยหน้ามองทันที

ดวงตาเรียวยาวที่อ่อนโยนมองตรงมาเจือรอยยิ้มนิด ๆ ผมยาว ๆ แบบนี้ สไตล์เสื้อผ้าและการแต่งตัวเหมือนกันคราวนั้นที่เจอ...ผู้ชายที่อยู่ตรงงานเทศกาลริมน้ำคราวก่อน...

“ถ้าเป็นครั้งแรกเราคือคนแปลกหน้าต่อกัน....แต่เมื่อเป็นครั้งที่สอง...เราไม่ใช่คนแปลกหน้ากันแล้วนะ”

สายตาอ่อนโยนมองเขาด้วยแววตาประหลาด คล้ายจะปลอบโยนระคนห่วงใย

“ ผม....วสุธาบดี แล้วคุณ ? ” น้ำเสียงเจือความอ่อนโยน

คนตรงหน้าดูคุ้นเคยอย่างประหลาด แต่เมืองอินทร์ก็แน่ใจว่าไม่เคยพบคนนี้มาก่อนถ้าไม่ใช่งานเทศกาลริมน้ำ

“เอ่อ...เมืองอินทร์ครับ...ยินดีที่ได้รู้จักและขอโทษที่ผมซุ่มซ่าม” เมืองอินทร์ก้มหน้านิด ๆ ก่อนจะคว้าข้าวของบนพื้น

“ไม่เป็นไรครับ บางครั้งการพบใครบางคนก็เป็นพรหมลิขิต ใครจะรู้...จริงไหม...” คนตรงหน้ายิ้มนิด ๆ ก่อนจะแตะถุงข้าวของที่เขาซื้อมาแล้วกวาดรวบไว้ในมือแข็งแรงอย่างรวดเร็ว

“มาเถอะ...ผมขอเลี้ยงกาแฟไถ่โทษแล้วกันนะเมืองอินทร์ มีร้านกาแฟใกล้ ๆ ตรงหัวมุมโน้น เราไปดื่มด้วยกันนะครับ” รอยยิ้มสุภาพของคนตรงหน้าทำให้ปฏิเสธไม่ออก

“คือ...ผมต้องรีบกลับ” เมืองอินทร์ลังเล

“เหรอ...น่าเสียดายนะ ผมถูกชะตาคุณ สักแก้ว....ก็ไม่ได้จริง ๆ หรือครับ” สายตาคนตรงหน้าทำให้ต้องเม้มปากและขอคิดอีกรอบ

....กลับไปตอนนี้...สองคนนั้นก็อาจจะยังคุยกันสนุก ถ้านั่งเล่นแถวนี้สักพัก...อาจจะดีก็ได้...

..............................................................................
เกือบชั่วโมงกว่าที่บทสนทนาลื่นไหลอย่างสนุกสนานกับเพื่อนใหม่แปลกหน้า ทำให้ออกจากร้านกาแฟแล้วเมืองอินทร์ยังเดินคุยกับวสุธาบดีมาเรื่อย ๆ จนถึงคอนโดมิเนียมหรูตรงหน้า แสงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว

...ไม่คิดว่าจะคุยเพลินขนาดนี้...

“ขอบคุณนะครับที่มาส่งผม” เป็นเมืองอินทร์ที่ยิ้มให้คนตรงหน้าก่อนจะเอื้อมมือรับห่อถุงของจากมือร่างสูง

“ไม่เป็นไร ยินดีที่ได้พบกันนะเมืองอินทร์” สายตาอ่อนโยนและรอยยิ้มละไมติดริมผีปากทำให้เผลอยิ้มตอบไปไม่รู้ตัว

แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อหันมาเห็นอีกคนยืนหน้าบึ้งอยู่หน้าลอบบี้คอนโดมิเนียมพร้อมกับอัคนิการ์เทวีที่ยืนรออยู่ด้วยกัน สีหราชเดินก้าวยาว ๆ ตรงมาด้วยสีหน้าบึ้งตึง ดวงตาคมคล้ายกับมีเปลวเพลิงลุกอยู่ข้างใน วิบตานั้นเหมือนดวงตาคู่นี้จะแดงจัดอย่างน่ากลัว เจ้าตัวคว้าถุงใส่ข้าวของไปถืออย่างรวดเร็วก่อนจะลากแขนเขามาใกล้

“หายไปไหนมา ! ข้ารอเจ้าอยู่นานถึงลงมารอ” น้ำเสียงหงุดหงิดของคนตรงหน้าไม่พอยังจับแขนเขาแรงกว่าที่เคย

“เจ็บนะ..อ้ายสีห์ ทำไมใจร้อนนัก”  เมืองอินทร์ครางอู้เพราะมือนั่นบีบลงมาหนัก ๆ

“ปล่อยเมืองอินทร์ก่อนเถอะ ข้าแค่พาเขาไปดื่มกาแฟเอง ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องหงุดหงิดขนาดนี้ใช่หรือเปล่า”

เพื่อนใหม่ออกหน้าให้ แต่ดูเหมือนจะยิ่งทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลงกว่าเดิมเพราะสีหราชถึงกับหันขวับไปมองคนพูดทันทีก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยวที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน

“ข้าไม่รู้จักท่าน และไม่คิดจะรู้จัก อ้ายอินทร์เป็นคนของข้า...อย่ามายุ่ง!”

อัคนิการ์เทวีที่ยืนกระวนกระวายอยู่ข้าง ๆ รีบปราดมาคว้าท่อนแขนอีกข้างของสีหราชก่อนจะกระซิบเบา ๆ บางอย่างข้างหู ท่าทีดังกล่าวทำให้เมืองอินทร์จู่ ๆ ก็รู้สึกขัดใจ จนสะบัดแขนที่ถูกสีหราชเกาะกุมอยู่ออกทันที

“ข้าแค่รู้จักเพื่อนใหม่..คงไม่ต้องรายงานท่านทุกเรื่องหรอกมั้ง...อ้ายสีห์”

ประโยคที่กลืนไว้ในใจคือ สีหราช...ยังมีเพื่อนคนสนิทได้...เขาเองก็ควรจะมีเพื่อนคนสนิทได้เช่นกัน ไม่ใช่หรือ ?

“อ้ายอินทร์ !” สีหราชตาแดงก่ำแต่ก่อนจะปราดเข้ามาคว้าแขนอีกรอบ วสุธาบดีก็เดินเข้ามาขวางไว้ก่อน

“ใช้แต่อารมณ์แบบนี้ มิน่าจึงไม่ฉลาดกับเขาเสียที”

น้ำเสียงเย็น ๆ ของคนตรงหน้าคล้ายจะเหยียดหยัน ก่อนจะหันไปหาอัคนิการ์เทวี

“ส่วนเจ้า...ก็บอกเพื่อนแล้วไม่ใช่หรือว่าข้าเป็นใคร...ถ้ายังกล้าเสียมารยาทกับข้า หรือว่าคิดจะทำอะไรเมืองอินทร์ต่อหน้าข้าละก็...พวกเจ้าจะได้รู้กันแน่...”

ประโยคนั้นทำให้เมืองอินทร์หันไปมอง “เพื่อนใหม่”ตรงหน้าอย่างงุนงง

“ขออภัยองค์นาคราช....ข้า อัคนิการ์เทวี บุตรีท่านยมบาล ผู้รักษากฎแห่งยมโลกขอคารวะ องค์วสุธาบดีนาคราช...”

อัคนิการ์เทวีค้อมกายคารวะร่างตรงหน้าทำให้เมืองอินทร์สะดุ้งโหยงก่อนจะขยับตัวออกห่าง ท่าทีนั้นทำให้ “วสุธาบดี” หัวเราะเบา ๆ

“เมื่อครู่ข้ายังไม่ทันแนะนำตัวเองไม่ครบ ข้า...วสุธาบดีนาคราช ผู้เป็นหลานของท้าววิรูปักษ์ ผู้ครองแดนปาตาล” น้ำเสียงผู้พูดคล้ายอหังการในศักดิ์แห่งตน ทำให้เมืองอินทร์งุนงงหนักกว่าเดิมอีก

บ้าไปแล้ว...นาคราช....เพื่อนใหม่ของเขาเป็นนาคราชอย่างนั้นหรือ ?!

บุรุษผมยาวร่างสูงโปร่งผิวพรรณละเอียดหันมาหาเขาอีกครั้งก่อนจะจับข้อมือข้างหนึ่งไว้แล้วยิ้มให้แล้วพูดเบา ๆ

 “ของสิ่งนี้ข้าให้เจ้าเป็นที่ระลึก เก็บไว้ให้ดีนะ มันอาจเป็นประโยชน์กับเจ้าในวันหนึ่ง...ข้าเชื่อว่าข้าจะต้องได้เจอกับเจ้าอีกครั้งแน่นอน...”

ทันทีที่มือนั้นปล่อย สัมผัสหนัก ๆ บนข้อมือบอกชัด...

กำไลข้อมือพันเป็นเกลียวด้วยวัสดุคล้ายโลหะสีเงินเนื้อนิ่มพันอยู่ที่ข้อมือข้างหนึ่งของเขา มองเผิน ๆ คล้ายกับกำไลธรรมดา แต่เมื่อเพ่งดี ๆ ถึงเห็นเป็นนาคราชสองตัวพันคู่กัน ตรงกลางระหว่างนาคราชสองตัวที่อ้าปากเป็นมณีสีแดงก่ำราวกับไฟ

พอเมืองอินทร์เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อนใหม่ก็ไม่อยู่ตรงหน้าแล้ว แม้จะวิ่งออกตามไปอาคารก็มองไม่เห็น

...เพื่อนใหม่...หายไปราวกับสายลม...

..............................................................................................
พอเขากลับเข้ามาในห้องพักอีกครั้ง ก็เห็นเพียงสีหราชคนเดียวที่ยืนพิงกำแพงรอเขาอยู่ ท่าทางนิ่งเงียบอย่างผิดวิสัยของคนตรงหน้าทำให้เมืองอินทร์ค่อย ๆ ก้าวเข้าไปหาช้า ๆ แล้วก็ต้องตกใจเมื่อมือแข็งแรงสองข้างรวบเขาเข้าไปกอดแนบอก ร่างสูงหนาก้มหน้าลงซุกลงข้างซอกคอของเขาก่อนจะโยกเบา ๆ

“ขอโทษนะ...ข้าขอโทษที่ข้าใจร้อน เจ้าเจ็บมากไหม...” เสียงอ้อนเบา ๆ ของคนตรงหน้างึมงำอยู่ข้างหู

เจ็บสิ...เจ็บใจนี่แหละ เจ็บทุกครั้งที่เห็นคนตรงหน้าอยู่กับใครอื่น

“ข้า...ขอโทษนะเมืองอินทร์...วันสองวันนี้ลำบากเจ้าหลายเรื่อง เจ้าต้องเหนื่อยดูแลอัคนิการ์ให้ข้า เจ้าโกรธข้าหรือไม่”

ร่างสูงที่งึมงำแล้วรัดเขาไว้ในอ้อมแขนก่อนจะกดจมูกลงบนเรือนผมหนาแล้วซุกเบา ๆ อย่างออดอ้อน

“ท่าน...ก็มีคนต้องดูแล ข้าจะไปโกรธท่านกับอัคนิการ์เทวีได้อย่างไร...”

แม้ว่าจะไม่โกรธแต่ความสนิทสนมของคนทั้งคู่ก็ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกยอกแสลงใจ

...นี่เขาจะรู้สึกแสลงใจอ้ายสีหราชกับอัคนิการ์เทวีไปทำไม...หากไม่มีรัก

“พูดแบบนี้ เจ้างอนข้า...ข้ารู้” คนตัวโตกว่ายังคงพูดเสียงอู้อี้ วงแขนแข็งแรงรัดเอวไว้แน่นชนิดไม่ยอมให้ผละออก

“ปล่อยข้าก่อนสิ เดี๋ยวเพื่อนท่านเปิดประตูออกมาเห็นเข้า” เมืองอินทร์ขยับกายเบา ๆ แต่ก็ไม่อาจหลุดจากการรัดแน่นของเจ้าตัว

กลิ่นหอมของอ้ายสีห์...กรุ่นอวลจนเขาใจเต้นไม่เป็นส่ำ

แม้จะพยายามทุบ แต่คนตรงหน้าก็ไม่สะเทือนสักนิด

“นางไปแล้ว อัคนิการ์เทวีกลับยมโลกไปแล้ว...” สีหราชเอ่ยเบา ๆ แต่วงแขนยังคงรัดแน่นเหมือนเดิม

“นางกำลังงอนคู่รักของนาง...เลยหนีมาอยู่ที่นี่ แล้วก็มาช่วยเหลือข้านิดหน่อย แต่เพราะมีคนอื่นมาเห็น นางเลยต้องรีบไปที่อื่น”

เอ๊ะ...คู่รัก...อัคนิการ์เทวีมีคู่รัก ?

สายตาปริบ  ๆ อย่างงง ๆ ของเมืองอินทร์ทำให้สีหราชหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ  แล้วจับจมูกน้อย ๆ อย่างมันเขี้ยว แล้วจุมพิตเบา ๆ ที่จมูก ทำให้เขาหน้าแดงก่ำ

“เจ้าตัวเล็กที่แสนวุ่นวายหัวใจข้า นี่เจ้าคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยสินะ..” สายตาคมตรงหน้าทอประกายแจ่มใส

“หน้าเจ้า และท่าทางเจ้าน่ะ...บอกชัดว่า เจ้าไม่ได้คิดกับข้าแค่พี่ชาย”

“อัคนิการ์บอกข้าแล้วว่าเจ้ากำลังหึงข้า...ชัดเจนมาก” สีหราชจ้องตาเขาพร้อมรอยยิ้ม

...วะ...ว่าอย่างไรนะ

“ฟังดี ๆ นะเมืองอินทร์ อัคนิการ์กับข้าเป็นแค่เพื่อนกันจริง ๆ นางแกล้งลองใจเจ้า แกล้งให้เจ้าหึงข้า เจ้าจะได้รู้จักหัวใจตัวเองเสียที” น้ำเสียงกลั้วหัวเราะเบา ๆ ของคนตรงหน้าทำให้เมืองอินทร์อ้าปากค้าง

สายตากรุ้มกริ่มของคนตรงหน้าและปลายจมูกโด่งที่คลอเคลียข้างแก้มทำให้เมืองอินทร์หน้าร้อนผ่าว

“อย่ามาปากแข็งว่าไม่ได้รักข้าอีก...ไม่อย่างนั้น...ละก็...” ยมทูตขี้อ้อนแกล้งขยิบตาเป็นความหมาย

“ต่อไปนี้ข้าจะอยู่กับเจ้าเท่านั้น...พอใจหรือยังหืมมม...” สีหราชดันตัวเขาออกมาและจ้องมองด้วยรอยยิ้มพราวระยับ

ไม่ให้พักกันเลยใช่ไหม หน้าข้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีดแข่งกับไฟจราจรแล้ว !

“เพื่อนรักคนหนึ่งบอกข้าว่า ข้าเองก็ควรสารภาพไปตรง ๆ ถ้าปล่อยให้นานกว่านี้...อาจมีผีน้อยหลบไปนั่งร้องไห้ขี้มูกโป่งเอาได้ แต่ไม่ยักรู้ว่าพอแกล้งเจ้า...เจ้ากลับเอาคืนข้าหนักยิ่งกว่า แค่วันนี้เห็นเจ้าเดินเคียงข้างผู้อื่น...ข้ารู้ว่า ข้าจะไม่อาจทนมองได้แม้แต่วินาทีเดียว...”

...หัวใจกำลังจะหยุดเต้น..

"ข้ายอมแพ้เจ้าแล้ว อ้ายอินทร์...ข้าแพ้เจ้าหมดหัวใจ..."

ดวงตาคมลึกของสีหราชจ้องแน่วแน่มาตรงหน้า มือข้างหนึ่งเกลี่ยสร้อยทองที่คล้องคอก่อนจะไล่ขึ้นมาประคองใบหน้าเขาไว้ แล้วกดประทับริมฝีปากลงมาแนบแน่นโดยไม่ปล่อยให้เขาได้ทันคิดอะไรเลย

หวาน...และสูบลมหายใจทุกสิ่งไปจนหมด นานจนคิดว่าชั่วกาล...จนเจ้าตัวถอนจูบช้า ๆ แล้วกระซิบข้างหู

“ข้ารักเจ้า...รักคนเดียว รักมากที่สุด และสัญญาว่าจะไม่มีใครในชีวิตนี้อีกนอกจากเจ้า”

“ข้าไม่เคยคิดกับเจ้าเป็นน้อง ข้าคิดร้ายกับเจ้า อยากลึกซึ้งกับเจ้า และข้าทนไม่ได้หากเห็นเจ้าเดินเคียงคู่ใคร”

“เมืองอินทร์...เป็นคู่รักของข้าเถิด มาเป็นหัวใจของข้า...”

“ข้ารอเจ้ามานานเกินไปแล้ว เกือบจะสองร้อยปี..มันนานมาก...จนข้าแทบตายลงตรงนี้หากเจ้าปฏิเสธข้า...”

น้ำเสียงอ่อนหวานละมุนวนเวียนอยู่ข้างหู ก่อนเจ้าตัวจะขบเม้มติ่งหูอย่างไม่อาจกลั้นอารมณ์ที่มีในใจ

ริมฝีปากร้อนไล้วนเวียนขบเม้มติ่งหูและออดอ้อนสัมผัสกลีบปากเขาเบา ๆ อย่างเคล้าคลอ ดวงตาคมจ้องตาร่างตรงหน้าอย่างเว้าวอน

“ข้าอยากกอดเจ้า อยากจูบเจ้า อยากมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเจ้าให้หายคิดถึง” ปลายนิ้วไล้ลูบผมที่ปรกวงหน้าออกอย่างเบามือ

“...จำความรู้สึกของเราไม่ได้เลยหรือ...หัวใจเจ้าเต้นรัวเหมือนข้าไหมทุกครั้งที่เราใกล้ชิดกัน”

มืออุ่น ๆ ไล้เข้ามาในเสื้อก่อนจะลากวนเวียนสัมผัสแผ่นหลัง

“หัวใจเจ้าจะเปิดรับข้า ให้โอกาสข้าบ้างได้ไหม...อ้ายอินทร์”

ให้ตายเถอะ...หัดไปออดอ้อนแบบนี้มาจากไหน

...ไหนจะสายตาเว้าวอนแบบนั้น...ใจข้า...ละลาย...เป็นน้ำตรงนี้แล้ว...

“หยุดก่อน...อ้ายสีห์...” เมืองอินทร์รีบยกมือขึ้นปิดปากคนตรงหน้าทันที

“เจ้า...”สายตาสีหราชคล้ายตัดพ้อเสียใจ มือสองข้างที่แตะเอวเขาไว้เลื่อนตกลงอย่างหมดเรี่ยวแรง

“หากเจ้าพูดอีก...ข้าคงกลายเป็นน้ำ เพราะใจข้าเหลวไปหมด ตั้งแต่คำสารภาพรักประโยคแรกของท่าน...” เมืองอินทร์ข่มความอายก่อนจะเงยหน้ามองคนตัวโตตรงหน้า

....รัก...มันคือรัก...เพราะหัวใจเขาก็เต้นรัวไม่ต่างกัน...

“ถึงข้าจะจำเรื่องราวของเราทั้งหมดไม่ได้ แต่ทุกครั้งที่เห็นท่าน ทุกครั้งที่ได้ยินเสียง...ใจข้าก็เต้นไม่เป็นจังหวะ”

“ใจข้าไม่เคยเป็นของตัวเองเลยสักครั้ง เมื่ออยู่ใกล้ท่าน...ท่านเอามันไปทั้งหมด...ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้...อ้ายสีห์...”

มือเรียวของเมืองอินทร์แตะไล้ปลายคางสากที่อยู่ตรงหน้าอย่างแผ่วเบาก่อนจะไล้ลงแตะหัวใจคนตรงหน้า

หลงใหล...ในร่างตรงหน้า ห่วงหาอาทร...เมื่อร่างนี้บาดเจ็บ...และหึงหวงแทบบ้า...เมื่อมีใครมาใกล้ชิด...

“ข้าเองก็ไม่ชอบ....ไม่ชอบให้ใครอยู่ใกล้ท่าน ไม่ชอบทุกคน...ไม่ชอบที่ท่านยิ้มให้ใคร...”

“ข้าเพิ่งรู้เช่นกันว่า ข้าเป็นผีขี้หวง หวงทุกสิ่งของท่าน...” เมืองอินทร์หน้าแดงก่ำขึ้นทีละนิด ก่อนจะเงยหน้ามองยมทูตหนุ่มที่ยืนตะลึงอยู่

“ถึงสมองข้ายังจดจำเรื่องราวของเราไม่ได้หมด แต่หัวใจข้า..คล้ายจะจำได้ จำได้จากตรงนี้...” มือเรียวยกขึ้นแตะแผ่นอกตัวเองและเลื่อนมาแตะอกของคนตรงหน้า

จังหวะหัวใจ...ประสานเป็นหนึ่งเดียว

“ท่านจะช่วยข้า...ทำให้ข้าจำมันได้...ได้หรือไม่...”

กำแพงหัวใจ...ทลายลงจนหมด

เสื้อเชิ้ตตัวบาง...ถูกเจ้าของปลดลงอย่างช้า ๆ ผิวกายขาวละเอียดล้อแสงไฟของห้อง แววตากึ่งลังเลกึ่งขัดเขิน ใบหน้านั้นแดงเรื่อราวผลตำลึงสุก

ยามนี้ความปรารถนาและความรู้สึกลึกซึ้งที่กำลังวิ่งพล่านอยู่กลางอกเอาชนะทุกสิ่ง

ไม่เคยโหยหา...ความอบอุ่นจากใครเท่าร่างตรงหน้า...

ไม่เคยใจเต้นรัว....กับใครเมื่ออยู่ชิดใกล้เหมือนคนผู้นี้

ไม่เคยปวดหนึบ...กลางหัวใจเมื่อเขาไม่มอง

หากหัวใจคนตรงหน้าคือปริศนาลึกลับที่ไม่มีใครค้นหา...เขาก็พร้อมกระโดดลงไปหุบเหวตรงหน้าด้วยความเต็มใจ

ตาย...ก็ยอมรับ...รอด...ก็ยอมรับ...

ขอเพียงได้รัก..สักครั้ง

แววตาของผีที่พยายามจะใจกล้า...ดูสุกสกาวแวววาวสวยงามกว่าดาราดวงใด

...ราวกับอยู่ในห้วงความฝันที่ไม่ปรารถนาจะตื่น...

สีหราชที่ตะลึงงันไปครู่ใหญ่พลันรวบเอวเล็ก ๆ ที่เปลือยท่อนบนมาแนบกาย เสียงยมทูตหนุ่มราวกับเพ้อละเมอจากดินแดนแสนไกล มือหนาเชยคางนุ่ม ๆ ขึ้นก่อนจะกดประทับจูบลงอย่างเร่าร้อนราวกับหิวกระหายในสัมผัส ราวกับนักเดินทางในทะเลทรายที่มาเจอโอเอซิสที่เย็นฉ่ำ

จูบ...ไม่พออีกแล้วยามนี้....เขาต้องการมากกว่านั้น...ยิ่งกว่านั้น....

...เนิ่นนาน บดเบียด...จนแทบหลอมละลาย สีหราชถอนจูบช้า ๆ ก่อนจะจ้องตาร่างที่หน้าแดงก่ำในอ้อมแขน

“ได้สิ...อ้ายอินทร์ เรามาพยายามด้วยกัน ข้าจะทำให้เจ้าจำได้...ด้วยตัวตนทั้งหมดของข้า...”

จากนั้น...ร่างนุ่มก็ถูกช้อนขึ้นในอ้อมแขน ริมฝีปากนุ่มถูกระรานไม่รู้จบ และสุดท้ายมีเพียงสัมผัสที่อ่อนนุ่มของเตียงที่เมืองอินทร์รู้สึกได้ ก่อนที่น้ำหนักกดทับจากร่างตรงหน้าจะแนบสนิทลงมา พายุใด ๆ หรือความร้อนระอุของลาวาที่ไหนก็ไม่อาจเทียบได้กับความปรารถนาของร่างตรงหน้า

“ข้าจะถนอมเจ้า...ถนอมทุกเวลาของเราไว้”

“...ข้ารักเจ้า...เมืองอินทร์ ทั้งหัวใจ...”

ริมฝีปากร้อนไล้สำรวจไปทุกส่วนของร่างกาย ไฟร้อนที่ทำให้ห้องนอนที่เย็นฉ่ำกลายเป็นทะเลแห่งความหวาน มือเรียวของเมืองอินทร์กำขยำผ้าปูที่นอนไว้แน่น ก่อนจะถูกคนตรงหน้ารุกรานในทุกพื้นที่

ในทุกสัมผัส...เสียงหอบสั่นพร่าของร่างที่ต้องการแสดงความเป็นเจ้าของ เสียงคำรามเบา ๆ ในลำคอของร่างที่ขยับตัวขึ้นลง ริมฝีปากของยมทูตหนุ่มทำหน้าที่ขยันขันแข็งเต็มอกเต็มใจ สิ่งเดียวที่เมืองอินทร์ทำได้ตอนนี้มีเพียงส่งเสียงครางแผ่ว ๆ และดังขึ้นเรื่อย ๆ ตามอุณหภูมิร้อนแรงของคนตรงหน้า เขาได้แต่ปล่อยให้ทุกอย่างอยู่ในการชักนำของคนที่เขามอบหัวใจไปหมดแล้ว...
ราตรีคงยาวนาน...และอาจสลบไสล...

.............................


ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
เค้าบอกรักกันล้าววว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ติดตามจ้า :L2:

ออฟไลน์ ButlerofLOVE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
CHAPTER
27





เช้าแล้ว....มือหนาของสีหราชควานไปรอบ ๆ ตัวก่อนจะลืมตาตื่นอย่างตกใจเมื่อไม่พบร่างเล็ก ๆ ที่สัมพันธ์ลึกซึ้งเร่าร้อนเมื่อคืน ผ้าห่มหนาถูกพลิกตลบไว้บนเตียง มีเพียงเสียงน้ำที่ดังมาจากห้องน้ำใหญ่ ทำให้ยมทูตเจ้าเล่ห์ยิ้มกริ่มก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นแล้วอมยิ้มนิด  ๆ

...เหมือนความฝัน...ที่รอคอยมากว่า 200 ปี ...กลิ่นกายหอมของเจ้าตัวเล็กและกลิ่นกระแจะจันทร์ที่ทำให้เขาหลงวนในความหอมหวานทั้งคืน...กี่ครั้ง...เขาไม่ได้นับเลย รู้แต่เขาสะกดคำว่าสุขสมได้เป็นล้านครั้ง ทุกครั้งที่แนบชิด...เขาแทบลืมตาย...

