CHAPTER
33
หัวใจ...แทบหยุดเต้น เลือดในกายเย็นเฉียบ
ร่างนี้คือ ร่างเดิมของเมืองอินทร์ก่อนจะสิ้นใจในอ้อมแขนเขาเมื่อเกือบ 200 ปีที่แล้ว
“...เมืองอินทร์...”
สายลมที่เคยพัดเอื่อยเมื่อครู่คล้ายหยุดนิ่งสนิท ไม่มีแม้แต่เสียงใบไม้ร่วงสักใบ ร่างนั้นก้าวช้า ๆ ตรงมาไอสีดำสนิทระอุออกจากร่างนั้นราวกับหมอกสีดำ
“มาสิอ้ายสีห์...ข้าจักแนะนำทาสคนใหม่ของข้าให้รู้จัก”
เสียงขุนศรีหัวเราะก้องโดมมิติวิญญาณตรงหน้า แต่เป็นสีหราชที่ไม่อาจละสายตาจากร่างที่กำลังก้าวตรงเข้ามา หูเขาดับไปชั่วคราวไม่อาจได้ยินสิ่งใด...เพราะมีเพียงภาพตรงหน้าเท่านั้นที่เขาตะลึง
ดวงตาของเมืองอินทร์ยามนี้ไร้ซึ่งแววใด ๆ คล้ายไม่รู้จักใครเลย ทั้งร่างมีแต่ความกราดเกรี้ยวและเต็มไปด้วยพลังไสยเวทขั้นสูง เสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงและฟ้าลั่นครืนครั่นก้องโดมมิติวิญญาณ คล้ายมีพลังงานบางอย่างที่ปั่นป่วน...พลังที่มาจากร่างตรงหน้า เพลิงสีเขียวอมน้ำเงินจุดขึ้นบนปลายนิ้วของร่างตรงหน้าแม้จะเป็นดวงไฟเล็ก ๆ แต่หากรู้ว่าเพียงสัมผัสอาจมอดไหม้ในพริบตา
สีหราชกะพริบตาก่อนจะกระโดดถอยหลังทันควันเมื่อร่างนั้นพลันหายวับไปต่อหน้าต่อตา และเป็นดังคาด ดาบสีดำสนิทถูกเจ้าตัวชักออกมาฟันตำแหน่งที่เขายืนเมื่อครู่ แรงปะทะดังกล่าวทำให้พื้นดินตรงหน้าเขย่ากรูและกลายเป็นร่องกรีดบนพื้นดิน แต่เป็นสีหราชที่เบิกตาโพลงอีกรอบเมื่อเงาสีดำสนิทตรงปราดเข้ามาที่เขาอีกครั้ง
วะ...ไวอะไรอย่างนี้ !
สีหราชได้แต่เบี่ยงกายหลบก่อนจะยกดาบขึ้นมาปะทะกับร่างตรงหน้า แต่ก็ทำได้เพียงเท่านั้นเมื่อปลายนิ้วของเมืองอินทร์คีบดาบเพลิงวิญญาณของเขาไว้ เพลิงสีเขียวน้ำเงินปะทะกับเพลิงสีแดงก่ำของยมโลกตรงหน้า ก่อนที่ร่างในชุดสีดำจะสืบเท้าเข้ามาอย่างช้า ๆ แรงดันมหาศาลจากร่างตรงหน้าทำให้สีหราชต้องกัดฟันแน่นและเป็นเขาที่โดนดันจนถอยร่น วูบนั้นเมื่อเงยหน้าสบตาของร่างในอาภรณ์สีดำ เขาก็ตัดสินใจร่ายคาถาเวทปะทะตรง ๆ เพื่อสะบัดให้หลุดจากการเกาะกุม แต่ก็ได้เพียงครู่เดียว เมื่อเมืองอินทร์ปราดเข้ามาปะทะต่อเนื่องไม่ลดละ
ฝุ่นดินคละคลุ้งไปทั่วบริเวณขณะที่หุ่นพยนต์สี่ห้าตัวยืนคุมเชิงอยู่ตรงหน้า จอมขมังเวทขุนศรีกำไม้เท้าอาคมในมือไว้แน่นก่อนจะเหยียดยิ้มใส่ เจ้าตัวหันไปสะบัดไม้เท้าครั้งหนึ่งตรงหน้าก่อนจะปรากฎเป็นหลุมสีดำสนิทขึ้นกลางอากาศ เสียงหวีดร้องโหยหวนของเหล่าวิญญาณที่ตายและยังไม่ได้ไปเกิดอื้ออึงจากหลุมสีดำนั้น ป้ายทองคำผ่านทางกำลังสั่นระริกกลางอากาศอย่างน่ากลัว ไอสีดำสนิทกำลังทำให้ป้ายทองคำกลายเป็นสีดำตามไปด้วย สีหราชเหลือบตามองจอมขมังเวทแล้วตะโกน
“ปิดมิติวิญญาณนั่นเดี๋ยวนี้ อ้ายขุนศรี ! เจ้ากำลังทำลายสมดุลยมโลก !”
