ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะ ครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรัก ชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ
4.ห้าม แจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะ ปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของ แต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้าม จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิด เดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
6.การ พูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอม ให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้าม ลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อ ขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ด นิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยาย ที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
16.นิยาย เรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วน หรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด ออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้าม แจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
18.ใคร จะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ ย้ายไปไหน เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................
วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17
เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
.................................................................
สีหราชยมทูต (Grim reaper's vacation)
By ButlerofLOVE
.................................................................
Introduction
"มรุต"
นักศึกษาหนุ่มแว่นหน้าตาซื่อ ๆ เซื่อง ๆ เหมือนแมวเซา เจ้าของฉายา "The Jinx"
จู่ ๆ ต้องมาโดนผลักตกฟุตบาทหัวฟาดพื้นตายฉับพลัน..
ตอนมีชีวิตก็ว่าซวยแล้ว พอตายยังซวยกว่า ดันตกสำรวจซะได้...
วุ่นชิบ ! ตายตั้งนานแล้วดันไม่มีใครมารับซะที
นั่งจ๋องอยู่กลางสี่แยกมาตั้งนาน กว่าจะเจอใครที่ว่างพอจะคุยด้วยก็หายกันไปหมด
...จนกระทั่งมาเจอไอ้เจ้ายมทูตหน้านิ่งในสูทดำสุดเท่
ว่าแต่..ยมทูตมีพักร้อนกับเขาด้วยเรอะเนี่ย !
ให้ตายเถอะ มีแต่คุณท่านยมทูตหน้านิ่งคนนี้ที่มองเห็นเรา
ช่วยพาไปเกิดทีสิ ! นั่งตรงนี้มาจะปีกว่าแล้ว
ถ้าไม่พาไปละก็ จะฟ้องคณะกรรมการยมบาลแห่งโลกภูมิว่าปฎิบัติหน้าที่ย่อหย่อน !
"สีหราชยมทูต หรือ อ้ายสีห์"
คุณยมทูตฉายาพ่อหน้านิ่งหอยกาบ หน้าตาดี ทุกอย่างดี เป๊ะเจ้าระเบียบ
เสียอย่างเดียวขาด "ยมสัมพันธ์.." ไปหน่อย
เลยถูกเตะโด่งออกมาให้เรียนรู้การมีเพื่อนและมนุษย์สัมพันธ์กับเขาบ้าง
แต่ใครจะแคร์ละว่ะ !
ออกมาสิดี ว่างดี เที่ยวได้ วันว่างก็เหลืออีกบานอสงไขย
จะเที่ยวให้ช่ำ ย่ำไปทุกมุมโลก
"...เราลาพักร้อน ไม่ว่าง...ถ้าอยากให้ช่วยก็ทำตัวน่ารักหน่อย
ถ้าทำให้เรา "สนใจ" ไม่ได้ละก็....จงเป็นผีเร่ร่อนอยู่ตรงนี้ต่อไปละกัน ! "
ความป่วนอลเวงเกิดขึ้นเมื่อ "ป้ายผ่านทางยมโลก"
หล่นหายระหว่างอุบัติเหตุรถชนประสานงากลางเมือง !
หนึ่งผีเร่ร่อน กับหนึ่งยมทูตหน้านิ่ง
เลยต้องช่วยกันตามหา "ป้ายผ่านทางยมโลก"
ก่อนที่ผีตัวไหนจะทำเรื่องวุ่นวายซะก่อน
แต่ใครจะรู้ว่า...เรื่องราวจะไม่ง่ายดายเช่นนั้น
เพราะการวางแผนล้างแค้นของใครบางคนในอดีตที่ดึงพวกเขาทั้งสองกลับมาพบกัน
#สีหราชยมทูต
...............................................
หมายเหตุ.
1. นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องสมมุติและเกิดจากจินตนาการของ ButlerofLOVE ทั้งหมด
ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับสถานที่ บุคคล หรือเรื่องราวที่อยู่ในพระพุทธศาสนา
นรก สวรรค์ หรือการกระทำของตัวละครทุกตัว
อยู่บนโลกจินตนาการและแฟนตาซีของ ButlerofLOVE ล้วน ๆ
2. นิยายเรื่องนี้เป็นแนววายแอคชั่นแฟนตาซี/กลับชาติมาเกิด/พีเรียดไทยรัตนโกสินทร์
..................................................
นวนิยายเรื่องนี้เป็นลิขสิทธิ์ของButlerofLOVE และอยู่ภายใต้การคุ้มครองพรบ.ลิขสิทธิ์ พศ. 2537 หากพบว่ามีการทำซ้ำ สำเนา คัดลอก หรือเผยแพร่ส่วนหนึ่งส่วนใดของนวนิยายโดยไม่ได้รับคำยินยอมจาก ButlerofLOVE เป็นลายลักษณ์อักษร จะถูกดำเนินคดีตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด
....................................................
บทที่ 1. เกิดใหม่ในร่างยมทูต
พุทธศักราช ๒๓๙๑
สายฝนโปรยปรายลงอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด พื้นดินตรงหน้าเปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝน ดินโคลนเลอะเปรอะกระเด็นไปทั่ว เสียงฝีเท้าของม้าที่เหยาะย่างตรงเข้ามาในหมู่บ้านสำนักดาบ ทำให้หลายคนชะโงกออกมามองอย่างฉงน แต่ก็ต้องตะลึงพรึงเพริดเมื่อเห็นร่างสูงหนาที่เลอะเปรอะเลือดท่วมกายนั่งอยู่บนม้าตัวนั้น สายตาบุรุษนั้นว่างเปล่าราวกับหมดสิ้นทุกอย่างในชีวิต หากเหตุที่ทำให้ผู้คนรอบข้างล้วนแตกตื่น มิใช่เพียงบุรุษร่างโชกเลือดกับม้าคู่ใจเท่านั้น หากเป็นเพราะศีรษะและดวงตาที่เบิกโพลงสุดขีดของอีกบุรุษหนึ่งที่ถูกเจ้าตัวขยุ้มหิ้วกลับมาด้วย หยาดหยดโลหิตจากหัวที่ขาดแล่ง รินรดเป็นทางยาว สายฝนเปลี่ยนโลหิตแดงฉานที่ไหลเหลือเพียงสีแดงใสจางบนผืนดินที่เฉอะแฉะ
ผู้คนมากมายอุดปากอย่างกลั้นเสียงกรีดร้องในลำคอ บางคนที่สติอ่อนก็ถึงกับอาเจียนกับภาพตรงหน้า บุรุษหลายคนถึงกับน้ำตาไหล แต่เสียงร่ำไห้เหมือนจะไม่เข้าโสตประสาทของบุรุษบนหลังอาชานั้น ดวงตาที่เคยคมคร้ามบัดนี้ว่างเปล่าราวกับไร้วิญญาณ์
“อ้ายสีห์...”
“อ้ายสีหราช....โธ่..”
สำหรับผู้อื่นที่มิรู้จักบุรุษตรงหน้า “อ้ายเสือสีหราช” อาจเป็นนักฆ่าที่หลายคนหวาดผวา หากแต่สำหรับเหล่าชาวบ้านในละแวกนี้ต่างรู้กันดี...สีหราช...อดีตนักดาบหนุ่มบุตรชายคนเดียวของพ่อสิน เจ้าของสำนักตีดาบ ผู้ที่แม้จะใจร้อนมุทะลุ หากแต่อบอุ่นกับผู้คนดุจแสงตะวัน แต่ยามนี้...ไม่มีอีกแล้วภาพเงาของคนผู้นั้น เหลือเพียง “อ้ายสีหราช” ผู้เหี้ยมเกรียมที่ทางการติดตามจับกุม
บัดนี้...มันเหยาะย่างม้ากลับมายังเรือนเก่า...เรือนที่ทางการวาง “สาย” ไว้รอจับกุมเสือร้าย ราวกับว่ามันไม่คิดหนีอีกต่อไป
กลางป่าหลังซากหมู่บ้านสำนักตีดาบ เนินดินที่ปักด้วยไม้อย่างง่าย ๆ และมีหินล้อมสองสามก้อนเป็นสัญลักษณ์อยู่ตรงหน้า ฝนที่เปียกชุ่มทำให้ดินตรงนั้นยุบลงเล็กน้อย สายฝนยังคงโปรยปรายต่อเนื่องไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
.....เจ้าตัวเล็ก...นอนอยู่ตรงนี้...จะเปียกปอนไหมหนอ...
ชายหนุ่มโหนตัวลงจากม้าก่อนจะโยนศีรษะที่ขาดนั้นลงต่อหน้าเนินดินทั้งคู่ ดวงตาแดงก่ำมองนิ่งราวกับจะส่งไปถึงผู้ที่ทอดกายอยู่ด้านล่าง
ข้า...เอาหัวมันมาคารวะพวกเจ้าแล้ว..พ่อสิน...เมืองอินทร์ พามาตรงหน้าป้ายหลุมศพของเจ้า...
แม้เขาก้าวลงมาแล้ว แต่เจ้าสีหมอกกลับยืนนิ่งอยู่ข้างเขา ราวกับจะรู้ว่า เจ้านายมันนอนสงบอยู่ที่นี่ มือหนาลูบแผงคออาชาตรงหน้าอย่างเบามือ
...อ้ายตัวเล็ก...มันรักสีหมอกยิ่งนัก...
ดวงตาสีหราชเหม่อเลื่อนลอย ก่อนจะตบสะโพกเจ้าสีหมอกเบา ๆ ม้าแสนรู้นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง จนเขาต้องตีเป็นครั้งที่สองมันถึงยอมวิ่งจากไป
...เจ้าเป็นอิสระแล้ว สีหมอก...ไปเถิด...ไปให้ไกลแสนไกล..สู่เสรี
เจ้าตัวคว้าไหสุราที่คว้าติดตัวมา ศีรษะเปื้อนเลือดนั่นยังกองนิ่งอยู่กับพื้น ดวงตาศัตรูเบิกโพลงอย่างกลัวสุดขีดแต่เหมือนสีหราชจะไม่ใส่ใจ เจ้าตัวคว้าไหสุราขึ้นมาดื่ม เหล้าดีกรีแรงแค่ไหน...ก็ไม่อาจทำให้เขาเมาได้อีก สายฝน...หรือน้ำตาที่ไหลผ่านใบหน้าคมนั้น สายฝนชะล้างเลือดออกจากใบหน้าคม เผยผิวสีแทนแข็งแรง เสื้อผ้าเปียกน้ำฝนลู่แนบกายบอกชัดว่า ร่างตรงหน้าเป็นบุรุษฉกรรจ์ที่มีร่างกายสวยงามสมกับเป็นนักดาบหลวง แผลที่แขนและขาเหมือนจะมีเลือดไหลริน แต่เจ้าตัวก็ไม่นำพา
หัวใจ...ตายแล้ว...ร่างกาย...จะสำคัญไฉน...
สุราอยู่นี่...แต่คนกลับลาลับ
สุราไหหนึ่งที่เจ้าตัวเล็กชอบ...ถูกหยิบมาราดรดลงผืนดินตรงหน้า กลางสายฝน...
เสียงฝีเท้าม้าและเสียงผู้คนจำนวนมากกำลังกรูกันเข้ามา เสียงดาบกระทบกัน...เสียงนั่นกำลังมุ่งตรงมาที่นี่ แต่คนที่ร่ำสุราอยู่หน้าเนินดินไม่ได้ใส่ใจ...หวังเพียงได้ดื่มสุราครั้งสุดท้าย...กับร่างที่นอนสงบนิ่งอยู่ด้านล่าง...ผู้ที่เป็นทั้งน้อง สหายคู่ใจ...และหัวใจของเขา
สุรานี้...เพื่อเจ้า
ศีรษะของไอ้เดรัจฉานนี่...เพื่อเจ้า...เช่นกัน
“อ้ายสีหราช ! เจ้าจงยอมให้จับกุมเสียโดยดี !”
.......................................................
เสียงอื้ออึงและสายตาของผู้คนมากมายจับจ้องที่ภาพตรงหน้า หลังจากที่ประกาศความผิดจำนวนหนึ่งหน้ากระดาษของอ้ายเสือสีหราช อดีตนักดาบหลวงที่หลงผิดเป็นเสือร้ายไล่สังหารผู้คน รายชื่อผู้ที่มันสังหารยาวเหยียดนับ 30 ชีวิต “อ้ายเสือที่สังหารผู้คนอย่างบ้าคลั่ง” กำลังนั่งคุกเข่าอยู่กับลานทรายกว้าง สีหน้านิ่งเฉยไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ ในบางมุมคล้ายเจ้าตัวจะยิ้มนิด ๆ อย่างพึงใจเสียด้วยซ้ำ ขณะที่เหล่าเพชฌฆาตกำลังร่ายรำอยู่ด้านหลังและด้านหน้า พอสิ้นเสี่ยงปี่พาทย์ บุรุษหนึ่งนายก็ตะโกนออกมา
“ประหาร !”
สิ้นเสียงนั้น เพชฌฆาตฟันฉับลงมาในดาบเดียว...
ไม่รู้ว่าดาบนั่นฟันลงตรงไหน มีเพียงความอุ่นหนืดที่พลั่ก ๆ จากกลางแผ่นอก ร่างนั้นเผยอยิ้มหยันนิด ๆ
ดาบดี...ดูท่าจักเป็นดาบฝีมือของพ่อสิน..กระมัง
ลมหายใจที่ขาดห้วงลงในวิบตานั้น กลับทำให้รู้สึกสบายปลอดโปร่งอย่างบอกไม่ถูก นักโทษประหารหลับตาลงอย่างไร้กังวล ไร้สิ่งใดติดค้างใจ
ข้าล้างแค้นให้แล้ว...เมืองอินทร์
รอข้านะเจ้าตัวเล็ก...
ชาติหน้าฉันใด อ้ายสีหราชผู้นี้...ขอได้อยู่เคียงข้างเจ้า ปกป้องเจ้า...
.................................................................
จากพ่อบ้านแห่งรัก..ButlerofLOVE
:hao5:
เป็นครั้งแรกที่มาสมัครเล้าเป็ดนะคะ และเป็นวายเรื่องแรกที่เขียนด้วย อาจจะไม่ค่อยคล่องหรืออาจจะพลาดอะไรบ้าง ขอฝากตัวกับทุกคนด้วยนะคะ จะพยายามลงให้จบภายในเดือนสิงหาคมค่ะ ^^ สวัสดีเพื่อนใหม่ทุกคนค่า ^^
บทที่ 6. CNN แห่งโลกวิญญาณ
“น่า...คุณตา เปิดประตูมาหน่อย...ผมรู้ว่าคุณตารู้บางอย่างดี ๆ เมื่อคืน” มรุตเคาะนิ้วกับลังไม้คร่ำคร่านั่นเบา ๆ ก่อนจะเหลียวซ้ายแลขวาอย่างระวังตัว
แสงอาทิตย์โพล้เพล้ชนิดที่คนแถวบ้านเคยเรียกว่า แดดผีตากผ้าอ้อม...เป็นช่วงคาบเกี่ยวระหว่างภพหนึ่งกับอีกภพหนึ่ง เวลาแบบนี้ถ้าใครปะเหมาะเคราะห์หามยามซวยอาจจะเห็นอะไรประหลาด ๆ บ้าง อย่างร่างที่ลอยเรี่ย ๆ พื้นริมทางด่วน หรือห่อผ้าขาว ๆ ที่เรียงกันเป็นตับริมถนน เป็นต้น
ถ้าใครกำลังมองมาในตอนนี้ คงเห็นชายหนุ่มผิวขาวผมเริ่มยาวระต้นคอนั่งเคาะลังไม้คร่ำคร่าอยู่ริมคลอง ด้านบนเหนือศีรษะเป็นสะพานหินเล็ก ๆ แต่ถ้ามองด้วยสายตาของผีด้วยกัน ก็จะเห็นว่าบริเวณนี้ทุกเย็นจะมีวิญญาณคนโดดน้ำตายฉายให้ดูซ้ำไปซ้ำมา วิญญาณตนนั้นโดดมันทุกวัน ตรงจุดเดิม ๆ
มรุตเหลียวมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาเศร้า ๆ
วิญญาณแบบนั้นน่าสงสารกว่าพวกเร่ร่อนเยอะ…ดวงจิตยังจดจ่อกับเป้าหมายนึกว่ายังไม่สำเร็จ ก็ทำซ้ำอย่างนั้น...และก็มองไม่เห็นผีตัวอื่นในสายตาเสียด้วย
เจ้าตัวถอนหายใจซ้ำก่อนจะหันมองกล่องลังไม้ตรงหน้าอีกรอบ
ไม่รู้ทำไม วันนี้ทำไมประตูบ้านคุณตาชัยถึงปิดเร็วนัก ปกติ...ถ้ามาช่วงนี้บางทีจะได้ยินเสียงเจ้าหมาละแวกนี้หอนเอาเสียด้วยซ้ำ เป็นการบอกว่าคุณตาชัย...CNN แห่งโลกวิญญาณ ประจำสาขาราชประสงค์ ยังอยู่ในบ้านลังไม้คร่ำคร่านี่
ในโลกมนุษย์ CNN มาจาก Cable News Network แต่สำหรับโลกวิญญาณ เราเรียกกันว่า Corpse News Networks หรือ สำนักข่าวผีและเหล่าวิญญาณเร่ร่อน ตำแหน่งนี้เหล่าผีเร่ร่อนตั้งกันเองนานแล้ว บางครั้งก็เป็นแหล่งรวมข่าวกอสซิปเม้ามอยจากเหล่าโม่งผีด้วยกันนี่แหละ
ข่าวที่นี่แพร่ไวยังกับไวรัส เพียงแค่กระซิบต่อ ๆ กันว่า “รู้แล้วเหยียบเลยนะ”
แค่นั้น...ข่าวที่ "เหยียบไว้" แพร่พรึ่บพรั่บยังกับเพลิงไหม้ไปสามบ้านแปดบ้าน
จะว่าไป...ไม่เคยมีสักทีที่ "ตาชัย" จะไม่อยู่เฝ้าสำนักข่าวของแก
มรุตเหลือบมองร่างสูงในอาภรณ์สีดำสนิทขลิบกระดุมทองเหลืองที่อกเสื้อ ใบหน้าเรียบเฉยของชายตรงหน้ากำลังปรายตามองกล่องไม้คร่ำคร่าดังกล่าวอยู่นิ่ง ๆ
สงสัยว่า..ระดับสายข่าวหัวเห็ดย่านราชประสงค์อย่างตาชัย...คงรู้ว่าใครมา
“ถ้าเจ้าตัวไม่ยอมออกมาละก็...ข้าก็เผาลังนั่นทิ้ง…” ประโยคสั้น ๆ ของสีหราช ทำให้มรุตตาเหลือกแทนเจ้าของบ้าน…
“ท่านยม...รออีกหน่อยน่า ตาชัยอาจจะไม่อยู่...” มรุตพยายามห้ามปราม
“เหลวไหล! กลิ่นผีเร่ร่อนและกลิ่นน้ำเน่าชัดขนาดนั้น แค่เจ้าตัวไม่อยากออกมา…” สีหราชเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระชาก
เห็นหน้านิ่ง ๆ หล่อเข้มตรงหน้า แต่เอาจริง ๆ สีหราช คือ พระเพลิงดี ๆ นี่เอง มรุตอ้าปากค้างตะโกนเสียงหลง เมื่อร่างตรงหน้าไม่รีรอดีดนิ้วเป๊าะทันควัน
“อย่าเพิ่ง ท่านสีหราช !!!”