“อุ๊บ !” เสียงอุทานในห้องน้ำทำให้สีหราชสะดุ้งเฮือกและยันตัวเองขึ้นทันที

“อ้ายอินทร์ ! เป็นอะไรหรือเปล่า?” เขาตะโกนขึ้นมาแต่ไม่มีเสียงตอบจากร่างในห้องน้ำ ทำให้เจ้าตัวว้าวุ่นก่อนจะทันคิดอะไรถี่ถ้วนก็พาตัวเองหายตัววูบเดียวไปปรากฎในห้องน้ำทันที

“เฮ้ย !” เสียงอุทานของเมืองอินทร์บอกชัดว่าเจ้าตัวตกใจและขัดเขินแค่ไหน ร่างเปลือยขาวโพลนของเจ้าตัวเล็กเต็มไปด้วยร่องรอยคิสมาร์กทั้งตัว ผิวเนื้อขาว ๆ กลายเป็นสีชมพูอ่อนเต็มไปหมด สบู่ก้อนและก็ขวดแชมพูปลิวว่อนเข้าหัวของยมทูตหนุ่มชนิดที่ไม่ต้องมองก็รู้ว่าหัวโน !

“โอ๊ย! อ้ายอินทร์ เขวี้ยงมาทำไมเล่า ! ข้าเจ็บนะ !” สีหราชโวยลั่นก่อนจะก้มหลบขวดต่าง ๆ ในห้องน้ำที่ปลิวว่อน

“เข้ามาทำไม ! อ้ายสีห์บ้า !” คนตรงหน้าหน้าแดงก่ำ ไม่รู้ว่าเพราะโกรธหรือเพราะอายกันแน่

“ก็ข้า...ได้ยินเสียงเจ้าร้อง...ข้าก็ห่วงนะสิ” เจ้าตัวโอดครวญ

“แล้ว...ท่านเข้ามาทั้งที่โป๊เนี่ยนะ !” เมืองอินทร์ยังคงโวยไม่เลิก ทำให้เขาหลุดหัวเราะออกมา

“เมื่อคืน...เจ้าน่าจะคุ้นกับ...ข้าแล้วนะ หลายครั้งขนาดนั้น” น้ำเสียงกรุ้มกริ่มทำให้คนที่โดนรังแกทั้งคืนหน้าแดงก่ำอีกรอบ

“เจ้าคุ้น...แต่ข้าไม่คุ้น ! ออกไปนะ ข้าจะอาบน้ำ” เมืองอินทร์พูดได้นิดเดียวก็เข่าอ่อนยวบ ดีที่ตรงใกล้ ๆ เป็นขอบอ่างอาบน้ำ

“นั่นไง...เจ้ายืนไม่ไหวหรอกน่า...ข้าอาบให้เจ้าดีกว่าไหม...” สีหราชปราดเข้ามาใกล้ชิดแล้วดึงรั้งคนที่กำลังซวนเซลงมานั่งบนตัก

“เถอะน่า...ให้ข้าชดใช้ให้ที่ทำให้เจ้า...หมดเรี่ยวหมดแรง..นะ...”

เสียงกระซิบเบา ๆ อย่างออดอ้อนที่ดังขึ้นข้างหูทำให้เมืองอินทร์หน้าแดงก่ำ

ลมหายใจอุ่นผะผ่าวและแผ่นอกกว้างแนบชิดด้านหลัง แต่มือหนาที่ประคองสะโพกมันอยู่ไม่ได้ดูจะ “ชดใช้” เอาซะเลย แต่กลับคล้ายจะ “เบิกถอน” พลังงานที่เหลือน้อยนิดให้กลายเป็นศูนย์ไปซะมากกว่า !

ปลายนิ้วของยมทูตหนุ่มไล้จากแนวกระดูกไหปลาร้าลงมาเรื่อย ๆ จนขนลุกเกรียวไปทั้งตัว มืออีกข้างยังแกล้งไล้วนเวียนที่ลากขึ้นลงเบา ๆ และยังรู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่เริ่มขยายตัวอยู่ด้านล่าง ลมหายใจที่เป่ารดและคลอเคลียอยู่ด้านหลังทำให้แทบละลาย

...มีวี่แววว่าจะเปลืองตัวอีกรอบแน่ ๆ เนื้อตัวแนบชิดแบบนี้...

“ถ้าจะช่วย...ก็เลิกทำมือซุกซนเสียที...ไม่อย่างนั้น อย่าหวังว่าข้าจะยอมให้เจ้ากอดข้าอีกเป็นครั้งที่สอง”

“ดุจริง...เมื่อคืนยังไม่เห็นดุขนาดนี้เลย” เสียงกระซิบด้านหลังทำให้เมืองอินทร์หน้าแดงก่ำอีกรอบ

“เมื่อคืน...มีแต่เสียงคราง...เบาบ้าง...ดังบ้าง...” น้ำเสียงล้อเลียนวนเวียนอยู่ที่ติ่งหู

“ไปเลย ! ข้าไม่เอาแล้ว ข้าจะอาบเอง !” เขาผลักคนที่กอดอยู่แต่ทำให้วงแขนกระชับแน่นขึ้น

“อ่ะ...ข้าไม่ล้อแล้ว อยากให้สะอาดแบบไหน สั่งมาเลยเจ้านาย ทาสพร้อมบริการ” เสียงกลั้วหัวเราะของสีหราชดังขึ้นจากด้านหลัง

“ก็...สะอาดทุกซอกทุกมุมนั่นแหล่ะ...” เขาตอบเสียงสะบัด ๆ

“ขอรับ...นายท่าน” น้ำเสียงหัวเราะเบา ๆ ของสีหราชทำให้ขัดเขินนิด ๆ 

เท่านี้เอง....ก็หมดเรื่อง คนด้านหลังรีบอาบน้ำล้างตัวให้ “นายท่าน” อย่างรวดเร็ว

...ก็ดูว่าง่ายอยู่เหมือนกันนะ...เมืองอินทร์ลอบขำในใจ แต่แล้วก็ต้องตัวชาดิกเมื่ออาบน้ำเรียบร้อยแล้ว คนสูงกว่ากลับอุ้มเขาลอยขึ้นแล้ววางลงบนขอบอ่างอาบน้ำอีกครั้ง ก่อนจะยกมือขึ้นเกาปลายคางตัวเองอย่างคิดๆ ดวงตาเจ้าเล่ห์นั่นคล้ายนึกอะไรอยู่ทำให้
เมืองอินทร์งง แต่แล้วก็ตาโตเมื่อร่างสูงตรงหน้าย่อกายลงแล้วมองกึ่งกลางร่างกายเขาอย่างมีเลศนัย

“ทะ...จะทำอะไร...อ้ายสีห์” สายตานั่นไม่น่าไว้วางใจเลยสักนิด

“ก็เจ้าบอกให้ข้าอาบน้ำให้ไม่ใช่หรือ...ข้ายังคิดว่ามีบางส่วนที่ยังไม่สะอาด...ต้องล้างอีกหน่อย...”

บ้าสิ...ก็..ดูสะอาดดีแล้ว...สบู่ก็หมดแล้ว ยังจะล้างอะไรอีก... ?

สังหรณ์วูบเข้ามาในหัว แต่ก่อนจะทันขยับตัวหนี ความอุ่นร้อนจัดของริมฝีปากก็ฉกวูบตรงท้องน้อยก่อนจะไล้ลงต่ำ

“อ๊ะ...ปะ...ปล่อยข้า อ้ายสีห์...อย่า...”

เขาได้แต่ครางฮือ...มือสองข้างถูกคนสูงกว่าตรึงไว้แนบผนังห้องน้ำอย่างนั้น ไม่อาจดิ้นหลุดจากแขนที่แข็งแรงและท่อนขาที่ตรึงไว้แนบชิด มีเพียงเสียงงึมงำอู้อี้จากคนที่กลืนกินเขาอยู่

“ยังมีความรัก...ของข้ากับเจ้าอยู่ตรงนี้....” ยมทูตหนุ่มตรงหน้าโมเมมั่วซั่วตีมึนเสียอย่างนั้น

“แต่ไม่ต้องห่วง ข้าจะ...ตั้งใจล้าง...อย่างดี” ก่อนเจ้าตัวจะกระถดกายยันร่างขึ้นกระซิบข้างหูเขา แววตาพริบพราวเหมือนสุมด้วยไฟเสน่หา  ก่อนจะก้มลงไปอีกครั้ง สัมผัสวาบหวามอุ่นจัดจากโพรงปากร้อนทำให้ร่างกายไม่รักดีเผลอตอบสนองต่อความต้องการตามธรรมชาติ คนตรงหน้าปล่อยมือที่จับตรึงไว้ ทำให้เขารีบขยุ้มศีรษะคนซุกซนหมายจะดึงให้ออกจากจุดอันตราย แต่กลับกลายเป็นมือไม้อ่อนปวกเปียกกับการหยอกเย้าอย่างชำนาญจากคนตรงหน้า

“มะ...ไม่ต้องแล้ว...อา...อ้ายสีห์...อย่าทำอย่างนี้...ปล่อยข้า...”

มือไม้อ่อนเปลี้ยหมดเรี่ยวแรง ได้แต่ลูบผนังห้องน้ำที่เย็นฉ่ำอย่างไร้แรงต้าน มือของสีหราชค่อย ๆ ช้อนร่างเขาจากด้านหลังยกให้สะโพกลอยเด่น รอยยิ้มเจ้าเล่ห์อยู่มุมปากจอมวางแผน

“เจ้านี่...ยังไงกันน้า ไม่ต้องเกรงใจข้าหรอก....ข้าสัญญาแล้วยังไงว่าจะทำให้เจ้าสะอาดไปทุกส่วนอย่างไรเล่า” เสียงคนตรงหน้ายังคงงึมงำ แต่ปากและมือทำงานอย่างเต็มที่...

“อ๊ะ...ไม่เอาตรงนั้น...อ้ายสีห์...อะ..อ้ายสีห์...”

เสียงน้ำในอ่างกระเพื่อมดังจ๋อมแจ๋ม แต่เหมือนจะดังขึ้นตามน้ำหนักที่กดทาบทับลงมา เขาได้แต่ถอนหายใจพรูอย่างจนปัญญาจะต้านยมทูตหนุ่มที่กลายร่างเป็นยมทูตจอมหื่นไปแล้ว

.... ทำแบบนี้แล้วเช้านี้ จะมีใครได้ออกจากห้องน้ำไหม..

........................................................

“ทำไมต้องโกรธข้าขนาดนี้ด้วยนะ อ้ายอินทร์” เสียงคนโวยวายบ่นไม่จบมาชั่วโมงหนึ่งแล้ว สภาพยมทูตหนุ่มเปียกปอนเพราะรบกับเจ้าเฉาก๊วยที่ดิ้นรนไม่ยอมให้อาบน้ำได้ง่าย ๆ มือหนาเสยผมที่เปียกชื้นเหงื่อขึ้นก่อนจะสะบัดเบา ๆ สายตาค้อนส่งมองมาที่เขา

หึ! เท่านี้ยังน้อยไปนะ แค่ให้กวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างห้องน้ำ เก็บครัว ทำอาหาร และปิดท้ายด้วยการอาบน้ำให้เฉาก๊วย

“ก็เจ้าทำข้าเวียนหัวนี่ ทั้งเวียนหัวทั้งหมดแรงขนาดนี้...” เมืองอินทร์โวยค้อน

ตั้งแต่เมื่อคืน...สัมผัสที่วาบหวามและลึกซึ้งคล้ายจะทำให้บางอย่างในร่างกายผิดปกติไป...คล้ายจะเวียนหัวและเหมือนมีไอร้อนประหลาดเกิดขึ้นในร่างกาย

ไอร้อนที่ทำให้เขารู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว...คล้ายมีเสียงบางอย่างก้องในหัว เป็นเสียงที่ทรงอำนาจประหลาด

แต่...เขาอาจเพลียและคิดไปเองก็ได้ ขืนบอกสีหราช มีหวังโดนหัวเราะขำอีกแน่ อาจโดนล้อว่าคงเป็นเพราะ “ครั้งแรก”และโดนจัดเต็มเสียขนาดนั้น เลยทำให้เพลียก็ได้

ต้องโทษยมทูตตัวการ...ที่ทำให้เขาแทบละลายและเกือบตายคาเตียง

“เจ้าห้ามใช้คาถาด้วย...ทำเองด้วยมือ ทั้งหมดเลย” เสียงสั่งการห้วน ๆ และใบหน้างอง้ำของเมืองอินทร์ดังขึ้น

สีหราชหน้ามุ่ยจัดก่อนจะคว้าถังน้ำและทุกอย่างตรงหน้าเดินดุ่ม ๆ เข้าไปในห้องน้ำหลังจากที่ถูบ้านทุกอย่างจนหมดเรียบร้อย เมืองอินทร์ย่นจมูกนิด ๆ คล้ายหมั่นไส้คนตรงหน้า

ยังมีอะไรที่สั่งได้อีกไหมนะ...ชักอยากเล่นงานคนตรงหน้าต่อจริง ๆ

“เจ้าแกล้งข้านี่นา ทำไมต้องแกล้งให้ข้าทำงานบ้านด้วยเล่า” ยมทูตหนุ่มโวยวายเสียงกระปอดกระแปด

“ก็...ใครใช้ให้ท่านทำข้าหมดแรงล่ะ อุตส่าห์บอกแล้วว่า ไม่ บอกแล้วว่าอย่า...ท่านฟังหรือเปล่าล่ะ”

ไอ้การมาราธอนเมื่อคืน...ก็เรื่องหนึ่งแล้ว ในห้องน้ำ...และลามปามมาถึงเคาน์เตอร์ครัว จน...ไม่เหลือเรี่ยวแรง

ไม่รู้มาก่อนว่าสีหราชจะหื่นจัดขนาดนี้ ถ้าอยากได้นักก็จับข้าปั้นเป็นก้อนกลม ๆ แล้วกลืนลงท้องไปเลยดีไหม !

“โธ่...เรื่องแบบนี้เหนื่อยกันทั้งคู่นะแหละ ใครว่าเจ้าเหนื่อยคนเดียวเล่า” ยมทูตหื่นพูดหน้าตาเฉย สายตานั่นทำให้เขาหน้าแดงก่ำ

“ท่าน!”

“ข้าน่ะทั้งเดินทำรักกับเจ้าไปทั่วห้อง ทั้งยังต้องอุ้มเจ้าอีก จะว่าไปแขนข้าก็ล้าไปหมดแล้ว แล้วใครกันที่สูบแรงข้าไปจนหมด แล้ว...ถ้าเจ้าร้องห้ามเสียงหนักแน่นสักหน่อย ข้าก็ไม่รังแกเจ้าต่อเนื่องขนาดนี้หรอกน่า” สายตากรุ้มกริ่มและร่างกายสูงใหญ่ที่ก้าวมาคลอเคลียใกล้ ๆ ทำเมืองอินทร์หน้าแดงก่ำ

“ท่าน ! ยังกล้าพูดอีกเหรอ !” เป็นเขาที่หน้าแดงมากขึ้นเรื่อย ๆ

“ไม่รู้แล้ว ข้าก็ปวดเอวไปหมดแล้ว วันนี้เราพักกันเลยดีไหม...ข้าหิว...” พูดไม่พูดเปล่าเจ้าตัวทำหน้าตาเฉยแล้วแล้วปราดมากอดแล้วซบหน้ากับซอกไหล่อย่างออดอ้อน ดวงตาออดอ้อนเหมือนหมาตัวโตที่คลอเคลียไม่ห่าง

“ข้าหิว...หาอะไรให้ข้ากิน หาอะไร ๆ ป้อนข้าได้ไหม...เจ้าตัวเล็ก...” ลมหายใจร้อน ๆ กระซิบข้างหู

...ทำไมท่าทางหิวของคนตรงหน้า...กลับหยอกเย้าแฝงความหมายวาบหวามที่ทำให้หน้าร้อนผ่าว

ยมทูตตัวร้ายนี่หัดทำสายตาออดอ้อนเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ! ท่าทางนั้นทำให้ตัดใจผลักร่างสูง ๆ ออกไปไม่ได้ กลิ่นเหงื่อจาง ๆ ของร่างข้าง ๆ ทำให้เผลอหน้าแดงอีกรอบเมื่อหัวนึกไปถึงภาพวาบหวามในห้องน้ำเมื่อเช้า และยัง...ต่อเนื่องที่เคาน์เตอร์ครัวตอนสาย

“อย่าใจร้ายกับข้านักได้ไหม อ้ายอินทร์...ข้ายอมเจ้าหมดทุกอย่างแล้วนะ...” เสียงอ้อน ๆ ของยมทูตหนุ่มชนิดที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน คางเกยกับไหล่นุ่ม ๆ ของเขาอยู่ตรงนี้

ทันใดนั้นเปลวเพลิงสีแดงปนดำพลันปรากฏขึ้นกลางอากาศ ภาพดังกล่าวทำให้สีหราชขมวดคิ้วก่อนจะผุดลุกขึ้นทันทีแล้วเอื้อมมือเข้าไปกลางเปลวเพลิงนั้น ม้วนสารสีดำสนิทลอยอยู่กลางเปลวเพลิง สีหน้าเคร่งขรึมของเจ้าตัวกลับคืนมาทำให้เมืองอินทร์ผุดลุกตามขึ้นบ้าง

“วันก่อนข้าขอร้องให้อัคนิการ์เทวีช่วยตามหาเบาะแสป้ายผ่านทางยมโลกให้ข้า...”

ม้วนสารสีดำสนิทคลี่ออกกลางอากาศ อักษรบาลีที่เขาอ่านไม่ออกปรากฏวูบเดียวแล้วจางไป สีหราชนิ่งครู่หนึ่งก่อนจะหันมาหาเมืองอินทร์

“เฮ้อ...หมดเวลาอ้อนเจ้าเสียแล้วเมืองอินทร์ วิญญาณร้ายออกอาละวาด...”
....................................................................




ออฟไลน์ ButlerofLOVE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
สารจากอัคนิการ์เทวีบอกไว้ว่า มียมทูตบางตนพบเรื่องประหลาดและคาดว่าเป็นเพราะวิญญาณร้าย สีหราชและเมืองอินทร์จึงตัดสินใจมาที่นี่ และทั้งคู่ก็ต้องชะงักเมื่อไม่คิดว่าสถานที่ดังกล่าวจะเป็นหมู่บ้านของสำนักดาบเมื่อเกือบสองร้อยปีก่อน ใบไม้ที่พรูร่วงลงริมสองข้างทางของถนนลาดยางทำให้เมืองอินทร์หวนย้อนไปถึงเรื่องราวแต่หนหลัง ไม่คิดว่าเวลาผ่านไปเกือบสองร้อยปี หมู่บ้านที่เขาและอ้ายสีห์เคยใช้ชีวิตกลับเปลี่ยนแปลงไปมากถึงเพียงนี้ หากไม่ได้แนวขอบของซากวัดโบราณแห่งนั้นเป็นแนวไว้ ต่อให้มาอีกกี่ครั้งเขาก็คงไม่มีวันตามหาหมู่บ้านเดิมที่เคยใช้ชีวิตในวันนั้นได้พบเป็นแน่

หลักฐานการมีเมืองเก่าซ้อนทับอยู่กับชุมชนใหม่ในยุคปัจจุบันอย่างแยกกันไม่ออกทีเดียว แต่ก็ดีที่ยังพบ เพราะมีเหล่านักโบราณคดีมาขุดพบแล้วพบกับแนวขอบขันธสีมาเก่าในบริเวณนี้ ซากปรักหักพังของเจดีย์เถาวัลย์ที่ขึ้นจนรกทึบแทบมองอะไรไม่เห็น แต่เหล่านักวิชาการก็ยังระดมกำลังขึงกั้นเชือกเป็นแนวแหล่งพื้นที่อนุรักษ์และรอการขุดค้นอย่างเป็นทางการ แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เกิดแหล่งค้าขายขนาดย่อม ๆ โดยใช้ชื่อ “เขตเมืองเก่าบ้านดาบหลวง” ปัจจุบันมีแม่ค้าพ่อค้ามาออกร้านกันทุกวันเสาร์อาทิตย์ บริเวณที่ดินชายน้ำเดิมที่เมืองอินทร์และสีหราชเคยเดินและลอยโคมร่วมกันก็ค่อย ๆ ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ และบางส่วนของเมืองเก่าเต็มไปด้วยต้นไม้ที่ขึ้นจนแน่นขนัด ผู้คนชาวบ้านที่มาเดินเที่ยวซื้อสินค้าและผักต่าง ๆ ค่อย ๆ บางตาลงไปทีละน้อยตาม แสงอาทิตย์ยามบ่ายที่ค่อย ๆ คล้อยลงทีละนิด

“เป็นอะไรไปอ้ายอินทร์...คิดถึง..หรือ” เสียงอ้ายสีห์ดังขึ้นพร้อมกับเหลียวมองเขาแล้วยิ้มนิด ๆ

“ก็...มีบ้าง...บ้าน...เปลี่ยนไปมากทีเดียว” เขาเปรยขึ้นเบา ๆ ขณะที่สายตายังคงมองร้านค้าจำลองต่าง ๆ ที่เลียนแบบความเป็นเมืองเก่าอย่างขัน ๆ 

เมืองเก่า...บ้านดาบหลวง ในยามนั้นไม่ได้ทันสมัยเช่นนี้ เสื้อผ้าที่เหล่าแม่ค้าพ่อค้าใช้ก็ไม่ใช่เสื้อผ้ายุครัตนโกสินทร์ตอนปลาย อดรู้สึกแปลก ๆ ไม่ได้เหมือนเวลาเห็นของรักในความทรงจำถูกสร้างเลียนแบบขึ้น ในใจก็อดรู้สึกตะขิดตะขวงปนขัดใจไม่ได้ แต่ครั้งจะเอ่ยออกไปก็อาจทำให้เรื่องราวยิ่งจะทำให้วุ่นวายหนักไปกว่าเดิม เพราะเขาไม่ได้มีชื่อในฐานะนักโบราณคดีหรือนักประวัติศาสตร์

พูดไป...จะมีใครเชื่อว่า เขารู้จักสถานที่ตรงหน้าเป็นอย่างดี...

ถ้าดึงบรรดาข้าวของที่อยู่ผิดยุคสมัยออกไป เหลือเพียงลำน้ำตรงหน้าและบริเวณลานโล่ง เขายังเห็นต้นยางนาเก่าแก่ที่ยืนต้นอยู่ที่เดิม ในอดีตมันไม่ได้ใหญ่โตขนาดนี้ แต่เวลาเกือบ 200 ปี ทำให้ต้นยางนาต้นเล็กกลายเป็นต้นขนาด 4 คนโอบ เท่านี้เขาก็รู้สึกว่าได้เจอ “เพื่อนเก่า” เสียแล้ว มือเรียวเอื้อมไปแตะสัมผัสลำต้น...อย่างคิดถึง...

สีหราชมองมาทางนี้ก่อนจะยิ้มนิด ๆ

“เวลาผ่านไปเร็วนัก...จริงไหมอ้ายอินทร์” สายตาอ่อนโยนและมือที่เอื้อมมากุมมือเบา ๆ คล้ายจะส่งความรู้สึกทั้งมวลให้มัน

...ต่อให้อะไรหายไปตรงหน้า...ขอเพียงอ้ายสีห์ยังคงอยู่กับมัน...เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

“เราไปกันเถิด...หมู่บ้านอยู่ข้างหน้านั่น”

ประโยคนั้นทำให้ต้องจำใจละมือจากต้นยางนาต้นเดิมและก้าวตามอ้ายสีห์ไปอย่างเงียบ ๆ

เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจของผู้คนที่เฮละโลขนข้าวของวางกองเป็นถุง ๆ อยู่หน้าบ้านใครบ้านมัน เอะอะเอ็ดตะโรวุ่นกับผู้ใหญ่บ้านทำให้เขาและอ้ายสีห์ที่เดินก้าวเข้าไปฟังด้วยต้องหยุดชะงัก

“เกิดอะไรขึ้นหรือครับคุณป้า” เมืองอินทร์ที่ทำทีเข้าไปสอบถามหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งที่ยืนส่ายหน้าอยู่ใกล้ ๆ ร่างนั้นหันมาพร้อมกับถามเบา ๆ

“อ้าว...ไอ้หนู ไม่ใช่คนบ้านนี้นี่นา มาทำอะไรที่นี่กัน เขากำลังวุ่นวายกันทีเดียว”

“เอ่อ...พวกผมสองคนจะมาถ่ายรูปแนวเมืองเก่านะครับไปทำรายงานส่งครู แต่รถสองแถวหมดเสียก่อนคงกลับไม่ได้ เลยเดินตรงมาที่นี่อยากจะขออาศัยค้างบ้านผู้ใหญ่บ้านหรือค้างวัดสักคืนนะครับ...” เมืองอินทร์เอ่ยเบา ๆ

“เฮ้อ...มาไม่ถูกจังหวะเลยนะไอ้หนู ป้าน่ะไม่อยากให้ค้างเลย ตอนนี้มีแต่คนอยากออกไปนอกหมู่บ้านกันทั้งนั้น”

“อ้าว...เกิดอะไรขึ้นหรือครับป้า”

สีหน้าสตรีวัยกลางคนเหมือนจะไม่อยากเล่า คล้ายอัดอั้นใจแต่เมื่อเมืองอินทร์สบตาอย่างขอร้อง เท่านั้นเรื่องราวก็หลุดพรั่งพรูออกมาราวกับสายน้ำ

“ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น สองสัปดาห์ก่อนผู้คนที่นี่จู่ ๆ ก็เริ่มป่วยกระเสาะกระแสะ บ้างก็ไข้ บ้างก็ท้องเสีย อ่อนเพลีย เดินไม่ใคร่ไหว ถ้าเป็นแค่บ้านเดียวหรือไม่กี่คนก็อาจจะเดาว่าอาหารเป็นพิษ แต่ทีนี้ดันเป็นกันเกือบทุกหลังเลย คนเฒ่าคนแก่ก็เป็น จะเด็กจะทำงานก็เป็นกันหมด แล้วก็หนักขึ้นเรื่อย ๆ ถึงขนาดว่าเป็ดไก่และวัวควายที่เลี้ยงไว้ก็เริ่มล้มตายไปด้วย สัปดาห์ที่แล้วเริ่มมีคนนอนหลับแล้วตายไปเลย 4-5 คนแล้ว นี่ก็ลือกันให้แซ่ดว่าผีแม่หม้ายจะมาเอาชีวิต บางคนก็ไปตายที่โรงพยาบาล และที่ตาย ๆ นี่เป็นแต่คนที่แข็งแรงกันทั้งนั้น”

ประโยคนั้นทำให้สีหราชและเมืองอินทร์มองหน้ากัน

“พ่อหนุ่มสองคน รีบออกจากหมู่บ้านเถอะ ถ้าเร็วก่อนพระอาทิตย์ตกดินได้ก็ดี ป้าละเป็นห่วง” สตรีวัยกลางคนทักแล้วรีบเดินจากไป

ไม่ผิดแน่...ป้ายทองคำกำลังดูดซับพลังวิญญาณของมนุษย์อยู่ วิญญาณร้ายที่ต้องการอำนาจกำลังใช้ที่นี่เป็นแหล่งสะสม
พลังงานด้านลบ และที่สำคัญมันจงใจเลือกหมู่บ้านดาบหลวงเป็นเป้าหมายด้วย

เมืองอินทร์ลอบหันมองสีหราช มีเพียงมือหนาที่กุมกระชับมือมันแน่นขึ้นกว่าเดิม

“เรารีบไปกันเถอะอ้ายอินทร์ มีที่หนึ่งที่ข้าต้องไปตรวจสอบ” สีหราชเอ่ยเบา ๆ

“ข้าเกรงว่าจะมีคนไปยุ่งกับเหล่าโครงกระดูกของวิญญาณร้าย”

ยมทูตหนุ่มเร่งตรงไปมุมชายป่าใกล้เขตแนวอนุรักษ์ของหมู่บ้านดาบหลวง ยามตะวันโพล้เพล้ย้อมผืนดินตรงหน้าให้กลายเป็นสีแดงอมส้ม โบราณเรียกแดดเช่นนี้ว่า ผีตากผ้าอ้อม....