“สนใจคู่ต่อสู้ของเจ้าตรงหน้าดีกว่าไหม อ้ายสีห์ !” สิ้นคำนั้น ปลายดาบคมกริบของเมืองอินทร์ก็ตวัดเข้ามา ทำให้สีหราชสูดลมหายใจเฮือกก่อนจะเอนกายหลบทันควันแต่ปลายดาบเฉียดลำคอเขาไปจนเลือดซิบ ร่างยมทูตหนุ่มโผนไปยืนกลางลานกว้างที่เขาและเมืองอินทร์เคยฝึกดาบด้วยกัน
เพียงพริบตาเดียวที่เมืองอินทร์หันขวับมาเขม้นมอง จิตสังหารดำมืดพุ่งตรงมายังร่างของสีหราช บรรยากาศรอบกายคล้ายเปลี่ยนเป็นกดดันในฉับพลัน สายลมที่เคยพัดเอื่อย ๆ กลับกลายเป็นใบมีดลมที่คมกริบตัดผ่าทุกสิ่งที่ปรากฎตรงหน้าในพริบตา หินก้อนใหญ่ที่ร่วงกรูอยู่เบื้องหน้าพลันป่นกลายเป็นผง เคราะห์ดีที่สีหราชยกดาบเพลิงวิญญาณขึ้นกั้นพร้อมร่ายอาคมทำให้ลดแรงปะทะได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขายังถูกสายลมมรณะซัดจนกระเด็นไปข้างหลังสองสามก้าว ทันทีที่เงยหน้าขึ้นมองร่างนั้นปราดเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา
เหมือน...ดวงตานั้นคล้าย..ไหวระริก...วูบหนึ่ง..
กริยาของคนตรงหน้าทำให้สีหราชเผลอลดดาบในมือลง แล้วก้าวเข้าไปหาร่างนั้นช้า ๆ
...ข้ายังมีหวังหรือไม่...เจ้าไม่ได้ลืมข้าจริง ๆ ใช่ไหม...อ้ายอินทร์
ขณะที่ขุนศรีหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง !
“เอาเลย ! หากมันจดจำเจ้าได้แม้สักนิด...ก็นับว่าเจ้ามีวาสนาแล้ว !”
แววตาของเมืองอินทร์ตรงหน้าคล้ายจะเตรียมแย้มยิ้ม แต่ทันใดนั้นมือที่เสือกพรวดเข้ามาทันควันทำให้สีหราชผงะเอนหลบทันควันอย่างฉิวเฉียด
...แม้จะมองไม่ทันว่ามือนั้นถือสิ่งใด แต่ที่รู้คือชายโครงตนเองก็แสบแปลบขึ้นเสียแล้ว !...