พระเพลิงสีแดงดำขนาดเท่าลูกฟุตบอลสว่างวาบวับขึ้นกลางฝ่ามือยมทูตใจร้อน
ไฟลูกใหญ่ขนาดนั้นมีหวังเผาได้ทั้งสะพานนี่ล่ะ !
ไม่ทันจะสิ้นเสียงตะโกน ควันสีดำเข้มฟุ้งกระจายขึ้นจากลังไม้คร่ำคร่าทันทีพร้อมกับร่างชราผอม ๆ ดวงตาลึกโหลเหมือนคนอดนอนสวมแว่นกรอบกระ ทั้งเนื้อทั้งตัวเปียกโชกปรากฎขึ้นพร้อมกับไม้เท้าเงื้อง่าอยู่ในมือเตรียมฟาดแขกที่ไม่ได้รับเชิญ
“หนอย...ไอ้ลูกหมารุต เอ็งพาใครมารังแกข้าวะ!” สีหน้ากราดเกรี้ยวของชายชราเงื้อง่าไม้เท้าทันควัน
“ผม มรุต ไม่ใช่หมารุตนะคุณตา...” มรุตรีบคว้าแขนเหี่ยว ๆ ที่เงื้อไม้เท้าเตรียมฟาดลงมา
“ข้าจะเรียกเอ็งอย่างนี้ล่ะ เอ็งจะทำไม แล้วไอ้หมาตัวไหนริอาจพูดว่าจะเผาบ้านข้า…” แต่แล้วเจ้าตัวชะงักกึกทันทีเมื่อเห็นร่างสูงในอาภรณ์สีดำสนิท ยืนนิ่งตรงหน้า
ลูกบอลเพลิงเมื่อครู่...หดลงเหลือเพียงประกายไฟนิดเดียวที่ลอยนิ่งอยู่บนปลายนิ้วชี้ของยมทูตสีหราช ดวงตาเรียวยาวของยมทูตหนุ่มหรี่ลงนิดหนึ่งก่อนจะหยักยิ้มที่มุมปาก
ทันใดนั้นเอง ยันต์อักขระโบราณก็ปรากฎขึ้นกลางอากาศ สีหราชดีดนิ้วครั้งหนึ่งประกายไฟที่ปลายนิ้วก็ลุกพรึ่บเผาแผ่นอักขระอาคม เพียงกระพริบตาก็เกิดคลื่นสีฟ้าเทาปกคลุมทั้งสองด้านของสะพานแห่งนี้
เหมือนโดมแก้วทรงกลม...โดมมิติวิญญาณ...คลุมสะพานนี้ไว้จนหมด !
มรุตอ้าปากค้างตกตะลึงกับภาพตรงหน้า
เคยได้ยินผีรุ่นเก่า ๆ บางตนเล่าให้ฟังว่า ยมทูตที่มีตบะบารมีสูง ๆ บางตนสามารถสร้างพื้นที่เฉพาะของตนเองขึ้นได้ยามที่ต้องการ โดยใช้ยันต์อักขระโบราณปิดสวรรค์และนรกจากการรับรู้ภายนอก...โดมที่เหมือนคลื่นน้ำใส ๆ สีฟ้าเทา นุ่มหยุ่นเหมือนเจลาติน แต่กลับแข็งแกร่งและตัดไม่ขาด
นึกไม่ถึงว่าวันนี้จะได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ผีเก่าแก่เล่าขานกัน…
มรุตเหลียวมองร่างสูงที่ค่อย ๆ ร่อนลงมาช้า ๆ
ยมทูตสีหราช...มีตบะบารมีสูงขนาดไหนกันนะ...เขาตายมากี่ร้อยปีแล้วเนี่ย…
“ยอมออกมาแล้วหรือ...นึกว่าใครที่ไหน นายชัยหัวไม้...นี่เอง…” ดวงตาเรียวยาวของสีหราชเหมือนจะสะกดนิ่งที่ร่างชราตรงหน้า
น้ำเสียงยมทูตหนุ่มทักทายสายข่าว CNN ดูราวกับผู้อาวุโสกว่าเจอเด็กน้อย ทำเอามรุตหันมองทั้งคู่อย่างงุนงง
“ดูเหมือน เจ้าจะมีคดีค้างติดภาคทัณฑ์ยมโลกอยู่หลายคดีนะ นายชัย…” น้ำเสียงเนิบ ๆ ของท่านสีหราช ทำเอาผีชราหน้าหงิกก่อนจะประชดทันควัน
“ชิ…ผ่านไปเป็นร้อยปี ท่านก็ยังหนุ่มเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนสักนิด ก็แน่ละสิ...ข้ามันไม่ได้มีอำนาจวิเศษนี่ ก็ต้องแก่ลงอย่างนี้ล่ะ! แต่ตั้งแต่ปี 2475 ข้าก็ไม่ได้ทำผิดอะไรอีกแล้วนะ! แค่อาศัยอยู่ในลังไม้เก่าริมน้ำ มันจะผิดได้ยังไง !”
“แล้ว...คดีเก่าปี 2500 ที่ปรากฎตัวกะทันหันทำให้ชายอีกคนตกใจและตกน้ำตาย...โดยที่เขายังไม่ถึงอายุขัย...จะไม่นับคดีนั้นหรือ…”
ตาชัย...หรือ นายชัยหัวไม้ สะบัดหน้าพรืดอย่างไม่ยอมรับง่าย ๆ มรุตได้แต่มองทั้งสองทุ่มเถียงกันอย่างงง ๆ
“ไหนจะคดีทำรถแสวงบุญพลิกคว่ำเมื่อ 20 ปีที่แล้วอีก…” สีหราชเอ่ยช้า ๆ
“จำแม่นนักนะท่านยมทูต...” น้ำเสียงตาชัยค่อนขอดร่างสูงตรงหน้า แต่เหมือนเจ้าตัวจะไม่ใส่ใจกับน้ำเสียงประชดประชันนั้น ดวงตาคมของสีหราชมองร่างตรงหน้าอย่างประเมินท่าที
“เดี๋ยว ๆ ขอร้องล่ะนะ อย่าเพิ่งตีกัน คือวันนี้ผมมีเรื่องขอร้องตาชัย...พอจะได้ข่าวซุบซิบอะไรแปลก ๆ หลังจากอุบัติเหตุรถชนกันตรงแยกราชประสงค์เมื่อวานหรือเปล่า ช่วยบอกท่านยมทูตหน่อยเถอะ” ผีหนุ่มพยายามห้ามทัพ
ตาชัยผีเจ้าถิ่นหันมาทำตาเขียวปั๊ดใส่ก่อนจะตะคอกจนมรุตสะดุ้งเฮือก
“ชะ! ไอ้หมารุต ถึงข้ารู้ข้าก็ไม่พูดหรอก...ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับแกเลยที่พาไอ้ตัวน่ารังเกียจนี่มาหน้าบ้านข้า อ๋อ...เดี๋ยวนี้ริอาจมีเพื่อนเป็นยมทูตรึ! ทำแบบนี้แล้วคิดหรือว่าข้าจะยอมช่วยอะไรน่ะ!”
“ลบหลู่เจ้าพนักงานยมโลก...ผิดกระทงที่หนึ่ง…” น้ำเสียงเย็นเยียบผิดปกติของสีหราช ทำเอามรุตกลืนน้ำลาย
“ไม่ให้ความร่วมมือในการปฏิบัติหน้าที่เจ้าพนักงาน...ผิดกระทงที่สอง...”
“และ...ร่วมมือปกปิดความผิดของผู้ลักทรัพย์สินของหน่วยงานยมทูตสากล...ผิดเทียบเท่าผู้ลักทรัพย์นั้นเอง...ผิดรวมกันอย่างน้อย 3 กระทง…”
“ครบสามกระทง...ยมทูตสัญจรมีอำนาจตัดสินและลงโทษได้ในทันที!”
ประโยคนั้นทำเอานายชัย หัวไม้ ตาเหลือกลาน ดวงตาที่เคยโหลลึกกลายเป็นเบิกโพลงก่อนจะถอยกรูดทันควัน แล้วชี้นิ้วใส่หน้ายมทูตร่างสูง
“อย่านะ ท่านสีหราช ท่าน...ท่านกำลังโดนพักงาน...ไม่มีสิทธิจะตัดสินโทษใคร…”
“แล้ว...เจ้าคิดว่าโดมมิติวิญญาณแห่งนี้มีไว้เพื่ออะไร หากไม่ใช่ป้องกันคนนอกได้ยิน หากวิญญาณเร่ร่อนจะหายไปสักตนหนึ่ง ก็คงไม่มีใครสนใจละมัง…”
น้ำเสียงเนิบ ๆ แต่แววตานั่นไม่ได้ล้อเล่นเอาเลย ไอร้อนสีแดงเพลิงกำลังระอุขึ้นบนร่างของยมทูตสีหราช ดวงตาเริ่มฉายฉานเป็นสีแดงนิด ๆ
ปกติมรุตเคยเห็นแต่เชือกบาศที่เหล่ายมทูตใช้พาดวงวิญญาณไปพิพากษาที่ยมโลก แต่คราวนี้ในมือของยมทูตสีหราชกลับมีบางสิ่งที่วาววับปรากฏขึ้น ดาบโบราณแบบที่เคยเห็นในพิพิธภัณฑ์ ที่ด้ามเป็นดุนลายสลักด้วยทองคำวิจิตรละเอียดยิบ จนคิดว่าน่าจะเป็นดาบของเชื้อพระวงศ์สักคนในละครจักร ๆ วงศ์ ๆ
“นะ...นี่...ท่านจะสังหารวิญญาณเร่ร่อนเลยรึ ถ้าแบบนี้ท่านก็ต้องโทษถูกยืดเวลาออกไปในฐานะยมทูต และไม่ได้ไปผุดไปเกิดนะ!” เสียงละล่ำละลักของตาชัยพยายามท้วงติงด้วยท่าทางหวาดกลัว
“ข้า...ถอดใจเรื่องการเกิดใหม่ไปแล้ว...และถ้าเทียบกับต้องไปเป็นทวารบาลของอเวจีนรกละก็…ข้ายอมเป็นยมทูตไปอีกสักร้อยสองร้อยปี...ดูจะสบายกว่าเยอะ” ว่าแล้วสีหราชพลันตวัดดาบโบราณขึ้นมาทันควัน
พึ่บ ! เสียงลมแหวกอากาศ
ก่อนที่สมองจะคิดอะไร มรุตปรี่ถลาเข้าไปกั้นกลาง ปลายดาบที่ตวัดพร้อมฟันฉับลงมาค้างเติ่งอย่างนั้น สายตาที่กราดเกรี้ยวของสีหราชบอกชัดว่าเจ้าตัวไม่ชอบใจนักที่มรุตถลาเข้าไปแทรก
“นี่เจ้าทำบ้าอะไร! รู้ไหมว่าดาบนี่ถ้าฟันลงมาแล้ว...วิญญาณจะสลาย!”
“ท่านยม...ตาชัยก็ไม่ได้ผีร้ายกาจอะไร เท่าที่รู้จักกันมา ตาชัยก็ปากร้ายไปอย่างนั้นเอง หลัง ๆ นี่ใจดีเสียด้วยนะ...ลองให้โอกาสเขาหน่อย...ถามอีกรอบ...ดีกว่า”
มรุตลังเลก่อนจะหันไปมองร่างชราที่ยกไม้เท้าบังหัวตัวแล้วก็หลับตาปี๋ซุกตัวอยู่ด้านหลัง มือเหี่ยว ๆ รีบคว้าแขนผีหนุ่มไปกอดไว้ทันที
“ข้ายอมแล้ว ๆ ข้าพูดแล้ว ๆ ข้ารู้! เมื่อคืนมีข่าวลือหนาหูว่า มีคนเก็บของดีได้ !”
“มันเป็นใคร!” ดวงตาเรียวยาวของสีหราชวาววับก่อนจะปราดเข้ามาใกล้ร่างชรา
“ลูกสมุนของไอ้สมานตัวหนึ่งวิ่งโร่มาหัวเราะกับข้าเมื่อเช้ามืดว่า ต่อไปนี้มันสบายแล้ว ไม่อดอยากปากแห้งอีก ไม่ต้องแย่งของเซ่นไหว้ ก็จะมีของกินตลอด ข้าก็เลยถามมัน มันก็บอกมาว่าลูกพี่มันเพิ่งได้ของวิเศษมา แค่ทำตามที่เขาสั่ง...ก็จะมีอาหารตลอดไม่อดอยากอีก มันบอกว่ามันจะแบ่งอาหารให้ข้าด้วย หากข้าไม่กระโตกกระตากเรื่องนี้ออกไป…”
วิญญาณชราตาโหลบอกเสียงอ่อย ๆ ก่อนจะทรุดลงอย่างหมดแรง
“พวกมันอยู่ที่ไหน…”
“ข้า...ข้าก็ไม่รู้ว่ามันอยู่ไหน ช่วงนี้พวกมันเก็บตัวเงียบ ๆ ย้ายเขตหากินออกไปทางเขต 19 ริมน้ำเจ้าพระยา...ข้ารู้เท่านี้เองท่านสีหราช…”
“เรื่องวันนี้ที่ข้ามาหาเจ้า จงเก็บงำให้เงียบอย่าให้ใครรู้ ไม่เช่นนั้นแล้วข้าจะกลับมาเล่นงานเจ้าแน่...ชัย จงจำไว้ให้ดี!”
แล้วสีหราชก็กรีดเลือดที่ปลายนิ้วร่ายอักษรกลางอากาศก่อนจะเป่าพรวดไปที่ลังไม้บุโรทั่ง แสงสว่างสีทองปรากฎวูบเดียวก็หายไป
มรุตเหลียวมองอย่างงุนงง
ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร แต่มันคงเป็นสิ่งที่ดีแน่ เพราะสีหน้าของตาชัยดูจะปลาบปลื้มตื้นตันมากทีเดียว
“ถือว่านี่เป็นรางวัลที่ช่วยเหลือยมโลก...คงไม่ต้องไปแย่งอาหารกับเขาอีกพักหนึ่ง…”
“หัดทำความดีบ้าง...จะได้ไปเกิดในที่ดี ๆ” สีหราชเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนลง
สิ้นเสียงนั้นเหมือนภาพทุกอย่างรอบตัวดับวูบลงทันควัน มารู้ตัวอีกทีก็กลับมาอยู่ในกายหยาบที่คอนโดมิเนียมหรูแล้ว ร่างสูงของสีหราชในชุดสีดำสนิทเอนกายเหยียดยาวอยู่บนโซฟาสีขาวสะอาดตา ดวงตาทั้งคู่หลับสนิทราวกับเด็กน้อย
เรียกว่า ไปไวมาไวจริง ๆ ด้วย แค่พริบตาก็ย้ายดวงจิตกลับมาที่นี่ทันควัน
มรุตแอบมองร่างยมทูตตรงหน้าใกล้ ๆ
ร่างตรงหน้านี้เป็นพวกใจร้าย หรือใจดีกันแน่นะ แต่พอเวลาหลับแล้ว...เหมือนกับเจ้าชายในนิทานไม่มีผิด ผิวเนียนละเอียดชนิดสาว ๆ สมัยนี้ยังอาย และขนตายาวงอนที่เรียงสวยนั่น…ถ้าไม่ติดนิสัยปากจัด..โมโหร้าย..และไร้ยมสัมพันธ์ละก็นะ...