แล้วที่ยมทูตหนุ่มกังวลก็เป็นจริง เมื่อพบว่าบริเวณที่เคยเป็นจุดฝังโครงกระดูกของเหล่ากบฏละครนอกในครานั้นกลับถูกนักโบราณคดีขุดไปเรียบร้อย สีหราชกัดฟันแน่นขณะที่เมืองอินทร์แตะท่อนแขนนั้นเบา ๆ

“อาคมที่ข้าร่ายเอาไว้ครานั้นถูกปลดออกเสียแล้ว” ความกังวลปรากฏชัด

จำนวนกบฏละครนอกอีกทั้งเหล่าโครงกระดูกของทหารหลวงที่ถูกเขาสังหารและฝังไว้ในแนวป่าและใกล้ขันธสีมาของวัดโบราณถูกโยกย้ายจนหมดสิ้นเพราะความไม่รู้ของนักโบราณคดีเหล่านี้ ลมพัดกรูเกรียวเข้ามาปะทะกายทันควัน สีหราชขมวดคิ้วนิ่งก่อนจะเหยียดยิ้มนิดหนึ่ง ปลายนิ้วจุดเพลิงสีทองขึ้นวาบหนึ่งก่อนจะบริกรรมคาถาเบา ๆ แล้วพลันนั้นเปลวเพลิงสีเหลืองทองพลันวูบกระจายไปตามบริเวณต่าง ๆ ราวกับแท่งไฟนำทางบนเนินดินตรงหน้า ก่อนจะดับหายไปราวกับไม่เคยปรากฏอยู่

“พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าแล้ว เราต้องหาที่พักกันแล้วล่ะ อ้ายอินทร์” สิ้นเสียงนั้นสีหราชก็พาเมืองอินทร์ออกไปจากบริเวณดังกล่าว

เงามืดสายหนึ่งพลันปรากฏเมื่อสองคนพ้นสายตาไป ร่างในชุดคลุมสีดำสนิทพลันเหยียดยิ้มอย่างหยามหยัน ไม้เท้าลำหนึ่งที่อยู่ในมือพลันกระแทกลงบนพื้นดินเบา ๆ ไอสีดำสนิทลอยจาง ๆ ออกมาจากไม้เท้ารูปหัวงูดังกล่าว วัตถุสีเหลืองทองอร่ามลอยอยู่เหนือฝ่ามือร่างตรงหน้า จะผิดก็แต่สีทองคำอร่ามนั้นกำลังดูดกลืนไอดำสนิทไว้มากมาย น้ำเสียงเย็น ๆ ของบุรุษเอ่ยเบา ๆ ท้องฟ้าพลันเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท เมฆครึ้มพัดมาพร้อมกับลมพายุที่ไม่มีที่มา ฟ้าลั่นครืนลั่นพร้อมกับแสงแลบแปลบปลาบกลางท้องฟ้า

“ข้ารอเจ้าอยู่แล้ว อ้ายสีห์ ข้าจักทำให้เจ้าเจ็บเจียนตายเหมือนที่ข้าเป็น”

.............................

สายฝนที่จู่ ๆ ก็โปรยปรายลงมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยทำให้ทั้งคู่วิ่งกรูตรงเข้าไปที่วัดตรงหน้า วัดในหมู่บ้านยามค่ำคืนเช่นนี้มีเพียงแสงตะเกียงเล็ก ๆ ที่ลอดมาจากกุฏิหลังน้อยที่อยู่ตรงหน้า สีหราชลากแขนเมืองอินทร์ปราดเข้าไปในบริเวณพระวิหารที่อยู่ตรงหน้า แต่ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงพระภิกษุชราเอ่ยขึ้นเบา ๆ

“โยมทั้งสองมาเถิด มาหลบฝนตรงนี้ก่อน” น้ำเสียงมีเมตตาอารีของพระภิกษุทำให้เขาและเมืองอินทร์หันมองหน้ากันก่อนจะตัดสินใจเดินตรงเข้าไป แสงไฟจากกุฏิวับแวมเผยให้เห็นด้านหลังของพระภิกษุรูปหนึ่ง เดาเอาจากรูปร่างคาดว่าน่าจะอายุพรรษาแก่กล้าแล้วไม่น่าจะต่ำกว่า 80 ปี น้ำเสียงเมตตาตรงหน้าหากเจ้าตัวไม่เหลียวหน้ามองมา ทำให้เมืองอินทร์ก้มตัวลงกราบพระภิกษุตรงหน้า

“พวกผมขออนุญาตหลวงพ่อมาหลบฝนตรงนี้นะครับ” เป็นเมืองอินทร์ที่เอ่ยเบา ๆ

ร่างสูงของสีหราชยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น แววตาประกายประหลาดเมื่อมองพระภิกษุตรงหน้า มีเพียงน้ำเสียงอ่อนโยนของพระภิกษุตรงหน้าที่เป็นคำตอบให้พวกเขาทั้งสองคน

“มาเถิด..ข้างนอกนั่นมืดนัก ฝนยังตก มาหลบที่นี่ตามสบาย” ทันใดนั้นเงาร่างพระภิกษุชราก็ค่อย ๆ ก้าวกลับเข้าไปด้านในกุฏิช้า ๆ

“อ้ายสีห์...พระท่านอนุญาตแล้ว มาเถิด...” เป็นเขาที่หันไปกระตุกมือของอ้ายสีหราชเบา ๆ สีหราชขืนตัวไว้นิดหนึ่งแต่ก็ยอมเดินตามมาแต่โดยดี

“ท่านจำวัดที่นี่นานแล้วหรือครับพระคุณเจ้า” เป็นเมืองอินทร์ที่หันไปถามพระภิกษุชราตรงหน้า

“นานแล้วโยม ... อาตมาอยู่มานาน...ออกจะนานเกินไปเสียด้วย” เสียงพระภิกษุชราตรงหน้าเอ่ยเบา ๆ

“ท่านพอจะรู้ประวัติของหมู่บ้านที่นี่ไหมครับ คือ ผม...อยากรู้” เมืองอินทร์ถามเบา ๆ

“รู้สิโยม...เรื่องราวสมัยเก่านานมาแล้ว เขาเล่ากันว่าที่นี่เคยเป็นหมู่บ้านช่างตีดาบหลวง แต่แล้วด้วยเหตุการณ์บางอย่างทำให้ผู้คนในสำนักดาบถูกสังหารจนสิ้น เหลือไว้เพียงตำนานเล่าขานว่ามีเหตุสลดเกิดที่หมู่บ้านแห่งนี้...จากนั้นผู้คนก็แตกสานซ่านกระเซ็นไปคนละทางสองทางตามกระแสแห่งกรรม...บ้านเมืองเปลี่ยนผัน..ชุมชนร้าง วัดร้าง และค่อย ๆ กลับกลายเป็นชุมชนใหม่ซ้อนทับกันไปมา เป็นธรรมดาของวัฏสงสาร”

ภิกษุชราหยุดเล่าไว้เพียงเท่านั้นแล้วเหลียวมองเมืองอินทร์อย่างปรานี แต่ก่อนที่เขาจะทันมองเห็นใบหน้าชัด ๆ ความง่วงงุนก็พลันทำให้หลับไปในทันที

....วงล้อที่เป็นจุดเริ่มต้น...เป็นจุดสิ้นสุดเช่นกัน...ผนึกกรรม...กำลังทำงานของมันอย่างสมบูรณ์...

“คืนนี้ เจ้าทั้งสองพักที่นี่ก่อนเถิด จะไม่มีสิ่งใดที่เข้ามาในเขตพุทธคุณแห่งนี้ได้ พวกเจ้าจงวางใจ...” เสียงของหลวงพ่อดังมาจากที่ไกล ๆ เมืองอินทร์พลันหลับใหลในทันที

พักเถิด...ยามนี้ยังไม่ใช่เวลาที่วงล้อกรรมจะหมุนวน เหลืออีก 2 คืนที่ราตรีมณิสูงสุด

ยามนั้น...สิ่งใดก็ไม่อาจพ้นกระแสแห่งกรรม...
...................................................................................

เมืองอินทร์กำลังฝัน...ในความฝันอันมืดมิดที่มีเพียงแสงเทียนวับแวม ภาพตรงหน้าไม่ปะติปะต่อกัน เสียงหัวเราะแหลม ๆ ของเด็กน้อยคนหนึ่งดังก้องไปมาในห้องศิลา ความอุ่นจัดและหนืดข้นเลอะอยู่บนมือทั้งสองข้างของเขา เสียงหัวเราะที่ก้องสะท้อนไปมาไม่รู้จบขณะที่ผู้คนวิ่งกันอยู่หน้าประตูศิลา การทุ่มเถียงรุนแรง เสียงคนแก่ที่คลับคล้ายคลับคลาที่พยายามอ้อนวอนผู้คนภายนอก เสียงจับใจความไม่ถนัด...

เสียงลมพัดหวีดหวิวผ่านช่องลมของศิลาตรงหน้าทำให้เหมือนเสียงโหยหวนของปีศาจ แต่เมืองอินทร์กลับไม่กลัวสักนิด

เขาขนลุกซู่ เพราะเสียงนั้นคล้ายจะคุ้น...คุ้นเคย และยังมีความร้อนระอุที่ผุดออกตามขุมขน กระแสพลังบางอย่างที่ไหลวนไปทั่วร่างกาย....ทำให้ร่างทั้งร่างของเขาร้อนขึ้นเรื่อย ๆ ความรู้สึกราวกับอยู่กลางเพลิงแห่งโทสะ ความเกลียดชัง และความปรารถนาจะทำลายทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

ในความฝันนั้น...เขาเห็นอักขระที่อยู่บนผนังศิลาทั้ง 4 ด้าน คล้ายยันต์โบราณ...

กัก...กักขัง...พลัง อ่านได้เช่นนั้น

สิ่งที่ร้ายยิ่งกว่าเป็นสัมผัสที่อยู่ในมือของเขาเอง เป็นความอุ่นหนืดพลั่ก ๆ...เขาชอบความอุ่นหนืดนั้นยิ่งนัก...เหมือนเจอของเล่นที่ถูกใจ

แสงจันทร์ที่ลอดผ่านลูกกรงของห้องศิลาทำให้เห็นชัดเจนขึ้น

นี่มันอะไรกัน ! มือตรงหน้า ไม่ใช่มือของเขา แต่กลับเป็นมือของเด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง

แต่เป็นสองมือที่เปื้อนเลือดจนชุ่มโชก !

หากข้าหลุดออกไปได้...จะสังหารให้สิ้น !

ประโยคที่ดังขึ้นกลางหัวนั้นเหี้ยมเกรียมจนน่าตกใจ เหมือนไม่ใช่ตัวเขาสักนิด

“...อินทร์...เมืองอินทร์...เมืองอินทร์ !” เสียงตะโกนและเขย่าตัวแรง ๆ จากคนข้าง ๆ ทำให้เมืองอินทร์ลืมตาสะดุ้งตื่นทันที เหงื่อกาฬชุ่มโชกไปทั้งตัว ตัวยังสั่นระริกไหว ดวงตาของเขาเบิกโพลงอย่างตกใจ

ไม่เคยฝันร้ายขนาดนี้มาก่อน ตั้งแต่ได้ร่างจำแลงนี้มาไม่เคยสักครั้งที่ “ฝัน” จะเหมือนจริงได้ขนาดนี้ เหมือนราวกับรู้สึกว่ามีเลือดอุ่น ๆ ชโลมมือทั้งสองข้าง

เมืองอินทร์รีบยกมือสองข้างขึ้นมาดูทันทีก่อนจะถอนหายใจพรูเมื่อเห็นว่าทั้งสองข้างล้วนสะอาดไม่มีร่องรอยความชุ่มโชกดังกล่าว สีหน้าที่ซีดเผือดของเขาทำให้สีหราชชะโงกหน้ามาใกล้ก่อนจะโอบตัวเขาไว้แนบกายแล้วกดคางเข้ากับเรือนผมร่างที่เล็กกว่าอย่างปลอบประโลม

“เจ้าฝันร้ายอย่างนั้นหรือ...เมืองอินทร์” เสียงและอ้อมแขนแข็งแรงโอบกระชับไว้แน่นทำให้หัวใจที่เต้นรัวเมื่อครู่ค่อย ๆ ช้าลงทีละนิด

“อืม...ข้าไม่เคยฝันอะไรที่จริงขนาดนี้มาก่อน” เสียงสั่นพร่ายิ่งทำให้คนตรงหน้ากระชับวงแขนให้แน่นขึ้น

“ข้าอยู่นี่แล้ว...ไม่มีอะไรนะ เจ้าคงแค่กลัวเท่านั้น” ว่าแล้วเจ้าตัวก็แนบชนหน้าผากเขาก่อนจะจูบเบา ๆ ที่หน้าผาก รอยยิ้มที่อ่อนโยนตรงหน้าทำให้เมืองอินทร์ค่อย ๆ ยิ้มออกบ้าง สีหราชผละลุกขึ้นก่อนจะก้าวออกจากพระวิหาร

“หลวงพ่อเมื่อคืนท่านไปไหนแล้วน่ะอ้ายสีห์...” เมืองอินทร์ถามเบา ๆ แล้วเหลียวซ้ายขวา

“ไม่รู้สิ...พระภิกษุรูปนั้น ท่านจะไปจะมา...ไม่มีใครรู้ได้หรอก” สีหราชพูดเบา ๆ ก่อนจะหันมาทางเขา

“วันนี้...ข้าจะออกไปสำรวจอะไรสักหน่อย เจ้าอยู่ที่นี่ก่อนนะเมืองอินทร์ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ห้ามออกจากเขตพระวิหารเด็ดขาด สัญญากับข้าได้ไหม...” คนสั่งการหันมากำชับเบา ๆ แววตาตรงหน้าเป็นห่วงชัดเจน

“ข้าไปด้วยไม่ได้หรือ อย่างน้อยสองคนก็ช่วยกันได้ ฝีมือเพลงดาบข้าก็ไม่ได้แย่แล้วนะอ้ายสีห์” เมืองอินทร์แย้งเบา ๆ

ดูท่าอ้ายสีหราชครานี้ เหมือนจะพยายามซ่อนความลับบางอย่างกับเขา ตั้งแต่รู้จักกันมาสีหราชไม่เคยมีท่าทีกังวลเช่นนี้มาก่อนเลย ปกติเจ้าตัวจะใช้อาคมเป็นเกราะคุ้มภัยแต่มาครั้งนี้เหมือนจะพยายามประหยัดการใช้คาถา แม้จะพยายามทำเป็นปกติสักเท่าไร แต่บางอย่างบอกเขาว่า สีหราชอาจจะซ่อนความลับหรืออาการบาดเจ็บบางอย่างอยู่

“รอข้าเถอะ...เดี๋ยวข้าก็กลับมา เชื่อข้านะ เจ้าตัวเล็ก...” เจ้าตัวโยกหัวเขาเบา ๆ อย่างเอ็นดูแล้วรีบก้าวออกไปรวดเร็ว

สีหราชก้าวออกมาพ้นแนวเขตขันธสีมาเดิมแล้วกรีดปลายนิ้วตนเองให้โลหิตหยดลงบนพื้นดินตรงหน้า พร้อมบริกรรมคาถาคุ้มกันหน้าพระวิหารอย่างรวดเร็ว อักขระบาลีเก่าแก่เรืองแสงวาบบนพื้นดินตรงหน้าก่อนจะหายวับไปในอากาศ

ตาข่ายมนตรายมทูตคุ้มภัยบริเวณตรงหน้า...อย่างน้อยคาถานี้ก็คุ้มครองได้จนถึงยามพระอาทิตย์ตกดิน

……………………………………………………………………………….

ภาพความฝันเมื่อเช้าทำให้เมืองอินทร์กระสับกระส่ายอย่างไม่รู้สาเหตุ อากาศในพระวิหารเก่าแก่กลับร้อนรุ่มอย่างบอกไม่ถูก แต่ถ้าพูดให้ถูกต้อง ความร้อนรุ่มนั้นมาจากสังหรณ์ของเขา หลายวันมานี้บางอย่างในหัวเขาคล้ายจะเห็นภาพบางอย่างกึ่งฝันกึ่งจริงหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีครั้งไหนเลยที่น่ากลัวขนาดนี้

ราวกับว่ามีผนึกความทรงจำบางอย่างกำลังคลายออก

ไม่ว่าจะเป็นความทรงจำหรือความฝัน...แต่มันกำลังทำให้เขากลัว เป็นความกลัวที่ยะเยือกไปถึงขั้วหัวใจ

...แค่ความฝันใช่ไหม...ไม่เห็นต้องกลัวสักนิดเลย

เสียงเด็กสามสี่คนวิ่งเล่นกันด้านหน้าพระวิหาร และเสียงโห่ไล่ตีสุนัขตรงหน้าทำให้เมืองอินทร์ชะโงกหน้าออกไปมอง ลูกสุนัขตัวเล็กนิดเดียววิ่งสุดชีวิตเพื่อหนีไม้และลูกหินของเด็ก ๆ วัย 7-8 ขวบตรงหน้า เขาขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะก้าวออกไปทีละน้อยสภาพที่โดนทำร้ายของลูกสุนัขทำให้เขาตะโกนออกไปเต็มเสียง แต่เหมือนเด็กพวกนั้นยังไม่สนใจเสียงของเขา เอาแต่ไล่ตีลูกสุนัขตรงหน้าอย่างเมามัน เสียงงี้ด ๆ ของลูกหมาที่โดนไม้หน้าสามตีกระเด็นมาใกล้ประตูพระวิหาร เลือดและท่าทางบอบช้ำของลูกสุนัขตรงหน้าทำให้เมืองอินทร์ตวาดเด็กตรงหน้า

“หยุดนะ ! มันจะตายอยู่แล้ว ไปให้พ้นนะ !”

“พี่เป็นใคร อย่ามายุ่งกับพวกผม จะทำอะไร !” คนหนึ่งทำท่าทางยียวนและขยับไม้ในมือไว้แน่น แววตาไม่กริ่งเกรงอะไรสักนิดขณะที่ลูกหมาตัวเล็ก ๆ พยายามกระถดตัวหนีมือของเด็กพวกนั้น แต่ยังไม่พ้น

ก่อนที่จะทันคิดอะไร นิสัยเดิมของเขาทำให้ก้าวพรวดออกไปหมายจะคว้าก้อนกลม ๆ ที่กองนิ่งกับพื้นนอกพระวิหารทันที แต่ทันทีที่จะก้าวขา เมืองอินทร์ก็พลันชะงักค้างเมื่อนึกถึงคำสั่งของสีหราช

“ห้ามออกนอกเขตพระวิหารเด็ดขาดนะ อ้ายอินทร์” สีหราชย้ำหนักหนา

คำเตือนทำให้เขาตัดใจเดินหันหลังกลับเข้าไป แต่ทันใดนั้นท้องฟ้าก็พลันแปรปรวนเสียงคำรามคำรนคล้ายจะเกิดพายุขึ้นตรงหน้า เสียงหัวเราะก้องกังวานที่หาที่มาไม่เจอ ภาพเด็กสามสี่คนหายวับไปพร้อมกับลูกหมาตัวจ้อยเมื่อครู่

“เก่งนี่...ที่เจ้าพยายามเชื่อฟังยมทูตนั่น...แต่ก็ไร้ประโยชน์ เมื่อเจอกับข้า...อ้ายอินทร์”

เงาสีดำสนิทที่ชุดเครื่องแต่งกายที่คุ้นตาปรากฏกายขึ้นตรงหน้า ความทรงจำที่ย้อนคืนมาทำให้เมืองอินทร์เบิกตากว้างอย่างตกตะลึง ทันใดนั้นเสียงบริกรรมคาถาเบา ๆ จากร่างตรงหน้าทำให้ร่างทั้งร่างชาดิก สติสัมปชัญญะที่มีค่อย ๆ เลือนหายไปในทันที ไอร้อนที่เดิมปรากฏเมื่อสองคืนก่อนพลันลุกพรึ่บขึ้นจากภายในร่างของเขา เสียงลั่นเปรี๊ยะดังขึ้นกลางหัว ความรู้สึกปวดหนึบชาไปทั้งร่าง เสียงหัวเราะกึกก้องในฝันนั้นคล้ายได้ยินอยู่ในหัว

“ขอบคุณข้าสิ....ที่ถอนสลักมนตราชิ้นสุดท้ายให้กับเจ้า พลังอำนาจเดิมที่ควรเป็นของเจ้า...เมืองอินทร์...พลังที่ถูกกักมาเกือบสองร้อยปี !”

นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาได้ยิน...ร่างทั้งร่างยวบฮวบทรุดลงกับพื้นหน้าพระวิหาร

ร้อนไปหมดราวกับกระดูกกำลังป่นเป็นผุยผง อนุสติสุดท้าย...ชื่อคนที่ห่วงใยที่สุดดังขึ้นกลางหัว

...อ้ายสีห์...

...................................................

ออฟไลน์ Wansusu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เพิ่งได้อ่านเรื่องนี้ ชอบมากกกกก เขียนดีมากก บรรยายดีมากก
ขอบคุณที่เขียนเรื่องนี้ค่ะ :mew1:

ออฟไลน์ ButlerofLOVE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
CHAPTER
28




สิ่งเดียวที่สีหราชพอจะทำได้ในยามนี้คือ การแจ้งเตือนเหล่าภุมมเทวา และรุกขเทวาที่อาศัยในปริมณฑลแห่งนี้ ยามนี้พลังตบะที่มีลดน้อยลงจนไม่อาจจะส่งข่าวไปให้แก่อัคนิการ์เทวีได้ทัน ไอสีดำสนิทดูจะมากกว่าที่คาดไว้ ดูท่าแล้วอาจจะตึงมืออยู่พอสมควร แต่เหมือนยิ่งตามหา ยิ่งพบว่าอำนาจไสยมืดบางอย่างได้คลุมพื้นที่แห่งนี้ไว้หมดแล้ว ไอร้อนของพลังอาคมโบราณทำให้เหล่าเทวาไม่อาจอยู่อาศัยได้ ทั้งหมู่บ้านกำลังกลายเป็นหลุมดำของพลังอำนาจที่ไม่มีขีดจำกัด และมันกำลังดึงดูดเหล่าสัมภเวสีต่าง ๆ ที่อยู่ห่างออกไปให้เข้ามาร่วมในพื้นที่นี้ด้วย

เพลิงอัคคีสีแดงก่ำถูกจุดขึ้นด้วยโลหิตของสีหราช หากเพื่อปกป้องพลังวิญญาณของมนุษย์ที่อยู่ในอีกมิติหนึ่งไว้ จำเป็นต้องอาศัยโดมมิติวิญญาณตัดแยกภพทั้งสองออกจากกัน อย่างน้อยก็ไม่เพิ่มแหล่งสูบพลังชีวิตให้กับสัมภเวสีเร่ร่อนเหล่านั้น แต่ก่อนที่สีหราชจะทันสร้างโดมมิติวิญญาณ แสงอาทิตย์ก็พลันดับลงอย่างรวดเร็วผิดวิสัยทำให้สีหราชต้องเหลียวมองไปรอบตัว แต่ครั้นจะถอนเท้ากลับก็ไม่ทันเสียแล้ว

...แย่แล้ว...

เขากำลังก้าวเข้ามาในเขตอาคมของผู้หนึ่งโดยไม่รู้ตัว

ใครบางคนสร้างมิติวิญญาณอันดำมืดนี้ขึ้น...ด้วยพลังที่ใกล้เคียงกับเขา...หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำไป

พลันนั้นภาพทั้งหมดที่ปรากฏในโดมก็เปลี่ยนไป เขตเมืองเก่าที่นักโบราณคดีล้อมค่อย ๆ คืนกลับเป็นรูปร่างกำแพงเมือง เช่นเดียวกับต้นไม้ใบหญ้าที่หดเล็กลง บางส่วนก็เติบโตขึ้นฉับพลัน เสียงหัวเราะของเหล่าผู้คนต่าง ๆ ในงานเทศกาลโคมไฟพลันปรากฎขึ้น ผู้คนที่แต่งกายด้วยชุดในสมัยอดีตชาติ เดินสวนกับเขาไปราวกับไม่เห็นตัวเขาสักนิด บางคนก็เป็นสหาย...บางคนก็ตายไปแล้ว

...อ้ายโต...กำลังเดินอยู่ตรงนั้นกับสาวที่มันรักและจะแต่งงาน

แม่คำหล้ากำลังเดินอยู่กับแม่หญิงนาก....และเหล่าผู้คนจากสำนักของสมุหพระกลาโหม

ใช่แล้ว...ใครบางคนกำลังจำลองภาพเหตุการณ์ในคืนเทศกาลลอยโคมเมื่อเกือบสองร้อยปีก่อนให้เขาดูตรงหน้า

ใคร...ใครกัน...

เสียงหัวเราะสนุกสนานของอ้ายเชิดที่คุยหยอกล้อกับแม่ค้าขายโคมอยู่ตรงริมน้ำนั้น และตัวเขากับอ้ายอินทร์กำลังยืนคุยกันริมแม่น้ำ

ความทรงจำที่แสนหวาน...คืนที่เขาได้จูบแรกจากเจ้าตัวจ้อย...