เมื่อถลาออกมาได้ 2-3 ก้าวถึงรู้ว่าที่แท้สิ่งที่เสือกพรวดมานั้นคือกริชอาคมที่เสกขึ้นมาจากเส้นผมหนึ่งเส้นของเจ้าตัว กริชอาคมที่มีแต่ไอสังหารบรรจุไว้เต็ม ไม่มีเวลาที่จะดูแผลดังกล่าว ได้แต่ดีดตัวถอยหลังออกมา แต่เหมือนคนตรงหน้ายังคงเร็วกว่าเขามาก เพียงพริบตาเดียวร่างนั้นจู่ ๆ หายวูบไปอยู่ด้านหลังเขาตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ ก่อนดวงตาเป็นประกายวาววับจะฟันดาบตรงหน้าลงมาอีกครั้งหมายปักเข้ากลางหลัง แต่เคราะห์ดีที่สีหราชตวัดดาบเพลิงวิญญาณขึ้นรับก่อน แต่กระนั้นแรงปะทะของดาบสองเล่มยังทำให้ท่อนแขนเขาสั่นระริก แผลที่ชายโครงเริ่มแสบร้อนและกลายเป็นสีดำ จนต้องเอามือข้างหนึ่งบริกรรมคาถาแล้วกดลงเพื่อเยียวยา
แต่แล้วเมื่อมีจังหวะได้หยุดครู่หนึ่ง ทำให้ดวงตาคมเริ่มขมวดคิ้วมุ่นแล้วเหลือบมองชายโครงตนเอง
แผล..ค่อย ๆ สมานตัวช้า ๆ นี่เป็นเพราะอะไรกัน ?
“ตอบโต้ได้ไวสมเป็นยมทูตในตำนานที่หลายคนพูดถึง...” เสียงของขุนศรีหัวเราะร่า ทำให้สีหราชได้แต่กัดฟันกรอด
“ข้าจะบอกให้เอาบุญ...เมืองอินทร์ของเจ้ายามนี้เป็นเพียงภาชนะไสยเวทชั้นสูง ร่างนั้นสร้างด้วยไสยเวททั้งหมด จากกระดูก เถ้าและวิญญาณ ไม่มีทางที่เขาจะยั้งมือให้กับเจ้า !”
“คนที่เจ้ารักนั้น มันได้ตายไปแล้ว ไม่เหลือแม้วิญญาณ์ !” ขุนศรีหัวเราะบ้าคลั่งก่อนจะตวัดไม้เท้าอาคมในมือตรงหน้าไปยังร่างที่มีไอสีดำสนิทที่ยืนนิ่งรอรับคำสั่งตรงนั้น
“สังหารคนที่เจ้ารักสิ เมืองอินทร์ ตายตกไปตามกัน ให้สาแก่ใจของข้า !”
“ข้าต้องการเห็นเลือดมันไหลจนหมดตัวด้วยดาบของเจ้า เมืองอินทร์ !”
ดวงตาของขุนศรีบิดเบี้ยว ร่างที่สร้างด้วยอาคมค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสภาพอสุภะเรืองอาคมตรงหน้า ผิวสองสีตรงหน้ากลายเป็นช้ำเลือดช้ำหนองแ ต่มือยังคงถือกำไม้เท้าไว้แน่นพร้อมกับป้ายทองคำผ่านทางโลกวิญญาณที่หมุนคว้างเปิดประตูมิติยมโลกอยู่ตรงหน้า เสียงวิญญาณจำนวนมากร้องโหยหวนออกจากโพรงอาคมตรงหน้าทำให้สีหราชกัดกรามแน่น
ปากโพรงกำลังกว้างขึ้นเรื่อย ๆ จะต้องรีบปิดมันเสีย ก่อนที่อสูรของยมโลกจะหลุดออกมาได้
จะปล่อยให้พญามาร...วิญญาณบาปที่ถูกตรวนล่ามอยู่ชั้นล่างสุดของนรกอเวจี ออกมาสู่แสงอาทิตย์ไม่ได้...