“จะจ้องข้าอีกนานไหม...ไอ้เจ้าผี …” ประโยคนั้นเปรยขึ้นทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวยังหลับตาอยู่ ทำเอาคนนินทาสะดุ้งเฮือกทันที
ชมก็ไม่ได้เว้ย...ท่านยมทูตหน้านิ่งหอยกาบนี่…
“ข้าต้องการพัก...แล้วสามทุ่มคืนนี้ เจ้าต้องออกไปกับข้า”
“เอ๋...ไปไหนอีกละท่านยม…”
สีหราชลืมขึ้นมามองคนช่างถามอย่างดุ ๆ ทำให้คู่สนทนาต้องกลืนน้ำลายอีกรอบหนึ่ง
“ไอ้เขต 19 นั่นใช่ไหม...แต่ถ้าเลี่ยงได้ผมก็ไม่อยากเจอไอ้เจ้าพ่อสมานเลย ผีหน้าบากตัวนั้นน่ากลัวจะตายไป...ผมเป็นผีตัวน้อย ๆ จะเอาอะไรไปช่วยท่านยมได้เล่า...ถ้าไปด้วยมีหวังแบนติดดินอยู่ตรงนั้นล่ะ...” มรุตโอดเบา ๆ
“สู้ให้ผม...อยู่ดูเจ้าเฉาก๊วยไม่ดีกว่าเหรอ...ผมไม่เก่งเรื่องตีรันฟันแทง เดี๋ยวก็พานเกะกะวุ่นวายท่านมากกว่า” เจ้าตัวพยายามยกแม่น้ำทั้งสิบมาหว่านล้อม ก่อนจะยิ้มหวานที่สุดในชีวิตให้ร่างตรงหน้า
“ใช่...เอาจริง ๆ ข้าก็คิดว่าเจ้าไม่เหมาะจะต่อสู้หรอก…” สีหราชยิ้มนิดหนึ่งที่มุมปาก
เฮ้อ...พูดง่าย ๆ แบบนี้ น่าจะรอดตัวแล้ว...
มรุตแอบยิ้มนิดหนึ่งก่อนจะเดินไปทางครัว แล้วก็ชะงักกึกและหันขวับไปมองคนพูดทันควัน
“ข้าว่า...เจ้าเหมาะจะเป็นเหยื่อล่อมากกว่า!”
น้ำเสียงยมทูตดูเหมือนจะไม่อินังขังขอบใด ๆ ทั้งสิ้น
มรุตกำมือแน่น...
สาบานได้ว่า ไม่เคยคิดอยากจะบีบคอใครตรงหน้ามาก่อนเลย...
ถ้าจะมีใครเป็นรายแรก ก็ไอ้ท่านยมทูตหน้าตายจอมวายร้ายตรงหน้านี่แหล่ะ!
……………………………………..
บทที่ 10. ความรู้สึกที่เรียกว่าหึง
ดูเหมือนความรู้สึกสดชื่นรื่นเริงจะอยู่กับสีหราชได้ไม่กี่วัน หลังจากที่นักดาบหนุ่มจากพระนครกลับมาถึงเรือนชาน ก็พบว่าแม้เมืองอินทร์จะบอกว่ารักษาสัญญา แต่ดูเหมือนจะมีผู้สาวในกาดมากมายที่มาห้อมล้อมเมืองอินทร์ สีหน้าบึ้งตึงของสีหราชทำเอาคนที่เดินเคียงข้างต้องรีบสืบเท้าก้าวตามอย่างรวดเร็ว
“เป็นอันใดฤา...อ้ายสีห์?” เสียงถามรัวเร็วของเมืองอินทร์ดูเหมือนจะงุนงงกับกริยาของบุรุษตรงหน้า เพราะยามเช้าสีหราชเป็นผู้เอ่ยปากชวนเองว่า อยากไปเดินกาด เมืองอินทร์จึงรีบเปลี่ยนเครื่องแต่งกายแล้วเดินตามอ้ายสีห์ แต่ไฉนเพียงมันเอ่ยทักทายผู้คนรู้จักรอบตัว อ้ายสีห์จึงกราดเกรี้ยวนัก ?
“ไม่! ข้าแค่หิว!” เจ้าตัวตอบเสียงสะบัดก่อนจะเมินฉับแล้วก้าวไปทางร้านรวงที่อยู่ตรงหน้า
เมืองอินทร์งุนงงหนักกว่าเดิม เพราะยามเช้า แม่คำหล้าสู้เตรียมสำรับข้าวปลาอาหารไว้มากมาย แล้วสีหราชก็เหมือนกินไปได้มาก ทั้งกินไปและมองมันไปพร้อม ๆ กันชนิดที่ว่าแม่คำหล้าปลื้มยิ่งนัก
“อ้ายสีห์...เจริญอาหารถึงเพียงนี้ แสดงว่าฝีมืออาหารของข้าสู้อาหารในราชสำนักได้สินะ...” แม่คำหล้ายิ้มอย่างปลื้มใจ
“อืม...อาหารอร่อยยิ่งนัก อร่อยยิ่งกว่ามื้อใด ๆ ที่เคยกินมาในวัง” เจ้าตัวตอบไปก็มองหน้าเมืองอินทร์ไป ก่อนจะยกยิ้มที่ริมฝีปาก ท่าทางการกินคล้ายจะเอร็ดอร่อยยิ่ง แถมข้าวจานพูนถึง 2 จาน จนคนที่ถูกมองแทบจะอิ่มแทน
...กินไปขนาดนั้น...แต่ยังหิวอยู่อีกฤา...กินจุเยี่ยงนี้ ดูท่าน่าจะเลี้ยงไม่ได้เสียแล้ว
“อ้ายอินทร์ วันนี้มากาดฤา...” เสียงแม่เรไร บุตรีแม่ค้าขายแพรพรรณเอ่ยทัก ก่อนจะเหลียวมองไปที่สีหราชที่เดินอยู่เคียงข้าง ร่างนั้นหน้านิ่งขรึมชนิดที่ไม่อาจคาดเดาอารมณ์ได้ เมืองอินทร์ได้แต่ยิ้มเจื่อน ๆ ก่อนจะเอ่ยวาจาเบา ๆ กับผู้สาวตรงหน้า
“อืม...วันนี้พาอ้ายสีห์ มาเดินกาด อ้ายสีหราชเพิ่งกลับมาจากพระนครมาไม่นาน” ประโยคนั้นทำให้แม่หญิงเรไรตาตื่นก่อนจะประนมมือไหว้สีหราชแล้วก้มหน้างุด
“อ้ายสีห์ไปอยู่พระนครมาเสียนาน จำแทบไม่ได้เลย...” ท่าทางนั้นคล้ายขวยอาย ก่อนจะเอ่ยปากขึ้นว่า
“พ่อสินก็มีน้ำใจตีมีดพร้ามาให้พ่อฉิมมาหลายคราแล้ว ถ้าอ้ายสีหราชไม่รังเกียจ เลือกผ้าในนี้ไปตัดเสื้อผ้าได้เลย ข้ายินดียกให้ท่าน” ว่าแล้วก็ก้มหน้างุด กริยานั้นทำให้สีหราชอึดอัดใจ แต่พอเหลียวมองเจ้าคนข้าง ๆ ที่ยิ้มหน้าบานแทนก็ยิ่งทำให้หงุดหงิดขึ้นทันควัน
“ข้าจำเจ้าไม่ได้ และข้าไม่อยากรับ...ไป..อ้ายอินทร์!” ว่าแล้วก็ลากเจ้าตัวเล็กตามมาทันควันท่ามกลางการตื่นตะลึงของแม่หญิงเรไร
เจ้าตัวจ้อยทั้งแกะมือทั้งจิกมือกับฝ่ามือหนาของสีหราช แต่ก็ไม่อาจยั้งแรงหนัก ๆ นั่นได้ จนกระทั่งถูกลากมาใกล้ประตูวัดเกสรนพคุณ เมืองอินทร์ถึงสะบัดตัวออก
“เหตุใดจึงทำตัวเยี่ยงนั้น! แม่หญิงเรไรมีน้ำใจจะให้ผ้าเจ้า กลับพูดเยี่ยงนั้น ไม่สงสารนางรึ?” เจ้าตัวเล็กต่อว่าต่อขาน
“ก็ข้าไม่อยากรับ...ผิดด้วยฤา...” สีหราชเอ่ยเมิน ๆ อย่างไม่ใส่ใจ
“ก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ยเยี่ยงนั้น นางอาจเสียใจได้...” เมืองอินทร์ยังคงโวยใส่
“เจ้า...ห่วงความรู้สึกของนางกระนั้นหรือ...?” น้ำเสียงคนถามคล้ายน้อยใจ แต่คนตัวเล็กกว่ายังไม่ทันรู้ตัว
“ก็นางเป็นเพื่อนข้ามาตั้งหลายปีแล้ว ข้าย่อมห่วงความรู้สึกของนาง...” แต่แล้วไม่ทันจะเอ่ยสิ่งใด ร่างสูงหนาก็หันขวับมองอย่างน้อยใจก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ข้า...ก็อยู่กับเจ้ามาหลายปีดีดัก แต่เจ้าไม่ห่วงความรู้สึกข้า ?” ประโยคนั้นทำให้เมืองอินทร์งุนงงหนัก ร่างสูงเดินรุกไล่เข้ามาจนเมืองอินทร์ถอยจนแผ่นหลังชิดต้นยางนาขนาดสามคนโอบ มือหนาข้างหนึ่งยันลำต้นยางนาไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะก้มลงมาจนชิด กลิ่นกายบุรุษและไอร้อนจากแดดคล้ายจะแนบชิด
“ข้า...เพิ่งได้กลับบ้านและอยากเดินเที่ยวกาดกับเจ้า ไม่ได้อยากคุยกับผู้อื่น ทำไมไม่ห่วงความรู้สึกข้าบ้าง...”
ประโยคนั้นเหมือนจะมีเหตุผล แต่ก็คล้ายไม่มีเหตุผล ยามนี้กลับเป็นเมืองอินทร์เองที่งุนงงหนักว่าตนทำสิ่งใดผิดไป
หรือ...มันจะทำผิดจริง ๆ ?
“คือ...ข้า...”เป็นครั้งแรกที่มันไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใดดี คล้ายจะจนแต้มคนตรงหน้า
“หรือเจ้าคิดว่า เจ้าไม่ผิด ?” เสียงพร่าจากร่างสูงที่คร่อมอยู่ตรงหน้าทำให้เมืองอินทร์เริ่มเลิ่กลั่ก เจ้าตัวทำหน้าเหยเก แววตางุนงงแต่ก็คล้ายไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร
ใบหน้าคมคร้ามที่ก้มต่ำลงมาเรื่อย ๆ ทำให้สติสตังของเมืองอินทร์เริ่มกระเจิดกระเจิง ก่อนจะละล่ำละลักขึ้นมาทันที
“ได้ ๆ ข้ายอมแล้ว...เป็นข้าที่ผิดเอง...อ้ายสีห์...” ก่อนจะถอนหายใจพรู เมื่อร่างสูงค่อย ๆ ขยับออก ดวงตาคนตรงหน้าคล้ายระริกพริบพรายเพียงชั่วแว่บ ก่อนจะกลับเข้ามาดขรึมเช่นเดิมทันควัน
“แล้วจะไถ่โทษเยี่ยงไร...” เจ้าตัวเอ่ยก่อนจะมองเมืองอินทร์อย่างเมิน ๆ ทำให้ “คนผิด” กลืนน้ำลายลงคอครั้งใหญ่
“งั้น...ข้าจะพาเจ้าเที่ยวกาด โดยไม่คุยกับผู้ใดเลย ดีฤาไม่ ?”
“ดี! งั้นเราไปกัน!” สิ้นเสียงนั้น เจ้าตัวก็เดินลิ่ว ๆ นำหน้าคล้ายกับไม่เคยมีความหงุดหงิดใด ๆ มีแต่เมืองอินทร์ที่รำพึงในใจ...
...เหตุใดอ้ายสีห์กลับมาครานี้...คล้ายจะเอาแต่ใจยิ่งนัก...
...............................................................................
เมืองอินทร์และสีหราชต่างชวนกันเดินเที่ยวกาดอย่างเบิกบานใจ ท่าทีอ้ายอินทร์ที่สนุกสนานราวกับเด็ก ๆ ที่เห็นของเล่นต่าง ๆ ที่พ่อค้าเร่นำมาขาย ท่าทีนั้นทำให้สีหราชยิ้มออกมานิด ๆ อย่างพอใจ ดวงตาที่กลมสุกใสของเมืองอินทร์คล้ายเด็กน้อยในวันนั้น
“นี่ ๆ อ้ายสีห์ ของเล่นเช่นนี้ข้าไม่เคยเห็นเลย” เสียงคนทักเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น เมื่อหยิบขวดแก้วเจียระไนขึ้นส่องกับแสงอาทิตย์ ประกายของแสงอาทิตย์ที่ล้อวิบวับบนพื้นทรายตรงหน้า ทำให้เมืองอินทร์ตื่นเต้น
“เป็นของฝรั่งมังค่า เขาเอามาขายในพระนครได้สักระยะแล้ว” สีหราชเอ่ยเบา ๆ ก่อนจะคว้าถุงใส่อัฐขึ้นมานับก่อนจะยื่นให้พ่อค้าที่รีบรับอัฐอย่างรวดเร็ว
เมืองอินทร์เห็นดังกล่าวก็สะดุ้งโหยงเพราะเห็นแค่ชั่วพริบตา แต่ที่แน่ ๆ คือ ก้อนเงินน้ำหนักขนาด 1 ตำลึงจำนวนไม่ต่ำกว่า 5-6 ก้อนถูกหย่อนลงในถุงพกของพ่อค้าคนนั้น
“ข้า...ไม่เอาดอก มันแพง...” เมืองอินทร์พยายามยัดเยียดคืนแก่พ่อค้าที่ไม่ยอมรับถ่ายเดียว
“ข้าซื้อให้เจ้า...เจ้าชอบมันมิใช่ฤา” สีหราชเอ่ยยิ้ม ๆ ก่อนจะเดินไปร้านรวงต่อไป ทำเอาเมืองอินทร์ต้องประคองขวดแก้วเจียระไนใบจิ๋วไว้ในอกเสื้ออย่างดีก่อนจะขมุบขมิบบ่นร่างสูงที่เดินนำไปก่อน
“ยามนี้ในพระนคร ล้วนมีชาวตะวันตกจำนวนมากเริ่มเข้ามาค้าขาย เปิดห้างขายสินค้ากลางพระนคร แต่สถานการณ์ยามนี้มิสู้ดีนัก พวกมันมีแต่หาประโยชน์จากสยาม บ้างก็แอบอ้างเบื้องสูง หลอกขายสินค้าในราคาแพง จนข้าราชบริพารอิดหนาระอาใจกันไปตาม ๆ กัน” สีหราชเอ่ยเบา ๆ ก่อนจะพาเมืองอินทร์เดินออกมา
“มันเรื่องอันใดกัน หรือว่าเป็นเพราะหลวงชาวอังกฤษผู้นั้นใช่ฤาไม่ เห็นข่าวลือว่าก่อนนั้น ราชสำนักมีแนวคิดผูกสัมพันธ์กับตะวันตกมิใช่ฤา” เมืองอินทร์ค้าน
“ใช่...เมื่อครารับสั่งให้จัดหาปืนไฟมาป้องกันพระนครนั้นก็เห็นดีอยู่ แต่ครั้นระยะหลัง เริ่มเหิมเกริมแอบอ้างเบื้องสูง บังคับซื้อเรือกลไฟสภาพบุโรทั่งในราคาถึง 1,200 ชั่ง ใครเลยจะยอม...นับจากนั้นความสัมพันธ์ก็เริ่มถอยลง..” สีหราชเอ่ยเบา ๆ
ในฐานะนักดาบหลวง สีหราชต้องยอมรับว่าปืนไฟของฝรั่งมังค่านั้นมีพลานุภาพมากกว่าดาบเนื้อดี การสังหารทำได้จากระยะไกลหากแต่ต้องบรรจุกระสุน ผิดกับดาบเนื้อดีที่ใช้โรมรันศัตรูในระยะประชิด
เมื่อนึกถึงราชสำนัก สีหราชก็ต้องถอนหายใจเพราะนึกรู้แน่ว่าเพลิงร้อนในราชสำนักย่อมไปถึงเรือนของเจ้าจอมมารดาพิมและเสด็จพระองค์ชายชาญนพเป็นแน่ เพราะระยะหลังสุขภาพของล้นเกล้ามิสู้ดี มีอาการพระประชวรบ่อยครั้งเนื่องจากทรงงานหนักหักโหมมาตลอดพระชนม์ชีพ ข่าวลือเรื่องการเตรียมแต่งตั้งองค์รัชทายาทยิ่งทำให้ความร้อนในราชสำนักฝ่ายในมากขึ้นเป็นลำดับ ทั้งหมดทั้งมวลพุ่งเป้ามาที่เสด็จพระองค์ชายชาญนพที่ทรงเป็นที่โปรดปรานของทูลกระหม่อม และยังทรงพระปรีชาขีดเขียนอ่านภาษาต่างประเทศได้ ด้วยลักษณะที่สุขุมปราดเปรื่อง และน้ำพระทัยที่โอบอ้อมอารี มีศิลป์เจรจาย่อมเป็นที่ริษยาของตำหนักอื่น ๆ
แม้จะห่วงทั้งสองพระองค์มากเพียงใด แต่สีหราชไม่อาจทนฝืนใจอยู่ในรั้ววังได้อีก...สายตาสีหราชจ้องมองร่างตรงหน้าที่ยิ้มแย้มยกขวดแก้วเจียระไนส่องกับแสงอาทิตย์เล่นก่อนจะเผยอยิ้มนิดหนึ่ง
....ข้าต้องการเพียงชีวิตที่เป็นสุข...เรียบง่ายเท่านั้น...
ButlerofLOVE:
เรื่องราวในช่วงนี้ตรงกับรัชกาลที่ 3 ช่วงปลายรัชกาลแล้วค่ะ มีการเข้ามาของต่างชาติ และบางกลุ่มก็หาประโยชน์จากสยามด้วย อย่างเรื่องเรือบุโรทั่งนั่น ก็เป็นเรื่องราวจริงที่เกิดขึ้นตามประวัติศาสตร์ไทย หาอ่านข้อมูลได้จากวารสารศิลปวัฒนธรรมนะคะ
บทที่ 12. เจ็บที่กลางใจใช่..ที่หลัง
ยังมิทันจะใกล้รุ่ง หากแต่สมุหพระกลาโหมกลับเดินไปมาอย่างกระสับกระส่าย นั่งไม่ติดอยู่บนเรือนใหญ่ก่อนจะหันขวับมองผู้ที่เร่งก้าวขึ้นมาบนเรือน ท่ามกลางข้าทาสบริวารจำนวนมากที่ถูกปลุกขึ้นมาด้วยเสียงอาละวาด ชายผู้มีศักดิ์ก้าวตรงไปกระชากเสื้อของขุนศรี ผู้เป็นบุตรชายคนรองที่ก้าวมายืนอยู่ตรงหน้า ก่อนจะกัดกรามแน่นหน้าตาขมึงทึง ขณะที่คนจากสำนักดาบของพ่อสินยืนจ้องทุกคนบนเรือนด้วยสายตาโกรธแค้น อ้ายเชิดผู้ส่งสาร...เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือดที่เปื้อนมือและดาบ
ข่าวการปะทะกันนอกวังหลวงของขบวนเกวียนขนดาบเข้ากรมกลาโหมนั้น ไหม้มาถึงที่เรือนใหญ่แห่งนี้แล้ว...
“ไอ้ศรี ! มึงทำงานประสาอันใดกัน ทำไมถึงปล่อยให้มีผู้มุ่งร้ายแบบนี้ได้!” สมุหพระกลาโหมเหวี่ยงลูกชายโครมลงไปกองกับพื้น แล้วจึงเดินไปนั่งที่ตั่งไม้แล้วตบเปรี้ยงอย่างเจ็บใจ ร่างที่ก้มหน้างุดอยู่ตรงหน้ากัดฟันแน่นด้วยความละอายใจปนอับอาย
“ข้า...ข้าก็ไม่รู้ว่า ข่าวนี้รั่วไปได้อย่างไร ข่าวเรื่องการสั่งตีดาบรวมถึงวันเวลาที่จัดส่งดาบให้แก่วังหลวง ข้าก็เก็บงำไว้ไม่เคยแพร่งพราย...” ขุนศรีละล่ำละลัก ก่อนที่จะเงยหน้ามองผู้เป็นบิดา
“ระยะนี้ในวังหลวงกำลังระส่ำระสายด้วยพระอาการประชวรที่บ่อยขึ้น บางกลุ่มบางก้อนก็เริ่มกำเริบเสิบสาน ขุนนางบางส่วนก็ไว้ใจมิได้ ยิ่งเหล่าเชื้อพระวงศ์ด้วยกันยิ่งแล้ว หากปล่อยให้พวกกบฏเหล่านี้ได้อาวุธไปจักเสียหายเพียงใด ! เจ้าคิดบ้างฤาไม่ ! นี่ดีเท่าไหร่แล้วที่อ้ายสีหราชและทางนั้นป้องกันจนพวกมันต้องถอยร่นไป!” สมุหพระกลาโหมตะโกนลั่นอย่างเดือดดาล
สมุหพระกลาโหมจ้องมอง อ้ายศรี บุตรชายคนรองที่เกิดจากนางเอียด นางทาสผู้งดงามนางนั้นด้วยความคับแค้นใจ หากไม่คิดถึงแม่เอียดแล้ว อ้ายศรีจักต้องโดนโบยเป็นแน่ ลูกทาส..ควรอยู่แต่ในเรือนทาส แต่เพราะเขาหลงใหลนางเอียดยิ่งนัก ความเมตตาจึงเผื่อแผ่มาถึงลูกชายด้วย
อ้ายศรีถูกชุบเลี้ยงไว้บนเรือนดีกว่าทาสทั่วไป พออายุได้เกณฑ์บวชเรียน มันก็สู้พาไปฝากฝังกับพระอาจารย์ให้ได้ศึกษาหวังจะให้เติบใหญ่ก้าวหน้า แต่อ้ายศรีหัวไม่ดี ถึงจะผลักดันเท่าใดก็ยังคงเป็นได้เพียงขุนศรี...มายามนี้ เรื่องเล็ก ๆ ที่ให้ดูแลกลับทำผิดพลาด !
“แล้วพ่อ วางใจให้งานคนพรรค์นี้ดูแลได้เยี่ยงไร” น้ำเสียงของหลวงนรรัตน์ ผู้มีศักดิ์เป็นพี่ชายต่างมารดาเอ่ยอย่างดูแคลนผู้ที่ก้มอยู่ตรงหน้า แววตาฉายแววรังเกียจอย่างไม่ปิดบัง ก่อนจะหันไปเอ่ยคำขอโทษกับอ้ายเชิดที่เป็นคนวิ่งมาส่งข่าวในคราวนี้
“ทางเราต้องขอสอบสวนเรื่องราวเหล่านี้ก่อน แล้วจักแจ้งไปยังพ่อสินอีกครา ว่าแต่ครั้งนี้เสียหายมากเท่าใด ฝ่ายกบฏขนอาวุธไปได้มากน้อยเพียงใดกันฤา...”
อ้ายเชิดกัดฟันแน่นก่อนจะหันมองพวกพ้องที่มาด้วยกัน เสียงอ้ายเชิดกดต่ำอย่างพยายามระงับใจก่อนจะเอ่ยเบา ๆ
“ข้ามาเพียงเพื่อรายงานเท่านั้น...ดาบทุกเล่มยังอยู่ครบ แต่เราจักไม่เป็นผู้ขนอีกแล้ว ขอให้ทหารจากในวังหลวงมาเป็นผู้รับเองที่สำนักเถิด...หากไม่มีสิ่งใดแล้ว พวกข้าขอตัว” อ้ายเชิดตอบเพียงเท่านั้น
มันเคืองแค้นยิ่งนัก เพราะการขนส่งครานี้ก็เป็นเพราะคำสั่งจากทางสมุหพระกลาโหมสั่งการมาเองว่าให้พวกมันขนมาเงียบเชียบ หากไม่เช่นนั้นแล้ว...คงไม่เกิดเรื่องร้ายกับ...
นึกได้ถึงเท่านี้ อ้ายเชิดก็แทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่ด้วยความสงสารเพื่อน
...............................................................
มือหนาเกาะกุมท่อนแขนของร่างที่หลับสนิทไว้ไม่ห่างกาย ใบหน้าหวานที่ซีดเผือดราวกระดาษนอนนิ่งอยู่ตรงหน้า แม้ว่าจะมีหมอที่เก่งที่สุดของหมู่บ้านมาดูแผลแล้วก็ตาม แม่คำหล้าก็เอาแต่ร่ำไห้และเช็ดน้ำตาป้อย ๆ อย่างสงสารร่างที่นอนซมไม่ได้สติ สีหราชได้แต่กัดกรามแน่น มือหนาบีบกระชับมือเรียวบางที่นิ่งสนิทอยู่บนตั่งในห้อง เลือดที่สะบักไหล่ยังคงไหลซึมออกจากแผล มิไยว่าแม่คำหล้าจะบรรจงใส่สมุนไพรห้ามเลือดแล้วก็ตาม กลิ่นยาหม้อที่แม่คำหล้าต้มมาอวลคลุ้งทั่วห้อง...แต่ก็ไม่อาจทำให้ใจคนเฝ้าไข้คลายความร้อนใจลงได้เลย
แผลลึก...ลึกมาก...
ภาพที่ไอ้ตัวร้ายนั่นมันเสือกกริชพรวดเข้ามา แล้วเจ้าตัวจ้อยออกรับแทนเขายังติดตาอยู่จนบัดนี้
กริชนั่นปักเข้าไปก่อนจะหมุนบิดกระชากออก เนื้อถูกคว้านก่อนจะกระซวกกริชออก...
เขาเร่งรุดนำร่างที่เจ็บหนักของเมืองอินทร์กลับมาที่เรือน จนไม่ได้ลากศพไร้หัวนั่นมาด้วย กว่าจะนึกได้แลสั่งให้อ้ายเชิดอ้ายมิ่งกลับไป ศพไร้หัวนั้นก็พลันหายไปเสียแล้ว...เบาะแสหายลับไปกับสายลม
เมื่อนึกได้เพียงเท่านี้...ก็ต้องกลั้นหายใจอย่างเจ็บแค้น
เสียงเปิดประตูแผ่วเบาตรงหน้าทำให้สีหราชหันขวับไปมอง ร่างสูงในชุดแต่งกายอย่างฝรั่งก้าวเข้ามาในห้อง สีหราชผุดลุกทันทีก่อนจะกางกั้นร่างเล็กไว้ สายตาคมขมวดมุ่น แต่ก่อนที่เจ้าตัวจะทันทำสิ่งใด พ่อสินก็รีบก้าวเข้ามา
“เสด็จท่านทรงทราบข่าวที่เกิดแล้ว เลยส่งพ่อหมอฝรั่งมาดูอาการเจ้าอินทร์มัน...อ้ายสีห์หลบให้เขาเถิด...”
ประโยคนั้นทำให้อ้ายสีหราชยอมถอย...แต่ยังจับตามองอย่างระแวดระวัง พ่อหมอฝรั่งสูงวัยก้าวเข้ามาพร้อมกับล่วมยาที่บรรจุขวดยาสรรพต่าง ๆ ไว้ แม่คำหล้าผวาเฮือกเมื่อร่างตรงหน้าคล้ายจะเทบางสิ่งสีขาว ๆ ลงในถ้วยยาสีขาว
“ฝรั่งมังค่า...จะเชื่อถือได้ฤา พ่อสิน...” แม่คำหล้าเอ่ยอุบอิบแล้วลอบส่ายหน้า
“แม่คำหล้า...ยาฝรั่ง...มันก็ใช้ได้อยู่นะ...” พ่อสินแตะมือแม่คำหล้าที่ผวาคล้ายจะไม่เชื่อถือ แต่พ่อหมอตรงหน้าหันมายิ้มนิด ๆ ก่อนจะเอ่ยภาษากระท่อนกระแท่น
“ยา..ฝรั่ง...ช้ายยด้ายย ฆ่าเชื้อดี” ว่าแล้วเจ้าตัวก็จัดยาต่าง ๆ ให้คนเจ็บตรงหน้า แล้วสั่งการเบา ๆ ยาต้องให้คนป่วยทุก 3 เวลา จนกระทั่งเสร็จสิ้นกระบวนการรักษาก็ค้อมกายเตรียมลากลับ สีหราชควักอัฐในผ้าออกยื่นให้โดยไม่นับ แต่พ่อหมอชราผิวขาวกลับโบกมือไม่รับ ใบหน้าเปื้อนยิ้มก่อนจะพยักหน้าให้สีหราช
“เสด็จท่านให้มา...อัฐไม่ต้องจ่าย...” สิ้นเสียงนั้นก็รีบผลุบลงจากเรือนไป ทิ้งให้อ้ายสีหราชยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น
เสด็จพระองค์ชายชาญนพ...มีน้ำพระทัยเหลือเกิน แม้ยามที่วังหลวงระส่ำระสายเช่นนี้...
ไอ้มันพวกนั้นเป็นใครกันแน่ ! หรือว่าข่าวลือที่ว่ากำลังมีการซ่องสุมกำลังคนเตรียมการกบฏจะเป็นเรื่องจริง !
ประโยคที่ร่างนั้นหัวเราะก่อนจะสิ้นใจใต้คมดาบ ย้อนกลับมาอีกครา
“ดาบของเจ้า พวกข้าขอก็แล้วกัน...ของดีอย่างนี้เป็นประโยชน์กับพวกข้า”
ดาบจำนวนมาก หากปล้นสะดมไปได้จริง ย่อมเกิดความฉิบหายย่อยยับแก่วังหลวงเป็นแน่ !
“ท่านสมุหพระกลาโหมมาเจ้าค่ะ อ้ายสีหราช...” เสียงบ่าวรับใช้วิ่งกระหืดกระหอบมาแจ้งข่าว สีหราชหันขวับตามเสียงนั้น ร่างหนาของสมุหพระกลาโหมมาถึงเรือนพร้อมกับกลุ่มบริวารจำนวนมาก ข้าวของต่าง ๆ ที่บ่าวรับใช้ถือในมือถูกยื่นให้แก่สมุหพระกลาโหม แล้วจึงส่งต่อมาให้เขาอีกทอดหนึ่ง แต่สีหราชมองเฉยไร้แววตายินดี ดวงตาคมคร้ามเงยขึ้นสบตาผู้เป็นอาคันตุกะ
“ข้า...มาเยี่ยมพวกเจ้า เป็นกระไรกันบ้าง รู้ข่าวก็นั่งไม่ติดทีเดียว เลยเร่งมาที่นี่เอง...”
“ขอบพระคุณในน้ำใจของท่าน สมุหพระกลาโหม...” สีหราชเอ่ยอย่างเมิน ๆ ก่อนจะสวนกลับอย่างไม่ไว้หน้า
“แต่ท่านควรจักเอาเวลานี้ไปเร่งหาตัวการที่ลอบปล้นชิงดาบดีกว่ากระมัง!”
ประโยคนั้นทำเอาสมุหพระกลาโหมกำมือแน่นด้วยความเคืองจัด
ไอ้หนุ่มนี่...หากมันมิได้เป็นบุตรบุญธรรมของเจ้าจอมมารดาพิมและเป็นน้องบุญธรรมของเสด็จพระองค์ชายชาญนพละก็ เขาจักไม่ไว้หน้ามันเป็นแน่ ! เป็นใครกันถึงกล้าดีมาลูบคมของมหาอำมาตย์แห่งกรุงเช่นนี้ !
“อ้ายสีห์...เจ้าไปข้างในดูอาการอ้ายอินทร์มันก่อนเถิด ทางนี้พ่อจะต้อนรับท่านสมุหพระกลาโหมเอง” พ่อสินรีบก้าวเข้ามาก่อนจะไล่คนใจร้อนให้กลับเข้าไปด้านใน
“ขอสมุหพระกลาโหมโปรดอภัยด้วย อ้ายสีห์ออกจะใจร้อนไปบ้าง เพราะคนที่เจ็บหนักอยู่นั้นคือเมืองอินทร์ที่มันรักดุจน้องชาย เลี้ยงดูมาด้วยกันแต่น้อย หากมันล่วงเกินอะไรท่านไปบ้างโปรดอย่าถือสาคนหนุ่มใจร้อนเลยหนา...”
.......................................................
ดวงตากลมใสค่อย ๆ กระพริบตา และลืมตาขึ้นช้า ๆ สิ่งแรกที่เห็นคือหลังคาห้องหับของมันเอง เมืองอินทร์ค่อย ๆ ขยับตัวช้า ๆ แต่ก็นิ่วหน้าด้วยมีบางอย่างที่หนักวางทับอยู่บนอก เมื่อกะพริบตาให้เห็นชัด ๆ จึงรู้ว่าเป็นท่อนแขนหนาของสีหราช เมืองอินทร์ค่อย ๆ ขยับอีกครา แต่ครั้งนี้ดูท่าจะแรงไปจึงปวดแปล๊บที่แผลด้านหลัง เจ้าตัวนิ่วหน้าพลันก่อนจะอุทานเบา ๆ
“โอ๊ะ !”
เสียงอุทานทำให้ร่างที่งีบหลับข้าง ๆ สะดุ้งเฮือกขึ้นมาทันที ก่อนจะเงยหน้าเอ่ยปากอย่างดีใจ
“เจ้าฟื้นแล้ว เมืองอินทร์!” ดวงตาคมเข้มของคนเฝ้าไข้ ยามนี้กลับแดงก่ำราวกับอดนอน เสื้อผ้ายับยู่..เหมือนจะปล่อยตัวมาหลายวัน เพราะเห็นไรหนวดเขียวครึ้มจาง ๆ หัวยุ่งกระจุยกระจาย ภาพนี้ดูไม่คุ้นตาเมืองอินทร์เอาเสียเลย
“อ้าย...อ้ายสีห์ เหตุใดมาอยู่ที่นี่ได้...” เสียงคนป่วยแหบ...โหยคล้ายคอแห้งผาก
“ก็มาเฝ้าไข้เจ้าอย่างไร ไม่รู้ฤาว่าเจ้าหลับไปถึง 3 วันสามคืน ทำเอาทั้งเรือนกินไม่ได้นอนไม่หลับกันไปหมด...” เสียงดุอย่างไม่จริงจังนัก ทำให้คนป่วยค่อย ๆ ยิ้มแหย ๆ แต่ก็ต้องหุบยิ้มเมื่อคนตรงหน้ากล่าวคาดโทษหนัก
“เหตุใดเจ้าบ้าบิ่นเยี่ยงนี้ เนื้อตัวไม่ใช่เหล็กไหล แต่กลับโผนมารับคมมีดแทนข้า โง่จริง !” สีหน้าคนเฝ้าไข้ขุ่นเคืองจัด
“ข้า...ข้าไม่ทันคิด...ข้าแค่กลัวว่าท่านจะบาดเจ็บ” สีหน้าก้มงุด ๆ ลงของคนป่วยทำเอาคนดุไม่อาจเอ่ยอะไรได้ต่อ
“แล้วอย่างไร ? ไม่กลัวตัวเองเจ็บหรือไร?” สีหราชเอ่ยอย่างน้อยใจ
“หากเจ้าตายไป...ข้าจะทำเยี่ยงไร...” เสียงนั้นแผ่วลงราวกระซิบ มือหนาลูบวงหน้าของคนป่วยอย่างเบามือ ลูกผมที่รุ่ยร่ายเรี่ยตรงขมับถูกเจ้าตัวรวบไปทัดไว้ที่ข้างหู
“เจ้าใจร้ายนัก...เมืองอินทร์...” สายตาที่ทอดหวานปนตัดพ้อของสีหราชที่ทรุดกายข้างตั่งทำให้ใจคนฟังไหวยวบ...
เหตุใดอ้ายสีห์...ถึงอ่อนโยนนัก...แล้วเหตุใด หัวใจจึงเต้นไม่เป็นส่ำกับสายตาเช่นนี้...
“ข้า...ข้า...ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง...” ก่อนเจ้าตัวจะรีบหลับตาลงเป็นเชิงตัดบท ก่อนที่คนตรงหน้าจะรู้ว่าหัวใจคนป่วยยามนี้เต้นรัวเพียงใด...แต่แล้วเสียงบานประตูเปิดออก แม่คำหล้าเดินอุ้ยอ้ายเข้ามาพร้อมกับบ่าวอีกสองสามคน ผ้าชุบน้ำในขันสาครบอกชัดว่าเตรียมเช็ดตัวให้คนป่วย สีหน้าแม่คำหล้าตื่นเต้นยิ่งนักก่อนจะรี่เข้ามาหาเมืองอินทร์ที่หันมายิ้มจาง ๆ ให้
“อ้ายอินทร์ คุณพระคุ้มครองแท้ ๆ เจ้าฟื้นแล้ว” สตรีในชุดผ้าแถบยกผ้าคาดอกขึ้นซับน้ำตา ก่อนจะลูบหน้าลูบหลังเจ้าตัวน้อย สีหราชตั้งท่าจะเดินออก แต่แม่คำหล้ารีบรั้งไว้ก่อน
“อ้ายสีห์...ไหน ๆ อ้ายอินทร์ก็ฟื้นแล้ว เจ้าช่วยข้าพลิกตัวมันสักหน่อยได้ฤาไม่ ข้าจักได้ดูแผลด้านหลัง”
“ข้าพลิกตัวได้...ให้อ้ายสีห์ออกไปเถิด..” คนป่วยละล่ำละลัก ใบหน้ามีสีเลือดซับจาง ๆ แต่กลับโดนแม่คำหล้าตีเผียะเข้าให้อย่างมันเขี้ยว
“เพิ่งฟื้นไข้ ตัวยังรุม ๆ อยู่ ยังจะปากเก่งอีกหนา อ้ายอินทร์ ให้พี่เขาช่วยจักเป็นอันใด” ประโยคเชิงดุทำให้เจ้าตัวเม้มปากหน้ามุ่ยก่อนจะยอมให้มือหนาค่อย ๆ ช่วยพลิกตะแคงข้างให้ สีหราชซ่อนยิ้มกับกริยาแสนดื้อดึงของคนตรงหน้า
แผ่นหลังขาวผ่องของเจ้าตัวพลิกตะแคงอยู่เบื้องหน้า สะบักไหล่ด้านที่ถูกกริชแทงถูกโปะด้วยสมุนไพรแลพันทบด้วยผ้าสำลี
แม่คำหล้าค่อย ๆ แกะผ้าพันแผลออกอย่างเบามือ ปากแผลที่โดนกริชนั้นแดงก่ำ ฤทธิ์ของกริชบิดกระชากเนื้อข้างใน ปากแผลภายนอกดูเหมือนจะไม่หนักหนา หากเมื่อแม่คำหล้าค่อย ๆ คีบเอาเศษผ้าชุบยาสมุนไพรออกทีละน้อย ทำให้เห็นว่าด้านในนั้นลึกเพียงใด สีหน้าเจ้าตัวเหยเกกัดฟันแน่นด้วยความเจ็บ แต่ตัวจ้อยนี่ใจเด็ดนัก เพราะแม้กัดฟันแน่นเพียงใดก็ไม่ยอมร้องโอดครวญออกมาสักแอะ มีเพียงน้ำตารื้นนิด ๆ ที่หางตาและมือที่กำแน่น
หากเป็นตัวเขาเอง ตำแหน่งที่กริชปักอยู่คงไม่แคล้วหัวใจ...คืนนั้นเขาคงเป็นผีอยู่ริมป่านั่นเอง
...อ้ายสีห์คนนี้เป็นหนี้ชีวิตไอ้ตัวเล็กตรงหน้า...
มือหนาบีบแขนเจ้าตัวเล็กแน่นขึ้นก่อนจะคลายลงแล้วลูบแขนเบา ๆ เชิงปลอบใจ
“เบามือหน่อยเถิดแม่คำหล้า...อ้ายอินทร์มันเจ็บ...” ประโยคนั้นไม่ได้มาจากคนป่วย หากมาจากปากไอ้คนตัวโตกว่า
“เอ่อ...อย่าแรงนักสิแม่...เลือดมันไหลแล้วเห็นฤาไม่...” เสียงนั้นตามมาด้วยอาการสูดปากแทนคนเจ็บ
“อ๊ะ...อย่าโดนปากแผลได้ฤาไม่ ไล้น้ำผึ้งเบา ๆ ก็พอกระมัง”
ประโยคแรกยังพอทำเนา แต่มาประโยคที่สองและสาม ทำเอาแม่คำหล้าหันมาตาเขียวใส่คนตัวโต ท่าทางนั้นทำเอาบ่าวรับใช้สองสามคนก้มหน้ากันซ่อนยิ้ม
“อ้ายสีห์ ! คนเจ็บยังไม่เอ่ยสักแอะ แต่คนประคองนี่เจ็บแทนงั้นฤา...” สีหน้าสตรีท้วมคล้ายจะค้อนเบา ๆ ก่อนจะกระฟัดกระเฟียดส่งไม้พันสำลีที่เปื้อนน้ำผึ้งยื่นส่งให้คนตัวโตตรงหน้า สีหราชทำหน้าเหรอหราอึกอัก
“เอ้า ! ถ้ากลัวมันเจ็บนัก ทำเองดีฤาไม่ เอาไม้พันน้ำผึ้งนี่แตะไล้แผลฆ่าเชื้อเสีย ไม่อย่างนั้นอ้ายอินทร์มีหวังบาดทะยักกินตาย !”
คนตัวโตทำหน้าคล้ายกลืนไม่เข้าคายไม่ออกก่อนจะรับไม้พันสำลีมาไว้ในมือ ก่อนจะยื่นหน้าไปใกล้คนที่หันตะแคงหลังให้อยู่
“ข้า..จะพยายามเบามือกับเจ้า...” เสียงกระซิบเบา ๆ ข้างหู แลลมหายใจอุ่นที่ปะทะข้างแก้มขาว ๆ นั่นทำเอาคนเจ็บหน้าแดงก่ำก่อนจะเม้มปากแน่น เคราะห์ดีที่เจ้าตัวหันตะแคงให้ทำให้คนกระซิบไม่เห็นสีหน้าของเจ้าตัวจ้อย มีเพียงการผงกศีรษะเบา ๆ เชิงตอบรับนิด ๆ
แม่คำหล้ามองภาพตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง ไม่น่าเชื่อว่าคนที่เอาแต่จับดาบมาตลอดชีวิตอย่างอ้ายสีห์ จะเบามือกับร่างตรงหน้าได้ แม่คำหล้าว่าตัวเองมือเบาแล้วแต่อ้ายสีห์นั้นกลับมือเบายิ่งกว่า ไม้พันสำลีชุบน้ำผึ้งนั้นค่อย ๆ ไล้ไปตามร่องแผลอย่างแผ่วเบา มีเพียงหยดน้ำผึ้งที่ไหลรินลงไปในร่องแผลช้า ๆ เรียกว่าเป็นการทำแผลที่แทบจะไม่กระเทือนตัวคนเจ็บเอาเลย หลังจากเสร็จแล้วเจ้าตัวก็บรรจงเอาผ้าสำลีนึ่งสะอาดกดประทับลงบนปากแผลก่อนใช้ผ้าสำลีแบบยาวค่อย ๆ พันขวางคาดรอบอกของคนเจ็บ
สัมผัสนั้นอ่อนโยนยิ่งนักดุจมารดาทำให้ลูกน้อย....ช่างต่างจากอ้ายสีหราชคนใจร้อนคนนั้นราวกับเป็นคนละคน...
“เจ็บ..ฤาไม่..” เสียงกระซิบเบา ๆ ทางด้านหลังจากคนพันแผลเอ่ยขึ้นคล้ายไม่แน่ใจผลงานตัวเอง ทำให้เมืองอินทร์หน้าแดงขึ้นมาอีกรอบก่อนจะพึมพำอุบอิบตอบกลับ
“มะ...ไม่เจ็บแล้ว อ้ายสีห์...ขอบคุณ..”
“มิคาดว่าในวังจะสอนเจ้าทำแผลเรื่องพวกนี้ด้วยฤาอ้ายสีห์ เห็นคล่องแคล่วนัก ถ้ารู้เช่นนี้ ข้าจักให้เจ้ามาดูแลอ้ายอินทร์ตั้งแต่วันแรกเสียก็ดี...” เสียงแม่คำหล้าหัวเราะเบา ๆ อย่างพอใจ
“นักดาบ...บาดเจ็บเป็นเรื่องธรรมดา พวกข้าต้องทำแผลตัวเองเป็นอยู่แล้ว มิฉะนั้นหากต้องอยู่ในดงศัตรู ฤาในป่า จะหาผู้ใดมาทำแผลให้ได้เล่า...” เสียงสีหราชเอ่ยเบา ๆ อย่างไม่ใส่ใจ ดวงตาทั้งคู่ยังคงจดจ้องที่แผ่นหลังขาวตรงหน้าอย่างห่วงใย
แม่คำหล้าค่อย ๆ เช็ดตัวส่วนต่าง ๆ ให้กับคนป่วยบนเตียงอย่างเบามือ ขณะที่เมืองอินทร์รู้สึกราวกับว่าอยากหายตัวไปในบัดดล เพราะดวงตาคมคร้ามนั่นจ้องมาอย่างไม่เกรงใจเอาเสียเลย ผิวขาว ๆ ของคนป่วยถูกจับจ้องจนเจ้าตัวอยากละลายเป็นน้ำไปเสียตรงนี้
"อ้ายสีห์...จดจ้องอยู่อย่างนั้น จะเข้ามาช่วยฤาไม่เล่า..."
เสียงแม่คำหล้านั้นเรียกสติให้คนเผลอมองเพลิน ขยับตัวขยุกขยิกอย่างกระสับกระส่ายเหมือนไม่รู้ว่าจะวางมือวางไม้ไว้ตรงที่ใด
"เอ่อ...ข้า...ให้ข้าออกไปก่อนจะดีฤาไม่" คนเผลอจ้องเพลินอึกอัก
"พลิกตัวก็พลิกแล้ว ทำแผลก็ทำแล้ว มาช่วยเช็ดตัวสักหน่อยจักเป็นไรเล่า" แม่คำหล้าสั่งการ
"ข้าจักเช็ดแขนให้อ้ายอินทร์ ส่วนเจ้าช่วยเช็ดขาให้ได้ฤาไม่..."
ประโยคนั้นทำเอาเมืองอินทร์สะดุ้งโหยง สีหน้าแดงก่ำทันทีเมื่อมือหนาเหมือนจะสั่นนิด ๆ ก่อนจะจับปลายขาเรียวของมันไว้ ดวงหน้าคมคร้ามของอ้ายสีห์เหมือนจะพยายามไม่มองที่ใดนอกจากปลายขา ผ้าชุบน้ำจากขันสาครถูกบ่าวสองคนยื่นให้ มือหนาลูบผ้าเปียกจากปลายขาขึ้นมาเรื่อย ๆ
ผ้าเย็นก็จริง...แต่เหตุใด ใจมันไหววูบวาบเล่า ?
สัมผัสทำให้เมืองอินทร์รู้สึกราวกับจะไข้กลับ...มือร้อนนั่นลูบผ้าเช็ดให้ตามข้อพับ แต่กลับวาบไปถึงกลางใจแล้วลามไปที่ใบหน้า
"พะ...พอแล้วอ้ายสีห์ ข้าเช็ดเองได้ !" เมืองอินทร์ละล่ำละลักเมื่อมือหนาเหมือนจะลังเลว่าจะลาก "ขึ้น" ไปดีฤาไม่
"อ้าว อ้ายอินทร์ นี่เอ็งไข้ขึ้นอีกแล้วละฤา...หน้าแดงก่ำอีกแล้ว..เอ..ตัวก็ไม่ร้อนนี่นา..."
เสียงแม่คำหล้าอุทานอย่างตกใจก่อนจะลูบหน้าลูบหลัง แล้วรีบวางผ้าลงทันที
"อ่ะ...พอ ๆ เดี๋ยวไข้กลับอีก ไม่ต้องเช็ดต่อแล้ว..."
ประโยคนั้นทำให้เมืองอินทร์ถอนหายใจพรูใหญ่ ขณะที่คนตรงหน้าก็มีสีหน้าแดง ๆ ไม่ต่างกัน แล้วรีบโยนผ้าเปียกตัวการนั่นให้กับบ่าวที่นั่งรออยู่ตรงปลายตั่ง ขณะที่แม่คำหล้าหันไปหาบ่าวแล้วพยักหน้าให้ส่งชามข้าวต้มอุ่น ๆ มาให้ ก่อนที่สีหราชจะช่วยพยุงตัวคนป่วยลุกนั่งทานข้าว
"กินข้าวสักหน่อย แล้วเจ้าจะแข็งแรงขึ้นนะอ้ายอินทร์..." เสียงแม่คำหล้าเอาใจคนป่วย แต่ก็ต้องงุนงงเมื่อสีหราชแบมือตรงหน้าแล้วพูดหน้าตาเฉย
"เอาชามมาสิ เดี๋ยวข้าป้อนอ้ายอินทร์เอง แม่คำหล้าจักมีธุระไปที่ใดก็ไปเถิด..."
ประโยคนั้นทำให้คนป่วยหันขวับมองอ้ายสีห์ที่ออกจะเพี้ยน ๆ ผิดแผกไปกว่าเดิม
...อ้ายสีห์คนเดิมที่มุทะลุ ใจร้อน ไม่ฟังใครนั่น...หายไปไหนหนอ...เหตุใดใจดียิ่งนัก...
ข้าวต้มอุ่น ๆ ถูกคนป้อนเป่าเบา ๆ อย่างตั้งอกตั้งใจทีละช้อน ๆ แล้วค่อย ๆ ประคองป้อนช้า ๆ ให้คนป่วยตรงหน้า
"ค่อย ๆ กินนะ มันร้อนไปฤาไม่...ไม่ลวกลิ้นใช่ฤาไม่..."
"กินกระเทียมเจียวเยอะมิได้ เดี๋ยวระคายคอ..."
"ผักสักหน่อยเถิดหนา...มันไล่ลมดี..."
คนป่วยมองหน้าคนป้อนอย่างงุนงง ปากก็อ้ารับทีละคำอย่างว่าง่าย...สีหราชอมยิ้มนิด ๆ เพราะเหมือนเจ้าตัวจะไม่เกเรงอแงอย่างคราก่อน
"เจ้าจำได้ฤาไม่ สมัยเด็ก ๆ ที่เจ้าเป็นไข้หลังจากจมน้ำวันนั้น ข้าป้อนข้าวเจ้า เจ้ายังโกรธข้าแทบแย่ กินข้าวไปก็แกล้งพ่นข้าวใส่หน้าข้า...จนเราทะเลาะกันลั่นห้อง พ่อสินจับข้าไปตีด้วยหวายเสียหลายครั้ง..."
"แล้วก็เป็นข้าที่ไปร้องไห้กับพ่อสิน...ขอให้ลงหวายข้าด้วยเพราะข้าแกล้งท่าน..."
เมืองอินทร์หัวเราะเบา ๆ กับเรื่องราวในครั้งยังเยาว์วัย
"สุดท้ายลงที่ว่า...โดนทำโทษให้อดข้าวด้วยกันตั้ง 3 วัน" สีหราชหัวเราะเบา ๆ
แววตาของสีหราชทอดอ่อนโยน จนเมืองอินทร์รู้สึกเหมือนอยากมุดหายไปใต้ตั่งเสียจริง
บ่าวผู้หนึ่งก้าวเข้ามาในเรือนก่อนจะเอ่ยอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
“อ้ายสีห์ พ่อสินให้มาตามเจ้า...”
“เรื่องอันใดอีกเล่า” เจ้าตัวขมวดคิ้วมุ่น นึกขวางไม่อยากเห็นหน้าสมุหพระกลาโหมคนนี้อีก ด้วยยังเคืองมิหาย
“สมุหพระกลาโหมว่า มีของฝากเยี่ยม เห็นว่ามาจากบุตรีของท่านเป็นผู้ฝากมาให้อ้ายสีห์”
สีหราชยกยิ้มเหยียดเบา ๆ ก่อนจะก้มหน้ากระซิบข้าง ๆ หูคนเจ็บ
"ข้าไปครู่เดียว เดี๋ยวจะกลับมา...เจ้านอนพักก่อนเถิด..."
ว่าแล้วเจ้าตัวก็ก้าวตามบ่าวไป ขณะที่แม่คำหล้าเดินสวนกลับเข้ามา สิ้นเสียงดาลประตูลั่นปิดลง อีช้อยบ่าวคนสนิทแม่คำหล้ารีบถามขึ้นทันควัน
“แม่คำหล้า...บุตรีสมุหพระกลาโหมที่ว่า ฤาจะเป็น แม่นาก ที่ว่างามนักหนาผู้นั้น...”
“หากเป็นเช่นนั้นจริง ดูท่าอ้ายสีหราชของเราจะมีภาษีกว่าลูกท่านหลานเธอองค์อื่น ๆ อีกหนา” อีแตนบ่าวอีกคนรีบผสมโรง
“แต่ข้าไม่คิดเช่นนั้นดอก...ข้าว่า สมุหพระกลาโหมคงไม่ยินยอมให้บุตรีได้กับเพียงนักดาบหลวงเป็นแน่ สมุหพระกลาโหมคนนี้ดูคล้ายจะทะเยอทะยานยิ่งนัก เห็นว่าจะพยายามถวายตัวนางให้เป็นนางในในตำหนักของเจ้าจอมมารดาพิม แต่มิรู้ด้วยเหตุใด จึงยังไม่ได้เข้าวัง” แม่คำหล้าเอ่ยเบา ๆ ก่อนจะหันมาถามเมืองอินทร์ที่ค่อย ๆ เอนตัวลง
“ว่าแต่ อ้ายสีห์ของเราชอบพอกับแม่นากบ้างฤาไม่ อ้ายอินทร์ เจ้าพอรู้ฤาไม่...”
“ข้า..ข้าไม่รู้ดอก เคยเห็นนางมาที่กาดเมื่อคราก่อน เห็นนางคล้ายจะสนิทชิดเชื้อกับอ้ายสีห์อยู่บ้าง เพราะเดินมาทักอ้ายสีห์ก่อน...” สิ้นประโยคนั้นแม่คำหล้ากับบ่าวต่างอุทานกันลั่นก่อนจะตบอก
“กระไรกัน...นางถึงขั้นทักอ้ายสีหราชก่อนเลยฤา...มิคาดว่าบุตรีสมุหพระกลาโหมจะใจกล้าเยี่ยงนี้...”
“อ้ายสีห์ของเราก็รูปร่างหน้าตางาม องอาจแกล้วกล้า ฝีมือเพลงดาบก็มิเป็นรองใคร ฤาว่านางจะพึงใจอ้ายสีห์ของเราแล้ว...” อีช้อยพูดเสียงสูงต่ำ ก่อนจะโดนแม่คำหล้าหยิกที่แขนรอบหนึ่ง
“พูดจาอะไรให้ระวังบ้าง นั่นบุตรีสมุหพระกลาโหมเจียวนะ ถ้าเขาจะพึงใจกันก็ให้เป็นเรื่องผู้ใหญ่พูดคุยกันเถิด..” ก่อนจะหันมาหาอ้ายอินทร์ที่นอนตะแคงนิ่งอยู่อย่างนั้น ท่าทีของคนป่วยคล้ายจะหลับ แม่คำหล้าจึงยกมือให้บ่าว ๆ ค่อย ๆ ลุกออกไปก่อนเจ้าตัวจะลั่นดาลประตูห้องให้อย่างเบา ๆ
สิ้นเสียงลั่นดาล ดวงตากลมใสของคนป่วยกลับลืมขึ้นแล้วเหม่อมองออกไปข้างนอก ความรู้สึกหน้าแดงเมื่อครู่ก่อนหายไปเหลือเพียงความรู้สึกประหลาดที่คล้ายจะน้อยใจ คล้ายจะอัดอั้นอยู่กลางอก...
นี่ข้า...เป็นกระไรไป...เหตุใดจู่ ๆ จึงเจ็บแผลยิ่งนัก...
..................................
บทที่ 13 .เผลอรัก เผลอไผล
แผลลึกที่สะบักไหล่ใช้เวลาเกือบสัปดาห์จึงค่อย ๆ ดีขึ้น ยาของพ่อหมอฝรั่งและยาตำรับแม่คำหล้าทำให้แผลค่อย ๆ ดีขึ้นทีละน้อย เจ้าตัวเล็กคาดว่าหากได้ยาอีกไม่กี่เพลาก็คงเอาผ้าพันแผลออกได้ แต่เหมือนบางสิ่งในหัวใจคนป่วยจะเริ่มหงุดหงิดระคนรำคาญเมื่อยักษ์ตัวโตเดินเข้าเดินออกเรือนตนเองอยู่ทุกวันและทำราวกับเป็นห้องตัวเองก็ไม่ปาน
อะไรก็ไม่ยุ่งเท่ากับ อ้ายสีหราชทำเหมือนกับว่ามันป่วยใกล้ตายกระนั้น ไม่ว่าจะขยับตัวไปทางไหนก็มีมือเข้ามาประคองอยู่ตลอด จับท่อนแขนบ้าง ไหล่บ้าง เหมือนกันว่าถ้าไม่มีคนคอยพยุงแล้วมันจะล้มเสียอย่างนั้น มีคราหนึ่งเมืองอินทร์พยายามเหยียบตั่งเตี้ย ๆ เพื่อจะปีนคว้าเอาผ้าผวยผืนใหม่ที่วางไว้เหนือตู้ไม้ลงมา พออ้ายสีหราชเข้ามาเห็นเท่านั้นก็โวยลั่นก่อนจะปราดเข้ามาคว้าสะเอวมันไว้แล้วดึงตัวลงมา
“อ้ายอินทร์...เดี๋ยวแผลก็ได้เปิดกันพอดี จะเอาสิ่งใด ทำไมไม่บอกข้าเล่า” เสียงนั้นดังจากด้านหลัง วงแขนแข็งแรงนั้นรัดเอวมันไว้แน่นก่อนจะค่อย ๆ ปล่อยช้า ๆ แล้วหมุนตัวมันหันมามองหน้า
“อ้ายสีห์ ! อ้ายอินทร์น่ะมิใช่หญิงท้องแก่ที่ต้องให้เจ้าดูแลดอกหนา !” ประโยคนั้นดังขึ้นจากแม่คำหล้า ทำเอาเมืองอินทร์หน้าแดงก่ำไปด้วยขณะที่คนหน้าหนากว่าทำราวกับว่าไม่ได้ยินกระนั้น
“เกิดแผลปริขึ้นมาจะทำเยี่ยงไร...” ยักษ์ตัวโตก้มมองเมืองอินทร์ สายตาดุ ๆ นั่นเหมือนจะขู่กลาย ๆ
“เอ็งก็กลัวเกินไปอ้ายสีห์ แผลมันดีขึ้นมากแล้ว เจ้าไม่ต้องกังวลไปนักดอก” แม่คำหล้าค้อนให้วงใหญ่
“แม่คำหล้าก็ตามใจอ้ายอินทร์เหลือเกิน ...อย่าให้มันไปซนที่ใดจนกว่าแผลจะหายดีกว่า..”
คำสั่งอ้ายสีหราช ทำให้เจ้าตัวเล็กหน้ามุ่ย...
มันมิใช่สตรี ที่จะต้องอยู่เหย้าเฝ้าเรือนนะ ! ขืนอยู่ในห้องหับอีกไม่กี่วันมีหวังเฉาตายกันพอดี !
ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า ยามป่วยไข้แล้วจักต้องกลายเป็นง่อยเปลี้ยไปอย่างนี้...
เช้าตรู่วันต่อมา เมืองอินทร์ค่อย ๆ ย่องออกมาจากเรือนใหญ่พลางเหลียวซ้ายแลขวาอย่างระแวดระวัง...
ทางสะดวก...ยักษ์ใหญ่ไม่อยู่....
เจ้าตัวค่อย ๆ แอบย่องลงบันไดเรือนด้านหลังก่อนจะตรงไปที่คอกม้า เจ้าสีหมอกอยู่ตรงนั้น เจ้าม้าแสนรู้กระดิกใบหูพร้อมกับสะบัดหางนิด ๆ เมื่อเห็นเจ้านายตัวเอง เสียงสะบัดแผงคอดังขึ้นเบา ๆ ทำให้เมืองอินทร์รีบจุ๊ปากเป็นเชิงห้ามส่งเสียงก่อนจะยิ้มออกเมื่อเจ้าสีหมอกก็ยอมยืนนิ่งไม่ขยับ
หนีเที่ยว...ดีกว่า อุดอู้จะตายอยู่แล้ว อยู่แต่ในเรือน...
แต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเจ้าสีหมอกจู่ ๆ เบิ่งตาโตก่อนจะส่งเสียงเบา ๆ ในคอ แล้วค่อย ๆ ก้าวถอยหลังนิด ๆ
อะไรน่ะ...ไฉนทำสีหน้าเหมือนเห็นผีเช่นนั้นเล่า ไอ้สีหมอก ?
แต่เหมือนไม่ต้องรอคำตอบนาน เสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาประชิดด้านหลังก็บอกได้ เมืองอินทร์ถอนหายใจพรูก่อนจะหันไปมองด้านหลัง
“อ้ายสีห์ ข้าจะไปไหนก็เรื่องของข้าได้ฤาไม่ แผลก็จะหายอยู่แล้ว เจ้าอย่ายุ่งกับข้านักเลย”
เมืองอินทร์หน้ามุ่ยมองคนตรงหน้าที่กอดอกนิ่ง ๆ อยู่อย่างนั้น รังสีเข้ม ๆ ดุ ๆ อย่างเคยฉายชัดจากดวงตาคมนั่น
“มากับข้า...”
สิ้นคำนั้น มือหนาของสีหราชก็คว้ามับที่ท่อนแขนเรียวของคนฟื้นไข้ก่อนจะกึ่งลากกึ่งจูงไปที่เจ้าสีหมอก ร่างสูงโผนขึ้นไปบนหลังม้าก่อนจะออกแรงนิดเดียวดึงเมืองอินทร์ขึ้นไปด้วย
“อ๊ะ !” คนตัวเล็กกว่าทำตาโตอย่างตกใจ
แผ่นอกกว้างแนบชิดแผ่นหลังของคนตัวเล็ก มือข้างหนึ่งกอดประคองเอวคนตัวน้อย ส่วนมืออีกข้างก็จับบังเหียนเจ้าสีหมอกแน่น ต้นขาแข็งแรงของสีหราชกระทุ้งสีข้างเจ้าม้าแสนรู้เบา ๆ เท่านั้นมันก็โผนโจนไปเบื้องหน้า
“...บอกสิ...ว่าเจ้าอยากไปที่ใด...ข้าจะพาเจ้าไปเอง...” เสียงทุ้มดังจากด้านหลังไม่เท่าไร แต่ความอุ่นผ่าวจากแผ่นอกร้อนที่อยู่แนบชิดด้านหลังทำให้คนหายไข้เหมือนจะเป็นไข้กลับอีกรอบ เสียงหัวเราะเบา ๆ ในคอของยักษ์ตัวโตเหมือนจะคลอเคลียอยู่ใกล้ต้นคอขาว ๆ ของมัน ทำให้เมืองอินทร์ไม่กล้าแม้แต่จะหันหน้าไปสบตาคนขี้แกล้ง
“เอ่อ..ข้า..” คนช่างเจรจากลายเป็นคนติดอ่างไปในฉับพลัน
“ถ้าเจ้าไม่ตอบ....ข้าจะพาเจ้าไปตามใจข้าก็แล้วกัน...” รอยยิ้มกริ่มเหมือนสนุกสนานอยู่บนริมฝีปากคนเจ้าเล่ห์
ควบม้ามาได้ไม่นานเท่าไร เจ้าสีหมอกก็ถูกผูกไว้กับขอนไม้ริมตลิ่งใหญ่ ภาพตรงหน้าทำให้เมืองอินทร์ระบายยิ้มออกมาอย่างชอบใจ บึงบัวแห่งนี้กว้างสุดลูกหูลูกตา บัวแดงมากมายที่บานสะพรั่งอยู่ราวกับอยู่ในอุทยานหลวง
“งามจริง ๆ อ้ายสีห์...” ดวงตาสดใสของคนหายไข้ก้าวเข้าไปใกล้ ๆ สะพานไม้ง่าย ๆ ที่ชาวบ้านสร้างขึ้นทอดไปเกือบถึงกลางบึง ดูผาด ๆ เหมือนทั้งคู่กำลังเดินอยู่กลางบึงน้ำแห่งนี้
“หลายวันก่อน ข้าขี่ม้าผ่านมาเห็น ยังเป็นเพียงบัวตูมเท่านั้น แต่มาวันนี้มันบานสะพรั่งแล้ว เจ้าคงชอบ...”
“ถ้าแม่คำหล้ามาละก็..คงอยากได้บัวไปถวายพระเป็นแน่...” เมืองอินทร์พูดยิ้ม ๆ แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อคนข้างกายจัดแจงถอดเสื้อตัวบนเผยแผ่นอกกว้างก่อนจะกระโจนตูมลงไปในบึงนั้น
“อ้ายสีห์ !” เมืองอินทร์อุทานลั่น
“บึงนี้ไม่มีเจ้าของ เจ้าอยากได้กี่ดอกเล่า...ข้าจักเก็บให้...” สีหราชหัวเราะร่วน ใบหน้าคมพราวไปด้วยหยดน้ำแล้วส่งรอยยิ้มกระชากใจให้คนมองใจไหวระริก
“ก็...สามสี่ดอกก็พอกระมัง...” เมืองอินทร์ตอบตะกุกตะกัก
รอยยิ้มเช่นนั้น...อย่ายิ้มบ่อยนักจะได้ฤาไม่...ข้าเห็นยังใจสั่น...สตรีเห็นคงไม่แคล้วแดดิ้น...
แต่คนสร้างเรื่องเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ โผนไปเก็บดอกบัวดอกแล้วดอกเล่ามาวางให้บนสะพานไม้ คนที่อยู่บนสะพานก็ชี้โน้นชี้นี้ไปเรื่อย เริ่มชักสนุกกับการชี้นิ้วสั่งการยักษ์ให้ทำตาม
“ดอกโน้น...อ๊ะ...ไม่เอา...ดอกนี้ดีกว่า...”
“ดอกนี้บาน...เอาดอกตูมดีกว่า...”
สักครู่เหมือนคนโผนไปมาชักจะรู้ทันเจ้าตัวเล็กขี้แกล้ง ใบหน้าคมเม้มปากนิด ๆ แววตาเป็นประกายริก ๆ อย่างนึกสนุกก่อนจะหายวับเพียงพริบตา ทันใดนั้นเจ้าตัวก็ทำตาโตก่อนจะพุ้ยน้ำแรง ๆ สองสามครั้ง
“โอ๊ะ ! ตะคริวกิน ! อ้ายอินทร์จับข้าไว้ที...!”
ประโยคนั้นทำเอาคนตัวเล็กกว่าสะดุ้งเฮือก อารามตกใจทำให้ผุดลุกยืนขึ้นทันทีแล้วเอื้อมมือไปให้คนที่ตะกายอยู่ในน้ำจับ แต่ทันใดนั้นก็รู้ว่าพลาดแล้วเมื่อมุมปากหยักยิ้มนิดหนึ่งแล้วกระชากตูม ทำเอาเจ้าตัวเล็กตกน้ำตูมใหญ่
“ฮ่า ๆ ๆ เป็นไงเล่าอ้ายอินทร์....แกล้งข้าดีนัก มาเก็บบัวเองเลย !” ใบหน้าคมคร้ามพราวไปด้วยหยดน้ำและรอยยิ้มทั้งปากทั้งตา ว่ายเข้ามาใกล้แล้วเอามือข้างหนึ่งยีหัวอย่างมันเขี้ยวก่อนจะลากเจ้าตัวเล็กไปกลางบึง สะพานไม้ดูเหมือนจะไกลจากเดิม
“แค่ก ๆ ๆ อ้ายสีห์ ! แกล้งข้า !” เจ้าตัวไอโขลก ๆ ก่อนจะพุ้ยน้ำเป็นการใหญ่
“ข้าว่ายน้ำไม่แข็ง ท่านก็ยังแกล้ง !” เมืองอินทร์โวยลั่นบึงก่อนจะลูบหน้าลูบตาตัวเองในน้ำ
“ก็ใครใช้ให้เจ้าไม่ฝึกว่ายน้ำเล่า เจ้าลิง !” มือหนาของสีหราชเอื้อมมายีหัวคนกระแอมกระไอเบา ๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะยกยิ้มขำที่คนตัวเล็กเกาะท่อนแขนหนาไว้แน่น
“มาฝึกว่ายกันใหม่ ดีฤาไม่” เสียงหัวเราะเบา ๆ ของสีหราชทำให้เมืองอินทร์แยกเขี้ยวทันที
“เหอะ ! ฝึกกระไรยามนี้เล่า!” สีหน้ามันบอกชัดว่าถ้ากินหัวคนตรงหน้าได้คงทำไปนานแล้ว
“ตามใจ...งั้นข้าว่ายไปตรงนั้นก็แล้วกัน” สีหราชเบือนหน้าก่อนจะพุ้ยน้ำไปอีกมุมของบึง ท่าทางนั่นทำเอาเมืองอินทร์ตาโตก่อนจะโผพรวดเดียวเข้าเกาะหลังยักษ์ตัวโตแบบไม่คิดชีวิต
“อย่าไป ! อ้ายสีห์...ข้ายังเจ็บแผลอยู่เลย !” เมืองอินทร์โอดลั่นก่อนจะคว้าไหล่ทั้งสองข้างไว้แน่น ความทรงจำสมัยเด็กที่เคยจมน้ำเกือบตายครั้งหนึ่งทำให้เผลอจิกไหล่หนาไว้แล้วเบียดกายทั้งตัวเข้ามาแนบแผ่นหลังตรงหน้าเหมือนจะหาหลักยึด
ชั่วพริบตานั้นเอง ยักษ์ตัวโตเหมือนจะลืมว่ายน้ำไปทันที ร่างทั้งร่างคล้ายตะลึงไปชั่วขณะ มือเรียวที่โผเข้ามาเกาะทำเอามันไปไม่เป็นเอาเช่นกัน
“งะ...งั้นปะ..ปล่อยไหล่ข้าก่อนสิ แล้วก็ เลิกกอดข้าได้แล้ว ข้าหายใจไม่ออก!” เสียงยักษ์ขี้แกล้งเหมือนจะสั่นพร่าไปชั่วขณะ เหมือนใบหูนั่นจะแดงขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย
“ก็ใครใช้ให้เจ้าแกล้งข้าก่อนเล่า !” เมืองอินทร์ค่อนว่าคนตัวโตกว่าก่อนจะมองใบหน้าด้านข้างของคนตัวโตที่เหมือนจะแดงขึ้นกว่าเดิม ก่อนจะค่อย ๆ คลายมือที่รัดไหล่หนานั่นไว้
“แดดร้อนแล้ว...เรากลับกันดีกว่า เจ้าหน้าแดงไปหมดแล้วอ้ายสีห์...” เมืองอินทร์รีบชวน ขณะที่คนขี้แกล้งไม่พูดอะไรอีกเลยนอกจากจะรีบพุ้ยน้ำพามันตรงไปที่ตีนสะพานไม้ก่อนจะโหนตัวขึ้นไปอย่างรวดเร็ว เจ้าสีหมอกเหมือนจะเมียงมองทั้งคู่ก่อนจะสะบัดแผงคอแล้วเล็มหญ้าระบัดเล็กตรงหน้าต่อไป
ร่มไม้ริมน้ำทอดกิ่งก้านออกมาเป็นหลังคากันแดดให้ทั้งคู่ เสื้อผ้าของเมืองอินทร์ที่เปียกโชกถูกสะบัดออกตากไว้บนลำไม้ไผ่ที่เจ้ายักษ์ตัวโตลากมาจากข้างป่าใกล้ ๆ
“เอ้า! เจ้ารีบเอาเสื้อข้าไปสวมก่อน...หากเป็นไข้อีกรอบ ครานี้ข้าคงโดนแม่คำหล้าบ่นเป็นกระบุงโกยแน่”
สีหราชเบือนหน้าหลบเจ้าตัวเล็กที่กอดอกแน่น ก่อนจะหลับหูหลับตายื่นเสื้อแห้ง ๆ ของมันให้
กลิ่นเสื้อของอ้ายสีหราชมีเหงื่อจาง ๆ แต่..อบอุ่น
เมืองอินทร์รีบคว้าเสื้อดังกล่าวมาสวมทันที ชายเสื้อที่ยาวกว่าเสื้อของมันปกคลุมไปถึงต้นขา เจ้าตัวเล็กยีหัวตัวเองเบา ๆ หวังให้ผมแห้งเร็ว ๆ ก่อนจะชะงักเมื่ออ้ายสีห์มองมาด้วยสายตาประหลาดและรอยยิ้มที่มันไม่เข้าใจ ก่อนที่เจ้าตัวจะทรุดกายลงกึ่งนั่งกึ่งเอนพิงต้นไม้ใกล้ ๆ แล้วมองหน้าเจ้าตัวเล็กนิ่ง ๆ
“ข้ายังไม่เคยถามเจ้าเลย...อ้ายอินทร์” ประโยคและดวงตาทอแสงอ่อน
“พ่อแม่เจ้าเป็นอย่างไรหรือ...ทำไมปู่อินทร์แขวนถึงพาเจ้ามาหาพ่อสินได้...”
เมืองอินทร์เลิกคิ้วอย่างงุนงงก่อนจะระบายยิ้มจาง ๆ
พ่อ...แม่...คำนี้มันไม่ได้เรียกนานเท่าใดแล้วนะ...
“ทำไมจู่ ๆ ถึงนึกถามเรื่องนี้ขึ้นเล่า...”
“ก็..ข้าแค่อยากรู้...ทุกเรื่องในชีวิตของเจ้า...ให้มาก ๆ ” น้ำเสียงนั้นทอดอ่อนโยน
“ข้าไม่มีความทรงจำมากนัก จำได้เพียงแต่ พ่อข้าชอบแทงพนันขันต่อนัก เล่นสูงต่ำ ถั่วโป...ทุกอย่าง ของในเรือนที่มีค่อย ๆ หายไปทีละชิ้น จนเหมือนจะไม่เหลือสิ่งใดที่มีค่าอีก แล้วสุดท้ายข้าก็รู้ว่ากระทั่งแม่ของข้า...ก็กลายเป็นทาส ถูกขายเพื่อใช้หนี้พนัน...ปู่อินทร์แขวนเลยตัดสินใจพาข้ามา...ปู่คงกลัวว่าพ่อจักพาข้าไปขายใช้หนี้พนันกระมัง...”
แม้น้ำเสียงเมืองอินทร์จะดูราวไม่แสดงความรู้สึก แต่ดวงตามิอาจซ่อนเร้นความหม่นเศร้าได้ สีหราชเอนกายเข้ามาใกล้ก่อนจะเอาคางเกยกับบ่าเล็ก ๆ ลมหายใจอุ่นร้อนกับฝ่ามือหนาลูบหัวมันเบา ๆ อย่างเอาใจ
“ผีพนัน...หาใช่ดี...ถ้าสักวันข้าต้องเป็นพ่อให้ใคร...ข้าสัญญาว่าข้าจักไม่ทำเยี่ยงนี้เด็ดขาด...แล้วเจ้าเล่า?”
“หึ...ข้าคงไม่อาจเป็นพ่อให้ใครได้ดอก วัน ๆ เอาแต่อยู่ในสนามฝึกดาบกับเจ้า จะมีเวลาไปมองผู้สาวที่ไหนกัน” เสียงเมืองอินทร์คล้ายแมวขาว ๆ ที่ง่อดแง่ดฟอดแฟ่ด
ก็ใครกันเล่า บอกให้มันสัญญาว่าอย่าทำดีกับผู้ใด...จนบัดนี้เลยยังไม่มีผู้สาวคนไหนมองมันสักนิด
“เช่นนั้นก็ดี...ข้าว่าเจ้าเหมาะกับเป็นแม่มากกว่า เพราะเจ้าช่างอ่อนโยนเอาใจใส่เด็ก ผู้สาว และผู้ชราทุกคนเยี่ยงนี้...”
สีหราชหัวเราะขำ ๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะแกล้งเอาคางสากหนามาลากไล้เบา ๆ ที่ไหล่เจ้าตัวเล็ก เมืองอินทร์ห่อไหล่หนีทันควัน สีหน้าแดงก่ำเป็นลูกตำลึงสุกขณะที่ขนแขนลุกพรึ่บไปทั้งตัว
“อ้ายสีห์ ! เจ้านี่คิดวิตถารเสียแล้ว ข้าเป็นผู้บ่าวแท้ ๆ จักเป็นแม่ให้ใครได้เล่า !”
“ก็ข้าเห็นเจ้ายิ้มทีไร ข้าคิดภาพเจ้าอยู่กับเด็กตัวน้อย ๆ ไปเสียทุกที...ไม่ดีดอกหรือ”
แววตาขี้เล่นอารมณ์ดีของคนตรงหน้าก่อนจะเอนกายลงนอนบนผืนหญ้านุ่ม ๆ แผ่นอกเปลือยแข็งแรงนั้นทั้งกว้างและมีกล้ามเนื้อสวยงาม...สงสัยมันจะเผลอมองนานไป สีหราชยิ้มนิด ๆ มองตามันแล้วพูดหยอกเย้า
“ง่วงฤาไม่อ้ายอินทร์...ข้ายินดียกอกข้าเป็นหมอนให้เจ้า มานอนได้นะ..ข้าไม่ถือ...” เจ้าตัวพูดเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาก่อนจะชี้ตรงแผ่นอกกว้างตัวเองด้วยสีหน้ามั่นใจนักหนา
รู้ว่า...ขัดเขิน ยังแกล้งกันได้ อ้ายสีห์ !
..........................................................................
บทที่ 14 หวานหวาม
Last updated : 12/9/2020
นิยายเรื่องนี้ลงจนจบแล้วนะคะ ที่ D และ RAW
แสงอาทิตย์อ่อน ๆ ลอดผ่านช่องหน้าต่างเรือนเข้ามา เสียงนกร้องดังขึ้นเบา ๆ อยู่ด้านนอก และสัมผัสที่ไม่คุ้นทำให้เมืองอินทร์ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ
อุ่นยิ่งนัก...ยังไม่อยากลุกเลย อากาศกำลังเย็นสบายและผ้าห่มกำลังอุ่นและ...นุ่ม...ร้อนนิด ๆ
ทันใดนั้นเมืองอินทร์ก็สะดุ้งเฮือก เมื่อรู้สึกถึงความอุ่นร้อนผ่าวที่อยู่แนบชิดด้านหลังและบั้นเอวทำให้เจ้าตัวรีบขยับกายออกห่าง แต่มือหนาข้างหนึ่งก็กลับกดพาดอยู่บนช่วงเอวไว้แน่น เสียงงึมงำที่แนบชิดรดต้นคอทำให้หัวใจเต้นโครมคราม กลิ่นกายและสัมผัสที่คุ้นเคยทำให้รู้ว่าเป็นผู้ใด
“อยู่เฉย ๆ บ้างไม่ได้ดอกฤา เจ้าดิ้นทั้งคืนทำให้ข้ายังไม่ได้นอนเลย...”เสียงงึมงำของอ้ายสีหราชดังขึ้นแนบชิด
...หะ...หืม ? ข้านะหรือนอนดิ้น ? ...แล้ว...กอด...ทั้งคืน... !
“อะ...อ้ายสีห์...เหตุใดข้าจึงมาอยู่ที่นี่เล่า แล้วนี่มันที่ใดกัน...” เมืองอินทร์อุบอิบก่อนจะพยายามพลิกตัวกลับมามองคนที่เอาร่างมันเป็นหมอนข้าง ขอบตาคนพูดฟ้องว่าเจ้าตัวคล้ายอดนอนมาทั้งคืนจริง ๆ เรือนที่พวกมันกำลังนอนอยู่นี้ดูงดงามวิจิตร แน่นอนว่าไม่ใช่เรือนของผู้มีอันจะกินทั่วไปเป็นแน่
“เจ้าเมานัก...จะพาขึ้นหลังเจ้าสีหมอกก็พาลจะร่วงอยู่หลายครา...ข้าเลยต้องอุ้มเจ้าขึ้นหลังมาขอใช้ห้องข้าที่ตำหนักของเสด็จพระองค์ชาย...” ดวงตาคนพูดยังคงปิดสนิท น้ำเสียงง่วงงุน โหนกแก้มกลับคล้ายเริ่มแดงเรื่อ ลมหายใจอุ่น ๆ ที่จรดอยู่ข้างตัวทำให้หัวใจของเมืองอินทร์ขยุกขยิกพิกล
“แล้ว...เหตุใดต้องมาเบียดกันบนเตียงแคบ ๆ ด้วยเล่าอ้ายสีห์ ให้ข้านอนพื้นก็ได้...” เมืองอินทร์ไม่วายบ่นเบา ๆ
เตียงนี้แคบชนิดเหมาะนอนผู้เดียวมากกว่า พอผู้ชายสองคนต้องนอนด้วยกันก็แทบจะต้องแนบชิดจนรู้สึกถึงไออุ่น
“มีเตียงเดียว แลพื้นไม้ก็เย็นปานนั้น เจ้าก็เพิ่งจะหายป่วย ข้าจะปล่อยให้เจ้านอนพื้นได้อย่างไร มีทางเดียวก็ต้องนอนด้วยกันบนเตียงนี่แล...แต่ใครจะรู้เล่าว่าเจ้านอนดิ้นขนาดนี้...”
แม้มันหันกลับมามองหน้าคนง่วงนอน แต่มือไม้ของคนง่วงกลับกอดกระชับมันไว้แน่น รั้งไว้แนบอก ก่อนจะกดปลายคางสากลงกับเรือนผมนุ่มของมัน แนบชิดจนยินเสียงหัวใจของยักษ์ขี้เซาที่เต้นรัวตึกตัก...
หัวใจอ้ายสีห์...เต้นรัวยิ่งนัก ?
“อะ...อ้ายสีห์ ปล่อยข้าก่อนได้ฤาไม่ เจ้าไม่เหน็บกินดอกหรือ...”
ท่อนแขนหนาของสีหราชถูกมันใช้ต่างหมอนหนุนหัวมาตลอดทั้งคืน ดูท่าเจ้าตัวน่าจะปวดแขนไม่น้อย
“ใช่ ต้องเหน็บกินแน่...เพราะสละแขนแทนหมอนให้เจ้าทั้งคืน” เสียงเหมือนยักษ์ตัวโตกำลังงอน
“เมื่อคืนข้าสละแขนเป็นหมอนให้เจ้า...เช้านี้เจ้าจงยอมเป็นหมอนให้ข้าบ้าง...”
ประโยคห้วน ๆ ราวกับโกรธมันนัก ทำให้เมืองอินทร์หน้าแดงก่ำทันที เพราะทันทีที่พูดจบ มือแกร่งก็ดึงรั้งตัวมันเข้ามาแนบชิด..ใกล้เสียจนได้ยินเสียงลมหายใจของคนข้างตัว...
...อ้ายสีห์...ลมหายใจอุ่นจัด และเร็วเหลือเกิน...คงมิได้ป่วยไข้ ?
เมืองอินทร์เหลียวมองคนง่วงที่ฉุดมันไว้ต่างหมอน แต่ก็ต้องกระพริบตาปริบ ๆ เมื่อดวงตาคมคร้ามที่คิดว่าหลับอยู่กลับจดจ้องตะแคงมองมันเช่นกัน สายตาที่มองมาคล้ายวาววาม...คล้ายจะคาดโทษบางอย่างที่มันเองก็ไม่เข้าใจ ดวงตานั่นจับจ้องที่ริมฝีปากมันก่อนจะเม้มแน่น
ริมฝีปาก...หรือเมื่อคืนมันจะพูดอะไรผิดหู...หรือว่าเผลอทำสิ่งใดผิด... ?
“เมื่อคืน..นอกจากเรื่องข้าเมาแล้ว นอนดิ้นแล้ว...ข้ายังทำสิ่งใดอีกฤาไม่ ?” น้ำเสียงคนพูดคล้ายจะลังเล สีหน้าจืดเจื่อนกังวลก่อนจะขบริมฝีปากตนเองเบา ๆ ท่าทีดังกล่าวทำให้คนที่เอามันเป็นหมอนถึงกับเม้มปากหนักกว่าเดิม ก่อนจะคลายวงแขนที่กอดแล้วเบี่ยงตัวออกไม่มองหน้ามันอีก..ท่าทีเหมือนกำลังข่มกลั้นบางอย่าง...
ดูท่า...มันคงทำเรื่องเลวร้ายมาก...อ้ายสีห์ถึงทำท่าเยี่ยงนี้...
“เงียบเถอะ...เลิกเอ่ยถึงเรื่องนี้ได้แล้ว...”เจ้าตัวตัดบทสั้น ๆ ก่อนจะเมินไปทางหนึ่ง
“ทำไมเล่า...ข้าทำสิ่งใดเลวร้ายขนาดนั้นรึ ?” เมืองอินทร์ลอบกลืนน้ำลายเบา ๆ
“ใช่...ทั้ง...อันตราย และเลวร้าย...ข้าไม่อยากพูดถึงมัน...” ประโยคนั้นทำให้เมืองอินทร์ทำตาปริบ ๆ นิ่งงันไปบ้าง
“ข้าขอโทษ...สุรานั้นหวานนัก กว่าจะรู้ตัวก็มึนเมาไม่ได้สติเสียแล้ว...” คนทำผิดทำหน้าม่อยก่อนจะยอมรับแต่โดยดี
“อืม...หวาน...หวานจนคนดื่ม...และคนไม่ได้ดื่มมึนเมา...” คนพูดหลับตานิ่งก่อนจะไม่ยอมพูดอะไรอีก
เมืองอินทร์มองยักษ์ตัวโตที่นอนข้าง ๆ ตาปริบ ๆ
ดูท่าอ้ายสีห์ จะเมาค้างจนพูดผิดพูดถูกไปหมดแล้ว
มีอย่างฤา...คนไม่ได้ดื่มจะมึนเมากับความหวานได้อย่างไร ?
……………………………………………………………………………………..
กว่าอ้ายสีหราชจะยอมปล่อยมันเป็นอิสระ ก็รอจนกระทั่งบ่าวไพร่ในเรือนของเสด็จพระองค์ชายชาญนพมาเชิญไปรับสำรับอาหารเช้านั่นแล อ้ายสีหราชหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะฉุดตัวเล็กกว่ามานั่งใกล้ ๆ สำรับชามเบญจรงค์ถูกบ่าวไพร่ทยอยยกเข้ามาทีละชุด
“เจ้าอยากชิมอาหารชาววังนี่อ้ายอินทร์ วันนี้ข้าอุตส่าห์พาเจ้ามาแล้ว จะชิมสักหน่อยฤาไม่...นี่กระไร สาคูไส้ไก่ที่เจ้าถามถึงครานั้น” รอยยิ้มตรงหน้าทำให้เมืองอินทร์ขำนิด ๆ
อ้ายสีห์ จดจำทุกอย่างที่มันชอบได้จริง มีแต่อาหารที่มันอยากรับประทานทั้งนั้น
“เสด็จพระองค์ชายให้มาเรียนอ้ายสีห์ว่า ท่านจะเสด็จไปท้องพระโรงแล้ว หากอ้ายสีห์ประสงค์จะติดตามให้เตรียมตัวเจ้าค่ะ” บ่าวผู้หนึ่งเดินยอบกายก่อนจะก้มหน้าแนบพื้น
“เมื่อคืน ตกลงว่าท่านตามคนเหล่านั้นไปได้เรื่องอันใดบ้างฤาไม่..” เมืองอินทร์ถาม
“อืม...มีหนึ่งคนในนั้นที่มีบรรดาศักดิ์ ข้าเลยขอเสด็จพระองค์ชายติดตามไปดักรอหน้าท้องพระโรง อาจจะพอได้เรื่องบ้าง”
“อ้ายอินทร์ เจ้าชิมขนมและของหวานเหล่านี้ไปพลาง ๆ ก่อน ประเดี๋ยวข้าจะกลับมา” ว่าแล้วเจ้าตัวก็ลุกจากตั่งนอนแล้วเตรียมเดินตามบ่าวรับใช้ออกไป
แต่แล้วเพียงครู่เดียว อ้ายอินทร์ก็เหลือบไปมองบนเตียงเมื่อครู่ วัตถุแวววาวส่องประกายล้อแสงอาทิตย์ทำให้ต้องลุกขึ้นไปมองให้แน่ ๆ ก่อนจะขมวดคิ้ว สร้อยทองสลักดุนลายอย่างวิจิตรเส้นน้อยร่วงอยู่บนนั้น ชะรอยว่าอ้ายสีห์อาจจะทำร่วงขณะที่นอนหลับอยู่เมื่อครู่
....สร้อยของสตรี...ไฉนมาอยู่ที่อ้ายสีห์ได้ ? มีผู้ใดให้มัน เหตุใดสำคัญขนาดต้องพกติดกาย...
หรือมันเตรียมเอาไว้ให้ผู้สาวบ้านใด...ที่หมายปอง...
สิ้นความคิดนั้น เหมือนเกิดช่องว่างวูบไหวขึ้นกลางอก จนต้องเผลอกลืนน้ำลายเฝื่อน ๆ ลงไป
อ้ายสีห์เติบใหญ่แล้ว...ถึงคราต้องออกเรือน จะแปลกอันใดที่มันจะเริ่มหมายปองหญิงสาวจากตระกูลที่ดีงาม
ถ้าจะแปลกจริง ๆ คงเป็นตัวมันนี่เอง ที่จู่ ๆ ก็วูบไหวคล้ายพายุพัดกระโชกให้หัวใจหาย....
มือเรียวของเมืองอินทร์คว้าสร้อยเส้นนั้นไว้แน่นกับมือ ก่อนจะเดินก้าวออกตามร่างสูงที่เพิ่งก้าวพ้นออกจากเรือนไปไม่นาน แต่ก่อนที่เขาจะเดินทันอ้ายสีหราช ก็ปรากฏว่าเกือบชนเข้ากับสตรีนางหนึ่งเดินก้าวตรงมาอย่างรวดเร็ว
“เจ้าไม่กลัวหัวจะหลุดฤา เดินประสาอะไร เกือบจะชนแม่หญิงอยู่แล้วเทียวนะ!” เสียงบ่าวที่เดินตามมาแว้ดอย่างดังก่อนจะปราดมาขวางเมืองอินทร์กับคนตรงหน้าไว้
ให้ฟ้าผ่าเถอะ ! เมืองอินทร์คันปากอยากจะบ่น
“เจ้า...เจ้าทาสของอ้ายสีห์ ?” เสียงแม่หญิงนากดังขึ้น สตรีรูปร่างงดงามใบหน้าผุดผาดยืนอยู่ตรงหน้าเขา
เมืองอินทร์ค้อมหัวลงให้เล็กน้อยก่อนจะเตรียมปลีกตัวไป แต่ก็ถูกเรียกไว้ก่อน
“นั่นเจ้าจะไปที่ใด แล้วนั่น...สิ่งที่อยู่ในมือเจ้า...เป็นของใคร ?” น้ำเสียงนั้นดูคล้ายไม่เป็นมิตร แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะมาใส่ใจ
“ข้าจักไปหาอ้ายสีห์ เพราะเมื่อคืนทำสร้อยนี้ร่วงเอาไว้บนเตียง...” เมืองอินทร์ตอบอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะกำสร้อยในมือไว้
ประโยคนั้นทำให้แม่หญิงคนงามถึงกับหันขวับมามองก่อนจะกัดริมฝีปากแน่น แล้วเขม้นมองมันตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้ง ขณะที่บ่าวไพร่ที่เดินตามหลังแม่หญิงนากกลับมีท่าทีประหลาดหันไปกระซิบกระซาบกัน สายตาทั้งบ่าวทั้งนายนั่นพิกลนัก...
ไม่ชอบเอาเสียเลย...ข้าไม่เคยมองใครเยี่ยงนี้ และไม่คิดจะมองด้วย !
จู่ ๆ แม่หญิงคนงามก็เดินมาใกล้ ๆ ก่อนจะชี้ตรงต้นคอ ด้วยสายตาประหลาด
“รอยแดงที่ต้นคอนั่น...เจ้าไปโดนอะไรมา..เจ็บฤาไม่”
เมืองอินทร์เลิกคิ้วงุนงง เพราะไม่เห็นจะรู้สึกเจ็บตรงที่ใดบนร่างกาย
“ขอบคุณที่แม่หญิงถาม แต่ข้าไม่เจ็บตรงที่ใด” ก่อนจะยกมือขึ้นลูบต้นคอ
..หรือว่าข้าจักแพ้สุราจีนกัน...แต่ไม่ยักจะคัน…ประหลาดแท้
“ข้ากำลังจะไปเฝ้าเจ้าจอมมารดาพิม...เห็นว่าอ้ายสีห์จักต้องตามเสด็จพระองค์ชายไปเยี่ยมเจ้าจอมมารดาพิมก่อนจะเข้าท้องพระโรง เรือนนั้นเข้าได้เฉพาะสตรีเท่านั้น จะฝากข้าไปฤาไม่เล่า..”
ท่าทีของแม่หญิงนากดูคล้ายจะมีน้ำใจ แต่เมืองอินทร์ก็ลังเล แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เรือนเจ้าจอมมารดาพิมอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นใน ที่ไม่อนุญาตให้บุรุษเข้าไป
“หากเจ้าเกรงว่าจะยักเอาของอ้ายสีห์ไว้ เจ้าก็ตามข้ามาก็แล้วกัน ข้าจักยื่นให้อ้ายสีห์แล้วเจ้าก็จะได้เห็นเอง...”
น้ำเสียงและท่าทีดูคล้ายจะอ่อนลง ประโยคนั้นทำให้เมืองอินทร์ยอมเดินตามมาด้วย แล้วก็เป็นดังที่แม่หญิงนากเอ่ย เมื่อเข้าไปในเขตพระราชฐานชั้นใน อ้ายอินทร์ได้แต่มองตาละห้อยอยู่ด้านนอก ภาพที่มันเห็นตรงหน้าทำให้ตัวชานิด ๆ เพราะแม่หญิงนากคล้ายจักเรียกอ้ายสีห์ไว้ก่อนจะเดินขึ้นเรือนของเจ้าจอมมารดาพิม ทั้งคู่อยู่ไกลเกินกว่าที่เมืองอินทร์จะได้ยินคำพูด แต่ดูจากกริยาแล้วคล้ายแม่หญิงนากขวยเขินแลอุทานบางประโยค ก่อนเจ้าตัวจะทรุดลงก้มจะคว้าเก็บบางสิ่ง ประกายวาววับต้องแสงอาทิตย์บอกว่านั่นคือสร้อย อ้ายสีหราชก้มลงเก็บให้แม่หญิงก่อนจะขยับกายไปใกล้ชิด
สร้อย...ถูกอ้ายสีห์บรรจงยื่นให้แม่หญิงนาก...แต่แม่หญิงนากกลับก้มหน้างุดแล้วรวบเส้นผมยาวสลวยแล้วมองเป็นเชิงให้อ้ายสีห์สวมให้ แววตาของแม่หญิงคล้ายจะวิบวาว ขณะที่อ้ายสีหราชที่มีสีหน้าเรียบเฉยเช่นเคยเป็นมา
ถึงยามนี้...ไม่ว่าอ้ายสีห์จะสวมสร้อยนั้นให้หรือไม่ แต่เมืองอินทร์เหมือนไม่อยากเห็นภาพสิ่งใดอีกแล้ว เจ้าตัวหมุนกลับก่อนจะเดินก้าวพรวด ๆ หนีจากภาพนั้นมา มือเรียวยาวกระชับกุมดาบในมือไว้มั่น
คงใช่...อ้ายสีห์ เขาเลือกเจ้าของสร้อยเส้นนั้นแล้ว....
ข้าควรยินดีกับอ้ายสีห์....แต่ไฉน...จึงปวดร้าว...
กลับ...ข้าควรกลับเรือนพ่อสินได้เสียที...
................................................................................................
หลายวันมานี้เหมือนอ้ายตัวจ้อยพยายามหลบหน้าหลบตาสีหราช จนเจ้าตัวก็งุนงงว่าไปทำสิ่งใดให้มันเคืองเข้า ตั้งแต่วันนั้นที่เจ้าตัวจ้อยหนีกลับจากตำหนักของเสด็จพระองค์ชายชาญนพก่อน ก็ทำเอาอ้ายสีหราชวิ่งวุ่นตามหาก่อนจะรู้ว่าเจ้าจ้อยนั่นกลับไปที่เรือนของพ่อสิน
“หากจู่ ๆ ก็เปลี่ยนแปร ลองคิดดูว่าวันนั้นเจ้าทำสิ่งใดผิดแผกไปหรือไม่ ลางทีมันอาจจะโกรธ...” อ้ายมิ่งสหายสนิทตบบ่าเบา ๆ ประโยคนั้นทำให้สีหราชนิ่วหน้ากุมขมับ
ถ้าจะนึกไป...วันนั้นก็ดูไม่มีสิ่งใดที่เขาทำผิดต่อเมืองอินทร์ แต่สำหรับตัวเองนั้นอาจจะแปลกประหลาดอยู่บ้าง ตั้งแต่แม่หญิงนากเรียกเขาไว้ก่อนจะก้าวขึ้นเรือนเจ้าจอมมารดา
“อ้ายสีห์...ข้าคิดว่าสร้อยเส้นนี้เป็นของเจ้าใช้ฤาไม่” แม่หญิงนากยกสร้อยทองเส้นน้อยในมือให้เขาดู ทำให้สีหราชตกใจไม่น้อยเพราะไม่คาดว่าของสำคัญจะหล่นร่วงระหว่างทาง เจ้าตัวรีบแตะห่อพกที่ติดตัวมาเปิดดูแล้วก่อนจะเห็นว่าสร้อยร่วงหล่นไปจริง
“ขอบคุณแม่หญิงที่ช่วยเก็บให้ข้า...ท่านรู้ได้อย่างไร”
“เปล่าดอก เมืองอินทร์ทาสของเจ้าตาลีตาลานวิ่งมา ข้าเลยบอกว่าจะเอามาให้เจ้า”
สิ้นประโยคนั้นสีหราชก็เหลียวมองไปด้านนอกกำแพงแต่ก็ไม่เห็นผู้ใด ก่อนจะรีบหันกลับมาเมื่อแม่หญิงนากอุทานเบา ๆ
“อุ๊ย...สร้อยข้า...” เจ้าตัวอุทานพร้อมกับทาบอกเมื่อสร้อยทองที่ละม้ายคล้ายของเขาร่วงหลุดจากคอลงสู่พื้น
สัญชาตญาณทำให้อ้ายสีห์รีบก้มลงไปหยิบแทนให้ก่อนจะยื่นคืนให้เจ้าของ แต่แม่หญิงนากกลับทำทีขอให้เขาสวมมันให้กับนาง ท่าทีรวบผมขึ้นนั้นทำให้สีหราชนิ่งอั้นไปครู่หนึ่งก่อนจะปฏิเสธ
“ข้า...เป็นเพียงนักดาบหลวง ไม่ควรใกล้ชิดบุตรีสมุหพระกลาโหม ไม่เช่นนั้นผู้คนจักนินทาท่านได้...ข้าขออภัย”
ว่าแล้วก็ยื่นคืนสร้อยนั้นลงสู่มือเจ้าของ แล้วพูดต่อทันควัน
“ข้าขอสร้อยของข้าคืนด้วย แม่หญิง...”
ไม่อยู่รอดูว่าแม่หญิงนากมีท่าทีอย่างไรต่อเขา แต่กริยากำมือแน่นของแม่หญิงตรงหน้าก็พอบอกได้ว่าเจ้าตัวไม่พึงใจอย่างมาก แต่สีหราชรีบผละไปหาเสด็จพระองค์ชายชาญนพที่กำลังเดินลงมาแล้วก้าวตามไปทันที
ตั้งแต่วันนั้นมา อ้ายอินทร์ก็ไม่ยอมอยู่ใกล้เขาอีกเลย ไม่รู้ว่ามันโกรธเคืองเขาด้วยเรื่องอันใด หรือว่าจะเคืองที่หลบไปท้องพระโรงก่อน ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัวนัก ความคับข้องใจทำให้สีหราชได้แต่นั่งถอนใจพรูใหญ่ จนอ้ายมิ่งเหลียวมามอง
“หากมิรู้ว่าเรื่องอันใด ก็...ถามตรง ๆ ไปเสีย จักได้มิต้องกระสับกระส่ายอยู่เยี่ยงนี้”
“ข้า...มิกล้าถาม มิรู้ว่าทำสิ่งใดให้มันเคือง...” สีหราชโอดก่อนจะเสยผมแล้วถอนหายใจพรู
“เจ้าทำหน้าราวกับแบกโลกไว้หลายเพลาแล้ว อีกไม่กี่วันจักเป็นงานลอยโคม...ลองชวนอ้ายอินทร์ไปเที่ยวงานสิ” อ้ายมิ่งแนะนำ ก่อนจะจ้องหน้ามันแล้วเอ่ยช้า ๆ
“อ้ายสีห์...ข้าไม่รู้ว่าควรพูดฤาไม่...แต่ข้าไม่เคยเห็นเจ้าห่วงใยใครเท่าอ้ายอินทร์มาก่อน จงถามหัวใจตัวเองเถิดว่าเหตุใดเพียงมันเมินเจ้าแล้ว...เจ้าจึงทุรนทุรายเยี่ยงนี้...”
ประโยคนั้นทำให้สีหราชชะงักไป ก่อนจะมองหน้าอ้ายมิ่ง
นั่นสิ...เหตุใดถึงรู้สึกราวเจียนตาย...แค่อ้ายตัวจ้อยเมินมัน...
.........................................................................