ผู้คนมากมายที่เดินเล่นในเทศกาลลอยโคมนับสิบกว่าชีวิตล้วนดูราวมีชีวิต สีหราชขมวดคิ้ว...ศัตรูอยู่ในนี้...ท่ามกลางผู้คนมากมาย เมื่อรวบรวมจิตได้ครู่หนึ่งถึงรู้สึกไอประหลาดสีดำสนิทลอยเรี่ยอยู่ด้านหลัง ทันทีที่เขาหันขวับไป พลันนั้นท้องฟ้าในโดมมิติวิญญาณก็พลันเขย่าวูบ พื้นโคลงเคลงอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงหัวเราะแหบพร่า....เสียงที่คล้ายจะคุ้นเคยแต่ติดอยู่ที่ริมฝีปาก...

“ไม่เสียแรงเป็น ยมทูตชื่อดังแห่งยมโลก...อุตส่าห์สร้างมายาลวงตา แต่เจ้าก็ยังหาข้าเจอจนได้...อ้ายสีห์....”

ร่างที่นั่งนิ่ง ๆ อยู่บนแคร่ไม้ไผ่หัวเราะเบา ๆ ดวงตาแดงก่ำมีเพลิงสีทองวาวโรจน์ บุรุษผิวสองสีรูปร่างสันทัดนั่งอยู่บนแคร่ กำลังยกมือขึ้นจิบเหล้ายาดองอยู่ตรงหน้าเปรยขึ้นเบา ๆ แล้วเหลียวมองเขาด้วยแววตาแข็งกร้าว สีหราชเพ่งนิ่ง ๆ ทั้งหมดล้วนสร้างขึ้นจากควันสีดำสนิท ควันที่มาพร้อมไอร้อนระอุแห่งไสยเวท

“อ้ายขุนศรี !”

ไฉนจึงเป็นมัน อ้ายขุนศรี ! บุตรชายสมุหพระกลาโหม!

.................................................................................

“ไม่ได้เจอกันเกือบสองร้อยปี ...เจ้ายังองอาจเหมือนเดิมเลยนะอ้ายสีห์” เสียงทุ้มหัวเราะจากร่างที่จิบยาดองอยู่บนแคร่ดังขึ้นอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด

“ไฉนเป็นเจ้า...ขุนศรี...” สีหราชขยับกายอย่างระแวดระวัง

พลังไสยเวทที่สามารถแทรกกายเข้ามาในมิติวิญญาณได้และจำลองภาพต่าง ๆ ในนี้ให้คล้ายกับอดีตชาติได้นั้น แสดงว่าร่างตรงหน้าไม่ธรรมดาแน่นอน และเมื่อสีหราชลองกำมือเพื่อจุดเพลิงอาคมขึ้นก็ต้องชะงักเมื่อมีไอสีดำสนิทจำนวนมากลอยวนรอบตัวจนไม่อาจรวมอาคมยมทูตได้

“อย่าเพิ่งใจร้อนเลย อ้ายสีห์...ข้าแค่อยากคุยกับเพื่อนเก่า อย่าถึงขนาดต้องจุดเพลิงในยามนี้เลย” เจ้าตัวเปรยเบา ๆ ก่อนจะยกแก้วเหล้ายาดองขึ้นจิบ

“มา...จิบเหล้ากับข้าบ้างสิ...ศิษย์เอกพระอาจารย์” รอยยิ้มหยันจุดที่ริมฝีปากของร่างสันทัดตรงหน้า

“เหล้า...มีไว้สำหรับสหาย แต่ข้าไม่แน่ใจว่าเจ้าจะเป็นสหายข้า ขุนศรี”  สีหราชเอ่ยขึ้น

“พูดจาเยี่ยงนี้...น่าผิดหวังยิ่งนัก...อ้ายสีห์” แววตาคนตรงหน้าวาวโรจน์ก่อนจะกระแทกแก้วเหล้าลงแรง ๆ ภาพรอบตัวพลันหยุดชะงักนิ่ง ใบไม้ไม่ไหวเอน ผู้คนหยุดเคลื่อนไหว เปลวเพลิงบนคบไฟก็ค้างนิ่งไม่ขยับ ทุกอย่างในมิติตรงหน้าหยุดนิ่งราวกับภาพวาด มีเพียงสายตาวาวโรจน์ของบุรุษตรงหน้าจ้องตรงมาที่เขา

“ไม่นึกว่าเป็นเจ้า...ที่หันสู่ด้านไสยมืดมนตร์ดำ...ขุนศรี...” สีหราชเอ่ยเบา ๆ จ้องร่างตรงหน้าอย่างพิเคราะห์

ดวงตาแข็งกร้าวของขุนศรีวาวโรจน์ก่อนจะหันกลับมาทางเขา

“ชะตาของแต่ละคนย่อมต่างกัน ใครใช้ให้ผู้คนชื่นชมแต่ดาบแต่อาวุธ คนที่ชำนาญไสยเวทกลับกลายเป็นคนเลวในสายตาผู้อื่น พรสวรรค์ของข้าไม่เคยมีคนยกย่อง เพียงแค่จุดเปลวเพลิงได้ชาวบ้านล้วนแต่กริ่งเกรงแล้วสาปแช่ง ทุกอย่างในชีวิตข้าต้องไขว่คว้าเองทั้งนั้น แต่ก็ไม่เคยสมหวัง...แม้แต่ความพยายามครั้งสุดท้ายของข้าที่จะมีเกียรติ มีชื่อเสียงและมีครอบครัว่ ก็เป็นเจ้า สีหราช ! เจ้าที่ดับความฝันทุกอย่าง ทั้งครอบครัว ชีวิต และลูกเมีย เจ้าพรากเอาอนาคตและความฝันทุกอย่างไปจากข้า !”

บุรุษร่างสันทัดตะโกนขึ้น ยามนี้ทุกสิ่งตรงหน้าเกิดเกลียวพายุร้ายพัดขึ้น เสียงหวีดหวิวโหยหวนดังมาจากทุกทิศทุกทาง

“เจ้าพูดถึงอะไรกัน ! ข้าไปทำความเจ็บช้ำอะไรให้เจ้า ! ” สีหราชตะโกนก่อนจะกระชากดาบเพลิงในมือออกมา ประกายดาบวาววับตรงเข้าปะทะกับขุนศรีทันควัน

ภาพทุกอย่างตรงหน้าบิดเบี้ยวตามดวงจิตที่บิดเบี้ยวของขุนศรี ยามนี้สีหราชรู้แล้วว่าพลังอำนาจของอีกฝ่ายสูงเพียงใด มิติตรงหน้าที่เคยมีสีสันพลันเปลี่ยนสลายกลายเป็นสีเทาดำ ใบไม้สีเขียวที่มีชีวิตพลันเหี่ยวเฉากลายเป็นสีน้ำตาลและป่นละเอียดเป็นผุยผงไปตรงหน้า พื้นดินที่เหยียบกลายเป็นหลุมว่างเปล่าลึกจนมองไม่เห็นก้นหลุม มีเพียงบรรยากาศที่กดดันอยู่รอบตัว สีหราชลอยตัวในอากาศเวิ้งว้างสีดำสนิท ขณะที่ขุนศรีเหลียวกลับมาในชุดอาภรณ์สีดำ สร้อยสังวาลย์ที่คาดตรงหน้าอกคล้ายหัวกะโหลกขนาดเล็กเรียงรายจนเต็มเส้น ไอสีดำสนิทแผ่ขยายออกทำให้หายใจแทบไม่ออก  ในมือของขุนศรีปรากฎแผ่นกระดานสีทองคำเรืองรองที่ปนไอสีดำที่ลอยกรุ่นและเหล่าวิญญาณมนุษย์ที่โหยไห้ดังขึ้นทุกขณะ

ป้ายผ่านทางโลกวิญญาณที่เขาตามหา !

“เจ้าเคยเสียคนรักไปแล้ว...เจ้าควรจะรู้สิ...ว่ามันปวดร้าวแค่ไหน...จริงไหม อ้ายสีห์...” เสียงนั้นเย็นยะเยียบบาดลึกความรู้สึก สายลมเย็นเฉียบพัดกรูเกรียวพร้อมกับเสียงสุนัขหอนไม่สิ้นสุด คล้ายกับมีดวงตานับสิบคู่ที่จดจ้องมาที่เขาในยามนี้

“ส่วนข้า ที่ต้องเสียคนรัก...ไปถึง 2 ชีวิต...ย่อมต้องเจ็บปวดยิ่งกว่าเจ้าเป็นร้อยเท่า !”

ประโยคนั้นกระตุ้นความจำที่เขาอ่าน สังหรณ์วูบหนึ่งทำให้ขนลุกซู่ ส่วนหนึ่งในบันทึกของเสด็จพระองค์ชายชาญนพ กลับมาสู่ความทรงจำ

....แม่หญิงนากตัดสินใจปลิดชีพตนเองพร้อมลูกในท้องด้วยการกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย หลังจากสีหราชกลายเป็นเสือร้ายไล่สังหารกบฏและจากนั้นไม่นานสมุหพระกลาโหมเสียชีวิตอย่างปริศนา

พนักงานกรมนครบาลที่พบร่าง รายงานไว้ในบันทึกว่า ร่างนั้นเสียชีวิตในสภาพเลือดออกจากทางทวารทั้งเจ็ด เสียชีวิตในสภาพตัวดำสนิทผิวแห้งราวกับซากศพที่ตายมานานแล้ว

“หรือว่า....เจ้ากับแม่หญิงนาก...?” สีหราชเอ่ยเสียงพร่า

ดวงตาของขุนศรีแดงก่ำกระชับดาบในมือแน่นเข้าทันที เพลิงสีแดงช้ำเลือดช้ำหนองพวยพุ่งออกจากดาบโบราณตรงหน้า ภาพทั้งหมดเปลี่ยนผันอย่างรวดเร็ว

“ใช่ ! แม่นาก และลูกของข้าที่ตายเพราะเจ้า !”

“เจ้ามันบ้า ! ขุนศรี ! นั่นมันน้องสาวของเจ้าเองนะ เจ้าขืนใจนางได้อย่างไร !” สีหราชตะโกนลั่นพร้อมกระชากดาบออกจากฝักเช่นกัน ทั้งสองเข้าปะทะกันทันที เสียงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นดังก้องในมิติวิญญาณ ฟ้าคำรนคำรามไม่หยุด

“นางเป็นคนที่ข้ารักมาตลอด ! แม้กระทั่งเป็นของข้า นางก็ยังหวนคิดถึงแต่เจ้า !”

“พี่น้อง อย่างน้อยก็พ่อเดียวกัน เจ้าทำได้อย่างไรขุนศรี!”

“หึ ! ข้าไม่เคยมีสายเลือดเดียวกับนาง ข้าไม่ใช่พี่ชายนาง ไม่ว่าจะทางใดก็ตาม !”

ประโยคนั้นทำให้สีหราชอึ้งงันไป

“ข้าเป็นลูกติดท้อง แม่ข้าที่เป็นทาสพยายามปกป้องชีวิตข้าไว้ จึงอ้างกับไอ้สมุหพระกลาโหม ไอ้โจรชั่วที่สังหารพ่อข้าว่า ข้าเป็นเลือดเนื้อของมัน เด็กคลอดก่อนกำหนดไม่ได้ทำให้โจรชั่วนั่นระแวง มันคิดมาตลอดว่าข้าเป็นลูก ! ”

มิน่าเล่า...ขุนศรึจึงไม่ละม้ายคล้ายสมุหพระกลาโหมเลย แต่หลายคนนึกไปว่าผิวคล้ายนางทาสผู้งดงามคนนั้นจึงไม่มีใครสังหรณ์ใจ

ดาบเพลิงของจอมขมังเวทฟันลงมาทันควัน สีหราชกัดฟันกรอดยกดาบขึ้นเกร็งรับแรงปะทะ ไอดำสนิทลามจากดาบเพลิงของขุนศรีคล้ายกับน้ำกรดร้อนที่แผดเผานิ้วและข้อมือสีหราชจนต้องกระชากดาบออกทันควันและกระโจนถอยออก ปลายดาบของสีหราชฟันแหวกเสื้อสีดำสนิทของร่างตรงหน้า หัวไหล่ถูกกรีดเป็นรอย ผ้าที่ขาดด้วยเพลิงดาบยมโลกเผยให้เห็นรอยสักสีแดงก่ำ สีหราชเบิกตากว้าง

ครุฑยุดนาค !

ตราสัญลักษณ์ของกลุ่มกบฏในครานั้น ตราที่มันเห็นบนท่อนแขนของบุรุษหนึ่งที่โรงเหล้าจีน !

จอมขมังเวทขุนศรีเหลือบมองตามสายตาของสีหราชก่อนจะยกยิ้มหยัน

“อ้อ...ข้ายังไม่ได้บอกเจ้าดอกหรือ ...ข้าเป็นอีกผู้หนึ่งที่รอด ต้องขอบใจที่เจ้าได้รายชื่อกบฏไปเพียงท้าย ๆ ข้าเลยไม่อยู่ในราย
ชื่อที่เจ้าต้องสังหาร!”
……………………………………………………………

ภาพเหตุการณ์ในอดีตย้อนกลับมาอีกครั้ง บุรุษอีกผู้หนึ่งที่ยืนหันหลังเจรจากับขุนทรัพย์ ผู้ดูแลคณะละครนอกเมื่อวันที่สีหราชตามเสด็จพระองค์ชายชาญนพไปที่ท้องพระโรงจนได้พบกับกรมหลวงไกรสีห์สรคุณ ผุดขึ้นในความทรงจำ

“...อ้ายสีหราช...ไม่คิดว่าจะเจอเจ้าอีกครั้งในรั้ววังแห่งนี้...” เสียงขุนศรีในวันนั้นดังขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ย ๆ ตามนิสัยเจ้าตัว

“ข้ามาเยี่ยมเสด็จพระองค์ชายชาญนพ และเจ้าจอมมารดาเท่านั้น อีกสักครู่คงกลับแล้ว...” สีหราชเอ่ยเบา ๆ ก่อนจะปรายตามองขุนทรัพย์ที่หันหลังให้และรีบผละไป ขณะที่ขุนศรีหันมาชวนเขาคุยเรื่องความคืบหน้าของการตีดาบส่งหัวเมืองเหนือในคราต่อไป...

เพราะเป็นบุตรชายของสมุหพระกลาโหมผู้เรืองอำนาจ...สีหราชจึงไม่เคยคิดว่าขุนศรีจักร่วมก่อกบฏ...

เขาพลาดเพราะลืมคิดไปว่าขุนศรีนี่เอง...ที่มีหน้าที่ดูแลจัดเตรียมเวรยามในพระราชฐานส่วนใน !

ในคืนที่เหล่ากบฏละครนอกตัดสินใจลงมือพร้อมกัน สีหราชและเสด็จพระองค์ชายชาญนพร่วมกันวางแผนล้อมปราบซ้อนกล ทันทีที่เหล่านักดาบรับจ้างในคราบนักแสดงละครออกชักอาวุธออกมา ทหารส่วนพระองค์ของเสด็จพระองค์ชายชาญนพก็กรูกันออกมาจากรั้วพระราชฐาน และบางส่วนตรงไปล้อมจับกุมกรมหลวงไกรสีห์สรคุณถึงในพระตำหนักในทันที แผนการที่วางไว้อย่างรัดกุมทำให้การปะทะดังกล่าวกินเวลาไม่นาน ทหารส่วนพระองค์ของเสด็จพระองค์ชายชาญนพมีมากกว่า เหล่ากบฏละครนอกที่ไม่ยอมมอบตัวก็ล้มตายกันระเนระนาดขณะที่บางส่วนก็หนีกระเจิดกระเจิง

ในวันนั้น เป็นสีหราชที่ประดาบกับกรมหลวงไกรสีห์สรคุณครู่ใหญ่ก่อนจะเป็นฝ่ายมีชัยเหนือร่างสูงตรงหน้า ปลายคมดาบจ่อนิ่งที่คอหอยของเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง สีหน้าชายวัยกลางคนที่เลือดโซมกายเพราะพลาดท่าโดนสีหราชฟันเข้าที่ท่อนแขนนั้นหัวเราะเย้ยหยันใส่เขาและเสด็จพระองค์ชายชาญนพ มือทั้งสองข้างและขาถูกทหารหลวงตีตรวนและโดนกระทุ้งจากด้านหลังให้ทรุดกายลงคุกเข่ากับเขตพระราชฐาน

คืนเดือนดับ...ที่เขตพระราชฐานชโลมไปด้วยเลือด สีพระพักตร์ของเจ้าเหนือชีวิตมองร่างตรงหน้าคล้ายไม่อยากเชื่อสายพระเนตรตนเอง น้ำเสียงอ่อนระโหยของทูลกระหม่อมแฝงความเสียพระราชหฤทัยอย่างที่สุด

“ไฉน...จึงเป็นเจ้าไปได้...ไกร...ข้าเห็นเจ้าเป็นดั่งน้องชายมาโดยตลอด เจ้าเป็นพระญาติสนิทคนเดียวที่ข้าไว้ใจที่สุด”

ร่างนั้นยังคงยิ้มแค่นอยู่กับพื้นพระราชฐาน สายตาที่เงยหน้าขึ้นมองเผยทุกสิ่งที่อยู่ในความคิด

“ราชกิจต่าง ๆ ข้าก็มอบให้เจ้า เรื่องตัดสินคดีความข้าก็เชื่อมั่นในความยุติธรรมของเจ้า แม้แต่ด้านการศาสนาเจ้าก็ปราดเปรื่องไม่มีผู้ใดเกิน ต่อให้ใครมานินทาท่านเรื่องความชื่นชอบรสนิยมในบุรุษเพศของท่าน ข้ายังเมินเฉยแลเถียงแทนท่านได้ว่าเป็นอุปนิสัยส่วนตัวแต่ไม่ทำให้ราชกิจเสียหาย ไฉนวันนี้ เจ้าจึงทำเรื่องเลวร้ายเยี่ยงนี้ !”

พระวรกายสูงโปร่งซวนกายพิงพระแท่นตรงหน้าอย่างหมดเรี่ยวแรง

“แล้วอย่างไร....มอบหมายให้ข้าดูแล แล้วอย่างไร  ข้าได้อำนาจใด ๆ บ้างเล่า !” กรมหลวงไกรสีห์สรคุณตะโกนกร้าว

“ว่าอย่างไรนะ ?” สีพระพักตร์ของทูลกระหม่อมคล้ายซีดเผือด

“เจ้าจะไปรู้จักสิ่งใด เจ้าอยู่กับอำนาจมาตั้งแต่เกิด ข้าเห็นอำนาจอยู่เพียงเอื้อมแต่ก็ไม่อาจฉวยคว้า ! ข้าเกิดหลังท่านเพียงชั่วยามเดียว แต่ราชบัลลังก์กลับไม่ใช่ข้า ! แม่ข้าเป็นสนม แต่แม่ท่านเป็นมเหสี ศักดิ์แลยศฐาแตกต่าง ข้าเลยไม่ได้เป็นกษัตริย์อย่างนั้นรึ !” ร่างสูงนั้นตวาดลั่น เสียงโซ่ตรวนที่ตรึงแขนและขาไว้สั่นไหวรุนแรงตามอารมณ์ของผู้ถูกตีตรวน

“เมื่อแข่งวาสนาไม่ได้ ข้าก็จักคว้าวาสนานั้นไว้ด้วยตัวข้าเอง !”

“เจ้า...เจ้ามันเกินเยียวยาเสียแล้วไกร...” พระสุรเสียงของทูลกระหม่อมคล้ายหมดเรี่ยวแรง

ดวงตาปูนโปนตรงหน้าหัวเราะลั่นก่อนจะแสยะยิ้มอย่างสมใจ

“มึงคิดว่า...กูคนเดียวแลเหล่าอ้ายอีพวกนี้จะเข้าพระราชฐานได้ง่ายดายเยี่ยงนี้รึ !

“อย่าคิดนะ...ว่ากบฏจะมีแค่ข้าคนเดียว ระวังให้ดีเถอะ!” นั่นเป็นประโยคสุดท้ายของกรมหลวงไกรสีห์สรคุณ

..................................................................

จอมขมังเวทตรงหน้าหยักยิ้มพรายก่อนจะมองสีหราชด้วยแววตาบ้าคลั่ง

“ข้ามีสัญญากับกรมหลวงไกรสีห์สรคุณ เขาลั่นวาจาว่าหากข้าช่วยเขาล้มล้างราชวงศ์ได้สำเร็จ เขาจักสังหารสมุหพระกลาโหม...และแต่งตั้งข้าเป็นสมุหพระกลาโหมคนใหม่พร้อมยกแม่หญิงนากมาเป็นเมีย” สายตาคนพูดเข้าใกล้ความวิปลาสไปทุกขณะ

ประโยคนั้นทำให้สีหราชกระชับดาบมั่น

“แผนของพวกข้าควรจะง่ายดายและไร้ช่องโหว่ เพราะละครนอก...ล้วนเป็นฉากบังหน้าที่ดี จะมีบุรุษที่ไหนเดินเข้าออกพระราชวังได้โดยไม่ต้องตรวจสอบหากไม่ใช่เหล่านักแสดงละครนอก”

“แล้วมันไปเกี่ยวอะไรกับพวกข้า ! ข้าและสำนักดาบไม่เคยไปทำให้เจ้าต้องเดือดร้อน !” สีหราชตวาดก้อง

“ทำไมจะไม่เกี่ยว ! เพราะไอ้เมืองอินทร์และไอ้ลูกจีนคนนั้นทีเดียว ! ที่ดันรู้ความลับจากกลักไม้ใส่กลอักษร !”

...กลอักษรที่แฝงข้อความนัดหมายของเหล่ากบฏ...

...ไม่ว่าใครจักได้ไป อ่านได้หรือมิได้..ย่อมต้องไม่มีชีวิตรอด

ร่างตรงหน้าสืบเท้าเข้ามาพร้อมกับไม้เท้าในมือ ไอสีดำสนิทรวยรินจากไม้เท้าบอกชัดว่าไม่ใช่ไม้เท้าธรรมดา

“ทำไมเจ้าไม่ปล่อยให้สองคนนี้ตาย ๆ ไปซะ ก็แค่ทาสไร้ค่า ! แต่เจ้ากลับไล่ล่าราวกับหมาบ้าและทำให้แผนการกบฏของข้าต้องพังพินาศ !” จอมขมังเวทตะโกนลั่นก่อนจะถลาเข้ามาปะทะกับสีหราชในทันที

ไอควันสีดำสนิทและบรรยากาศกดดันปะทะร่างสีหราชวูบใหญ่ !

ความฝันของขุนศรีที่พังภินท์ไม่เหลือสิ่งใด โอกาสได้เคียงครองแม่นากและลูกในท้องหายไปกับลมหายใจของกรมหลวงไกรสีห์สรคุณ ยามนั้น...มันหมดสิ้นทุกสิ่งที่ใฝ่ฝัน

ดาบทั้งสองเล่มเข้าปะทะกันอย่างรวดเร็ว เงามืดสายหนึ่งวูบวาบไปมาพร้อมกับเสียงโลหะชนปะทะอย่างไม่ลดละ ด้านหนึ่งมีไอดำสนิทคลุมกาย ขณะที่เงาอีกสายหนึ่งมีละอองสีทองวิบวับพร้อมเพลิงร้อนของยมโลกปรากฎบนดาบ แต่สำหรับสีหราชที่ปราณและตบะอาคมลดไปกึ่งหนึ่ง การต่อสู้คล้ายจะตึงมือกว่าเดิมมากเมื่อร่างตรงหน้าอาศัยไอพลังจากป้ายทองคำยมโลกและอาคมไสยเวท หุ่นพยนต์ตัวหนึ่งปราดเข้ามาปะทะกับเข้ากับด้านข้างของสีหราช อีกตัวพยายามเกาะกุมแขนขาของเขาไว้มั่น สีหราชกลั้นใจบริกรรมคาถาก่อนจะสะบัดกายทันควัน ประกายเพลิงร้อนของยมโลกแผดเผาร่างของหุ่นพยนต์ทั้งสอง แต่เมื่อเหลียวกลับไป ร่างของขุนศรีก็ไม่อยู่ตรงนั้นเสียแล้ว สีหราชสะดุ้งเฮือกเมื่อปลายคมดาบประชิดตัวด้านหลัง

“ตบะเดชะของเจ้าลดลง...อ้ายสีห์....ต่อสู้กันแบบนี้ข้าสนุกยิ่งนัก”เสียงของขุนศรีหัวเราะลั่นก้องในมิติวิญญาณ

“แต่มันยังไม่สาแก่ใจข้าหรอก...ข้าต้องการให้เจ้าตายทั้งเป็น และยิ่งตายด้วยมือคนที่เจ้ารัก...ยิ่งสะใจข้า!”

สีหราชตัดสินใจหมุนกายวูบ ประกายดาบเพลิงของขุนศรีกรีดท่อนแขนเรียกเลือดโซมต้นแขน

“อยากรู้นักว่าเจ้าจะรู้สึกยังไง...หากเจ้าต้องสูญเสียเป็นครั้งที่สอง...อ้ายสีห์” ขุนศรีจ้องมองมันด้วยสายตาหยามหยัน

สีหราชขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะกระชับดาบในมือมั่นอีกครั้ง ท่าทางดังกล่าวทำให้ขุนศรียิ้มหยัน

“เจ้าไม่รู้สิ่งใดสักอย่างเลยสินะ ก็น่าอยู่หรอก เพราะเจ้าไม่มีป้ายทองคำโลกวิญญาณนี่นา...”

น้ำเสียงหัวเราะคนตรงหน้าทำให้สีหราชขมวดคิ้วก่อนจะถลาเข้าไปปะทะอีกรอบ ประกายดาบเพลิงปะทะกันรุนแรงจนมิติวิญญาณสั่นสะเทือน

“เมืองอินทร์...เป็นคนรักเจ้าจริง ๆ หรือ...ทำไมเจ้าไม่รู้อะไรสักอย่างเกี่ยวกับเขาเลย...” วิญญาณร้ายตรงหน้าเย้ยหยัน

“ไม่รู้สักอย่างเกี่ยวกับที่มาที่ไปของเขา..เด็กทาสสินไถ่ ! เหอะ ! น่าขัน !”

“เจ้าพูดบ้าเรื่องอันใด อ้ายอินทร์หนีจากการขายทาสมาอาศัยพ่อสินของข้า!” สีหราชตวาดกร้าวก่อนจะยกดาบขึ้นปะทะทันควัน

“ความโง่งมของเจ้า นอกจากเจ้าใช้คาถาต้องห้ามคืนความทรงจำให้เขาแล้ว คาถาโบราณของเจ้ายังช่วยข้าปลดสลักมนตราที่เหล่าจอมขมังเวทสายขาวพยายามอย่างยากเย็นที่จะผนึกอาคมในตัวเขาไว้...”