พญามารที่ครองฤทธาสูงสุดและถูกจองจำไว้เป็นเวลากว่าพันล้านกัลป์
ดาบในมือสีหราชตวัดขึ้นจ่อร่างสูงที่มีไอมารตรงหน้าอย่างแน่วแน่ เพียงพริบตาทั้งคู่ก็ประมือกันอย่างรวดเร็ว แสงประกายสีเขียวปะทะสีแดงเพลิงเกิดขึ้นทั่วโดมมิติวิญญาณ แววตาคนตรงหน้านิ่งสนิทไม่มีวี่แววใด ๆ ว่าจะจดจำเขาได้เลยสักนิด ความเร็วของดาบที่เคยปะทะยามซักซ้อมในโดมมิติวิญญาณเมื่อสองสามราตรีก่อนดูจะด้อยไปเลยเมื่อพบกับเมืองอินทร์ในยามนี้
ร่างตรงหน้าไร้สติและมีประกายคล้ายสนุกสนานกับการสังหารมากกว่า การตัดสินใจเฉียบคมรวดเร็วยิ่งนัก ประกายดาบที่ปะทะกันสว่างวาบไปทั่วบริเวณ เมื่อเขาขยับย่างไปทางซ้ายเมืองอินทร์ก็ขยับตามมาติด ๆ ราวกับรู้ใจของเขาไปทุกสิ่ง
เมืองอินทร์ไม่เพียงปราดเปรียว แต่กำลังดาบที่ปะทะนั้นยังผสานกับไอมารเข้าไปด้วยทำให้ทวีความรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม ชายป่าที่เขาโผนโจนไปเมื่อครู่บัดนี้กระจุยไม่เหลือชิ้นดีเพราะแรงสะบัดของดาบอาคมตรงหน้า รอยผ่าที่กรีดลงบนพื้นดินตรงหน้าลึกกว่าหนึ่งนิ้ว บอกให้รู้ว่าคนตรงหน้านี้ลงมือ...หนักหน่วงและไม่รีรอแม้แต่น้อย
เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกสมเพชตนเอง สีหราชแค่นยิ้มเบา ๆ
เมื่อเขาไม่กล้าลงมือรุนแรงกับร่างตรงหน้า ก็เท่ากับว่าเขาแพ้ไปเรียบร้อยแล้ว
ไม่คาดว่า....การประมือกับเมืองอินทร์ยามนี้....เป็นเรื่องหนักหนาเกินไป
นี่เจ้าเพลิดเพลินกับการสังหาร....มากขนาดนี้เลยหรือ เมืองอินทร์...
แรงสั่นสะเทือนที่กรูเกรียวไปทั่วบริเวณตรงหน้าทำให้สีหราชเริ่มหนักใจ โดมมิติวิญญาณมีอำนาจกั้นระหว่างโลกปัจจุบันและโลกอาคมก็จริง แต่ความรุนแรงระดับนี้ไม่เคยปรากฏมาก่อนสักครั้ง เกราะสีฟ้าเทาตรงหน้าเริ่มอ่อนจางลงส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะจิตของเขาเองที่เริ่มอ่อนแรงลงด้วยส่วนหนึ่ง
...ไม่ได้การ...หากปล่อยให้ยืดเยื้อต่อไป...ไม่เพียงชนะเมืองอินทร์ไม่ได้แต่ยังจัดการจอมขมังเวทตรงหน้าไม่ได้เช่นกัน
“นี่มันไม่ใช่เจ้าเลย เมืองอินทร์ หยุดนะ ! เจ้าจักทำลายม่านอาคมแห่งนี้แล้วนะ !”
แต่สิ่งที่เขาพูดไร้ประโยชน์ใด ๆ ร่างตรงหน้ายังคงร่ายอาคมคำสาปใส่ทุกสิ่งตรงหน้า หุ่นพยนต์ที่ถูกปลุกด้วยพระเพลิงตรงหน้าสองตัวก้าวตรงมาที่เขา บรรยากาศรอบตัวอึดอัดเต็มไปด้วยรังสีการสังหาร
...เขารักเมืองอินทร์ แต่มันต้องไม่ใช่แบบนี้ !