...ผนึกอาคม !...

เสียงจิ๊จ๊ะในลำคอของขุนศรียังร้ายไม่เท่ากับประโยคที่เขาได้ยิน

“เหล่าจอมขมังเวทสายดำต่างตามหา “เด็กแห่งชะตากรรม” แม้แต่อาจารย์ข้าก็เฝ้าตามหาเด็กแห่งชะตากรรมที่มีสายเลือดเวทสายดำและสายขาวในตัว รอมาเนิ่นนานจนจิตแตกดับก็ยังไม่ได้พบ...แต่กลับเป็นข้าที่โชคดี นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเมืองอินทร์ของเจ้า”

เด็กแห่งชะตากรรมอะไรกัน !

“ ต้องขอบใจป้ายทองคำโลกวิญญาณที่เผยความจริงของสรรพสิ่ง...ทำให้ข้าได้ครองอาวุธที่ทรงพลังที่สูงที่สุดของไสยเวท !” สิ้นเสียงนั้นท้องฟ้าก็พลันคำรามคำรนออกมากึกก้องพร้อมกับฟ้าผ่าลงในโดมมิติวิญญาณ

“เจ้าไม่เอะใจสักนิดเลยหรือว่า ทำไมคาถายมทูตของเจ้าถึงสลายง่ายดายนักกับเด็กหนุ่มคนนี้....ทำไมเด็กหนุ่มธรรมดาที่ไม่น่าจะมีพลังใด ๆ กลับฝ่าเข้าไปในโดมมิติวิญญาณของเจ้าได้ในวันนั้น...หือมมมม อ้ายสีหราช”

ภาพความทรงจำที่พบกันในครั้งแรก คาถาตรึงวิญญาณด้วยเชือกอาคมที่หลุดภายในเวลารวดเร็ว ภาพเจ้าตัวเล็กที่ถลาเข้ามาในโดมมิติวิญญาณได้อย่างน่าประหลาดใจ...ทำให้สีหราชกัดฟันกรอด

“ยามใดที่ผนึกอาคมนั้นถูกปลดลง...เมืองอินทร์ คนรักของเจ้าก็ไม่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้อีกแล้ว ! ร่างที่เหลืออยู่จะเป็นเพียงภาชนะสำหรับไสยมืดที่ทรงพลังและพร้อมทำตามคำสั่งข้า !”

“โกหก ! เมืองอินทร์ไม่มีทางเป็นปีศาจหรือเครื่องมือแห่งไสยดำที่เจ้าคิดหรอก !” สีหราชตะโกนลั่น

“ผิดแล้ว ! ป้ายทองคำผ่านทางโลกวิญญาณให้พลังควบคุมเหล่าวิญญาณทุกดวงในโลกใบนี้ แลเมื่อผสานเข้ากับพลังไสยดำที่ข้ามี ร่างที่มีแต่ดวงจิตดำมืดอย่างนั้นย่อมตกเป็นของข้าโดยสมบูรณ์ ทั้งกายและจิต!”

“มาพนันกันดีหรือไม่อ้ายสีห์....ก่อนมาที่นี่ข้าได้ช่วยปลดผนึกสุดท้ายให้กับเมืองอินทร์ไปแล้ว มาลองดูกันว่าถ้ามันได้ความทรงจำจริง ๆ ที่ว่ามันเป็นคนสังหารพ่อแม่ตนเองทิ้งตั้งแต่ 5 ขวบ...ดวงแก้วที่เจ้ารักและถนอมนั้นจะแตกร้าวไม่เหลือชิ้นดีหรือไม่ !” คนพูดเอี้ยวตัวแล้วมองสีหราชด้วยสายตาเย้ยหยันระคนสะใจ เสียงสายลมหวีดรอบตัว เกลียวพายุสีดำสนิทหมุนคว้างในมิติวิญญาณ

“ข้าจักให้พวกเจ้าดิ้นเร่า ! ข้าจักให้พวกเจ้าทั้งคู่ทรมาน !”” ประกายตาของจอมขมังเวทขุนศรีวาววับ

“และเจ้า ! สีหราช...ข้าจักให้เจ้าได้ลิ้มรสความตายที่สมบูรณ์ วิญญาณเจ้าจักได้สิ้นใจใต้คมดาบของคนที่เจ้ารัก!”

ร่างนั้นชี้ปลายดาบมาที่เขาและหัวเราะหยามหยัน

“จงขอบใจข้า...ที่ให้โอกาสพวกเจ้าได้ร่ำลากันเป็นคืนสุดท้าย...”

“พรุ่งนี้เมื่อราตรีมณิสูงสุด...จะไม่เหลืออ้ายอินทร์ที่เจ้ารัก...แต่จะเหลือก็เพียงภาชนะแห่งไสยเวทมรณะของข้า ! ”
สิ้นประโยคนั้นก็มีเพียงเสียงหัวเราะก้องไม่รู้จบ



** ราตรีมณิสูงสุด = วันขึ้น 15 ค่ำ หรือวันพระจันทร์เต็มดวงที่ขึ้นสูงสุดบนท้องฟ้าค่ะ ^^

ขอบคุณสำหรับทุกความเห็นและกำลังใจ ข้าชื่อสีหราช เป็นนิยายวายเรื่องแรกของบัตเลอร์ค่ะ นิยายเรื่องนี้มีตอนพิเศษอีก 6 ตอน ในนี้ไม่ได้ลง NC ไว้เพราะจะอยู่ในเล่มนิยายเท่านั้น และเขียนจบหมดแล้วค่า  ^^

ดีใจจังที่มีคนชอบพี่สีห์และน้องอินทร์ ^^
 :mew3:



ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :pig4:
 :3123:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
วุ่นวายกว่าที่คิดดดด

ออฟไลน์ ButlerofLOVE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
CHAPTER
29




ยามนี้เมืองอินทร์ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ในสถานที่ตรงหน้ามีเพียงความเวิ้งว้างว่างเปล่า ไอหมอกสีขาวนุ่มและสีดำกำลังเคลื่อนปะทะกันอย่างอ้อยอิ่ง บางคราคล้ายพวกมันดูดกลืนกันและกัน บางคราก็คล้ายว่ากำลังปะทะกัน เมืองอินทร์ได้แต่เขม้นมองฝ่าสายหมอกดังกล่าวอย่างงุนงง อากาศรอบตัวอึดอัด รู้สึกร้อนผ่าวขึ้นกลางอก เขากระชับดาบในมือไว้แน่นและเพียงครู่เดียวก็ชะงักเมื่อเห็นเงาสีดำร่างหนึ่งค่อย ๆ เคลื่อนมาตรงหน้าอย่างช้า ๆ แต่สายหมอกที่หนาทึบปิดบังผู้ที่ก้าวเข้ามาใหม่คนนั้นไว้

อ้ายสีห์รึ ? ไม่ใช่...เงานั้นไม่คล้ายอ้ายสีห์....

แต่แล้วเจ้าตัวก็ต้องชะงักเบิกตาโพลงเมื่อเห็นใบหน้าที่เคลื่อนออกจากเงาหมอก สายตาเย็นยะเยียบและรอยยิ้มแสยะเย็นชาอยู่ตรงหน้าทำให้เมืองอินทร์รีบกระชากดาบขึ้นทันที ภาพตรงหน้าทำให้มือเขาสั่นระริกก่อนจะตัดสินใจตวัดดาบจ่อร่างตรงหน้าที่ก้าวเข้ามาเรื่อย ๆ แต่ดูเหมือนคนตรงหน้าจะไม่สะดุ้งสะเทือน ร่างนั้นพลันชักดาบออกมาบ้าง...เป็นดาบที่เหมือนกับของเขา และไม่เพียงเท่านั้นเจ้าของร่างนั้นยังสวมเสื้อผ้าอาภรณ์เหมือนของเขาไม่ผิดเพี้ยน

ใช่แล้ว...เจ้าของใบหน้าที่ยืนประจันหน้ากับเขาอยู่ตรงนี้...คือตัวเขาไม่ผิดแน่ !

“เจ้า! เป็นใครกันแน่ !”

เขาชักดาบ ร่างตรงหน้าก็ชักดาบ เขาสืบเท้าซ้าย ร่างนั้นสืบเท้าทางขวาไม่ลดละสักนิด

“ข้าคือเจ้า....และเจ้าก็คือข้า อย่างไรเล่า เมืองอินทร์...”

ตัวตนตรงหน้า...เป็นร่างเขา...ไม่สิ...เหมือนฝาแฝดของเขาไม่มีผิด

เพียงร่างนี้แฝงบางสิ่งที่น่าเกรงขาม เป็นความสง่างามที่เย็นชา ใบหน้าเปื้อนยิ้มแต่ดวงตากลับเย็นยะเยียบชนิดที่ผู้พบเห็นต้องสั่นสะท้าน ไอสังหารชัดเจนและยังมีความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้สันหลังเย็นวาบเป็นระยะอีกด้วย

...งดงามราวเทวทูตแห่งความตาย...

ไอสีดำรุนแรงและพลังลึกลับบางอย่างที่เขาไม่รู้จักกำลังห่อหุ้มร่างนั้น

ดาบคู่กายของเขาที่ปรากฏอยู่ในมือของคนตรงหน้ามีลวดลายทุกอย่างเหมือนกัน จะต่างก็เพียงมีไอดาบที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นเลือดสด ๆ ร่างนั้นเอียงคอมองเขายิ้ม ๆ แต่เป็นรอยยิ้มที่เย็นยะเยียบไปถึงหัวใจ

“เจ้าเติบโตมาดีงามเสียจริงนะ ท่านปู่และผู้คนในสำนักพราหมณ์เสียสละเพื่อเจ้ากันมากมาย...”

ปลายนิ้วของร่างแฝดของเขาไล้คมดาบเบา ๆ ราวกับกำลังรื่นรมย์ยิ่งนัก แววตานิ่งสนิทแม้ว่าปลายดาบจะกดเข้าไปตรงปลายนิ้วตนเองแล้ว...

“แต่น่าขัน...เจ้ามดปลวกพวกนั้น...พยายามฝืนชะตาแต่ก็เปล่าประโยชน์”

หยดเลือดที่รินจากปลายนิ้วสร้างดอกกุหลาบสีดำสนิทจากไอวิญญาณขึ้น...พลันนั้นเมื่อกลีบกุหลาบดำร่วงลงกับพื้นก็ปรากฎสุนัขอาคมสีดำสนิทพร้อมเขี้ยวยาวเป็นคืบกว่าที่พร้อมจะกระโจนขย้ำทุกสิ่งตรงหน้า

“ข้าไม่เข้าใจ! ทำไมเจ้าเหมือนกับข้า !”

“หนึ่งร่าง สองจิต เจ้าและข้าต่างเป็นดวงจิตที่เติบโตมาด้วยกัน แต่เพราะอินทร์แขวน ! มันสลักจิตมารและวิญญาณของข้าไว้ !”

สีหน้าของเมืองอินทร์คล้ายช๊อคนิ่งไปแล้ว...มือเผลอคลายดาบในมือลงครู่หนึ่ง สายตาสับสนงุนงงกับสิ่งที่รู้

“จำไม่ได้สินะ...ก็ไม่แปลกที่เจ้าจะจำอะไรไม่ได้ เพราะความทรงจำของเจ้าถูกปิดผนึกไว้ตั้งแต่ 200 ปีที่แล้ว!”

แววตาร่างแฝดตรงหน้าคล้ายเคียดแค้นชิงชัง

"มีแต่เจ้า...ที่ได้โลดแล่นออกไปโลกกว้างอย่างเสรี! แต่ตั้งแต่ครั้งนี้ ทุกอย่างจะต้องเป็นข้า! ข้าจะออกไปสู่โลกบ้าง ข้าจะไม่อยู่ในความมืดมิดนั่นอีกแล้ว!”

ดวงตาร่างตรงหน้าคล้ายวิปริตไปชั่วครู่ จู่ ๆก็หัวเราะ และจู่ ๆ ก็คล้ายร่ำไห้ พลางยกมือสองข้างขึ้นมาแล้วขบเม้มริมฝีปากเบา ๆ 

“ข้าจักย้อมโลกที่โสมมนี้ด้วยเลือด !" ว่าแล้วก็หัวเราะลั่นก่อนจะโผนเข้ามาปะทะอย่างรวดเร็ว

เมืองอินทร์เบิกตากว้างก่อนจะกระชากดาบขึ้นมารับแรงฟันของร่างตรงหน้าทันควัน ดาบคู่ปะทะกันกลางอากาศจนเกิดเสียงลมพัดกรูใหญ่ สายลมหมุนคว้าง...แต่แม้จะพยายามสุดความสามารถก็เป็นเมืองอินทร์ที่ไม่อาจสู้ร่างแปลงตรงหน้าได้ ทั้งความไว ความเหี้ยมเกรียม แต่ละดาบที่ตวัดมานั้นหมายเอาชีวิตทั้งสิ้น ปลายดาบเสือกเข้ามาตรงหน้า เมืองอินทร์เบนเอนกายหลบทันควันแต่ก็ยังไม่แคล้วปลายดาบเฉี่ยวข้างแก้มตนไปได้เลือดซิบ ๆ

“ชะตากรรมคือสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง ข้าต้องขอบใจสีหราชของเจ้า เพียงเพื่อให้เจ้าจดจำมันได้ มันกลายเป็นผู้ปลดผนึกของข้าด้วยคาถาต้องห้ามที่ต้องแลกมาด้วยชีวิตอมตะของมัน !”

ประโยคนั้นทำให้เมืองอินทร์ชะงักกึกไปชั่วขณะ แต่นั่นก็เพียงพอสำหรับร่างแฝดตรงหน้า

ร่างที่ใบหน้าคล้ายกับเขาแสยะยิ้มก่อนจะถลาตามเข้ามาพร้อมกับสะบัดมือครั้งหนึ่งพร้อมกับบริกรรมคาถาวูบหนึ่ง หลุมสีดำสนิทพลันผุดขึ้นตรงหน้าแล้วจู่ ๆ ก็ปรากฏมือสีดำบ้างแดงบ้างนับสิบโผล่ออกมาจากความมืดมิดและลากร่างของเมืองอินทร์ที่เสียหลักถลาเข้าไปสู่ช่องว่างอันดำมืดนั้นทันที! 

“สิ่งที่หายไปในความทรงจำของเจ้า ข้าจะเติมให้เต็มเอง เมืองอินทร์!”

“ต่อให้ครานี้เจ้ามีเทพมาช่วย....ก็ไม่อาจพ้นจากชะตากรรมไปได้!”

“จงเบิ่งตาดูชะตากรรมของเจ้า ว่าชีวิตของเจ้ามันแลกมาด้วยเลือดของผู้ใดบ้าง !”

เสียงหัวเราะเย้ยหยันของร่างแฝดดังไล่หลังมา...แต่ก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้อีกแล้ว...

...................................................

“ไม่จริงใช่ไหม พ่อปู่อินทร์แขวน...ลูกข้า...ไม่ใช่เด็กแห่งชะตากรรมอย่างที่คำทำนายใช่หรือไม่” เสียงสตรีสาวสวยผิวผ่องละล่ำละลักคว้าแขนของพ่อปู่อินทร์แขวนในวัยใกล้ 70 ปี ขณะที่ไอ้แผนผู้เป็นพ่อของเด็กน้อยวัย 5 ขวบรีบดึงตัวเมียรักมากอดไว้แนบอก ชายชราในชุดขาวที่นั่งนิ่งราวกับหินตรงหน้าได้แต่นิ่งงันปล่อยให้น้ำตาหยดลงมาตามร่องแก้มที่ย่นยับตามวัย เนิ่นนานกว่าจะเอ่ยออกมา

“ข้าเสียใจ...ไม่มีทางอื่นแล้วแม่บัว เมืองอินทร์...เป็นเด็กแห่งคำทำนายจริง ๆ เด็กที่ตระกูลเราหวาดหวั่นมาตลอดร้อยปี”

ตรงหน้าบุคคลทั้งสาม เป็นเสื่อกกผืนใหญ่ที่มีไอสีดำสนิทลอยวนเวียนอยู่รอบเด็กผู้ชายวัย 5 ขวบ ปะทะกับไอสีขาวบริสุทธิ์ที่คลุ้งลอยอยู่ตรงหน้าเช่นกัน เด็กน้อยในชุดสีขาวสะอาดตายังคงหลับสนิทด้วยมนตร์สะกด ไอทิพย์และไอมารต่างผลัดกันวนเวียนรอบกายเด็กน้อยตรงหน้า รอบตัวของเด็กมีสายสิญจน์สีขาวขึงไว้โดยรอบพร้อมกับพระพุทธรูปปางมารวิชัยในซุ้มเรือนแก้วตั้งอยู่เหนือศีรษะเด็กน้อย หน้าประตูเรือนไม้ไผ่แห่งนั้นมีผู้คนหลายสิบคนที่รุมล้อมจ้องมองร่างบนเสื่อกกดังกล่าว

“หมู่บ้านประชุมกันแล้ว...เราเก็บอ้ายอินทร์ไว้ไม่ได้ เพราะยากจะรู้ว่าในอนาตตดวงจิตของมันจักเป็นผู้ทำลายล้าง...หรือจะเป็นผู้คุ้มครอง ทางเดียวคือต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม แม่บัว ไอ้แผน เชื่อข้าเถิด ข้าไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว...”

เสียงปู่อินทร์แขวนสั่นเครือเพราะสงสารหลานชายคนแรกจับใจ

“ข้าไม่ยอม ! ลูกข้า...อ้ายอินทร์เป็นเด็กดีมันไม่เคยทำบาปกรรมแม้สักน้อย...มันจะกลายเป็นจอมคาถามนตร์ดำได้อย่างไรกัน ข้าไม่เชื่อ !” เสียงแม่บัวกรีดร้องและกางแขนกั้นผู้คนให้ออกจากลูกน้อย

“พ่อ...ข้าขอร้องล่ะ ข้าจะออกจากหมู่บ้านจักพาอีบัวแลอ้ายอินทร์ออกไปให้ไกล...ไม่ให้มันอยู่ใกล้ตำราคาถาเลย ข้าขอร้อง...ขอโอกาสรอดให้ลูกข้าเถิด อย่าฆ่ามันเลย มันเด็กนัก” เสียงไอ้แผน ผู้เป็นพ่อสั่นเครือแล้วคุกเข่าลงแล้วกอดร่างเมียรักไว้แน่น

“อ้ายแผน ลูกเจ้ามันเกิดเสาร์ ๕ แรม ๕ ค่ำ เดือน ๕ แลยังเป็นยาม ๕ อีกด้วย พระอาทิตย์ทรงกลดในวันนั้น ผู้คนในหมู่บ้านก็กริ่งเกรงกันแล้วว่าจักเป็นจอมอาคม ข้าก็เฝ้าหวังว่ามันจะเป็นจอมขมังเวทสายขาวคนต่อไป แต่ใครจะรู้เมื่อวันนี้มันได้ 5 ขวบ ไอเวทสายดำปรากฏขึ้นบนตัวมัน แล้วเจ้าจักให้ข้าทำอย่างไร เมื่อเจ้าก็รู้ดีว่า เชื้อสายของหมู่บ้านเราล้วนแต่สืบทอดและเกิดมาเพื่อเป็นจอมขมังเวทสายขาวทั้งสิ้น” ชายชราตรงหน้าพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

 “คำทำนายที่ผู้เฒ่าผู้แก่บอกต่อ ๆ กันมานั้นเตือนไว้ว่า ในหมู่บ้านเราจักมีเด็กแห่งชะตากรรมที่อาจจะผลักโลกให้เข้าสู่ยุคไสยเวทและการทำลายล้าง เด็กชายที่ไม่อาจรู้ว่าจะเป็นมหาจอมเวทหรือจอมทำลายล้าง ข้าเองก็ไม่อยากให้ชะตากรรมเยี่ยงนี้เกิดกับหลานชายของข้า!” ปู่อินทร์แขวนตะโกนทั้งน้ำตา

กลางดึกคืนนั้น อ้ายแผนและแม่บัวคว้าห่อย่ามและแอบอุ้มเมืองอินทร์ที่หลับใหลออกจากเรือนกลางของหมู่บ้านอย่างเงียบเชียบ แต่เพียงไม่นาน เมื่อพ้นเขตอาคมของหมู่บ้านได้ไม่นาน เสียงหวีดร้องก็ดังลั่นที่ชายป่าทำให้เหล่าชายฉกรรจ์ของหมู่บ้านกรูกันออกไปตามเสียงหวีดร้องนั้น

ภาพตรงหน้าทำให้ผู้คนที่เห็นเบือนหน้าหนีด้วยความสยดสยอง ชิ้นส่วนร่างของสตรีผู้เป็นมารดาคล้ายถูกสัตว์ร้ายฉีกกินจนขาดวิ่น ส่วนผู้เป็นบิดานอนร้องครวญครางพร้อมกับอวัยวะที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นดินเลอะ ๆ ราตรีที่เคยหอมกลิ่นดอกราตรีกลับอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง อินทร์แขวนวิ่งกรูตามเข้ามาก่อนจะเข่าอ่อนทรุดฮวบลงเมื่อเห็นภาพตรงหน้า

ร่างเล็ก ๆ ที่ลอยในอากาศมีดวงตาสีแดงก่ำราวกับทับทิมเนื้อดี แววตาที่ไม่อาจบอกได้ว่าเป็นมนุษย์ ไอสีดำกรุ่นลอยม้วนตัวอยู่กลางอากาศ เสื้อผ้าสีขาวสะอาดของเด็กน้อยเมื่อครู่ถูกย้อมไปด้วยสีแดงของโลหิต เจ้าตัวกำลังเลียนิ้วมือทั้งสองข้างอย่างช้า ๆ ราวกับกำลังพอใจเป็นอย่างยิ่ง!

นั่น...ไม่ใช่เด็กน้อยเมืองอินทร์อีกแล้ว...แต่เป็นวิญญาณที่ถูกพลังไสยเวทด้านมืดเข้าครอบงำ!

“มน อุจฺฉินฺท ! (ขจัดดวงจิต)” เสียงตะโกนคาถาของเหล่าชายฉกรรจ์นับสิบที่กรูกันเข้ามาพร้อมกับกำกับจิตพร้อมกัน

“คิดจะตรึงร่างข้าไว้...เร็วไปร้อยปี !” เสียงจากร่างเมืองอินทร์เหี้ยมเกรียมราวมิใช่เด็กน้อย

“ปล่อยอ้ายอินทร์เสีย อ้ายผีร้าย!” ปู่อินทร์แขวนตวาดดังขึ้นก่อนจะคว้าข้าวสารบริกรรมเวทซัดตรงไปยังร่างที่ลอยอยู่ในอากาศ

“เปล่าประโยชน์ ! แม้ร่างนี้มีวิญญาณทั้งดีและชั่ว...แต่ข้าจักเอาดวงจิตมันย้อมด้วยเลือดจนดำสนิท...” เสียงประหลาดจากร่างเด็กน้อยดังขึ้นท่ามกลางการตกตะลึงของทุกคนตรงหน้า แต่แล้วเหตุการณ์ก็พลิกผันเมื่อมีเงาดำสายหนึ่งกระโจนกอดร่างเล็ก ๆ ในอากาศก่อนจะตะโกน

“ทุกคน ! มัดร่างข้าไว้เร็ว!” เป็นอ้ายแผนที่ใช้พลังเฮือกสุดท้ายรั้งร่างลูกชายคนเดียวลงมาในที่สุด

เจ้าตัวฝืนกอดร่างเด็กน้อยจากด้านหลัง อาคมบริกรรมจากผู้เป็นพ่อดังรัวเร็ว แต่ไหนเลยจะรั้งไอแห่งไสยเวทมืดได้

“ดื้อด้าน !” สิ้นคำนั้นของเด็กน้อย อ้ายแผนก็ตาเหลือกค้างเมื่อหนังสัตว์ไม่รู้ที่มาพุ่งเสียบทะลุออกจากร่างของมัน หนังสัตว์สีดำพร้อมกลิ่นโสโครกคละคลุ้งน่าอาเจียนทะลุร่างของผู้เป็นพ่อออกมาเป็นที่สยดสยอง จนร่างนั้นกระตุกระริกแล้วคลายมือลง แต่จังหวะนั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนโยนสายสิญจน์อาคมสีขาวพร้อมกับกล่าวอาราธนาพระพุทธคุณ บทอิติปิโสดังขึ้นพร้อมเพรียงกัน เสียงสาธยายมนตร์ทำให้ร่างนั้นดิ้นเป็นพัลวันแต่ก็ไม่หลุดจากวงล้อมสายสิญจน์ไปได้ เชือกสายสิญจน์ที่เพิ่มขึ้นเป็นสิบ ๆ พร้อมเสียงบริกรรมจากเหล่าจอมเวทสายขาวจำนวนมากรั้งร่างนั้นไว้จนค่อย ๆ เอนร่วงลงสู่ดินในที่สุด เลือดที่เลอะมือทั้งสองข้างของเด็กน้อยไหลหยดเป็นทางยาว

“วันใดที่ข้าหลุดไปได้...ข้าจักย้อมโลกใบนี้ให้เป็นฝันร้ายของมนุษย์ !” ประโยคสุดท้ายก่อนที่ดวงตาสีแดงจัดจะหรู่หรุบลง

ร่างเล็ก ๆ ที่หลับด้วยอาคมถูกพันด้วยสายสิญจน์จนแน่นและโยงไว้กับพระประธานในพระอุโบสถของหมู่บ้าน

มีดหมออาคมถูกอินทร์แขวน ผู้อาวุโสของหมู่บ้านเงื้อง่าอยู่พร้อมกับคำบริกรรมคาถา แต่จนแล้วจนรอดเจ้าตัวก็ไม่อาจหักใจปักมีดนั่นลงกลางอกของเด็กน้อยไร้เดียงสาได้ ท่ามกลางเสียงร้องไห้ของผู้คน ร่างของบุตรชายและสะใภ้ถูกวางบนกองฟอนเตรียมจัดพิธีเผา อินทร์แขวนเหลียวมองไปทางร่างไร้วิญญาณทั้งสอง ก่อนจะทรุดฮวบลงกับพื้นแล้วกอดร่างของหลานชายคนเดียวไว้ทั้งน้ำตา

“...ข้า....ข้าทำไม่ได้จริง ๆ” เสียงสั่นเครือของปู่อินทร์แขวนดังขึ้นกลางวงเหล่าจอมเวทอาคมของหมู่บ้านพราหมณ์

“ต้องสังหารเด็กนี่เท่านั้น ท่านปู่...มันไม่มีทางอื่นอีกแล้ว ท่านก็เห็นว่าแม้อายุ 5 ขวบ แต่วิญญาณนั้นกล้าแกร่งยิ่งนักหากปล่อยไว้นานไป เราอาจจะต้านไม่อยู่ก็ได้ แล้วเราจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่ ท่านคิดว่าจะรับผิดชอบบาปกรรมที่อาจจะเกิดขึ้นได้หรือ” เสียงรองผู้นำหมู่บ้านตะโกนขึ้น

“อาจ...อาจจะเท่านั้น เมืองอินทร์ยังมีสองวิญญาณในนี้ อีกวิญญาณบริสุทธิ์และสะอาด...” อินทร์แขวนแย้งเบา ๆ แล้วพูดต่อ

“ลูกชายข้า...สะใภ้ข้า ยอมสละชีวิตเพื่อเสี่ยงกับอ้ายอินทร์ ข้าขอวิงวอนพวกเจ้า...ยังพอมีทางออก”

อินทร์แขวนกลั้นใจอยู่พักใหญ่ก่อนจะเอ่ยขึ้น

“ข้าจักใช้อาคมสลักวิญญาณ !” ประโยคนั้นทำให้ทุกคนในหมู่บ้านตื่นตะลึง

“ท่านปู่ ! เดิมพันครั้งนี้ท่านจะแลกมันด้วยสิ่งใด ท่านรู้ดีว่านั่นคืออาคมต้องห้ามของหมู่บ้านเรา !” ประโยคนั้นทำให้ดวงตาฝ้าฟางหรุบลงแต่วูบเดียวก็ตัดสินใจแน่วแน่

“ข้ารู้ดี...อาคมนี้ต้องแลกมาด้วยสิ่งใด...แต่ข้าขอเพียงโอกาสให้หลานข้ารอด !”

....................................................

ศิลาหินสีแดงถูกก่อขึ้นอย่างเร่งด่วน ผู้คนในหมู่บ้านทุ่มเถียงกันลั่น ร่างของเด็กน้อยที่มัดด้วยด้ายสายสิญจน์และติดยันต์อาคมกลางอกยังคงหลับสนิท มือสองข้างยังคงเลอะเลือดของผู้เป็นมารดา สายตาของอินทร์แขวนมองผู้เป็นหลานชายคนเดียวอย่างปวดร้าว ทันทีที่ร่างเมืองอินทร์ถูกนำเข้าไปในห้องศิลา อาคมที่ติดอยู่ริมผนังศิลาเรืองวาวกลางความมืด เหลือเพียงช่องว่างเล็ก ๆ พอให้อากาศลอดออกมาได้เท่านั้น สายสิญจน์อาคมค่อย ๆ เลือนลงพร้อมกับประตูศิลาที่เคลื่อนปิด ดวงตาสีแดงจัดพลันวาวโรจน์ เด็กวัย 5 ขวบหัวเราะเสียงแหลมก้องไปทั่วศิลา

“ข้าจะผนึกความทรงจำและสะกดพลังเวทสายดำไว้ของเมืองอินทร์ไว้ ข้าขอพวกท่านเพียงเท่านี้ ถือว่าเป็นคำขอสุดท้ายของข้า หัวหน้าหมู่บ้านพราหมณ์แห่งนี้เถิดนะ...”

อินทร์แขวนเอ่ยเบา ๆ และมองเหล่าจอมขมังเวทรุ่นหลังที่เขาเป็นครูฝึกขึ้นมาทั้งหมด สีหน้าทุกคนตรงหน้ากระอักกระอ่วนคล้ายกับไม่เต็มใจนัก แต่ก็ไม่อาจขัดคำขอร้องสุดท้ายของผู้เป็นทั้งอาจารย์และหัวหน้าหมู่บ้านได้

“หลังข้าทำพิธีกรรมแล้วให้พวกเจ้าปิดประตูศิลาแห่งนี้ไว้ 3 ราตรี จากนั้นก่อนแสงอาทิตย์แรกขึ้น พวกเจ้าจงอุ้มอ้ายอินทร์ที่หลับอยู่ไปรอที่เชิงป่านอกหมู่บ้าน...” อินทร์แขวนเอ่ยเบา ๆ

“แล้วอ้ายอินทร์มันจะจำหมู่บ้านและกลับมาหรือไม่เล่าท่านปู่...หากมันจดจำเรื่องราวได้” อีกคนถามขึ้น

“ไม่ต้องห่วง ข้าจักสร้างความทรงจำอื่นให้มันเอง อ้ายอินทร์จักอยู่กับความทรงจำที่เกลียดชังพ่อแม่ตนจนไม่คิดหวนคืนหมู่บ้านแห่งนี้อีกเลย” แววตาคนเป็นปู่หม่นเศร้า

“แต่ยังต้องอาศัยสัจจาธิษฐานในการผนึกความทรงจำด้วย แล้วท่านจักใช้สิ่งใดเป็นสัจจาธิษฐานของหลานชายท่านเล่าอินทร์แขวน”

“สิ่งที่ไม่อาจมีบุรุษผู้ใดทำได้..."

"สลักอาคมของข้านั้นจักคงอยู่ไปชั่วกาล หากเมืองอินทร์มีรักกับสตรีแต่งงานแลออกเรือนหรือออกบวช !" สีหน้าของอินทร์แขวนมั่นใจ

“หมายความว่า สลักอาคมนี้จะไม่หลุดหากมันมีรักแท้กับสตรี...แต่หากมันเกิดรักแท้กับบุรุษเล่า...” อีกคนหนึ่งโพล่งขึ้นมา

“เรื่องอย่างนั้นไม่มีวันเกิดขึ้น ! ข้าไม่เชื่อว่าจะมีรักแท้ระหว่างบุรุษแลบุรุษด้วยกัน ตราบเท่าที่สองคนไม่มีสัมพันธ์ทางกายที่ลึกซึ้งและไม่ใช่รักแท้...สลักอาคมนี้จักไม่มีวันหลุดเป็นอันขาด !” อินทร์แขวนหันไปตวาดใส่เหล่าจอมเวทที่ตั้งคำถามนั้น ก่อนจะเหลียวมองร่างหลานชายที่นอนนิ่งอยู่ตรงหน้าอย่างอาวรณ์

ขอเพียงสลักอาคมไม่หลุด...ดวงจิตไสยมืดก็จะถูกปิดผนึกไปตลอดกาล

เสียงบริกรรมคาถาอาคมต้องห้ามดังก้องในห้องศิลานั่นเมื่ออินทร์แขวนและเมืองอินทร์อยู่ในห้องเดียวกัน ร่างทั้งสองห่างกันเพียงช่องลมที่กั้นกลางเท่านั้น เสียงตะกุยตะกายผนังศิลาจากด้านเมืองอินทร์ดังตลอด 3 ราตรี เทียนขาวที่จุดรายล้อมห้องศิลาสว่างโรจน์ไม่ดับเลยแม้จะมีเสียงคล้ายลมพายุกระโชกโดยรอบ ผู้คนที่ไม่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมต่างหลบอยู่แต่ในเรือนของตนเท่านั้น สายสิญจน์อาคมถูกจูงโยงจากห้องศิลาออกมายังลานโล่งกลางหมู่บ้าน พระพุทธรูปองค์ประธานของหมู่บ้านพราหมณ์ถูกอัญเชิญออกมาอยู่ตรงหน้า พระหัตถ์ถูกคล้องด้วยสายสิญจน์อาคมจำนวนมากและดึงโยงมาคลุมห้องศิลาไว้ทุกด้าน จนกระทั่งเสียงตะกุยผนังเงียบลงเมื่อย่างเข้ารุ่งสางของวันที่สาม เทียนอาคมพลันดับลงพร้อมกับเสียงตะกุยตะกายผนังศิลาที่เงียบกริบ ท้องฟ้าค่อย ๆ เรืองรองด้วยแสงอาทิตย์ทีละน้อย ๆ พลันนั้นประตูห้องศิลาเปิดออกพร้อมกับร่างเด็กน้อยเมืองอินทร์ที่หลับสนิท

“ท่านอินทร์แขวนหายไปไหน ?” เด็กหนุ่มสองสามคนที่ถูกมอบหมายภารกิจ ก้าวเข้ามาก่อนจะเหลียวมองไปรอบห้องศิลาอย่างงุนงง แต่ก็โดนอีกคนหนาบเข้าให้ทันควัน

“ท่านคงออกไปเตรียมแล้วการล่ะ เอ็งรีบอุ้มอ้ายอินทร์ออกมาก่อนดีกว่า ประเดี๋ยวต้องผลัดเปลี่ยนเสื้อให้มันด้วย”

เด็กน้อยถูกเด็กหนุ่มสองสามคนช่วยกันอุ้มออกมาเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ จากนั้นรองผู้ใหญ่บ้านก็อุ้มร่างเล็ก ๆ เดินออกมาจากแนวอาคมของหมู่บ้านและอิงร่างเล็ก ๆ นั้นกับเสาไม้ แสงอาทิตย์แรกที่เริ่มสาดส่องเข้ามาทำให้ภาพตรงหน้าคล้ายเด็กน้อยในชุดขาวที่หลับสนิท ขนตายาวเป็นแพและดวงหน้าหวานของเด็กน้อยเมืองอินทร์ทำให้หลายคนที่เดินมาส่งหน้าหมู่บ้านถึงกับน้ำตารื้นอย่างอาลัย จากนั้นเพียงครู่เดียวก่อนที่ใครจะทันสังเกต ปู่อินทร์แขวนในชุดขาวก็ก้าวตรงเข้ามาแล้วช้อนร่างเด็กน้อยไว้ในอ้อมแขนอย่างแผ่วเบา แล้วหันมายิ้มให้เหล่าจอมขมังเวทของหมู่บ้านที่เดินมาส่งตรงหน้า ริมฝีปากเหี่ยวย่นขมุบขมิบเบา ๆ พออ่านได้ว่าขอบใจ แล้วร่างนั้นก็หันหลังเดินจากไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวทั้งสองก็หายไปจากคลองจักษุของทุกคนตรงนั้น

ทางด้านผู้คนในหมู่บ้านพราหมณ์ เด็กสาวแรกรุ่นสองคนก้าวเข้าไปในห้องศิลาหมายจะเก็บกวาดแลทำความสะอาดส่วนที่เหลือ พลันชะงักเท้าก่อนจะกรีดร้องแล้วหันหลังวิ่งออกมาอย่างรวดเร็ว

“ช่วยด้วย ! ใครก็ได้มาดูที...ทะ...ท่านอินทร์แขวน ท่านอินทร์แขวนสิ้นแล้ว ! ”

ร่างผู้อาวุโสของหมู่บ้านเอนกายน้อย ๆ พิงผนังศิลาดังกล่าวไว้ค้างอยู่ในท่าขัดสมาธิ ผิวหนังเริ่มเย็นชืด ใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือดหากแต่มีรอยยิ้มอย่างเป็นสุขแต้มอยู่บนริมฝีปาก

รอยยิ้มที่บอกชัดว่าเจ้าตัวยินดีสละแลกเพื่อหนึ่งชีวิตจะได้รอด

พลันนั้นเหมือนภาพตรงหน้าบิดเบี้ยวทันควัน เหมือนมีบางสิ่งที่กระชากให้ดวงจิตของเมืองอินทร์ถลาตามแสงสว่างที่เจิดจ้า แรงดึงรั้งสีนวลตาทำให้เมืองอินทร์ถูกจากอดีตให้คืนกลับร่างปัจจุบัน...

สัมผัสดินที่เปียกชื้นจากละอองฝนพรำยามนี้บอกว่า เขายังคงนอนนิ่งอยู่หน้าพระวิหารหลังเดิม...แต่ไร้เรี่ยวแรงจะขยับตัว สิ่งที่ชัดเจนแน่นอนแล้วยามนี้คือ

...ไอวิญญาณสีดำสนิทในความฝัน บัดนี้ลอยอวลอ้อยอิ่งอยู่รอบกายเขาราวกับเป็นส่วนหนึ่งของวิญญาณ...

จิตมาร...ที่เคยถูกผนึกจองจำไว้...ยามนี้หลุดออกมาเสียแล้ว

...................................

ออฟไลน์ Wansusu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
น้องต้องเข็มแข็งนะ ลุ้นกัดฟันแล้ววว

ออฟไลน์ wutwit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
ตอนแรกแค่เห็นชื่อเรื่องสะดุดตา พอได้อ่านเท่านั้นแหละ อ่านรวดเดียวยาว ลุ้นเป็นกำลังใจให้ทั้งสองเลย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
อดทนน้า ต้องขจัดมันออกได้

ออฟไลน์ ButlerofLOVE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
CHAPTER
30




ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด จนกระทั่งเสียงร้อนรนกระวนกระวายดังขึ้นข้างกาย

“อ้ายอินทร์ ! เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ตื่นเถอะ ตื่นเร็ว !”

สีหราชกอดเมืองอินทร์ที่หมดสติอยู่กับพื้นพระวิหารไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะอุ้มพารร่างที่ไร้เรี่ยวแรงออกมาด้านนอก พร้อมร่ายคาถาเพลิงสร้างโดมมิติวิญญาณขึ้นมาอีกครั้ง สีหราชสะบัดมือวูบเดียว ก็ปรากฎเรือนจำลองที่ละม้ายคล้ายสำนักดาบขึ้นมาตรงหน้า สีหราชรีบช้อนร่างเล็ก ๆ ขึ้นวางบนตั่งไม้ตรงหน้า

แม้ว่าสีหราชจะบาดเจ็บจากการปะทะกับขุนศรีมาก็ตาม แขนเสื้อเจ้าตัวที่ชุ่มโชกด้วยเลือดจากการปะทะยังคงไหลริน แต่เจ้าตัวไม่ใส่ใจ ดวงตาคมคร้ามจ้องนิ่งมาที่ร่างที่เกร็งดิ้นอยู่กับตั่งไม้อย่างเคร่งเครียด อาคมยมทูตสำหรับฟื้นคืนพลังถูกแบ่งออกมารักษาดวงจิตของเมืองอินทร์ แสงสีทองอ่อน ๆ ละมุนตาค่อย ๆ ไหลเวียนเข้าไปในร่างที่กระสับกระส่ายนั้นจนทำให้เมืองอินทร์ค่อย ๆ สงบลงอย่างช้า ๆ

ในยามนี้ไอไสยเวทสีดำที่ลอยอวลวนรอบกายเมืองอินทร์ค่อย ๆ จางลงทีละนิด เมื่อสีหราชร่ายอาคมสะกดไว้ เมืองอินทร์ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ ก่อนจะโผขึ้นมาขยำเสื้อของคนตรงหน้าแน่นแล้วซุกหน้ากับแผ่นอกกว้างตรงหน้า

...หัวใจกำลังแหลกละเอียดกับความจริงที่ไม่เคยรู้...

“ไม่จริงใช่ไหม...อ้ายสีห์...ข้าไม่เชื่อ ข้าไม่ได้ฆ่าพ่อแม่...ไม่จริง” เสียงสั่นพร่าปนสะอื้น คราบน้ำตาเปื้อนเต็มหน้า มีเพียงสีหราชที่ถอนหายใจช้า ๆ มือหนาค่อย ๆ ลูบปลอบประโลมแผ่นหลังของคนที่สะอื้นจนตัวโยน ท่อนแขนของสีหราชรั้งร่างที่งอกายคู้ลงอย่างหมดเรี่ยวแรงไว้แนบอก

ข้าแต่สวรรค์...ท่านจะทำร้ายหัวใจของเมืองอินทร์ไปถึงไหนกัน ! 

ความทรงจำเก่าที่ว่าพ่อของเมืองอินทร์ติดการพนันและปู่อินทร์แขวนนำเมืองอินทร์มาฝากเป็นทาสสินไถ่ที่เรือนนี้ยังจะดีกว่าความจริงที่ว่าเขาเป็นคนสังหารพ่อแม่แท้ ๆ ของตัวเองเมื่ออายุได้เพียง 5 ขวบ

ความทรงจำลวงที่ว่าร้ายแล้ว ...ยังไม่ถึงเศษเสี้ยวของความจริงที่โหดร้ายสักนิด !

คนตรงหน้ายังคงซุกกายกับอกของสีหราช ไหล่เล็ก ๆ สั่นสะท้านอย่างหยุดไม่ได้

“ไม่...ไม่ใช่ มันไม่ใช่ความผิดของเจ้าเลย เมืองอินทร์” สีหราชเอ่ยพร้อมกับน้ำตาคลอแล้วกอดร่างตรงหน้าแน่นขึ้น

ขณะที่เมืองอินทร์ยังจำภาพในความฝันได้ ....ภาพเงาสีดำสนิทที่แสยะยิ้มอยู่ในความฝัน จิตมาร...อีกครึ่งหนึ่งของตัวเขาที่ถูกปลดผนึกออกมาแล้ว สายตาที่บ้าคลั่งพร้อมจะย้อมโลกใบนี้ให้มอดไหม้...สายตาที่ทำให้เมืองอินทร์สั่นไปทั้งตัว

...พลังเวทสายดำ...หนึ่งในคัมภีร์อาถรรพเวท ช่างรุนแรงอะไรขนาดนั้น

หากเขาต้านทานจิตมารไม่ได้ หรือเมื่อร่างกายนี้ตกไปอยู่ในมือของจิตมาร...

โลกทั้งใบจะมิกลายเป็นสุสานของมนุษย์หรอกหรือ !

“ชู่ว....นิ่งเสียเจ้าตัวเล็ก....ฟังข้านะ อ้ายอินทร์ คนอย่างเจ้า ไม่มีวันทำร้ายใคร ข้าเชื่อเจ้าด้วยหัวใจข้าเอง” มือหนาของสีหราชกระชับร่างในอ้อมแขนแน่นขึ้นกว่าเดิม ก่อนจะจับบ่าทั้งสองข้างแล้วจ้องดวงตาที่แดงก่ำตรงหน้า

...อย่าร้องไห้...เจ้าตัวเล็กของข้า เสียงสะอื้นไห้แบบนี้มันกรีดหัวใจข้า...

“สังหารข้าเถอะอ้ายสีห์ ข้าควรตายไปตั้งแต่ 200 ปีที่แล้ว ข้าไม่อยากทำร้ายท่าน หรือใคร ๆ อีกแล้ว”

มือเรียวของเมืองอินทร์เอื้อมแตะแผลที่แขนของสีหราช สัมผัสที่กดลงบนท่อนแขนทำให้สีหราชเผลอนิ่วหน้าด้วยความเจ็บก่อนจะรีบฝืนทำเป็นไม่รู้สึก

“เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าไม่เป็นอะไรหรอก เดี๋ยวแผลข้าก็หาย...”

“แผลท่านจะไม่หาย และท่านไม่ได้เป็นอมตะเช่นเดิม...” ประโยคเรียบ ๆ ของเมืองอินทร์เอ่ยทั้งน้ำตา

“ตัวข้าอีกคนบอกแล้วว่า ท่านสละทุกสิ่งและตบะเดชะตนเองเพื่อข้า..แต่มันกลับปลดสลักวิญญาณนั่นออกมาด้วย”

ประโยคตรงไปตรงมาทำให้ดวงตาคมคล้ายระริกไหวขึ้นมาวูบหนึ่ง เท่านั้นเพียงพอแล้วสำหรับความจริง

“เหตุนี้ใช่ไหม ท่านถึงอาศัยอัคนิการ์เทวีช่วยรักษาแผลให้ท่านทุกครั้งที่เกิดจากการซ้อมดาบกับข้า”

สีหราชนิ่งงันไม่กล่าวสิ่งใดอีกนอกจากกดจูบที่หน้าผากอย่างแสนรัก

“เลิกคุยเรื่องนี้ได้แล้ว....ข้าไม่เป็นไรดอกเจ้าตัวเล็ก...”

“ทำไมท่านต้องรักข้า ทำไมต้องห่วงใยข้า ทั้งที่ข้าทำร้ายท่าน!”

เมืองอินทร์พยายามดันร่างที่กอดเขาไว้ให้ออกห่าง แต่สีหราชก็ขืนร่างเอาไว้และกอดแน่นขึ้นกว่าเดิม

“ชู่ว...อย่าผลักไสข้า...เมืองอินทร์...ข้าอยู่นี่...ข้าอยู่นี่แล้ว”

เสียงสะอื้นคล้ายจะคลายลง ทำให้สีหราชคลายวงแขนออก ร่างตรงหน้าเปื้อนคราบน้ำตาสายตาเหม่อลอย

....เด็กแห่งชะตากรรมอย่างข้าไม่ควรเกิดมาเลย...

...ข้าสังหารพ่อแม่ตนเองตั้งแต่ 5 ขวบ...

เมืองอินทร์มองดูมือทั้งสองข้างของตนเองก็คล้ายอุปาทานว่าเห็นแต่เลือดเต็มฝ่ามือไปหมด

...มือนี้ที่ข้าใช้สังหารพ่อแม่...

เจ้าตัวหลับตาก่อนจะหันไปคว้าดาบข้างกายกระชากออกหมายจะฟันข้อมือตนเอง แต่แล้วทันใดนั้นก็ต้องตะลึงเมื่อสีหราชกระชากร่างเขาเข้าแนบชิด

“ถ้าเจ้าไม่หยุดคิดทำร้ายตัวเอง ข้าจะจูบเจ้าเดี๋ยวนี้”

พูดไม่พูดเปล่าเจ้าตัวยังสาธิตให้ดูอีกด้วย ริมฝีปากหนากดประทับปิดเสียงอู้อี้ราวกับจะครางประท้วง ความร้อนผ่าวที่บดเบียดลงมาและไออุ่นจากอกกว้างของร่างตรงหน้าราวกับจะปลอบประโลมหัวใจ

รสจูบที่คล้ายกับพระเพลิงร้อนผ่าวที่กลืนทุกสิ่งและมอมเมาให้เขาไขว้เขวไปจากความเศร้าเสียใจตรงหน้า

ดาบ...พลันร่วงลงจากมือ...

ดวงตาคมคร้ามจ้องมาตรงหน้าก่อนจะกดจูบอีกครั้งอย่างแสนรัก

ครานี้ริมฝีปากอุ่นคล้ายละเลียดชิมขบเม้มผะแผ่วอ่อนโยน แววตาคมคร้ามจดจ้องริมฝีปากนุ่มก่อนจะอ้อยอิ่งวนเวียนกลืนกินกลีบปากนุ่มของเขา สายตาที่มองมามีแต่ความหวานฉ่ำจนเมืองอินทร์ต้องเป็นฝ่ายหลบตา แต่เจ้าตัวก็ยังเชยคางเขาไว้แล้วจ้องตานิ่ง ๆ อย่างนั้น

“มองตาข้า...อ้ายอินทร์”

น่าแปลกที่แม้เป็นการจ้องตา...แต่กลับทำให้หัวใจอุ่นจัดขึ้นได้จริง ๆ

สายตาคนตรงหน้าบอกทุกอย่างได้ดีกว่าคำพูดเสียอีก...

“ต่อให้ใครจะพูดว่าเจ้าจะเป็นปีศาจร้าย เป็นภาชนะแห่งไสยเวท ข้าไม่ฟังทั้งนั้น...ข้าเชื่อหัวใจของเจ้า”

“เมืองอินทร์...จะมีปีศาจตนใดจะปรารถนาให้ตนเองตายเพื่อผู้อื่นได้รอดพ้นกันบ้าง”

มืออุ่นของสีหราชไล้ตามวงหน้าอย่างเบามือก่อนจะกดร่างนั้นแนบหัวใจของเขา เสียงสะอื้น...เบาลงทีละน้อย

เมืองอินทร์เงยหน้ามองสีหราช

...หากหัวใจแตกสลายเพราะความจริง...ก็เป็นคนตรงหน้าที่กอบเอาหัวใจที่แตกสลายของเขาขึ้นมา...

...ข้ารักท่านหมดหัวใจ...สีหราช...ขอบคุณที่อยู่เคียงข้างข้า....

คนตรงหน้าค่อย ๆ ปาดน้ำตาที่หยดเผาะ ๆ ของเขาอย่างช้า ๆ แล้วโน้มกายลงจูบซับผิวแก้มที่เลอะคราบน้ำตา

“เมืองอินทร์...เจ้ามีข้า...อยู่กับข้า เป็นทุกสิ่งของข้า อย่าหนีข้าไปไหน”

จูบที่เริ่มต้นจากความอ่อนโยนแผ่ว ๆ ยามนี้กลับร้อนแรงขึ้นอย่างไม่มีใครยอมใคร...

ไม่รู้แล้วว่าเป็นเขาหรือสีหราชที่มึนเมาในรสจูบ เพราะอาภรณ์ของทั้งคู่ค่อย ๆ เลื่อนหลุดลงกองกับพื้นทีละชิ้น ราวกับเสื้อผ้าเหล่านั้นเป็นไฟที่ต้องสลัดออกไป ความหวานหวามโหมกระหน่ำคนทั้งคู่

ให้ตายเถอะ ! ตอนนี้อ้ายสีห์เหมือนจะมีสักสิบมือในคนเดียว หรือว่าเขากำลังตาลายกันแน่

จู่ ๆ แผ่นหลังเมืองอินทร์ก็สัมผัสตั่งนุ่ม ก่อนที่ร่างหนาของสีหราชจะทาบทับตามลงมา ปลายนิ้วเมืองอินทร์ไล้สัมผัสแผ่นหลังแข็งแรงของคนตรงหน้า เสียงหายใจแรงของสีหราชและใบหน้าที่เริ่มแดงนิด ๆ ของสีหราชกับสายตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนาล้นเอ่อ ปลายนิ้วไล้เลื่อนลงก่อนจะเผลอแตะท่อนแขนที่มีแผลของสีหราช เลือดเหมือนจะหยุดแล้ว เมืองอินทร์กดแตะสำรวจท่อนแขนยมทูตหนุ่มเบา ๆ

“อ้ายสีห์...เจ้ายังเจ็บแขนอยู่เลย...”