…ดวงตาแดงฉานของร่างในชุดไสยเวทสีดำสนิทตรงหน้า ทำให้เขาปวดหัวใจและไม่อาจทนมองได้
“ข้าไม่ต้องการสังหารเจ้า ข้าสัญญาแล้วว่าต่อให้ตาย ก็ไม่มีวันทำร้ายเจ้า !”
สีหราชตะโกนลั่นก่อนจะพยายามหยุดร่างที่โผนโจนตรงหน้า เสียงของขุนศรีหัวเราะลั่นตามมาอย่างเย้ยหยัน สีหราชหันขวับหาร่างตรงหน้า
...อาคมต้องมีคนบังคับ...หากจัดการร่างตรงหน้าได้ เมืองอินทร์อาจมีสติฟื้นคืน...
ทันใดนั้นสีหราชตัดสินใจกรีดเลือดตนเองออกมาจำนวนหนึ่ง ด้วยอาคมเพลิงโลหิตที่จุดด้วยเลือดของเขา พระเพลิงเลือดที่ใส่ปราณของยมทูตลงไปถ้าเลือกได้เขาก็ไม่อยากใช้เพราะผลลัพธ์ยากที่จะควบคุมอีกทั้งยังเสียปราณในตัวไปด้วย แต่เพราะไม่มีทางเลือกอีกแล้ว มือขวากำดาบเพลิงวิญญาณแน่นก่อนจะโผนขึ้นไปกลางอากาศแล้วซัดอาคมใส่ร่างของขุนศรีที่อยู่ไม่ไกลนัก ตรงหน้า เจ้าตัวเบิกตากว้างด้วยไม่นึกว่าเขาจะแว้งกลับมาเล่นงาน
ตูม !
เสียงระเบิดดังก้องโดมมิติวิญญาณ หินและบรรดาฝุ่นควันคลุ้งไปทั่วพร้อมกับแสงสีแดงเหลืองที่เป็นประกายกระจายทั่วโดม ดินกลายเป็นหลุมลึกราวสามเมตรและกว้างกว่า 10 เมตร สีหราชหอบเบา ๆ แขนข้างหนึ่งเลอะเลือดเต็มไปหมด แต่แล้วก็ต้องชะงักตัวชาดิกเมื่อเห็นร่างในชุดสีดำสนิทหันหลังยืนบังอาคมของเขาให้กับจอมขมังเวทที่ชั่วช้านั่น !
ร่างในชุดสีดำ...คล้ายจะโชกไปด้วยเลือดและแผลจากอาคมของเขา แรงฉีกกระชากของระเบิดวิญญาณเมื่อครู่ทำให้เสื้อผ้าของคนตรงหน้าขาดวิ่น แผ่นหลังกว้างมีรอยแผลจากระเบิดเมื่อครู่ เลือดสีดำสนิทคล้ายจะไหลรินออกมาเหมือนยางไม้จากร่างนั้น แววตาที่เคียดแค้นชิงชังเห็นชัด เจ้าตัวเขม้นมองเขาด้วยสายตาที่มีประกายกร้าวก่อนจะเบี่ยงกายยืนบังร่างของจอมขมังเวทไว้เต็ม ๆ ดาบในมือของเมืองอินทร์มีไอสังหารรุนแรงยิ่งกว่าเดิม !
“เปล่าประโยชน์อ้ายสีห์ เมืองอินทร์มันเป็นสุนัขของข้า...ข้าสั่งการให้มันปกป้องข้าด้วยชีวิตแลห้ามทำอันตรายข้า”
“ต่อให้เจ้าส่งอาวุธใดของยมโลกมาก็ย่อมเป็นเมืองอินทร์ที่จะต้องรับอาวุธนั้นแทนข้าอยู่แล้ว...” เสียงของขุนศรีหัวเราะลั่นโดมมิติวิญญาณ
“งานนี้มีแต่เจ้า...และเมืองอินทร์ ว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้โดนสังหารกันแน่...แต่ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดที่ต้องดับในคืนนี้ ชัยชนะก็ย่อมเป็นของข้าเช่นนั้น !” เสียงของขุนศรีดังก้องโดมมิติวิญญาณ
สีหราชได้กัดกรามกรอด เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าพร้อมยอมเป็นโล่มนุษย์ให้กับจอมขมังเวทตรงหน้า ร่างนั้นโซมด้วยเลือดอาคมแต่กลับไม่มีแววตาสั่นไหวสักนิด
“ขุนศรี ! คลายอาคมปล่อยเมืองอินทร์เดี๋ยวนี้ ข้าจักเป็นคู่มือให้กับเจ้า ! อย่ายุ่งกับเขา !” สีหราชตะโกนกร้าว
เพลิงสีแดงเหลืองลุกโชนขึ้นยามนี้ไม่เพียงแต่ดาบเพลิงวิญญาณที่ร้อนดังไฟนรก แต่เป็นร่างของเขาเองที่เริ่มร้อนราวไฟนรกเช่นกัน สร้อยสังวาลย์สีดำสนิทที่คล้องคอเขาอยู่คล้ายสั่นไหวเบา ๆ มณีสีดำสนิท..คล้ายจะเป็นประกายวาววับมากขึ้นกว่าเดิม บรรยากาศตรงหน้ามืดครึ้มลง
“ไม่เสียแรงที่ข้ายอมขายวิญญาณให้กับพญามาร...เพื่อให้มีวันนี้ วันที่ข้าจักยืนอยู่เหนือทุกชีวิตบนโลกใบนี้ ข้าเสียทุกสิ่งขอเพียงได้ล้างแค้นและทำลายทุกสิ่งตรงหน้าให้พังพินาศ !” ขุนศรีตะโกนกร้าว สายลมพัดกรูเกรียว ไม่เพียงแต่หุ่นพยนต์ที่อยู่ในบังคับของเมืองอินทร์ ยังมีบรรดาอาวุธไสยเวทอีกมากที่ล้อมกายของเขาอยู่ในยามนี้
...บางที...เขาอาจจะคิดผิดก็ได้ที่ไม่อาจรอเหล่ายมทูตสังหารที่ยมโลกกำลังส่งมา...
“ข้ายอมรับว่าข้าไม่เก่ง...ข้าไม่โง่ไปสู้ในสิ่งที่ข้าไม่ถนัดดอกอ้ายสีห์ ! เจ้ามาลองแข่งมนตรากับข้าบ้างเป็นไรไป !”
เสียงหวีดร้องโหยหวนของบรรดาอสุภะที่จะเพิ่มเป็นทวีคูณ โดยมีร่างสูงของเมืองอินทร์ยืนอยู่ตรงหน้า อาคมสีดำสนิทกดดันทุกสิ่งโดยรอบ ไอดำสนิทคลุมไปทั่วมิติขณะที่มีเพียงแสงสว่างริบหรี่ของดาบเพลิงวิญญาณเท่านั้น เลือดที่เสียไปและแผลที่ช้ำไปทั้งตัวและแผลที่ต้นขาเริ่มออกฤทธิ์ทำให้ร่างสูงซวนเซนิด ๆ ทันใดนั้น เถาวัลย์จำนวนมากเลื้อยปราดเข้ามาพันรั้งขาของสีหราชโดยไม่ทันรู้ตัว ร่างสูงถูกกระชากล้มลงกองกับพื้น ร่างของสีหราชถูกตรึงไว้บนพื้นดิน แขนของสีหราชที่เริ่มล้าจากการจับดาบทำให้มือหนาสั่นเบา ๆ ทั้งเหงื่อและเลือดปะปนกันบนอาภรณ์ของยมทูตหนุ่ม ก่อนที่เจ้าตัวจะกำดาบปักพื้นดินไว้อย่างเหนื่อยหอบ สายตาคมยังคงจ้องนิ่งไปที่ร่างของขุนศรีอย่างไม่ยอมแพ้
“เหนื่อยมากแล้วรึอ้ายสีห์...ข้ามีข้อเสนอให้เจ้า”
ว่าแล้วจอมขมังเวทก็หัวเราะอีกคราแล้วกระแทกไม้เท้าลงบนพื้นดินอีกรอบ ครานี้นอกจากไอวิญญาณสีดำสนิทแล้วยังมีเลือดสีดำสนิทค่อย ๆ ไหลพุ่งขึ้นจากพื้นดินทีละน้อย ๆ ราวกับน้ำพุโลหิต โลหิตเหม็นคละคลุ้งราวกับเป็นเลือดเก่าที่เน่ามานับร้อยปี สีหราชกัดฟันแน่นก่อนจะพยายามยันกายลุกขึ้นเพราะรู้ดีว่าสิ่งนั้นคือ ‘บ่อโลหิตมาร’ สีหน้าของขุนศรีหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะคว้าจอกดินเผาที่คล้ายกับจอกสุราทองแดงยมโลกขึ้นมา
“ข้าให้โอกาสสุดท้ายกับเจ้า....ถ้าเจ้ายอมดื่มโลหิตจอกนี้ ข้าจะสงเคราะห์ให้เจ้าได้เคียงคู่กับเมืองอินทร์ในฐานะทาสของข้า” สีหน้าของขุนศรีนิ่ง ๆ ขณะมองหน้าสีหราช
“ฝันไปเถอะ ! เจ้าต้องการบุกยมโลกและสร้างโลกใหม่ที่ผู้คนต้องอยู่อย่างหวาดผวากับไสยเวทมนตร์ดำ ข้าจักไม่ยอมเป็นคน
ช่วยเปิดประตูยมโลกให้เจ้าเด็ดขาด !” สีหราชตวาดลั่นก่อนจะชี้ปลายดาบตรงไปที่ร่างจอมขมังเวทตรงหน้า
“น่าเสียดาย ข้าอุตส่าห์ยื่นโอกาสให้ แต่เจ้ากลับปฏิเสธข้า ไม่ฉลาดเลยนะอ้ายสีห์...” เจ้าตัวแค่นยิ้มก่อนจะตวัดมือคราเดียวจอกโลหิตก็หายวับไปทันที
“ข้อเสนอมีเพียงครั้งเดียว และข้าก็ไม่ต้องการเสี่ยงกับเจ้าอีกเป็นครั้งที่สอง”
“เตรียมลาคนรักของเจ้าได้แล้ว...สีหราช” ทันใดนั้นควันสีแดงพวยพุ่งขึ้นจากบ่อโลหิตมาร เกิดหมอกแดงก่ำขึ้นตรงหน้าบังทุกอย่างไว้ชั่วขณะ สีหราชยกดาบขึ้นกั้นแต่แล้วหุ่นพยนต์สี่ห้าตัวพุ่งปราดเข้าคว้าจับร่างของสีหราชไว้ด้วยเชือกอาคมมัดตรึงแขนทั้งสองข้างไว้แน่น เชือกอาคมสีดำสนิทรั้งคอร่างตรงหน้าไว้แน่น สีหราชนิ่วหน้าเมื่อหุ่นพยนต์กระชากร่างเขากระเด็นลงกับพื้น
“คุกเข่าลงต่อหน้าข้าอ้ายสีห์ !” คนตรงหน้าหัวร่อ สีหราชที่บาดเจ็บเลือดโซมกายถูกเตะสกัดให้ล้มครืนลงคุกเข่าตรงหน้า ขุนศรีสืบเท้าเข้ามาอย่างย่ามใจแล้วเหลียวไปมองร่างในชุดสีดำสนิทที่ยืนนิ่งเคียงข้าง
“เมืองอินทร์...เจ้ามาสิ...สังหารมันเสีย...”