สีหราชนิ่วหน้านิดหน่อยเหลียวมองท่อนแขนตนเองก่อนจะหันกลับแล้วรั้งเอวเมืองอินทร์เข้าแนบชิด และเป็นเขาที่หน้าแดงก่ำเมื่อช่วงล่างสัมผัสประชิดติดหน้าท้องแกร่งของคนตรงหน้า กล้ามเนื้อได้รูปสวยและวีไลน์ของคนตรงหน้าแข็งและหนั่นแน่นแข็งแรง 

“เจ็บแขน...แต่ก็ทำอย่างอื่นได้นะ...” สายตาพริบพราวก่อนจะก้มลงขบเม้มหัวไหล่ขวาของร่างที่อยู่ข้างใต้อย่างมันเขี้ยว

ยมทูตบ้า...ทำไมดูดีขนาดนี้...จะเอาร่างแกร่งนี้ไปหลอกหัวใจผีที่ไหนกัน

“ของเจ้า...ของเจ้าคนเดียว” เสียงพึมพำสั่นพร่าของร่างตรงหน้าและใบหน้าที่ขยับมาใกล้ทำให้เมืองอินทร์ตาโต

“ข้า...เป็นของเจ้า...ทุกส่วน” พูดไม่พูดเปล่าเจ้าตัวคว้ามือเขาแนบแผ่นอกกว้างและเลื่อนไปแตะที่ตำแหน่งหัวใจ

เมืองอินทร์หน้าแดงก่ำ แต่แล้วก็เบิกตาโตเป็นสองเท่าเมื่อสีหราชยิ้มนิด ๆ ก่อนจะคว้ามือเขาเลื่อนต่ำลงไปใต้วีไลน์

“นี่...ก็ของเจ้า...” เจ้าตัวชะโงกมากระซิบข้างหู สัมผัสอุ่นร้อนจัดแข็งขึงที่แทบจะกำไม่รอบอยู่ในมือเขา

100 องศาเซลเซียส! ตอนนี้คืออุณหภูมิใบหน้าเขาตอนนี้ !

…อ้ายสีห์! ลามก! ทำไมเปิดเผยขนาดนี้ ! 

แต่ละสัมผัสที่โดนผิวกายทำให้สมองขาวโพลนไปหมด ริมฝีปากและปลายนิ้วของคนตรงหน้าทำงานกันอย่างสามัคคีเหลือเกิน ยอดอกขาวเนียนถูกคนตรงหน้ากอบกุมดูดดึงด้วยโพรงปากร้อน ๆ การตวัดลิ้นขบเม้มทำให้เขาเผลอแอ่นกายรับสัมผัสรักของคนตรงหน้า แม้จะพยายามกลั้นเสียงครางไว้แล้วแต่เหมือนสีหราชที่คร่อมกายอยู่จะรู้ทัน

ลิ้นร้อนละเลงเน้น ๆ ลงมาจนเป็นเมืองอินทร์ที่ต้องดิ้นพล่านบนเตียงและปล่อยเสียงครางอย่างสุดจะกลั้น มือทั้งสองข้างเหมือนจะหลุดการควบคุมไปแล้วเพราะขยี้ขยำเรือนผมของร่างที่คร่อมอยู่ แต่พอจะตั้งสติได้สักหน่อยก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อความวาบหวามไต่สูงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะยมทูตคลั่งรักไล้จมูกและปากลงต่ำไปเรื่อย ๆ หน้าท้องยามนี้เขม็งเกร็งด้วยความเสียดเสียว มือทั้งสองข้างของคนซุกซนก็ไล่ช้อนแผ่นหลังก่อนจะปัดป่ายนวดเฟ้นช่วงเอวจนเขาแทบละลายคาเตียงอีกรอบ

ให้ตายเถอะ....คนตรงหน้านี่จูบเก่งเป็นบ้า เอะอะก็จูบ เอะอะก็จับ ราวกับมีสิบมือ

มารู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นเนยเหลว ๆ ที่โดนความร้อนเมื่อคนตรงหน้าเลียริมฝีปากก่อนจะครอบลงมาบนกายเขาที่ลุกฮืออยู่ในอุ้งมือร้อน จังหวะที่ตัวตนตรงหน้าปรนเปรอทำให้หลอมละลาย ผู้ชายด้วยกันย่อมรู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องการสิ่งใด อ้ายสีหราชรู้ไปหมด...รู้ดีเกินไป...

"ให้ข้าปลอบใจเจ้านะ...ข้าจะปลอบอย่างดี..." เสียงพร่าทุ้มของร่างสูงที่แนบชิดทำให้เขาห่อกายแล้วเผลอกัดริมฝีปากเบา ๆ ก่อนจะครางฮือกับสัมผัสร้ายของร่างตรงหน้า

...ปลอบแบบนี้...คงได้หลอมละลายเป็นหนึ่งเดียวแน่...

“อ๊า....ตรงนั้น...อย่า....”

CUT SCENE ลงเฉพาะเล่มนิยายและอีบุ๊ค (4 หน้า)

ม่านดาราที่พร่างเต็มท้องฟ้าในยามนี้...ลึกล้ำและขยายทุกสิ่งจนแนบแน่นไปหมด

การขยับกายเพียงนิดก็พาทั้งคู่พุ่งแตะทะยานไปที่ปลายขอบฟ้า !

คนด้านหลังเหมือนคลั่งรัก...ไม่ยอมเพลาลงเลย...สักนิด ไม่มีหยุดพักเลย

...ท้องเขาจะทะลุไหมนะ...แรงขนาดนี้...อ้ายสีห์คนหื่น !...

การแสดงออกของสีหราชบอกทุกอย่างที่ซ่อนอยู่ในความรู้สึก สองร่างแนบชิดจนแทบหลอมรวมกันเป็นหนึ่ง เหงื่อท่วมกายของเขาและสีหราช

การเป็นที่รัก...อย่างมากมายของใครสักคนมันดีงามเช่นนี้เอง

เมืองอินทร์หยัดกายขึ้นจนสะโพกแนบชิดกับตัวตนของผู้ลงทัณฑ์ก่อนจะเอี้ยวกายไปเกี่ยวต้นคอคนร้ายกาจมาจูบเบา ๆ สีหราชก็ไม่ยอมแพ้...แลกจูบกับเขาดุเดือด..โดยไม่เคลื่อนกายห่างสักนิด

...น่าจะมีรางวัล...สามีดีเด่น...

“สัมผัส...สัมผัสข้าสิ เมืองอินทร์ มีเพียงเจ้าที่ข้าจะฝากรักมากมาย...เช่นนี้...” เสียงกระซิบนั่นดังอยู่ข้างหู

“ข้าจะทำรักเจ้า...จนเจ้าลืมสัมผัสข้าไม่ลง...” เสียงห้าวทุ้มไม่วายสั่งการอย่างเอาแต่ใจ

คลื่นความรู้สึกถาโถมเข้ามาไม่หยุดยั้ง คนตรงหน้าไม่อาจหยุดได้อีกแล้วและเป็นเขาที่ไม่อาจหยุดได้เช่นกัน มีเพียงอ้อมแขนตรงหน้าที่จะปกปักเขาไว้ทุกครั้งตั้งแต่อดีตชาติ และจนบัดนี้ ร่างกายแข็งแกร่งที่แทรกเข้ามาฝากความรู้สึกลึกล้ำและสุขสมให้เขาจนแทบสำลัก

“เจ้าเป็นของข้า....เมืองอินทร์ ของข้าเท่านั้น...” เป็นสีหราชที่ครางละเมอและก่ายมือรัดเขาไว้แน่น ดูคล้ายจะอิดโรย

“อา..ท่านก็เป็นทุกสิ่งของข้า อ้ายสีห์...” เขาครางก่อนจะพึมพำเบา ๆ บนกายแกร่งที่แนบชิด

“เจ้าน่ารักขนาดนี้...ทำให้ข้าอยากกินเจ้า...ไม่รู้จบ...” ว่าแล้วคนตัวโตก็พลิกกายลงคร่อมอีกครั้ง ก่อนจะเสยผมตัวเองที่ชื้นเหงื่อ ใบหน้าคมสันที่แดงก่ำก้มต่ำลงมาคล้ายจะเว้าวอน...

บ้าสิ....ท่าทางอิดโรยเมื่อครู่คือหลอกให้ดีใจใช่ไหม ตอบมานะ !

อ้ายสีห์ คนหื่น !

อุณหภูมิในโดมมิติวิญญาณนี้ควรจะอุ่นสบาย แต่ยามนี้กลับร้อนราวกับเพลิงพายุโหมกระหน่ำวนเวียนอยู่ในนี้

“ข้ารักเจ้าสุดหัวใจ...” เสียงสีหราชกระซิบหวานข้างหู

“ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้า...เมืองอินทร์..ตลอดไป”

ไม่รู้ว่าผีจะหัวใจวายคาอกได้ไหม...ถ้ามีสงสัยจะมีเขาเป็นตัวแรกที่ตายซ้ำด้วยเหตุนั้น...

ดอกชมพูพันธุ์ทิพย์อยู่ด้านนอกโดมมิติวิญญาณ..กำลังพรูลงตามสายลม พายุพัดกระโชกฮือจนกิ่งไม้ใบหญ้าหักโค่นลง สายฝนค่อย ๆ พรมลงบนพื้นดินจนเปียกชุ่ม และยังคงพรมอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งแสงอาทิตย์แรกสาดส่องขึ้น...
...............................................................

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
จรัาาาา ยังมีอารม

ออฟไลน์ ButlerofLOVE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
555 นั่นสิคะ ตาสีหราชนี่น้าาา น่าจับตีก้นจะปลอบใจอะไรกันก็ไม่รู้ตอนนี้ 555

ออฟไลน์ wutwit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
เอ่อ ไปต่อไม่ถูกเลย

ออฟไลน์ ButlerofLOVE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
CHAPTER
31




แสงอาทิตย์รำไรค่อย ๆ ขึ้นสู่ท้องฟ้าทีละนิด ในโดมมิติวิญญาณที่อุ่นสบายตอนนี้มีเพียงเมืองอินทร์ที่รู้ดีว่าตั้งแต่รุ่งสางมา เขาก็นอนไม่หลับอีกเลย เพราะมีหลายสิ่งที่คิดมากมายอยู่ในหัว ในยามนี้ท่อนแขนแข็งแรงของสีหราชกำลังพาดก่ายอยู่บนตัวเขา ปลายจมูกโด่งและขนตายาว ๆ ของยมทูตหนุ่มที่นอนตะแคงกอดเขาอยู่เป็นสิ่งที่เขารัก จริง ๆ คือเขารักทุกสิ่งของผู้ชายตรงนี้ ผู้ชายที่ทั้งหัวใจและร่างกายต่างพร่ำบอกรักเขาทั้งคืน

เมืองอินทร์ตะแคงมองทุกอากัปกริยาของยมทูตหนุ่มที่นอนหลับนิ่ง ลมหายใจของสีหราชสม่ำเสมอ จังหวะหายใจแบบนี้กลายเป็นความคุ้นชินของเขาเองมาช่วงหนึ่งแล้ว คืนไหนไม่ได้ยินเสียงคล้ายจะนอนไม่หลับ แผ่นอกของยมทูตหนุ่มที่ขยับเบา ๆ และอุ่นจัด กลิ่นหอมที่แฝงความดุของร่างตรงหน้ายังคงแนบชิดติดกายอย่างนั้น แต่ความรู้สึกวูบโหวงในหัวใจทำให้เมืองอินทร์ตัดสินใจกระถดตัวเข้าไปซุกในอ้อมแขนคนที่หลับอยู่อีกครั้ง

แผ่นอกนี้อุ่นและมั่นคงนัก ขอข้ากอด...อีกสักครู่จะได้ไหม

สัมผัสที่เบียดร่างเข้าหาทำให้ สีหราชค่อย ๆ ลืมตาขึ้นก่อนจะกดร่างเล็ก ๆ ให้เข้ามาใกล้มากขึ้น

“ตื่นแล้วหรือ...เจ้าแมวน้อยของข้า” สายตาหยอกล้อนิด ๆ ของสีหราชทำให้รีบหลบตานิด ๆ อย่างขัดเขินแต่ก็รู้ดีว่าไม่มีประโยชน์เพราะจมูกโด่งกดประทับลงมาขโมยหอมแก้มเขาอย่างมันเขี้ยว ริมฝีปากหนานุ่มแกล้งขบติ่งหูเขาเบา ๆ ก่อนจะออเซาะ

“เจ้าทำตัวน่ารักแบบนี้...เดี๋ยวโดนจับกินแต่เช้า...ไม่รู้ด้วยนะ”

แต่สีหราชกลับนิ่งงันเมื่อผู้ที่คิดว่าจะขัดเขินกลับยิ้มให้แล้วกระซิบเบา ๆ

“จูบข้าได้ไหม อ้ายสีห์...ได้โปรด”

สิ้นคำนั้นเอง สีหราชก็พลิกกายคร่อมร่างที่ร้องขอความหอมหวานยามเช้าจากเขา ริมฝีปากและใบหน้าทั้งคู่ต่างเอียงหามุมที่สร้างสัมผัสแนบแน่น เจ้าตัวค่อย ๆ ขบเม้มลิ้มชิมริมฝีปากที่แดงจัดของร่างตรงหน้า ลมหายใจร้อนผ่าวแนบชิดใกล้ มือซุกซนยังคงสอดเข้ามาเคล้าคลึงแผ่นหลังนุ่มของคนตรงหน้า หากจุมพิตเช้านี้เป็นพายุ...คงเป็นพายุที่วาบหวามหัวใจของคนทั้งคู่ คนที่ร้องขอจูบหลับตานิ่งแล้วกดมือเรียวไล้ตามแนวสันหลังของสีหราชราวจะซึมซับทุกสิ่งไว้ให้เนิ่นนาน

“ข้าสัญญาว่าจากนี้ไปจะปลุกเจ้าทุกเช้า...” สีหราชกระซิบเบา ๆ ก่อนจะยกนิ้วมือเล็ก ๆ ของเมืองอินทร์ขึ้นมาจูบไล่ทีละนิ้วอย่างอ้อยอิ่ง สัมผัสอุ่น ๆ นั้นทำให้คนตัวเล็กกว่าน้ำตารื้น

....อย่าทำให้ข้ารักท่านไปมากกว่านี้...อ้ายสีหราช

หากข้าจดจำท่านไม่ได้และสังหารท่าน วิญญาณข้าคงต้องแตกสลายเป็นแน่

“ข้ารักเจ้าขนาดนี้แล้ว เจ้าพอจะจำเรื่องราวของเราได้บ้างไหม...อ้ายอินทร์..” เสียงกระซิบของเจ้าของวงแขนแข็งแรงถามเบา ๆ

“...”

ความเงียบเป็นคำตอบที่เขาให้กับสีหราช อ้อมแขนที่กอดไว้คล้ายจะคลายลงเล็กน้อยแต่เจ้าตัวกลับซุกหน้าซบลงบนซอกคอของเขา

“เอาเถิด จำได้หรือไม่ได้ก็ไม่ได้ทำให้ข้ารักเจ้าน้อยลง แค่นี้ข้าก็รักเจ้ามากขึ้นทุกวันอยู่แล้ว”

มือเรียวของเมืองอินทร์คล้ายกำแน่นขึ้นโดยสีหราชไม่รู้ เจ้าตัวแอบกะพริบตาไล่ความชื้นปลายตาออกไปรวดเร็ว

ตลอดมา...ชีวิตของเขาแม้จะขาดครอบครัว...แต่กลับเป็นคนนี้ที่รักและรอคอยเขามาตลอด เป็นรักที่มั่นคงและเป็นทุกสิ่งให้เขา

อ้ายสีหราชเป็นมากกว่าพี่ มากกว่าเพื่อน มากกว่าคนรัก เป็นผู้พิทักษ์ให้กับเขามาตลอด

ภาพในความฝันของเขาคืนแรกที่นอนในพระวิหาร มีบางสิ่งที่เขาไม่ได้บอกสีหราช...ไม่ใช่แค่สีหราชติดค้างเขา หากเขาก็ติดค้างสีหราชเช่นกัน เมื่อเขาเป็นผู้สร้าง “บ่วง” ในใจของสีหราช บ่วงที่เกิดและพัวพันให้เขากลายเป็นยมทูต

ในอดีตชาติที่ผ่านมา แท้จริงแล้วการชดใช้กรรมของสีหราชในฐานะยมทูตได้สิ้นสุดไปแล้ว หากแต่เพราะ “สัญญา” ทำให้คนตรงหน้ายังคงเฝ้าวนเวียนตามหาวิญญาณของเขาเพื่อให้สัญญา “จักได้พบกันอีกครา” บรรลุผล

“รัก เป็นยางเหนียวสิ่งเดียวที่ทำให้สีหราชยมทูตไม่ได้ไปเกิด

“รัก ทำให้เขาเฝ้ารอแต่เพียงเจ้าคนเดียว

“หากรักเช่นกันที่จะปลดพันธนาการให้เขาได้ไปสู่ภพใหม่...”

ภาพพระภิกษุที่นั่งตรงหน้าเขาในความฝัน มลังเมลืองไปด้วยแสงสีทองอ่อน ๆ ฉาบลงมา เงาหมอกขาว ๆ ทำให้เขามองไม่เห็นใบหน้าพระภิกษุนั้น หากน้ำเสียงอ่อนโยนคล้ายคุ้นเคยยิ่งนัก

“วงล้อกรรมในอดีตชาติทั้งหลายกำลังจะสิ้นสุดลง..เมื่อปลดวาง...รัก ลงได้ แต่ละฝ่ายจักได้เริ่มต้นเส้นทางใหม่...”

ยามนี้ “สัญญา” บรรลุแล้ว สีหราชได้พบกับเขาแล้ว ตรวนที่พันธนาการไว้ควรปลดลงเสียที...

แต่ยามที่ศัตรูอยู่ตรงหน้านี้...เขาควรทำอย่างไรดี...เมื่อคนตรงหน้าไม่มีแม้แต่ทิพย์สภาวะ

คำตอบมีสิ่งเดียวที่เขาคิดไว้ตั้งแต่คืนแรก...คำตอบที่จะทำให้สีหราชยังคงทิพย์สภาวะ...ไม่ดับสูญในศึกครั้งนี้

“เป็นอะไรไปเจ้าตัวเล็ก ไฉนเงียบนักเล่า...ยังง่วงอยู่อีกหรือ” ริมฝีปากของสีหราชกดลงบนเรือนผมของเขาก่อนจะใช้นิ้วแข็งแรงปัดป่ายเส้นผมให้เขาเบา ๆ สัมผัสอ่อนโยนถนอมราวกับเขาเป็นวัตถุเปราะบางยิ่งนัก

เพราะอ้ายสีห์เป็นคนอ่อนโยนเช่นนี้อย่างไรเล่า...จึงยากเย็นจะตัดใจ...

“ไม่มีอะไร...ข้าแค่อยากกอดท่านให้นานกว่านี้เท่านั้น” ว่าแล้วก็เบียดซุกกายแน่นเข้า กิริยาที่ดูแปลกตาไปทำให้สีหราชขมวดคิ้วแต่ก็ยอมให้เขากอดแต่โดยดี

“เช้านี้เจ้าน่ารักกว่าทุกวัน...อ้ายอินทร์”

“อ้ายสีห์...ข้าชอบทุกสิ่งเวลาอยู่กับท่าน...” เขาซุกหน้าอู้อี้อยู่กับอกที่คุ้นเคย ก่อนจะเงยหน้ามองคนตรงหน้า

...ขอบคุณ...ที่รักข้า...และเป็นทุกสิ่งให้กับข้ามาตลอด และยัง...เฝ้ารอข้ามากว่า 200 ปี

“ท่านก็ทำตามสัญญาแล้วที่ว่าจะมาพบข้า....ตอนนี้ไม่มีสิ่งใดติดค้างอีกแล้ว” นิ้วมือเล็ก ๆ แตะไล้ใบหน้าสีหราช

“อย่าได้คิด...” สีหราชเอ่ยเบา ๆ ก่อนจะขมวดคิ้วจ้องตาคนในอ้อมแขน

“ข้าไม่มีวันให้เจ้าทำอะไรบ้า ๆ เพียงคนเดียว อ้ายอินทร์...”

“...ข้าไม่ฆ่าตัวตายหรือทำอะไรแบบนั้นหรอกอ้ายสีห์...”น้ำเสียงแผ่วเบาชวนง่วงงุนทำให้สีหราชนิ่วหน้านิด ๆ ก่อนจะขัดขืนเมื่อนึกรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น แต่แล้วปลายนิ้วนุ่มของเมืองอินทร์แตะริมฝีปากเขาก่อนจะทันเอ่ยคาถาออกมา

ริมฝีปากนุ่มจูบร่างตรงหน้าเป็นครั้งสุดท้ายด้วยน้ำตา กริยาขัดขืนของยมทูตหนุ่มปรากฎเพียงครู่เดียวก่อนที่ทั้งร่างจะเอนซบลงบนไหล่ขาวเนียนของเมืองอินทร์ ลมหายใจสม่ำเสมอบอกชัดว่าตกอยู่ในมนต์แห่งนิทรา

“...หลับเถิดอ้ายสีห์...”

ทันใดนั้นไอเวทสีขาวจัดลอยกรุ่นไปทั่วบริเวณ เมืองอินทร์ขยับลุกขึ้นก่อนจะไล้ปลายนิ้วที่ใบหน้าของสีหราชเบา ๆ

...ไม่คิดว่าความทรงจำกลับมาพร้อมกับดวงจิตไสยเวทขาว...พรสวรรค์ที่ติดตัวมาแต่ชาติก่อน

...อย่างน้อย ก่อนราตรีมณิสูงสุด...ร่างของเขาก็ยังคงเป็นของเขา แต่หากเข้าสู่ราตรีจันทร์เต็มดวงเมื่อใด เขาอาจไม่เหลือสติใด ๆ อีกเมื่อศัตรูต้องการชิงร่างของเขาใช้ก่อการปั่นป่วนสวรรค์และยมโลก

“ตลอดเวลาที่ผ่านมา มีแต่ท่านที่คอยดูแลข้ามาตลอด เวลานี้ได้โปรด...ให้ข้าได้ปกป้องท่าน...จากตัวข้าสักครั้งเถอะนะอ้ายสีห์...”

...ข้าขอโทษที่ไม่บอกว่า ข้าจดจำเรื่องราวทุกอย่างระหว่างเราได้หมดแล้ว...

...ข้าไม่บอก...เพราะอยากให้ท่านคลายความคิดถึงข้าลงบ้าง...เพื่อวันหนึ่งท่านจะได้ไม่เสียใจมากนัก

โปรดเชื่อเถิด...ว่าข้ารักท่านจริง ๆ

“ข้ารักท่าน...ด้วยหัวใจและด้วยชีวิตของข้า...”

ริมฝีปากนุ่มของเมืองอินทร์ก้มลงและจูบร่างที่หลับใหลอยู่ตรงหน้า ก่อนจะมีแสงสว่างสีขาวอมฟ้าวาบหนึ่งปรากฏระหว่างร่างทั้งสอง กายจำแลงหายวับเหลือเพียงกายทิพย์ที่มองร่างยมทูตหนุ่มด้วยสายตาอาวรณ์ ขณะนี้เมืองอินทร์อยู่ในอาภรณ์สีขาวสะอาดตาทั้งชุด เขากลับคืนสู่ร่างอดีตชาติ

ดวงแก้วมณีสีฟ้าอ่อน...ที่สีหราชให้เขาไว้ในวันแรกที่เจอกันในฐานะผีเร่ร่อน ยามนี้ลอยอยู่กลางอากาศ ไอสีฟ้าบริสุทธิ์ปนขาวคงความเป็นทิพย์สภาวะเต็มเปี่ยม

...มณีแห่งชีวิตที่สีหราชให้เขาไว้...เป็นส่วนหนึ่งของดวงจิต ถ้าเขาได้พลังตนเองคืนกลับไป...ก็อาจชนะศัตรูตนนั้นได้

ดวงตาสีอ่อนของเมืองอินทร์หม่นลง ก่อนจะกำหนดจิตคืนมณีดังกล่าวเข้าสู่ร่างของสีหราช แสงสีฟ้าอ่อนสว่างวาบขึ้นครู่หนึ่งก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีทองระยิบระยับล้อมกรอบร่างของยมทูตไว้แล้วหายเข้าไปในกายทิพย์ทันที

“ข้าขอคืนมณีแห่งชีวิตให้กับท่าน...สีหราช...ข้าไม่มีกายจำแลงก็ไม่เป็นไร แต่หากท่านไม่มีทิพย์สภาวะ...ท่านอาจดับสูญ”
และหากเขาไม่มีกายหยาบ...ก็ย่อมไม่เหลือสภาพการเป็นภาชนะไสยเวทนั่น...

เส้นทางนี้เหมาะสมที่สุดแล้ว วิญญาณเร่ร่อนอย่างเขาก็ควรอยู่ในโลกวิญญาณ ไม่ควรปะปนกับโลกมนุษย์

“ขอโทษที่ไม่ได้บอกลาให้ดีกว่านี้ และหากชาติหน้ามี...ข้าจะใช้คืนให้ท่านสีหราช...”

พระวิหารตรงหน้า...องค์พระประธานตรงหน้านั้นเป็นประตูเดียวที่จักเปิดรับดวงจิตเขา...เหมือนวิญญาณเร่ร่อนของตาชัยที่อยู่กับฐานพระประธานและรอวันชำระล้างดวงจิตเพื่อการเกิดใหม่อีกครั้ง

หากเขาอยู่เงียบ ๆ เฝ้ารอวันหมดอายุขัยคงจะมีสักวันที่ยมทูตสักตนจะมารับเขา

ร่างในชุดขาวเหลียวมองยมทูตที่หลับสนิทอย่างยากจะตัดใจ ภาพความทรงจำต่าง ๆ ผุดขึ้นมามากมาย ทั้งสุขและทุกข์ที่เคยร่วมกันมาตลอดในอดีตชาติและในปัจจุบัน รัก...ที่ลึกซึ้งผูกพันเขาไว้ด้วยกัน เจ้าตัวฝืนกลืนน้ำตาก่อนจะหมุนกายเดินออกมาอย่างรวดเร็วจากโดมมิติวิญญาณตรงหน้า

...................................................


ออฟไลน์ ButlerofLOVE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

แต่แล้วเมื่อก้าวออกจากโดมมิติวิญญาณ เมืองอินทร์ก็ต้องชะงักใจหายวูบเมื่อบุรุษร่างสันทัดในอาภรณ์สีดำสนิทยืนอยู่ตรงหน้า ดวงตาวาวโรจน์ของขุนศรีมองตรงมาที่เขา...บรรยากาศรอบตัวคล้ายจะมืดลงทั้งที่เพิ่งจะก้าวเข้าสู่ช่วงบ่ายเท่านั้น ใบไม้นิ่งสนิทไร้การเคลื่อนไหว สิ่งมีชีวิตรอบบริเวณนั้นพลันเงียบสงบไม่มีแม้แต่เสียงนก แม้ตรงหน้าถัดเขาไปไม่กี่เมตรนั่นก็คือพระวิหารแล้ว...แต่คนที่ขวางทางอยู่นั้น...ยากเย็นยิ่งนัก

“ข้าจักไม่เป็นอาวุธให้ใครทั้งนั้น...จงหลบไปเสียขุนศรี!”

กายทิพย์ในอาภรณ์สีขาวกลายเป็นแสงสว่างจุดเดียวท่ามกลางพายุที่ไม่มีที่มา ท้องฟ้าพลันแปรปรวน ใบไม้ใบหญ้าพรูลงกับผืนดิน บ้านเรือนที่อยู่ห่างออกไปไม่มีผู้ใดอาศัยอีกเลย ชาวบ้านและผู้คนต่างหลบหนีออกจากหมู่บ้านไปตั้งแต่ยามพระอาทิตย์ขึ้น  ดาบคู่กายที่เมืองอินทร์ชักออกมาจากฝักตวัดจ้องร่างตรงหน้านิ่ง ขณะที่ขุนศรีจอมขมังเวทหัวเราะเบา ๆ

“ไม่คิดว่า เจ้าจะดวงแข็งเช่นนี้เลยเมืองอินทร์ หากเจ้าไม่พาเจ้าเด็กจีนนั่นมาเล่นในคณะละครนอก บางทีเจ้าอาจจะไม่ต้องตายอย่างทรมานอย่างวันนั้น...”

“แค่เด็กคนเดียว...ที่เจ้าช่วยชีวิต กลับเป็นชนวนให้เจ้าต้องตายตกตามกันไปทั้งสำนัก...”  สายตาจ้องนิ่งตรงมาที่เขา

เมืองอินทร์นิ่งงัน กลักไม้ที่เจ้าโชคคว้ามาจากกองข้าวของในคณะละครนอกนั้น เป็นกล่องกลอักษรที่ใส่ข้อความนัดหมายของเหล่ากบฏละครนอก กลักไม้ที่อยู่ในมือเด็กน้อยถือเล่นในมือถูกขุนทรัพย์เห็นเข้า จึงเป็นที่มาว่าเหตุใดจึงมีทหารจำนวนมากบุกมาที่เรือนของสำนักดาบในยามวิกาล

เมืองอินทร์เองก็เพิ่งคาดเดาทุกสิ่งได้หลังจากอุ้มเจ้าโชคหนีมาพร้อมเจ้าสีหมอกม้าคู่ใจ กลักไม้ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของเจ้าโชคหล่นร่วงลงพื้นในวันที่เขาพามันหนีมาหาอ้ายเชิดที่ชายป่า อ้ายเชิดที่ชอบพอและกำลังจะหมั้นหมายกับแม่หญิงเรไรตื่นตะลึงกับเหตุร้ายที่เกิดขึ้นทรุดฮวบลงกับดินที่เปียกชื้น กลักไม้ที่ซ่อนกลอักษรถูกยัดใส่มืออ้ายเชิดแล้วกระซิบรัวเร็ว

“เอาสิ่งนี้ไว้กับเจ้า...หาก..หากข้าเป็นอะไรไป จงมอบสิ่งนี้ให้อ้ายสีห์ เขารู้ดีว่าจะต้องทำสิ่งใดต่อ”

“รออ้ายสีห์ และเสด็จพระองค์ชายกลับมาก่อนเถิดอ้ายอินทร์ เจ้าอย่าไปไหนเลย...มาซ่อนตัวด้วยกันที่นี่เถิด”

“อ้ายเชิด...เจ้าช่วยพาอ้ายโชคไปบวชได้ฤาไม่ ข้าคิดว่ายามนี้มีเพียงชายผ้าเหลืองเท่านั้นที่จะคุ้มภัยได้”

เป็นเขาที่ขอให้เพื่อนรักดูแลเด็กน้อยตรงหน้า ไม่กี่วันต่อมา มันและอ้ายเชิดรีบเข้าวัดใกล้ ๆ โดยมีพ่อฉิมบิดาของแม่หญิงเรไรมาช่วยกราบขอร้องพระอุปัชฌาย์ให้รีบบวชพระให้อ้ายเชิดก่อน

“แล้วโยมจักไปไหนเล่า อยู่ด้วยกันที่วัดก่อนเถิด โยมอินทร์” พระเชิดถามขึ้น

“ข้าอยู่ที่นี่นานไม่ได้ พวกมันต้องการตัวข้าด้วยข้อหาซ่องโจรและโทษฐานมีผังพระราชฐานส่วนใน”

สิ่งที่เขาไม่ได้พูดไปคือ หากเขาอยู่ที่นี่นานไป เกรงว่าจะนำภัยมาสู่วัดเล็ก ๆ แห่งนี้ 

แต่น้ำน้อย..ไม่อาจชนะไฟได้ ไม่นานหลังจากหลบหนีออกจากวัดป่าแห่งนั้น เมืองอินทร์ก็ต้องเผชิญกับทหารหลวงที่ตั้งค่ายดักจับกุมกลางป่า นักดาบรุ่นเยาว์ที่พอมีฝีมือคนหนึ่งต้องโรมรันกับเหล่าทหารหลวงนับสิบกลางพายุฝนหลงฤดู สายฝนกระหน่ำลงราวกับฟ้ารั่ว พื้นดินสีแดงเจิ่งนองไปด้วยน้ำฝนและเลือดที่ไหลริน แขนขวาของเมืองอินทร์ล้าจนแทบยกไม่ไหว แต่ก็ยังฝืนกำดาบสู้สุดใจ หัวคิ้วซ้ายแตกเลือดไหลเข้าดวงตา ขณะที่ท่อนแขนซ้ายเลือดโชก ร่างทั้งร่างเริ่มชาจนไม่รู้สึกสิ่งใดอีก

...ด้วยเพลงดาบที่อ้ายสีห์ และอ้ายโตฝึกมันมา...ทำให้ไม่มีทหารหลวงนายใดกล้าผลีผลามเข้ามา

...ต่อให้เสือเจ็บ...มันก็ยังสู้ แล้วเขาก็จะสู้เช่นกัน...

แต่แล้วเพราะประโยคเดียวของกรมหลวงไกรสีห์สรคุณที่อยู่บนหลังม้าสีดำ

“หากเจ้ายอมมอบตัวแต่โดยดี ข้าให้สัญญาว่าจักไว้ชีวิตผู้ที่เหลือรอด !”

ประโยคนั้นทำให้เมืองอินทร์นิ่งงันไปครู่หนึ่ง

“เชื้อพระวงศ์เอ่ยวาจาแล้ว ย่อมไม่คืนคำ!” มันตะโกนออกไปท่ามกลางสายฝน

“ข้าให้สัตย์สาบาน!”

ผู้ที่เหลือรอด ย่อมหมายถึง อ้ายสีห์ที่ยังไม่กลับจากหัวเมือง และอาจจะมี อ้ายโชค อ้ายเชิด แลบ่าวไพร่อีกจำนวนหนึ่งที่รอดพ้นความตาย

...ไม่ว่าหนึ่งชีวิตและดาบหนึ่งเล่มจะคุ้มเสี่ยงกับสัญญาปากเปล่านั่นหรือไม่

...แต่แค่ได้ยินคำว่า “จักไว้ชีวิตผู้ที่เหลือรอด”นั่นก็เกินคุ้ม

...อย่างน้อยก็ซื้อเวลายื้อชีวิตได้...

ดาบคู่กายถูกโยนทิ้งลงกับพื้นท่ามกลางฝนที่กระหน่ำ ดินเลนสีน้ำตาลกระเซ็นเปรอะไปทั้งตัว แต่เมืองอินทร์ไม่ได้สนใจอีก แผล
จำนวนมากบนร่างกายเกินจะนับ ตรวนเหล็กถูกคล้องฉับเข้าที่มือสองข้างและถูกกระชากร่างลากไปกองกับพื้น เลือดยังคงไหลรินจากร่าง กรงไม้ถูกต่อขึ้นอย่างหยาบ ๆ กลางป่า มีเพียงทหารหลวงที่คุ้มกันขบวนนักโทษเตรียมเข้าพระนคร

อาจจะได้ซักฟอกความบริสุทธิ์หากได้พบกับเสด็จพระองค์ชายชาญนพ...พระองค์ต้องยืนยันความบริสุทธิ์ของสำนักดาบได้เป็นแน่...

แต่แล้วเพียงคืนสุดท้ายก่อนจะเข้าประตูเมือง อาหารเย็นที่ทหารหลวงยื่นมาให้กลับมีบางอย่าง

ยาสั่ง...อาคมไสยเวทโบราณ ยาที่ทำให้ร่างทั้งร่างของนักดาบรุ่นเยาว์บิดเกร็งไปทั้งหมด จนเจ้าตัวหายใจไม่ออก ขณะที่เลือดค่อย ๆ ซึมออกจากทวารของร่างกายทีละนิด กว่าอ้ายสีห์จะบุกตะลุยมาถึง..ทุกอย่างก็ช้าเกินการณ์

..............................................................................

“เจ้าก็อึดน่าดูในชาติที่แล้ว กว่าจะตายได้ ทำเอาข้า...คิดหนักเลยว่ายาสั่งที่ให้ไปจะออกฤทธิ์ทันหรือไม่” เป็นขุนศรีที่เอ่ยขึ้นขำ ๆ ราวกับกำลังคุยเรื่องธรรมดาทั่วไป

ที่แท้...ยาสั่ง...ฝีมือของคนตรงหน้า !

“นี่ข้าก็ช่วยสงเคราะห์เจ้าเด็กลูกจีนนั่นให้เดินทางไปปรโลกก่อนเจ้า...เจ้าก็ไม่น่าจะเหงาหรอก เพราะมีเพื่อนเดินทางร่วมทางไปด้วย เจ้ายังไม่ได้ขอบใจข้าเลย” จอมขมังเวทหัวเราะเบา ๆ แววตาคล้ายสะใจยิ่งนัก ขณะที่เมืองอินทร์ลืมตาโพลงก่อนจะเค้นเสียงออกมาอย่างคั่งแค้น

“...เจ้า...ว่าอย่างไรนะ !”

“อ้าว...นี่ไม่ได้เจอกันหรอกหรือ ข้าอุตส่าห์จับเด็กนั่นกดน้ำตรงริมตลิ่งก่อนที่มันจะได้ทันบวชเป็นสามเณรแค่วันเดียว...เห็นข้าร้าย ๆ แบบนี้ ข้าก็ยังมีศีลธรรมนะ ยอมฆ่าเด็กเพราะว่าบาปน้อยกว่าฆ่าเณร...”

ความจริงที่เมืองอินทร์เพิ่งรู้ถึงกับตัวสั่นระริกด้วยความโกรธจัด

อ้ายโชค...ที่กำลังจะบวช เด็กน้อยที่เขากอดลาก่อนจะจำใจผละจากมาเพราะไม่อยากให้มีภัยถึงตัว...กลับไม่ได้บวชเณร...ดวงตากลมใสแจ๋วนั่นคล้ายจะร้องไห้นิด ๆ ก่อนเขาจะขึ้นหลังม้าจากมา

“อ้ายอินทร์ อย่าไปได้ไหม...” เสียงเด็กน้อยละห้อยโหย กอดขาเขาไว้แน่น ขณะที่ทุกคนตรงหน้าปาดน้ำตาเบา ๆ

“อยู่ที่นี่ล่ะ อยู่กับพระกับเจ้า บวชเณรเสียแล้วอยู่กับหลวงพี่เชิด ไว้เสร็จธุระแล้ว ข้าจะกลับมาเยี่ยมเจ้า...” เขาลูบหัวเจ้าตัวเล็กในวันนั้นก่อนจะตัดใจลา

...ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ !...

“เจ้ามันสัตว์นรกชัด  ๆ ขุนศรี ! เด็กตัวเท่านั้นเจ้ายังสังหารได้ลง !” ว่าแล้วเมืองอินทร์ก็กระชากดาบออกจากฝัก

เสียงหัวเราะดังลั่นจากร่างตรงหน้า จอมคาถาขุนศรียืนนิ่งก่อนจะคว้าดินจากพื้นตรงหน้าขึ้น พริบตาดินเลนก้อนนั้นคล้ายเป็นรูปควายตัวจ้อย สีหน้าคนปั้นยิ้มนิ่ง ๆ ก่อนจะโยนดินปั้นขึ้นในอากาศ กลายเป็นควายสีดำสนิทดวงตาแดงก่ำสองตัวยืนตะกุยพื้นอยู่ตรงหน้า ไอร้อนผ่าวเป็นควันสีดำแดงออกจากจมูกของมันทั้งสองตัว

ควายอาคม...กำลังจ้องเขม็งมาที่เขา ดาบในมือเมืองอินทร์ตั้งขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะกวาดขาไปด้านหลัง คนตรงหน้าแสยะยิ้มแล้วตะโกนออกมา

“จงมาเป็นทาสข้า เมืองอินทร์ ดวงจิตของเจ้าเป็นสิ่งที่จอมขมังเวทตามหานับร้อยปี !”

“ฝันไปเถอะ ร่างนี้ไม่มีกายหยาบแล้ว เจ้าจักทำอันใดได้ !” ฝุ่นพลันฟุ้งขึ้นพร้อมกับเงาสีขาวสะบัดวูบตรงหน้า ดาบตวัดฉับในบัดดล สายลมและเสียงกึก ๆ ของฝีเท้าควายธนูสองตัวที่โผนโจนเข้ามาสุดแรง ความไวของอาวุธเวทตรงหน้าไม่ธรรมดาเลย ทันทีที่เขากระโจนขึ้นเหนือพื้นมันก็ปักขวิดลงตรงตำแหน่งที่เขายืนอยู่เมื่อวินาทีก่อน ขณะที่ตัวที่สองพุ่งตรงเข้ามาไม่หยุด

เมืองอินทร์หมุนกายวูบดีดตัวออกจากจุดที่สองก็ยังเรียกว่าเฉียดฉิวเพราะเขาข้างหนึ่งของควายธนูปักเข้าที่ชายเสื้อสีขาว กรีดชายเสื้อขาดเป็นทางยาวติดปลายเขาของมัน เสียงหัวเราะลั่นของจอมคาถาที่ตวัดข้อมือสองข้างไปมาอย่างสนุกราวกับกำลังบังคับวิทยุอยู่

“เจ้าไม่คิดรึว่า ข้าสร้างควายธนูได้ ข้าก็สร้างร่างจำแลงให้ดวงจิตเจ้าได้เช่นกัน !”

ประโยคนั้นทำให้เมืองอินทร์ตัวชาวาบ...ใช่...ไสยมืดทำได้ทุกสิ่งแม้แต่คุมกายหยาบหรือสร้างกายใหม่ก็ตาม

ยามนี้เขานึกอะไรไม่ออกเลย แม้จะกำเนิดจากหมู่บ้านจอมคาถาสายขาว แต่เพราะไม่เคยเรียนคาถาอาคมใด ๆ จะสู้กับจอมขมังเวทผู้ชั่วร้ายได้อย่างไรกัน !

…จิตเป็นนาย...กายเป็นบ่าว...คำสอนของพ่อยักษ์ดังขึ้นกลางหัว ตอนที่พ่อสอนให้เขาสวดมนต์ครั้งแรก

“อิติปิโส ภควา อะระหัง สัมมา....” อาคมเดียวที่นึกออกยามนี้คือคาถาสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้า ไอละอองสีขาวสะอาดพรูออกมาจากกึ่งกลางอกล้อมเป็นเกราะแก้วคุ้มภัยให้เมืองอินทร์ ควายธนูอาคมทั้งสองตัวตรงหน้าออกอาการกระสับกระส่ายและค่อย ๆ ถอยกรูดไปทีละนิด ๆ วงล้อแก้วมณีสีขาวกระจ่างตาค่อย ๆ สว่างวาบขึ้นเรื่อย ๆ ท่ามกลางความมืดมิด

...แต่ต่อให้สวดมนต์และบริกรรมคาถาเท่าใด หากเขาหยุดสวดคาถาเมื่อไหร่ นั่นคงเป็นจังหวะที่จอมขมังเวทจะจู่โจมเป็นแน่

...ไม่มีเวลาแล้ว...ทางเดียวตรงหน้าคือหวังพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตรงหน้า พระวิหารอยู่ตรงหน้านี้เอง แค่ราวสิบเมตรเท่านั้น

เมื่อสิ้นเสียงบริกรรม เมืองอินทร์ก็รีบตวัดดาบกลับคืนฝักก่อนจะถลากระโจนไปทางเขตขันธสีมา...พระวิหารสีขาวและพระประธานอยู่อีกไม่ไกล...

ขุนศรีจอมคาถาแสยะยิ้มอีกรอบก่อนจะสะบัดมือขึ้นในอากาศ ฝูงอีกาดำจำนวนมากกลุ้มรุมตรงเข้ามาที่ร่างโปร่งใสตรงหน้า

“อ๊ากกกก....” ปากที่ดำสนิทและคมราวกับเหล็กกล้าของอีกามนตราจิกปักเข้าที่ท่อนแขนของเมืองอินทร์ กระชากเสื้อสีขาวเป็นริ้ว ทันใดนั้นเสียงบริกรรมคาถารัวเร็วดังขึ้นจากด้านหลัง บ่วงบาศสีดำสนิทคล้องมับเข้าที่คอของเขาก่อนจะกระชากวิญญาณสีขาวบริสุทธิ์มาจนชิดกายของจอมขมังเวท เสียงกระซิบบริกรรมจากด้านหลังและแรงดึงรั้งเชือกบาศทำให้เมืองอินทร์ลอยขึ้นในอากาศ ใบหน้าหงายเริ่ดลำคอแดงฉานราวกับถูกนาบด้วยเชือกเพลิง ริมฝีปากเริ่มมีเลือดสีเข้มรินออกมา

“อั๊กก...” เสียงหายใจของเจ้าตัวเริ่มแผ่วลง ขณะที่ร่างด้านหลังหยักยิ้มอย่างสมปรารถนา ดวงตาวาวโรจน์

“อย่าเพิ่งหนีไปไหนสิ...อ้ายอินทร์ เรื่องสนุก ๆ เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น จะให้อ้ายสีห์สนุกกับข้าคนเดียวดอกรึ..”

“ปล่อยข้า อ้ายขุนศรี ! เจ้ากำลังทำบาปและลากทุกชีวิตมาพินาศใต้ตัณหาและความบ้าคลั่งของเจ้า !”

“ความบ้าคลั่งรึ ! คนที่สูญเสียเมียและลูก เสียทุกอย่างในชีวิต ถูกกดใต้ฝ่าเท้าคนอื่นมาตลอดชีวิตอย่างข้า ! เจ้ายังมีหน้ามาเรียกหาความยุติธรรมอีกรึ มีใครยุติธรรมกับชีวิตกูบ้าง !”

สีหน้าของขุนศรีเริ่มบิดเบี้ยวเป็นสีดำคล้ำ ร่างแท้จริงที่เกิดจากจิตโสมมส่งกลิ่นเหม็นเน่าเกินบรรยาย ใบหน้าปกติค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นเน่าเฟะทีละนิด ๆ ตามดวงจิตที่พิกลพิการและชื่นชอบไสยเวทมนตร์ดำ

“มึงกับอ้ายสีห์จะต้องทรมานมากกว่านี้ ข้าจักให้เจ้าได้ตายใต้คมดาบของกันและกัน ! มันจึงจะสาสม !”

พลันนั้นโถดินเผาสีดำสนิทใบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในอากาศ เมืองอินทร์ดิ้นสุดแรงจนไอทิพย์สีขาวกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณนั้น แต่ก็ไม่อาจหลุดพ้นจากเชือกอาคมที่รั้งคอไว้ได้ โถถูกเปิดออกทีละนิด ในนั้นมีบางอย่าง...ที่น่าขยะแขยงเกินทน เมืองอินทร์พยายามเบือนหน้าหลบ แต่หลุมดำมืดตรงหน้าก็ค่อย ๆ ขยับมาใกล้เขา

“อ๊าก ! ปล่อยข้า !” ทันใดนั้นฝาของไหสีดำก็เคลื่อนวูบเข้ามาราวกับมีชีวิต เชือกอาคมสีดำสนิทและลายอักขระขอมโบราณปรากฎที่ปากโถ...

วูบเดียวทุกอย่างก็จบสิ้นลงเหลือเพียงความเงียบและท้องฟ้าที่เริ่มครึ้มและมีเค้าพายุฝน

“คืนนี้เท่านั้น...ก็จะเป็นเวลาที่ข้า...จะได้ทวงแค้นจากพวกเจ้า ! ฮ่าฮ่าฮ่า” เสียงหัวเราะกึกก้องของจอมขมังเวทที่แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเบื้องบน สายฝนโปรยกระหน่ำมาโดยที่ไม่มีวี่แววมาก่อน

โถวิญญาณลงอาคมที่ตรึงด้วยผ้ายันต์อยู่ในมือของจอมขมังเวทย์...

......................................................................

“องค์ยุวนาคราช....” เสียงคนสนิทเอ่ยขึ้นช้า ๆ อย่างเป็นกังวลเมื่อร่างสูงในอาภรณ์แห่งกษัตริย์กึ่งนั่งกึ่งนอน ดูภาพเหตุการณ์ตรงหน้าผ่านแก้วมณีด้วยสายพระเนตรนิ่ง ๆ คล้ายตกอยู่ในภวังค์ของตนเอง อาการถอนพระปัสสาสะเบา ๆ และคิ้วที่เริ่มขมวดมุ่นนิด ๆ ของยุวนาคราชทำให้คนรอบข้างเริ่มกังวล

“ปล่อยให้เหตุการณ์เป็นเช่นนี้...ดีแล้วฤาพระเจ้าข้า เราควรจะเร่งบอกเรื่องนี้กับเบื้องบนหรือไม่...หรืออย่างน้อย...ก็คนของยมโลกให้ทราบ” ประโยคคำถามของคนสนิทนั้นทำให้วสุธาบดีนาคราชเหลือบมองคนสนิทเล็กน้อย

“สินธูเอ๋ย...กรรมมีเส้นทางของมันเอง แม้แต่ข้าผู้เป็นบดีแห่งพิภพปาตาลยังมิอาจก้าวล่วงกระแสแห่งกรรมของตนเอง ไหนเลยจะเข้าไปก้าวล่วงกระแสกรรมของพวกเขาทั้งสองได้ ข้าได้แต่หวังว่า มณีนาคาที่ข้าให้เขาไปจักเป็นประโยชน์กับเขาผู้นั้น...”
แม้จะเอ่ยเช่นนั้น แต่สำหรับคนสนิทที่หมอบอยู่แทบเท้าของยุวนาคราชรู้ดีจากอาการกำพระหัตถ์แน่นขึ้นนิด ๆว่า ผู้กล่าวเองก็อยู่ในความกังวลใจมิน้อยเลยทีเดียว ขณะที่อีกผู้หนึ่งที่อยู่ใกล้ถามขึ้นเบา ๆ

“มณีนาคา เป็นแก้วมณีล้ำค่าของแดนปาตาล มนุษย์ผู้นั้นจักสมควรได้รับมันฤาพระเจ้าข้า”

“สรภู...หากมีคนเอื้อเฟื้อแก่เจ้าในยามเจ้าอ่อนแอ เจ้าจักทำเยี่ยงไร...”

“มีโอกาสคราใด...จักต้องทดแทนพระเจ้าข้า”

“แล้วหากเป็นน้ำผึ้งหนึ่งหยด หรือ อาหารหนึ่งมื้อ ก็ต้องตอบแทนใช่ฤาไม่...ข้าเองก็ไม่ต่างจากเจ้า” องค์ยุวนาคราชตอบเบา ๆ สายตาคมมองนิ่งไม่เปลี่ยนจากแก้วมณีตรงหน้า ความมืดสนิทกำลังปกคลุมพื้นที่ในโดมมิติวิญญาณแห่งนั้น...ไอเวทสีดำสนิททำให้ทั้งบริเวณแทบกลายเป็นแดนร้าง แม้แต่สิ่งมีชีวิตยังต้องหนี รวมถึงเหล่าเทวาต่าง ๆ ที่อยู่ในภูมิที่ต่ำกว่ายังต้องหลบเร้นชั่วคราวเพราะเพลิงร้อนของจอมขมังเวทตรงหน้า

วสุธาบดีนาคราชลอบถอนหายใจเบา ๆ ก่อนนึกถึงภาพนายพรานวัยหนุ่มฉกรรจ์ผู้หนึ่งที่ยื่นกระบอกน้ำผึ้งสดให้กับร่างแปลงมานพน้อยที่ทรุดกายหมดแรงอยู่หลังจากออกจากการเจริญกสิณเมื่อ 400 ปีก่อน รอยยิ้มและไมตรีอารีของพรานหนุ่มหวนกลับเข้ามาในความทรงจำ เมืองอินทร์ในชาตินี้ ก็คือ นายพรานหนุ่มในอดีตชาติอันไกลโพ้น พรานที่ไม่มีฝีมือในทางสังหารผู้ใด ทำได้เพียงหาของป่าเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ยอมยกกระบอกน้ำผึ้งให้ผู้ที่กระหายและหมดเรี่ยวแรงในวันนั้น ยุวนาคราชเผยอยิ้มนิดหนึ่งเมื่อนึกถึงภาพนั้น

“ข้ากับมนุษย์ผู้นั้นมีวาสนาต่อกัน เขาเคยเป็นทั้งพี่น้อง เป็นสหายของข้าและเป็นผู้ช่วยชีวิตข้า พวกเขาทั้งหมดนั้นล้วนเคยพัวพันกันมาแต่อดีตชาติ และมันจักสิ้นสุดลงในชาตินี้”

“แต่หากดวงจิตนั้นกลายเป็นภาชนะแห่งศาสตร์มืดมนตร์ดำ...จะมีใครหยุดสิ่งนั้นได้เล่าองค์ยุวนาคราช” เสียงของสินธูรำพัน

“เมื่อถึงเวลา...ข้าเชื่อว่ากรรมจะทำหน้าที่ของมันเอง พวกเจ้าอย่ากังวล” วสุธาบดีนาคราชมองภาพเหตุการณ์ในแก้วมณีตรงหน้านิ่ง ๆ

ใช่แล้ว...ทุกสิ่งล้วนมีเหตุปัจจัยทั้งนั้น...เมื่อถึงเวลาของมัน...มันก็จักเป็นไปตามกระแสกรรม

...ทุกคนมีกรรมเป็นกำเนิด ทุกคนมีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย

จักทำกรรมอันใดไว้ ดีหรือชั่ว...จักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น...

คำกล่าวขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า...อมตะเหนือกาลเวลาเสมอ...

......................................................................

ButlerofLOVE: มาต่อกันนะคะ ^^ เรื่องราวใกล้จะจบแล้ววววว
ฝากรักเพื่อจะบอกลา...เศร้าน้าาา
คืนมณีแห่งชีวิตให้เพื่อสีหราชจะได้ไม่ตาย...

ต่างฝ่ายต่างห่วงใยกันและกันจนไม่นึกถึงตัวเองเลย T T

 :mew2:
[/color]

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
ขอให้เป็นกรรมดีน้าาาา

ออฟไลน์ Wansusu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เมืองอินทร์ต้องรอดดดดดด

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด