ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)  (อ่าน 4379 ครั้ง)

ออฟไลน์ chin_va

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
....... “ต้องจ๋า.... อย่ากลับไปเลยนะ....”   เสียงพูดขอร้องของเบสต์ทำให้ผมไม่กล้ามองสบตา....  เบสต์ขอร้องแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นห่วงผมมากจนผมรู้สึกละอาย

      เราสวมกอดให้กันอีกครั้งอย่างให้กำลังใจซึ่งกันและกัน....  และตอนนี้มีแต่เพียงผมและเบสต์เท่านั้นที่สามารถจะปรึกษากันได้  ...... แต่ใครจะรู้ว่าสิ่งที่ผมหนีกันมานั้น....  ไม่มีทางหรอกที่ใครบางคนอีกคนหนึ่งจะไม่รู้เลย

      “มาหนีกันอยู่ที่นี่เองนะ  !!!!”

ผมกับเบสต์ผงะออกจากกันทันที  ผู้ชายคนที่พูดขึ้นมา ยืนอยู่ทางประตูด้านหน้าโบสถ์ เบสต์ตอนนี้หน้าซีดไปด้วยความตกใจ และไม่คิดว่าชายคนนี้จะตามเราสองคนมาได้ถึงที่นี่

   “พี่จักร  !!!!”     

   “ไง”  พี่จักรเดินเข้ามาหาเราทั้งสองคน หน้าตาอิดโรยและดูโทรมจากที่ผมเคยเห็นล่าสุดเมื่อเกือบสองปีที่แล้ว  พี่จักรดูโตขึ้น เป็นผู้ใหญ่ขึ้น เค้าหน้าที่หล่อเหลา แตกต่างจากเบสต์ซึ่งได้รับสมบัติเค้าหน้านั้นมาจากแม่ ส่วนพี่จักร ทั้งความสูงรูปร่าง สีผิวและเค้าหน้านั้นได้รับมาจากทางสายเลือดของทางพ่อโดยตรง

   “พี่จักร  ตาม  ..... เบสต์กับต้องเจอได้ไง”  เบสต์พูดขึ้น เสียงตะกุกตะกัก พร้อมกับเข้าไปสวมกอด  และก็คงจะกลัวๆ เหมือนๆ กัน เพราะว่าเวลาปกติแล้วจากที่ผมเคยคลุกคลีด้วยเวลาที่ไปเล่นบ้านเบสต์  ถ้าเวลาปกติพี่เขาจะเป็นคนที่ใจดีคนหนึ่งเลยทีเดียว แต่ถ้าเกิดโมโหขึ้นมา ความร้ายกาจนั้นก็เอาเรื่องเหมือนกัน ยิ่งความโมโหที่เกิดจากความปราศจากเหตุผลของอีกฝ่ายด้วยแล้วยิ่งไปกันใหญ่

   “ให้พี่ตามหาให้ทั่วเลยนะเบสต์.....   คนที่บ้านเขาเป็นห่วงขนาดไหนรู้บ้างเปล่า   พี่เป็นห่วงเบสต์ขนาดไหน พี่มีน้องชายอยู่แค่คนเดียว  ทำแบบนี้ไงกันนะ  !!!”

   “ฮึก ....ฮึก   ฮือๆๆ  เบสต์คิดถึงพี่  คิดถึงพี่จักรที่สุดเลย  แต่ เบสต์...กลัว..กลัวพี่จักรตี”  ยิ่งพี่เขาพูดแบบนี้ เบสต์ยิ่งสวมกอดเข้าหาพี่ชายหนักกว่าเดิม  ลูกไม้ตอนเด็กๆ  ผมไม่รู้ว่าจะใช้ได้หรือเปล่าครั้งนี้กับพี่เขา  หากเบสต์ทำอะไรผิดขึ้นมาตอนเด็กๆ  และกลัวว่าพี่จักรจะทำโทษ เบสต์จะเข้าไปกอด แล้วก็อ้อน  และทุกครั้งพี่จักรก็ใจอ่อนเหมือนเดิม

   แต่ครั้งนี้ พี่เขาไม่ได้สวมกอดเบสต์กลับเหมือนทุกครั้ง .......สีหน้านั้นทั้งห่วง แล้วก็โกรธ

   “อือ  ตีแน่นอน  รอให้ไปถึงบ้านก่อน ตีทั้งคู่นั้นแหละ  ซนไม่เข้าเรื่อง นึกอย่างไงหนีกันมา   คนที่บ้านเขาเป็นห่วงกันหมด  บ้านของน้องต้องด้วย  ทั้งแม่ ทั้งลุงธินตามหาตัวกันให้ควั่กไปหมด  ทำอะไรเป็นเด็กๆ ไปได้นะ”  น้ำเสียงดุๆ ของพี่จักร ทำเอาผมรีบก้มหน้างุดลงทันที ถึงจะไม่ใช่พี่แท้ๆ  แต่ถ้าเทียบกับอีกคนแล้ว ความน่ากลัวเวลาที่โมโหนั้นไม่ต่างกันเลย

   อีกคนหนึ่ง...........ที่ตอนนี้เป็นไงบ้างก็ไม่รู้

   “ไม่เอา...เบสต์ไม่กลับ...เบสต์จะอยู่ที่นี่  เบสต์ไม่ไปไหนทั้งนั้น.........ต้องด้วย  ต้องจะอยู่กับเบสต์ใช่ไหม ?”   น้ำเสียงเครือๆ ของเบสต์เริ่มมาแล้ว คงกลัวจะถูกตี  ตอนนี้ผมก็กลัวเหมือนกัน ถ้าเบสต์โดน ผมก็คงไม่รอดหรอก

   “พี่จักร...  อย่าตีเบสต์นะ ต้องพาเบสต์มาเองครับ พี่จักรอย่าตีเบสต์นะ”  ผมพูดขึ้นพยายามที่จะขอร้องพี่เขาเอาไว้   เสียงพูดของผมอาจจะทำให้พี่จักรใจอ่อนอยู่บ้าง  แต่ก็ขอให้เป็นไปในทางที่ดีทีเถอะ

   “อือๆ  ไม่ตี  ........แต่กลับบ้าน กลับทั้งคู่นั้นแหละ  !!!”

   “...ไม่เอา  เบสต์ไม่กลับ เบสต์จะอยู่ที่นี่ !!!” 

   “เบสต์ !!!!  พูดให้รู้เรื่องด้วย กลับบ้าน  แม่เป็นห่วง อยากให้แม่ไม่สบายหรือไง”    เสียงค้านของเบสต์ ทำให้พี่จักรโมโห  ตอนนี้เบสต์ไม่ได้กอดพี่เขาแล้ว แต่พยายามถอยหนี  แต่กลับถูกข้อมือใหญ่นั้นกระชากออกมา จนผมต้องออกตัวไปขวางเอาไว้ และขอร้องพี่เขาอีกครั้ง

   “พี่จักรครับ.... ปล่อยเบสต์ก่อนนะ”

   “กลับบ้าน !!! กลับทั้งคู่นั้นแหละ  ...........ต้องไปขึ้นรถ  ... ไม่งั้นพี่ตีในวัดทั้งสองคนเลย  จะกลับขึ้นไปนั่งบนรถดีๆ  หรือว่าให้พี่ตีก่อนแล้วถึงจะขึ้นไปนั่งได้...เลือกเอาดิ!!!”

   “ฮึก...ฮึก  เบสต์ไม่กลับ... เบสต์ไม่ไป...พี่จักรดุเบสต์” 

   “ก็เชื่อกันบ้างไหมล่ะ ....พี่เป็นห่วง  แม่เป็นห่วง พ่อก็เป็นห่วง ให้คนเขาห่วงกันทั้งบ้านก่อนหรือไง ...กลับไปคุยในบ้าน  ..............ต้อง  !!!  พี่บอกว่าให้เข้าไปนั่งในรถ !!!”  เสียงตะคอกเข้ามาหาผม ออกคำสั่งอีกครั้งในช่วงท้าย   แต่ผมยังไม่ยอมออกไปไหนอยู่ดี  เพราะว่าเบสต์ก็ยังถอยหนีพี่จักรอยู่ตลอด  เสียงร้องของผมไม่ได้ช่วยอะไรเลย

   “พี่จักร เบสต์มันเจ็บ  ปล่อยเบสต์ก่อนนะ” 

   “กลับไปที่รถ !!!!”   

   “ฮึก... ฮึก  ฮือๆๆ  เบสต์ไม่กลับบบบ เบสต์จะอยู่นี่”

   “มึงสองคนไปเอาไม้ในรถมา !!!!”   เสียงร้องตะโกนสั่งคนของพี่เขา ทำให้ผมและเบสต์รู้กันทันทีว่าพี่จักรไม่ได้มาที่นี่เพียงคนเดียว แต่พาการ์ดจากทางโรงแรมมาด้วย  ผมรู้ว่าพี่เขาไม่ได้ขู่ และเอาจริงแน่นอน  คนที่ผมควรกล่อมต้องเป็นเบสต์แล้วแหละ

   “เบสต์... เบสต์กลับก่อนนะ  ต้องก็กลับด้วยเหมือนกัน  เบสต์ทำตามพี่จักรบอกก่อนนะ”

   “ฮึก ...ฮึก....เบสต์กลัวพี่จักรตี ฮือๆๆ”

   “ก็ดื้อแบบนี้มันน่าตีไหมล่ะ....... !!!”

   “ฮือๆๆๆๆ”  เสียงร้องไห้ของเบสต์ดังกว่าเดิม แต่ตอนนี้หยุดถอยหนีแล้ว  เท่ากับเป็นโอกาสให้พี่เขาดึงกึ่งลากไปที่รถได้ง่าย   ๆ  และสะดวก  แต่พอออกจากโบสถ์มาได้เพียงนิดเดียว  คนที่พี่เขาสั่งให้เอาไม้เรียวมานั้น กลับยืนอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก..........เบสต์กลัวแบบเดิม

   “ฮึก...ไม้....ไม้เรียว  ฮือๆ  เบสต์กลัว” 

   “ไม่ตี  ...ถ้าไม่ดื้อ... ...........ต้อง !!!  ไปนั่งข้างหลัง เดี๋ยวนั่งคู่ไปกับเบสต์”   ผมรีบทำตามที่พี่เขาบอกทันที  แต่เพียงแค่กำลังเดินไปแค่นั้น  เสียงทางด้านหลังก็เอ่ยขึ้นมาอย่างอ่อนโยน

   “หยุดก่อนโยม ...........  รอสักเดี๋ยวเถอะ”  หลวงพ่อคนที่ผมและเบสต์นับถือ  ยืนอยู่ทางด้านหลัง  เหตุการณ์ชุลมุนเมื่อซักครู่ เกิดความเงียบโดยชั่วคราว  ผม และเบสต์รวมทั้งพี่จักร และทุกคนที่อยู่ในที่นั่น  นั่งคุกเข่าลงโดยทันที

   “หลวงพ่อ” ผมเรียกขึ้น  พร้อมกับก้มลงกราบ ซึ่งทุกคนในที่นั่นก็ทำแบบเดียวกัน

   “ขอเวลาอาตมาสักเดี๋ยว  .........โยมทั้งสาม เข้าไปคุยกับอาตมาในโบสถ์สักชั่วครู่เถอะนะ”  ทันทีที่หลวงพ่อท่านพูดเสร็จ  ผมเบสต์และรวมทั้งพี่จักรด้วย  เดินตามหลวงพ่อเข้าไป เสียงร้องไห้ของเบสต์ยังมีมาเป็นระยะๆ  จนกระทั่งพี่จักรตามกุมมือพาเดินเข้าไป

   ถึงจะโมโหแค่ไหน  คำว่าพี่ชาย สำหรับพี่จักรนั้นก็หนีไปไหนไม่พ้น ใครจะทนดูน้องชายตัวเองร้องไห้ต่อหน้าได้นานนัก...  ผมยิ้มออกขึ้นมา  เมื่อน้ำตาของเบสต์มันทำให้พี่จักรต้องโอ๋  และปลอบแบบเดิมอีกครั้งเมื่อตอนเด็กๆ

   “เงียบครับ...เงียบนะๆ ไม่ร้องๆ พี่ไม่ตีแล้ว..  ไม่ตีแล้วครับ  แต่เบสต์ต้องกลับบ้านกลับพี่นะ  แล้วก็ไปเรียน พอปิดเทอมไปอยู่กับพี่ที่ต่างประเทศ ไปเที่ยวเล่น  ไปดีสนีย์ ไปเที่ยวทะเล  นะครับ  เดี๋ยวพี่พาเที่ยวนะ ไม่ร้องๆๆ ..........โอ๋ๆๆๆ ไม่เอาครับ พี่ขอโทษนะ”  พี่จักรตอนนี้ทั้งพูด ทั้งปลอบ  ทั้งกอดจนเพื่อนผมตัวเป็นก้อนกลมๆ อยู่ในอ้อมกอดนั้น   มือของพี่เขาทั้งลูบหน้าลูบหัวยุ่งไปหมด

   ...........พี่ชายที่แสนดี..........

   ...........ครั้งหนึ่ง ผมก็เคยมี.............  แต่หากตอนนี้ไม่มีแล้ว

   “ฮึก... ฮึก... พี่จักรไม่ตีเบสต์แน่นะ”   

   “อือๆๆ ไม่ตีครับ..เงียบๆ  อึ๊บ..!!! หยุดร้องครับ  ไปคุยกับหลวงพ่อ ไม่อายหลวงพ่อหรอ.... ขี้แยจังเรา” 

   “อืออ...พี่จักรอ่ะ!!!”  เบสต์สีหน้ามันดีขึ้น เมื่อรู้ว่าพี่เขาไม่ตีแล้ว  แต่กลับเอากำปั้นเล็กๆ ทุบไปที่ตัวพี่ชายของมันแทน ...เฮ้อ..!!! เห็นแล้วก็อิจฉาเหมือนกัน

   ข้างในโบสถ์ที่เราเดินเข้ามา  ตอนนี้หลวงพ่อท่าน นั่งหันหน้าไปหาองค์พระประธาน ผมก้มลงไปไหว้พระที่อยู่ในโบสถ์นั้นอีกครั้งหนึ่ง  สักพักใหญ่ หลวงพ่อท่านถึงจะหมุนกายกลับมา และหันมามองผมกับเบสต์ด้วยกันทั้งครู่

   พระรูปนี้เบสต์เคยเล่าให้ฟังว่านับถือมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว  ไม่เคยมีใครรู้เลยว่าท่านมาจากไหน  แต่จะจำพรรษาย้ายไปเรื่อยๆ  จนครั้งหลังสุด รูปท่านได้ไปจำวัดอยู่แถวๆ มีนบุรี และก่อนที่จะย้ายมาอยู่ที่หนองคายนี้เป็นการถาวร รูปหน้าเค้าโครงที่ดูอารีย์นั้นบวกกับความน่าเลื่อมใส ทำให้ใครต่อใครหลายๆ คนในละแวกนี้นับถือท่านเป็นจำนวนมาก และหากมีกิจอันใดที่ไม่ใช่ของสงฆ์ ท่านจะไม่เข้าไปยุ่งด้วยเลย   

   “หลวงพ่อ...ลูกจะมาลา.. ลูกกับเพื่อนจะกลับไปอยู่บ้าน”  เสียงของเบสต์บอกขึ้นกับหลวงพ่อที่นั่งอยู่ด้านหน้า

   หลวงพ่อท่านไม่ได้ว่า หรือไม่ได้กล่าวอะไร หากแต่หยิบขวดน้ำที่อยู่ข้างๆ นั้นมารินใส่แก้ว  ....เสียงน้ำไหลออกจากขวด กระทบลงไปในแก้ว  น้ำใสๆ นั้นไหลออกมาจากขวดอย่างช้าๆ ไม่มีทีท่าว่าจะหมด จนเกือบจะเต็มแก้วแล้ว  หลวงพ่อท่านก็ยังคงรินอยู่

   น้ำนั้นเต็มแก้ว  และไหลออกมาจนล้น ไหลลงออกจากขอบแก้วช้าๆ  แต่หลวงพ่อท่านก็ยังคงรินต่อไป

   “โยมสองคนเห็นน้ำมันไหลออกมาไหม”    สองคนในที่นี้คงหมายถึงผมและเบสต์

   ผมสองคนไม่ตอบ  เพียงแต่พนมมือค้างเอาไว้อย่างนั้นและพยักหน้า

   “และเคยเห็นน้ำมันไหลย้อนกลับมาไหม” 

   “ไม่เคยครับ”  เสียงเบสต์ตอบ

   “น้ำมันก็ยังคงเป็นน้ำ... พอๆ กับจิตใจของคน  เหมือนกับเรื่องราวที่มันผ่านมา  มันก็เหมือนกับสายน้ำ .. ที่มันไหลออกไป และมันก็ไม่ได้ไหลย้อนกลับ เราจะแก้ไขสิ่งที่เราทำน้ำหกเมื่อซักครู่นี้ไม่ได้ เราจะกลับไปแก้ไขน้ำที่เราทำเลอะเปอะเปื้อนนั้นไม่ได้...........แต่”    หลวงพ่อท่านหยุดพูด พร้อมกับหยุดรินน้ำแก้วนั้นต่อ

   “แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า ...หากโยมสองคนหยุดรินน้ำ  น้ำมันก็จะไม่ไหลออก และก็จะไม่เปื้อน ....ไม่หก น้ำที่ใสสะอาด มันก็จะอยู่กับตัวโยมไปตลอด” 

   “เรื่องที่เป็นอดีต โยมสองคนก็ลืมมันเสียไปหมดเถิด ...สำหรับอีกคนก็ขอให้ลืมไปเสียว่าเขาทำอะไรเราเอาไว้ จะได้ไม่ติดค้างไม่เป็นบ่วงตามกันจนไม่รู้จักจบจักสิ้น  ส่วนอีกคน  ห่วงที่โยมยึดเอาไว้ โยมก็ต้องปลดออกเสีย  ไม่อย่างนั้นห่วงที่โยมทำเอาไว้เองมันจะคอยเป็นบ่วงที่ทำให้โยมไม่หลุดพ้นไป

   ................โยมไม่เหนื่อยบ้างหรือที่เป็นทั้งพี่  ทั้งเพื่อน.............”   

คำพูดสุดท้ายของหลวงพ่อท่านไม่ได้มองมาที่ผม  หากแต่มองไปทางเบสต์  คำพูดที่เลี่ยงออกไป หลวงพ่อท่านจะเป็นคนที่ทราบมากที่สุด ว่าความทรงจำและเสี้ยวแห่งอดีตของผมทั้งสองคนนั้น ผมกับเบสต์พอจะรู้ และจำมันขึ้นมาได้ถึงแม้จะลางเลือนก็ตาม

   “ถอดสร้อยเส้นนั้นออกก่อน”  เสียงของหลวงพ่อพูดมาทางผม  ....  ผมก้มหน้าลง ถอดสร้อยเส้นนั้นออกมา  ....หากแต่หางตาผมเหลือบไปเห็นพี่จักร  ผงะ !!  ถอยออกนิดเดียว เมื่อตอนที่ผมหยิบเอาสร้อยเส้นนั้นออกมา... ก่อนจะยื่นกลับคืนไปให้หลวงพ่อ..........หลวงพ่อท่านไม่ได้รับ แต่เอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ

   “คืนเจ้าของเดิมเขาไปเถอะ” หลวงพ่อท่านพูดขึ้นมาอย่างลอยๆ  ไม่ได้หมายถึงใคร  ไม่ได้เอ่ยบอกว่าเป็นของเบสต์ ของผมหรือของพี่จักร

   แต่เหมือนกับมีอะไรบางอย่าง  ผมหันหน้าไปมองพี่เขาที่อยู่ถัดเลยออกจากเบสต์ไป  พี่จักร หมอบพร้อมกับคลานเข่าเข้ามาหาหลวงพ่อรูปที่อยู่ด้านหน้า  พร้อมกับยื่นมืออกไป

   ..........สายตาของพี่จักรไม่ได้มองไปที่หลวงพ่อ หากแต่มองไปที่จี้สร้อยรูปวงกลมข้างหน้านั้น

   “ของของเขา เขาก็ต้องมาเอา.....  โยมห่างจากของชิ้นนี้มานาน เอาคืนไปเถอะ  ของสิ่งนี้ช่วยคนมาเยอะพอแล้ว ควรจะกลับไปหาเจ้าของได้เสียที” 

   หลวงพ่อท่านพูดกับพี่จักรเพียงแค่คนเดียว  ก่อนจะยืนขึ้น แล้วเดินไปทางหลังองค์พระประธาน  ไม่ได้กล่าวอะไรอีกต่อไป ....  หายเงียบเข้าไปทางด้านหลังพระนั้น แล้วไม่ออกมาอีกเลย 

   พี่จักร ผม และเบสต์ไมได้พูดอะไรกันทั้งสิ้น  สร้อยเส้นนั้นพี่จักรกลับไปสวมเหมือนเดิม  หันมายิ้มให้ผมเพียงนิดเดียวแค่มุมปาก ผมยิ้มให้พี่เขากลับ พร้อมกับพยักหน้าให้เพียงนิดเดียว  ..........เสี้ยวหนึ่งของความคิดที่เคยรู้เคยเห็นว่าเหมือนกับผมเคยสวมสร้อยเส้นนี้นั้นเป็นจริง  .....ผมเคยสวมสร้อยเส้นนี้ เมื่อนานมาแล้ว  หากแต่ผมสวมใส่อยู่ตลอดเวลา  แต่ความรู้สึกนั้นกลับคิดว่าของชิ้นนี้ไม่เคยใช่ของผมเลย.....แค่เคยสวมก็แค่นั้น

   ซึ่งกลับกันกับตอนนี้ สร้อยเส้นนั้น  สายสร้อยถึงจะดูเก่าคร่ำคร่าแค่ไหน  แต่จี้วงกลมรูปพระอาทิตย์ ทางด้านข้างหลัง  ส่วนด้านหน้าเป็นรูปหน้าคนคล้ายสวมชุดกษัตริย์ ...... ผมว่าพี่จักรสวมใส่สร้อยเส้นนี้ได้เหมาะที่สุดแล้ว

   ..............เหมือน............. ตราสุริยกษัตริย์

   ตลอดระยะเวลาในการนั่งรถกลับ  พี่จักรไม่เคยถามเลยว่าเหตุอะไรผมกับเบสต์ถึงจะหนีกันมาที่นี่ ความเงียบปกคลุมตลอดเวลาเส้นทางในการเดินทางกลับ หนทางจากหนองคายมาที่กรุงเทพฯไม่ใช่ใกล้ๆ  ตอนแรกผมสามคน  พี่จักรอยากให้นั่งเครื่องฯ กลับมา แต่ว่าเที่ยวบินมีอีกทีก็เป็นตอนเช้าของวันพรุ่งนี้  พี่เขาทนรอไม่ไหว จึงให้การ์ดขับรถกลับมาจะสะดวกสบายกว่า

   เส้นทางที่กลับมานั้นผ่านหมู่บ้าน ที่ทุกเช้า ผมกับเบสต์จะต้องเป็นคนเดินตามหลวงพ่อมาบิณบาตร   เส้นทางทั้งถนน  ลัดกับทุ่งนา  ข้างหลังเป็นภูเขาสูง ผมมองกลับไปอย่างมีความสุข  และถ้าเป็นไปได้

   ...........ถ้าผมยังมีชีวิตพอจะได้เดินต่อไป......

   ผมอาจจะกลับมาอยู่ที่นี่

   เราแวะทานข้าวกลางวันกันแถวๆ ขอนแก่น แต่ก็เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น และก็นั่งรถต่อกันมาอีกตามเส้นถนนมิตรภาพ ก่อนที่จะเข้าถึงกรุงเทพฯ ก็เกือบสองทุ่ม.. คนข้างๆ ผมตอนนี้หลับสนิท  และไม่มีทางรู้ได้เลยว่า...เสียงวิทยุที่พี่จักรเปิดขึ้นเบาๆ  นั้น  เบสต์ไม่มีทางรู้โดยเด็ดขาด  ..........แต่มือผมเย็นเฉียบไปหมด  เมื่อสิ่งที่ได้ยินในวิทยุนั้น

   .....   โรงพยาบาลเซ็นฯ ต้องการเลือดผู้ป่วยกรุ๊ป AB- rh  เน็กกาทีฟ  เป็นการด่วน  เนื่องจากผู้ป่วยรายหนึ่งที่เกิดจากอุบัติเหตุ ยังไม่ฟื้นขึ้นมาจากห้อง ICU

   .........เป็นบุญของผมใช่ไหม  ที่ผมได้ยินข่าวนี้พอดี.... เป็นบุญที่จะได้ชดใช้หนี้ที่ติดค้างอยู่ให้กันได้

   “พี่จักรครับ”  เสียงผมพูดขึ้นเบาๆ เพราะว่ากลัวคนที่นอนหลับอยู่ข้างๆ จะตื่น

   “ครับ..น้องต้อง”   เสียงพี่จักรตอบกลับมาเบาๆ เช่นกัน

   “ต้องขอลงตรงก่อนที่พี่จะขึ้นทางด่วนได้เปล่าครับ.... ต้องอยากไปหาพี่ชายต้องก่อน”   ผมไม่ได้โกหกพี่เขา  ....ถ้าจะลองคิดดูแล้วพี่ธิวก็ยังเป็นพี่ชายของผมเสมอ... แค่..... พี่ชาย

   “จะดีหรอ...ไปบ้านพี่ก่อนดีกว่าเปล่าครับ ...เดี๋ยวเบสต์ไม่เห็นต้อง...เดี๋ยวก็โวยอีก”   พี่จักรพูดในสิ่งที่ไม่เกินจริงไปนัก  ..ถ้าผมหายไป เบสต์โวยแน่

   “ไม่เป็นไรหรอกครับ.. พี่จักรช่วยบอกให้ต้องหน่อยแล้วกัน”

   “ไปหาพี่แน่หรือเปล่า”  เสียงพี่จักรพูดขึ้นมาเหมือนไม่ไว้ใจ

   “ครับ แน่นอนครับ...พี่ชายต้องไม่ค่อยสบาย” 

   “อืมม  หรอ  อยู่ที่ไหนล่ะ  เดี๋ยวพี่ไปส่ง” 

   “ไม่เป็นไรๆ  ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวต้องลงตรงก่อนที่จะขึ้นทางด่วนก็ได้ พี่จักรให้ต้องลงหน้าโรงกษาปด์ก็ได้ครับ” 

   “ไม่ใช่หนีไปอีกนะต้อง...ถ้าหนี. แล้วพี่ตามเจออีก พี่ตีให้หนักกว่าเบสต์อีกนะ”   

   “ครับ..ไม่หนี”  พี่จักรเคยตีผมตอนเด็กๆ ที่ผมกับเบสต์แอบไปหนีแม่ไปเล่นน้ำในคลอง ตอนนั้นยังจำรสไม้เรียวของพี่จักรได้อยู่เลย  .... ผมไม่หนีไปไหนหรอก ตอนนี้คงไม่หนีไปไหน

   พี่จักรจอดส่งผมลงตรงหน้าโรงกษาปด์ และก็โชคดีที่เบสต์ไม่ได้ตื่นขึ้นมา ถ้าตื่น คงไม่ให้ผมลงออกมาแน่ๆ  ยังดีที่เงินในตัวยังพอมีเหลือ  ผมเรียกรถแทกซี่ และตรงไปที่โรงพยาบาลทันที

   เพียงไม่ถึงชั่วโมง ผมมาถึงโรงพยาบาลที่พี่ธิวอยู่ .....ก่อนจะเดินไปที่ประชาสัมพันธ์ ยื่นบัตรประชาชน  ที่มีการบอกกลุ่มกรุ๊ปเลือดโดยเฉพาะ 

   เสียงจากวิทยุ  ข้อความโพสต์ต่อทางอินเตอร์เนต  และอีกหลายต่อหลายวิธีที่ลุงธินใช้ ในการขอซื้อเลือดกลุ่มนี้ ไม่มีใครเลยซักคนที่สามารถให้เลือดนี้ได้   เลือดกลุ่มพิเศษ ซึ่งมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นมีเลือดกรุปนี้พอดี

   “คุณหมอเรียกเข้าไปพบค่ะ”   พี่พยาบาล พูดกับผมพร้อมกับเดินนำไปห้องแพทย์ ..........  ผมยังไม่รู้เลยว่าพี่ธิวอยู่ตรงไหน  แต่ในอีกไม่ช้านี้ก็คงจะได้เห็นแล้ว   พยาบาลคนนั้นเดินนำมาพร้อมกับเปิดประตูห้องเข้าไป  ประตูห้องที่เขียนชื่อนายแพทย์เอาไว้ชัดเจน  ผมยกมือสวัสดีให้กับคุณหมอที่นั่งอยู่...ก่อนที่จะเริ่มเข้าเรื่อง

   ปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าตอนนี้  คือผมอายุน้อยเกินไป  ยังไม่ควรที่จะให้เลือดได้มากนัก  ถึงให้ได้ แต่ก็ไม่สามารถที่จะช่วยให้ผู้ป่วยพ้นขีดอันตรายได้....พี่ธิวเกิดอุบัติเหตุ และตอนนี้ก็ยังไม่รู้สึกตัว ร่างกายเริ่มที่จะขาดเลือด ทำได้ตอนนี้ก็เพียงแค่พยุงไม่ให้อาการแย่ไปกว่านี้ก็เท่านั้น

   ผมคุยกับหมอทุกเรื่อง  และกล้าพูดในเรื่องบางอย่างที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว... อย่างที่หลวงพ่อท่านพูดเอาไว้...  ต่อจากนี้ไป ผมจะไม่ทำน้ำสะอาดนั้นหกลงไปอีก.... สิ่งไหนที่เคยทำพลาดเอาไว้  ผมจะไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก   

   พี่พยาบาลคนเดิม  พาเดินมาที่ห้องคนไข้  ตอนนี้หมดเวลาเยี่ยมแล้ว  โชคดีอย่างที่สุด ที่ผมไม่เห็นลุงธินแล้วก็แม่ตอนนี้  เพราะถ้าแม่กับลุงธินอยู่  ผมคงหมดอากาสนี้ไปทันที   

   การถ่ายเลือดจะเริ่มในอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า   ผมถูกสั่งให้ไปนอนห้องข้างๆ ที่พี่ธิวนอนอยู่  พี่ธิวซึ่งตอนนี้หน้าตาโทรมลงไปมาก จนผมเองก็ตกใจ  ถึงคุณจะสั่งให้ผมนอนเพื่อเตรียมการให้เลือด  แต่ตอนนี้ ขอมองหน้าพี่เขาชัดๆ สักนิดก็คงได้นะ

ผู้ชายที่นอนสงบอยู่บนเตียงนั้นไม่ไหวติง.... ลักษณะรูปหน้าของพี่ธิวยังคงเป็นแบบเดิม ปากปิดเรียบสนิท พร้อมกับเปลือกตาที่ไม่ลืมขึ้นมา .....  บริเวณส่วนนั้นถูกครอบไว้ด้วยเครื่องช่วยหายใจ  มือทั้งสองข้างแนบกับลำตัว...  ถ้าไม่มีสัญญาณชีพจรขึ้นลงอยู่กับเครื่องช่วยหายใจนั้น  พี่เขาก็เปรียบเสมือนคนตายไปแล้ว 

   ยังดีที่ผมมาทัน และคงจะช่วยเหลือเขาได้  ..คนอื่นอาจจะคิดว่าผมช่วย แต่เปล่าเลย...ผมมาใช้หนี้ให้เขาต่างหาก  .......หนี้ชีวิต

   ข้อตกลงลับๆ กับหมอคนหนึ่งที่รักษาพี่ธิว ผมเอาเงินทุกบาททุกสตางค์ของเงินประกันพ่อยื่นให้หมอทั้งหมด หมอที่ดีก็มีเยอะ  เพียงแต่หมอที่ขาดจรรยาบรรณนั้นก็มีเหมือนกัน  ...  บางครั้งการให้เลือดหรือการบริจาคเลือด ถ้าให้มากเกิน....  คนที่ถูกให้เลือดอาจจะรอด แต่คนที่ให้เลือดอาจจะตายก็ได้

   ผมมองพี่เขาอยู่เป็นนาน แต่สีหน้าก็เรียบเฉย  ปราศจากความรู้สึกใด  ไม่น่าเชื่อเลยว่าแต่ก่อนเคยรักและคิดถึงผู้ชายคนตรงหน้านี้มากขนาดไหน ผมนั่งลงข้างพี่เขา พร้อมกับจับมือนั้นขึ้นมา แล้วพูดกับคนตรงหน้านั้นอยู่คนเดียว  โดยที่อีกฝ่ายไม่มีทางได้รับรู้

   “พี่ธิว..... นัญมาแล้วนะ  นัญมาช่วยพี่ ....หมอบอกว่าพี่ธิวจะต้องหาย  ถ้าพี่ธิวได้เลือดเพิ่ม  เดี๋ยวอีกซักพักเลือดของนัญจะต้องไปอยู่กับพี่ธิว ....... พี่ธิวรู้ไหมเกือบสิบปีนัญรอพี่ธิวมาตลอด ทั้งรอแล้วก็รัก  แล้วพี่รู้อะไรอีกไหม  นัญเกลียดคนชื่อพี่วัจน์  เกลียดจนไม่อยากเห็นแม้กระทั่งหน้า  ไม่อยากเอ่ยแม้กระทั่งชื่อ  แต่นัญเสียใจ ที่รู้ว่าพี่กับพี่วัจน์คือคนเดียวกัน  มันเลยทำให้ความรักนั้นน้อยลงไปทุกๆ ที  และทุกครั้งที่พี่ทำกับนัญ .....นัญเจ็บ แต่มันก็คงจะสาสมกับที่นัญทำกับพี่เอาไว้  ชาติที่แล้วมันมีจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้  เพียงแต่ว่านัญรู้สึกได้ว่ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ  ความฝันนั้นมันมาทำร้ายนัญตลอด  และหากว่าเลือดของนัญมันจะทำให้พี่ฟื้นขึ้นมาได้ นัญก็จะให้พี่หมดทุกหยดที่มีอยู่  .............

   ........  ฮึก  ฮึก......  พี่ธิวจ๋า  ถ้าฟื้นขึ้นมา  ก็ยกโทษให้นัญเถอะนะ....

   ..........แต่ถ้านัญไม่ฟื้น... กรรมที่ติดค้างกันอยู่ ก็ขอให้หมดเพียงแค่ชาตินี้

   .........หากชาติหน้ามีจริง.........  ขอให้เราอย่าได้เจอะได้เจอกันอีกเลยนะ ......”

   จบกันเพียงแค่นี้เถอะ อย่าได้เจอได้เจอกันอีกเลย  ผมก้มหน้าร้องไห้สะอื้นอย่างดัง เพราะว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้รับรู้ด้วย   น้ำตาของผมมันไหลออกมาจนไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มันจะหมด  ฝ่ามือของพี่ธิวผมยังกอบกุมเอาไว้อยู่และเอามันมาแนบแก้มนั้นเบาๆ   มือของพี่ธิวนี้ที่แต่ก่อนเคยเช็ดให้ผมทุกครั้ง เวลาที่ผมถูกคนอื่นแกล้ง   มือข้างนี้เคยเช็ดให้ผมทุกครั้งที่ผมฝันร้าย   

   ผมจะทำให้เจ้าของมืออบอุ่นคู่นี้ฟื้นมาอีกครั้ง 

   “ฮึก....ฮึก..ฮือๆ”  เสียงห้องทั้งห้องเงียบ   จะมีเพียงแค่เสียงจากอากาศออกซิเจนเท่านั้นที่ยังดังอยู่  เส้นที่ผ่านหน้าจอคอมเล็กๆ นั้นขอให้มันยังคงแสดงขึ้นลงๆ  อย่างนั้นตลอดไปเถอะ  ผมปล่อยมือพี่เขาก่อนจะเอามือไปลูบหน้าจอคอมนั้น   สัญลักษณ์ของการมีชีวิต ...สัญลักษณ์ของชีพจร....

   ......สัญลักษณ์ของหัวใจ......

   หัวใจที่ครั้งหนึ่งเคยรักนักหนา.....  หากแต่ความเลวร้ายที่ต่างคนต่างได้รับ  มันโหดร้ายเกินไป  พี่ธิวไม่ผิดหรอก  แต่ตลอดที่ผ่านมา  ผมเองที่เป็นคนผิด

   “น้องคะ”   พี่พยาบาลคนเดิมเดินเข้ามาเรียกผมอีกครั้ง    ยังดีที่ผมเช็ดน้ำตาออกได้ทัน  แต่ถึงอย่างนั้น ก็คงไม่รอดสายตาของพี่เขาไปได้

   “กลัวหรอคะ... ไปบอกกับคุณหมอก่อนไหม ..คนไข้ยังสามารถรอได้ถึงวันพรุ่งนี้...”  พี่พยาบาลเขาหยุดพูดเพียงแค่นั้น  ไม่ได้พูดอะไรต่อไปอีก  พี่ธิวอาจจะรอได้ถึงวันพรุ่งนี้ แต่ถ้าเลยวันพรุ่งนี้ไปแล้ว  และพี่เขายังไม่ได้เลือดล่ะ

   “ไม่เป็นไรครับ...ไม่กลัว เดี๋ยวพี่พาผมเข้าไปในห้องตรวจเลือดเลยก็ได้”   ขั้นตอนแรก ตรวจเลือดและต้องใช้เวลาในการรอถึงสองชั่วโมง กว่าผลเลือดจะออกมา ไม่ว่าจะเป็นกรุ๊ปเลือด  ระดับน้ำตาลในเลือด รวมไปถึงกลุ่มเชื้อโรคต่างๆ 

   พี่พยาบาลอีกคนที่รออยู่ในห้องนั้น  ให้ผมขึ้นไปนั่งที่เตียง  ก่อนที่จะใช้สลิ๊งค์ดูดเลือดออกไปตรวจ   ผมไม่ได้เจ็บ...  เพียงแต่เห็นเลือดแล้วรู้สึกกลัวๆ เหมือนกัน...  เลือดมันออกมาเยอะ  และผมไม่ชอบกับการเห็นเลือดตัวเองออกมาแบบนี้เลย  ..

   คุณหมอให้นอนพัก หรือจะออกไปนั่งพักข้างนอกซักครู่ก็ได้ แต่ขอให้อยู่ในแถบบริเวณนี้

   ระหว่างทางเดินที่ผมเดินออกมา  เสียงโหวกเหวกที่เกิดขึ้นช่วงระหว่างทางเดิน ทำให้ผมต้องเดินไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เพียงแค่เดินไปตรงมุมทางเดินนั้น 

   “โอ๊ย !!!”    ผมเดินชนคนเข้าให้อย่างจัง

   “โอ๊ย  ...ขอโทษครับๆ  เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”   ดีที่พี่เขาขอโทษก่อน  แล้วก็ช่วยพยุงผมขึ้นมา  มือข้างหนึ่งยังเจ็บอยู่เลย แถมมาถูกชนแบบนี้อีก... เดินไม่ดูทางเลยหรือไงนะ

   ..........แต่ทำไมเสียงคุ้นเหลือเกิน.............

   “ไม่เป็นไรครับ...ไม่เป็นไร” 

   “เลือดออกตรงแขนครับ..เดี๋ยวพี่ช่วยนะ”  พี่เขาพูดขึ้นมา จริงๆ ด้วย เลือดผมออกตรงแขนนิดหน่อย ถึงจะไม่เยอะ แต่คงจะทำให้แผลเปิดออกมานิด 

“ไม่เป็นไรครับ   เดี๋ยวผมไปหาพยาบาลก็ได้”  ผมบอกพี่เขาไปก่อนจะเงยหน้าขึ้น ว่าไม่ได้เป็นอะไรแล้วจริงๆ  เดินชนแค่นี้ถึงจะเจ็บแต่ก็ไม่มากซักเท่าไหร่หรอก

   ...........แต่สิ่งที่ผมตะลึง....ไม่ใช่เลือดที่เกิดจากแผลหรอก... เป็นผู้ชายตรงหน้านี้มากกว่า ........... 

   หน้าผมซีด ................ แต่ผู้ชายตรงหน้ากลับนิ่งเฉย เหมือนงงนิดๆ

   .....  “พี่.....พี่...............” 


   
   
   

ออฟไลน์ chin_va

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
ตอนที่ 22

   ความรู้สึกแรกที่ผมตื่นขึ้นมา  มันเหมือนกับว่าตอนนี้ห้องที่ผมนอนอยู่มันหมุนทั่วไปหมด

   ..... ตอนนี้ผมอยู่ที่ไหน  ?  .......

   ถ้าความรู้สึกล่าสุดเท่าที่สมองยังพอมีให้จำได้  ก็คือผมกับไอ้วัจน์ และไอ้นันต์เพิ่งจะแยกออกมาจากโรงเรียนด้วยกัน  ผมขับรถอยู่เพื่อที่จะไปส่งซิวกลับบ้าน  แต่ทำไมตอนนี้ผมมานอนอยู่ที่นี่ได้ล่ะ 

   ........มือข้างซ้ายผมทำไมมีสายน้ำเกลือ

   ปวดหัว.......... ปวดหัวเหลือเกิน

   “น้ำ  ขอน้ำ”   คำพูดแรกที่ผมพูดออกไป เป็นไปโดยสัญชาติญาณ  ดวงตาที่พยายามปรับให้เข้ากับแสง เผยอเปิดขึ้นมาเรื่อยๆ  จนผมรู้ว่าใครบ้างที่อยู่ในห้อง

   “แม่... พ่อ”   

   “ใจเย็นๆ  ลูก  ดื่มน้ำช้าๆ อย่าเยอะนะ  จิบนิดๆ พอ”   เสียงของแม่ผมพูดขึ้นมา พร้อมกับประครองที่หัวให้สามารถรับน้ำที่อยู่ในแก้วเข้าไปได้   ..........ผมงงไปหมดแล้ว  มันเกิดอะไรขึ้น ?

   น้ำอึกแรกที่ผ่านเข้าไปในลำคอ มันเหมือนกับหยาดน้ำที่โถมเข้ามาทั้งตัว เรียกความสดชื่นให้กับร่างกายเป็นอย่างมาก จนผมต้องร้องขอซ้ำ  เพียงแต่ถูกห้ามเอาไว้ไม่ให้ดื่มมากไปกว่านี้     

   “ผมเป็นอะไร... มาอยู่ที่นี่ได้ไง” 

   “ไม่มีอะไรจ๊ะ  ลูกไม่สบายเฉยๆ นะ  ปวดหัวไหม ?”   

   “ครับ....ปวดหัว”   ไม่เพียงแต่พูดเปล่าๆ  มือผมยังกุมขมับจนแน่นไปหมด

    โอยยยยย.... ทำไมมันปวดแบบนี้

   “เอกๆ เป็นอะไรลูก แม่ตามหมอให้นะ” 

   “ผม ปวดหัว  !!!”   มันเหมือนกับว่าสมองผมมันแตกออกมาเป็นเสี่ยงๆ  ตอนนี้ในห้องมันวุ่นวายโกลาหลไปหมด ทั้งพ่อและแม่ผมอยู่กันพร้อมหน้า   แถมตอนนี้ ทั้งซิวกับไอ้นันต์ก็อยู่กับผมตรงนี้ด้วย   เพียงแต่ตอนนี้ผมไม่เห็นไอ้วัจน์ก็แค่นั้นเอง  ...มันอาจจะติดงานที่ไหนก็ได้มั้ง 

   “เอก... เดี๋ยวหมอมาดูอาการแล้วนะ เอกไม่เป็นไรหรอก คุณพ่อก็อยู่ คุณแม่ก็อยู่ นันต์แล้วก็ซิวด้วย  อยู่ตรงนี้หมดนะ”   ใช่ซิ... ตอนนี้ซิวอยู่ตรงนี้  ผมต้องไม่อ่อนแอต่อหน้าซิวซิ่ อย่างน้อยตอนนี้ก็มีคนที่ผมรักอยู่กันพร้อมหน้านี่นา  ขาดก็แต่ไอ้วัจน์คนเดียวเท่านั้น  สมองผมมันปั่นป่วนไปหมดแล้ว   

   “คนไข้ครับ  คนไข้”  เสียงของหมอเรียกผมหรอ ทำไมตอนนี้ผมกลายเป็นคนไข้ไปได้ล่ะ ..มันเกิดอะไรขึ้น !!!

   “ปวดหัวววววว !!!”   โอยย ไม่ไหว  หัวจะระเบิดอยู่แล้ว

   “รบกวนญาติออกไปรอข้างนอกก่อนนะครับ  หมอขอเช็คคนไข้ก่อน  เพิ่งฟื้นขึ้นมา  อาจจะไม่มีอะไรร้ายแรงมาก”   คุณหมอพูดอะไร  ผมเพิ่งฟื้นหรอ ...มันเกิดอะไรขึ้น
   .
   .
   .
   .
   .
   ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้รับฟังจากปากของหมอ และทุกคนที่ผมรู้จักในที่นี้  ผมคือนายเอกสิทธิ์  ลูกชายคนเดียวในกลุ่มของธุรกิจโรงแรมห้าดาวที่อยู่ในประเทศ และทั้งต่างจังหวัด ถ้าจำไม่ผิด ตอนนี้ผมอยู่ในโรงพยาบาลที่เป็นของพ่อไอ้นันต์อยู่ 

   ความทรงจำผมหายไปสองปี  ผมจำเรื่องราวที่ย้อนกลับไปเมื่อสองปีทีผ่านมานี่ไม่ได้  ความรู้สึกสุดท้ายคือผมขับรถไปส่งซิวที่บ้าน  .............ความรู้สึกนั้นมันตอนผมอยู่ ม. 4  มันเหมือนกับเพิ่งผ่านมาเมื่อวานนี้เอง 

   คนที่อยู่รอบข้างนี้ทั้งหมดพยายามพูดกับผมเพื่อให้คำพูดนั้นออกมาดูดีที่สุด  ผมมันแค่เด็ก ม. 4 เองนะ แต่ความเป็นจริงแล้วไม่ใช่  ตอนนี้ผมอยู่ ม. 6 แล้ว  ปีหน้าก็คงจะต้องเข้าไปเรียนต่อในมหา’ลัย ความรู้สึกที่หายไปสองปีที่ผ่านมา  มันแทบจะไม่น่าเชื่อเลย  แต่ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เป็นจริง  สัญลักษณ์ของนักเรียนชั้น ม.6  ถูกปักอยู่บนอกทั้งของไอ้นันต์เอง  และของซิวด้วย  บัตรประชาชนของผมยังคงอยู่  และข้อมูลภายในบัตรนั้น ลงเอาไว้ว่า ผมทำเอาไว้ในตอนเดือนกันยายน พ.ศ. 2554 

   มันไม่ใช่ปี พ.ศ. 2553  อย่างที่ผมคาดเอาไว้ครั้งแรก

   และปีนี้มันก็เป็นปี  2555 แล้ว บัตรที่ผมทำเอาไว้นั้น ทำเมื่อปีที่แล้ว  .......แต่ทำไมจำอะไรไม่ได้เลย
   “ผมโดนอะไร...ทำไมผมถึงเป็นแบบนี้”   เสียงแหบเครือพูดออกไป ผมไม่ได้ถามใครอย่างเป็นกิจจะลักษณะ  คำถามนั้นเกิดขึ้นลอยๆ  แต่มันก็ต้องการคำตอบ

   “ลูกเกิดอุบัติเหตุ รถคว่ำ ......ไปพร้อมๆ กับ.........”

   เสียงของแม่ผมหยุดลงเพียงแค่นั้น ไม่ได้พูดอะไรต่อ  พร้อมกับใคร ? อะไร?   หรือว่า...............

   ตอนนี้ ไอ้วัจน์หายไปไหน ?

   “ไอ้วัจน์ล่ะ !!!” 

   คำถามที่ผมถามออกไป ได้รับคำตอบอีกครั้งจากซิว  ทุกคนไม่กล้าพูดอะไร  แต่จะมีก็เพียงแค่ซิวเท่านั้นที่กล้าพูดเรื่องนี้  เพราะนอกจากทุกคนคงรู้อยู่แล้วว่า  สำหรับซิวนั้น ไม่ว่าจะพูดอะไร ผมพร้อมที่จะฟังเสมอ  อีกทั้งซิวเองก็ยังเป็นญาติกับไอ้วัจน์ด้วย

   “แล้วไอ้วัจน์อยู่ห้องไหนหรอซิว.... ซิวพาเอกไปหน่อยได้ไหม  เอกอยากเห็นมัน”

   “วัจน์ยังอยู่ใน ICU  เอกอย่าเพิ่งไปเลยนะ รอให้หายดีกว่านี้หน่อยนะ เดี๋ยวซิวพาไป”  น้ำเสียงของซิวไม่มั่นคงเลย  แล้วทำไมไอ้วัจน์ยังไม่ออกมาจากห้อง ICU อีก

   “เอกไม่เป็นไร ปวดหัวนิดเดียวแค่นั้นเอง ...ซิวพาเอกไปหน่อย  ....มึงก็ได้ไอ้นันต์ พากูไปดูไอ้วัจน์หน่อย”   ผมไม่รู้ว่ามันเป็นไงบ้าง แต่เท่าที่ฟังจากปากของซิวเอง  ตอนนี้ไอ้วัจน์ยังไม่ฟื้น   ตอนที่เกิดอุบัติเหตุ  ไอ้วัจน์มันเป็นคนขับ ส่วนผมนั่งคู่ไปกับมัน แต่เหมือนทุกคนอ้ำอึ้ง ที่จะปิดบังผมกับบางสิ่งบางอย่าง ว่าผมขับรถไปไหนกับไอ้วัจน์ถึงได้ไปรถคว่ำแบบนั้น  ปกติแล้วทั้งไอ้วัจน์แล้วก็ผม  ถือได้ว่าขับรถกันฝีมือใช้ได้เลยทีเดียว ถึงจะเพิ่ง ม. 4.   ...........อ่อ  !!  ไม่ซิ่  !!!!  ม. 6  แต่ผมก็คิดอยู่  ไอ้วัจน์ไม่น่าจะประมาทขนาดนั้น

   ผมกับมันขับรถกันไปไหน  ทำไมไม่มีใครยอมบอก   ซิวเพียงแค่บอกว่าผมกับไอ้วัจน์ ขับรถไปกินข้าวกันแค่นั้น   แต่ผมไม่เชื่อ

   ทุกคนฟังเสียบรบเร้าจากผมไม่ไหว   สุดท้าย ผมก็นั่งอยู่บนรถเข็น ทั้งๆ ที่ไม่จำเป็น  ผมเพียงแค่ปวดหัวเท่านั้น ส่วนมือเท้า และร่างกาย มันหายเกือบเป็นปกติแล้ว จะมีก็เพียงแค่รอยฟกช้ำเท่านั้นเอง   ...ตอนนี้ห้องทั้งห้อง  มีทั้งครอบครัวของผม และครอบครัวของไอ้วัจน์ ผมยกมือไหว้ลุงธิน กับป้าตา พ่อและแม่เลี้ยงของไอ้วัจน์ ที่พอจะคุ้นๆ หน้าบ้างตอนที่ท่านทั้งสองคนเข้ามาในกรุงเทพฯ 

   ร่างกายของมันไม่ไหวติง   ใบหน้ายังถูกครอบเอาไว้อยู่กับเครื่องช่วยหายใจ  ข้อมือข้างหนึ่งมีสายน้ำเกลืออยู่  ส่วนอีกข้างเป็นถุงสำหรับให้เลือด

   พ่อของมันยังคงพูดอยู่กับพ่อของผม  ตอนนี้ไอ้วัจน์ไม่รู้สึกตัวอะไรทั้งสิ้น  มีเพียงแค่สัญญาณแห่งการมีลมหายใจอยู่เท่านั้น  คุณหมอต้องรอดูอาการไปเรื่อยๆ  แต่เท่าที่รู้ ตอนนี้สิ่งที่น่าห่วงที่สุดสำหรับอาการของไอ้วัจน์คือมีเลือดไหลไม่หยุดในช่องท้อง  บาดแผลที่ลึกมาก และหมอไม่สามารถที่จะผ่าตัดได้ จะทำได้อย่างเดียวก็คือ รอให้แผลนั้นถูกปิดไปเอง 

   แต่ที่สำคัญ ช่วงระหว่างที่แผลยังเปิดอยู่นั้น  ไอ้วัจน์จะต้องถูกให้เลือดอยู่ตลอดเวลา  เลือดของมัน..........เลือดกรุ๊ปพิเศษเท่านั้น ที่สามารถจะให้เลือดมันได้

   ปัญหามันอยู่ตรงนี้ 

   พ่อของไอ้วัจน์ไม่สามารถให้เลือดได้ เพรากรุ๊ปเลือดนี้ได้มาจากทางแม่  ส่วนซิวนั้นก็ไม่ใช่ ถึงจะเป็นญาติ แต่ก็เป็นญาติจากทางพ่อ  .......สายเลือดทางพ่อ จึงหมดสิทธิ์ที่จะให้เลือดไอ้วัจน์แต่อย่างใด

   ไอ้นันต์กรุ๊ปโอ  ซิวกรุ๊ปโอ  ส่วนผมใกล้มาหน่อยก็เพียงแค่ เอบี

   แต่ไอ้วัจน์มัน  AB-Rh เนกกาทีฟ

   “มึงต้องหาย ไอ้วัจน์  ...มึงเป็นเพื่อนกู มึงต้องหาย”   ผมจับมือของมันแน่น  ส่งผ่านความรู้สึกไปยังเพื่อนรักของผมที่ยังนอนสงบนิ่ง 

   “ฮึก....ฮึก มึงต้องหาย.... มึงฟื้นขึ้นมาไอ้วัจน์.. ฮือๆๆๆๆ”   น้ำตาของผู้ชายคนหนึ่งไหลออกมาอย่างง่ายดาย  ถ้าจะนับกันแล้ว  พวกเราสี่คนสนิทกันมาก  นับกันตั้งแต่เด็กๆ  ผม  ไอ้วัจน์  ไอ้นันต์ แล้วก็ซิว พวกเราเป็นเพื่อนรักกันมาตลอด ไม่มีครั้งไหนเลยที่จะเกิดเหตุการณ์ร้ายๆ แบบนี้ 

   ผมกับมันเป็นอะไร  ไปเจอกับอะไรมา   ผมไม่เชื่อคำพูดของซิวเด็ดขาดที่บอกว่าไปกินข้าวกันเพียงแค่นั้น  ซิวปิดบัง เพื่อไม่ให้ผมรู้สึกแย่กับเหตุการณ์บางอย่างมากกว่า

   “เอก...  วัจน์ไม่เป็นอะไรหรอก เอกเป็นห่วงตัวเองก่อนนะ  เดี๋ยวปวดหัวกว่าเดิม”  ฝ่ามือเล็กๆ ลูบไปที่แผ่นหลังของผมเหมือนกับให้คำปลอบโยน  ซิวเป็นคนที่อ่อนโยนเสมอสำหรับเพื่อนๆ  ไม่แปลกหรอกที่ผมแอบรักเพื่อนคนนี้มาตั้งนานแล้ว

   ทุกครั้งที่พวกผมสามคนไปก่อเรื่องบ้าๆ กันขึ้นมา ซิวจะเป็นคนห้ามตลอด  และทุกครั้งที่ซิวโดนคนอื่นแกล้ง  และไม่มีทางช่วยตัวเองได้  พวกผมสามคนก็จะคอยกันซิวไม่ให้คนอื่นเข้ามายุ่งกับซิวเด็ดขาด

   พวกผมสามคน ที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าอีกคนจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง

   “เอกกลัว...  ซิว.....เอกกลัวไอ้วัจน์มัน มันจะ...........”  น้ำเสียงผมขาดหายไปแค่นั้น   ตอนนี้ทั้งลุงธิน และซิว  มาช่วยกันปลอบ  แต่มันไม่ได้รู้สึกดีซักนิดเดียว

   “เอกลูก.....  เราออกกันไปก่อนดีกว่านะ ธิวไม่เป็นอะไรหรอก  ตอนนี้เอกก็แย่ เดี๋ยวถ้าเป็นอะไรอีกคน จะยุ่งไปกันใหญ่”   เสียงของลุงธินพูดขึ้น  ตอนนี้ผมทำอะไรไม่ได้ นอกจากปล่อยไปก่อน   เสี้ยวหน้าของไอ้วัจน์ยังคงเรียบเฉย ไร้รอยแผลใดๆ  แต่ตรงช่วงท้องนั้น ถูกพันผ้าก๊อตผืนใหญ่เอาไว้  รอยสีเลือดจางๆ ยังคงมีให้เห็น

   ตอนนี้ทั้งพ่อแม่ผม และก็พ่อแม่ของไอ้วัจน์คุยกันอยู่ที่ห้องกลางของโรงแรม  พ่อของไอ้นันต์จัดให้ผมอยู่ในห้องนี้โดยเฉพาะ  ซึ่งมันก็กว้างใหญ่พอๆ  กับอยู่ในห้องของโรงแรมเลยทีเดียว  เสียงที่ผมได้ยินเพียงเล็กน้อย ทำให้พอทราบได้ว่า ตอนนี้ทางครอบครัวของไอ้วัจน์ประกาศทั้งโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์  วิทยุ อินเตอร์เน็ต สื่อทุกสื่อ ที่ประกาศออกไปคือขอรับบริจาคเลือดคนที่มีกรุ๊ปเดียวกับไอ้วัจน์   

   พ่อแม่ผมก็พูดถึงเรื่องที่ผมเสียความทรงจำไปด้วยเหมือนกัน แต่อาการผมทางร่างกายมันหายดีเกือบเป็นปกติแล้ว  มันแทบจะไม่เป็นอะไรเลย หรือรู้สึกว่าเคยรถคว่ำมาก่อน 
   .
   .
.
.
.
.
เวลามันผ่านไปหลายวันแล้ว แต่ไอ้วัจน์ไม่มีทีท่าว่าจะฟื้น  ข่าวร้ายไปกว่านั้น คือเลือดที่สำรองเอาไว้ในธนาคารเลือดของทุกที่ กรุ๊ปเลือดของมันใกล้หมดเต็มที   ถึงแม้ตอนนี้มันจะดึกขนาดไหน  ผมก็นอนไม่หลับ

   ........มันต้องไม่เป็นอะไร

   ไอ้วัจน์มันต้องหาย

   เพื่อนผมต้องรอด   

   และมันก็ต้องไม่ตายด้วย
   
   ข่าวดีล่าสุดที่ผมเพิ่งได้รับจากทางพี่พยาบาล  คือมีเด็กคนหนึ่งกำลังจะมาบริจาคเลือดที่นี่  ผมรีบโทรไปบอกซิวกับไอ้นันต์ทันที  รวมทั้งพ่อของไอ้วัจน์ด้วย  ซิวกับไอ้นันต์นั้นอีกซักพักใหญ่ก็คงจะมาถึง  ส่วนลุงธินนั้นกว่าจะมาถึงก็คงพรุ่งนี้เช้า  โชคมันบังเอิญอะไรขนาดนี้  ถึงแม้จะเป็นช่วงที่ลุงธินกำลังจะต้องกลับไปเคลียร์งานที่ต่างจังหวัดด้วย 

   ช่วงระหว่างที่ผมกำลังคิดหนักอยู่กับเรื่องของไอ้วัจน์  อยู่ดีๆ เสียงดังมันก็เกิดขึ้นตรงมุมบริเวณด้านหน้าของโรงพยาบาล เสียงร้องโหวกเหวกตะโกนให้คนช่วย   ...จนมันอดไม่ได้ที่จะต้องเดินไปดู

   “โอ๊ย !!!”    ผมเดินชนคนเข้าให้อย่างจัง

   “โอ๊ย  ...ขอโทษครับๆ  เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”   อยู่ดีๆ ไอ้ความไวของผมเอง มันเลยทำให้ไปชนกับเด็กที่ไหนก็ไม่รู้  ที่เดินมาตรงมุมนั้นพอดีเข้าให้  ที่ผมคิดว่าเป็นเด็ก  ก็คงจะเด็กจริงๆ นั้นแหละ  ไม่ม. 2 ก็ ม. 3 เป็นอย่างมาก   แต่ผู้ชายหรือผู้หญิงนี่ซิ่  มองแทบไม่ออก ตัวเล็กๆ ผิวขาว  น่ารักจนกว่าคิดว่าจะเป็นผู้ชายไปได้  แต่ก็คงไม่ใช่ เพราะเสียงตอบกลับมานี่แหละ

   “ไม่เป็นไรครับ...ไม่เป็นไร” 

   “เลือดออกตรงแขนครับ..เดี๋ยวพี่ช่วยนะ”  น้องคนนี้ไปโดนอะไรมา  ทำไมถึงมีเลือดออกมาจากตรงแขนแบบนั้น  แต่เลือดที่ออกมามันเหมือนกับว่า ฉีดยา หรือโดนเข็มฉีดยาอะไรซักอย่าง

   ........หรือว่า ? ............

“ไม่เป็นไรครับ   เดี๋ยวผมไปหาพยาบาลก็ได้”  เสียงน้องเขาพูดขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็ยังก้มหน้าอยู่อีก  จนผมต้องก้มหน้าลงไปตาม  มันก็เป็นจังหวะเดียวกับที่น้องเขาเงยหน้ามองมาทางผมพอดี

   หน้าผมเป็นอะไรหรือเปล่าก็ไม่ทราบ  แต่เท่าที่รู้ๆ หน้าน้องคนที่อยู่ตรงหน้า  ซีดยิ่งกว่าเดิม และซีดหนักกว่าเก่า จนสังเกตได้ชัด  ปากบางสีชมพูนั้นสั่นระริก   พยายามจะเอ่ยมาบางอย่าง แต่ก็ไม่กล้าพูดออกมาเต็มคำ   

   ผมนิ่งเฉย  ไม่ได้พูดอะไร  ไม่รู้จักเด็กคนที่อยู่ตรงหน้านี้มาก่อน ความงงมันเกิดขึ้นกับผมเองมากกว่า  ........หรือจะเป็นไปได้ไหม ที่น้องคนนี้เคยรู้จักผม ตอนที่ความทรงจำผมหายไป

   .....  “พี่.....พี่...............”     น้ำเสียงตะกุกตะกัก  เรียกผมว่าพี่ แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ  มันทำให้ผมสงสัยหนักกว่าเดิม

   “ครับ..น้อง น้องๆ  น้องรู้จักพี่หรอ”  ผมอยากรู้เหมือนกันว่าน้องคนตรงหน้านี้รู้จักผมหรือเปล่า ถ้ารู้จักก็ดีเลย ผมจะได้รู้บ้างว่าช่วงที่ผ่านมาสองปีมานี้ผมเป็นอย่างไรบ้าง   เพราะทั้งไอ้นันต์แล้วก็ซิว ไม่มีใครยอมบอกกับผมซักคน น้องคนนี้ต้องรู้แน่นอน 

   “เอ่อ...ป่าว...ป่าวครับ  ผมไม่รู้จักพี่”  น้องคนตรงหน้ามันพูดขึ้นมา ก้มหน้า แล้วส่ายหัว  หลบสายตาผม

   “จริงหรอ  พี่ชื่อเอกนะครับ น้องแน่ใจหรอ ว่าไม่รู้จักพี่ มองพี่ดีๆ ซิครับ”  ผมอยากรู้ความจริง น้องมันก้มหน้าแบบนี้ แล้วจะเห็นหน้าผมชัดๆ ได้ไง   ผมพูดขึ้น  พร้อมกับจับตัวไอ้เด็กคนนี้ตรงหน้าเขย่า แต่ก็ไม่ได้แรงมาก   ตอนนี้ผมไม่สนล่ะคำว่ามารยาท จะไม่รู้จัก  จะรู้จัก แต่ไงก็อยากให้มันเห็นหน้าผมชัดๆ ก่อน  บางทีมันอาจจะรู้จักผมก็ได้  เอาแต่ก้มหน้ามันจะไปเห็นหน้าผมได้อย่างไง

   “ไม่..ไม่ครับ  ผมไม่รู้จักพี่”  น้องมันยังคงปฏิเสธ 

   “น้องชื่ออะไร” ที่ผมถามไป บางทีชื่อของมันอาจจะพอคุ้นผมบ้างก็ได้

   “เอ่อ...ชื่อชื่อ  มีนครับ”   ทำไมกับแค่ชื่อมันยังต้องนึก  ชื่อมีน ชื่อมีนจริงหรือเปล่า  ผมปล่อยมือออกจากต้นแขนมัน  เพราะหน้ามันเริ่มนิ่วแล้ว  คงจะเผลอจับแรงไปหน่อย ตอนที่บังคับให้มันเงยหน้ามองมาทางผม  ชื่อมีนผมไม่คุ้น  แต่ทำไมใบหน้านี้ผมคุ้นนักหนา 

   “อืม..”  ผมไม่พูดอะไร  ตอนที่ปล่อยมือออกจากมัน ...และก็ไม่ได้ขอโทษ

   “ผมขอตัวนะครับ...จะเข้าห้องน้ำ”  อยู่ดีๆ มันก็เดินหนีผมไปเฉยๆ ซะอย่างนั้น  แผลตรงแขนยังมีรอยเลือดอยู่เลย

   “อ้าว  !!  แผลที่แขนยังมีเลือดอยู่เลยนะครับ  ไปหาพี่พยาบาลก่อนไหมเดี๋ยวพี่พาไป”   ก็มืออีกข้างของมันยังเอาสำลีกดไว้ตรงแผลอยู่เลย 

   “ไม่..ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมไปให้หมอดูเองได้  ไม่เป็นไรครับ ...ขอตัวนะ”  มันทั้งพูดอย่างเร็ว แล้วก็เดินหนีผมไปอย่างเร็วๆ  โอเค ไม่เป็นไร  ตอนนี้เอาเรื่องของไอ้วัจน์ก่อนดีกว่า อีกชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึงเวลาให้เลือดแล้ว  ยังพอมีเวลาอยู่บ้าง  ตอนนี้หน้าเคาน์เตอร์กำลังวุ่นอยู่กับเหตุการณ์ชุลมุนเมื่อสักครู่นี้เอง  มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรมากนัก ก็เพียงแค่คนกระชากกระเป๋าที่อุกอาจมาทำกันถึงในโรงพยาบาล 

   ผมอยากเห็นหน้าเหมือนกันกับคนที่มีบุญคุณกับเพื่อนของผมเอง  แต่คนคนนั้นตอนนี้ต้องเข้าไปอยู่ในห้องถ่ายเลือดแล้ว  ผมจะยังไม่มีโอกาสได้เห็นเขา จนกว่าการให้เลือดนั้นจะเสร็จสิ้น    อีกเพียงไม่กี่ชั่วโมง  เลือดล๊อตใหม่ก็กำลังจะมา  สิ่งที่ผมขอให้ปาฏิหาริย์มันเกิดขึ้น  ก็คือขอให้เพื่อนผมฟื้นขึ้นมาทีเถอะ

   ถ้ามันฟื้น  คนคนนั้นที่ให้เลือดกับไอ้วัจน์จะเป็นใครก็แล้วแต่ คำพูดขอบคุณนั้นมันคงน้อยไป 

   แต่ก็ขอบคุณเหลือเกิน ที่ทำให้เพื่อนผมมีโอกาสฟื้นขึ้นมา

   ช่วงเวลาของการให้เลือดผ่านไปอย่างช้าๆ  ไอ้นันต์กับซิวมาทันเวลาพอดีสำหรับการให้เลือดครั้งใหม่ของไอ้วัจน์  พวกผมทั้งสามคนไม่มีใครมีโอกาสได้เห็นหน้าคนที่มีบุญคุณกับเพื่อนผมในครั้งนี้  ความรู้สึกลึกๆ มันบอกกับตัวเอง  ไอ้วัจน์มันต้องรอด

   เวลามันผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ความรู้สึกของพวกผมทั้งสามคนมันเหมือนกันนานแสนนาน ความรู้สึกทั้งหมด มันมีแต่คำถาม  และสุดท้ายคำตอบที่พวกผมอยากรู้นั้น ตอนนี้ มันกำลังจะได้คำตอบแล้ว ......เสียงเปิดประตูออกมาจากห้อง ICU  ที่มีทั้งหมอ และทั้งพยาบาลออกมากันหลายคนจากเตียงของไอ้วัจน์  พวกผมรีบกรูเข้าไปถามทันที

   “อาหมอครับ  เป็นไงบ้าง  เพื่อนผมเป็นไงบ้าง”  เสียงของไอ้นันต์ถามด้วยความกระหืดกระหอบ   มันพูดทั้งเร็วและดัง  จนคนรอบข้างหันมามองกันให้เต็ม

   “อืม... อาการของคนไข้ดีขึ้นแล้ว  เลือดกลุ่มใหม่ร่างกายยอมรับอย่างดี  และด้วยความที่ว่า เลือดของคนที่บริจาคยังเป็นเลือดที่ค่อนข้างอายุไม่มาก ทำให้มีกลุ่มเม็ดเลือดขาวค่อนข้างแข็งแรง  เลยทำให้เชื้อโรคต่างๆ ที่อยู่ในช่องท้องของคนไข้ เริ่มหายเร็วขึ้น  แต่หมอเพียงแค่เดา อย่างไงตอนนี้ก็ต้องดูอาการไปก่อน ....แต่............”

   เสียงคุณหมอขาดหายไป มันเหมือนกับทำให้พวกผมหยุดหายใจตามไปด้วย

   “แต่....แต่อะไรครับอาหมอ”  ไอ้นันต์ยังคงถามต่อไปอีก

   “คืออาการของคนไข้ตอนนี้ไม่น่าห่วง ห่วงก็เพียงแต่อาการของคนที่บริจาคเลือดให้ก็เท่านั้นเอง  รู้สึกเหมือนกับตอนที่เขาบีบลูกยางแต่ละครั้ง  เลือดออกมามากเกินไป  เลย...เลยทำให้เลือดที่อยู่ในตัวไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ...  จึงมีผลทำให้ตอนนี้คนไข้รายนี้ยังไม่ฟื้นขึ้นมา” 

   ถ้ามีคนจับสีหน้าพวกผมทั้งสามคนได้  ก็คงจะรู้กันดี  ตอนนี้มันซีดซะยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น  คำตอบใหม่ที่ได้รับ  เพื่อนผมพ้นอาจจะพ้นขีดอันตรายในคืนนี้แล้ว แต่กลับอีกคนที่ผมไม่รู้จัก ตอนนี้เป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้างก็ไม่รู้

   “อาหมอ ..ตอนนี้คนนั้นอยู่ที่ไหน  อาหมอพาผมไปดูหน่อย”  ไอ้นันต์ทั้งพูดทั้งดึงแขน  หมอที่เป็นญาติกับมัน  กึ่งวิ่งกึ่งเดิน ไปห้องที่ถ่ายเลือด  แต่อาหมอของมันรั้งเอาไว้ก่อน

   “อย่าเพิ่งนันต์  ตอนนี้อาพาน้องคนนั้นไปห้อง ICU เหมือนกันแล้ว  อยู่ข้างๆ วัจน์นั้นแหละ

   ไม่รอช้าอะไรทั้งสิ้น  ตอนนี้ทั้งผมรวมทั้งไอ้นันต์แล้วก็ซิว  รีบสวมชุดสำหรับที่จะเข้าไปในห้อง ICU โดยเฉพาะ  แล้วรีบวิ่งไปที่เตียงข้างๆ  ของไอ้วัจน์ทันที   มันจะเป็นใครไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะเตียงอีกเตียงหนึ่งว่างเปล่า  ส่วนเตียงข้างๆ กันนั้น  มีเด็กคนหนี่งนอนสงบนิ่งอยู่

   “เฮ้ย !!!!”   เสียงของไอ้นันต์ตะโกนอย่างดัง    รีบวิ่งไปทางด้านหน้าเตียงเพื่อมองหน้าคนไข้นั้นชัดๆ สำหรับตัวผมเองก็ตกใจไม่แพ้กัน   ความสงสัยเมื่อตอนประมาณเกือบๆ สามชั่วโมงที่แล้วนั้นคลายแล้ว ว่าทำไมน้องคนที่ผมเดินชน  ถึงได้มีแผลตรงแขน 

   แผลนั้นเกิดจากการตรวจเลือด เพื่อที่จะให้เลือดกับเพื่อนผมนี่เอง

   น้องคนที่ผมเดินชน  เป็นคนเดียวกับที่ให้เลือดไอ้วัจน์

   “นะ.........น้อง...............ต้อง”  เสียงของซิวแหบพร่า มือทั้งสองข้างจับต้นแขนผมแน่น   กัดปากเอาไว้ ดวงตาแดงช้ำนั้น เหมือนกำลังร้องไห้   ..... ทำไมชื่อต้อง  ผมถึงคุ้น 

   “น้องต้องไหนซิว เอกเจอน้องคนนี้ครั้งแรกแล้ว ก่อนที่น้องเขาจะให้เลือด น้องคนนี้ชื่อมีน”    ผมแย้งไป  แต่ซิวมองหน้าผมกลับ

   “ไม่ใช่  ..... คนนี้ชื่อต้อง  เอกจำต้องได้ไหม ต้องที่เราเห็นตอนเด็กๆ ตอนที่เอกไปเที่ยวบ้านธิว ที่กำแพงเพชร ........ต้องคนที่เป็นน้องของธิว  ลูกติดของป้าตาที่แต่งงานใหม่กับลุงธิน” 

   ความรู้สึกผมตอนนี้คลี่คลายลงทันที  เค้าหน้านั้นเปลี่ยนไปบ้าง ดูโตขึ้น แต่เรียวหน้าก็ยังดูเด็กเหมือนเดิม  ทำไมผมถึงไม่คุ้นตั้งแต่ตอนที่เดินชนกันครั้งแรก  และซิวก็ยังคงพูดต่อไป

   “ต้องมาเรียนที่เดียวกับเรา  สองเดือนที่แล้ว  วัจน์บังเอิญเจอต้องที่นี่ ที่โรงเรียน  ตอนช่วงที่เอกความทรงจำหายไป  เอกก็เจอต้องบ้าง แต่ก็แค่บางครั้ง  เอกเจอต้องกับ........”

   “ซิว !!!”  เสียงดุของไอ้นันต์  ที่อยู่ดีๆ ก็แทรกขึ้นมา ทำให้ซิวไม่พูดอะไรต่อ  ต้องกับใคร ผมเคยเจอต้องกับใคร

   

ออฟไลน์ chin_va

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
“ซิว  เอกเคยเจอต้อง เคยเจอต้องกับใคร..... ซิวบอกเอกมา” 

   “ตอนนี้มึงอย่าเพิ่งถามอะไรซิวมาก เรื่องที่สำคัญกว่า คือเรื่องของน้องต้อง ตอนนี้ลุงธินกับป้าตารู้แล้วใช่ไหม”   ไอ้นันต์มันพูดของมันก็ถูก เรื่องของผมเอาไว้ก่อนเถอะ แต่ตอนนี้เอาเรื่องของน้องต้องก่อนดีกว่า  ผมไม่รู้จะทำอะไรกันถูก  ทั้งหมอแล้วก็พยาบาลกลับมากันอีกครั้ง ทั้งตรวจ ทั้งเช็ค  ให้น้ำเกลือ  ให้ออกซิเจน แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าต้องจะฟื้นขึ้นมา

   .
   .
   .
   .
   .
   .

   ซิวกับไอ้นันต์ปิดบังอะไรผมเอาไว้  จนพวกผมทั้งสามคนเผลอหลับกันไปตอนไหนก็ไม่รู้ ตื่นขึ้นมาอีกที ก็ได้ยินเสียงร้องไห้จากผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าห้อง  ICU นั่นเอง
   
   “ฮือๆๆๆๆ ต้อง  ต้องลูกแม่ !!!”    พวกผมรีบวิ่งไปเตียงที่อยู่ด้านข้างไอ้วัจน์  ต้องยังคงนอนอยู่ตรงนั้นไม่ไหวติง ร่างเล็กๆ ยังคงนิ่งเฉย  แม้กระทั่งป้าตา ที่ลุงธินจับมืออยู่ตอนนี้ จะพยายามเข้าไปเรียกเท่าไหร่แล้วก็ตาม  แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าต้องจะฟื้นขึ้นมาเลย

   “คุณตา ใจเย็นๆ เถอะนะ เดี๋ยวหมอเขาก็ทำให้ลูกฟื้น”  ลุงธินยังคงปลอบอยู่อย่างนั้น  พวกผมเดินเข้าไปไหว้ทั้งลุงธินและป้าตา จนทั้งหมอและพยาบาลบอกให้ทั้งหมดออกไปก่อน  เพราะตอนนี้คนไข้ยังมีอาการไม่น่าไว้วางใจอยู่  ป้าตาเท่าที่ผมพอรู้มาอยู่บ้าง  ถึงจะเป็นคนเข้มแข็งขนาดไหน แต่ถ้าเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ เป็นใครก็คงจะรู้สึกใจหายเหมืนกัน

   “คุณ ....ลูกจะเป็นอะไรไหม ฉันห่วงลูก”

   “คุณอาครับ น้องอยู่กับหมอแล้ว ...  น้องจะต้องปลอดภัยนะครับคุณป้า”    ซิว ซึ่งเป็นญาติคนเดียวของลุงธิน พูดกับอาสะใภ้ที่ตอนนี้ ป้าตายังคงเอาแต่ร้องไห้อยู่อย่างนั้น   ก่อนที่พวกเราจะออกพยาบาลที่ยังคงอยู่ในห้อง ICU รูดม่านปิดเอาไว้ กันเพื่อแยกต้องออกเอาไว้ต่างหากไม่ให้ปะปนกับผู้ป่วยรายอื่น  ม่านทุกด้านถูกปิดรูดเข้าหากันหมด  ตอนนี้จึงไม่มีใครเห็นหน้าต้องได้เลย

   ที่ต้องเป็นอย่างนี้ก็เพราะช่วยเพื่อนผมเอาไว้

   ความเงียบปกคลุมไปที่ห้องที่พวกผมอยู่  จะมีก็เพียงเสียงฝีเท้าของแต่ละคนที่กำลังจะเดินออกไปจากห้อง ICU เสียงร้องไห้ของป้าตายังคงแทรกมาอยู่ตลอดเวลา และเป็นคนเดียวที่ไม่ยอมออกไปจากห้องนั้น

   “..... โอย....ปวดหัว !!!!”  เสียงที่พูดดังแทรกเข้ามา ไม่ใช่เป็นเสียงที่เกิดจากต้อง แต่เป็นเสียงที่เกิดจากคนข้างๆ เตียงนั้นต่างหาก

   “ไอ้วัจน์  !!!”   ผมร้องตะโกนสุดเสียง  ถลาวิ่งไปหามันทันที  มือข้างขวาขยับเอามือกุมหัวเอาไว้ แต่เปลือกตายังคงปิดสนิท  ไอ้วัจน์ฟื้นแล้ว เพื่อนผมฟื้นแล้ว

   “ธิวลูก.... หมอครับ  !!! หมอ  ลูกผมฟื้นแล้ว”  เสียงลุงธินร้องเรียกหมอให้รีบเข้ามาดูอาการของไอ้วัจน์อย่างเร่งด่วน ตอนนี้ทั้งห้องต่างวุ่นชุลมุนกันเต็มไปหมด  คุณหมอที่พวกผมเพิ่งคุยกันเมื่อซักครู่นี้รีบเข้ามาดูอาการอย่างทันเวลา พร้อมกับพยาบาลที่เป็นผู้ช่วย วิ่งเข้ามาสมทบ  ไอ้วัจน์ตอนนี้ถึงจะฟื้นขึ้นมาแล้ว แต่อาการก็ใช่ว่าจะปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์นัก  มันนอนหลับไม่รู้เรื่องไปหลายวัน แถมตื่นขึ้นมายังปวดหัวอีกต่างหาก  มันทำให้ผมกลัว  กลัวว่ามันจะสูญเสียความทรงจำเหมือนกับผมตอนนี้

   “ญาติคนไข้ออกไปก่อนนะครับ” อาหมอคนเดิมที่ดูแลต้องที่อยู่ในห้องตอนนี้ บอกให้พวกผมทั้งหมดออกไปจากห้องอีกครั้ง สิ่งที่น่าดีใจมากที่สุดคือไอ้วัจน์มันฟื้นแล้ว ถึงจะไม่รู้ว่ามันฟื้นคืนมาแบบเต็มร้อยหรือเปล่า แต่ก็ดีกว่านิ่งเฉยแบบนั้น  คุณหมอคุยแล้วก็ดูอาการกับมันอยู่ครู่ใหญ่  ก่อนที่จะเดินออกมา สีหน้าของอาหมอที่พวกผมพอรู้จักอยู่บ้าง ยิ้มให้เพียงนิดแค่นั้น  แต่ก็ทำให้พอรู้ๆ อยู่ว่า อาการของมันตอนนี้ดีขึ้นมาแล้ว  ก่อนที่จะเรียกญาติๆ เข้าไปหามันอีกครั้ง สิ่งที่ผมอยากรู้ตอนนี้มากที่สุดคืออาการทางสมองของมัน

   “ไอ้วัจน์มึงเป็นไงบ้าง” ผมรีบปรี่เข้าไปหามันทันที ที่มันพอจะรู้ได้ว่ามีใครอยู่รอบๆ ข้างมันบ้าง

   “ธิว เป็นไงบ้าง ซิวเป็นห่วง  ปวดหัวอยู่อีกไหม”   เสียงเล็กๆ ของซิว ถามขึ้นต่อจากผมอีกเหมือนกันพร้อมกับมือเล็กๆ ที่กุมมือของไอ้วัจน์ไม่ยอมห่าง

   “..............”  ไม่มีเสียงอะไรตอบออกมาจากมัน  ทั้งๆ ที่ผมและซิวถามออกไป

   “วัจน์.... มึงอยู่ ม.อะไร”  ไอ้นันต์เป็นคนที่ถามได้ตรงจุดที่สุด

   “................”   แต่ไม่ได้รับคำตอบจากมัน

   “ไอ้วัจน์ !!!”

   “ม. 6 .... มึงจะถามกูทำไมเนี่ย !!!  กูรถคว่ำ  ไม่ได้โดนทุบหัวจนจำอะไรไม่ได้”  มันพูดขึ้น พร้อมกับความอารมณ์เสียเหมือนเดิม  พวกผมโล่งอกขึ้นมาทันที ตอนนี้ทั้งผม ซิว แล้วก็ไอ้นันต์   ต่างเข้าไปคุยกับไอ้เอกกันหมดทุกคน  จะมีก็เพียงแค่สองคนเท่านั้นที่ยังไม่ยอมเข้ามา 

   ลุงธินถึงจะรู้ว่าลูกชายของตัวเองฟื้นมาแล้ว .... เมื่อซักครู่นี้เหมือนลุงเขาดีใจที่ไอ้วัจน์มันฟื้นขึ้นมาได้  ร้องเรียกตะโกนหาหมอก่อนผมเสียอีก  แต่ทำไมตอนนี้กลับนิ่งเฉย

   “สะใจ แกหรือยัง !!!”  คนที่พูดขึ้นมาก็คือลุงธินนั่นเอง  .........สะใจอะไร  สะใจเรื่องอะไร ทำไมผมไม่รู้

   “พ่อมาทำไม... ทำไมไม่ปล่อยให้ผมตายไปซะล่ะ !!!” 

   “ฟื้นขึ้นมาได้ ก็อวดเก่ง  .....ไอ้ลูกสันดาน ทำมาเป็นหลอกว่าทำตัวดีแล้ว  กลับมารักน้อง  ที่แท้แกก็เอาน้องมาแกล้ง จนน้องมันทนไม่ได้ต้องหนีไป ....ฉันอยากจะฆ่าแกนัก  ไอ้...ไอ้ !!!”

   “คุณคะ.... ลูกเพิ่งฟื้นใจเย็นๆ ก่อน” ป้าตาที่ยืนอยู่ข้างๆ  ถึงจะยังร้องไห้อยู่ แต่ก็ยังพอมีสติอยู่บ้าง และก็คงเหมือนเดิม  ป้าตาแกคงไม่อยากให้พ่อลูกทะเลาะกันเหมือนเดิม ....  ความทรงจำสุดท้ายที่ผมยังจำได้  ไอ้วัจน์มันไม่เคยไปเหยียบบ้านหลังนั้นที่ต่างจังหวัดเลยตั้งแต่ที่พ่อมันมีป้าตา

   แต่หลังจากนั้นล่ะ ... ไอ้วัจน์มันทำอะไรกับต้องหรอ  แล้วทำไมต้องถึงต้องหนีไอ้วัจน์ด้วย

   “ผมไม่ใช่ลูกคุณ !!! ..... ผมไม่มีแม่อย่างคุณ !!!”  ถึงมันจะเพิ่งฟื้นขึ้นมา แต่ดูแล้วร่างกายของมันไม่ได้แย่ลงไปเลย 

   “ไอ้วัจน์ !!!!”  ลุงธินตะคอกอย่างดัง จนทั้งหมอและพยาบาลห้ามกันให้วุ่นไปหมด  แต่นั่นมันไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย

   “เพี๊ยะ !!!!”  ลุงธินตบหน้าไอ้วัจน์ ทั้งๆ ที่มันยังไม่หายดี

   “ลุงครับ” 

   “คุณคะ  อย่าทำลูก  มาก่อนเถอะ  ฮือๆๆ  อย่าเพิ่งทำลูกเลยนะ”   เสียงป้าตาตอนนี้ทั้งดึงลุงธินออกมา ทั้งร้องไห้ จนวุ่นวายอีกครั้ง  แต่มันเหมือนไม่มีอะไรเลยที่จะห้ามได้อยู่

   “พ่อ !!!”   

   “เออ  ..กูพ่อมึง  มึงจะมาเรียกกูว่าพ่อทำไม  มึงเคยเชื่ออะไรกูไหมล่ะ ไอ้ลูกชั่ว  ทำไมมึงไม่ตายๆ ไปซะ”    ผมรู้ว่าลุงธินพูดโกหก  ไม่มีพ่อคนไหนหรอกที่จะเกลียดลูกตัวเองแบบนั้น ไม่อย่างนั้น  ลุงคงไม่ร้องไห้ออกมาแบบตอนนี้

   “ฮึก...  ฮึก  ก็ฆ่าผมซิ่  ให้ผมมาอยู่ที่นี่ทำไม  ทำไมไม่ให้ผมตายล่ะ  ทำไมพ่อไม่ให้ผมตายล่ะ  ผมเกลียดพ่อ  ...  เกลียดอีผู้หญิงคนนี้  ...เกลียดมัน เกลียดลูกของมันด้วย”  ต่างคนต่างแรงไม่มีใครยอมกัน  ไอ้วัจน์ที่ผมแทบจะไม่เคยเห็นน้ำตาของมันเลย ตอนนี้น้ำตามันไหลออกมา ใบหน้าที่ยังซมๆ อยู่เพราะพิษไข้ รื้นไปด้วยทั้งน้ำตา และรอยฝ่ามือจากคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อ  มือข้างหนึ่งดึงสายน้ำเกลือทิ้งออกจนเห็นรอยเลือดไหลออกมาอย่างชัดเจน สิ่งที่มันพูดออกมามันมีทั้งโมโห และน้อยใจผสมกันไปจนทั่วไปหมด  ซึ่งผมเองก็รู้ดี  จะมีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นหรอก ที่รู้ๆ กันดีอยู่แล้วว่าเปลือกนอกของไอ้วัจน์นั้นถึงจะดูเป็นคนที่แข็งแกร่งขนาดไหน  แต่ภายในของมันนั้น จริงๆ แล้วมันก็เปราะบางเหมือนกัน โดยเฉพาะเรื่อง..ครอบครัว

   “มึงเกลียด คนที่เค้าช่วยมึง จนกระทั่งชีวิตเค้าก็ให้มึงได้  มึงดูนี่ไอ้ธิว  มึงดูซะ!!”  ลุงธินพูดขึ้นมา พร้อมกับเดินอ้อมออกไปรูดม่าน ที่อยู่ข้างๆ นั่นออก จนเผยให้เห็นอีกคนหนึ่งที่ยังนอนอยู่บนเตียง

   “...................”  ไอ้วัจน์ยังคงมองตลึงอยู่อย่างนั้น  ..คนที่มันเคยคิดถึงเมื่อครั้งเด็กๆ  คนที่มันมองแต่รูปเมื่อตอนเด็กๆ หรือถ้าวันไหนมันเกิดคิดถึงขึ้นมามากๆ  ก็คงจะเมาหัวราน้ำ และผมกับไอ้นันต์จะต้องคอยช่วยหิ้วปีกมันกลับมาที่ห้อง  นั่นก็คือน้องต้องซึ่งตอนนี้นอนอยู่เตียงข้างๆ นี่เอง 

   “มึงขาดเลือด ... แล้วเลือดของมึงก็คงรู้ๆ กันอยู่ วันมันมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ให้เลือดได้  แต่น้องเค้าให้เลือดมึง .... ให้มากเกินไป ให้จนเลือดมันขึ้นไปเลี้ยงสมองไม่ทัน ..ตอนนี้น้องยังไม่ฟื้น  ...  สะใจมึงไหมไอ้ธิว  สะใจมึงหรือยัง” 

   “ฮือๆๆ  คุณคะ ใจเย็นๆ  ลูกเพิ่งฟื้นนะคะใจเย็นเถอะนะ”  ป้าตาถึงจะรู้ว่าเพื่อนผมเองที่เป็นตัวต้นเหตุของการทำให้ต้องต้องเป็นแบบนี้ ก็ยังไม่ยอมที่จะให้ลุงธินพูดว่าอะไรไอ้วัจน์ไปมากกว่านั้น แต่ก็ไม่สามารถที่จะห้ามลุงธินได้

   “น้องไม่รู้สึกตัวมาตลอดทั้งคืน ตอนนี้ก็ยังไม่รู้สึกตัว ....ยังไม่รู้จะฟื้นขึ้นมาตอนไหน  พอใจมึงแล้วใช่หรือเปล่า ถ้าน้องเป็นอะไรไป  คนที่เสียใจที่สุดจะเป็นมึงเอง  มึงจำเอาไว้ !!!”    ลุงธินพูดจบเพียงแค่นั้น ก่อนที่จะเดินออกไป เพราะตอนนี้คนทั้งบริเวณแถบนั้นเดินออกมาดูกันให้เต็มไปหมด แถมในห้องนี้ยังเป็นห้องไอซียูอีกต่างหาก  จนรู้สึกว่ารบกวนคนไข้คนอื่นมากเกินไป  ....ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเป็นโรงพยาบาลของพ่อไอ้นันต์ ป่านนี้คงแย่ไปกันหมดทุกคน

   “คุณหมอ ......  ช่วยรักษาลูกคนเล็กผมด้วย  หมดเงินเท่าไหร่ผมไม่ว่า  แต่ลูกของผมต้องฟื้นขึ้นมา.....  ส่วนไอ้คนนั้นที่มันฟื้นแล้ว ถ้าอาการมันดีขึ้น ก็เอามันออกจากห้องไอซียูซะ  แล้วมันจะไปไหนก็เรื่องของมัน มันจะไปอยู่ห้องไหนก็เรื่องของมัน บัตรเครดิตทุกอย่างผมตัดทิ้งหมด ทั้งเงินที่อยู่ในธนาคารผมก็ยึดหมด ถ้ามันจะจ่าย ก็ให้มันหาเอามาจ่ายเอง....  เอกกับนันต์ ห้ามช่วยเพื่อนเด็ดขาด ถ้าลุงรู้ ลุงจะไปบอกพ่อกับแม่เรา ว่าไปทำตัวเลวๆ อะไรกันมาบ้าง  ส่วนซิวกลับพร้อมอา  เดี๋ยวอาไปส่งบ้าน  แล้วห้ามมายุ่งกับมัน  ไม่งั้นอาจะบอกให้ที่บ้านส่งไปเรียนต่างประเทศ.........  ลองดูซิ ถ้ามันเหลือแต่ตัว มันจะยังไปทำร้ายใครได้อีก....”

   “....คุณคะ....อย่าเลยนะ” 

   “คุณกลับกับผมก่อน...พรุ่งนี้เช้าเราค่อยมาดูลูกกันใหม่ ส่วนมึง.....มึงดูผลในสิ่งที่มึงทำเอาไว้ซะ  ทุกคนออกมาจากห้องนี้กันให้หมด  เหลือเอาไว้แต่มันเพียงคนเดียว”  คำสั่งของลุงธินเป็นประกาศิตเสมอ  ผมรู้ว่าลุงธินร้ายและเด็ดขาดขนาดไหน แต่ก็ไม่เคยเห็นซักที  จะมีก็เพียงแค่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกเท่านั้น ความน่ากลัวของลุงธิน ไม่ต่างอะไรเลยกับพ่อของผมและพ่อของไอ้นันต์  ....ไม่อย่างนั้นท่านทั้งสามคนจะดูแลกิจการใหญ่โตขนาดนี้ได้อย่างไง

   ผมเหลือบไปมองที่เตียงคู่นั้นอีกครั้งก่อนจะหันหลังกลับ  ไอ้วัจน์นั่งลงที่ข้างๆ เตียงที่น้องต้องนอนอยู่ ก่อนจะยกมือข้างหนึ่งขึ้นมากุมเอาไว้ พร้อมกับกดหน้าผากลงไปที่ฝ่ามือเล็กๆ  ข้างนั้น  ....

มันยังคงร้องไห้อยู่ มือของน้องต้องเปื้อนน้ำตา...

....................................................
   
      
   
   
   
   


ผมมองไอ้วัจน์ที่นั่งเหม่ออยู่ข้างเตียงเล็กๆ  เด็กคนหนึ่งที่นอนนิ่งไม่ไหวติง ขนตาพริ้มบนเรียวดวงตาที่ปิดสนิทที่เหมือนกับคนนอนหลับธรรมดา  ไม่มีอะไรที่น่าสงสัยเลยซักนิด
   แต่ก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นเอง ที่รู้ว่าน้องคนนี้ที่ไอ้วัจน์มันบอกว่าคือคนที่มันรักที่สุด มีสภาพเหมือนเป็นเจ้าชายนิทรา  .................
   สาเหตุเนื่องจาก การให้เลือดในปริมาณที่มากเกินไป และเลือดบางส่วนไม่ได้ถูกนำไปเลี้ยงสมองได้อย่างเต็มที่ 
   ผลทำให้เขายังคงหลับสนิทอยู่อย่างนั้น ............. และไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนกว่าที่ดวงตาคู่นั้นจะลืมตาขึ้นมา 
   “ก๊อก ๆๆ”  เสียงประตูถูกเคาะขึ้น พร้อมกับลูกบิดที่ถูกเปิดออก คนที่เข้ามาคือ ลุงธินและป้าตา ที่ช่วงนี้ผมเห็นบ่อยเหมือนกัน  สำหรับป้าตานั้น ก็คือแม่ของน้องคนที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงนั่นเอง
   ไอ้วัจน์ไม่ได้หันไปมองทั้งสองคนใหม่ที่เข้ามา  ........ไม่แม้แต่จะยกมือไหว้  ..  มือทั้งสองข้างของมันยังคงกุมมือเล็กๆ ซีดๆ ที่นอนอยู่บนเตียงนั้น
   ถัดเลยหลังลุงธินกับป้าตาไป  ก็มีน้องอีกคนซึ่งผมก็มาทราบตอนหลังเองว่าเป็นเพื่อนกับน้องต้อง  ........
   ......... น้องเขาชื่อ “เบสต์”  ............
   ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม.... เหมือนน้องคนนี้เกลียดผมอย่างไงก็ไม่รู้.. จะยิ้มให้ ก็ไม่เคยได้รับการยิ้มตอบ ... ถามคำ ก็ตอบคำเพียงแค่นั้น 
   .... หรือช่วงเวลาที่ความทรงจำผมหายไป... ผมเคยรู้จักน้องคนนี้กันแน่นะ
   .........ผมจำไม่ได้จริงๆ....
   


   

   

ออฟไลน์ chin_va

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
ตอนที่ 23

   บรรยากาศภายนอกโรงพยาบาล ผมมารู้อีกทีหนึ่งก็คือเป็นเวลารุ่งเช้าแล้ว ตอนนี้ลุงธินกับป้าตากลับไปที่บ้านก่อนพร้อมกับซิว ส่วนผมกับไอ้นันต์ยังคงอยู่ที่นี่ ถึงแม้ลุงธินจะไม่ให้ผมกับไอ้นันต์อยู่ แต่ถ้าเพียงแค่ตอนนี้อยู่เป็นเพื่อนมันก่อนก็คงจะไม่เป็นอะไรมากนัก

   ผมไม่ได้เดินกลับเข้าไปในห้องนั้นอีก จะมีก็แต่ไอ้นันต์เพียงแค่คนเดียวที่ยังคงอยู่กับไอ้วัจน์... และก็ไม่รู้เหมือนกันว่านั่งอยู่ตรงนี้นานขนาดไหน จนขนาดได้ยินเสียงคนพูดกันอยู่ข้างหลัง ซึ่งผมก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะคิดว่าคงไม่ใช่ธุระของตัวเอง ...แต่เสียงของเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังพูดกับอีกคน ถึงจะไม่ได้ตั้งใจฟัง หากแต่คนที่ทั้งสองคนเอ่ยถึงนั้นเป็นคนที่ผมรู้จัก

   “เบสต์ !!! ใจเย็นๆ ต้องยังไม่เป็นอะไรหรอกนะ”

   “ทำไมพี่จักรไม่ปลุกเบสต์  น่าจะบอกเบสต์ซักหน่อยก็ได้....  ถ้าพี่จักรปลุกเบสต์ เบสต์ไม่ให้ต้องมาช่วยคนพวกนี้หรอก”  เสียงของเด็กคนนั้นที่พูดกับผู้ชายตัวสูงๆ อีกคน  ถ้าจะให้ผมเดาก็น่าจะเป็นพี่น้องกัน  ถึงแม้ว่าคนตัวสูงนั้นผิวพรรณและร่างกายออกจะแข็งแรงกว่า และกรอบหน้าก็ดูคมสันกว่ามาก  หากแต่เค้าหน้าสองคนนั้นก็ดูคล้ายกันอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นเรียวคิ้ว และดวงตาทั้งสองคู่

   แต่สิ่งนั้นมันไม่ใช่สิ่งที่ผมสงสัย  ....  ผมสงสัยคำพูดของน้องคนผู้ชายตัวเล็กๆ นี่มากว่า.......  ทำไมคนชื่อเบสต์ ถึงจะพยายามไม่ให้ต้องมาช่วยไอ้วัจน์  แล้วคนพวกนี้ หมายถึงไอ้วัจน์คนเดียวใช่ไหม .... หรือมีคนอื่นด้วย

   “ก็เพราะว่าพี่รู้ไง ว่าถ้าปลุก เบสต์ก็ต้องไม่ให้ต้องมา  อีกอย่าง ตอนแรกต้องเค้าบอกว่ามาหาพี่ชาย  แล้วเค้าก็บอกอย่างนั้นจริง ๆ ใครจะไปรู้ว่าพี่ชายของต้องเป็นคนที่เบสต์กับต้องไม่ชอบ” 

   “เบสต์ขอไปหาต้องก่อน” 

   “แล้วรู้หรอห้องไหน” 

   “ไม่รู้ !!!”

   “ให้มันได้อย่างนี้  ...  รอตรงนี้แหละ  เดี๋ยวพี่ไปถามพยาบาลให้เอง  มัวแต่รีบมา ไม่ได้ดูอะไรก่อนเลย”

   “พี่จักรเร็วๆ นะ  เบสต์ห่วงต้อง”

   ผู้ชายคนนั้นเดินออกไปแล้ว  ตอนนี้ทั้งต้องกับไอ้วัจน์ยังคงอยู่ในห้อง icu  เหมือนกัน เพียงแต่ตอนนี้ไอ้วัจน์อาการมันเริ่มดีขึ้น แล้วคุณหมออาจะให้ย้ายห้องออกไปก่อน หรือไม่ก็รอดูอาการซักวันสองวัน  ถ้าไม่มีอะไรแทรกซ้อนมันก็คงจะกลับบ้านได้

   .....เด็กคนที่ยืนอยู่ที่เดิมนั่นอยากไปหาต้อง.. คงจะเป็นเพื่อนกับต้องล่ะมั้ง....  ผมก็คงพาไปได้

   “น้องครับ”   ผมว่าผมเรียกเบาๆ แล้วนะ แต่ทำไมไอ้เด็กคนนี้มันถึงได้สะดุ้งจนตัวลอยขนาดนั้น

   “..................”  สีหน้าของมัน  ........ ทำไมตกใจขนาดนั้น

   “จะไปหาต้องใช่ไหมครับ เดี๋ยวพี่พาไปก็ได้นะ” ผมพูดขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มให้ เพราะกลัวน้องมันจะตกใจแบบเดิม ก่อนที่จะเดินเข้าไปหาช้าๆ เพื่อที่จะพาไอ้ตัวเล็กนี่ไปหาเพื่อน  แต่เดินไปเพียงแค่ก้าวเดียว  มันกลับถอยหนี

   “..................”  สีหน้าที่ตกใจของมัน ยิ่งทำให้ผมรู้สึกแปลกใจ ทำไมมันตกใจขนาดนั้น  และทำไมต้องหนีผมด้วย

   “พี่พาไปหาต้องเองก็ได้ครับ  เพื่อนน้องอยู่กับเพื่อนพี่นะ”

   “.....ไม่........ไป”  คำพูดที่แผ่วเบา แทบจะไม่มีเสียงใดเล็ดรอดออกมาจากลำคอ แต่ผมก็พอจะรู้ถึงคำปฏิเสธนั้น

   “เอ้า...  พี่เป็นเพื่อนของไอ้วัจน์เองครับ ... น้อง..........  น้องเบสต์ใช่ไหม ?  ขอโทษนะครับ เมื่อกี้พี่ได้ยินน้องคุยอยู่กับอีกคน  เผอิญได้ยินพอดี เลยรู้ว่าชื่อเบสต์....  พี่ชื่อเอกครับ  เดี๋ยวพี่พา.............”

   คำพูดของผมมันหยุดซะก่อน เพราะว่าเสียงตะคอกอย่างดังของไอ้เด็กตรงหน้า

   “ไม่ต้อง  !!!!!!” 

   “อ้าว  เป็นไร !!”   สงสัยเหมือนกัน ทำไมมันต้องดุถึงซะขนาดนั้น  ผมยังไม่ได้ไปทำอะไรให้เลย   หวังดีแท้ๆ  กลับโดนไอ้เปี๊ยกนี่ตะคอกกลับมาซะอย่างนั้น

   ทำอย่างกับว่าโมโหอะไรผมอย่างนั้นแหละ

   “........................”   มันไม่พูดอะไร แต่กลับมองหน้าผม  เหมือนจะสำรวจอะไรบางอย่าง  ก่อนจะยิ้มเยาะไปที่มุมปากนั่นแค่นิดเดียว... ดวงหน้าของความยิ้มที่เหมือนเยาะเย้ย  มองมาทางผมเหมือนสมเพส

   “ความจำเสื่อมซินะ !!!”   อยู่ดีๆ มันก็ถามผม  ....  ทำไมมันถึงรู้ว่าผมความจำเสื่อม .... 

   “ทำไมน้องถึงรู้”    ยังไม่ทันที่ผมจะได้คำตอบ คนที่ผมคิดว่าเป็นพี่ชายของมันก็โผล่มาพอดี  ดึงมือคนที่ชื่อเบสต์ออกไป พร้อมกับมองหน้ามาทางผมเหมือนกับจะหาเรื่อง  คงคิดว่าผมไปทำอะไรน้องชายมันมั้ง

   “มีอะไรกันหรือเปล่า”   เสียงของไอ้คนตัวสูงพูดขึ้น มองหน้าผมที มองหน้าน้องมันที สลับไปมา 

   “เปล่าครับ... พี่จักรเราไปกันเถอะ รู้ห้องที่ต้องอยู่แล้วใช่ไหมหรือว่าพี่จะกลับบ้านก่อนเลย”    ไอ้ตัวเล็กนั่นดึงมือพี่ชายมันกลับ  พร้อมกับเดินห่างออกจากผมไป  จุดหมายก็คงจะเป็นห้องที่ต้องนอนอยู่  .... สิ่งที่ผมสงสัยมันเลยหยุดตามไปด้วย  ทำไมไอ้ตัวเล็กนั่นมันถึงทำท่าทางเหมือนเกลียดผมขนาดนั้นก็ไม่รู้

   ไอ้ตัวเล็กนั่นเดินไปกับพี่ของมันแล้ว  ผมทิ้งระยะห่างในการเดินเพียงแค่นิดเดียว  แล้วค่อยเดินตามมันไป  ซึ่งพี่ชายของมันก็คงจะรู้แล้วว่าห้องของต้องอยู่ตรงไหน ถึงได้พากันเดินตามไปอย่างมั่นใจขนาดนั้น จนกระทั่งถึงตรงห้อง ICU  ผมรู้ว่าไอ้วัจน์ยังคงอยู่ แต่ตอนนี้ผมไม่เห็นไอ้นันต์แล้ว  และไม่รู้ด้วยเหมือนกันว่าไอ้นันต์มันไปไหน  ไอ้ตัวเล็กนั่นกับพี่ของมันสวมชุดกันเชื้อโรคเพื่อที่จะเข้าไปในห้อง ICU   ก่อนที่จะหายลับเดินเข้าไป  ส่วนผมรีบไปขอชุดสวมอีกเหมือนกันกับพยาบาลที่ดูแลหน้าห้องอยู่  ก่อนที่จะเดินตามมันทั้งสองคนไป  หากแต่ผมไม่ได้เดินไปทางเตียงที่น้องต้องนอนอยู่   ผมเพียงแต่เดินเข้าไปแล้วหลบอยู่ตรงหลังผ้าม่านนั่นต่างหาก   ... จนทำให้คำพูดทุกคำ  สำหรับไอ้ตัวเล็กนั่นพูดขึ้นกับไอ้วัจน์  ผมได้ยินทุกถ้อยคำ

   “พี่จะมาอยู่ดูต้องทำไม...  สะใจแล้วไม่ใช่หรอที่ต้องเป็นแบบนี้   แล้วพี่จะร้องไห้ทำไม”   สิ่งที่มันพูดคือต่อว่าเพื่อนผม  ตลอดระยะเวลาที่ผมเดินออกไปข้างนอกและไอ้วัจน์ยังคงอยู่กับต้อง  ทำให้ผมรู้ว่ามันยังร้องไห้อยู่ 

   “ทำไมไม่พูดอะไร... พี่จะดีใจก็ได้  มันเป็นอย่างที่พี่ต้องการแล้วนี่”   เสียงของไอ้วัจน์เงียบ ไม่มีอะไรเลยซักนิดที่จะตอบกลับไป

     “พี่ต้องดีใจไม่ใช่หรอ ...ไม่ใช่หรอพี่วัจน์  ...พี่ต้องดีใจซิ่ ... พี่ต้องดีใจ !!!  ต้องเป็นแบบนี้ก็เพราะพี่ไง..  ดีใจซิ่” 

   “ใจเย็นน้องเบสต์ !!!”   ยังดีที่มีเสียงห้ามของพี่ชายมันอยู่ ไม่อย่างนั้นจากเท่าที่ฟังเสียงดู  ไอ้ตัวเล็กนั่นมันคงทั้งดึง ทั้งผลักเพื่อนผมให้ออกห่างจากเพื่อนของมันแน่ๆ

   “ปล่อยมือเพื่อนผมเดี๋ยวนี้นะ  !!! ฮึก... ฮึก  !!!  ปล่อย  ...อย่ามายุ่งกับเพื่อนผมอีก  พี่จะไปไหนก็ไป  จะไปตายที่ไหนก็ไป ... ไปตายพร้อมกับเพื่อนพี่นั้นแหละ” 

   .............  ไปตายพร้อมกับเพื่อนพี่นั้นแหละ  ......... เพื่อนพี่คนนั้นที่ไอ้ตัวเล็กพูดถึง หมายถึงใคร   ไอ้นันต์ หรือซิว ... หรือ....ผม

   ความอดทนที่จะแอบฟังมันสิ้นสุดลงพอดี  ผมก้าวเท้าออกไปหลังจากที่แอบอยู่หลังม่านอยู่ซักพัก  ตอนนี้ทั้งสามคนที่อยู่ตรงบริเวณนั้นหันหน้ามามองผมทั้งหมด 

   “อ่อ ..  !!!  มาแล้วหรอ ถ้ามาแล้วก็พาเพื่อนของพี่กลับไปซะ ไม่ต้องให้เค้ามาอยู่ใกล้ๆ เพื่อนผมอีก ออกไปทั้งคู่นั้นแหละ  ออกไป !!!  ออกไป ๆๆๆ !!!!”    ถึงมันจะตัวเล็ก แต่เสียงของมันก็ดังได้ใจเลยทีเดียว ตอนนี้พยาบาลที่อยู่ข้างนอกเริ่มเข้ามาแล้วเมื่อรู้ว่าเสียงมันคงจะดังเกินไป และอาจจะรบกวนคนไข้ที่อยู่ข้างนอกได้

   “เบสต์ .... พี่...”   เสียงของไอ้วัจน์ยังเครือด้วยน้ำตา

   “ทำไม จะบอกหรอว่าพี่ผิดไปแล้ว  จะบอกหรอว่าพี่จะขอโทษ  ...มันไม่ประโยชน์อะไรหรอกพี่วัจน์...  พี่ไม่รู้อะไรหรอก... พี่ไม่รู้อะไรเลยซักนิด  พี่ไม่ผิดหรอก  เพื่อนผมมันผิดเอง ตอนนี้มันใช้หนี้ให้พี่แล้วไง  จบแล้ว หมดแล้ว  ฮึก .... ฮึก...  แล้วพี่ก็ควรที่จะพอได้แล้วด้วย ...  เพื่อนเบสต์ทั้งคน ทำไมจะดูแลไม่ได้ ...

   ........เบสต์ดูแลต้องมานาน  ... พี่ไม่มีวันรู้หรอก ว่ามันนานขนาดไหน.....  ฮึก ฮือๆๆ   ออกไปซะ !!!! ออกไปจากที่นี่  แล้วอย่ามาหาเพื่อนเบสต์อีก” 

   “เบสต์..”  ไอ้วัจน์ถอยห่างออกไปเพียงนิดเดียวจากแรงผลักของไอ้ตัวเล็กตรงหน้า

   “ออกไป !!!  ออกไปๆๆๆ ฮือๆๆๆ ออกไป  !!!!” 
.
.
.
.
.
.

   “อาหมอบอกว่าไงบ้าง ...”   ผมถามไอ้วัจน์ หลังจากที่พยาบาล เรียกมันเข้าไปคุยเรื่องทั้งหมด  อาหมอของไอ้นันต์ ยังคงยินดีจะช่วย  ซึ่งทั้งผมและไอ้นันต์เองไม่มีสิทธิ์ที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยอะไรได้เลยทั้งสิ้นก็เพราะเป็นคำสั่งของลุงธิน   ผมยังพอทราบมาบ้างว่าอย่างน้อยไอ้วัจน์มันก็ยังพอมีเงินเหลือต่างหากอยู่บ้างในธนาคาร ซึ่งเป็นชื่อของมันเอง  และลุงธินก็ไม่รู้  มันทำให้พวกผมพอเบาใจกันได้หน่อย

   “อยู่ดูอาการอีกซักวันสองวัน  ถ้าเอ็กซ์สเรย์ แล้วไม่มีอะไรผิดปกติก็กลับบ้านได้” 

   “มึงจะไปอยู่ไหนไอ้วัจน์ คอนโดมึง ...ลุงธิน..เค้า......”  ผมไม่กล้าพูดอะไรต่อ เพราะรู้ว่าไอ้วัจน์มันคงรู้สึกไม่ดี

   “พ่อไม่รู้ ว่ากูอยู่คอนโดตรงนั้น ..มึงก็รู้   พ่อเค้าสนใจกูซะที่ไหนล่ะว่ากูจะไปสิงอยู่ที่ไหน  แค่ฟาดเงินให้กูใช้แค่นั้นแหละ”  มันพูดอย่างขมขื่น  ต่อให้มันแข็งแกร่งขนาดไหน  แต่สำหรับเรื่องครอบครัวมันมักจะน้อยใจกับเรื่องนี้เสมอ... พ่อไม่รัก

   “มึงก็อย่าคิดมาก....  บอกกู อะไรช่วยได้กูก็ช่วย”  ไอ้นันต์พูดเสริมขึ้นมาหลังจากที่มันจะเงียบอยู่เกือบทุกครั้ง

   “ไม่เป็นไร  ...  เดี๋ยวพวกมึงก็ต้องมาซวยเพราะกูอีก”

   “แล้วมึงจะมีเงินใช้หรอ รถมึงทุกคัน พ่อมึงยึดคืนไปหมด”

   “กูก็นั่งรถเมล์”  น้ำเสียงมันตอบขึ้นมาเหมือนง่ายๆ พวกผมมองหน้ากัน  ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยเห็นไอ้วัจน์มันจะนั่งรถเมล์ซักครั้ง

   “มึงพูดก็พูดง่ายไอ้วัจน์   .....  แล้วคราวนี้มึงจะทำไงต่อไป”   ไอ้นันต์ยังคงถามต่อไป  แต่สิ่งที่ผมจะถามไอ้วัจน์กับไอ้นันต์มันอีกเรื่องต่างหาก

   “กูไม่รู้  !!!” 

   “อืม.....  ไอ้วัจน์ กูถามอะไรมึงหน่อย ... ไอ้นันต์ด้วย”   ทั้งไอ้วัจน์และไอ้นันต์หันมามองหน้าผมเป็นตาเดียว  ไอ้นันต์เหมือนมันจะสงสัย  ส่วนไอ้วัจน์ผมว่ามันต้องรู้แน่นอนว่าผมจะถามอะไรมัน  มันเลยตอบขึ้นมาทันทีโดยที่ผมยังไม่ได้ถามซักนิด

   “เบสต์เป็นเพื่อนกับต้องตั้งแต่เด็ก มึงน่าจะพอคุ้นๆ ตอนไปบ้านกู เด็กที่เรียนด้วยกันตอนประถม เพื่อนสนิทของต้อง” 

   “แล้วทำไมดูเหมือนไอ้คนชื่อเบสต์อะไรนี่ ทำท่าทางเหมือนเกลียดกูมากอย่างนั้นแหละ...............กูกับมัน  เคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า”

   คราวนี้ไอ้วัจน์ไม่ได้มองหน้าผม  แต่หันหน้าไปมองไอ้นันต์แทน  จนผมได้รับคำตอบที่แน่ชัดจากพวกมันทั้งสองคน และเท่าที่ผมรู้ คือทั้งไอ้วัจน์และไอ้นันต์ไม่เคยโกหกผม ......   แต่ครั้งนี้ ผมว่าไม่ใช่

   “ไม่เคยรู้จัก !!!!”

   ผมไม่ได้ถามอะไรกลับไปหาพวกมัน   และพยาบาลก็เดินมาพอดีด้วย  ไอ้วัจน์ย้ายมาอยู่ห้องใหม่ และช่วงตอนที่ไอ้วัจน์ทะเลาะกับพ่อของมัน อาหมอคนนี้ก็อยู่ด้วยพอดี ... ไอ้วัจน์โดนตัดหางปล่อยวัด  และด้วยความที่เป็นโรงพยาบาลของพ่อไอ้นันต์ ทำให้มันได้อยู่ฟรี ทุกอย่างฟรีหมดจนกว่าอาการมันดีขึ้นและออกจากโรงพยาบาลได้

   ช่วงตลอดระยะเวลาสองวันที่ผ่านมา แม่ของน้องต้องจะมาเฝ้าดูอาการของต้องตลอด  รวมทั้งเพื่อนผมด้วย เกือบจะทุกเวลาที่ลุงธินกับป้าตาไม่อยู่  ไอ้วัจน์มันจะเข้าไปอยู่ในห้องของต้องเสมอ .... จับมือของต้องอยู่อย่างนั้น  ....  ผมไม่รู้ว่าต้องจะรับรู้ได้หรือเปล่า  ความรู้สึกของไอ้วัจน์จะส่งผ่านไปถึงไหม.... 

   ...........  ผมเคยเห็นมุมที่น่าสงสารของเพื่อนรักผมคนนี้ครั้งหนึ่ง ตอนที่มันต้องออกมาจากบ้าน เพื่อที่จะมาอาศัยอยู่กับลุงที่กรุงเทพฯ

   ........  ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่ผมพอจะสัมผัสได้กับความรู้สึกแบบเดิมนั้นอยู่

   ถ้าเบสต์เป็นห่วงต้อง  ก็คงจะเป็นความรักที่เพื่อนมีให้กับเพื่อน  ถึงจะดูเกินเลยมากไปบ้าง แต่ความรู้สึกที่ผมพอจะรู้ได้  ก็คือความห่วงนั้นมันเหมือนเพื่อนห่วงเพื่อน หรือไม่ก็พี่ที่ห่วงน้อง .........มันเป็นแบบนั้น

   ที่ผมรู้ เพราะผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน  ผมห่วงไอ้วัจน์ ก็เพราะมันเป็นเพื่อน   แต่อีกความรู้สึกหนึ่งก็เกิดขึ้นมาเหมือนกัน ... ผมห่วงมัน เหมือนกับพี่ชายที่ห่วงน้อง

   วันนี้ก็อีกเช่นกัน  ผมเข้ามาในห้องที่ไอ้วัจน์พักฟื้นตัวอยู่ แต่มันกลับไม่อยู่ที่ห้อง  ซึ่งก็คงเดาไม่ยาก มันคงไปห้องของน้องต้องอีกแบบเดิม ทำให้ผมต้องเดินตามไป

แล้วก็จริงๆ  ไอ้วัจน์อยู่ในห้องของต้องแบบเดิมนั้นแหละ  ผมมองไอ้วัจน์ที่นั่งเหม่ออยู่ข้างเตียงเล็กๆ  เด็กคนหนึ่งที่นอนนิ่งไม่ไหวติง ขนตาพริ้มบนเรียวดวงตาที่ปิดสนิทที่เหมือนกับคนนอนหลับธรรมดา  ไม่มีอะไรที่น่าสงสัยเลยซักนิด

   
          แต่ก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นเอง ที่รู้ว่าน้องคนนี้ที่ไอ้วัจน์มันบอกว่าคือคนที่มันรักที่สุด มีสภาพเหมือนเป็นเจ้าชายนิทรา  .................


   สาเหตุเนื่องจาก การให้เลือดในปริมาณที่มากเกินไป และเลือดบางส่วนไม่ได้ถูกนำไปเลี้ยงสมองได้อย่างเต็มที่ 

   ผลทำให้เขายังคงหลับสนิทอยู่อย่างนั้น ............. และไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนกว่าที่ดวงตาคู่นั้นจะลืมตาขึ้นมา 

   “ก๊อก ๆๆ”  เสียงประตูถูกเคาะขึ้น พร้อมกับลูกบิดที่ถูกเปิดออก คนที่เข้ามาคือ ลุงธินและป้าตา ที่ช่วงนี้ผมเห็นบ่อยเหมือนกัน  สำหรับป้าตานั้น ก็คือแม่ของน้องคนที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงนั่นเอง

   ไอ้วัจน์ไม่ได้หันไปมองทั้งสองคนใหม่ที่เข้ามา  ........ไม่แม้แต่จะยกมือไหว้  ..  มือทั้งสองข้างของมันยังคงกุมมือเล็กๆ ซีดๆ ที่นอนอยู่บนเตียงนั้น

   ถัดเลยหลังลุงธินกับป้าตาไป  ก็มีน้องอีกคนซึ่งผมก็มาทราบตอนหลังเองว่าเป็นเพื่อนกับน้องต้อง  ........

   ......... น้องเขาชื่อ “เบสต์”  ............

   ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม.... เหมือนน้องคนนี้เกลียดผมอย่างไงก็ไม่รู้.. จะยิ้มให้ ก็ไม่เคยได้รับการยิ้มตอบ ...

   .... หรือช่วงเวลาที่ความทรงจำผมหายไป... ผมเคยรู้จักน้องคนนี้กันแน่นะ

   .........ผมจำไม่ได้จริงๆ....

“แกอยู่ห้องไหน  ก็กลับไปที่ห้องแก  .... อย่ามายุ่งกับน้อง”   เพียงแค่ลุงธินเห็นไอ้วัจน์มันอยู่ในห้องนี้  ลุงเค้าก็เอ่ยปากไล่แล้ว

ไอ้วัจน์ไม่พูดอะไร จะทำก็เพียงแต่ปล่อยมืออกจากต้องเท่านั้น  ก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป ซึ่งตอนนี้ผมก็ไม่กล้าที่จะอยู่ในห้องนี้เหมือนกัน  ... ส่วนไอ้ตัวเล็กที่อยู่หลังลุงธินกับป้าตานั้นวันนี้รู้สึกว่ามันจะมาคนเดียว  ....

มันใส่ชุดนักเรียน ... นักเรียน ม. ปลาย ...... โรงเรียนเดียวกันกับโรงเรียนของผม

สิ่งที่สงสัยมันเป็นจริงๆ  ไอ้วัจน์กับไอ้นันต์ปิดบังอะไรผมบางอย่างเอาไว้

ไอ้ตัวเล็กนี่ผมต้องเคยรู้จักมันมาก่อนแน่ๆ  เพียงแต่ตอนที่ความทรงจำผมหายไปนั้น  ผมจำมันไม่ได้ และผมกับมันต้องรู้จักกันมาก่อน ...แต่จะรู้จักกันด้วยเรื่องอะไร  ผมจะพยายามจำมันให้ได้   

ช่วงที่เดินผ่าน มันไม่มองแม้กระทั่งหน้าผม ชุดที่ใส่อยู่ ชุดนักเรียน ม.ปลาย ทั้งๆ ที่หน้าตาน่าจะไม่เกิน ม. 3 หรือถ้าอย่างมากก็น่าจะเพียงแค่ ม. 3 เท่านั้น แต่ดูจากเข็มกลัด และการบอกตำแหน่งระดับชั้น ทำให้รู้ขึ้นมาทันที ว่ามันอยู่ ม. 5 แล้ว

หน้าตาอย่างมัน จะเป็นรุ่นน้องผมเพียงแค่ปีเดียวแค่นั้นหรอ  ... ไม่น่าจะใช่

เป็นเพื่อนกับต้อง ...แสดงว่าตอนนี้ต้องก็อยู่ ม. 5 ด้วยเหมือนกันอย่างนั้นหรอ ทำไมสองคนนี้มันถึงหน้าตาได้ดูเป็นเด็กกันทั้งคู่ขนาดนั้น... ไม่ต่างจากซิวเลย……  ซิวหรอ. ?  จริงด้วยซิ่ วันนั้นที่ผมฟื้นขึ้นมาครั้งแรก  เหมือนซิวจะพยายามพูดอะไรบางอย่างกับผม  แต่ก็ถูกไอ้นันต์กับไอ้วัจน์ห้ามเอาไว้ก่อนนี่นา  .... แสดงว่าซิวเองก็ต้องรู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ในช่วงเวลาที่ความทรงจำผมหายไป

ผมรีบแยกตัวเองออกมาจากไอ้วัจน์และไอ้นันต์ทันที  ก่อนที่จะขับรถพุ่งไปบ้านของซิว และเพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก็มาถึง  แต่ซิวตอนนี้กลับไม่อยู่ที่บ้าน เพราะว่าช่วงนี้ต้องไปอยู่บ้านอีกหลังหนึ่งของลุงธินมากกว่า  ก็คงจะเพราะต้องการแยกไมให้ไปยุ่งกับไอ้วัจน์นั่นเอง... ลุงธินกันทุกอย่างเพื่อไม่ให้ไอ้วัจน์ได้ยุ่งกับใคร

ผมรีบคว้าโทรศัพท์เพื่อโทรหาซิวทันที... แต่ปรากฏว่าผมไม่มีโทรศัพท์  จริงด้วยซิ่ !  ผมจะมีโทรศัพท์ได้ไงในตอนนี้ ก็ความรู้สึกสุดท้าย โทรศัพท์ของผมมันคือรุ่นเมื่อสองปีที่แล้วนี้ต่างหาก และตอนนี้โทรศัพท์ก็ไม่มี  ผมจะต้องหาตู้โทรศัพท์เท่านั้น 

...........จะขอก็เพียงแค่ว่าให้ซิวยังใช้เบอร์เดิมอยู่.....  ผมจำเบอร์ของซิวได้เสมอ แต่มันเป็นเบอร์โทรศัพท์เมื่อสองปีที่แล้วนี่ต่างหาก

....................ขออภัย  หมายเลขที่คุณเรียกยังไม่เปิดให้ใช้บริการ..........

ซิวเปลี่ยนเบอร์แล้ว ผมจำได้เพียงแค่เบอร์ของซิวเท่านั้น ส่วนไอ้วัจน์กับไอ้นันต์ผมจำไม่ได้  จะมีเพียงอย่างเดียวตอนนี้ก็คือกลับไปที่บ้านของตัวเองก่อน  และลองค้นๆ ดูเผื่อผมจะมีเบอร์ของซิวจดเอาไว้  และอาจจะพอจำๆ อะไรได้บ้าง  ตอนนี้ถ้าจะขอเบอร์โทรของซิวกับไอ้วัจน์และไอ้นันต์ มันคงไม่ให้แน่ๆ

ที่บ้าน  ผมยังพักอยู่ห้องเดิม เพียงแต่มันเปลี่ยนลักษณะการจัดห้องไปนิดหน่อยเท่านั้นเอง

ผมนั่งหน้าคอมฯ ทันที อันดับแรกคือต้องเช็คเมลล์ก่อน  ผมไม่รู้ว่าสองปีที่ผ่านมานี้ผมใช้เมลล์ตัวไหนอยู่ แต่ถ้าเป็นแบบเดิมทุกครั้งคงไม่มีปัญหาอะไร  คอมฯ ของผมมันจะมีทั้งชื่อเมล์  และก็พาสเวิดส์อยู่ในนั้นพร้อม

และตัวเดียวกันนี้  ผมคงจะใช้เข้า msn  ด้วย  ถ้าเอ็มที่ผมเล่นมันจะมีสองตัว  ว่ากันง่ายๆ ก็คือ  เอ็มตัวหนึ่งเอาไว้คุยกับเพื่อน  เพียงแค่ซิว  ไอ้วัจน์ และไอ้นันต์เท่านั้น

ส่วนอีกเมลล์ มันก็คงจะเกิดจากนิสัยหลีคนไปทั่วของผมซึ่งคงจะแก้ไม่หายแน่ๆ ภายในสองปีที่ผ่านมา  แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเอาไว้  เมลล์ผมมีอยู่สองเมลล์จริงๆ  เมลล์แรกที่เปิดออกไปและเข้า msn  พร้อมกัน  มีเพียง  ซิว  ไอ้นันต์ และไอ้วัจน์แค่นั้น

..........ไม่มีใครออนอยู่ซักคน.....

ผมเก็บหน้าต่างของ msn  เอาไว้ตรงมุมของจอ ก่อนจะไล่ดูไปเรื่อยๆ ในหน้า  Desktop  ก็ไม่มีอะไรผิดปกติไปจากเดิมมากนัก จะมีก็เพียงแค่เกมส์ใหม่ๆ ที่ผมคงเคยเล่น  รายงานที่ผมต้องส่งอาจารย์  ภาพต่างๆ ที่เวลาไปเที่ยวที่ต่างประเทศ หรือไปเที่ยวกับเพื่อน

ส่วน  Forder สุดท้ายนี่ผมไม่เคยเห็น

Forder  นั้น เขียนเป็นคำสั้นๆ  ว่า  “ของเล่น” 



   
   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-11-2019 22:38:38 โดย chin_va »

ออฟไลน์ chin_va

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
ตอนที่ 24
 

   
            ผมไม่ได้ตกใจกับ Froder  ที่ไม่รู้จัก แต่ความสงสัยมันมีแน่นอน  หากแต่คลิกเข้าไป มันไม่มีไฟล์อะไรเหลืออยู่ซักไฟล์เดียว  ข้อมูลสุดท้ายของ Froder นั้น ผมลบไฟล์ที่มีอยู่ไปตั้งแต่เดือนที่แล้ว

                ............  มันคงไม่ใช่ไฟล์สำคัญอะไรนัก ..............

                ช่วงหลายวันที่ผ่านมา จะมีเพียงแค่ผม  ไอ้นันต์ แล้วก็ซิวเท่านั้นที่จะอยู่กันช่วงพักเที่ยงในโรงเรียน  ส่วนไอ้วัจน์ ถ้าเที่ยงเมื่อไหร่ หรือวันไหนก็ตามที่ลุงธินไม่ได้เข้ามาในกรุงเทพฯ มันก็จะเข้าไปอยู่กับต้องที่โรงพยาบาล  คุณหมอบอกแต่เพียงว่าโอกาสที่ต้องจะฟื้นนั้นมีแน่นอน แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะฟื้นขึ้นมา  ถึงแม้ว่าเลือดที่นำไปเลี้ยงสมองนั้นไม่พอในวันนั้น  แต่ช่วงแกนสมองก็ไม่ได้รับผลกระทบกระเทือนอะไรมากนัก 

   ลุงธินยังคงที่จะไม่คุยกับไอ้วัจน์  แต่ผมก็เชื่อว่าซักวันเดี๋ยวเขาก็ต้องคุยกัน  พ่อลูก ให้อย่างไงก็คงจะตัดกันไม่ขาด เรื่องราวต่างๆ ที่มันผ่านมา ถึงผมจะไม่รู้อะไรแน่ชัดนัก แต่สิ่งเท่าที่ได้ยินมาจากซิวและไอ้นันต์  ดูแล้วไอ้วัจน์มันก็คงจะทำกับต้องมากเกินไป  ทั้งๆ ที่ใจของมันก็ไม่ใช่แบบนั้นแต่ก็ดูเหมือนเรื่องราวความซับซ้อนที่เกิดขึ้นจากเรื่องระหว่างสองครอบครัว  เส้นใยบางอย่างนั้นมันยังคงที่จะทำให้ความรู้สึกของไอ้วัจน์นั้นไม่ได้หายจากไป

   “ต้องเป็นไงบ้าง” ผมถามไอ้วัจน์ที่นั่งเหม่ออยู่เพียงคนเดียว ช่วงระยะหลังๆ มา  ถึงแม้หมอจะบอกว่าต้องอาจจะมีสิทธิ์ฟื้น แต่ยิ่งนานวันเข้า จนผ่านไปเกือบเดือนแล้วแต่ก็ไม่มีทีท่าเลยว่าต้องจะฟื้นขึ้นมาได้

   “ก็เหมือนเดิม”  คำตอบซ้ำๆ ทุกครั้งที่ผมได้ยินจากมัน ไม่ได้บอกว่าต้องอาการดีขึ้น หรือทรุดลงไป  คำตอบก็คือ เหมือนเดิม

   “วันนี้มึงจะไปหาต้องหรือเปล่า” 

   “ไป”

   “อืม.........ไอ้วัจน์”  ไม่รู้จะถามดีไหม  แต่ผมก็อยากรู้คำตอบจากมันเหมือนกัน

   “มีไร !!!” 

   “ถ้าต้องไม่ฟื้น......  มึงจะทำไง”

   “................”

   “วัจน์”

   “กูไม่รู้ .... กูรู้อย่างเดียวว่าถ้าต้องฟื้นขึ้นมาได้เมื่อไหร่กูจะไม่ปล่อยไปไหนอีก กูจะไม่ให้นัญไปจากชีวิตกูอีก”

   “มึงทำอะไรต้องมากกว่าที่ซิวกับไอ้นันต์เล่าให้กูฟังหรือเปล่า”   ผมถามมันในสิ่งที่สงสัย  เรื่องบางอย่างทั้งของมันและของผม  เหมือนกับมีบางอย่างที่พวกมันพยายามปิดผมเอาไว้  ... ไอ้วัจน์ไม่ได้ตอบ  แต่ย้อนถามผมมาอีกครั้ง

   “แล้วซิวกับไอ้นันต์เล่าอะไรให้มึงฟังบ้าง”

   “ไอ้นันต์แทบจะไม่บอกอะไร ส่วนซิวก็เอาแต่บอกว่าให้มาถามมึง  กูอยากรู้ว่ามันอะไรกันแน่...  ไอ้วัจน์มีคนเล่าให้กูฟังแล้วนะ ว่ามึงกับกูรถคว่ำด้วยกัน ....  มึงกับกูก็ขับรถเก่งกันทั้งคู่ เป็นไปได้ไงที่รถจะคว่ำ มันมีอะไรมากกว่านั้นหรือเปล่า”   ผมคะยั้นคะยอที่อยากจะได้คำตอบ  ... ไอ้วัจน์นิ่งเงียบไปนาน  เหมือนจะไม่ยอมพูดอะไร  แต่จนแล้วจนรอด เสียงแผ่วเบาที่ออกมาจากปากมัน

   “กู.... กับมึง  เราสองคนออกไปตามหานัญ  ...นัญหนีกูออกไปจากที่คอนโด ไม่ยอมมาเรียน  กูหาจนทั่ว ทั้งในกรุงเทพฯ ต่างจังหวัด  จนกูต้องจ้างนักสืบ พ่อกับเมียใหม่พ่อกูเค้าก็ตามหา แต่ไม่มีแววว่าจะเจอ...  คืนนั้นที่กูกับมึงรถคว่ำ  กูไม่ได้นอนติดกันหลายคืน ....  กูมาฟื้นอีกทีก็ที่โรงพยาบาล มึงฟื้นก่อนแต่ความทรงจำมึงหายไปเกือบสองปี  กูฟื้นขึ้นมาทีหลังเพราะกูขาดเลือด และคนที่ให้เลือดกูก็คือนัญ  .......”

   “.......................”  เพียงแค่นี้ผมก็คิดอยู่แล้วว่าไอ้วัจน์มันคงรู้สึกผิด แต่มันก็ไม่น่าจะทำให้ลุงธินกับป้าตาโกรธมันได้มากขนาดนั้น

   “แต่ก่อนหน้านั้น...  มึงรู้ไหมไอ้เอกกูเอานัญมาขังไว้ที่ห้องกู  ให้ไปเรียนได้แต่ให้มาอยู่กับกูที่คอนโด  กูโกหกพ่อว่ากูรักน้องเหมือนเดิมแล้ว  และกูจะดูนัญมันเองในระหว่างช่วงที่เรียน  เพราะเรียนโรงเรียนเดียวกัน  พ่อเค้าเชื่อว่ากูจะทำเช่นนั้น  และคงคิดว่ากูกลับเป็นคนดีเหมือนเดิม  แต่ไม่ใช่..... กูแค้นแม่ของนัญมัน เพียงแต่กูทำอะไรแม่มันไม่ได้...  ทุกอย่างนัญมันจึงได้รับ”

   สิ่งที่ผมสงสัยและพอรู้อยู่แล้วว่าไอ้วัจน์เองก็คงไม่ต่างไปจากผมนักเรื่องความรักสนุกแบบวัยรุ่นทั่วไป แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไอ้วัจน์มันทำอย่างที่ผมคิดหรือเปล่า .... และมันก็ใช่

   “....  กูบังคับนัญให้มีอะไรกับกูเกือบทุกคืน.... และเกือบทุกครั้งที่มันทำให้กูโมโห”

   “วัจน์ !!!”     ไม่รู้จะพูดอะไรต่อไป เพราะคิดอยู่แล้วว่าคนอย่างไอ้วัจน์มันทำแน่ๆ แต่ผมไม่คิดว่าคนที่มันทำจะคือคนที่มันอยากเจอมาตลอดชีวิต

   “ให้กูทำไงวะเอก !!!  มันบอกมันเกลียดกู  .... มึงเข้าใจไหมว่ามันเกลียดกู เจอกันทุกครั้งมันเอาแต่พูดคำนี้ ..  ให้กูทำไงล่ะ  กูรักมันนะโว้ย !!!  แต่มันเกลียดกู  ... มันเกลียด..... มันเกลียดกู ....ฮึก !!!  ฮึก..”   

   เป็นอีกครั้งที่น้ำตาของมันไหล เพื่อนผมคนนี้มันแกร่งซะยิ่งกว่าใคร แต่ครั้งนี้มันร้องไห้ และนับครั้งได้ที่มันจะมีน้ำตาออกมา    ไอ้วัจน์มีผู้หญิงมาให้เลือกมากจนไม่ซ้ำหน้า ซึ่งกับผมก็พอๆ กัน แต่จะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้อยู่ว่ามันรอใครอยู่  ....  เพียงแต่คนที่มันรอบอกว่าเกลียดมันก็เท่านั้น... 

   “แล้วนัญมันก็กลับมา กลับมาเพื่อช่วยให้กูฟื้น .... แต่ตัวมันเองกลับต้องมาเป็นแบบนี้  ...มึงจะให้กูทำไง ... มึงรู้อะไรไหมเอก ช่วงระหว่างที่กูยังไม่ฟื้น มันเหมือนกับกูฝันอยู่ตลอด  .. นัญมันร้องไห้ต่อหน้ากู ทั้งสองมือมันกอดกูเอาไว้   และมันก็พูดอยู่ตลอดว่ามันขอให้กูตื่นขึ้นมาเหมือนเดิม  มันขอให้กูยกโทษให้มันในสิ่งที่มันเคยทำเอาไว้  .... เอก .. กูไม่รู้ว่ามันคืออะไร  คนที่ทำไม่ใช่มัน แต่คนที่ทำร้ายมันกลับเป็นกูต่างหาก  ... กูคนเดียวล้วนๆ มันอยากให้กูฟื้นขึ้นมา  แต่ตัวมันเองกลับไม่อยากตื่น.... ทำไมมันไม่ตื่นขึ้นมาล่ะ...  มันไม่อยากเจอหน้ากูแล้วหรอ  ... มันไม่รักกูเหมือนตอนเด็กๆ แล้วหรอวะ...  กูอยากให้มันตื่นขึ้นมา ... กูรักมันนะ กูรักมันมาก” 

   ผมไม่ได้ปลอบมัน  เพราะรู้ว่าปลอบไปก็ช่วยอะไรมันไม่ได้   ...  ไอ้วัจน์มันอยากนั่งคนเดียวซักพัก ซึ่งผมก็เห็นด้วยเหมือนกัน  บางทีการที่ปล่อยให้มันอยู่กับตัวเอง  ผมก็ว่าดีเหมือนกัน  ช่วงเวลาบ่ายผมกันมันไม่ได้เข้าเรียนทั้งคู่ ...  ความทรงจำที่หายไป ทำให้ส่งผลต่อเรื่องการเรียน  วิชาใหม่ๆ ผมไม่ค่อยรู้จัก  มันทำให้การเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ  ของผมมันหายตามไปด้วย  แต่ก็มีหลายๆ  คนเคยบอกว่าผมค่อนข้างหัวไวเสมอกับเรื่องพวกนี้

   ห้องสมุดที่ผมเคยมาเดินเมื่อตอนม. 4  ยังคงไม่ได้เปลี่ยนอะไรไปมากนัก  เว้นก็แต่บรรณารักษ์ที่รู้สึกจะเป็นหน้าใหม่ ไม่รู้ว่ามาอยู่ตำแหน่งนี้ได้นานแค่ไหนแล้ว  แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมสนใจอะไรมากนัก  นอกเสียจากเด็กคนหนึ่งที่ผมคุ้นหน้า  ถ้ามองเพียงผิวเผินอาจจะคิดว่าเป็นเพียงเด็กม.ต้น  ไม่ม. 2 ก็ ม. 3  แต่ถ้าสังเกตดีๆ  ถึงได้รู้ว่ามีเข็มกลัดติดเป็นลักษณะของเด็กม.ปลายอยู่  .......  เพื่อนของต้องอยู่ตรงนั้น  ...เหมือนกำลังค้นหาหนังสืออะไรซักอย่าง

   “... เจอกันอีกแล้ว.. น้องเบสต์ใช่ไหมครับ”    ผมทักพร้อมกับส่งยิ้มให้  แต่เด็กนั่นกับสะดุ้งจนตกใจ  หันหน้ามองมาทางผม ไม่ทักตอบ แต่กลับถอยหลังหนีไปก้าวหนึ่ง  ก่อนจะวางหนังสือเล่มนั้นแล้วเดินหนีออกไป...  มันเกลียดผมจริงๆ  หรือมันไม่ชอบขี้หน้าผม หรือว่าเพื่อนผมเป็นต้นเหตให้เพื่อนของมันยังไม่ฟื้นขึ้นมา  เหตุผลมันคืออะไรกันแน่ ... 

   “ทำไมเจอหน้ากัน น้องเบสต์ต้องหนีพี่ด้วย”   ขาเล็กๆ ของมันพยายามเดินหนีผมให้ออกห่าง แต่ผมไวกว่า แค่เพียงแป๊บเดียว ผมก็เข้าไปดักหน้ามันได้แล้ว .. ตรงนี้เป็นมุมทึบของหนังสือชั้นบน และเป็นกลุ่มหนังสือทางวิทยาศาสตร์กายภาพ  จะมีเพียงแค่กลุ่มนักเรียนวิทย์เท่านั้นที่เข้ามาใช้หนังสือของชั้นนี้ .. ช่วงนี้เป็นเวลาเรียน  แทบจะไม่ค่อยมีคน  ชั้นนั้นทั้งชั้น แถมยังมุมอีกต่างหาก จึงไม่ต่างอะไรกับผมและมันอยู่กันเพียงแค่สองคนเท่านั้น

   “เบสต์ไม่ได้หนีพี่ .. เบสต์มาหาหนังสือต่างหาก.. ถอยด้วย” 

   “ถ้าไม่หนีแล้วเดินออกมาทำไม  พอเบสต์เห็นพี่ เบสต์ก็เดินออกมา  ถ้าไม่หนีก็ต้องอยู่ที่เดิมซิครับ” 
   “ก็บอกว่าไม่ได้หนี   มาหาหนังสืออยู่  พี่ถอยเบสต์ได้แล้ว”  เสียงของมันดังขึ้นเรื่อยๆ จนคนข้างนอกอาจจะได้ยิน  ผมปล่อยให้มันเดินหนีออกไป แต่ก็ยังเดินตามไปเรื่อยๆ  จนมันมาหยุดอยู่ในมุมของหนังสือวิทยาศาสตร์กายภาพ

   “น้องเบสต์เรียนสายวิทย์หรอครับ”  ผมถามมันต่อ   แต่คำตอบที่ได้รับกลับเป็น......

   “.........................” 

   “พี่ก็เรียนวิทย์  พี่ติวให้ป่าวครับ”   จะติวให้มัน ทั้งที่ความรู้ผมกับเด็กม. 4 มันเท่ากันเลย  ทางที่จริงถ้าจะเอาให้ถูก ผมควรให้เบสต์มันติวให้ผมมากกว่า

   ............ใช่ซิ  ติว.......  อาจารย์ที่ปรึกษาจะเป็นคนหานักเรียนรุ่นน้องที่เรียนสายวิทย์ ช่วยติวแล้วก็ทบทวนเรื่องความจำให้ผมนี่

   ... ได้การล่ะ.... !!!!

   “น้องเบสต์ครับ.. พี่มีธุระ พี่ไปก่อนนะ....”    มันคงจะงง  อยู่ดีๆ ผมก็บอกมัน  อยู่ดีๆ  ก็ไม่ตามราวีมันต่อ  แต่ผมมีทางแล้วนี่นา  55555  คราวนี้  ให้มันรู้กันไปว่าคนอย่างไอ้เอกจะเก่งขนาดไหน

   เรื่องตื้อ ผมไม่เป็นรองใคร

   ตื้อแล้วติดเสมอ

   แต่ถ้าตื้อแล้วไม่ติด ก็ใช้กำลัง... ง่ายๆ  ไม่ยาก

   จุดมุ่งหมายของการวิ่งออกมาจากห้องสมุด ผมรีบดิ่งเข้าไปหาอาจารย์ที่ปรึกษาผมทันที และก็แน่นอน ดูอย่างหน้าตาของเบสต์แล้ว ผมคิดว่าถึงจะไม่เรียนเก่งอะไรมากนัก แต่ก็คิดอยู่แน่นอนว่าอาจารย์ที่ปรึกษาผมคงจะไม่มีปัญหาอะไร หากผมจะเป็นคนบอกเองว่าให้น้องคนนี้มาช่วยติวการเรียนให้ผมสำหรับวิชาที่ความทรงจำมันหายไป

   ........ แล้วก็เป็นอย่างที่คาดไว้  ... อาจารย์ที่ปรึกษาผมอนุญาต  แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดมันมากกว่าเดิม ผลการเรียนในระดับชั้นของนักเรียน ม. 5  เบสต์กับต้อง  ผลัดกันเป็นที่ 1 ของชั้นปีตลอด

   ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยที่อาจารย์ผมจะไม่เห็นด้วย  คนที่เป็นที่ 1 ของชั้นปีมาสอนให้  ผมแค่บอกว่าอยากให้น้องคนนี้มาช่วยสอนให้ ก็ได้รับคำตอบอย่างง่ายดาย

   แผนเล็กๆ  สำเร็จ

   ไอ้ตัวเล็กนั้นมันไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธแน่นอน  ถ้าเลือกเวลาได้  เวลาเย็นคงจะเหมาะ

   .......  ถ้าได้ใกล้ชิดมัน  ผมจะต้องจำบางอย่างได้แน่นอน ... แต่ดูท่าทางใช่ย่อย  อยากจะปราบเหมือนกันกับคนอื่นๆ ที่ผ่านมา  แต่สำหรับไอ้เด็กคนนี้ ลองเล่นไม้อ่อนดูบ้าง  เผื่อมันจะใจอ่อนยอมบอกผมว่าอะไรเกิดขึ้นบ้างในช่วงที่ผมจำอะไรไม่ได้   ขืนถ้าเล่นไม้แข็งมันคงไม่ปริปาก

   ...ถ้าเป็นคนอื่น  ผมจัดการเอาให้อยู่หมัดไปแล้ว แต่นี่มันมีเหตุผลแล้วก็ความจำเป็น..ยอมให้ซักคนแล้วกัน
   เวลาช่วงบ่ายผมกลับไปเรียนเหมือนเดิม ซิวกับไอ้นันต์ ยังคงอยู่เรียนด้วยกันกับผม จะขาดก็แต่ไอ้วัจน์เท่านั้นที่หายไปเหมือนเดิม บางที วิชาไหนที่ไม่สำคัญ ถ้ามันโดดได้มันก็จะโดด  โดดเพื่อที่จะไปเฝ้าต้อง

   คาบวิชาเรียนต่อไป เป็นของอาจารย์ที่ปรึกษาผมเอง ฟิสิกส์ แล้วก็เป็นจริงๆ อย่างที่คิดเอาไว้ อาจารย์ที่ปรึกษาผมไม่ได้มาแค่คนเดียว  แต่พาเด็กนักเรียนรุ่นน้องมาด้วยหนึ่งคน  .... ตัวเล็กๆ  หน้ากลม ตาโตๆ หน่อย  แต่หน้าบึ้งมาเชียว   คงรู้แล้วล่ะซิ่  ว่าถูกเรียกให้มาทำอะไร...   

   ผมเพิ่งจะสังเกตหน้ามันชัดๆ ก็ตอนนี้   ไอ้น้องเบสต์อะไรนี่หน้าตามันน่ารักแต่ดูเอาเรื่องเหมือนกันนะเนี่ย  แถมผมยังสังเกตเห็นผู้หญิงหลายคนในห้องยังมองมาที่น้องเบสต์นี่อีก   ผู้หญิงไม่เท่าไหร่ แต่ไอ้พวกผู้ชายเพื่อนผมหลายคนก็จ้องมองมาที่มันเหมือนกันนี่ซิ่ ..... ชักไม่ชอบใจแฮะ  !!!!

   และก็เพียงแป๊บเดียว  หลังจากที่ทำความเคารพอาจารย์เสร็จ  อาจารย์ก็พาผมออกไปนอกห้องทันที  คงจะไม่อยากให้เพื่อนๆ รู้เรื่องอะไรกันมากนัก

   “คนนี้หรอนายเอกสิทธิ์... ที่เธออยากให้ครูช่วยตามมาช่วยสอนให้เธอน่ะ”

   “ครับ.... จาน”  ....  ผมยิ้มให้อาจารย์แบบกว้างขวาง และจริงใจ แถมดีใจอีกต่างหาก ที่แผนเล็กๆ ที่ทำเอาไว้มันสำเร็จไปหนึ่งขั้น

   “อาจารย์.. ฉันเป็นอาจารย์ ไม่ใช่จานบ้าจานบออะไรของเธอ  เรียกให้มันถูกๆ  เดี๋ยวก็ตบบ้องหูเอาให้ความจำเสื่อมอีกรอบหรอก”    อาจารย์ที่ปรึกษาผมโหดเสมอ  แต่โหดแบบนี้ก็ไม่ว่ากัน  วันนี้อาจารย์ผมน่ารักที่สุด

   “อ่า...  ครับอาจารย์ น้องคนนี้แหละครับ  เรียนเก่ง น่ารัก  แถมใจดีอีกต่างหาก ....ใช่ไหมครับน้อง.. น้องอะไรนะครับ พี่จำชื่อไม่ค่อยได้”  ...ผมยักยิ้มให้นิดหน่อย  ก่อนจะยักคิ้วให้เต็มที่กับน้องเบสต์  .... แกล้งไม่รู้จักชื่อซะงั้น  ... สนุกละทีนี้

   “อาจารย์ครับ... ผมไม่เก่ง  อีกอย่าง ผมคิดว่าคงจะไม่มีเวลาสอนพี่เค้าด้วย  ...อาจารย์เปลี่ยนคนดีกว่านะครับ  นะอาจารย์ครับ .”    อ้าว  .. !!!  ไม่พูดกับผม  แถมยังไปขออาจารย์ไม่สอนผมอีก  นอกจากมันจะไม่ค่อยอยากคุยกับผมแล้ว  เหมือนเกลียดผม  แถมยังแล้งน้ำใจกับผมอีกนะเนี่ย... อะไร หน้าตาน่ารักซะเปล่า... ผมไม่เคยไปทำอะไรให้ซะหน่อย

   “หนึ่งเดียว  เธอเก่งที่สุดในชั้นปี  นี่ถ้าต้องชนัญเค้าไม่ป่วย  แล้วช่วงนี้ครูก็งานยุ่งด้วย  ไม่อย่างนั้น  ครูคงจะสอนให้ไอ้ลิงนี่เอาบุญอยู่หรอกนะ  ... ช่วยครูหน่อยเถอะ นึกว่าสงสารลูกหมาตาดำๆ ดูซิ่น่ะ  ยืนทำตาปริบๆ อยู่”   เอ่อ .... อาจารย์ครับ  ให้ผมเป็นทั้งหมา ทั้งลิงเลยหรอ  เอาน่ะ.. ไม่ว่ากัน  ถ้าอาจารย์จะว่าผมเป็นตัวอะไรก็ได้  แม้กระทั่งตัวกินไก่ ผมก็ยอม  ถ้าให้ไอ้ตัวเล็กข้างหน้านี่สอนผมได้นะ  เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าชื่อจริงมันชื่อหนึ่งเดียว  เอ้อ  ชื่อเพราะแฮะ  55555

   “...........เอ่อ..  อาจารย์  คือผม... ผม...........”   มันทำท่าจะปฏิเสธอีกแล้วววววว

   “อาจารย์ครับ... ดูซิ  น้องเค้าเกลียดผม น้องหนึ่งเดียวเค้าไม่อยากสอนผมอ่ะครับ  อาจารย์ช่วยหน่อยนะครับนะ ... ถ้าอาจารย์บอกให้น้องเค้าสอนผม  ผมต้องกลับมาเก่งเหมือนเดิมแน่ๆ เลยครับอาจารย์”  นี่...มันต้องเล่นลูกอ้อนซะหน่อย  ผมพูดขึ้น พร้อมกับนั่งคุกเข่าข้างๆ อาจารย์ บีบนวดเป็นการใหญ่ เอาใจซะหน่อย   นวดให้อาจารย์ไป พร้อมกับส่งสายตาเจ้าเล่ห์นิดหน่อยให้ไอ้ตัวเล็กที่ยืนอยู่  .... มันขึงตาเข้ามาหาผม ... กลัวตายล่ะ ตัวเท่าลูกหมา

   “เธอไม่ว่างหรือ ... ตอนเย็นๆ ก็ได้นะ   ไอ้เจ้านี่มันว่างตลอดเวลาอยู่แล้ว ..............ใช่ป่าวนายเอก”  อาจารย์พูดกับไอ้ตัวเล็กนั่น แต่คำพูดสุดท้ายหันมาถามผมแบบทันควัน ผมก็ตอบกลับไปทันใจอีกเหมือนกัน  ตอบแบบไม่ต้องเสียเวลาคิดเลย

   “ครับอาจารย์  ตอนเย็นผมว่างเสมอ  จะได้ไม่กวนไม่เสียเวลาเรียนตามปกติด้วย ดีเลยครับ น้องหนึ่งเดียวครับ  สอนพี่หน่อยเหอะครับ นะครับ นะๆๆ”  อ่ะ เปลี่ยนคนอ้อนบ้าง 

   “อาจารย์ครับ... คืออ.......ผม....”   มันตะกุกตะกัก  เตรียมจะค้านผมอีกแล้ว

   “น้องหนึ่งเดียวครับ  ..... พี่จะตั้งใจเรียนกับน้องเลย นะ  นะครับนะ.. สอนพี่เหอะ  นะครับสัญญาจะไม่เกเร”    ผมยิ้มให้มันอีกที  แต่เป็นยิ้มแบบกวนๆ  นิดๆ  ซึ่งมุมที่อาจารย์นั่งอยู่ตรงนี้ไม่มีทางเห็นเด็ดขาด  มันขึงตามาหาผมแบบเดิม แต่พออาจารย์สบตามัน  หน้ามันรีบกลับมาเรียบร้อยแบบเดิมทันที  ฮ่าๆๆ  สะใจครับ

   “ตอนเย็นเธอไปไหนหรือ ....”   อาจารย์ถามมันตรงๆ แล้ว  ดูซิจะเลี่ยงอย่างไง

   “เอ่อ....  คือ”   อ่ะ..จะปฏิเสธ

   “ถ้าว่างก็ช่วยพี่เค้าหน่อย  นึกว่าเอาบุญ   ตกลงได้ไหม”   อ่ะหือ ... ทำบุญให้ผมจริงๆ

   “เอ่อ....ครับ...ก็ได้”    ฮ่าๆๆๆ สุดท้ายมันก็ตกลง   เรียบร้อย  แผนของผมสำเร็จ  ได้ใกล้ชิดเข้าไปอีกหน่อย แต่หลังจากนี้มันก็ต้องอาศัยความสามารถของผมเองว่าจะสามารถรู้ความลับที่ทั้งเพื่อนผม และตัวมันเองปิดบังกันได้ขนาดไหน  สำหรับผมเองมันเป็นเพียงแค่ความรู้สึกบางอย่างเท่านั้น  ความรู้สึกที่จำไม่ได้ แต่ก็รู้ว่ามันมี 

   .
   .
   .
   .
   .

“ก็พี่ไม่ยอมอ่าน มัวแต่จ้องอะไรก็ไม่รู้ พี่จะรู้เรื่องไหมล่ะ”  เสียงเล็กๆ ของมันดุผม แต่ทำไมมันไม่น่ากลัวเลยซักนิดเลยล่ะ  แถมนี่ก็เป็นวันแรกด้วยที่มันสอนผม ถึงจะยอมลงทุนขับรถมาถึงบ้านมันเองเลยก็ยอม ... ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร  รู้แต่เพียงว่าต้องมา เพียงมองแค่ภายนอกผมก็รู้แล้วว่าบ้านของมันนี่รวยไม่ใช่เล่น รวยกว่าบ้านผมอีกมั้ง

                “ก็พี่อ่านไม่รู้เรื่อง  เบสต์สอนรู้เรื่อง แต่หน้าตาของเบสต์มันทำให้พี่ไม่รู้เรื่องต่างหาก” 

                “ไม่รู้เรื่องได้ไง” 

                “ก็น้องเบสต์น่ารัก.... พี่เลยอ่านไม่รู้เรื่อง”

                “...............”  ทำไมแก้มมันแดงจัง

                “................น้องเบสต์ครับ”   เสียงอ่อนลงหน่อย  เรื่องแค่นี้ทำไมผมจะอ้อนไม่เป็น

                “..........มีไร !!!”  คำพูดที่ถามกลับมาแบบห้วนๆ ของมัน มันเหมือนกับกลบเกลื่อนอาการบางอย่างมากกว่า

                “ทำไมน่ารักจัง !!!” 

                “.......”  มันกำลังจะอ้าปากพูดกลับมา ไม่รู้ว่าจะพูดหรือจะด่าอะไรผมแบบเดิม  แต่ถ้าเผอิญไม่มีเสียงโทรศัพท์ของมันเข้ามาแทรกเสียก่อน  มันรีบลุกเดินหนีผมออกไปทางข้างหลังบ้าน  ก่อนที่จะหายลับเข้าไปทางด้านมุมของบ้าน ไอ้ผมก็เป็นซะอย่างนั้นด้วยซิ่  อยากรู้อยากเห็น อยากจะรู้ว่าใครที่เป็นคนโทรมาหามัน  สังเกตจากอาการลุกลี้ลุกลนแบบนั้น  คงเป็นคนสำคัญแน่ๆ  มันยังยืนอยู่มุมของตัวบ้านไม่ห่างออกไปนัก ทำให้ผมแอบฟังได้อย่างชัดเจน

                “ครับ”  ... 

                “ครับพี่....”

                “หลวงพ่อเค้าให้เบสต์ไปตอนไหน” 

                “พรุ่งนี้วันเสาร์เบสต์หยุด  เบสต์ไปคืนนี้เลยก็ได้ เบสต์อยากรู้.... อยากให้ต้องหายไวไว” 

                แค่แอบฟังแค่นี้ก็พอรู้เหมือนกัน  หลวงพ่ออะไร แล้วมันจะไปไหน ทำไมต้องรีบเดินทางไปด้วยเบสต์มันคงจะห่วงเพื่อนแล้วก็รักเพื่อนคนนี้มาก  อาจจะมีความหลังอะไรกันมาก่อนที่ผมเองก็จำไม่ได้

   เสียงที่มันคุยโทรศัพท์อยู่อีกซักพัก  ทำให้ผมยังคงแอบฟังอยู่ตรงนั้น  เรื่องอื่นอาจจะจับใจความไม่ได้มากนัก เรื่องสำคัญนั้นมันก็มีอยู่เรื่องเดียวคือคืนนี้มันจะต้องไปแถวๆ หนองคาย  ไกลขนาดนั้น มันจะไปได้ไง  ให้คนที่บ้านขับไปให้หรอ หรือมันจะขึ้นเครื่องไป  หรือว่าอะไรก็แล้วแต่ ผมก็แค่ไม่อยากปล่อยให้มันไปคนเดียวแค่นั้นเอง

   “.....พี่เอก  !!!!” 

   “ครับ ..   น้องเบสต์จะไปไหนหรอ”  ผมพูดถามมันทั้งๆ ที่รู้ว่ามันจะไปไป  สีหน้าซีดๆ ของมันก็คงจะตกใจอยู่เหมือนกันที่เห็นผมยืนอยู่ตรงนี้ 

   











   







ออฟไลน์ chin_va

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
“...เปล่า  ไม่ได้ไปไหน .....วันนี้พี่กลับบ้านไปก่อนได้เปล่า เบสต์มีธุระ”

   “ธุระอะไร”  ผมถามรุกมันต่อ ในขณะที่มันกำลังจะเดินหลบไปอีกทาง แต่มันไม่สามารถทำได้ เพราะผมปิดทางเดินเอาไว้ไม่ให้มันหนีไปทางไหน   

   “..............” เล่นลูกเงียบ  ไม่ตอบ

   “จะไปไหน”   มันไม่มองหน้าผม แถมเอาแต่พยายามที่จะเดินๆ หนีอย่างเดียว 

“จะไปไหนมันก็เรื่องของเบสต์...พี่ไม่เกี่ยว”   

........... มันไม่ยอมบอกความจริง ทั้งๆ ที่ผมก็รู้แล้ว  ...  ไม่ได้โมโหอะไรมันมากหรอกครับ แต่ไม่ชอบที่มันทำท่าทางแบบนี้  ... จัดการซะหน่อย  มันจะเป็นอะไรกันเชียว

“ไม่ต้องไป”  ก็ลองดูหน่อยและกันว่าแรงของมันจะมาสู้อะไรกับแรงของผมได้  ....  ตัวเล็กๆ แค่นี้ ดึงกลับมานิดเดียวก็อยู่หมัดแล้ว

“โอ๊ย !!!”  มันร้องทันทีที่ผมกระชากแขนมันกลับ ...  มันจะอะไรกันนักหนา  ... ผมชักอยากจะรู้เหมือนกันว่าช่วงที่ผมจำอะไรไม่ได้อยู่อย่างนี้  ผมกับไอ้เบสต์นี่เคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า 

...ตั้งแต่เจอกันครั้งแรก มันก็บอกแถมเยาะเย้ยผมอีกต่างหากเรื่องความจำเสื่อมนั่น

ถ้าเคยรู้จักกัน  ...ผมกับมันรู้จักกันในสถานะภาพอะไรล่ะ

“คุยกันให้รู้เรื่องก่อน.... ทำไมเจอพี่ทุกครั้ง น้องเบสต์ต้องหนีพี่ตลอด..  พี่เคยไปทำอะไรให้หรือเปล่าครับ... บอกพี่มาดิ  !!!”

แค่ถามไปแค่นั้น  แต่สายตาของมัน หน้าตาของมัน อย่างกับเคียดแค้นผมมาซักชาติหนึ่งก็ไม่ปาน  ไอ้ตัวเล็กนี่มันใช้สายตาขู่ผมหรอ  ..ตลกชะมัด


“ไม่เคย...เบสต์กับพี่ไม่เคยรู้จักกัน...  เบสต์ไม่ได้เกลียดพี่ แต่ไม่อยากยุ่ง เข้าใจไหม !!!  เบสต์ไม่อยากยุ่งกับพี่ ปล่อยๆ ๆๆ”   

“ถ้าเบสต์ไม่เกลียดพี่ เบสต์ก็ต้องให้พี่พาไปซิครับ  หนองคายมันไม่ใช่ใกล้ๆ เบสต์จะไปไง  ขึ้นเครื่องไปหรอ  แล้วไปต่อแบบไหน  ถ้าหากเบสต์บอกว่าเบสต์กับพี่ไม่เคยรู้จักกัน ไม่เคยเป็นอะไรกันตอนที่พี่ความจำเสื่อม  เบสตก็ต้องให้พี่พาไป”

ดวงตามันเบิกกว้างขึ้น  ตกใจเหมือนกับที่ผมรู้ว่ามันจะไปไหน ก่อนที่จะปรับสถานการณ์ได้ทัน  สติของมันก็ยังดีอยู่เหมือนกันนะ  ถึงรู้ว่าผมจับผิดมันได้ แต่ก็เหมือนจะไม่สะทกสะท้านอะไร

“ทำไมผมต้องให้พี่พาไป  ไม่เห็นเกี่ยวกันซะหน่อย”

“เกี่ยว.. เบสต์จะได้พิสูจน์ความจริงของคำพูดเบสต์ไง  ... พี่ก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมเบสต์ถึงดูเหมือนเกลียดพี่นักหนา ... ถ้าเราไม่รุ้จักกัน เบสต์ก็ต้องไม่เกลียดพี่ซิ่”

   “เบสต์ไม่ได้เกลียดพี่ .. แต่เบสต์ไม่อยากยุ่ง ไม่ต้องมายุ่งกับเบสต์”   มันพูดพร้อมกับสะบัดข้อมือผมออก แต่มือเล็กๆ แค่นั้นมันไม่มีทางที่จะสลัดได้หรอก

   “พี่จะยุ่ง.. !!  คนไหนที่พี่อยากยุ่ง พี่ก็จะยุ่ง  จะเอาไง ให้พี่ไปส่งดีๆ หรือว่าจะต้องบังคับ  อย่าลืมนะครับว่าพี่ทำได้ตลอด” 

   ไม่รู้ว่ามันกลัว หรือเพราะอะไรกันแน่  ข้อมือที่มันจะพยายามสะบัดออกตอนนี้กลับนิ่งเฉย  แต่สายตามันไม่ใช่  ...  เสียงที่พี่พูดออกมาของมันชัดเจนไปทุกคำที่ผมได้ยิน  บางครั้งเหมือนมันพูดออกมาจากใจจริงๆ

   “พี่มันบ้า  เหมือนคนบ้า ....  ไม่ว่าความจำพี่จะดี  หรือความจำพี่มันหายไป แต่จิตใต้สำนึกของพี่มันก็ยังไม่เปลี่ยน” 

   ....... “เบสต์..” 

   “ถ้าอยากจะไปก็ไป เบสต์ห้ามพี่ไม่ได้ ..  แต่จำเอาไว้ว่าทุกครั้งที่พี่พูด  พี่ทำ  มันคือสิ่งที่พี่บังคับเบสต์ตลอด พี่กับเพื่อนพี่นิสัยมันก็ไม่ต่างกันหรอก บางที.....  เบสต์ยังอยากจะหลับไปกับต้องเลยด้วยซ้ำ .... จะได้ไม่ต้องมาจำเรื่องอะไรที่มันชั่วๆ  ที่พวกพี่ทำกันเอาไว้.....”

   เรี่ยวแรงของผมมี  แต่มือมันปล่อยเบสต์ออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้.....  เรื่องชั่วๆ ที่ผมทำ  เรื่องชั่วๆ ที่เพื่อนผมทำ ... คงเป็นไอ้วัจน์... ทำอะไรไว้ล่ะ อยากจะถามกลับไปเหมือนกัน แต่ผมก็เพิ่งรู้สึกเหมือนกันนั้นแหละ ว่าอาการของคนที่น้ำท่วมปากมันเป็นอย่างไร  ....  เพียงแค่เดินตามหลังมันไปช้าๆ เบสต์ไม่หันกลับมามองผม  แต่จุดมุ่งหมายเป็นที่รถของผมเอง อย่างน้อยก็ยังดี ที่มันไม่ขัด  มันไม่ดื้อ   ผมอ้อมเข้าไปนั่งตรงที่คนขับ ส่วนมันก็เข้ามานั่งข้างๆ กัน 

   ความเงียบปกคลุมไปตลอดทาง   ....  เราสองคนออกมาจากกรุงเทพฯ ก็เกือบเย็นๆ แล้ว  ปกติ ถ้าขับดึกๆ ขนาดนี้ ผมจะมีอาการง่วงบ้าง แต่ครั้งนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น สมองมันตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา  ไม่จำเป็นต้องพึ่งกาแฟ ..... สำหรับไอ้เด็กข้างๆ ที่นั่งอยู่ด้วยกันมากับผม ......... ถามคำ  ..........ตอบคำ   

   ตลอดระยะทางที่ผมมา  ด้วยความที่ว่าเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงเกี่ยวกับเรื่องรถ ทำให้ผมต้องขับช้าลงกว่าปกติ ทั้งๆ ที่เป็นคนที่ขับรถเร็วเท่าที่ความทรงจำมันยังพอจำได้  ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาอีกครั้ง ผมยังไม่ห่วงตัวเองเท่าไหร่หรอก  แต่ไอ้คนที่นอนหลับอยู่ข้างๆ นี่ซิ่ ...ถึงจะเพิ่งรู้จักมัน แต่ผมก็ห่วงมันเหมือนกัน

   เสี้ยวหน้าด้านข้าง  ใบหน้าด้านหนึ่งคอพับไปยังอีกฝั่ง แก้มป่องๆ ที่โผล่พ้นออกมาทำให้ผมอดยิ้มไม่ได้  .... ตอนหลับเหมือนกับลูกแมวตัวน้อย ที่เชื่องๆ  แต่พอตื่นขึ้นมา  ทั้งสายตา ทั้งท่าทางดุอย่างกับเสือ เพียงแต่เป็นเสือที่ไม่ค่อยจะมีเขี้ยวเล็บแค่นั้นเอง  ....

   “เบสต์... เบสต์”   ผมปลุกมันขึ้นมาเมื่อเกือบจะเข้าถึงตัวเขตจังหวัดหนองคาย ตีสี่กว่าๆ ไม่เคยขับช้าอะไรขนาดนี้มาก่อน  สิบกว่าชั่วโมงที่ออกมาจากกรุงเทพฯ  มาถึงตรงนี้ผมก็ไม่รู้จะไปทางไหนต่อ จนต้องปลุกมันขึ้นมาเพื่อให้มันบอกทาง

   เส้นทางที่มันบอกมาเรื่อยๆ ดูมันทุรกันดารสิ้นดี  ไม่รู้เหมือนกันว่ามันมารู้จักกับหลวงพ่อรูปนี้ได้อย่างไร แล้วไอ้คนที่คุยด้วยเมื่อตอนเย็นที่ผ่านมาก็คงจะเป็นคนในวัดนั้นแหละ  อาจจะเป็นเพื่อนหรืออาจจะเป็นใครซักคนก็ได้ที่มันรู้จัก

   บริเวณวัดเงียบสงบ สมกับเป็นวัดต่างจังหวัด บรรยากาศตอนรุ่งสาง  ผมเปิดประตูรถออกมาข้างนอก ยืดเส้นยืดสาย เพื่อเปลี่ยนอาริยาบทหลังจากที่ต้องนั่งหลังขดหลังแข็งมาเกือบตลอด เพื่อเป็นสารถีขับรถให้กับไอ้ตัวเล็กที่ยืนห่างออกไป และกำลังจะเดินไปกุฏิหลังหนึ่งด้านในสุด  แต่ก็ใหญ่สุดเช่นกัน

   พระรูปนั้นเห็นเป็นเพียงเงารางๆ นิดเดียว จีวรที่ท่านห่มเป็นสีเปลือกไม้น้ำตาลเข้ม ทำให้รู้ว่าเป็นพระป่าสายปฏิบัติรูปหนึ่ง  ผมมองหน้าท่านเพียงแค่แวบเดียวแต่ก็รู้สึกคุ้นเสียเหลือเกิน

   “มากันแล้วหรือ.....”   น้ำเสียงพูดช้าๆ เจือไปด้วยความเมตตา  ที่เปล่งออกมา มันเหมือนกับสะกดให้ผมกับเบสต์ต้องคุกเข่า แล้วก้มลงไปกราบท่านอยู่ตรงนั้น  รองเท้าท่านไม่ได้สวม เดินเท้าเปล่า  ไม่ได้พูดอะไร แต่เดินนำหน้าออกไป พร้อมกับถือบาตร ... กิจของสงฆ์ยามเช้าที่พระพึงปฏิบัติ  ก็คือบิณบาตรนั่นเอง  แต่ผมกลับไม่เห็นลูกศิษย์คนไหนซักคนที่จะเดินไปด้วย

   “ไปเถอะ....  เช้าๆ ที่นี่อากาศดีกว่าเมืองกรุง  ...  คิดซะว่าทำบุญกับพระ ไหนๆ ก็มากันแล้ว ไปบิณบาตรกับอาตมา  เป็นเด็กเมืองกรุงกันทั้งคู่ วันนี้ลองมาเป็นเด็กวัดกันหน่อยจะเป็นไร”

   เบสต์มันไม่หันมามองหน้าผม  แต่ยิ้มให้กับหลวงพ่อ  ยิ้มของมันที่ผมไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก  มันลุกขึ้นพร้อมกับหิ้วปิ่นโตที่วางไว้อยู่ข้างบันไดมาสองเถาใบใหญ่ๆ ก่อนจะเดินตามหลวงพ่อออกห่างไป  ...ผมทำอะไรไม่ถูก  ก็เพียงแค่เดินตามไปแค่นั้น  ทั้งๆ ที่ตอนนี้มันเริ่มง่วง แต่เมื่อมีอะไรแปลกใหม่ความง่วงนั้นก็เริ่มหายไป  ...  ผมแย่งปิ่นโตที่ไอ้ตัวเล็กด้านหน้านั้นมาอย่างถือวิสาสะ  มันทำท่าขู่ผม ... น่ากลัวตายล่ะ

   “ถือให้..”

   “ไม่ต้อง !!!!”

   “ก็บอกว่าถือให้”

   “ก็บอกว่าไม่ต้อง”

   “เอ๊ะ .....” 

   “เอ๊ะ....”   ผมเอ๊ะตาม

   “พี่เอก”  ....

   “ครับน้องเบสต์”   มันเรียกชื่อผม ผมก็เรียกชื่อมัน  กัดกันซะหน่อยตอนเช้า จะได้หายง่วง

   แต่ก็ต้องมาเงียบทั้งสองคน เมื่อหลวงพ่อท่านทำเสียกระแอมเบาๆ  เหมือนกับให้รู้ว่า ไม่ใช่เพียงแค่ผมกับมันเท่านั้นที่อยู่ตรงนี้  แต่ยังมีท่านอยู่ด้วย ...อาการสำรวมจะต้องมีกันบ้าง

   ตลอดระยะทางเดินที่ผมกับเบสต์ เดินไปกับหลวงพ่อ  ผ่านทั้งทุ่งนา ก่อนจะเข้าตัวหมู่บ้านเล็กๆ  ด้านหลังซึ่งผมก็เพิ่งจะสังเกตได้เห็นในตอนเช้านี่เองว่ามันคือภูเขาสูงๆ

   ญาติโยมที่มาทำบุญ  เหมือนกับเป็นกิจวัตรประจำวันตอนเช้า  แทบจะทุกหลังคาเรือน ที่ออกมาใส่บาตรตอนเช้ากัน บ้านเรือนที่ห่างไกลความเจริญ บ้านเมืองที่ไม่มีแสง สี เสียง นอกจากแสงของตะเกียง  ที่ผมพอเห็นได้จากทางใต้ถุนบ้านที่ยกสูงเอาไว้  เสียงที่ได้ยินก็มีแต่เสียงเหมือนวัว ควายที่เจ้าของบ้านแต่ละหลังเลี้ยงเอาไว้ กับเสียงเด็กเล็กๆ ที่ตื่นมาเล่นแต่เช้า  อากาศที่นี่เย็นโดยธรรมชาติ โดยไม่ต้องพึ่งพาเครื่องปรับอากาศแต่อย่างใด เบสต์มันเคยมาเที่ยวที่นี่หรือไงนะ  ดูมันมีความสุขจัง  แถมชาวบ้านที่นี่บางคนยังทักมันเหมือนกับเคยรู้จักมันมาอย่างนั้นแหละ

   ผมเก็บความสงสัยนี้เอาไว้ก่อน  เดี๋ยวกลับไป กรุงเทพฯ ค่อยถามมันก็ได้

   ระยะเวลาช่วงขากลับ เรากลับมาอีกเส้นทาง เหมือนเดินทางเป็นวงกลม  วัดนี้เป็นวัดเล็กๆ  ผมแทบจะไม่เห็นพระรูปอื่นเลย นอกจากหลวงพ่อรูปนี้ รูปเดียวเท่านั้น .....  ผมกับเบสต์เอาปิ่นโตวางไว้ตรงแคร่ด้านบน แต่เหมือนเบสต์มันจะเหม่อลอยอะไรบางอย่าง ทำให้ปิ่นโต เถาบนสุดนั้นล่วงหล่นออกไปจากมือ  ....เสียงปิ่นโตกระทบลงพื้น

   “เคร้ง....  !!!!” 

   ...  แต่เหมือนกับว่ามันไปกระทบอะไรบางอย่างมากกว่า

   หน้ามันซีดยิ่งกว่าตอนที่ผมดุมันเสียอีก  กับข้าวนั้นล่วงกระจายเต็มพื้น แต่เบสต์กับเอามือกอบกับข้าวนั้นเข้ามาที่ปิ่นโตใหม่อีกครั้ง  รู้ก็รู้อยู่ว่ามันกินไม่ได้แล้ว กับข้าวที่ผสมกับขี้ดินนั้นให้เต็มไปหมด  ...แค่กับข้าวร่วงแค่นั้น แต่มันกลับร้องไห้

   “ฮึก....ฮือๆ”   มันร้องไห้ กับแค่กับข้าวร่วงแค่นี้เนี่ยหรอ  .....

   “มันรวมกันไม่ได้  ....อะไรที่มันไม่มีทางเป็นไปได้ก็อย่าไปฝืน”   หลวงพ่อท่านหมายถึงกับข้าวกับดินที่มันผสมกันนั่นใช่ไหม

   “ฮึก...ฮึก..”  มันร้องไห้อยู่   แต่ก็ยังคงกอบกับข้าวนั้นเก็บต่อไป 

“เค้ายังไม่อยากตื่น...  ถ้าตื่นขึ้นมาแล้ว หากบุญของเขายังพอมีเหลือ... เขาก็จะจำคนที่ชื่อวัจน์หรือชื่อธิวไม่ได้  กรรมบางอย่างมันถูกตัดขาดออกจากกัน หนี้ที่เพื่อนของโยมทำเอาไว้ มันเบาบางลงไปแล้ว”

หลวงพ่อท่านพูดอะไรขึ้นมา ผมไม่เข้าใจ หมายถึงต้องใช่ไหม  ถ้าต้องฟื้นขึ้นมา  ต้องจะจำเพื่อนผมไม่ได้อย่างนั้นหรอ ...ทำไมกันล่ะ  ...หรือว่าต้องเจอสภาพเดียวกับผม  ..แต่นั้นมันหมายความว่าถ้าต้องฟื้นใช่ไหม

“ลูกอยากให้ต้องฟื้น... ลูกถึงมาหาหลวงพ่อ”  นั่นแหละคือสิ่งที่ผมอาสาขับรถมาให้มัน .... ทุกครั้งที่ผมมาเยี่ยมต้องนอกจากเจอไอ้วัจน์แล้ว  ผมต้องเจอเพื่อนของต้องคนนี้อยู่ตลอด   ผมรู้สึกถูกชะตากับเพื่อนของต้องคนนี้เหมือนกัน  คนที่ชื่อเบสต์ เพียงแต่ดวงตาคู่นั้นทุกครั้งที่จ้องมองมาทางผม มันทำให้ผมรู้สึกหวั่นๆ อย่างไรบอกไม่ถูก

“อาตมาช่วยอะไรเพื่อนของโยมไม่ได้....  ตัวเขาไม่อยากที่จะตื่นเสียเอง  ... เป็นใครก็คงห้ามไม่ได้...”

“ลูกคิดถึงเพื่อน  ลูกอยากให้ต้องฟื้น...”    ทำไมมันถึงรักเพื่อนของมันคนนี้มากนัก... ทั้งคอยอยู่เฝ้า ทั้งคอยดูแลสารพัด จนบางทีผมยังคิดเหมือนกันว่าระหว่างเบสต์กับต้องความสัมพันธ์มันเป็นแบบไหนกันแน่

“เขาไม่ใช่น้องของโยมแล้วนะ...”  หลวงพ่อท่านพูดอะไร เบสต์กับต้องเป็นพี่น้องกันหรอ ...เท่าที่รู้มาผมว่ามันไม่ใช่

“ลูก... ลูกทำอะไรไม่ถูกแล้ว” 

“ปล่อยไปเรื่อยๆ  ซักวัน ถ้าเค้าอยากตื่นขึ้นมา  มันจะมีบางสิ่งบางอย่างดลใจให้เขาตื่นขึ้นมาเอง ปล่อยไปเถอะ”

“....ฮึก....ฮึก...”  ผมว่าเบสต์มันคงเป็นคนที่ร้องไห้ง่ายมากๆ  อะไรนิดหน่อยก็ร้องไห้แล้ว  และมันก็เป็นเรื่องจริงเสียด้วย

“ห่วงตัวเองบ้าง โยมต้องเข้มแข็งเสียก่อน  .......ถ้าโยมไม่เข้มแข็ง โยมจะช่วยอะไรเพื่อนไม่ได้...   ”   หลวงพ่อท่านหยุดพูดเพียงแค่นั้น  ก่อนที่จะพูดกับเบสต์ต่อไป  เพียงแต่กลับหันหน้ามองมาทางผมแทน สิ่งที่หลวงพ่อท่านพูด  ผมไม่เคยเข้าใจ

“ส่วนโยม  ............. อนาคตข้างหน้า  ปืนที่โยมยิงเป็นมาตั้งแต่เกิด  กระสุนนัดต่อไป... ขออย่าให้มันเกิดขึ้นอีกเลยตลอดชีวิตของโยม  อาตมาขอบิณฑบาตชีวิตนั้นไว้เถอะ”

ท่านกล่าวจบ  เบสต์ก้มลงกราบที่พื้น แต่ผมไม่ทำ  ท่านเดินหันหลังเข้าไปที่กุฏิหลังนั้น ผมไม่รู้เหมือนกันว่าผมก้าวขาไม่ออก หรือว่าผมเคลือบแคลงสงสัยกับสิ่งที่ท่านพูด  แต่กว่าจะเดินตามไป ท่านก็เดินลับหายเข้าไปในกุฏิหลังนั้นแล้ว  ก้าวที่เดินไปแต่ละก้าวของท่านผมมองไปจนทุกขณะ.... สิ่งที่ว่าท่านพูดขึ้นมานั้นผมก็ว่างง จนไม่รู้จะงงอย่างไงแล้ว  แต่สิ่งที่ทำให้งงหนักกว่าเดิมนั่นก็คือ

กุฏิที่ท่านเดินเข้าไปนั้นมีเพียงแต่ทางเข้าที่ท่านเข้าไป  ทางเข้า... ทางออกคือทางเดียวกัน  ผมเดินไปตามเพื่อที่จะขอให้ท่านพูดให้กระจ่างชัด

..... แต่ตัวท่านกลับหายไปเฉยๆ ในกุฏิไม่มีใครอยู่ซักคน....

ออฟไลน์ chin_va

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
ตอนที่ 25

เคยมีคนพูดให้ผมได้ยินว่า วันเวลาของแต่ละคนนั้นผ่านไปย่อมไม่เท่ากัน  สำหรับใครที่มุ่งหวังถึงอนาคต และอนาคตนั้นมันสวยงาม  วันเวลามันก็คงจะผ่านไปอย่างช้าๆ ทำให้ทุรนทุรายจนกว่าจะถึง   ส่วนอนาคตข้างหน้าถ้ารู้แน่ว่ามันน่ากลัวเหลือเกิน  มันก็คงจะดูเหมือนเวลานั้นจะมาถึงไวเหลือเกิน

แต่สำหรับผม มันอยู่ระหว่างเสี้ยวของอนาคต  ปัจจุบัน และก็ยังคงไม่ลืมอดีตที่มันผ่านมา  ใครจะไปรู้ ลูกคนรวยระดับประเทศขนาดนี้  จะต้องมานั่งรถเมล์ฟรีในเมืองหลวง มันกลายเป็นกิจวัตรประจำวันผมซะแล้วมั้ง และก็ขอก้มหน้ายอมรับกรรมตรงนั้นไปเรื่อยๆ  เงินที่พอมีติดตัวอยู่บ้าง หลังจากที่ไปสมัครหางานทำช่วงระหว่างตอนเย็นหลังเลิกเรียน พนักงานเสริฟร้านอาหารเล็กๆ แห่งหนึ่ง ที่เป็นกึ่งผับไปในตัวด้วย แต่พวกพี่ๆ เขาก็ใจดีอยู่บ้าง  ทำให้ผมพอมีเงินที่ใช้ชีวิตในประจำวันได้

พ่อให้เงินเพียงแค่ค่าเล่าเรียน กับค่าเช่าห้องพักซึ่งมันเล็กซะกว่าห้องน้ำห้องเก่าที่ผมเคยอยู่เสียอีก แต่ก็ยังดี  ถึงไงผมก็มั่นใจเสมอว่าผมคือลูกของเค้า  และเค้าก็คงตัดผมไม่ขาดหรอก เพียงแต่อะไรหลายๆ อย่างที่ผมเคยมี ตอนนี้มันไม่มีก็เท่านั้น

“สวัสดีครับพี่ภา”

“อ้าวน้องวัจน์  มานี่ก่อน  มากินไรก่อนมา เดี๋ยวค่อยออกไปจัดโต๊ะข้างนอกนะ”  เสียงของผู้หญิงร่างเล็กๆ เจ้าของร้านอาหารแห่งนี้ คนที่ผมนับถือคนหนึ่ง  เป็นช่วงเวลาที่ประจวบเหมาะเหมือนกัน อย่างน้อยสวรรค์ก็ไม่ได้ลงโทษผมมากไปนัก  ที่ทำให้ได้พบกับผู้หญิงใจดีคนนี้  เพื่อนที่เคยมีผมไม่ได้ห่างหายไป เพียงแต่ในเวลานี้ไม่มีใครเลยที่ช่วยผมได้ นอกจากตัวเอง  สำหรับไอ้เอกและไอ้นันต์  โดนถูกสั่งห้ามหมดจากทางผู้ใหญ่ทั้งของผมเองและทางของพวกมัน ยิ่งซิวยิ่งแล้วใหญ่ ญาติที่ใกล้ชิดกันพยายามตลอดที่จะหลบคนแล้วคนเล่าหยิบยื่นความช่วยเหลือมาหาผม  แต่ผมเองกลับที่ไม่ยอมรับมันเอาไว้  เงินทองทุกวันนี้สำหรับชีวิตประจำวัน  มันมาจากงานที่ต้องทำล้วนๆ

“หืม...หอมจัง  อะไรครับเนี่ย” 

   “อาหารบ้านๆ พะแนงไก่จ๊ะ  อย่าบอกนะว่าไม่เคยกิน” 

   “อ่า....ครับ   เผ็ดไหม”   ผมไม่ชอบทานอะไรเผ็ดซักเท่าไหร่  มันอาจจะติดมาจากชีวิตที่เคยอยู่มาด้วยล่ะมั้ง

   “ไม่เผ็ดจ้า  นี่มันออกเป็นแกงกะทินะ ลองชิมซิ ยังไม่มีใครมากันซักคน วัจน์นี่มาก่อนใครเพื่อนทุกวันเลย”  ผมไม่ได้พูดโต้ตอบกลับแกไป เพียงแต่หยิบช้อนที่อยู่ทางด้านหลังของห้องอาหารนั้น พร้อมกับตักข้าวมา  ฝีมือกับข้าวของพี่ภาอร่อยเสมอ ทำให้ผมหมดห่วงเรื่องอาหารมื้อเย็นไปได้หนึ่งมื้อเลยทีเดียว  ประหยัดเงินไปได้อีกหน่อย  ......  ย้อนนึกถึงแต่ก่อน จะกินอะไร กินแบบไหน ผมสามารถดลบันดาลได้ทุกอย่าง เพียงแค่รูดบัตรแป๊บเดียว มันก็สามารถทำได้แล้ว  แต่ตอนนี้  ถ้าจะเปรียบหน้ามือกับหลังฝ่าเท้ามันคงจะห่างกันไม่มากนักหรอก

   “อร่อยครับ....  ถ้าขืนไปแบบนี้ทุกวันผมอ้วนแน่ๆ เลย”   ผมพูดกระเซ้าแกไป  ด้วยความใจดีของแก และเอ็นดูผมเหมือนน้องคนหนึ่งทำให้ผมอบอุ่นบ้างที่อยู่ทำงานที่นี่

   “อ้วนอะไร.... ผอมจะแย่อยู่แล้ว  นี่ผอมกว่าตอนที่พี่เจอครั้งแรกอีกนะ” 

   “หรอครับ”  ผมถามแกกลับไป ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่ามันก็คงใช่ แก้มที่ดูตอบลง ผมตัวสูงอยู่แล้ว ช่วงนี้มันเลยดูยิ่งผอมหนักเข้าไปใหญ่ มันคงเกิดจากหลายสาเหตุเช่นกันว่าทำไมถึงได้เป็นแบบนั้น  ทั้งเรื่องที่บ้าน เรื่องเรียน และที่สำคัญ

   ......  คนๆ นั้น เขายังไม่ยอมที่จะตื่นขึ้นมาเสียที.....

   “วัจน์  !!”

   ผมหันหลังกลับตามเสียงที่เรียก  ทำให้หลุดออกมาจากภวังค์เศร้าๆ นั้นได้  ผมได้เพื่อนใหม่และพี่ๆ ใหม่ที่นี่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพี่ภาเอง  หรือจะไอ้แจ๊ค ไอ้เบ้ รวมไปถึงแฟนของพี่ภาด้วย ที่เพิ่งกลับมาจากเมืองนอกได้ไม่นานนี้เอง

   “ครับพี่จักร” 

   “เดี๋ยวช่วยบอกพี่ภาหน่อยนะ วันนี้มีแขกจองโต๊ะยาว  20 ที่ จัดวันเกิด”

   “ครับ”

   “เอ้อ.....  วัจน์”   เสียงพี่จักรยังคงเรียกผมต่อหลังจากที่ผมเดินหันหลังให้พี่แกแล้ว

   “ร้องเพลงเป็นด้วยหรอ”

   “......เอ่อ....ครับ  ก็พอได้”

   “แล้วเล่นกีตาร์เป็นหรือเปล่า”

   “ครับ....ก็พอได้.” ทางที่จริงผมว่าผมก็เล่นกีตาร์ได้ระดับนึงเลยทีเดียว เพียงแต่ไม่อยากออกตัวมากเกินไปก็เท่านั้นเอง   สำหรับร้องเพลง ถึงมันจะไม่ได้เพราะอะไรมากนัก  แต่ก็พอที่จะทำให้คนอื่นฟังคล้อยตามได้บ้าง

“เดี๋ยววันนี้ขึ้นไปบนเวทีหน่อยแล้วกัน .... พวกนักดนตรีที่พี่นัดเอาไว้ดันเบี้ยวซะงั้น”

   “โห  ... !!!  ดีหรอครับพี่ ... ผมไม่อยากไล่แขกของพี่ภานะ”

   “ ฮ่าๆๆ ไม่หรอก  ......  เอาๆ ไม่อยากเสี่ยงเหมือนกัน  ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว  ลองขึ้นไปร้องซักเพลงดิ นั้น  เอากีตาร์พี่ก่อนก็ได้  ลองๆ ดู ตอนนี้แขกยังไม่เข้าร้าน พี่จะลองทนฟังดู”

   ผมว่านอกจากพี่ภาจะใจดีแล้ว สำหรับพี่จักรเองก็ใจดีอยู่เหมือนกัน  เท่าๆ ที่ฟังมาจากที่พี่ภาเคยเล่า พี่จักรคนนี้ก็ลูกคนรวยเหมือนกัน ประมาณว่าลูกเจ้าของโรงแรมอะไรเลยประมาณนั้น เพียงแต่ผมก็ไม่ค่อยอยากจะสนใจมากนัก ลูกคนรวย แต่ทำตัวธรรมดาๆ  ถ้าไม่รู้ตื้นลึกหรือพื้นฐานอะไรของพี่เค้าแล้ว  ก็เหมือนผู้ชายเดินดินธรรมดาทั่วไปนี่เอง

   “เอางั้นเลยหรอพี่”

   “เออ...เอางั้นเลย ลองๆ  เดี๋ยวให้ค่าจ้างพิเศษ ถ้าร้องดี เล่นเพราะ ไม่ต้องเสริฟอาหาร แต่งตัวหล่อๆ ร้องเพลงอย่างเดียว  เงินดีกว่าเด็กเสริฟ ไม่สนหรือไง”  แต่ก่อนผมคงเฉยๆ  แต่เดี๋ยวนี้ แค่สิบบาท ยี่สิบบาท ผมว่ามันก็คุ้มแล้วกับการที่ได้เงิน นึกถึงแล้วก็ตลกตัวเองชะมัดเหมือนกัน

   “ครับๆ  ได้เลย  ถ้าเป็นเรื่องเงินซะอย่าง ไอ้วัจน์คนนี้ยอมเสมอ”   

   ผมไม่รอช้า รีบเดินขึ้นไปบนแสตนท์เวที  ก่อนจะคว้ากีตาร์ที่พี่จักรอนุญาตให้ใช้ได้ตามสบาย  เพลงที่เลือก มันก็เป็นเพียงเพลงๆ หนึ่งที่คิดว่ามันคงเหมาะกับผมในช่วงเวลานี้

บางทีคนเราคิดอะไรได้ บางครั้งก็อาจจะสายเกินไป  แต่ผมเพียงแค่หวังอยู่ลึก ว่าซักวันมันจะแก้ไขตรงนั้นได้  ไม่มีใครรู้อนาคตข้างหน้า  และถ้า ...... กว่าจะรู้..... ก็ขออย่าให้มันสายเกินไป


ไม่มีคำว่ารัก จากใจที่ด้านชา
น้ำตาใครจะไหลไม่แคร์ ก็รักเป็นแค่เกมส์  แค่เกมส์ของผู้แพ้
 หัวใจใครอ่อนแอ ก็ช้ำไป
แต่สุดท้ายใจคน ที่คิดว่ามันแน่
ก็ต้องแพ้ยับเยินให้กับคำคำนี้ 
กว่าจะรู้  จะซึ้งถึงคำว่ารัก ก็ต้องรอจนวันที่มันไม่เหลือใคร 
ฉันเพิ่งรู้ตัว  วันนี้ ว่าขาดเธอ........เหมือนขาดใจ
ว่าฉันรักเธอแค่ไหน เมื่อไม่มีเธอ

กี่วันที่ผ่านพ้น กี่คนบนเส้นทาง ไม่มีใครติดค้าง คาใจ 
ก็มีเพียงแต่เธอห่างกันไปตั้งไกล หัวใจยังไม่วาย  คิดถึงเธอ
ฉากสุดท้ายของคนที่คิดว่ามันแน่ ก็คือแพ้ยับเยิน ให้กับเธอคนนี้
กว่าจะรู้  จะซึ้งถึงคำว่ารัก ก็ต้องรอจนวันที่มันไม่เหลือใคร
 ฉันเพิ่งรู้ตัว  วันนี้ ว่าขาดเธอเหมือนขาดใจ ว่าฉันรักเธอแค่ไหน เมื่อไม่มีเธอ

ว่าชีวิตเลวร้าย แค่ไหน  ............ เมื่อไม่มีเธอ

เพลงจบลงไปแล้ว  .... แต่ไม่มีเสียงปรบมือจากใครซักคน  พี่ภาพอจะรู้เรื่องราวของผมอยู่บ้าง น้ำตาของผู้หญิงบางครั้งก็ออกมาได้แบบง่ายดาย  ส่วนพี่จักรนั้นเอาแต่นั่งยิ้ม และคงมองไม่เห็นคนข้างๆ แอบน้ำตาซึมอยู่นิดๆ  แค่มองตาพี่จักรผมก็รู้แล้ว  วันนี้ผมคงไม่ได้เป็นเด็กเสริฟแล้วแหละ  แต่คงได้เลื่อนขั้นขึ้นมาอีกหน่อย  อย่างน้อยเป็นนักร้องก็ยังดี  เงินก็ได้เพิ่มขึ้นด้วย

   กว่าร้านจะปิดก็ซัดไปเกือบเที่ยงคืน   นอนดึกตื่นเช้า เริ่มเป็นกิจวัตรประจำวันของผมไปแล้ว ขอบตาเริ่มคล้ำขึ้นเรื่อยๆ  กลางวันบางช่วง ถ้าผมไม่แอบไปที่โรงพยาบาล ส่วนใหญ่ก็จะแอบเข้าไปหลับในห้องพยาบาลเสมอ 

   สำหรับคืนนี้มันก็ผ่านไปอีกหนึ่งคืน  พี่จักรกับพี่ภาขับรถกลับบ้าน และผมเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะได้อาศัยนั่งมากับพี่เขาทั้งสองเพื่อกลับบ้านด้วย เพราะเป็นเส้นทางที่ผ่านพอดี  เพียงแต่ว่าผมไม่ได้กลับเข้าไปที่ห้องพักก่อนก็เท่านั้นเอง  ทุกคืน ผมจะให้พี่จักรจอดรถแถวๆ หน้าโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง........  ผมยืนได้เพียงแค่หน้าโรงพยาบาลเท่านั้น ..แต่ไม่ได้รับสิทธิ์ให้เข้าไปได้

   ............โรงพยาบาลที่ต้องยังคงนอนหลับอยู่..........

   ท้องฟ้าในค่ำคืนของกรุงเทพฯ มันแทบจะไม่มีดาวให้มองเห็นเอาเสียเลย  เสียงคนและเสียงรถยังคงจอแจอยู่อย่างนั้น  ถ้าใครผ่านไปตอนกลางคืน ก็คงเห็นผมที่ยังคงยืนอยู่อย่างนั้นเกือบชั่วโมง  สายตาเหม่อมองไปยังบนอาคารผู้ป่วยแห่งหนึ่งของโรงพยาบาล  ผมกับต้อง ตอนนี้ห่างกันเพียงแค่รั้วกั้น มือไม่ได้จับที่ลูกกรงของพยาบาล อากาศกรุงเทพฯ บางคืนช่วงนี้ก็หนาวเหมือนกัน สองมือผมล้วงกระเป๋ากางเกงเอาไว้  ความหนาวภายนอก มันสู้อะไรไม่ได้เลยกับความหนาวเหน็บที่อยู่ภายใน  .....

   บ่อยครั้งที่ผมน้ำตาไหลออกมาโดยปราศจากเสียงสะอื้น  ....  เมื่อคิดในทางเหตุร้ายที่ว่า ต้องจะไม่มีวันฟื้นขึ้นมาอีกเลยตลอดชีวิต  ...... แต่ผมอยากให้เขาตื่นขึ้นมา

   .............ตื่นขึ้นมาเรียกพี่ธิวคนนี้อีกสักครั้ง................

   ถ้าวันนั้นมันมาถึงจริงๆ  ผมจะไม่ยอมปล่อยให้เขาไปไหนอีก  ผมจะยอมทำทุกอย่าง  ไม่ว่าจะเกลียดผมขนาดไหนก็ตาม  จะให้ผมตายต่อหน้า  หรือแลกด้วยชีวิตผมเองผมก็ทำ ...ขอหวังเพียงแค่ให้เขาฟื้นคืนมา

   ผมเลือกหอพักที่ค่อนข้างห่างจากที่โรงเรียน  การเดินทางเกือบสองชั่วโมงไปกลับ  ทุกๆ วัน แต่ผมก็เริ่มชิน  หอพักห้องนี้ก็ไม่ได้ใกล้ที่ทำงานนัก  เพียงแต่มันใกล้กับโรงพยาบาลที่ต้องนอนอยู่  ....  ผมกลับมาห้องอาบน้ำเสร็จ  กินข้าวที่ซื้อเข้ามาจากหน้าปากซอย  ข้าวร้านป้าที่ผมฝากท้องประจำ ถ้าเกิดไม่อิ่มขึ้นมาในช่วงดึกๆ  จากร้านของพี่ภา  ข้าวเปล่ากับแกงที่ราดมาในกล่องเพียง  25 บาท  มันก็ทำให้ผมอิ่มได้ไปอีกหนึ่งมื้อ ก่อนนอนทุกครั้ง ผมจะเดินออกไปยืนตรงระเบียงห้อง ผมเลือกชั้นที่ค่อนข้างสูงหน่อย  ชั้น 8 ของหอพักนี้มันทำให้พอมองเห็นอาคารหลังเดิมที่ผมยืนมองทุกครั้งก่อนที่จะกลับมายังห้องนี้  อย่างน้อย  ... ถึงจะไม่ได้ใกล้ชิดกัน แต่ก็ยังพอให้เห็นบ้างในช่วงของสายตา ผมกับต้องใกล้ชิดกันในสายตาที่จะมองเห็นกันได้  เพียงแต่สัมผัสไม่ได้  ....

   “หลับฝันดีนะครับน้องนัญของพี่ธิว” 

   เป็นคำที่พูดประจำ  และทุกครั้งก่อนที่จะเข้ามานอน  ผมคิดเอาไว้เสมอว่าต้องจะต้องสัมผัสได้  และไม่รู้ว่าเพราะเหตุอะไร  จะเป็นเพราะว่าแปลกที่ หรือเพราะว่าผมยังไม่ชินกับเตียงนอนแข็งๆ  ของห้องนี้ ทำให้เกือบทุกครั้งที่ผมหลับตาลง  ความฝันเดิม มันย่อมมาเยือนผมเสมอ

   “เจดีย์เก่าแล้วแหละหนูเอ้ย..   ตั้งแต่ตอนที่ไอ้ญี่ปุ่นมันเอาระเบิดมาทิ้งพระนครนู่น ถ้ายายจำไม่ผิด ป้าคนหนึ่งที่ยายเคยรู้จักตอนเด็กๆ เค้าสร้างให้น้องชายที่โดนยิงตาย ทำนองว่าไอ้หนุ่มคนนั้นไปฉุดสาวต่างหมู่บ้านมาจะทำเมีย แต่สาวเจ้าไม่เล่นด้วย  ไอ้นั่นมันเป็นคนเลว  ฉุดไปทั้งผู้หญิง แถมพี่สาวมันที่เค้าเลี้ยงมันมาตั้งแต่เกิดก็ตบ ก็ตี ไม่เว้นแต่ละวัน  กินเหล้าเมายา ผู้หญิงเค้าจะไปแต่งงานกับอีกคนยายก็จำไม่ค่อยจะได้มาก  รู้แต่ว่ามันโดนยิงจากไอ้คนที่เป็นพี่ชายของผู้หญิงที่มันฉุดนั้นแหละ  ....มันนานมาแล้ว  เจดีย์องค์นี้ก็ยังอยู่มาตลอด เจดีย์อื่นด้านข้างพังหมด  เห็นจะมีแต่องค์นี้องค์เดียวที่ไม่เคยพัง  ไม่รู้ว่าเพราะอะไร  คนเฒ่าคนแก่เค้าเล่าให้ฟัง  ถ้าเจ้าของที่แท้จริงเค้ากลับมา  เจดีย์นี้ถึงจะพังลงไป องค์เก่าแล้ว อันตรายเหลือเกิน เด็กๆ แถวนี้ไม่มีใครกล้าเข้ามา กลัวจะพัง ง่อนแง่นรอวันจะที่จะพังลงมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้”

เสียงพูดจากคุณยายคนหนึ่งที่ผมฝันเห็นบ่อยเหลือเกินช่วงนี้  มันอาจจะดูเหมือนคล้ายๆ กับคนบ้า  ..... ผมได้รับอนุญาติจากพ่อ  ให้เข้ามาดูแลต้อง  แต่ทุกอย่างยังถูกจำกัดเอาไว้ในขอบเขต  ผมได้มานอนเฝ้าต้องเพียงแค่ช่วงเสาร์กับอาทิตย์เท่านั้น แต่อีกห้าวันที่เหลือ จะเป็นของเจ้าหน้าที่พยาบาลที่พ่อกับน้าตาจ้างมาให้ดูแลเป็นพิเศษ และผมเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้รับอนุญาติให้เข้าไปเยี่ยมไม่ว่ากรณีใดๆ

ต้องยังคงหลับอยู่ ไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นขึ้นมา สมองที่ถูกแสกนเมื่อล่าสุดสร้างความงุนงงสงสัยให้กับทีมแพทย์ที่ดูแลอยู่  สมองของต้องสมบูรณ์แบบทุกอย่าง  ไม่มีส่วนใดซักนิดที่สูญเสียไป ไม่มีส่วนใดเลยที่ได้รับกระทบกระเทือน 

แต่ต้องยังคงหลับอยู่อย่างนั้น ไม่มีทีท่าว่าจะฟื้น

หมอคนหนึ่งเคยคุยกับผม  ว่าสิ่งมีชีวิตทุกชีวิตมีความลึกลับซับซ้อน ไม่ว่าจะวิทยาการก้าวหน้าไปขนาดไหน มนุษย์เราก็ไม่สามารถค้นพบอะไรไปได้ซะทุกอย่าง

โดยเฉพาะเรื่องของ “จิตใจ”  ว่าร่างกายนั้นซับซ้อนแล้ว แต่จิตใจของแต่ละคนมันซับซ้อนหนักยิ่งกว่าหลายเท่า

ผมก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าตอนนี้  จิตใจของต้องตอนนี้ไปอยู่ตรงไหน  ทำไมถึงปล่อยให้ผมทรมานแบบนี้

.
.
.
.
.
.
วันนี้ เป็นวันหยุด  และเพื่อนๆ ทุกคนของผม ไม่ว่าจะเป็นไอ้เอกหรือไอ้นันต์ และซิว  จะไม่มีใครโทรหาผมเด็ดขาด เพราะพวกมันคงรู้กันดีอยู่แล้วว่าเสาร์และอาทิตย์  ผมจะอยู่ที่ไหน และพวกมันก็คงจะปล่อยให้ผมทำตามที่ปฏิบัติอยู่แล้วจนกลายเป็นเรื่องปกติ

   รถเมล์ฟรีเพียงต่อเดียวจากหอผมมาถึงโรงพยาบาล ทำให้ไม่เสียเวลามากนัก วันนี้ผมเอาการ์ตูนเล่มโปรดที่ต้องชอบอ่านตอนเด็กๆ  เสียเวลาอยู่เกือบชั่วโมงๆ  กว่าจะค้นเล่มนี้เจอ  มันมีหลายตอน แต่ถ้าจำไม่ผิด  ที่ห้องต้องที่ผมเคยเข้าไปนั่งเล่นตอนเด็กๆ จะมีหนังสือเล่มนี้อยู่ และจะมีเกือบทุกเล่มทุกตอน  คงจะสะสมตามความรู้สึกของเด็กๆ ด้วยล่ะมั้ง     ไม่รู้ว่าต้องจะชอบหรือเปล่า แต่วันนี้ผมจะไปอ่านหนังสือการ์ตูนให้ต้องฟัง

   ความเคยชินที่ทุกครั้ง ผมเข้าไปในห้องผู้ป่วยพิเศษ ถ้าเป็นเสาร์- อาทิตย์  จะไม่มีใครอยู่เลย ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า  เค้าอยากให้ผมอยู่กับความเป็นส่วนตัวกับต้อง หรือว่าพ่อ... ไม่อยากเห็นหน้าผมกันแน่  ......

   เพียงแต่วันนี้ผิดคาด  ทุกคนในห้องอยู่กันพร้อมหน้า  อาหมอ   คุณพ่อ  น้าตา  ไอ้นันต์ และไอ้เอก รวมไปถึงน้องเบสต์และซิวด้วย 

   ผมค่อนข้างงุนงงอยู่เหมือนกัน  แต่ก็รู้สึกใจหายเหมือนกัน.... ว่าเรื่องไม่ดีจะเกิดขึ้น.......... ขออย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย

   มือยังคงกำลูกบิดประตูนั้นไว้แน่น  ไม่อยากให้มันเป็นสิ่งที่ผมคิด

   น้าตาเดินเข้ามาหาผมช้าๆ  น้ำตาที่ไหลเปื้อนแก้ม  มองมาทางผมแบบตัดพ้อ......

   ในมือของน้าเขา ถือซองเอกสารอย่างหนึ่ง .... ที่มันทำให้ผมไม่กล้ารับมัน....... คำถามจากคนตรงหน้าเจือเสียงสะอื้น  ถึงแม้มันจะเบาขนาดไหน แต่ผมก็ได้ยินชัดเจน

   ..............  “ธิว....  รักน้องไหม..”   




ออฟไลน์ chin_va

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
ตอนที่ 26


ผมค่อนข้างงุนงงอยู่เหมือนกัน  แต่ก็รู้สึกใจหายเหมือนกัน.... ว่าเรื่องไม่ดีจะเกิดขึ้น.......... ขออย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย

   มือยังคงกำลูกบิดประตูนั้นไว้แน่น  ไม่อยากให้มันเป็นสิ่งที่ผมคิด

   น้าตาเดินเข้ามาหาผมช้าๆ  น้ำตาที่ไหลเปื้อนแก้ม  มองมาทางผมแบบตัดพ้อ......

   ในมือของน้าเขา ถือซองเอกสารอย่างหนึ่ง .... ที่มันทำให้ผมไม่กล้ารับมัน....... คำถามจากคนตรงหน้าเจือเสียงสะอื้น  ถึงแม้มันจะเบาขนาดไหน แต่ผมก็ได้ยินชัดเจน



   เสียงเงียบ ทุกอย่างไม่ใช่คำตอบ แต่สิ่งที่ผมทำคือตอนนี้ร่างเล็กๆ นั้นไม่ได้อยู่บนเตียงแล้ว ....... 
   
!!!  ต้องหายไปไหน  !!!

   “ต้องไปไหน..... ต้องอยู่ไหนครับอาหมอ”  คำถามคาดคั้นเอาเป็นเอาตาย  อาหมอ ญาติของไอ้นันต์เงียบ คนที่ตอบเป็นอีกคนหนึ่ง  คนที่คิดว่าตอนนี้คงเกลียดผมมากแล้ว

   “ลูกของฉันอีกคน ตอนนี้เข้าห้องเอ็กสเรย์สมอง  แกไม่ต้องห่วง ฉันดูแลลูกคนนี้ของฉันได้  ส่วนแก ..... รับเอกสารนั่น แล้ววันนี้กลับบ้านไปก่อน ..... พรุ่งนี้ ค่อยมา” 

   ลูกของพ่ออีกคน.... แล้วผมล่ะ ตอนนี้ผมไม่ใช่ลูกของเขาแล้วใช่ไหม

   “ผมขอเจอต้องก่อน แล้วผมจะกลับ”

   “แกไม่มีสิทธิ์  !!!!” 

   “ใครกันแน่ที่ไม่มีสิทธิ์  พ่อหรือผม  .... ทำไมผมจะเจอต้องไม่ได้... ผมจะเจอ ..  ผมจะไปหาต้อง  พ่อไม่มีสิทธิ์มาห้าม” 

   “ทำไมฉันจะห้ามแกไม่ได้ ไอ้ธิว  !!!” 

   “ผมเป็นผัวต้องไง .... ชัดเจนไหมครับ ....  ผมจะไปหาเมียผม !!!  เมียผม  พ่อได้ยินชัดไหม !!!”   

  เสียงตะโกนมันดังไปถึงไหนผมไม่รู้  แต่มันก็สะใจดีเหมือนกัน  ผมรู้ว่าพ่อรู้เรื่องนี้แล้ว แต่คงไม่คิดว่าจะได้ยินสิ่งที่ผมพูดออกมาอย่างเต็มปาก

   “ไอ้ลูกสารเลว”    เสียงที่ดังตะโกนแข่งออกมา มันไม่ใช่มีน้ำเสียง  แต่สิ่งที่ตามมาคือฝ่ามือคนที่เคยเลี้ยงผมมาตั้งแต่เด็ก ...

   ในเสี้ยวชีวิตหนึ่ง  ผมโดนพ่อแท้ๆ ตบหน้าถึงสองครั้ง 

   “........ พ่อ ……” 

   “มึงเอาซองเอกสารนั้นกลับไป  กลับไปอ่านซะให้หมด  แล้วมึงจะรู้ว่ามึงทำชั่วอะไรเอาไว้บ้าง คนที่มึงล้างแค้นอย่างบ้าคลั่งที่สุด  คนที่มึงโกรธ  คนที่มึงแค้น เค้าทำอะไรเอาไว้  มึงเอาไปดูซะ  จะได้หายโง่เสียที” 

   น้าตาถือซองเอกสาร เอาแต่ร้องไห้  ไม่ได้เข้ามาขวางระหว่างพ่อกับผม  ครั้งนี้น้าตาไม่ห้าม ยื่นเอกสารซองนั้นมาให้

   “ผมอยากเจอต้อง... น้าตาครับ  ได้โปรด..... ให้ผมเจอต้องได้ไหม”  นี่คงจะเป็นครั้งแรกที่ผมขอร้องผู้หญิงคนนี้ คนที่เข้ามานั่งแทนที่แม่ แต่ไม่มีปฏิกิริยาอะไรทั้งสิ้น น้าตายังคงเงียบ  มีเพียงเสียงสะอื้นเบาๆ จากร่างเล็กๆ อีกคนเท่านั้น ที่เสหันมองไปทางอื่นเสีย เปรียบเสมือนว่าไม่มีผมอยู่  แต่คำพูดนั้นก็คือพูดกับผมโดยตรง

   “พี่วัจน์  บางทีเบสต์ก็ไม่อยากให้ต้องตื่นขึ้นมา  ถ้าตื่นแล้วต้องมาเจอหน้าพี่  เบสต์อยากให้เพื่อนเบสต์หลับแบบนี้ตลอดไป  หรือถ้าเขาตื่นขึ้นมา ก็ขอให้เขาลืมคนอย่างพี่ไปเสียเถอะ สิ่งที่พี่ทำเอาไว้ มันเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของต้อง  เบสต์อยากให้ต้องหลับตลอดไป” 

   ไม่รู้ว่าความรู้สึกผมมันชาหรือว่าอะไรกันแน่ ตอนนี้เหมือนกับไม่อยากรับรู้อะไร ความรู้สึกที่ถูกกดดันมันทำให้อยู่ตรงห้องนั้นไม่ได้  เพื่อนๆ ที่อยู่ตรงนั้น ไม่ว่าจะเป็นไอ้เอกหรือไอ้นันต์มันไม่สามารถที่จะช่วยอะไรผมได้ นอกจากส่งสายตาแห่งความเห็นใจมาให้ก็เท่านั้นเอง  เพราะพวกมันตอนนี้ก็คงอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่เช่นกัน

   ไม่รู้ว่ากลับมาถึงห้องพักตอนไหน  ทางที่จริงตลอดระยะเวลาในการเดินทางกลับมาที่ห้องมันไม่ได้ไกลอะไรมากนัก  เพียงแต่ผมไม่กล้าเปิดซองเอกสารนั่นดู 

   .................สิ่งที่เห็น ทำให้ผมสงสัย แล้วก็แปลกใจกับบางอย่าง ... มันไม่ใช่เอกสารของทางโรงพยาบาล  มันเป็นสมุดโน้ตเก่าๆ เล่มเล็กๆ  เล่มหนึ่งเพียงเท่านั้น ส่วนที่เหลือเป็นสมุดเงินฝากธนาคาร ลงชื่อ ต้องชนัญ บุญภาสกร ทั้งสองเล่ม และบัตรATM  ใหม่เอี่ยมอีกใบหนึ่ง ที่เหมือนกับไม่เคยได้ใช้

   ... สมุดโน้ตเล็กๆ  ที่บันทึกเอาไว้  เขียนและลงรายการที่จะต้องใช้ในแต่ละวัน รายจ่ายที่น้อยกว่ารายรับ หักลบกันแล้วก็อยู่ในเพียงแค่หลักสิบ  วันไหนที่เจ้าของสมุดนั้นใช้เกินกว่าที่กำหนดเอาไว้ ก็จะทำตัวเป็นหนังสือสีแดง  เพื่อที่จะให้วันต่อไป ใช้ได้น้อยลงกว่าเดิม ....... บางวันไม่มีรายจ่ายสำหรับค่าข้าวกลางวัน

   ทุกสิ้นเดือนในสมุดโน้ตนั้นเขียน  จะเป็นรายรับเงินก้อนหนึ่งซึ่งบางครั้งมันยังน้อยไปกว่าอาหารมื้อค่ำที่ผมเคยกินกับบรรดาคู่นอนของผมเสียอีกในช่วงเวลาที่เคยผ่านมา 

   เงินเดือนแต่ละก้อนที่ได้จากสิ้นเดือนนั้นก็คงจะเป็นงานพิเศษที่ต้องทำที่โรงเรียน ที่ผมเคยเห็นแต่ก่อน  .....

   ........... งานของต้อง ที่ผมเคยแกล้ง พยายามบีบบังคับให้ออก........

   สายตาตอนนี้มันเริ่มพร่ามัวขึ้นเรื่อยๆ  น้ำตามันซึมออกมาได้อย่างไรผมก็ไม่รู้ รู้แต่ว่า คงสมแล้วหรือเปล่าที่เขาจะเกลียดเรา  และหนักไปกว่านั้น  สมุดบัญชีธนาคารที่ผมเห็น  ยอดเงินแต่ละเดือนถูกโอนเข้ามาหลายหมื่น ....... มันมีแต่ยอดโอนเข้า แต่ไม่เคยมียอดถอนออกเลย  ....   

   พ่อผมให้เงินต้องใช้  หรือไม่ก็คงเป็นน้าตา ..... แต่ทำไมต้องถึงกลับไม่เคยใช้มัน

   ต้องไม่เคยแตะเงินเหล่านั้น ..... เงินของทางบ้านผมที่ส่งให้ ... และมันก็ยังอยู่ครบทุกบาททุกสตางค์ 

   ตอนนี้ผมรู้แน่ชัดกว่าเดิมแล้ว ว่าทำไมทุกคนถึงได้เกลียดผมขนาดนี้  ....  และผมรู้แล้วว่าทำไมเบสต์ถึงไม่อยากให้ต้องฟื้นขึ้นมา ......

   สมุดเล่มสุดท้ายดูจะสวยและเรียบร้อยกว่าทุกเล่ม  .... มันเป็นสมุดปกแข็งเล่มหนึ่งซึ่งก็ดูมีราคาเหมือนกัน ผมค่อยๆ เปิดออกไปอย่างช้าๆ  พยายามถนอมให้เบามือที่สุด เพราะความรู้สึกบางอย่างมันสัมผัสได้ว่าสมุดเล่มนี้ เจ้าของคงจะรักและหวงขนาดไหน

   เพียงหน้าแรกที่เปิดไป มันทำให้ผมหยุดอยู่หน้านั้นเป็นนาน  มือพยายามสัมผัสกับสถานที่แห่งนั้นให้ได้รับความรู้สึกนั้นซึมผ่านเข้าไปทั้งในจิตใจและความหลัง 

   .......  ต้นมะขามที่ไม่สูงมากต้นหนึ่ง ที่เจ้าของรูปถ่ายบรรจงถ่ายรูปเอาไว้  เหมือนกับให้รู้ว่ากำลังมองลงมาข้างล่าง  ...  สายตาที่ผ่านเลนส์  คือสายตาของคนที่อยู่ข้างบน มองลงไปข้างล่าง   ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น  ....  แต่มันไม่ใช่เมื่อหลายปีที่แล้ว  ความรู้สึกที่เด็กตัวป้อมๆ เล็กๆ  หวนกลับเข้ามาอยู่ในความทรงจำอีกครั้ง  วันนั้นเจอกันครั้งแรก  เจ้าของรูปถ่ายภาพนี้อยู่บนต้นมะขามต้นเดียวกับที่มองเห็นตรงหน้า

        “ใครอ่ะ !!!”   

   “ไปทำอะไรบนนั้น”     

“พี่เป็นใครอ่ะ !!!!” 

   “พี่เพิ่งย้ายมาเมื่อวานครับ บ้านหลังนั้น”   

   “อ๋อ....   เห็นสร้างตั้งนาน ที่แท้เจ้าของก็มาแล้วนี่เอง......” 

   “นัญมาตามอ้วนพีกลับบ้าน ... อ้วนพีเกเร  วันนี้แอบมากินลูกนก”
   
   “ชื่อนัญหรอ”

   “ฮะ.....แล้วพี่ชื่อไร

   “พี่ชื่อธิว”

   “พี่ธิว.... พี่ธิวช่วยมาตามอ้วนพีลงไปหน่อย.... นัญจับอ้วนพีไม่ถึง” 

   “..........  ? ………….” 

   “อ้วนพีคือใครอ่ะ....”

  อ้วนพีคือน้องชายของนัญ  เมื่อวานอ้วนพีก็มาอยู่บนนี้นัญตามทีนึงแล้ว...  แต่วันนี้อ้วนพีหนีมากินลูกนกอีก...ถ้านัญจับได้นัญจะตีอ้วนพี...”

   “ไปตีทำไม... เด๋วน้องก็เจ็บ” 

   “ไม่เป็นไร นัญโตแล้ว นัญตีได้”     

“โตแล้ว.... นัญกี่ขวบ”   

   “เจ็ดขวบ... นัญโตแล้ว” 

   “แล้วอ้วนพีอยู่ตรงไหน...” 

   “นั่นไง”

   “นั้นมันแมว..... ไหนบอกน้อง”   

   “ก็น้องของนัญนี่นา... ไม่ใช่แมวนะ... อย่าบอกว่าเป็นแมวนะเดี๋ยวอ้วนพีเสียใจ”

   “ก็เห็นเป็นแมวชัดๆ  มีหางด้วย  ขนก็ปุย...  เปอร์เซียนี่” 

   “ไม่ใช่ๆๆๆ พูดใหม่เลย อ้วนพีเป็นเด็กผู้ชาย อายุน้อยกว่านัญปีนึง”   

   “พูดซิฮะ ....   อ้วนพีเป็นเด็กผู้ชายนะ” 

   “ครับๆๆ   อ้วนพีเป็นเด็กผู้ชายก็ได้”   

   “ห้ามมีคำว่า  ก็ได้” 

   “อ้วนพีเป็นเด็กผู้ชายครับ...พอใจยังเอ่ย”   

   “ฮิๆๆ   อ้วนพีเป็นแมวต่างหาก”   

   “ฮ่าๆๆ” 

   “ฮ่าๆๆ….. !!!!”   

   .........................

   ความทรงจำในวันเก่า ทำให้ผมยิ้มมาได้อีกครั้งทั้งน้ำตา  หลังมือยังคงเช็ดน้ำตาไปเรื่อยๆ  ภาพแรกมันผ่านไปได้ ความทรงจำนั้นก็ยังอยู่  นัญน่ารักเสมอเมื่อตอนเด็กๆ  ... ขี้งอน  เอาแต่ใจ  แต่ก็ร้องไห้หาผมเสมอ เวลาที่ตกใจ หรือกลัวอะไร  โกรธผมที่ผมไม่ยอมเล่นด้วย   แต่พอเล่นแล้วไม่ได้อย่างใจที่ตัวเองต้องการก็พาลไม่เล่นแล้วก็บังคับไม่ให้ผมไปเล่นกับคนอื่นอีก .......

   ลายมือที่สละสลวย  เขียนเอาไว้แม้ตัวหนังสือบนแผ่นกระดาษนั้น ทำให้รู้ว่าเขียนมานานแล้ว แต่มันก็ยังอ่านได้ชัดเจน 

   .............  วันนี้ฝันถึงแบบเดิมอีกแล้ว ...เมื่อไหร่ความฝันนั้นจะหายไปซักทีนะ .... ไม่เคยฝันเรื่องนี้ตั้งนาน  แต่เมื่อคืนกลับฝันถึง  ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร  ..... ตอนนั้นเรายังมีพี่ธิวอยู่  ถ้าฝัน.... ก็ยังจะกอดพี่ธิวให้หายกลัวได้  แต่ตอนนี้พี่ธิวไปอยู่ไหนแล้วก็ไม่รู้   ถ้าฝันอีกครั้ง .... ฝันแบบเดิม จะทำอย่างไร.............
   ......
      ......
ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้พี่ธิวไปอยู่ไหน .... สบายดีหรือเปล่าก็ไม่รู้... จะลืมน้องชายคนนี้ได้หรือยัง นัญไม่เคยเจอพี่ธิวเลย  ..... พี่ธิวรู้ไหม... นัญอยากไปจับปลาในทุ่งนากับพี่อีกครั้ง  .... นัญอยากให้พี่ธิวขี่รถจักรยานพานัญไปหาแม่ที่ตลาด อยากให้พี่ธิวเล่นกับนัญอีกจัง  .... ตอนที่พี่ธิวไป นัญไม่มีเพื่อนเหลือยู่เลย  .....  พี่ธิวไปได้แค่ไม่กี่วัน อ้วนพีก็ไม่กินอะไร มันเอาแต่ผอมลงๆ  นัญกับแม่พาอ้วนพีไปหาหมอ  หมอบอกว่าตอนนี้ร่างกายภายในมันเกิดอาการติดเชื้อ  แต่ทางที่จริงนัญว่ามันตรอมมากกว่า  พี่ธิวรู้ไหม ตั้งแต่วันนั้นที่พี่ธิวอุ้มมันลงมาจากต้นมะขาม ก็เหมือนกับว่ามันเริ่มติดพี่ธิวนะ  พอพี่ธิวไป มันก็ไม่กินอะไร  แล้วมันอยู่ได้อีกไม่กี่วัน มันก็จากนัญไปอีก  ทำไมมีแต่คนจากนัญไปก็ไม่รู้....  นัญไม่มีเพื่อนเล่น บางวันนัญก็นั่งอ่านการ์ตูนอยู่คนเดียว  .....  ถ้าพี่ธิวไม่ทะเลาะกับนัญ พี่ธิวหายโกรธลุงธินแล้ว  พี่ธิวพานัญไปอยู่ด้วยได้ไหม... แม่กับลุงไม่ว่าอะไรพี่ธิวหรอก  ...  ลุงธินไม่เคยเกลียดอะไรพี่ธิวเลยนะ 

เมื่อวานที่โรงเรียน มีรุ่นพี่คนนึงมาหาเรื่อง ไม่เคยมีเรื่องกับใครตั้งนาน จนกระทั่งมาเมื่อวาน.... อยากจะบอกกับรุ่นพี่คนนั้น ... ถ้าเป็นสมัยก่อนนะ นัญไม่กลัวหรอก  ...  ถ้าใครมาแกล้งอะไรนัญ  พี่ธิวจะมาช่วยนัญเสมอ...  ถึงจะตัวใหญ่กว่าก็เถอะ พี่ธิวต่อยทีเดียวพวกมันก็กลัวกันหมดเลยแหละ....

พี่ธิวจ๋ากลับมาเถอะนะ

.......... นัญเหงา................

   ....


   มือผมค่อยๆ บรรจงวางสมุดเล่มนั้นลง  ความรู้สึกที่รับรู้ได้ มันบอกว่าไม่ไหวแล้ว ถ้าจะให้อ่านต่อไปยังหน้าอื่นๆ อีก  มือผมสั่น  ร้องไห้อย่างที่ไม่เคยร้องไห้มาก่อน ....... 

“ฮึก.. ฮืออๆๆๆ  นัญ....... พี่ขอโทษ”

.
.
.
.

บรรยากาศในตอนเช้าของโรงเรียน ยังคงจอแจอยู่อย่างเดิม งานใหม่ของผมที่ทำอีกอย่างหนึ่งขึ้นมาก็คือช่วยป้าคนหนึ่งขายกล้วยปิ้งหน้าโรงเรียน  .... อย่างน้อยมันก็ยังมีความทรงจำดีๆ  ตรงนี้บ้าง ทำให้ผมได้นั่งคิดถึงใครบางคนอยู่ตรงนี้

“หวัดดีครับป้าแส” 

“อ้าว....ว่าไงไอ้หนู .... วันนี้ป้าขายดีลูก เหลืออีกแค่สองไม้เอง” 

“หรอครับ ...ดีจัง วันนี้ป้าแสก็กลับไปพักเร็วซิครับ” บางทีผมก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าการที่เราได้คุยกับคนธรรมดา เดินดินกินข้าวแกง ตามท้องถนน  คนเราไม่ได้วัดกันที่เงินทองเสมอไป  ผมว่า บางทีช่วงตอนที่ผมมีเงิน ผมอาจจะไม่มีความสุขเท่าป้าเขาตอนนี้ก็ได้นะ

“จ้า... วันนี้กลับเร็วหน่อยก็ดี  เหนื่อยเหลือเกิน แก่ลงทุกวันๆ  เอ้าๆ มันยังอยู่อีกสองไม้ เอาไว้กินซิ่ เอาไปๆ ป้าไม่คิดตังค์หรอก”

“ไม่เป็นไรครับป้า... ผมยังไม่ค่อยหิวเลย”  คงเป็นความเคยชินของผมด้วยละมั้ง ที่เดี๋ยวนี้ข้าวเช้าไม่ค่อยจะกิน ส่วนใหญ่รวบยอดไปกินมื้อกลางวันทีเดียว ตกเย็นค่อยไปอาศัยฝากท้องร้านพี่ภาเอา

“เอ้าๆ  ไม่ดีๆ เอาไป ๆ  มาช่วยป้าทุกวันเลย เอาไปกินเล่นๆ นะลูกนะ”   .... ผมไม่อยากจะปฏิเสธน้ำใจของป้าเขา เพราะถ้าขืนจะดื้อดึงไม่รับเอาไว้อย่างไร ก็คงจะเป็นไปไม่ได้แล้วแหละ น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ กับกล้วยปิ้งสองไม้  ทำให้บางทีผมก็อดมีความสุขไม่ได้...

   บางที การที่ผมมาลิ้มรสชาติของคนที่แทบจะไม่มีเงินติดตัวดูบ้าง มันก็เป็นชีวิตอีกชีวิตหนึ่งที่สอนเราได้เหมือนกันนะ 

   เส้นทางสายเดิมๆ  จากที่เคยมีรถ แต่มันเปลี่ยนทำให้ผมต้องเดินเข้ามาในโรงเรียน ....ผมรู้ว่าแต่ก่อนผมเป็นจุดสนใจจากหลายๆ คนในโรงเรียนขนาดไหน  ... ถึงปัจจุบันก็ยังเป็นอยู่  บางคนที่มันเคยเกลียดเรามันก็สมน้ำหน้า  ส่วนบางคนที่เค้าไม่เคยเกลียดเราก็เพียงแค่มีแต่ความสงสัยว่าทำไมผมถึงได้กลายมาเป็นแบบนี้ .....

   ป่านนี้ไอ้เอก กับไอ้นันต์ และซิวคงรออยู่ที่เดิม  และผมกำลังจะไปหามัน ถ้าเผอิญไม่เดินไปชนใครเข้าให้เสียก่อน

   “โอ๊ย...!!!”

   “โอ๊ย.... !!!!  ขอโทษครับ !!!”    ยังดีครับที่ยังมีคำว่าขอโทษเอ่ยออกมาจากปากของมัน  ผมกะจะสวนกลับเข้าไปให้อยู่แล้ว ทางเดินออกกว้าง ...แต่ดันเดินมาชนกันซะได้   แต่พอเงยหน้าขึ้นมา  ไอ้สิ่งที่ว่าจะไม่ทำ มันกลับอยากทำขึ้นมาทันที

   “ไอ้เรย์  !!!”




ออฟไลน์ chin_va

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
ตอนที่  27

บางที การที่ผมมาลิ้มรสชาติของคนที่แทบจะไม่มีเงินติดตัวดูบ้าง มันก็เป็นชีวิตอีกชีวิตหนึ่งที่สอนเราได้เหมือนกันนะ 

   เส้นทางสายเดิมๆ  จากที่เคยมีรถ แต่มันเปลี่ยนทำให้ผมต้องเดินเข้ามาในโรงเรียน ....ผมรู้ว่าแต่ก่อนผมเป็นจุดสนใจจากหลายๆ คนในโรงเรียนขนาดไหน  ... ถึงปัจจุบันก็ยังเป็นอยู่  บางคนที่มันเคยเกลียดเรามันก็สมน้ำหน้า  ส่วนบางคนที่เค้าไม่เคยเกลียดเราก็เพียงแค่มีแต่ความสงสัยว่าทำไมผมถึงได้กลายมาเป็นแบบนี้ .....

   ป่านนี้ไอ้เอก กับไอ้นันต์ และซิวคงรออยู่ที่เดิม  และผมกำลังจะไปหามัน ถ้าเผอิญไม่เดินไปชนใครเข้าให้เสียก่อน
   “โอ๊ย...!!!”
   “โอ๊ย.... !!!!  ขอโทษครับ !!!”    ยังดีครับที่ยังมีคำว่าขอโทษเอ่ยออกมาจากปากของมัน  ผมกะจะสวนกลับเข้าไปให้อยู่แล้ว ทางเดินออกกว้าง ...แต่ดันเดินมาชนกันซะได้   แต่พอเงยหน้าขึ้นมา  ไอ้สิ่งที่ว่าจะไม่ทำ มันกลับอยากทำขึ้นมาทันที

   “ไอ้เรย์  !!!” 

   “ไอ้วัจน์  !!!” 

   มันเองก็คงจะตกใจพอๆ กัน  เพราะหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ครั้งนั้นแล้ว  ผมกับมันไม่เคยเจอหน้ากันอีกเลย   รุ่นเดียวกัน  ม. เดียวกัน แต่ก็คนละห้อง แถม นักเรียนปีสุดท้าย ต่างก็ต้องยุ่งกับการที่จะหาที่เรียนต่อด้วย ต่างคนต่างไม่สนใจกันมากนัก อีกทั้งช่วงหลังๆ มาผมก็เริ่มๆ ที่จะทำตัวเงียบหายไปมากขึ้น

   สายตาที่มันมองมาทางผมเหมือนกับไม่เชื่อตัวเอง  ....มันก็แน่ล่ะ  สายตาแบบนั้นผมเริ่มชินแล้วจากคนรอบข้าง  เสื้อผ้าที่ดูซอมซ่อขึ้น เพราะว่าต้องรีดเสื้อผ้าเอง  ซักเสื้อผ้าเอง  ให้มันขาวได้ขนาดนี้ก็ถือว่าเก่งมากๆ แล้ว

   “กูไม่อยากมีเรื่องกับมึงตอนเช้า”   ทำอย่างกับผมอยากยุ่งกับมันอย่างนั้นเหมือนกัน  จึงตัดสินใจเดินเลี่ยงออกมาจากมัน แล้วก็เข้าไปที่ห้องเรียน  โดยไม่ได้หันหลังไปมองอีกเลย

   ชีวิตในห้องเรียน ของผมผ่านไปอย่างไร้จุดหมาย   จนการเรียนมันแย่หนักลงไปกว่าเดิม  บางครั้งการบ้าน  ถ้าไม่ได้ซิวช่วย ผมก็คงจะตกไปหลายวิชา   ไอ้นันต์ก็ห่วง  และคอยดูผมไม่ห่าง  จะมีเพียงก็แต่ไอ้เอกเท่านั้นที่ตอนนี้มันต้องไปเริ่มอะไรใหม่หลายๆ อย่าง  และตอนนี้ถ้าผมพอทราบมันก็คงจะทบทวนตำราเรียนอยู่กับน้องเบสต์  เพื่อนของต้อง  เบสต์เคยบอกผมเอาไว้ และยังจำได้ดี  ถ้าต้องตื่นขึ้นมา  แล้วจะต้องมาเจอผมอีก  เบสต์คงไม่อยากให้ต้องตื่นขึ้นมา  ขอให้ต้องหลับไปอย่างนั้นตลอด   .....   มันเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจผมอย่างมาก   ไม่แปลกที่เบสต์จะเกลียดผม  เพราะผมก็ทำกับเพื่อนเค้าไว้อย่างหนัก   ไม่แปลกที่ต้องจะเกลียดผม  แต่ผมขอได้ไหม  จะเกลียดจะฆ่าผมอย่างไง  ก็ขอให้ต้องตื่นขึ้นมาเถอะ  ต่อให้จากกันตลอดชีวิต   จะแลกด้วยร่างกาย ชีวิตทั้งหมดของผมที่มี   จะให้ทำอะไรก็ได้  ขอเพียงให้ต้องฟื้นขึ้นมา

    สมุดบันทึกของต้อง   ผมอ่านซ้ำไปซ้ำมาจนจำมันขึ้นใจ  จนจำได้หมดทุกบรรทัด ที่เด็กคนหนึ่ง  หัวใจคนหนึ่งจะเขียนหาถึงพี่ชายของเขา  ที่ผมไม่เคยรู้เลยจนบัดนี้  วันเวลาที่อยู่กับผม และจนเจอเบสต์ตอน ป.3  หัวใจของต้อง อยู่ที่ผมตลอด  อดีตของต้องอยู่ที่ผมตลอด แม้กระทั่งฝันร้าย  คนแรกที่ต้องตื่นขึ้นมา ต้องก็ยังเรียกผมอยู่   

   ไม่รู้ว่าต้องจะเป็นอย่างไรบ้างตอนนี้    หัวใจของต้องอยู่ที่ไหน ตอนนี้จะฝันร้ายหรือเปล่า ผมไม่เคยรู้เลย   อย่างน้อยก็ยังดีที่พ่อกับน้าตายังให้ผมเยี่ยมต้องได้เหมือนเดิมแต่ก็เพียงแค่เสาร์กับอาทิตย์เท่านั้น  ทุกครั้งก่อนจะไปทำงานที่ผับ  ผมจะต้องเข้าไปเยี่ยมต้องก่อน และจะกลับออกมาทุกครั้งก่อนเวลา 5  โมงเย็น  ไม่ใช่เพราะว่าผมต้องรีบไปทำงานเพราะเดี๋ยวนี้ เมื่อผมได้ร้องเพลงในผับนั้นแล้ว   ผมก็เข้าสายได้กว่าคนอื่น  เพียงแต่ที่ผมต้องออกมาก่อน  คือผมไม่ต้องการเห็นน้าตา 

   .... ผมไม่ได้เกลียดน้าตาแล้ว  แต่ผมไม่มั่นใจเลย  ว่าน้าตาจะยังสงสารผม จะอภัยให้ผมแล้วหรือยัง กับสิ่งที่ผมได้ทำกับลูกเค้าเอาไว้.. ผมไม่กล้าสู้หน้าคนที่ผมทำร้ายได้ลงคอ

   ..........อภัยให้ผมเถอะ....... 

   คนในผับยังคงแน่นเหมือนเดิม  และทุกครั้งที่ผมขึ้นไปร้อง  ก็ได้รับเสียงปรบมือ  ชื่นชมทุกครั้ง มันเป็นการง่ายกว่าเดิมมาก ที่ผู้หญิงจะเข้ามาหาผมแบบเดิม   ผู้หญิงที่มีเงินพอโดยไม่สนใจว่าผมอยู่ในฐานะอะไร  ตอนนี้จะจนเพียงไหน  แต่ผมซะอีกที่กลับไม่สนใจคนที่เข้ามายุ่งเกี่ยวเหล่านั้นเลย   ร่างกายยังเป็นของผม  แต่หัวใจผมยกให้ใครอีกคนไปแล้ว  และมันไม่มีทางที่จะเปลี่ยนไปได้  ผมยังคงนั่งคุยกับแขกไปเรื่อยๆ ที่จะมีคนนั้นหรือคนนี้ เรียกให้ผมเข้าไปนั่งคุย ก็เป็นเรื่องปกติที่เราจะต้องเอ็นเตอร์เทนแขกที่เข้ามาในร้าน  เพราะมันก็คือการบริการอย่างหนึ่ง   จนได้ระยะเวลาที่พอเหมาะผมจึงขอออกมานั่งอยู่เพียงคนเดียว จนมีคนมานั่งข้างๆ  ด้วยแต่ผมก็ยังไม่สนใจ

   “น้องเค้ายังไม่ฟื้นอีกหรอ”   เสียงที่อ่อนโยน และคุ้นหูผมมากทำให้ผมต้องหันกลับไปยังเสียงนั้น    พี่ภา  พอรู้เรื่องของผมบ้าง แต่ก็ไม่ละเอียดนัก   ผมเล่าเพียงบางอย่างและบางอย่างก็จงใจปิดมันเสีย

   “ยังครับ”  คำตอบสั้นๆ   ที่ผมบอกพี่เค้าไป ทำให้พี่ภายิ้มให้บางๆ  ก่อนจะพูดขึ้นต่อ

   “เดี๋ยวซักวันเค้าก็ต้องฟื้นขึ้นมา  พี่อยากให้วัจน์เข้มแข็ง  คนที่ดูแลต้องนอกจากพ่อกับแม่แล้ว  ยังมีวัจน์อีกคนหนึ่งนะ    ถ้าวัจน์แย่ไป   วัจน์ไม่รักตัวเอง แล้วใครจะเป็นคนดูแลต้องล่ะ”   ผมก็คิดในใจ ถ้าผมแย่ไป  ต้องจะดีใจหรือเสียใจ    และก็คงเป็นอย่างแรกมากกว่า  ถ้าเค้ารักผม เค้าต้องฟื้นขึ้นมาแล้ว   ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ  จนพี่จักรเดินเข้ามาและนั่งอยู่ข้างๆพี่ภา พร้อมกับตบไหล่ผม

   “ไงไอ้เสือ  สาวๆติดเกรียว  สวยๆ ทั้งนั้น ไม่สนบ้างไงวะ”  ผมยิ้มให้พี่จักร  พร้อมกับส่ายหน้า  ไม่ได้รังเกียจผู้หญิงพวกนั้น  แต่ก็อย่างที่ผมบอก  หัวใจผมอยู่กับอีกคนหนึ่งแล้ว  พี่จักรพอทราบเรื่องของผมจากปากของพี่ภา  เพราะเค้ายังเคยไปส่งผมที่หน้าโรงพยาบาลออกบ่อย  แต่ก็ไม่ได้รู้เยอะอะไรมากนักเช่นกัน   พี่จักรนี่เอง ที่ทำให้ผมรู้สึกคุ้นหน้า  เหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน   แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรมาก     

   “เดี๋ยวน้องเค้าก็ฟื้น   หมอที่นั่นเก่ง และก็รักษาได้ดีจนหายมาหลายคนแล้ว  เพื่อนของน้องชายพี่ก็อยู่ที่นั่นเหมือนกัน   เป็นมาไล่เลี่ยกันกับแฟนของวัจน์นั่นแหละ   อายุก็น่าจะเท่าๆ กันมั้ง  ตอนนี้ก็รอได้อย่างเดียวคือปาฏิหาริย์”    พี่จักรพูดให้กำลังใจผมตลอดเวลา  และทุกครั้งก็ยังถามกึ่งห่วง กึ่งแซว ว่าแฟนผมที่ผมทึกทักเอาเองว่าต้องคือคนรัก  ว่าสวยขนาดไหน   พี่จักรไม่รู้ว่าต้องคือผู้ชาย   ผมไม่ได้บอกใครว่าคนที่ผมรอให้ฟื้นอยู่ ชื่อต้อง  หรือชื่อนัญ ผมบอกอย่างเดียวว่าเค้าคนนั้นคือคนรักของผม

   พี่จักรจะช่วยพี่ภาดูแลผับของที่นี่อีกเพียงแค่อาทิตย์เดียว ก่อนจะย้ายไปเรียนต่อที่ต่างประเทศและต้องไปดูแลงานเรื่องโรงแรมของครอบครัว และครั้งนี้พี่ภาก็คงจะไปเรียนต่อตามพี่จักรไปด้วยด้วย  แต่กิจการของผับก็ยังคงอยู่ในการดูแลของพี่จักรต่อไป เว้นเสียแต่ว่าให้ใครมาดูแลก็เพียงเท่านั้น  ผมไม่สนใจว่าใครจะเป็นหัวหน้าของผมคนใหม่    พี่จักรบอกเพียงว่าใจดี ถึงจะอายุน้อยหน่อย แต่ก็ดูแลงานที่บ้านและที่โรงแรมมาเยอะแล้ว   

   ผมร้องเพลงจนเสร็จ  เพลงสุดท้ายเกือบเที่ยงคืน ก่อนจะขออนุญาตพี่ภากลับ    วันนี้เป็นคืนวันเสาร์  ลูกค้าค่อนข้างเยอะ  แต่หลังจากเที่ยงคืนไปแล้ว  ก็จะมีนักร้องอีกวงหนึ่งเข้ามาร้องแทน และก็ไม่ใช่หน้าที่ของผมอีกต่อไป   

   วันเสาร์ผมได้รับอนุญาตให้เข้าไปเยี่ยมต้องได้    บรรยากาศในห้องเปิดไฟเพียงสลัวๆ  พยาบาลที่ถูกจ้างมาประจำยังคงไม่นอนหลับ เพราะพยาบาลของที่นี่ถูกจ้างมาถึงสามคน  ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันตลอดระยะเวลา 24 ชั่วโมง   น้าตาเป็นคนจ้างมาเอาไว้   ให้คอยดูแลต้องทุกๆ วัน   เมื่อพยาบาลเห็นผม ผมไหว้  ก่อนที่พยาบาลนั้นจะออกไป  ทุกครั้งที่ผมมาเยี่ยมต้อง   พยาบาลที่นี่จะไม่มีใครอยู่ในห้อง   เพราะรู้ว่าผมอยากมีเวลาส่วนตัวกับต้องให้ได้มากที่สุด  พยาบาลออกไปแล้ว  คนที่นอนอยู่ตรงหน้า ยังคงไม่ไหวติง    ดวงตาของต้องยังคงปิดสนิท  เหมือนทุกๆ ครั้งที่ผมเจอ   มือเล็กๆ ข้างนั้น มีสายน้ำเกลืออยู่ตลอดเวลา   ต้องจากที่ร่างเล็กๆ   อยู่แล้ว   ทุกวันนี้ดูผอมกว่าเดิม  ผิวพรรณของต้องยังคงสดใส ไม่มีอะไรผิดแผกไปมากนัก  ผมเริ่มยาวขึ้น แต่ก็ยังคงนุ่มสลวยเหมือนเดิม  ผมลูบหัวเบาๆ  ช้าๆ ได้แต่ขอร้องให้ตื่นขึ้นมา    ต้องเล็บยาวขึ้น แต่ก็ยังไม่มากนัก   นิ้วก้อยเรียวๆ   เมื่อครั้งที่เค้ายังเป็นเด็ก  นิ้วก้อยนี้จะเกี่ยวกับนิ้วก้อยผมทุกครั้ง เวลาที่พาไปเดินเล่น  ผมคิดถึงเด็กตัวเล็กๆ   กลมๆ คนนั้น

   บรรยากาศในห้องเงียบ  สงบ   ไม่มีเสียงอะไรดังขึ้นมาทั้งสิ้นแม้แต่เสียงเครื่องปรับอากาศผมก็ไม่ได้ยิน   มือข้างหนึ่งผมจับอยู่ที่มือเล็กๆ  นั้นอย่างทนุถนอม  นั่งเงียบ  ไม่พูดอะไร  ขอเพียงได้เห็นหน้าเท่านั้นก็สุขใจ  กรรไกรตัดเล็บ   อยู่ข้างๆ ที่นอน  เมื่อก่อนที่พยาบาลคนนั้นจะเดินออกไป   ผมเห็นพี่เค้ากำลังจะตัดเล็บให้ต้องอยู่  ก่อนที่จะเดินออกไปเมื่อตอนที่ผมเดินเข้ามา

   ผมค่อยๆ บรรจงตัดเล็บให้ต้องอย่างช้าๆ เพราะกลัวจะตัดเข้าไปโดนเนื้อ  มือข้างนี้  เคยเงื้อมมือตบผมเมื่อครั้งที่แล้ว   ตอนที่ผมเอาตุ๊กตาที่เป็นของขวัญวันเกิดที่พ่อเค้าให้ไว้ก่อนจะเสียไป เขวี้ยงทิ้ง   

   “ตื่นมา แล้วตบพี่อีกกี่ร้อยครั้งก็ได้นะ”   เสียงอันแผ่วเบา พูดกับคนที่ไม่มีทางจะได้ยิน   ผมค่อยๆ ตัดเล็บให้ต้องจากนิ้วชี้ ไปจนถึงนิ้วนาง  น้ำตาจากลูกผู้ชายคนหนึ่งที่ในชีวิตนับครั้งได้จะไหลออกมาอย่างช้าๆ   ผมสงสารต้อง   และก็สมน้ำหน้าตัวเองที่ต้องมาเจอกับสิ่งแบบนี้  มือนุ่มๆ ข้างนั้น ผมเอามาแนบแก้มทุกครั้งที่เวลาได้อยู่กับต้อง  น้ำตาไหลออกมาช้าๆ  ถ้าผมอยู่กับคนอื่นคงไม่ร้องไห้  เพราะอายตัวเองที่ต้องมีน้ำตาต่อหน้าคนอื่น  แต่สำหรับตอนนี้  ผมขอเถอะ  อย่างน้อยน้ำตาที่ไหลออกมา  มันก็ยังบรรเทา  ความอัดอั้นตันใจ   ความขมขื่นใจไปได้บ้าง   

   ขอร้อง........   ขอร้อง  .......  ให้แลกด้วยอะไรก็ยอม  ฟื้นมาเถอะนะ   กลับมาเป็นต้องคนเดิม   คนที่มีรอยยิ้มสดใสแบบเดิมเถอะนะ

   “ฮึก ....  ฮึก    นัญ  ตื่นมาเถอะนะ    พี่ขอร้อง   เห็นใจพี่ด้วย  พี่ขอโทษ” ใบหน้าที่น้ำตาอาบแก้มก้มลงไปที่ฝ่ามือเล็กๆ  นั้น  ผมร้องไห้อย่างไม่อายใคร  หัวใจมันปวดร้าว  เมื่อไม่รู้ว่าคนที่ผมรักจะฟื้นตอนไหน จะได้ยินเสียงกันอีกหรือเปล่า  จะเห็นต้องยิ้มสดใส  จะเห็นต้องหัวเราะอีกบ้างหรือเปล่า   

   “หักห้ามใจเถอะลูก ซักวัน  ต้องก็ต้องฟื้นขึ้นมา .....  เข้มแข็งเข้าไว้   อย่าทำให้น้องเค้าเสียใจอีกเลยนะ”  แค่ฟังจากน้ำเสียง ผมก็รู้ว่าคนที่อยู่ด้านหลังผมนั้น  มือเล็กๆ ที่วางไว้บนบ่า   น้ำเสียงที่พูดมา ไม่ใช่ปลอบโยนผม  แต่เป็นเพียงบอกกล่าวเหมือนกับให้กำลังใจตัวเอง ว่าลูกที่มีเหลืออยู่แค่คนเดียว ของผู้หญิงด้านหลังนี้  ซักวันคงจะต้องตื่นขึ้นมา ตามที่พูดเอาไว้

   ผมหยุดร้องไห้   จริงอยู่   ผมไม่เกลียดน้าตาแล้ว  ตั้งแต่เมื่อได้รู้ความจริง  แต่ก็ยังคงกระดากอยูบ้าง  ที่จะพูดคำว่า ขอโทษ  จริงซินะ  ผมไม่เคยชินกับการเป็นคนดีเลย   

   ไม่รู้ว่าน้าตาอยู่ตรงนั้นในห้องนั้นอีกนานเท่าไหร่  ระหว่างเราสองคน ไม่มีบทสนทนาใดๆ  เกิดขึ้น   ยังขอบคุณที่เค้าไม่ไล่ผมออกจากห้องนี้ไป   น้าตายังคงปล่อยให้ผมอยู่กับต้อง  จนท้ายสุดเค้าก็เดินออกไปเอง  เวลามันจะผ่านไปนานอีกเท่าไหร่ก็ไม่ทราบ   สำหรับวันเสาร์กับวันอาทิตย์ ที่ผมหยุดเรียน  ในห้องของต้อง  พยาบาลยังเดินมาตรวจอาการอยู่เรื่อยๆ  นานๆ  ทีหนึ่งจะมีหมอซักคนเดินเข้ามา   อาหมอที่ผมพอคุ้นหน้าอยู่บ้างเพราะก็คงจะเป็นญาติห่างๆ ของไอ้นันต์นั้นแหละ

   เรื่องราวมันมาแดงเพิ่มขึ้นหลังจากนั้นไม่นาน   หมอคนที่สนับสนุนและอนุมัติที่ให้นัญ สามารถให้เลือดกับผมได้จนเกินพิกัดกับการให้เลือด  เพราะมันมีการตกลงกันลับๆ  โดยมีเงินจำนวนมากอยู่เหมือนกัน  ที่จะทำให้หมอคนหนึ่ง ผิดจรรยาบรรณที่เรียนมา   ผมสงสัยอยู่นาน ว่านัญเอาเงินมาจากไหนก้อนโตขนาดนั้น ทั้งๆ ที่ในบัญชีที่พ่อผมโอนเข้ามาให้ก็ไม่มียอดถอนออกไปซักยอดเดียว  มีเพียงยอดเดียวเท่านั้นที่หายไปครั้งล่าสุด ก็คือเงินในบัญชี ของกรมธรรณ์ ที่พ่อของนัญทำเอาไว้ให้ก่อนเสียชีวิต 

   เค้าไม่ได้แตะต้องเงินของพ่อผมเลย
   
     เวลาส่วนมาก  ผมหมดไปกับการนั่งอ่านหนังสือให้นัญฟัง  เพราะหวังในใจลึกๆ  ว่านัญเองคงจะรับรู้และสัมผัสได้ว่า  มีผมอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา และพร้อมจะชดใช้ทุกสิ่งทุกอย่าง  เมื่อถึงวันที่นัญพร้อมจะตื่นขึ้นมา
   
   อาหมอคนเดิม เข้ามาตรวจอีกครั้งในช่วงเย็น ก่อนที่ผมจะต้องไปร้องเพลงที่ร้านของพี่ภา  สีหน้าที่ดูใจเย็นขึ้นของอาหมอ ทำให้ผมอดสงสัยที่จะถามไม่ได้   
   
   “นัญเป็นไงบ้างครับ”   
   
   “อาการโดยรวมดีขึ้น  ไม่ทรุดลงไปกว่าเดิม  อาเคยเจอเคสนี้  คนหนึ่ง นานแล้ว ตั้งแต่ตอนเป็นนักเรียนแพทย์อยู่ที่อเมริกา”    น้ำเสียงดูราบเรียบ และหยุดซักพักหนึ่ง  เงยหน้าขึ้นมามองหน้าผม ก่อนจะพูดขึ้นต่อ 

   “วัจน์อยากฟังไหม”

   “ครับ”   ผมตอบกลับไปช้าๆ   ใจหนึ่งก็กลัว   แต่อีกใจหนึ่งก็อยากจะรู้ว่าเป็นแบบไหน

   “คนไข้รายนั้น กับต้อง ดูจากสภาพร่างกายภายนอกแล้ว แทบไม่ต่างกัน  จริงอยู่ที่เลือดไปเลี้ยงสมองได้ช้าเกินไป  ทำให้เกิดคล้ายกับอาการฮีทสโตรก  แต่ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว   สมองและก้านสมองของคนไข้รายนั้นกับต้อง ไม่ต่างกันเลย  คือสมบูรณ์ทุกอย่าง  ไม่มีอะไรเสียหายแม้แต่น้อย  แม่แต่สมองเบื้องลึกที่สั่งการต่างๆ อันเหนือการควบคุมของจิตใจเรา ก็ไม่มีผลเสียหาย”   อาหมอมองหน้าผม  แล้วยิ้มขึ้นมาช้าๆ และพูดต่อไปก่อนจะหันไปมองหน้าต้องอีกครั้ง

   “คนไข้รายนั้นที่อาเคยรักษา  เค้าเป็นเพื่อนของอาเอง  เค้ามีปัญหาทางบ้าน  เค้าถูกพ่อทำร้ายตั้งแต่เด็กๆ   เค้าเรียนเก่ง  แต่เค้าก็มีปัญหาทางครอบครัว  กลับไปบ้าน  เค้าจะโดนพ่อทำร้าย   บางทีก็โดนตี   โดนซ้อม   ...... เพราะอะไรวัจน์รู้ไหม”    คำพูดนั้นหยุดเพียงแค่นั้น แต่ก็ยิ้มให้ผม  และพูดต่อไปเหมือนเดิม  หันไปมองหน้าของนัญอีกที

   “เพราะพ่อของเค้า  บังคับให้เค้าต้องขายตัวให้พวกคนที่มีอำนาจ มีเงินเยอะๆ พ่อเค้าติดการพนันอย่างหนัก  จนถึงกับต้องขายลูกชายให้ไอ้พวกบ้าตัณหาเหล่านั้น   .............  วันหนึ่ง  เค้าโดนพ่อซ้อมหนักเกินไป  จนเผลอล้ม  และตกบันไดลงมา  หัวไม่ได้รับการกระแทกอะไรทั้งสิ้น  แต่เพื่อนของอา  โดนมีดที่อยู่ข้างล่างตรงนั้น บาดยาวจนเกือบทั้งขา”   

 เสียงถอนหายใจยาวๆ  ของอาหมอ  ผมรับฟังอย่างนิ่งเงียบ   ยังคงไม่พูดอะไรต่อไป

   “เพื่อนของอาเสียเลือดมาก  จนเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ  เป็นเจ้าชายนิทราอยู่เกือบเดือนถึงจะตื่นขึ้นมา”    แค่ผมได้ยินแค่นั้น   ความดีใจก็เกิดขึ้น   ผมดีใจ   ใช่   เพราะนั้นหมายถึงว่านัญก็น่าจะฟื้นขึ้นมา   

   “เพื่อนของอาฟื้นขึ้นมา  ก็จะเหมือนกับนัญใช่ไหมครับอาหมอ”    อาหมอยิ้มให้ผมแบบเดิม ก่อนจะเล่าใหม่อีกครั้ง

   “ใช่ ....  เพื่อนของอาฟื้น  แต่วัจน์รู้ไหม  เค้าฟื้นขึ้นมา   เค้าจำได้หมดทุกคน  ทุกคนรู้  และก็จำได้  เค้าจำแม่เค้าได้  เค้าจำอาได้  จำเพื่อนๆ  ได้  จำได้แม้กระทั่งบางคนที่เดินสวนกันใน โรงพยาบาลตอนเรียน   ......... มีเพียงคนเดียว ที่เค้าจำไม่ได้”   ......

   “ใครครับ......”

   “พ่อของเค้าไงล่ะ   เค้าจำพ่อเค้าไม่ได้   เค้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโลกนี้มีพ่อของเค้าอยู่   สิ่งที่อาจะพูด  อาจจะไม่เกิดกับต้องก็ได้   แต่สิ่งที่อาจะบอก  ก็คือว่า มนุษย์เราสิ่งที่ซับซ้อนที่สุด  และไม่สามารถมีเทคโนโลยีใดๆ  จะแก้ปัญหา  หรือหาต้นตอของมันพบ ก็คือ จิตใจ  จิตใจที่ซับซ้อนและลึกที่สุด   วัจน์รู้ไหม  ว่าถ้าคนเราได้รับผลกระทบอะไรที่รุนแรงมากเกินไป  เกินกว่าที่ตัวเองจะรับไหว   จิตใจใต้สำนึกเราจะปกป้อง เพื่อให้ร่างกายยังมีชิวิตอยู่  โดยให้ร่างกายไม่ได้รับผลกระทบนั้น แต่ในทางตรงกันข้าม  จิตใจก็จะสูญสิ้นโดยสิ้นเชิง หรือที่เราเรียกกันว่า “วิกลจริต”  หรือ “คนบ้า”   จิตใจสู้ไม่ไหว แต่ร่างกายยังคงอยู่  .........  เพื่อนของอาไม่ได้บ้า  แต่จิตใจของเค้าปกป้องตัวเองไว้    ทำให้เค้าจำพ่อของเค้าไม่ได้  จนถึงทุกวันนี้  เกือบ 20 ปี  เค้าก็ไม่สามารถจำพ่อของเค้าเองได้” 

   สิ่งที่ผมได้ยิน   ถึงแม้อาหมอจะพูดโดยอ้อมๆ  ให้รู้ว่า  ถ้านัญฟื้นขึ้นมา นัญอาจจะจำผมไม่ได้   
   ถูกต้องแล้ว  เพราะผมทำกับเค้าเอาไว้มากเกินไป
   อาหมอไม่ได้พูดอะไรต่อ  ไม่ว่าอะไรผมทั้งสิ้น  ไม่แม้กระทั่งพูดขึ้นมาซักนิดว่า   นัญอาจจะตื่นขึ้นมาแล้วจำผมก็ได้  มันอาจจะไม่ใช่เคสแบบที่อาหมอเล่าให้ฟัง   แต่เปล่าเลย   ผมรู้ว่าอาหมอทราบดี  เพราะคงคุยกันแล้วในกลุ่มของผู้ใหญ่  ว่าทำไมนัญถึงต้องมาอยู่สภาพเช่นนี้   
   ผมไหว้อาหมอ  ก่อนจะเดินออกมาจากห้อง
   
   ไม่เป็นไร  ...........

      ถ้าฟื้นขึ้นมาแล้ว จำผมไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร   ถ้ามีโอกาส ขอแค่ซักครั้ง   ผมจะเริ่มใหม่ และยกชีวิตทั้งชีวิตนี้เพื่อให้คนที่ผมรัก

   .............  วันนี้วันเสาร์  .............  คนที่ร้านน่าจะเยอะ   

   ผมแหงนมองดูบนฟ้า   ท้องฟ้าในกรุงเทพฯ  ที่แทบจะไม่มีดาวให้เห็นซักดวง   วันนี้ต้นเดือน  วันที่  1 ธันวา   วันนี้มีปรากฏการณ์ที่เรียกว่าพระจันทร์ยิ้ม  ผมยิ้มให้กับพระจันทร์นั้น เพราะมันน่ารัก  และสวยงามเสมอ  พร้อมกับจับมือถือออกมา  และถ่ายรูปเก็บเอาไว้ 

   “พี่เก็บเอาไว้ให้นัญนะ   ตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่  พี่จะให้นัญนะครับ” 

   ผมยิ้มให้กับตัวเอง  เดินไปช้าๆ  ออกจากโรงพยาบาล
   ใช่แล้ว นัญยังคงไม่ตื่น   เมื่อเช้าผมสังเกตเห็นมีเค๊กก้อนหนึ่งวางอยู่บนหัวเตียง   ใช่  วันนี้วันเกิดนัญ   เค๊กก้อนนั้น ก็คงจะเป็นของน้าตา   ส่วนผมหรอ  รอให้นัญฟื้นขึ้นมาก่อน  ผมคงจะสวมให้  ในวันที่พร้อม
    
   เงินเก็บพอมีบ้าง  ผมยิ้มให้กับตัวเองอีกครั้ง  ก่อนที่จะเก็บกล่องแหวนเข้าไปในกระเป๋าเช่นเดิม   
   
...

[/color]

ออฟไลน์ chin_va

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
   
                ตลอดระยะเวลาของการขับรถกลับ  ผมหลับเกือบไปตลอดทาง เพราะเมื่อคืน ผมแทบไม่ได้นอนเลยจนถึงวัด  และเบสต์มันก็ไม่อยู่ค้าง  ไม่อะไรทั้งสิ้น  ไอ้ตัวเล็กข้างๆ  ผมนี่ขับรถเก่งเหมือนกัน  ขับไม่ไว  แต่ก็รู้ว่าปลอดภัย   

   “ครับพี่จักร   ถึงขอนแก่นแล้วครับ  .......  ครับ............   ครับ   ก็เดี๋ยวผมขออีกสองสามวันแล้วกันครับ  เดี๋ยวจะไปดูที่ร้านให้ .....”    คนที่มันพูดถึง น่าจะเป็นพี่ชายของมัน เหมือนเคยจะได้ยิน  ผมเคยแอบฟังมันคุยครั้งหนึ่งกับพี่มัน   คงน่าจะเปิดร้านอาหารอะไรซักแห่งคู่กับแฟน
แต่ตอนนี้ ความรู้สึกผมมันคิดว่าผ่านไปกี่ชั่วโมงเท่านั้น   ตอนนี้ถึงขอนแก่นแล้วหรอ ไวเหมือนกันนะ
   
   “เดี๋ยวเปลี่ยนกันขับก็ได้นะเบสต์   พี่ไม่ง่วงแล้ว”   ผมอาสาที่จะขับเอง  เพราะตลอดระยะเวลาขากลับนั้น  เบสต์มันเหมามาตลอดเส้นทาง   เลยทำให้ผมมีแรงที่จะขับอีกครั้งได้อย่างเต็มที่   
   “หิวข้าว  เดี๋ยวจะจอดหาอะไรกินก่อน   เบสต์ยังไม่ได้กินข้าวเลย”     
   “รอพี่หรอ ?”   ผมแกล้งแหย่ๆ มัน   ให้รู้สึกไม่เงียบเหงาซักนิดหน่อย
   
“อย่าสำคัญตัวเองผิด”   เบสต์มันพูดขึ้นมาเสียงไม่ดังนัก แต่ก็ฟังชัด  ไม่หันมองผมซักนิด  ยังตั้งหน้าตั้งตามองเส้นทางนั้นไปเรื่อย

   “อุตส่าห์คุยดีด้วย  ดีด้วยแป๊บเดียวเอง”     คนอะไร หน้าตาก็น่ารักอยู่หรอก  แต่ดูเอาแต่ใจชะมัด   ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ  เพราะตอนนี้เหมือนเบสต์มันจะแวะจอดร้านอาหารที่อยู่ในปั้มน้ำมันพอดี   เราสองคนเดินเข้าไปข้างใน  มันทำเหมือนผมไม่มีตัวตนอยู่ตรงนั้นเลย  เดินไปสั่งๆ  แล้วก็ซื้อน้ำตรงด้านข้างร้าน  แถมยังซื้อมาแค่ขวดเดียว  ไอ้นี่  ไม่มีน้ำใจ

   “งกว่ะ !!!”   ผมพูดลอยๆ    และมันก็คงรู้ตัว  แต่ก็ไม่เงยมามองหน้าอะไรผมทั้งสิ้น   เหมือนเป็นอากาศไปซะอย่างนั้น   จนสุดท้ายแล้ว  ผมก็ต้องเดินไปซื้อกาแฟมากิน   ตอนนี้ถึงมันจะหิว แต่ก็ไม่อยากแตะข้าวหรืออะไรที่มันหนักท้องซักเท่าไหร่   ผมหายง่วง  แต่ก็อยากได้กาแฟ  ให้มันกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาอีกซักนิด ผมนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเบสต์  และมองหน้าเรียวเล็กๆ ตรงหน้านั่นอยู่สักพัก  ก่อนจะตัดสินใจคุยกับมันเพื่อไม่ให้บรรยากาศมันเงียบๆ อยู่แบบนี้

   “ทำไมถึงต้องรีบมาหาหลวงพ่อด้วยหรอเบสต์  ตอนแรกพี่คิดว่า หลวงพ่อจะช่วยได้ซะอีกเรื่องของต้อง   คือพี่ก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ  แต่เรื่องไสยศาสตร์นี่  มันดูไม่เหมาะกับเบสต์เท่าไหร่นะ”
   
ผมพูดและคิดอย่างนั้นจริงๆ   เจตนาจริงๆ  ผมไม่ได้คิดที่จะมองมันในแง่แบบนั้น  มันดูเป็นเด็ก และก็โตมาในสังคมของคนยุคใหม่  ไม่น่าเชื่อว่าเบสต์จะมีมุมนี้เหมือนกัน   ถ้าไปหาหลวงพ่อ  แล้วให้หลวงพ่อช่วยเรื่องเพื่อนของมัน ผมก็ว่าไม่น่าจะใช่  คนที่ช่วยต้องได้ตอนนี้คืออาหมอ ทั้งอาและพ่อของไอ้นันต์ที่โรงพยาบาลเท่านั้น

“ถ้าพี่ไม่รู้อะไร พี่ก็หยุดพูดเถอะ” 
“ก็เพราะพี่ไม่รู้ไงครับ  พี่ถึงถาม” 
ใช่ มันเป็นแบบนั้นจริงๆ  ผมไม่รู้ ผมเลยถามออกไป ถามตรงๆ 
“พี่ยิงปืนเป็นหรอ” 
มันดันมาถามผมกลับ  คำถามที่ถามไป ไม่มีคำตอบกลับมา  แต่มีคำถามโต้ตอบกลับมาแทน 

“ยิงไม่เป็น” 

    ผมตอบไปตามความเป็นจริง ถูกต้อง  ผมยิงปืนไม่เป็น   แต่สามารถยิงได้ และทุกครั้งที่ยิงออกไป มันก็ถูกเป้าหมายที่ผมต้องการให้ถูกทุกครั้ง  ผมไม่เคยฝึกยิงปืนที่ไหน  ไม่เคยซ้อม  ไม่เคยเรียน   แต่ผมก็ยิงได้ ....... ไม่รู้ทำไม

เบสต์มองหน้านิ่ง   เหมือนอยากจะถามอะไรผมอีกครั้งหนึ่ง  แต่ผิดไปที่ครั้งนี้  เบสต์มองผมแบบไม่ได้โกรธแค้นหรืออะไร    ผมจ้องมองกลับไปนิ่งๆ  อยากให้มันมองจนทะลุดวงตาคู่นั้น  ดวงตาที่ผมนึกอย่างไงก็นึกไม่ออก  แต่ความรู้สึกมันจับได้ว่า  ผมกับเบสต์ต้องรู้จักกันมากกว่านี้   รู้จักกันมานานแสนนาน

   มันรวบช้อนเก็บเข้าหากัน   เงยหน้ามองไปบนเพดานของร้านอาหารที่มันไม่มีอะไรน่าดูเลย ผมยังคงจิบกาแฟต่อไปอย่างเงียบๆ  จนเวลาผ่านไปซักพัก  ผมเองนั้นที่เริ่มถามมันอีกครั้ง

   “จะไปกันหรือยัง   เดี๋ยวพี่ขับเอง”   ผมพูดพร้อมกับถือวิสาสะ  หยิบกุญแจรถของผมคืนมาเอง  และตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าร่างกายของผมมันพร้อมที่จะเดินทางต่อได้แล้วด้วยตอนนี้ 

   “ขอพักอีกซักเดี๋ยวได้ไหม”    ดีจัง  เวลาเบสต์มันพูดโดยไม่ใส่อารมณ์นี่ก็น่ารักดีเหมือนกัน
   “ได้ครับ  แล้วแต่น้องเบสต์แล้วกัน”
   “พี่เอก” 
   “หืม” 
   “พี่อยากรู้ไหม  ว่าทำไมพี่ถึงยิงปืนแม่น”   อยู่ดีๆ มันจะถามทำไม และมันรู้ได้ไงว่าผมยิงปืนแม่น  ทั้งๆ ที่ผมก็บอกไปแล้วว่าผมยิงปืนไม่เป็น

   “เบสต์จะเล่าให้พี่ฟังป่าวล่ะ”   ผมก็ชักอยากรู้เหมือนกันนะตอนนี้   เอาเป็นว่ารอดูไอ้ตัวเล็กข้างหน้าจะพูดอะไรต่อก็แล้วกัน

   “พี่เชื่อเรื่องภพชาติ  เชื่อเรื่องอดีตชาติไหม”  ผมว่าแล้ว  ผมไม่ตอบคำถามที่มันถามมา แต่ถามกลับไปอย่างอารมณ์ดีมากกว่า  ถ้ามาแนวๆ นี้  ถามแนวนี้ ก็หยอก เย้าๆ เล่น ให้จิตใจมันสนุกสนานขึ้นมาบ้าง
   “น้องเบสต์เชื่อหรอ”    แต่ผมไม่เชื่อหรอกนะเรื่องพวกนี้ มันพิสูจน์ไม่ได้ และเหมือนเป็นเรื่องไร้สาระมากกว่า

   “ครับ  เบสต์เชื่อ” 

   “ชาติที่แล้วเบสต์เป็นไรล่ะ”  ผมถามกลับไป อย่างนึกสนุก

   “พี่อยากฟังป่าวล่ะ”   เบสต์จ้องหน้าผม  ไม่ใช่คำถามที่ถามเล่นๆ  แต่เบสต์ต้องการคำตอบจริงๆ  มากกว่า   มันทำให้ผมรู้สึกเช่นนั้น   และยังไม่ทันที่ผมจะตอบมันกลับไป  เบสต์ก็พูดต่อ  จนผมนึกอยากจะฟังขึ้นมาจริงๆ  อย่างน้อยก็ฆ่าเวลาช่วงพัก หรือไม่ทำก็ทำให้เราสองคนต้องมานั่งกันเงียบๆ  แบบนี้   

   “ชาติที่แล้วเบสต์เป็นพี่สาวของต้อง”   น้ำเสียงที่ดูราบเรียบ แต่มันก็สะดุดใจผม   และอยากจะฟังต่อไปอีกว่ามันเป็นอย่างไงกันแน่  ทำไมเบสต์พูดออกมาแนวนี้   มันดูว่าไม่ใช่ตัวของมันเลย

   “ถ้าอย่างนั้น  พี่ก็ขอเป็นนักฟังที่ดีแล้วกัน  เบสต์เล่ามา   พี่จะเชื่อในสิ่งที่เบสต์พูด  หรือไม่เชื่อ  แต่เบสต์ก็ลองเล่ามาเถอะ  เดี๋ยวพี่ขอฟังเงียบๆ  แล้วกันครับ”

   “ชาติที่แล้วเบสต์เป็นพี่สาวของต้อง”   เบสต์มันพูดซ้ำอีกครั้งเหมือนจะเริ่มต้นใหม่

   “เราสองคนเป็นพี่น้องกัน  เบสต์เป็นพี่สาวคนโต ส่วนต้องเป็นน้องชายคนเล็ก เรามีกันแค่สองคนพี่น้อง  เราสองคนยากจนพอๆ กันทั้งคู่   พ่อกับแม่ของเราจากไปตั้งแต่ที่ยังเด็กๆ  ความรู้สึกของเบสต์  เหมือนกับว่าเป็นแบบนั้นจริงๆ  เมื่อชาติที่แล้วนะ .........   ต้องเป็นคนที่เจ้าชู้  แอบชอบผู้หญิงไปเรื่อยๆ  พอใจใครคนไหนก็ฉุดเอามาเป็นเมียดื้อๆ ซะอย่างนั้น  เกือบทุกครั้ง เบสต์จะเป็นคนแก้ปัญหาให้ ความรู้สึกของเบสต์บอกว่า เบสต์รักน้องคนนี้มาก   ถูกต้อง  เบสต์รักต้องมากในชาติที่แล้ว  เบสต์ทำทุกอย่างเพื่อปกป้องน้องชายของตัวเอง   ถึงเค้าจะทำผิด  เค้าก็ยังคือน้องชายของเบสต์   พี่น้องกัน  ต่อให้ผิดกันมากขนาดไหน สายเลือดมันก็ตัดไม่ขาด”   

สองมือมันกำอยู่ที่เดิม แต่ดูเหมือนว่าจะพยายามบีบเข้าหากัน    ผมยังคงฟังต่อ   อารมณ์ตอนแรกที่ว่านึกสนุก  อยากหาเรื่องคุย  ตอนนี้มันกลายเป็นอยากรู้มากกว่า   ผมมองหน้าเบสต์  ในขณะที่มันยังคงก้มหน้า  และพูดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

“แต่ต้อง  ไม่เคยมองเบสต์เป็นพี่สาวเลย   วันสุดท้ายที่มันอยู่ในความทรงจำของเบสต์  ต้องฉุดผู้หญิงอีกหมู่บ้านหนึ่งมา   ตรงนั้นเป็นชายป่าอ้อยหลังหมู่บ้าน  เบสต์เข้าไปห้ามไม่ให้ต้องทำร้ายอะไรผู้หญิงคนนั้น  แต่สิ่งที่เบสต์กลับได้รับ คือต้องตบหน้าเบสต์จนสุดแรง  พร้อมกับบีบคอเบสต์   ความรู้สึกตอนนั้น  เบสต์ทั้งกลัว  กลัวว่าต้องจะทำอะไรผู้หญิงคนนั้นจนเกินเลย   เบสต์เข้าไปห้ามอีกครั้ง  แต่พี่รู้ไหม  ต้องทำเบสต์จนเบสต์นอนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น  .......  ใช่แล้ว  เบสต์นอน  มันควรที่เบสต์จะไม่รู้สึกตัว  แต่นั่นมันคือตัวตนของเบสต์เมื่อชาติที่แล้วไง  และชาตินี้เบสต์กลับมองเห็นมันอีกครั้ง   .........”   

มันเงยหน้าขึ้นมามองผมอีกครั้ง   ผมเห็นน้ำตาของคนข้างหน้าอีกครั้งแล้วหรอ   ไม่อยากให้มันร้องไห้เลย 

“ถ้าไม่อยากเล่า  ไม่ต้องเล่าต่อก็ได้นะเบสต์  เรากลับกันเถอะครับ”   ไม่ทะเลาะกันซักวันได้ไหม   ให้ทำอะไรผมก็ยอม   ไม่ได้รักมัน หรือห่วงมัน  แต่ผมไม่อยากให้มันร้องไห้

เบสต์ส่ายหน้าช้าๆ  พร้อมกับพูดต่อ

“พี่เอก.......พี่อยากรู้ไหม  ว่าผู้หญิงคนที่ต้องฉุดเมื่อชาติที่แล้วคือใคร”     น้ำตามันไม่ได้ไหลออกมา  เพียงแต่เอ่ออยู่ในสองนัยน์ตานั้น  เบสต์พูดยิ้มๆ  ก่อนจะก้มหน้าลงไปอีกครั้ง

“ผู้หญิงคนนั้น ก็คือเพื่อนพี่ไงล่ะ  ......  พี่วัจน์  ....  เพื่อนพี่เอกนั้นแหละ”   คำตอบที่ได้รับ ทั้งๆ  ที่ผมไม่ได้ถาม   มันทำให้ตอนนี้  สายตาผมเริ่มพร่ามัวไปหมด  เส้นขนที่แขนผมลุกเกรียว  ถ้าเบสต์จะหาคำโกหก หรือเรื่องเล่าคลายความเงียบ  ผมว่าเบสต์เล่าเรื่องที่มันน่ากลัวเกินไป

“เบสต์ .....”  ผมครางชื่อมันอีกครั้ง  เพื่อที่จะขอร้องให้มันหยุดพูด   ยิ่งเบสต์พูดไปเรื่อยๆ  ผมก็รู้สึกกลัว  ผมไม่รู้ว่าผมกลัวอะไร  แต่ผมกลัว  มันไม่ได้เป็นอย่างที่ผมหวัง  เบสต์ยังคงเล่าเรื่องบ้าๆ นั่นต่อไปอีก

“ครับ ..... เค้าคือพี่วัจน์ เมื่อชาติที่แล้ว   เบสต์ตื่นขึ้นมาอีกที มันก็สายไป  ต้อง หรือน้องชายของเบสต์เมื่อชาติที่แล้ว  ทำในสิ่งที่เค้าต้องการจนสำเร็จ   แต่เค้าทำเกินไป  ผู้หญิงคนนั้นถูกต้องข่มขืน และตายไปต่อหน้า  ..........  เบสต์เกลียดพี่วัจน์ในชาตินี้  ที่เกลียด   เพราะเบสต์กลัว กลัวว่าซักวันเค้าจะทวงคืน......   มันอาจฟังดูโหดร้าย  มันอาจฟังดูเห็นแก่ตัว  เพราะเบสต์รักต้องมากเกินไป  พี่เชื่อไหม ......  ถ้าเป็นไปได้  เบสต์ก็ไม่อยากจะรู้เรื่องอดีตพวกนั้น  และไม่อยากให้ใครรู้     แต่ทำไมเบสต์อยากให้พี่เอกรู้   พี่รู้หรือเปล่า   .......” 

สายตาของเบสต์  เปลี่ยนไป  มันยังคงดูน่าสงสาร  แต่ในขณะเดียวกัน  มันก็เจือไปด้วยความน่ากลัวบางอย่างที่ผมก็ยังไม่อาจสัมผัสได้   .......  ถ้ามันเจ็บ  อย่าเล่าอีกเลยนะเบสต์.......

“เบสต์ตื่นขึ้นมา  เพื่อเดินไปหาน้องชายของเบสต์   อีกนิดเดียวเท่านั้น  เบสต์ก็สามารถดึงน้องชายกลับมาได้   แต่มันไม่เป็นอย่างที่คิด   ............

        ปัง  !!!!!!!!
   ปัง  !!!!!!!   

เสียงปืนสองนัด    นัดแรกโดนเข้าอย่างจังที่หน้าอกข้างซ้ายของต้อง   ส่วนนัดที่สอง  มันผ่านไปตรงกลางหน้าผากพอดี   แม่นเหมือนจับวาง   .........   พี่รู้ไหม  ใครยิง  !!!!!!”

ถ้าเบสต์มีน้ำตาไหลออกมา   แต่มันไม่ใช่  เบสต์ไม่ได้ร้องไห้   แต่แววตาของเบสต์ยังมีน้ำตาซ่อนอยู่  ซึ่งตอนนี้มันก็ไม่ต่างกับผม  ......  ผมรู้แล้วว่าทำไมผมถึงยิงปืนได้แม่นยำขนาดนี้.....  เพราะแบบนี้ซินะ

“...............พี่ไงพี่เอก    พี่เป็นคนยิงต้อง................”  

ตอนนี้ผมรู้แล้ว ...........  ความรู้สึกมันกลับมาหมด  ผมรู้แล้วว่าทำไมหลวงพ่อรูปนั้น  ถึงบิณฑบาตขอเอาไว้  ไม่ให้ผมไปยิงใครอีก   เพราะแบบนี้ซินะ   เบสต์กลัว   เบสต์กลัวเพราะแบบนี้ใช่ไหม   ......  อย่าเลยครับ  อย่ากลัว   ผมไม่ใช่คนแบบนั้น   เบสต์อย่ากลัวเลยนะ   ผมไม่มีความสามารถพิเศษอะไรทั้งสิ้น   ไม่มีบุญอะไรพอที่จะทำให้ตัวเองระลึกชาติที่แล้วได้เหมือนเบสต์    แต่ทำไมผมรู้สึกเช่นนั้น   
 
ผมถามเบสต์กลับไป  ไหนๆ  ถ้าจะให้รู้แล้ว  มันก็ต้องรู้ความจริงทั้งหมด   เรื่องอดีต ให้มันผ่านไป  ผมรู้และทราบว่าทำไมผมถึงต้องยิงต้องให้ตาย  ผมรู้เหตุผลนั้น  และผมก็รู้ ว่าชาติที่แล้ว ระหว่างผมกับไอ้วัจน์ เราสองคนก็คือพี่น้องกัน  ผมไม่รู้ว่าผมรู้ได้อย่างไร   แต่ผมรู้  ...... ใช่แล้ว  ผมรู้   

และมันก็ต้องรู้ความจริงทั้งหมด   

“แล้วเมื่อชาติที่แล้ว  ....... เราสองคน  เป็นอะไรกันหรอเบสต์”

สายตาที่ว่าเย็นชาแล้ว  แต่คำพูดที่เบสต์พูดกลับมา  มันเย็นชายิ่งกว่าเสียอีก

“เราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกัน” 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-11-2019 22:54:37 โดย chin_va »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ chin_va

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
ตอนที่   28




   
“แล้วเมื่อชาติที่แล้ว  ....... เราสองคน  เป็นอะไรกันหรอเบสต์”

สายตาที่ว่าเย็นชาแล้ว  แต่คำพูดที่เบสต์พูดกลับมา  มันเย็นชายิ่งกว่าเสียอีก

“เราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกัน”   

คำพูดที่เบสต์พูดออกมายังก้องอยู่ในหัวผม  ความรู้สึกที่สับสน  มันบอกไม่ถูกว่าผมรู้ได้อย่างไง  และทำไมถึงเป็นเช่นนั้น  ถูกต้องแล้ว  เบสต์โกหก  และในความรู้สึกนั้น  ผมคิดว่า ช่วงระหว่างความทรงจำที่มันหายไปสองปี  ผมกับมันน่าจะเคยรู้จักกันมาก่อน  แต่จะถามใครล่ะ  !!!  ไอ้วัจน์    หรือไอ้นันต์  หรือจะเป็นซิว     ทุกคนดูเหมือนจะปิดปากเงียบกันหมด  ไอ้วัจน์ที่พอน่าจะให้คำตอบได้บ้าง  ตอนนี้ก็ดูเหมือนมันไม่ใช่คนก่อนที่ผมเคยรู้จัก   ไอ้นันต์ก็เช่นกัน   ส่วนซิวนี่แล้วใหญ่ อะไรที่ไปในทางไม่ดี  ซิวไม่เคยสนับสนุนเพื่อนคนไหนซักคน   

เบสต์ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ  หลังจากที่พูดคำนั้นจบ มันไม่กินข้าวที่อยู่ตรงหน้าต่อ  ทั้งๆ ที่บ่นว่าหิวก่อนที่เราจะมาจอดกินข้าวกัน  แต่มันแตะไปไม่ถึง  5 คำ ที่ผมสังเกตได้  บริเวณปั้มน้ำมันที่เรามาจอดกัน ตอนนี้เป็นช่วงเกือบๆ เที่ยง  ผู้คนเดินกันให้ขวักไขว่  ปั้มน้ำมันใหญ่  เป็นเรื่องปกติที่คนจะเข้ามาใช้บริการค่อนข้างมาก ผมจิบกาแฟไปเรื่อยๆ   ระหว่างที่รอเบสต์กลับมา  แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไปนานจนผิดปกติ

“ก็ลมมันแรงอ่ะครับแม่   มันเลยหลุดมือผมไป”
“ลมแรงที่ไหนกัน  เราน่ะปล่อยมันหลุดมือไปต่างหาก” 
“ไม่นะ  ผมจับแน่นแล้วนะ  แต่ลมแรงจริงๆ ไม่เชื่อแม่ก็ลองดูซิ่”
“พอเลย ต่อไปแม่ไม่ซื้อให้แล้วนะ  ไปๆ ขึ้นรถ  พ่อรออยู่”
เสียงบทสนทนาตรงด้านหน้าผม  ไม่ห่างไปซักเท่าไหร่นัก   ผมมองไอ้ตัวเล็กด้านหน้าที่มีทีท่าเหมือนเสียดายลูกโป่งที่ลอยไปบนฟ้า    นั่นซิ่นะ ....

เป็นเพราะว่าลมมันแรงไป   หรือเราจับไว้ไม่แน่นพอ  มันเลยหายไปจากเรา

โทษใคร   ลม  หรือสองมือเราเอง

   ผมปล่อยให้อารมณ์และใจ คิดไปเรื่อยๆ   สองปีที่หายไป   ผมอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง  ถ้าเป็นเรื่องดี มันก็ดีไป  แต่ถ้าเป็นเรื่องไม่ดีล่ะ    ความรู้สึกความทรงจำที่หายไป   ให้มันหายไปจะดีกว่าไหม  ........  ผมรอจนอีกซักพักใหญ่   ไอ้คนที่มันชวนผมทะเลาะอยู่บ่อยๆ  ก็ยังไม่กลับออกมาจากห้องน้ำซักที  จนรู้สึกเอะใจ 

   “หายไปไหน”   ผมคิดในใจ พร้อมกับเดินไปทางห้องน้ำซึ่งมีอยู่มีที่เดียวในปั้มน้ำมันแห่งนั้น
   “เบสต์” 
   “เบสต์”
   “เบสต์”

   ผมเรียกทุกห้อง  ที่ประตูปิดอยู่   แต่ไม่มีเสียงตอบกลับมาของไอ้ตัวปัญหานี่  ..........  มันอันตรธานหายไปไหน   ตอนนี้ความรู้สึกมันวุ่นวายใจ  และกังวลเป็นที่สุด ก่อนที่จะออกมาข้างนอกอีกครั้ง  เบสต์มันอาจจะไปรอที่รถแล้วก็ได้   ผมรีบวิ่งกลับมาที่รถอีกครั้ง  และตรงนั้นนั่นเอง มันยังคงอยู่ที่นั่น  แต่ไม่ใช่รถของผม

   ข้างหน้า  รถคันใหญ่สีดำ  เบสต์อยู่กับผู้ชายอีกสองสามคน ที่ผมไม่เคยเห็นหน้า ไม่เคยรู้จัก  แต่มันดูไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น  ผู้ชายที่ใส่สูทด้านหลัง  เอื้อมมาเปิดประตูให้ 

   “เบสต์ !!!!!!!”   ผมตะโกนออกไปสุดเสียง  แต่ไอ้คนที่ผมเรียกเพียงแต่หันกลับมามองเท่านั้น  ไม่รอผม  ไม่อะไรทั้งสิ้น  นั่งเข้าไปในส่วนของที่นั่งด้านหลังของรถ  ก่อนที่ผู้ชายคนเดิมจะปิดประตูให้   ผมรีบวิ่งเข้าไปหา  แต่มันก็เหมือนจะช้าไป   เพราะทันทีที่เบสต์เข้าไป  รถคันนั้นก็ออกไปเลยทันที    พร้อมกับมีรถอีกคันขับตามกันไป 

   ผมรีบวิ่งกลับเข้ามาที่รถ 

   แต่.........

   กุญแจรถผมอยู่ที่เบสต์นี่  ไอ้ตัวดีนั่นนอกจากจะทิ้งผม  มันยังกันเอาไว้ไม่ให้ผมขับตามไปด้วย    ไอ้นี่มันโคตรร้าย 

   “Kเอ้ย  !!!!!”   ผมสบถออกมาอย่างดัง ไม่สนใจว่าคนรอบข้างมันจะได้ยินกันหรือไม่ 

   .... “เอ่อ  พี่คะ”  เสียงจากด้านหลังทำให้ผมหันกลับไปแทบจะทันที แต่ด้วยความที่อารมณ์มันยังหัวเสียอยู่  ผมไม่สนใจว่าจะเป็นใคร   เพราะตะคอกกลับไปสุดแรงเหมือนกัน 

   “มีไร !!!!”   

   “คือว่า ....  มีพี่คนหนึ่งเค้าให้มาบอกว่า ฝากกุญแจรถเอาไว้ที่ผู้จัดการปั้มน่ะค่ะ   ให้พี่ไปรับกุญแจได้  แต่ตอนนี้ผู้จัดการไม่อยู่    น่าจะอีกประมาณครึ่งชั่วโมงผู้จัดการเค้าถึงกลับมาน่ะค่ะ” 

   ยังดีที่มันยังอุตส่าห์ทิ้งเอาไวให้ ไม่งั้นผมก็ไม่รู้ว่าจะทำไงต่อ มือถือก็อยู่ในรถ  โทรหาใครก็ไม่ได้ นี่มันเพิ่งจะขอนแก่นเองแท้ๆ กว่าจะถึงกรุงเทพก็คงจะอีกนาน   

   “ได้ครับ  เดี๋ยวพี่รออยู่แถวๆ นี้แล้วกัน  ถ้าผู้จัดการมา ก็บอกพี่หน่อยนะ”   ความหวังที่จะขับตามคงไม่ได้แล้ว  ถ้าครึ่ง ชม. กว่าผู้จัดการจะมา ป่านนี้ คนกลุ่มนั้นก็คงจะพาเบสต์ไปไกลจนผมไม่รู้ว่าถึงไหน   มั่นใจได้หน่อยก็ตรงที่ ผู้ชายพวกนั้นคงจะเป็นคนของที่บ้านเบสต์นั่นเอง  เพราะก่อนที่อาจารย์จะให้มันมาติวหนังสือย้อนหลังให้ผม   ก็พอที่จะรู้ประวัติของมันมาบ้าง

   บ้านมันทั้งรวย ทั้งมีอำนาจ  ลูกของปลัดกระทรวงอะไรซักอย่าง แถมที่บ้านทำหลายธุรกิจด้วย  ทั้งธุรกิจโรงแรมแบบเดียวกับที่บ้านผม  อสังหาริมทรัพย์อีก   เท่าที่รู้ บริษัทน้ำมันก็มีด้วยมั้ง   ท่านปลัดกระทรวง เดช   วัฒนไพบูลย์  นามสกุลดังซะด้วย  แถมปั้มน้ำมันนี้  ก็ดันชื่อวัฒนไพบูลย์ ปิโตรเลียมอีกต่างหาก  ดูเหมือนกันอย่างไม่น่าเชื่อ

   ......... หนึ่งเดียว  วัฒนไพบูลย์......  นี่คือชื่อจริงๆ ของเบสต์

   เดช   วัฒนไพบูลย์  ปลัดกระทรวงอะไรซักอย่างผมก็จำไม่ได้

   แล้ว ..........  แล้ว  ปั้มน้ำมันนี้ล่ะ  วัฒนไพบูลย์   ใช่แล้ว ........  นี่ปั้มน้ำมันของที่บ้านมันแน่ๆ   ผมหลงกลแล้ว  ไอ้ผู้จัดการปั้มอะไรนั่น ไม่ได้ไปไหนหรอก  อยู่ในออฟฟิสนั้นแหละ 

   ........ฮึ่มมมม หลอกกูได้นะมึง   ไอ้ตัวเล็ก

   ผมรีบวิ่งกลับไปตรงด้านหลังปั้มอีกที  ก่อนที่จะมองสำนักงานของมัน   และไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น   ไม่ขออนุญาตใครมันทั้งนั้นด้วย  ถือวิสาสะ เปิดประตูมันไปเลย   ไม่สนใจมันแล้ว

   “ไหนบอกว่าผู้จัดการไม่อยู่  คุณใช่ไหม ผู้จัดการของที่นี่  เอากุญแจรถผมมา”     แค่พูดจบ  ผมก็สาวเท้าก้าวเข้าไปอยู่ตรงหน้า ไอ้โต๊ะหลังสุด   คนนี้ดูภูมิฐาน  แน่นอน  ต้องเป็นคนนี้นี่แหละ   ผู้ชายคนนั้นมันยิ้มแบบยียวนกวนประสาทเล็กน้อย  ก่อนจะยืนขึ้นเต็มตัว

   “รออีกซัก  20  นาที  เดี๋ยวผมให้กุญแจรถคุณ   ตอนนี้ขอให้คุณหนูออกไปไกลอีกซักหน่อย  คุณจะได้ตามไม่ทัน”  นั่นไง  ผมคิดไว้อยู่แล้ว  แผนการของมันจริงๆ 

   “เอา  กุญแจ  รถ  ผม  มา .....”   ผมพูดเน้นช้าๆ    พร้อมจะมีเรื่อง

   “เฮ้ย ใครอยู่ข้างนอก  ตาม  รปภ มาสองคน”   เสียงของมันตะโกนสั่งคนที่อยู่ข้างนอกทันที  เพราะคงรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

   “มึง  !!!!!!!!!!”   ผมบอกแล้วว่าผมไม่ใช่คนดี  เพราะต่อให้อายุเยอะมากกว่าขนาดไหน  ถ้าหาเรื่องแบบนี้ ผมก็ไม่สน

   “ถ้าขืน  ....  คุณยังไม่ยอมทำตามที่บอก  คุณเจ็บตัวเสียเปล่าๆ  อย่ามีเรื่องดีกว่าครับ  ถ้าไม่อย่างนั้นเราคงจะแจ้งตำรวจ  แถมคุณยังจะเจ็บตัวก่อนอีก  และสุดท้าย  เราคงต้องแจ้งบอกกับทางคุณพ่อของคุณ  อย่าให้เรื่องมันบานปลายเลยครับ”

   ไอ้เรื่องเจ็บตัวผมไม่กลัว  แต่เรื่องนี้ก็ไม่อยากให้ทางบ้านต้องมารับรู้ด้วย   ไม่อย่างนั้นคงจะเกิดเรื่องราวกันไปใหญ่อีก  ช่วงนี้ผมโดนคาดโทษจากทางบ้านอยู่ด้วย ตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุครั้งนั้นกับไอ้วัจน์     ไอ้ผู้จัดการปั้มมันพูดยิ้มๆ  เหมือนว่าตัวเองชนะ   
   ผมรอจนครบ  20  นาที   และมันก็ทำตามที่บอก  กุญแจรถถูกส่งมาให้ผม   และก็คงจะตามไปไม่ได้ ตอนนี้ก็ทำเพียงได้แค่ปล่อยให้มันไปก่อนและกัน   แต่อย่าคิดว่าจะหนีได้ตลอด      ตลอดระยะเวลาที่ขับกลับมา ผมเอาแต่หัวเสียเรื่องของมัน  ถ้าให้กลับไปบ้านคงจะไม่ไหว 
   “วัจน์  วันนี้มึงไปทำงานหรือเปล่า”   ผมตัดสินใจโทรหาไอ้วัจน์    เดี๋ยวนี้ตั้งแต่มันโดนตัดหางปล่อยวัดจากที่บ้าน  มันต้องเรียนไปทำงานไป   คราบไอ้คุณชายไฮโซ ของมันที่ผมเคยเห็น  เดี๋ยวนี้ไม่มีเหลือเค้าหลงเหลืออยู่เลย   แต่มันก็ทำตัวดีขึ้นกว่าแต่ก่อนนี้   ผมรู้ว่ามันรักต้องมาก  เพราะต้องคือรักแรกของมัน ตั้งแต่ยังเด็กๆ   ครั้งที่ผมเคยไปเล่นบ้านมัน  มันกับต้องจะเหมือนเงาตามตัว  ผ่านมาเพียงไม่กี่ปี  ไม่น่าเชื่อ วันมันมีอะไรหลายๆ อย่างเปลี่ยนไปมาก    ถึงผมจะไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นไปบ้างในระยะช่วงเวลาสองปีที่ความทรงจำมันหายไป  แต่ก็พอเดาได้คร่าวๆ  จากปากที่ลุงธิน ทะเลาะกับไอ้วัจน์ในวันนั้น   เพื่อนของผม คงทำมันไว้แรงจริงๆ 
   เพียงชั่วเวลาไม่กี่ ชม.  ผมก็เหยียบไมล์จนมาถึงร้านที่ไอ้วัจน์ทำงานอยู่  ดีหน่อยที่เงินมันดีขึ้น  เพราะไม่ต้องเป็นพนักงานเสริฟแล้ว แต่เลื่อนขึ้นไปเป็นนักร้องแทน   ไอ้นี่นอกจากจะหล่อ ยังร้องเพลงเพราะอีกต่างหาก   ผมเห็นสาวๆ  ไม่รู้กี่คน มองตามันเยิ้มจนน่าอิจฉา    ผมขอให้มันเลือกโต๊ะที่อยู่ตรงมุม    เพราะขี้เกียจจะให้ใครเข้ามาวุ่นวาย  ไม่ใช่ว่าอยากจะใช้ความคิดอะไรคนเดียวเงียบๆ    แต่บางครั้งผมก็อยากจะทบทวนอะไรคนเดียวบ้าง   มันหายไป  ความทรงจำที่ผมอยากรู้
   เสียงเพลงจากเพื่อนผมมันเข้ามาในโสตประสาท  จนผมต้องฟังตาม   ไม่รู้ว่ามันร้องเพลงอะไร  แต่ทำไมถึงเศร้าขนาดนี้นะ

   สักเรื่องก็ไม่เคยจะถูกใจ
จะทำอะไรก็ผิดทุกที
ฉันน่าเบื่อ ฉันมากไป
ฉันวุ่นวาย ฉันไม่ดี
ไม่เห็นมี สิ่งที่เธอชอบใจ
เหมือนฉันแค่ยืนก็เกะกะตา
ดูเป็นปัญหากับเธอร่ำไป
พูดก็บอก พูดไม่คิด เงียบก็ผิด ไม่เข้าใจ
อย่างกับคนอื่นคนไกล ไปทุก ๆ วัน
 
ดีที่สุดของฉัน
มันไม่เคยดีพอสำหรับเธอ
เจ็บเสมอ ตอนเห็นแววตาเธอไม่แคร์กัน
ที่ฉันทำ ฉันเป็นเธอไม่เคย เห็นมัน
มันทรมานได้ยินไหม
 
ความใส่ใจของฉัน เป็นแค่ความรำคาญสำหรับเธอ
ผิดเสมอ เหตุผลก็คือเธอจะหมดใจ
ให้ทุ่มเท ให้ดียิ่งกว่านี้สักเท่าไร
ถ้าคนมันจะหมดเยื่อใย
หายใจก็ยังผิด

ฉันพยายามที่จะปรับตัว
ในใจมันกลัวเธอจะเลิกรา
ยิ่งระวัง ก็ยิ่งคิด
ก็ยิ่งผิด ยิ่งแย่กว่า
เธอก็เลยยิ่งเย็นชา ไปทุก ๆ วัน

ดีที่สุดของฉัน มันไม่เคยดีพอสำหรับเธอ
เจ็บเสมอ ตอนเห็นแววตาเธอไม่แคร์กัน
ที่ฉันทำ ฉันเป็นเธอไม่เคย เห็นมัน
มันทรมานได้ยินไหม

ความใส่ใจของฉัน เป็นแค่ความรำคาญสำหรับเธอ
ผิดเสมอ เหตุผลก็คือเธอจะหมดใจ
ให้ทุ่มเท ให้ดียิ่งกว่านี้สักเท่าไร
ถ้าคนมันจะหมดเยื่อใย
หายใจก็ยังผิด

ก็ไม่รู้ทนอะไรอยู่
และไม่รู้ทำยังไงต่อ
ได้แต่ท้อใจ
ได้แต่น้อยใจ
เรามันไม่สำคัญ

ดีที่สุดของฉัน
มันไม่เคยดีพอสำหรับเธอ
เจ็บเสมอ ตอนเห็นแววตาเธอไม่ผูกพัน
ที่ฉันทำ ฉันเป็น เธอแค่เห็นว่าช่างมัน มันทรมานกว่าสิ่งไหน

ความใส่ใจของฉัน เป็นแค่ความรำคาญสำหรับเธอ
ผิดเสมอ เหตุผลก็คือเธอจะหมดใจ
ให้ทุ่มเท ให้ดียิ่งกว่านี้สักเท่าไร
ถ้าคนมันจะหมดเยื่อใย
หายใจก็ยังผิด


................หายใจก็ยังผิด.................


ใจผมก็คิดไปถึงไอ้คนที่มันเพิ่งหนีมาเมื่อตอนเที่ยง  ก็จริง  ผมกับมันไม่ได้ชอบกัน   และความรู้สึกนั้นมันก็ยังไม่เกิด  แต่มันเหมือนมีอะไรบางอย่าง ที่ทำให้ผมคิดว่า  ในช่วงเวลาหนึ่งผมและเบสต์ต้องเคยรู้จักกันมาก่อน   ตอนนี้ไม่ดื่มไปเยอะนัก   ผมให้ความสนใจกับแก้วเหล้าที่อยู่ตรงหน้า  จนไม่สนใจคนรอบข้าง  และก็ไม่รู้ว่าไอ้วัจน์มันร้องไปอีกกี่เพลง จนมันมานั่งข้างๆ  ผม

“ไงมึง  หายไปไหนมา”  บทสนทนาแรกหลังจากที่มันร้องเพลงจนจบ มันเข้ามานั่งกับผม  ก็คงจะเป็นเหมือนพนักงานเอนเตอร์เทนลูกค้า  สำหรับนักร้อง นักดนตรี ซึ่งก็มีสิทธิ์ทีจะนั่งกับแขกได้อยู่แล้ว   

“กูขับรถไปให้เบสต์  ไปหาหลวงพ่ออะไรของมันก็ไม่รู้ที่หนองคาย  วัดอะไรกูก็ไม่ได้สนใจ  ขับรถกันเกือบทั้งคืน   คุยกันห้าประโยคแล้วมันก็กลับ  แถมคุยอะไรแปลกๆ  จนกูงงไปหมด”

“อย่างมึงเนี่ยนะ   เข้าวัด” 
“อือ   ก็เพราะเบสต์หรอก  กูเลยไป   ตอนแรกมันจะไปคนเดียว แต่กูบังคับให้ตัวกูไปกับมันด้วย”
   “แล้วมันไปทำไมของมัน”  ไอ้วัจน์มันถามต่อ  จริงๆ  ผมว่ามันไม่ได้สนใจเรื่องของเบสต์หรอก  แต่มันอยากรู้เรื่องอื่นมากกว่า

   “มันไปเรื่องของต้อง   ไอ้สองคนนี้ห่วงกันจนกูสงสัย  นึกว่าเป็นผัวเมียกัน”

   “ฮื้อ  !!!  มึงก็พูดไปเรื่อย ......  แล้วหลวงพ่อเค้าว่าไงบ้าง”     เป็นไปอย่างที่ผมคาด  ไอ้วัจน์มันอยากรู้เรื่องของต้อง

   “เค้าบอก  ว่าเดี๋ยวต้องก็ฟื้น  มึงก็สบายใจได้   กูก็ไม่เชื่อเต็มร้อยหรอก   พระนะมึง  ไม่ใช่หมอ  จะไปรู้ได้ไง ว่าต้องมันจะฟื้นหรือไม่ฟื้น  กูก็ไม่คิดว่าเบสต์มันจะเชื่อแนวทางนี้ด้วย   ลักษณะท่าทางของมัน  ไม่มีแววว่าจะไปทางด้านนี้เลย  กูก็งงมันเหมือนกัน”   ผมพูดเพียงแค่นั้น   ก่อนจะมองหน้าไอ้วัจน์   ตอนนี้เสียงเพลงที่ดังอยู่รอบๆ ตัว   ผมไม่เคยรู้สึกสนุกไปกับมันเลย  และก็เชื่อว่าไอ้วัจน์เองก็คงเช่นเดียวกัน   บรรยากาศแบบนี้มันควรสนุก   แต่มันไม่ใช่เวลานี้ ผมรู้ว่าไอ้วัจน์เครียดเรื่องต้อง  ส่วนผมเองก็ไม่แน่ใจว่าเครียดเรื่องเบสต์หรือเปล่า   แต่มันก็ทำให้จิตใจตอนนี้มันปั่นป่วนอยู่เหมือนกัน   

   “ไอ้เรื่องนั้นกูไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่หรอก  แต่เรื่องที่เบสต์มันพูดกับกูตอนขากลับนี่แหละที่ทำให้กูสงสัย”   วัจน์มันเงยหน้ามองผมอีกครั้ง   ก่อนจะทอดสายตามมองด้วยความสงสัย   มันไม่ถามผมต่อว่าเรื่องอะไร  แต่สีหน้าของมันก็คือการถามกลายๆ  นั้นแหละ   .....  ผมชั่งใจว่าควรจะพูดไปดีไหม  เพราะเรื่องราวอันเหลือเชื่อที่เบสต์เล่าให้ผมฟัง    มันมีทั้งตัวผมกับเบสต์ รวมไปถึงไอ้วัจน์กับต้องด้วย   ความชั่งใจที่มีอยู่ มันทำให้ผมพูดไปอีกอย่าง

   “ไอ้วัจน์  กูถามจริงๆ    กูขอความจริงได้ไหม ไอ้ช่วงระยะเวลาตั้งแต่ ม. 5  จนถึง  ม.  6 จนเราเกือบจะจบกันเนี่ย  กูกับไอ้น้องเบสต์เพื่อนของต้องนี่เคยรู้จักกันมาก่อนป่าว”    ที่ผมตัดสินใจถามมันไป  เพราะเสี้ยวหนึ่งในความรู้สึก   ตอนที่เบสต์เล่าให้ผมฟังนั้น  มันรู้สึกว่าผมเคยรู้จักกับมันมาก่อน  ....  ที่ไหนซักแห่ง เวลาใดเวลาหนึ่ง

   มันยิ้มเพียงมุมปากกลับมา  ไอ้วัจน์นิ่งเงียบ   ปากมันขยับร้องเพลงตามเสียงนักร้องคนใหม่ที่ไปร้องแทนมันอยู่บนเวที  ตอนนี้ทำนองเพลงช้าลง   

   “เอก”  ........   คือ  .........  มันเรียกชื่อผมแต่นิ่งไปซักพัก  ก่อนจะพูดขึ้นต่อ

   “ซักวันมึงก็จะรู้เอง   มึงอย่าคาดคั้นเอาจากกูหรือไอ้นันต์เลย  รวมไปถึงซิวด้วย    เพราะคงไม่มีใครบอกมึง   ไม่ใช่ว่าเห็นมึงไม่ใช่เพื่อน แต่เรื่องมันซับซ้อนกว่านั้น   กูขอว่าอย่าเพิ่งให้พวกกูต้องลำบากใจที่จะเล่าอะไรให้มึงฟังตอนนี้   ............
   มึงจำเอาไว้แต่เพียงว่า  มึงกับกู  ทำผิดเอาไว้มาก ทั้งต่อต้องและเบสต์ ก็แค่นั้น”     

   จริงซินะ   ผมคิดเอาไว้ต้องเป็นแบบนี้  แต่ผมทำอะไรไว้    จริงแล้วผมควรรู้   แต่เพียงแค่ว่าตอนนี้มีใครกล้าบอก    จริงของไอ้วัจน์  ผมคงไม่ทำให้มันลำบากใจ เพราะตอนนี้จิตใจมันก็ย่ำแย่พอกัน  เด็กหนุ่มที่หน้าตาดี  เพื่อนผมไอ้คนนี้มันดูเปลี่ยนไป   มันดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น  ก็คงเป็นเพราะสถานการณ์รอบข้าง  รวมถึงหลายสิ่งที่มันเปลี่ยนไป  วันนี้ผมบอกกับมันว่าจะไปส่งมันที่หอพัก  ที่มันไปเช่าเอาไว้ใหม่หลังจากที่ออกมาจากโรงพยาบาล  มันตัดสินใจย้ายห้องไปในที่ที่ถูกกว่าเดิม  แถมไกลออกจากโรงเรียนไปมาก    เรื่องตรงนั้นไม่สำคัญเท่าไหร่สำหรับมัน  แต่ที่มันย้ายไปอยู่ที่นั่น เพราะมันใกล้กับโรงพยาบาลที่ต้องรักษาตัวอยู่ 
   มันเคยบอกกับผมว่า  ถึงไม่ได้อยู่ใกล้ต้อง   ไม่เห็นก่อนนอน  แต่ในระดับของสายตา   มันก็ยังสามารถมองต้องจากไกลๆ  ได้
   มันเปลี่ยนไปมาก  ผมรู้สึกได้  มันเปลี่ยนไป  .......... แล้วผมล่ะ    ผมรักซิว    ผมเป็นแฟนกับน้องรินอยู่ไม่ใช่หรอตอนนี้  แต่ทำไมความรู้สึกบางอย่างมันแปลกไป   ทำไมผมมองเห็นแต่หน้าของอีกคนหนึ่งเข้ามาแทนที่ตลอด    ......  เบสต์  .....

ออฟไลน์ chin_va

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0

ตอนที่  29

แค่เพียงชั่วโมงกว่าๆ  หลังจากที่ไอ้เอกมันโทรมาหาผม เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น มันก็เข้ามาอยู่ในร้าน   ผมไม่เจอมันสองวัน  และก็เพิ่งรู้ว่ามันไปกับเบสต์มา   อันที่จริงระหว่างเรื่องไอ้เอกกับเบสต์  ผมและเพื่อนๆ  ไม่อยากจะเล่าให้มันฟัง อยากให้มันจบและวางเพียงแค่นั้น   จริงอยู่ที่ไอ้เอกทำผิดกับเบสต์เอาไว้มาก   แต่การที่มันจะขอโทษเบสต์ มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้   เพราะถ้าขอโทษขึ้นมา ความสงสัยเป็นทุนเดิมอยู่แล้วของไอ้เอก คงจะต้องเพิ่มขึ้นกว่าเดิมอีกแน่นอน   

   “ไอ้วัจน์  กูถามจริงๆ    กูขอความจริงได้ไหม ไอ้ช่วงระยะเวลาตั้งแต่ ม. 5  จนถึง  ม.  6 จนเราเกือบจะจบกันเนี่ย  กูกับไอ้น้องเบสต์เพื่อนของต้องนี่เคยรู้จักกันมาก่อนป่าว”    เป็นไปตามที่ผมคาด   คิดอยู่แล้วว่าซักวันไอ้เอกคงจะต้องถามคำถามนี้ขึ้นมา   ผมนิ่งเงียบ และถ้าเป็นไปได้ ผมก็อยากให้เอกมันจำเรื่องราวทุกอย่างไม่ได้ อย่างที่เป็นเช่นตอนนี้

   “เอก”  ผมเรียกชื่อมันอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจพูดต่อไป

   “ซักวันมึงก็จะรู้เอง   มึงอย่าคาดคั้นเอาจากกูหรือไอ้นันต์เลย  รวมไปถึงซิวด้วย    เพราะคงไม่มีใครบอกมึง   ไม่ใช่ว่าเห็นมึงไม่ใช่เพื่อน แต่เรื่องมันซับซ้อนกว่านั้น   กูขอว่าอย่าเพิ่งให้พวกกูต้องลำบากใจที่จะเล่าอะไรให้มึงฟังตอนนี้   ............
   มึงจำเอาไว้แต่เพียงว่า  มึงกับกู  ทำผิดเอาไว้มาก ทั้งต่อต้องและเบสต์ ก็แค่นั้น”       ใช่แล้ว  ทั้งผมและมันทำผิดเอาไว้มากกับต้องและเบสต์  สำหรับไอ้เอก  มันจะไม่สานต่อก็เป็นเรื่องที่ดี  เพราะในใจผมรู้ตลอดว่ามันรักและชอบซิวมานานแล้ว  ถ้าผมพูดเรื่องราวทั้งหมดไป  ผมไม่รู้ว่าไอ้เอกจะเสียใจหรือเปล่า แต่เบสต์ และต้องคงต้องเสียใจแน่นอน   ผมทิ้งให้มันนั่งอยู่ตรงโต๊ะนั้นเหมือนเดิม ก่อนที่จะถึงเวลา  ที่จะขึ้นไปร้องเพลง   เป็นไปตามที่พี่จักรได้พูดเอาไว้  ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผมไม่ต้องทำงานเสริฟอีกต่อไป  มีหน้าที่อย่างเดียวคือไปร้องเพลง  แต่ข้อเสียอย่างหนึ่ง คือ  เพลงที่ผมร้อง มันมีแต่เพลงเศร้าเท่านั้น  พี่จักรไม่เคยว่า  แม้แต่พี่ภาก็ไม่พูดอะไรเช่นกัน   เพราะคงรู้ดีว่า  ต่อให้ ณ ตอนนี้  ผมจะร้องเพลงที่มันสนุกแค่ไหน  จังหวะเพลงเร็วแค่ไหน  มันก็ไม่ได้อออกมาจากจิตใจของผมจริงๆ   มันเป็นข้อเสียของผมจริงๆ  ที่ไม่สามารถแยกแยะเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานออกจากกันได้  แต่ผู้ใหญ่สองคนของผมนั้นก็ไม่เคยว่าอะไรทั้งสิ้น

   มีคำบางคำ
ที่เก็บเงียบงัน
คอยเฝ้ารอวัน
ที่ควรบอกคำนั้น
ให้เธอได้รับฟัง
ยังพยายาม
ยังทำทุกทาง
ผ่านมาแสนนาน
เพื่อจะสื่อไปหา
ให้เธอได้รู้สึก
แต่ยิ่งทำเท่าไร
กลับเหมือนว่าเธอไม่สน
ยิ่งทำแค่ไหน
ยิ่งเกิดคำถามในใจ
เป็นความเงียบ
ที่ดังข้างใน
เธอเคยรู้สึกไหม
ได้ยินบ้างไหม
เสียงข้างในที่ดัง
ตะโกนฉันรักเธอ
เก็บเอาไว้ข้างใน
เรื่อยมาตลอด
รู้สึกไหม
ได้ยินบ้างไหม
รักที่ฉันนั้นยัง
ไม่เคยได้พูดไป
เก็บเอาไว้ข้างในหัวใจ
ตลอดมา
เป็นความเงียบ
ที่ดังที่สุดในใจฉัน
เป็นความเงียบ
ที่ดังที่สุดในใจฉัน
ควรทำยังไง
ต้องนานเท่าไร
เธอจะเข้าใจว่าทุกสิ่ง
ที่ฉันทุ่มเทเพราะรักเธอ
แต่ยิ่งทำเท่าไร
กลับเหมือนว่าเธอไม่สน
ยิ่งทำแค่ไหน
ยิ่งเกิดคำถามในใจ
เป็นความเงียบที่ดังข้างใน
เธอเคยรู้สึกไหม
ได้ยินบ้างไหม
เสียงข้างในที่ดัง
ตะโกนฉันรักเธอ
เก็บเอาไว้ข้างใน
เรื่อยมาตลอด
รู้สึกไหม
ได้ยินบ้างไหม…


   เป็นเวลาที่ผ่านไปไม่นานนัก แต่หลังจากที่ผมร้องทุกครั้งมันสะกดความเงียบไปทั้งร้าน   มันไม่ได้เพราะอะไรมากนัก   เพียงแต่  คนที่เข้ามาในร้านเค้าคงรู้ล่ะมั้ง ว่าตอนนี้ผมโหยหาความรัก  โหยหาความต้องการมากเช่นไร   เป็นไปดังคาด   ผมเห็นแต่พี่จักรเท่านั้น ที่ยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์บาร์  แต่สำหรับพี่ภา  ผมไม่เห็นแล้วเช่นเดิม   ........  ผมขอโทษ ที่ทำให้พี่สาวของผมคนนี้ต้องร้องไห้อีกครั้งหนึ่ง

   วันเวลาผ่านไปแต่ละวัน  สำหรับผมมันยาวนาน   และมันก็เหมือนกับวนมาซ้ำๆ อยู่ที่เดิม  วันนี้วันหยุด   ผมรีบตื่นแต่เช้า  เพื่อที่จะไปโรงพยาบาล   ป่านนี้คนอื่นน่าจะยังไม่มากัน   ต้องคงหลับเช่นเดิม     ผมแค่หวังไว้ลึกๆ ว่า ถ้าต้องตื่นขึ้นมาแล้ว  ผมอยากให้เค้าเห็นผมเป็นคนแรก  จะจำผมได้ หรือจำไม่ได้ช่างมัน

   ภายในห้องที่ต้องอยู่  จัดเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนเดิม   ผมคิดว่าทุกวันน่าจะมีคนเอาดอกไม้มาเปลี่ยนเสมอ  สำหรับพ่อ  ผมคิดว่าคงผ่านมาบ้าง  แต่น่าจะไม่ทุกวัน เพราะช่วงนี้  เห็นมีข่าวในโทรทัศน์ออกมา ว่าเปิดสาขาใหม่ที่ต่างประเทศอีกแล้ว  แต่สำหรับน้าตา คงจะมาทุกวัน  เพียงแต่วันเสาร์อาทิตย์นั้น  น้าตา คงจะรู้ว่าผมมา เพราะมาทุกครั้ง  ผมจะเห็นน้าตาอีกทีก็เกือบตอนเย็นจะใกล้กลับ   

   เวลามันผ่านไปช้าๆ  ผมอ่านหนังสือให้ต้องฟัง  การ์ตูนเล่มโปรด ที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าอ่านวนไปกี่รอบแล้ว  ต้องชอบการ์ตูนเรื่องนี้  เพราะครั้งหนึ่งตอนเด็กๆ  เคยชมพระเอกว่าหน้าตามันหล่อเหมือนพี่ธิว   พี่ธิวของน้องต้อง .....  ผมยิ้มออกมาอีกครั้ง  ก่อนที่เรื่องเก่าๆ  เหตุการณ์เก่าๆ  มันจะกลับเข้ามาในหัวอีกเหมือนเดิม   ก้มหน้าลงไปพร้อมกับจุมพิตเบาๆ  ที่อุ้งมือขาวสะอาดนั้น   ตื่นมาซักทีเถอะนะ  พี่ขอร้อง  ต้องนอนนานเกินไปแล้วนะ

   บรรยากาศภายในห้องเงียบสงบ  ไม่ได้ยินแม้กระทั้งเสียงเครื่องปรับอากาศ  จนผมไม่รู้ว่ามีใครอีกคนเดิมเข้ามา   ผมไม่รู้ว่าน้าตาเดินมาตอนไหน และเห็นอะไรบ้าง   ผมไม่ชอบที่จะอ่อนแอให้ใครเห็น  เพราะผมไม่รู้ว่าสายตาที่เค้ามองมาหาเรานั้น  เค้าสงสารเรา หรือเค้าสมเพสเรากันแน่ ผมรีบเช็ดคราบน้ำตาที่อยู่บนใบหน้า ก่อนจะลุกยืนขึ้น มือของน้าตาเมื่อซักครู่ปล่อยออกไปจากไหล่ผม  เมื่อรู้ทันทีว่าผมก็ยังไม่เต็มใจนักที่จะรับคำปลอบโยนจากใคร  โดยเฉพาะตัวน้าตาเองก็เหมือนกัน  ผู้หญิงมีอายุคนหนึ่งที่ผมเห็นเมื่อครั้งก่อนนั้นตอนที่อยู่บ้านต่างจังหวัด หน้าตาที่ดูอิ่มเอิบ ผ่องใส  บัดนี้หน้าตานั้นดูเศร้า   อิดโรยและเป็นกังวลไปอย่างมาก  จนผมเองก็อดใจหายเหมือนกัน
   
             ผมไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่ยกมือไหว้เท่านั้น  ช่วงเวลาที่ผ่านมา เหตุการณ์หลายๆ อย่างที่ผ่านมา มันทำให้ผมรู้สึกผิดต่อต้องและก็น้าตาเป็นอย่างมาก   และคงพร้อมที่จะยอมรับความผิดนั้นเพียงคนเดียว  น้าตาเดินอ้อมไปอีกด้าน  มองหน้าผมอีกครั้งและยิ้มให้อย่างเศร้าๆ  มือทั้งสองข้างเอื้อมไปคว้าจับข้อมือเล็กๆ   ของคนที่นอนหลับอยู่บนเตียง นั้นอย่างเบามือ และทนุถนอม ไม่มีน้ำตาไหลออกมาจากคนที่อยู่ตรงหน้าผม 
   
                “พี่เค้ามาเยี่ยมนะลูก   พี่เค้ามาทุกอาทิตย์เลย  คืนนี้แม่กับลุงธินไปงานเลี้ยงที่บริษัทฯ   มา  ผ่านมาทางนี้เลยมาเยี่ยมลูกด้วยนะ”   

                  น้าตาพูดไปพร้อมกับจับมือของต้องแล้วลูบไปเรื่อยๆ อย่างรักใคร่   ส่วนตัวผมกลับไม่กล้ามองภาพที่อยู่ตรงหน้านั้น และเสหันมองไปทางอื่นเสีย   เพราะไม่อยากเห็นสิ่งที่มันทำให้ใจปวดร้าวหนักไปกว่าเก่า  เพียงครู่เดียว คนที่ผมคิดว่าเค้าคงเกลียดผมไม่น้อยไปกว่าใคร   ก็เดินเข้ามาในห้องที่ต้องนอนอยู่   พ่อสวมสูทสำหรับชุดออกงานกลางคืน  ก็คงอย่างที่น้าตาว่า   พ่อกับน้าตาคงไปงานเลี้ยงที่ไหนซักแห่ง ซึ่งผมก็ไม่ค่อยจะได้สนใจมากนัก  พ่อไม่ได้มองที่ผมอยู่ตรงนี้   กับมองข้ามแล้วก็เดินไปใกล้ทางน้าตาไม่ได้สนใจซักนิดว่าผมจะยกมือไหว้หรือเปล่า   หางตาก็ไม่ได้มองด้วยซ้ำ
   
              “พยาบาลไปไหน”    เสียงของพ่อผมถามขึ้นมาลอยๆ    น้าตาไม่ได้ตอบ  แต่ก็เป็นผมที่ตอบกลับไป
   
              “ออกไปข้างนอก เมื่อตอนที่ผมเดินเข้ามา  น่าจะแค่ห้านาที”     

                “แล้วเมื่อไหร่แกจะกลับไปที่พักของแก”   ผมไม่รู้ว่าพ่อถามเพราะเป็นห่วงหรือยากไล่ให้ผมกลับ เพราะไม่อยากเห็นหน้ากันแน่  แต่ถ้าฟังจากน้ำเสียง  ความเป็นห่วงซักนิดมันก็ไม่มี   และมันก็คงเป็นอย่างหลังมากกว่า ผมไม่ได้โกรธที่พ่อพูดแบบนี้  ไม่ได้เสียใจ  แต่มันน้อยใจต่างหาก  ไอ้ลูกคนนี้มันไม่ใช่ลูกของพ่อแล้วใช่ไหม 

                  “อีกซักพัก  ผมยังไม่ง่วง  ....”   น้ำเสียงพยายามไม่ให้มันสั่น  และผมก็เก็บอารมณ์นั้นไว้ได้อยู่    จะอยู่ก็อยู่กันไป  ผมก็จะอยู่ของผมอย่างนี้  หางตาที่ชำเลืองมองไป เหมือนน้าตาจะพยายามบีบแขนของพ่อผมเอาไว้  คงจะให้ผ่อนอารมณ์ลงไปบ้าง

                “เดี๋ยวผมออกไปรอคุณข้างนอกนะ”   พ่อผมพูดกับน้าตา  โดยไม่หันมามองผมอีก ก่อนที่จะสาวเท้าก้าวออกจากห้องไป  ผมย้ายตัวเองเข้ามานั่งอยู่ตรงโซฟารับแขก  ห้องทั้งห้องเงียบสงัด  จะได้ยินก็เพียงเสียงเครื่องช่วยหายใจที่ต้องใช้อยู่ก็เท่านั้น แต่มันก็เบาซะเหลือเกิน    ผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่จนผู้หญิงที่อยู่ในห้องด้วยกันเข้ามานั่งข้างๆ ผม

                 “ธิวมาตั้งแต่เมื่อไหร่”  เสียงของน้าตา พูดเบาๆ แต่ผมก็ได้ยิน

                  “ก่อน......   จะเข้ามาซักสิบนาที”  ผมเคยเรียกเค้าว่าน้าตา   แต่หลังจากที่เกิดเรื่อง  ผ่านมาเกือบสิบปี   ผมแทบจะไม่เรียกชื่อของเค้าอีกเลย    จะให้เรียกกลับไปเหมือนเดิมก็ไม่สะดวกใจนัก   ผมก้มหน้าลงไปมองที่พื้นไม่กล้าที่จะสบตา คนที่อยู่ข้างๆ   เสียงที่ดูอบอุ่น  เสียงที่ดูเป็นผู้ใหญ่ของสตรีคนหนึ่ง มันทำให้ผมคิดถึงแม่

           “หิวข้าวไหม .....  ลูก”   

           ถึงผมจะพูดกับเค้า   แบบไม่ค่อยสัมมาคารวะเท่าไหร่ ถึงผมจะพูดกับเขาในทำนองที่เด็กไม่ควรพึงคุยกับผู้ใหญ่เท่าไหร่ แต่น้าตาก็ไม่เคยถือสาผม  ผมไม่ตอบ เพียงแต่ส่ายหน้าเท่านั้นเป็นเชิงปฏิเสธ    นานแล้วที่ไม่มีใครเรียกผมว่า “ลูก”

               “ธิว ดูผอมไปนะ   กินข้าวบ้างหรือเปล่า”   

                มือของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ  ผม เอื้อมมือมาจับอย่างช้าๆ  นี่ซินะ  มือของคนที่ว่าเป็นแม่ ฝ่ามือทั้งสองนี้ ผมสัมผัสได้ถึงความห่วงใย สัมผัสได้ถึงความอบอุ่น  ที่มันหายไปจากจิตใจผมไปนานแสนนาน   ใจผมมันไม่ได้แข็งแรงมากนักอย่างที่ใครหลายๆ  คนเข้าใจ     แต่มันเจ็บช้ำมากว่าเก่า ที่รู้ว่ามือคู่นี้ เคยทำให้ดวงใจของผู้เป็นแม่คนหนึ่งต้องเกือบจะสลายลงไป ผมทำร้ายลูกของคนที่เค้าเป็นห่วงเป็นใยผม  ผมทำร้ายลูกของคนที่เค้ามีแต่ความรู้สึกดีๆ  ให้ผมมาโดยตลอด    ผมไม่ตอบอะไรทั้งสิ้น  มันพูดไม่ออกมันจุกไปหมด  มือทั้งสองข้างของน้าตา ยังคงกุมมือผมอยู่  แต่ก็ไม่ได้แน่นมากนักและตอนนี้มันเริ่มสั่น พร้อมกับเสียงเครือๆ ที่พูดกับผมต่อ  ไม่ใช่คำถาม หรือไม่ได้คำบอกแต่มันคือการขอร้อง

                  “ถ้าต้องฟื้นขึ้นมา   ธิว จะอภัยให้น้องได้ไหมลูก   ธิวจะอภัยให้น้าได้ไหม  ..... อภัยให้เราสองแม่ลูกได้ไหม   น้าขอเถอะนะ  น้ามีลูกชายแค่คนเดียว  ต้องรักธิวมากนะ  เค้าไม่เคยมีพี่ชายคนไหนเลย  เค้าไม่เคยสนิทกับใคร  วันที่ธิวออกจากบ้านไป ต้องเค้าร้องไห้ตลอด   น้าขอเถอะ  ขอร้องจากผู้หญิงคนหนึ่ง ให้อภัยเถอะนะ....”
   
                มันไม่ไหวแล้ว  พอเถอะครับ   ผมขอร้อง อย่าทำแบบนี้อีกเลย  น้ำตาที่กลั้นเอาไว้ เพราะไม่อยากให้ใครเห็น มันค่อยๆ ไหลออกมา ผมเลวมากเหลือเกิน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานี่  มันไม่มีคำตอบอะไรออกไปออกจากปากผมไปทั้งสิ้น เพราะมันพูดไม่ออก   มือข้างที่น้าตากุมอยู่   ผมกุมมือนั้นกลับ  และกระชับให้แน่นขึ้น  ก่อนจะผ่อนคลายลงไป   
   
                 ถึงเวลาแล้วซินะ   บัดนี้  ทุกสิ่งทุกอย่างมันได้พิสูจน์ออกมาแล้วว่าเป็นอย่างไรบ้าง ความคิดของเด็กเมื่อเกือบสิบปีที่แล้ว  ความโกรธ เกลียด  แค้น  ผมคิดไปเองทั้งนั้น  ผู้หญิงคนที่อยู่ข้างๆ ตรงนี้  ไม่เคยคิดจะมาแทนที่ของแม่ผมแต่อย่างใด   แต่คราวนี้มันคงถึงเวลาแล้ว  ถ้าหากเขาคือแม่คนที่สองของผม  ผมก็ต้องยอมรับในความดีที่ผ่านมา   และก็ยอมรับมันด้วยใจที่บริสุทธิ์
   
                  การกระทำมันมากกว่าคำตอบ  ผมค่อยๆ  ปล่อยมือออกจากน้าตา  และนั่งลงไปข้างล่างที่ต่ำกว่า   คุกเข่าต่อหน้าผู้หญิงคนหนึ่ง  ผมไม่รู้ว่าพ่อเปิดประตูมากลับตั้งแต่เมื่อไหร่ น้ำตาไหลอาบแก้มจากคนทั้งสองคน บัดนี้พ่อผมได้เห็น  น้าตาร้องไห้  ซึ่งไม่ต่างอะไรกับผมที่ร้องไห้อยู่เช่นกัน  น้าตาคงสงสัยว่าผมกำลังจะทำอะไร และก็คงจะตกใจพอๆ กัน ว่าตลอดทั้งชีวิตนี้ คงไม่คิดว่าผมจะทำ  ผมค่อยๆ ก้มลงไป  และกราบกับแทบเท้า  และก็กราบอยู่อย่างนั้น   สิ่งที่ผมทำไม่ได้หวังให้น้าตาลิกเกลียดผม ไม่ได้หวังให้รักผม  หรือไม่ได้หวังให้ผมเป็นลูกของท่านคนหนึ่ง  แต่ผมหวังอย่างเดียวว่า  น้าตาคงจะอภัยให้ผมในสิ่งที่ผ่านๆ มา  เสียงของน้าตาร้องไห้ดังขึ้น จะกลายเป็นเสียงสะอื้น   นานเท่านานกับเวลาที่ผ่านไป มือข้างที่กุมมือผมอยู่เมื่อซักครู่นี้ค่อยๆ มาลูบหัวผมช้าๆ  มันเป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครก็แล้วแต่ไม่สามารถจะอธิบายได้ การกระทำมันมากกว่าคำพูดจริงๆ  ผมเชื่ออย่างนั้น  ขอบคุณ ขอบคุณจริงๆ ที่อภัยกับคนเลวๆ  อย่างผมเช่นนี้

                  “ผมขอโทษครับน้าตา  ขอโทษครับ   ขอโทษที่ผมทำกับน้า   ขอโทษที่ทำกับต้อง ทุกๆอย่างที่ผ่านมา  ผมขอโทษ ฮือๆๆๆ ..... ขอโทษครับ  !!!!!”   

                  ผมพูดแต่คำว่าขอโทษ ซึ่งต่อให้ไม่รู้กี่ร้อยครั้งมันก็ยังไม่สาสมเท่า  ผู้หญิงที่อยู่เบื้องบนของผมนี้  ไม่พูดอะไรทั้งสิ้น นอกจากลูบหัวผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า แรงสะอื้นยังมีมากขึ้นกว่าเดิม   มือทั้งสองข้างย้ายมาจับที่บ่าของผม ก่อนจะพยายามดันมันขึ้น ไม่ให้ผมก้มลงกราบๆ    มันทำให้ผมเห็นใบหน้านี้ได้ชัดมากยิ่งขึ้น น้าตาจ้องหน้าผม มือทั้งสองข้าง  ลูบไปที่แก้มตอบๆ ของผมทั้งสอง ก่อนจะพูดขึ้นอย่างช้าๆ

                 “ขอบใจเหลือเกิน   ขอบใจมาก  ธิวรู้ไหม  น้าไม่เป็นสุขเลย เมื่อวันที่ธิวออกจากบ้าน  น้าไม่เคยเป็นสุข  ที่ธิวไม่อยู่   บ้านมันไม่ใช่ครอบครัว  ต่อให้หลังใหญ่ขนาดไหน เมื่อขาดคนที่เรารักไป  มันก็ไม่ใช่บ้าน  น้าไม่เคยเข้ามาแทนที่แม่ของธิว  น้าไม่เคยคิดว่าตัวเองคือคุณผู้หญิงของบ้าน  น้าไม่เคยใช่คุณหญิงของวัจนสกุล    น้าเป็นเพียงน้าตา   แม่ค้าขายของในตลาด และมีลูกชายอยู่เพียงสองคนเท่านั้น  .......    ลูกชายของน้าคนหนึ่งยังไม่ยอมตื่นขึ้นมา ส่วนอีกคน  คนที่น้าคิดว่าคือลูก เค้าก็ห่างหายไป จนน้าเองก็ใจหาย  ขอร้องล่ะธิว ลูกเอ๋ย   อย่าไปไหนอีก อย่าทิ้งพ่อไป อย่าทิ้งน้าไป  พ่อกับน้าใจจะขาด   ใจมันจะขาด  อย่าไปอีกเลยนะ”   

              มือสองข้าง ที่จับแก้มผมอยู่  มันถ่ายทอดออกมาหมด  ความรักใคร่   ห่วงใย  ท้อใจ   สิ้นหวัง   สารพัด  ที่ผมรู้สึกได้   ผมร้องไห้ตลอดระยะเวลาที่น้าตาพูด   นิ้วของน้าตาเกลี่ยน้ำตาผมออกตลอด คล้ายๆ กับว่าไม่อยากเห็นน้ำตาของผมอย่างนั้น  น้าตาขอร้องพูดตลอดให้ผมหยุดร้องไห้ แต่น้าตากลับร้องไห้หนักกว่าเก่า      บัดนี้ทุกสิ่งทุกอย่าง  กำแพงแห่งความเกลียดชัง  ระหว่างผมกับน้าตา มันได้หมดไปแล้ว    ถึงน้าตาไม่อยากจะรับตำแหน่งนั้น  แต่ผมอยากให้น้าตาเป็นเหลือเกิน   ..........   เป็นแม่ผมได้ไหม 

               “แม่  แม่ครับ ผมเรียกแม่ได้ไหม ได้ไหมครับ”  พูดไป ผมก็ร้องไห้   น้าตาร้องไห้ พร้อมกับพยักหน้า
   
                “ลูกแม่ ขอบใจเหลือเกิน ขอบใจที่อภัยให้  อย่าไปไหนอีกเลยนะ  แม่ไม่รู้ว่าต้องจะเป็นไงบ้าง แม่กลัว  กลัวเหลือเกิน  แม่ขอร้องธิว อย่าไปไหนอีก อยู่กับแม่ อยู่กับพ่อเป็นกำลังใจให้เราสองคนด้วย”  คนที่ขอร้องการให้อภัย  คือผมต่างหาก แต่ก็ขอบคุณเหลือเกินที่เป็นแบบนี้   พ่อผมมานั่งข้างๆ  เมื่อไหร่ก็ไม่รู้  มือของท่านกระชับแน่นที่บ่าของผมเหมือนกับให้กำลังใจ  ผมเคยกอดพ่อตั้งแต่ตอนเด็กๆ  แต่ตอนนี้ผมอยากกอดพ่อผมเหลือเกิน ผมยังกลัวจริงๆ  กลัวว่าต้องจะไม่ฟื้นขึ้นมา  ถ้าเป็นอย่างนั้นผมจะทำอย่างไร
   
              “พ่อครับ   แม่ครับ   ผมกลัว  กลัวต้องหนีผมไป  ฮึก ฮึก  ผมกลัว    เอาชีวิตผมไปก็ได้ครับ ถ้าจะทำให้ต้องฟื้นขึ้นมา  ฮือๆๆๆๆ  ผมกลัว กลัวเหลือเกิน”   

……………….
……………….
……………….
……………….   ติ๊ดดดดด
……………….
……………….
……………….
……………….  ติ๊ดดดดด


“น้ำ  ....  ผมหิวน้ำ”   

มันไม่ใช่เสียงของผม ไม่ใช่เสียงของพ่อ และไม่ใช่เสียงของน้าตา


แต่เป็นอีกเสียงที่ผมเฝ้ารอมานานแสนนาน

“ต้อง !!!!!!!”    ผมตะโกนออกไปสุดเสียง
   
มันไม่ใช่เสียงของผม ไม่ใช่เสียงของพ่อ และไม่ใช่เสียงของแม่ 

แต่เป็นอีกเสียงที่ผมเฝ้ารอมานานแสนนาน

“ต้อง !!!!!!!”    ผมตะโกนออกไปสุดเสียง 

“ต้องๆ  ได้ยินเสียงพี่ไหม  !!!  พ่อครับ  ต้องตื่นแล้ว” 
 
                    ผมดีใจจนสุดขีด  แม่ทำอะไรไม่ถูก เงอะงะไปหมด    ความดีใจ บวกกับความตกใจ แต่อย่างไงพ่อผมก็ยังตั้งสติได้อยู่  ผมเขย่าตัวต้องถึงจะไม่แรง  แต่ก็น่าจะทำให้คนที่นอนอยู่ตรงนี้รู้สึกตัว   ผมหอมที่ฝ่ามือของน้อง  ทั้งหอมทั้งเขย่าจนมั่วไปหมด  ไม่ได้ยินเสียงรอบข้างจากใครทั้งสิ้น  ผมไม่รู้ว่าพ่อตะโกน หรือเรียกพยาบาลดังขนาดไหน ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่ แต่สำหรับผมตอนนี้มันเป็นความสุขของผมอย่างที่สุด   แม่ยิ้มทั้งน้ำตา   มาอยู่ข้างๆ  เตียงที่ต้องนอนอยู่ จับมือของต้องแน่น  ต้องยังคงเพ้อขอน้ำอยู่  จนพยาบาลที่เข้ามาต้องให้น้ำ และให้น้องเค้าจิบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น   แต่ว่าคนที่ต้องการน้ำ ยังจะขอซ้ำอีกเรื่อยๆ   ดวงตาที่หลับอยู่ค่อยๆ  เผยอออกมาทีละนิดๆ  ต้องไม่ได้หันมามองทางผม แต่ยังมองบนเพดานอยู่ จนแม่เรียกชื่อซ้ำอีกครั้ง

                    “ต้อง  !!!!  มองหน้าแม่นะลูก  ลูกฟื้นแล้ว  ฟื้นแล้วนะ”

                    น้าตาผวาเข้าไปกอดร่างเล็กๆ ที่นอนซมอยู่บนเตียง   ร้องไห้ด้วยความดีใจอย่างดัง จนพ่อผมต้องเข้าไปปลอบ เจ้าดวงใจของผมมองหน้าไปที่แม่ และพ่อ ยิ้มเพียงมุมปากเท่านั้น  ก่อนจะหลับตาด้วยความเหนื่อยอ่อน เสียงนั้นแผ่วเบามาก แต่น้ำเสียงก็ยังคงความกังวลอย่างเห็นได้ชัด    ต่อให้เสียงพูดนั้นบางเบาขนาดไหน แต่ผมก็ยังได้ยินมันอยู่ชัดเจน คำพูดที่ต้องถามแม่ มันทำให้ผมชาไปหมดทั้งตัว

                “แม่  ...... พี่ธิว   พี่ธิว    เป็นไงบ้าง”

 ................    ไม่ห่วงตัวเองบ้างเลยหรือ   ต้องห่วงพี่อยู่ใช่ไหม   ต้องรู้ไหมว่าเลือดของต้องทำให้พี่ฟื้นขึ้นมา   แรงใจของต้องทำให้พี่ฟื้นขึ้นมา    ต้องยังมองหน้าแม่อยู่  น้ำตาจากดวงตาเล็กๆ  ไหลผ่านแก้มใสๆ  จนผมมองเห็นแม่ยิ้มให้ ยิ้มแต่ก็ยังร้องไห้สะอื้นอยู่ มันทำให้แปรความหมายไปอีกแบบ ต้องร้องไห้หนักขึ้น และมองไปยังแม่ และพ่อ สลับกันไป พยายามที่จะลุกขึ้น แต่ก็ไม่มีแรงพอ ทำได้แต่เพียงกอดแม่และหันหลังให้ผมเท่านั้น   

          “ฮึก  ฮึก  !!!!  แม่   พี่ธิวอยู่ไหน    พี่ธิวเป็นไงบ้าง” 

             ต้องกอดแม่ และร้องไห้อยู่อย่างนั้น  ส่วนแม่ก็เอาแต่ลูบหลังแล้วก็ปลอบอยู่  ต้องไม่เห็นผมเลย  ไม่ได้มองมาด้านหลัง ทั้งๆ  ที่ผมอยู่ตรงนี้นี่เอง   ความสงสารจนจับใจ  ร่างเล็กๆ ที่กอดแม่อยู่นั้นสะอื้นไห้จนตัวโยน   เป็นห่วงผมขนาดนี้  รักผมขนาดนี้ และทำเพื่อผมขนาดนี้ ทำไมนะ   ทำไมที่ผ่านมาผมจึงร้ายได้ขนาดนั้น ผมถึงเลวได้ขนาดนั้น 

              “........ ต้อง........”   

              เสียงเรียกที่ผมเรียกไป ไม่ดังนัก แต่มันก็หนักแน่น จนทำให้คนที่ผมเรียก ปล่อยออกจากอ้อมกอดของแม่ และหันหลังมาอย่างช้าๆ   ต้องเหมือนไม่เชื่อตัวเอง  เหมือนไม่เชื่อเสียงที่ได้ยินอยู่   แต่สิ่งที่ต้องเห็น รอยยิ้มเกิดขึ้นบนใบหน้าที่มีแต่คราบน้ำตา  ต้องมองผมก่อนจะเคลื่อนตัวมาอย่างช้าๆ    แต่สิ่งที่มองเห็นเหมือนกับจะยังไม่เชื่อสายตา  มือเล็กๆ ทั้งสองข้างทั้งๆ  ที่ยังมีสายน้ำเกลืออยู่ ค่อยๆ สัมผัสที่ใบหน้าผมช้าๆ น้ำตาที่พร่ามัวทำให้ต้องมองเห็นผมได้ไม่ชัด ผมปล่อยให้ต้องทำอยู่อย่างนั้น   ให้รู้ว่าผมอยู่ตรงนี้ ไม่ไปไหน คนที่ต้องตามหาอยู่ตรงนี้  และผมไม่มีวันที่จะทิ้งไปเด็ดขาด   น้ำตาแห่งความดีใจ  ผมหลั่งมันออกมาอย่างไม่อาย  ต้องเหมือนแม่ นิ้วเล็กๆ พยายามเกลี่ยน้ำตาของผมทิ้ง เหมือนกับไม่อยากเห็นน้ำตาของผมอย่างนั้น   มันทำให้ผมยิ่งร้องไห้หนักไปกว่าเดิม 

            ผมค่อยๆ  จับมือที่สัมผัสอยู่บนใบหน้าผมทั้งสองข้างอย่างช้าๆ กอบกุมข้อมือเล็กๆ นั้นไว้อย่างทนุถนอม   ก่อนจะเลื่อนมันลง แล้วเข้าไปสวมกอดคนที่ผมคิดถึงมานานแสนนาน   ความสุขที่สุดในชีวิตของผมกลับมาแล้ว  ต้องร้องไห้สะอื้นหนักไปกว่าเดิม  จนพยาบาลจะบังคับให้นอน  มือเล็กๆ ทั้งสองข้างกอดผมกลับ ทั้งกอด ทั้งทุบหลัง ผม แต่ผมไม่เคยเจ็บเลย   

                 “พี่ธิวฟื้นแล้ว  พี่ธิวหายแล้ว  ต้องดีใจ  ดีใจที่สุดเลย”   

 เจ้าตัวเล็กร้องไห้  พูดไปก็ร้องไห้ไป   ความเป็นเด็กยังคงมีอยู่ไม่เปลี่ยน หน้าเล็กๆ ของมันซุกอยู่ตรงไหล่  ผมปล่อยให้ต้องตีหลังผมอยู่อย่างนั้น   ไม่ว่าจะดีใจ  หรือจะอ้อนอะไรทั้งหมดผมก็ยอม  เพื่อให้ต้องฟื้นกลับมา  และตอนนี้เค้าก็ฟื้นกลับมาแล้ว  ต้องร้องไห้จนตัวโยน  จนพยาบาลต้องพยายามให้กลับลงไปนอนแบบเดิม  เพราะว่าต้องเพิ่งฟื้นมา แล้วร่างกายก็ไม่ได้แข็งแรงอะไรมากนัก  ร่างกายที่อ่อนแอ บวกกับเพิ่งฟื้นขึ้นมา  ทำให้ผมพยายามบอกกับต้องว่าให้กลับลงไปนอนแบบเดิม  แต่ไม่มีทีท่าว่าไอ้ตัวเล็กนั้นจะกลับนอนลงไปเลย

              “ฮือๆ   พี่ธิว ........”      ทำไมต้องร้องไห้มากกว่าปกติ

“พี่ธิว .... ฮึก  ต้อง ….. ต้องปวดหัว  ฮือๆๆๆๆ ต้อง.....  ปวด  .... หัว  พี่ธิวอย่าทิ้งต้องไปไหนนะ”     
สิ่งที่ต้องพูด มันทำให้ผมตกใจอีกครั้ง เพิ่งฟื้นแท้ๆ อย่าเป็นอะไรไปอีกเลยนะ   สิ่งที่ต้องพูดไปอย่างนั้น ทำให้ตอนนี้ทั้งคุณหมอประจำเวร และพยาบาลต้องบอกให้ต้องนอนลงไปอีกครั้ง   ผมไม่รู้ว่าตอนนี้คนรอบข้างมากันเยอะแยะอะไรขนาดนี้ ทั้งคุณหมอ  นางพยาบาลที่แม้จ้างเอาไว้ และพยาบาลประจำเวรมาอีกสองถึงสามคน

“ต้องครับ  พี่อยู่นี่ ไม่ทิ้งครับ  นอนก่อนนะ ต้องเพิ่งฟื้นยังไม่หายไข้ดีเลยนะ” 

ผมพูดไปพร้อมกับลูบหัวอยู่อย่างนั้น ตอนนี้ต้องนอนลงไปแล้วตามที่หมอสั่ง ดวงตาเริ่มปิด แต่ก็ยังส่ายหน้าอยู่อย่างนั้น ดวงตาต้องเริ่มหลับ  แต่ก็ยังไม่ยอมหยุดร้องไห้  ทั้งร้องไห้และพูด จนเหมือนเพ้อ

“ฮือๆ  อย่าทิ้งต้องไป พี่ธิว...... พี่ธิวใจร้าย  อย่าทิ้งต้องไป”    ผมอยู่ข้างๆ นะ  ต้องไม่เห็นผมหรือ

“พี่ธิว   พี่ธิวไปไหน   พี่ธิวใจร้ายทิ้งต้องไปไหน”   




ออฟไลน์ chin_va

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
ตอนที่  30   ตอนพิเศษ   ความทรงจำ

   ทำไมมืดแบบนี้นะ ........  ทั้งมืด  และเศร้าจัง

   ผมมองไปรอบๆ  หลังจากที่ตื่นขึ้นมา   ที่นี่คือที่ไหน  ไม่ใช่บ้านเรานี่นา   เพราะถ้าที่บ้าน  ผมจะต้องเจอแม่  จะต้องเจอลุงธิน  แต่นี่ไม่มีใครอยู่เลย
   
   มืด  เงียบ   และสงบ   ถูกต้องแล้ว  ผมคือต้อง  ผมตื่นขึ้นมาแล้ว  แต่ไม่รู้ว่ามาตื่นที่ไหน  ที่ตู้เสื้อผ้านั้น  มันจะยังมีชุดนักเรียนหรือเปล่านะ  วันนี้แล้วซินะ ที่ผมต้องโดดข้ามชั้นปีที่เรียนไปอีก  1  ขั้น  ใช่แล้ว  ผมกำลังจะขึ้น  ป. 3  ไปเรียนดีกว่า  ถึงจะเจอเพื่อนใหม่ๆ  บ้าง แต่ก็ไม่เป็นไร   ผมไม่มีใคร  ไม่มีเพื่อน ไม่มีพี่  ไม่มีน้อง  ผมคือลูกคนเดียวของแม่
 
   แต่ทำไมถึงได้สับสนแบบนี้นะ  ผมเรียน ป. 3  หรือ  ม.  5 กันแน่   ไม่ใช่แล้ว ....  นี่คือเรื่องบ้าที่สุด   ทำไมในกระจก ผมถึงตัวโตขนาดนี้  ชุดนักเรียน ไม่ใช่ชุดของเด็กประถมนี่นา  แต่มันคือชุดของนักเรียนมัธยม
 
   ผมหยุดนิ่ง แล้วคิดอยู่ชั่วครู่  นั่งก่อนดีกว่า ก่อนที่อะไรๆ  มันจะทำให้ผมงงไปมากกว่านี้   ........  ความทรงจำเริ่มเข้ามาแทนที่เรื่อยๆ  ถูกต้องแล้ว ตอนนี้ผมอยู่บ้านหลังเก่า  บ้านที่ผมอยู่กับแม่เพียงสองคนหลังจากที่พ่อผมเสียไป   แล้วแมวล่ะ  ผมมีแมวอยู่ตัวหนึ่งนี่  อ้วนพีอยู่ตรงไหน  ....    ผมยิ้มให้กับความรู้สึกของตัวเอง  ก่อนจะเดินออกจากประตูห้องไป  บ้านยังคงหลังเดิม  แต่เครื่องเรือน  เฟอร์นิเจอร์ ไม่มีเลยซักชิ้น  มันเป็นเพียงบ้านเปล่าๆ  ทาสีขาว  หมอกจางๆ  ที่ทำให้ผมคิดว่า นี่น่าจะเป็นฤดูหนาว ในยามเช้า

   เสียงเครื่องจักรที่อยู่ตรงข้ามบ้าน   ใช่ .....  มีบ้านหลังหนึ่งกำลังปลูกใหม่  หลังใหญ่ซะด้วย   แต่ปลูกนานแล้วนี่  ทำไมถึงยังไม่เสร็จซักทีหนึ่งล่ะ   ผมจำได้  ปลูกตั้งแต่ผมยังอยู่ประถมเลยไม่ใช่หรอ

   เกิดอะไรขึ้นกันแน่

   ตอนนี้ผมอายุเท่าไหร่    และทำไมบ้านถึงได้ว่างเปล่าเช่นนี้

   ก่อนจะทำอะไรให้มันงงมากกไปกว่านั้น   ผมตัดสินใจเดินออกไปนอกบ้านอีกครั้ง    ยิ่งเดินออกไป  มันก็เหมือนผมย้อนเวลา  .....  ใช่แล้ว  ผมย้อนเวลาจริงๆ ด้วย   ดีจัง  .... ได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ยิ่งเดินออกไป มันก็ยิ่งทำให้ผมตัวเล็กลงไปเรื่อยๆ  ลงไปเรื่อยๆ 

   ถูกต้องแล้ว  ผมยังอยู่เพียงแค่  ป. 3  เท่านั้น

   ไปหาอ้วนพีดีกว่า  น่าจะยังอยู่บนต้นมะขาม ชอบแอบไปซนข้างบนอยู่เรื่อย  ผมยิ้มให้กับตัวเอง  หมดความสงสัยอะไรในตัวเองทั้งสิ้น    ไม่สงสัย  ไม่จำอะไร  มันเป็นเรื่องว่างเปล่าจริงๆ  และมันก็ไวเท่าความคิดของผมนั้นแหละ  วัยเด็กของผมกลับมาแล้ว  กลับมาได้อย่างไรก็ช่างมัน  ตอนนี้เช้าๆ  แบบนี้ ถ้าจำไม่ผิด  แม่ผมคงจะเอาขนมไปขายที่ตลาด  ตอนนี้ไปหาอ้วนพีก่อนดีกว่า

   “อ้วนพี !!!!!!!!  อ้วน  ไอ้อ้วน  ไอ้อ้วนพี”  น้องชายผมมันหายไปไหน   อันนี้ผมใช้อารมณ์จินตนาการเอาเองนะ  ว่าแมวคือน้องชาย   อย่างน้อย  ผมก็อยากมีพี่น้องกับเค้าเหมือนกันซักคนนี่นา   จะน้องชาย  หรือ พี่ชายก็ได้  ผมไม่เกี่ยง   ......... อยากมีพี่ชายซักคนจัง.......

   ระยะทางจากตรงประตูหน้าบ้าน  กับตรงต้นมะขามมันไม่ไกลกันมาก     แต่ก่อนที่จะเดินไปถึง ผมก็ต้องสะดุดกับอะไรบางอย่าง

   ....ตุ๊กตา อุลตร้า....   มันคือของขวัญวันเกิดชิ้นสุดท้าย ที่พ่อผมให้ไว้ ก่อนที่ท่านจะจากไปจากโลกนี้    ผมรีบอุ้มมันมาไว้กับตัวทันที   ปกติผมไม่เคยทิ้ง  ตุ๊กตาตัวนี้ทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้ล่ะ  ........  ทั้งตัวของมัน มีรอยไหม้  .....  ใครกันนะ   มาเผาตุ๊กตาของผม   

   ผมไม่ได้เสียใจ   เพราะมันไม่ได้หายไปไหน  เสียหายไปบ้าง แต่ก็ยังคงอยู่   จะใครเผาก็แล้วแต่  แต่มันกลับมาหาผมแล้วนี่นา   ไม่เป็นไร   เดี๋ยวเอาไปซ่อมซักหน่อยก็คงหาย

   “เมี๊ยววววว  !!!!!”  นั่นไง  ไอ้ตัวก่อกวน  อยู่บนต้นมะขามจริงๆ  ด้วย

   “รอแป๊บ  ไอ้อ้วน  เดี๋ยวขึ้นไปรับ”   มันเป็นแมวที่ขึ้นเองได้  แต่ลงไม่ได้  ผมต้องปีนขึ้นไปรับมันตลอด
   ผมวางตุ๊กตาไว้ตรงโคนต้น ก่อนจะปีนขึ้นไป  สงสัยเกิดปีวอก  แป๊บเดียว ผมก็อัญเชิญตัวเองขึ้นไปอยู่บนต้นมะขามเรียบร้อย   แต่วันนี้มันดันทำไมถึงปีนขึ้นไปสูงกว่าเดิมอีกล่ะ 
   
   “เมี๊ยวววววว  !!!”   

   “ก็มันไม่ถึงนี่นา....”     จะร้องเรียกทำไมเนี่ย   กิ่งมันเล็ก  ผมไม่กล้าปีนขึ้นไปอีกหรอก มันปีนขึ้นไปได้ ครั้งนี้มันต้องกลับมาเองได้แล้ว   

   อ๋อ !!!  ผมรู้แล้ว ว่าทำไม มันถึงปีนไปสูงกว่าเดิม ที่แท้  แอบจะมากินลูกนกนี่เอง  ไอ้แมวก่อกวน  ไอ้นี่  ไปเอาเชื้อโหดมาจากไหน 

   “ก็ไปยุ่งกับมันก่อนหรือเปล่าล่ะ..... ถ้าขึ้นไปอีกทีจะฟ้องแม่ด้วยยยย”  ผมแกล้งๆ  ขู่ไปอย่างนั้น  แต่จริงๆ  ต่อให้อ้วนพีมันผิดแค่ไหน  ผมก็ไม่เคยเอาไปบอกแม่หรอก

   “ใครอ่ะ !!!”     ผมหันมองลงไปข้างล่างทันที  เหมือนมีคนมาเรียก
 
   แต่เปล่า  ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น    เอาล่ะ   ถ้าอย่างนั้นก็แกล้งไอ้จอมกวนนี่ซะหน่อย  ดันจะไปกินลูกนกซะได้  น่าสงสารจะตาย  ดีนะ  ผมเอาตุ๊กตาวางไว้ตรงโคนต้นไม้พอดี   เอาเป็นว่า อุลตร้าของพ่อ   ช่วยผมหลอกไอ้อ้วนพี่ให้หน่อยแล้วกันนะ
   
   “พี่เป็นใครอ่ะ !!!!”  ผมแกล้งๆ  พูดลงไป   กับตุ๊กตา

   “พี่เพิ่งย้ายมาเมื่อวานครับ บ้านหลังนั้น”   ผมดัดเสียงให้ดูแข็งๆ คล้ายหุ่นยนต์    ใช้ได้  ไอ้อ้วนพีมองหน้า  แถมเอียงคอนิดหนึ่ง   สงสัยใช่ไหมล่ะ   555555 

   “อ๋อ....   เห็นสร้างตั้งนาน ที่แท้เจ้าของก็มาแล้วนี่เอง......”    อันนนี้น้ำเสียงปกติของผมเอง  ก่อนที่จะพูดต่ออีกทีหนึ่ง   

   “นัญมาตามอ้วนพีกลับบ้าน ... อ้วนพีเกเร  วันนี้แอบมากินลูกนก”   

   “ชื่อนัญหรอ”   ทำเสียงแข็งๆ ต่อ


   “ฮะ.....แล้วพี่ชื่อไร”    สลับเสียงตัวเองไปมา   งงไปหมด 

   “พี่ชื่อ  ........  อุลตร้าครับ”

   “พี่อุลตร้า.... พี่ช่วยมาตามอ้วนพีลงไปหน่อย.... นัญจับอ้วนพีไม่ถึง” 

   “..........  ? ………….” 

   “อ้วนพีคือใครอ่ะ....”   ผมหันหน้าไปอีกข้าง ไม่ให้ไอ้แมวจอมยุ่งนั่นรู้ว่าเป็นเสียงผมเอง  แต่เป็นเสียงที่แปล่งๆ ขึ้น ให้ดูแข็งๆ  เหมือนอุลตร้า

  “อ้วนพีคือน้องชายของนัญ  เมื่อวานอ้วนพีก็มาอยู่บนนี้นัญตามทีนึงแล้ว...  แต่วันนี้อ้วนพีหนีมากินลูกนกอีก...ถ้านัญจับได้นัญจะตีอ้วนพี...”

   “ไปตีทำไม... เด๋วน้องก็เจ็บ” 

   “ไม่เป็นไร นัญโตแล้ว นัญตีได้”  ผมโตแล้วนี่นะ  โตแล้ว ตีแมวได้

   “โตแล้ว.... นัญกี่ขวบ”   เป็นตุ๊กตา จะถามทำไม

   “เจ็ดขวบ... นัญโตแล้ว”  แม่ผมบอก ว่าผมโตตั้งแต่ตอนห้าขวบ  ใช่แล้ว....

   “แล้วอ้วนพีอยู่ตรงไหน...”  คราวนี้แหละ  ไอ้อ้วนพีซวยแน่  พี่อุลตร้าจะขึ้นมาแล้ว

   “นั่นไง”   ผมชี้ไปข้างหน้าทันที  ฟ้องซะ

   “นั้นมันแมว..... ไหนบอกน้อง”   ไอ้พี่อุลตร้า ไอ้พี่ทรยศ  555555   

   “ก็น้องของนัญนี่นา... ไม่ใช่แมวนะ... อย่าบอกว่าเป็นแมวนะเดี๋ยวอ้วนพีเสียใจ”

   “ก็เห็นเป็นแมวชัดๆ  มีหางด้วย  ขนก็ปุย...  เปอร์เซียนี่”     ผมยังคงเถียงกับตัวเองต่อ  สนุกดี   ไม่มีใครเล่นด้วย  ผมเล่นของผมเองคนเดียวก็ได้ 

   “ไม่ใช่ๆๆๆ พูดใหม่เลย อ้วนพีเป็นเด็กผู้ชาย อายุน้อยกว่านัญปีนึง”     อ่ะ  แม่บอกว่า   ถึงมันจะเป็นสัตว์เลี้ยง แต่มันก็คือสมาชิกในครอบครัว  ผมให้อ้วนพีเป็นน้องชายของผมนานแล้วนะ 

   “พูดซิฮะ ....   อ้วนพีเป็นเด็กผู้ชายนะ”   ผมต้องบังคับ  พี่อุลตร้าเสียแล้ว   ต้องพูดตามที่ผมบอกเท่านั้นนะ

   “ครับๆๆ   อ้วนพีเป็นเด็กผู้ชายก็ได้”    โอเค  พูดตามเสียทีนึง

   “ห้ามมีคำว่า  ก็ได้”   ใช่แล้ว  ต้องพูดให้ตามที่ผมบอก  ห้ามีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น

   “อ้วนพีเป็นเด็กผู้ชายครับ...พอใจยังเอ่ย”   ผมยังคงแปลงเสียงตัวเองต่อไป ให้อ้วนพีมันงงเล่นๆ

   “ฮิๆๆ   อ้วนพีเป็นแมวต่างหาก”   สะใจและ  ผมหลอกพี่อุลตร้าได้

   “อ้าวว !!!!   หลอกพี่หรอนี่” 

   “เปล่าหลอกซะหน่อย   พี่อุลตร้าช่วยจับหน่อย  มือนัญเอื้อมไม่ถึง” 

   “ถ้าพี่ช่วย..... แล้วพี่ได้อะไร”    เอ  ???  เป็นแค่ตุ๊กตา จะเอาไรมากล่ะ

   “...อืม...”  ทำท่าครุ่นคิดแบบผู้ใหญ่ซะหน่อย

   “อืมมมม”   อย่าพูดตามซิ่  ปรับเสียงไม่ทัน

   “เดี๋ยวนัญให้ยืมการ์ตูน... ที่ห้องนัญมีการ์ตูนเยอะ” 

   “เรื่องไรอ่ะ...”   เป็นตุ๊กตา จะอ่านการ์ตูนทำไมเล่า 

   “เงื่อนรักข้ามมิติ....  รักนายเจ้าชายจอมแก่น... ชินจัง... โดเรมอน..... @#&^_(^X”|?><+_”    ทำไมพี่อุลตร้าทำหน้าตาแบบนั้น

   “เอ่อ... ไม่เป็นไร  พี่ช่วยอย่างเดียวก็ได้ พี่ไม่ค่อยชอบอ่านการ์ตูนอ่ะครับ”   ดีแล้ว  เหมาะกับเป็นตุ๊กตาจริงๆหน่อย

   “ไม่ได้ๆๆๆ พี่ช่วย  นัญต้องตอบแทนนะ... เอาไปอ่านเหอะ นะ นะ นะๆๆๆๆ”    อ้อนหน่อยได้ไหม  ในฐานะ  ตุ๊กตาโดนเผา   55555 

   และสุดท้ายไอ้เจ้าอ้วนพี  ของผม  ก็เป็นผมเองนั้นแหละ ที่ดึงมันลงมาได้  หลังจากที่ไปนั่งหมอบเฝ้ารังลูกนกที่อยู่บนต้นมะขามนั้นตั้งนาน  ... แต่กว่าจะเอาลงมาได้ ก็เหนื่อยเอาการอยู่  ผมไม่ได้เหนื่อยกับแมวหรอก  แต่เหนื่อยกับการทำเสียงอีกเสียงให้ดูเป็นตุ๊กตาอุลตร้ามากกว่า    เป็นแค่ตุ๊กตาทำเป็นสั่งซะใหญ่เลย  กว่าจะเอาลงมาถึงพื้นได้ทุลักทุเลน่าดู   ตอนนี้ผมกับไอ้เจ้าแมวจอมซ่านี่ลงมาอยู่ที่พื้นแล้วเรียบร้อย  ... แต่ทำไมอยู่ดีๆ  ตุ๊กตาตัวนั้น ถึงไปอยู่ข้างบนได้ล่ะ

   “อ้าว... ทำไมไม่ลงมา”

   “ถ้าไม่ลงมา   นัญไปแล้วนะ ..............  ไปแล้วนะ  ............   ไปแล้วนะ
      ไป
            แล้ว
            นะ
   ถูกต้องแล้ว   ..........  ผมพูดกับตุ๊กตาอุลตร้าโดนเผาตัวนั้น  .......

   ใครเผาไป  ทำไมใจร้ายจัง   

   ผมเดินออกมาพร้อมกับอ้วนพี   หนทางที่จากต้นมะขาม  และหน้าบ้านไม่ไกล   แต่มันก็ไกลพอในความฝันนั้น  ....... หรือไม่ใช่ความฝัน   หรือเรื่องจริง  ผมไม่ทราบ   แต่มันก็นานพอดู ที่จะทำให้ผมเดินมาเรื่อยๆ  จาก เด็ก ป. 3   และตอนนี้  ผมอยู่  ป.3 หรือ ม. 5  นะ   ผมย้อนมองกลับไปตรงต้นมะขามนั้นอีกที
 
ตุ๊กตาอุลตร้านั่นน่าจะยังอยู่ข้างบน   แต่มันไหม้ไปแล้วนี่   คงไม่มีค่าอะไรแล้วที่จะให้ผมจำ

ผมยิ้มให้กับตัวเองอีกครั้ง  แล้วเดินออกมา ที่ตรงนั้นว่างเปล่า  ไม่มีใคร  ถูกต้องแล้ว  แม่ไปขายของที่ตลาด ลุงคนข้างบ้านถ้าจำไม่ผิด เค้าชื่อลุงธิน     และผม  และอ้วนพี 

         ……..  แค่นั้น  .....


……………………………………

ออฟไลน์ Yarkrak

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
 :L2: :pig4:
 :mc4: :mc4:

ขอบคุณครับ กำลังสนุก อ่านกำลังมัน ยาวติดต่อได้ใจดี แต่จบเสียแล้ว

รุ่นเก๋ามาแล้ว นาน ๆ จะได้เจอคำว่า " นักเขียน " " นักอ่าน " สักที
ตอนหลังมานี่เขาจะใช้ " ไรเเดอร์ " กับ " รีดเดอร์ " กัน ซึ่งเราไม่ค่อยคุ้นสักเท่าไหร่ ฮ่ะ ฮ่า
ซึ่งเล้าเองเคยรณรงค์มานานแล้ว แต่ก็ยังมีคนใช้อยู่ ไม่เป็นไร
แต่ขอให้นิยายสนุกมีอรรถรสก็พอ ฮ่า ฮ่า

รอตอนต่อไปจ้า

ออฟไลน์ chin_va

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
:L2: :pig4:
 :mc4: :mc4:

ขอบคุณครับ กำลังสนุก อ่านกำลังมัน ยาวติดต่อได้ใจดี แต่จบเสียแล้ว

รุ่นเก๋ามาแล้ว นาน ๆ จะได้เจอคำว่า " นักเขียน " " นักอ่าน " สักที
ตอนหลังมานี่เขาจะใช้ " ไรเเดอร์ " กับ " รีดเดอร์ " กัน ซึ่งเราไม่ค่อยคุ้นสักเท่าไหร่ ฮ่ะ ฮ่า
ซึ่งเล้าเองเคยรณรงค์มานานแล้ว แต่ก็ยังมีคนใช้อยู่ ไม่เป็นไร
แต่ขอให้นิยายสนุกมีอรรถรสก็พอ ฮ่า ฮ่า

รอตอนต่อไปจ้า

ขอบคุณจ้า  กำลังเขียนตอนต่อไปอยุ่นะคะ  ^_^

ออฟไลน์ chin_va

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
ตอนที่  31

               มือผมจับต้องให้แน่นกว่าเดิม    ดวงตาต้องปิดสนิท  คล้ายคนละเมอ  ทำไมนะ ทำไม เพิ่งฟื้นแท้  ทำไมถึงเป็นอะไรไปอีกแล้ ว

              “แม่  ...... แม่ตามพี่ธิว   พี่ธิวหนีต้องไป  พี่ธิววิ่งหนีต้องไปไหนแล้ว” 

                เสียงพูดต้องดังขึ้น  จนคุณหมอ และพยาบาลต้องมาจับตัวเอาไว้ เพราะไม่เพียงแต่ร้องอย่างเดียวแต่ต้องยังพยายามจะวิ่งออกไปจากห้องด้วย แม่และพ่อที่อยู่ด้านข้าง  ทั้งพยายามเรียก ทั้งปลอบ ทั้งพูด  และจับตัวเอาไว้ ผมอยู่ใกล้ต้องที่สุด  แต่ต้องมองไม่เห็น  มันเกิดอะไรขึ้น  !!!!!

          “ต้องครับ   พี่อยู่นี่  ต้องครับ”   

              ผมเรียกย้ำๆ ซ้ำๆ   แต่ต้องยังไม่ลืมตา  มือที่ผมจับอยู่ดึงจนมันหลุดออก  ร้องไห้หนักจนหน้าและตัวแดงไปหมด  สายน้ำเกลือที่อยู่ตรงฝ่ามือหลุดออกจนเห็นเลือดไหลออกมาอย่างชัดเจนผมปวดใจที่สุดที่รู้ว่าคนที่ผมรักเจ็บ   ผมเข้าไปสวมกอดอีกครั้ง  แต่เหมือนต้องพยายามที่จะผลักออกทั้งๆ  ที่ตอนแรกไม่ใช่อย่างนี้    ดวงตาที่ปิดอยู่เริ่มเปิดขึ้นอีกครั้ง  คราบหยาดน้ำตาเต็มดวงตาทั้งสองข้าง  ต้องตื่นมามองอีกครั้ง   ...................  แต่ต้องไม่เห็นผม  ................

               “แม่ แม่  แม่เรียกพี่ธิว   พี่ธิวเดินหนีไปแล้ว  แม่ครับบ   เรียกพี่ธิวให้ต้องที  ฮือๆๆ  พี่ธิว  พี่ธิวอย่าทิ้งต้องไป” 

              ผมกอดจนแน่น  สัมผัสได้ทั้งเสียงและร่างกาย   แต่ต้องไม่รู้  เหมือนมองไม่เห็นอย่างนั้น  ร่างกายที่ตอนแรกเย็นเฉียบ ตอนนี้มันเปลี่ยนมาเป็นร้อน  ผมไม่รู้ว่าเกิดจากการร้องไห้อย่างหนัก  หรือว่าเพ้อจากพิษไข้    ต้องเรียกแม่  และพ่อ เรียกนางพยาบาลทุกคน   หันหน้าไปมองและเรียกชื่อถูกทุกคน แต่ต้องไม่เห็นผม   ผมกอดอยู่ แต่ต้องไม่รู้   ผมเรียกอยู่  แต่ต้องยังหาว่าผมทิ้งไป

                    “ต้องครับ    พี่อยู่นี่   พี่กอดต้องอยู่ไงครับ ไม่ได้หนีหายไปไหน” ผมเรียกซ้ำๆ   แต่ไม่มีทีท่าว่าต้องจะได้ยิน เหมือนอยู่กันคนละโลก

                  “ฮือๆแม่  แม่  ต้องปวดหัว   แม่ช่วยด้วย   ต้องปวดหัววว”   ต้องร้องไห้  มองหน้าไปที่แม่ที่ยืนอยู่ข้างๆ  พร้อมกับจับมือแน่น   ผมต้องปล่อยออกไปเพราะหมอมาดึงตัวจนกลับไปนอนได้เหมือนเดิม   ตอนนี้ผมทำตัวอะไรไม่ถูก แม่พยายามจะเข้ามาแต่ก็ถูกพ่อกันเอาไว้   เพราะว่าต้องอยู่ในหน้าที่ของแพทย์และพยาบาล   ผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่สังเกตจากด้านนอก  แสงยามเช้าเริ่มมาแล้ว  ต้องหลับไปอีกครั้งหนึ่ง  จนหมอเช็คอย่างละเอียด   ก่อนจะเชิญให้พ่อกับแม่และผมเข้าไปอยู่ในห้องรับรองของโรงพยาบาลที่อยู่ถัดออกไป

               เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ผมไม่รู้  แต่ก็คิดว่านานพอสมควร  เช้าวันใหม่ของอีกวันผ่านเข้ามา  ผมยังคงไม่ไปไหน  ยังคงอยู่ในห้องรับรองที่ทางโรงพยาบาลจัดเอาไว้ให้จนผ่านไปอีกเกือบชั่วโมง   เพื่อนของต้องเดินเข้ามา   ไหว้พ่อกับแม่ แต่ไม่มองหน้าผมซักนิด  ผมรู้และเข้าใจดี  เบสต์ก็คงจะเกลียดผมเหมือนกัน  ผมไม่โกรธเบสต์ เพราะผมก็ทำกับเพื่อนเค้าเอาไว้มาก   

                 ซิว  กับนันต์มาพร้อมกับคุณหมอ  ที่เป็นพ่อของไอ้นันต์   และขอรับเคสต์นี้ต่อจากหมอที่เป็นเวรประจำเมื่อคืน    ต้องถูกส่งเข้าห้องไอซียูอีกครั้ง หลังจากที่ตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกตัว  ก่อนจะเพ้ออย่างหนักอีกครั้ง   สิ่งที่คุณอาหมอถือมา คือแผ่นภาพเอ็กซ์เรย์สมอง สีหน้าดูเป็นกังวลมาก แต่ก็ยังมีแววแห่งความหวังอยู่บ้าง  ทุกคนอยู่กันเกือบจะพร้อมหน้า เว้นไอ้เอก ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าตอนนี้มันไปอยู่ไหน แม่รีบวิ่งออกไปพร้อมกับถามอาการ    ส่วนตัวผมได้นั่งอยู่ตรงนั้น  ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็แล้วแต่   ถ้าเป็นไปในทางที่ไม่ดีเมื่อไหร่ ผมไม่พร้อมจะรับฟัง

“พี่ธินครับ พี่ตาครับ”  พ่อไอ้นันต์ เรียกพ่อและแม่  ก่อนจะพูดต่อ  พร้อมกับยกแผ่นเอ็กซเรย์ขึ้น

“ผลจากการเอ็กซเรย์  ตอนนี้ น้องเค้าฟื้นแล้วนะครับ   และสมองไม่ได้รับการกระทบกระเทือน” อาหมอพูดและหยุดไปชั่วขณะหนึ่งก่อนจะพูดขึ้นต่อ

แต่ผมไม่มั่นใจอะไรบางอย่าง” 

 แผ่นฟลิล์มเอ็กซเรย์ยังคงถืออยู่ที่มือของอาหมอ แม่ถามกลับไปด้วยเสียงเครือเพราะกลัวว่าจะเกิดอะไรไปในทางที่ไม่ดี

“ไม่มั่นใจอะไรคะ  บอกทีเถอะ”    น้าตาถามกลับ เสียงสั่น  จวนจะร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้ง

“ผลเอ็กซเรย์สมอง แทบจะเป็นปกติ  น้องต้องไม่ได้รับความกระทบกระเทือนจากสมอง  เมื่อซักครู่นี้ต้องตื่นขึ้นมา  จำผมได้  จำอายุตัวเองได้  และจำได้ว่าเรียนอยู่ชั้นไหน”  .......... มันก็ฟังดูเข้าที ผมนึกว่าต้องจะเจอแบบเดียวกับไอ้เอก  พูดแค่นี้ผมก็โล่งใจไปครึ่งหนึ่งแล้ว  แต่อะไรล่ะ ที่คุณอาหมอยังคงหวั่นใจอยู่

“แต่ ......  จิตใจของคนเรามันซับซ้อน  จิตของมนุษย์ ต่อให้เป็นแพทย์เก่งขนาดไหน ผมก็ไม่มั่นใจเลย ว่าต้องเจอกับอะไรมาบ้าง  ผลจากเช็ค และตรวจดู   สิ่งที่ลึกลับที่สุดของมนุษย์ก็คือจิตใจ   ผมไม่มั่นใจว่าส่วนหนึ่งของความทรงจำ  ต้องตัดอะไรมันทิ้งไป   เค้าตัดทิ้งไปกับความทรงจำนั้น  ต้องความจำเหมือนเดิม แต่ไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์    ผมถามเค้าจำแม่ได้ไหม .....  เค้าจำได้ เค้าจำลุงธินได้ไหม.... เค้าจำได้  สุดท้ายเค้าก็ยังจำน้องเบสต์ได้   แต่ผมรู้ และมองออก ต้องจำสิ่งที่มันกระทบกระเทือนจิตใจเค้ามากที่สุดไม่ได้   ส่วนหนึ่งของจิตใจถูกบังคับให้ลืมบางสิ่งบางอย่าง เพื่อให้ร่างกายและสภาพของใจและความทรงจำนั้นยังคงอยู่ ไม่ย่ำแย่และไม่จากไป   ต้องไม่ได้ความจำเลอะเลือน จิตใจไม่ได้หลุดเหมือนคนบ้าหรือไม่สมประกอบ แต่ต้องเป็นคนที่ความจำบางเสี้ยวขาดหายไป”   

ผมชาและนิ่งไปทั้งตัว  !!!!!! ต้องจำสิ่งที่มันกระทบกระเทือนจิตใจเค้ามากที่สุดไม่ได้  !!!!!!!

ขอร้องล่ะอย่าเป็นอย่างที่ผมคิด   ผมขอร้องอย่าให้เป็นอย่างนั้นเลยนะ

น้าตากับพ่อมองหน้ามาทางผม ไม่พูดอะไร   แต่มือของน้าตาเอื้อมมากุมมือผมเอาไว้ และกระชับขึ้นเหมือนให้กำลังใจ  และส่ายหน้าไปมา   คงจะรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ และก็คงไม่อยากให้ผมคิดอย่างนั้น

“เราไปเยี่ยมต้องได้ไหมคะคุณหมอ ไปกันทั้งหมดนี้”    น้าตาหรือ  ตอนนี้ที่ผมเรียกเค้าว่า แม่พูดขึ้น แกมขอร้องและเหมือนอยากจะพิสูจน์อะไรบางอย่าง

“ได้ครับ แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมอยากให้ทุกคนรับให้ได้”    คุณอาหมอพูดขึ้นพร้อมกับลุกขึ้นยืน   

ผมเดินตามแม่และพ่อไปช้า    เส้นทางจากห้องรับรองไปยังห้องที่ต้องพักฟื้นอยู่  ไม่ไกลมากนัก   ตอนนี้เป็นเวลาเกือบเที่ยงแล้ว เวลามันผ่านไปเร็วเหลือเกิน ผมอยู่ที่โรงพยาลตั้งแต่เมื่อคืน  จนเวลาผ่านไปขนาดนี้ นี่ถ้าไม่เห็นนาฬิกาที่แขวนอยู่ตรงฝาผนัง ผมคงยังนึกว่ามันยังเช้าๆ อยู่

ทุกคนในห้องรับรองถูกเชิญให้เข้าไปเยี่ยมต้องทั้งหมด    ถ้าต้องจำซิวไม่ได้ จำไอ้นันต์ไม่ได้  คงไม่เห็นแปลก  เพราะในช่วงที่ผ่านมา ซิวกับไอ้นันต์ไม่ค่อยเข้ามายุ่งกับเรื่องของผมกับไอ้เอกเท่าไหร่อยู่แล้ว    แต่ถ้าต้องจำผมไม่ได้ล่ะ   ............ ผมจะทำอย่างไรดี

เด็กตัวเล็กๆ นั่งกึ่งนอนอยู่ที่เตียงใหญ่ด้านหน้า ต้องถูกอาบน้ำและเปลี่ยนในชุดใหม่เรียบร้อย  แต่ก็ยังสวมชุดคนไข้อยู่   หน้าตาดูผ่องใสขึ้น มองหน้าแม่ทีหนึ่ง สลับมองหน้าพ่อผมทีหนึ่ง  ยิ้มให้อย่างอิดโรย   แต่สายตามีแววประกายจ้ามากยิ่งขึ้นกว่าที่ผมเห็นเมื่อคืน  แก้มใสๆ ที่ผมไม่ได้เห็นนานตอนนี้เห็นชัดขึ้น แต่ก็ยังเดินอยู่ด้านหลังพ่อกับแม่อยู่อย่างนั้น    ความรู้สึกบางอย่างทำให้ผมไม่กล้าที่จะไปใกล้ๆ ต้อง

ต้อง เหมือนไม่ใช่คนเดิม

แม่เดินเข้าไปหาพร้อมกับกอดต้อง  รอยยิ้มปรากฏไปทั่วใบหน้า ต้องกอดแม่กลับ   ก่อนจะพูดขึ้นมาอย่างช้า

“คุณหมอบอกว่าต้องไม่สบาย  แม่กับพ่อเลยต้องมาเยี่ยมต้องถึงกรุงเทพเลย  ต้องขอโทษแม่กับพ่อด้วยนะครับที่ทำให้เป็นห่วง”   ต้องพูดช้าๆ   และกอดแม่ของเค้าอยู่อย่างนั้น  ไม่ได้ร้องไห้ ไม่ได้เสียใจ   และไม่มีความกังวลอะไรอยู่แล้ว  ลุงธินยืนอยู่ข้างๆ  กัน   จนเบสต์เดินเข้าไปหา

“ต้อง  !!!!  หายดีแล้วใช่ไหม”     เบสต์เอื้อมมือมาจับเพื่อน    ดูก็รู้ว่าเพื่อนของต้องคงจะข่มน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหล   เบสต์แข็งแรงกว่าต้องแต่ก็ไม่ได้มากซักเท่าไหร่  ที่ไม่กล้าร้องไห้เพราะกลัวว่าต้องจะเป็นห่วงนั่นแหละ   หรือว่าเบสต์กำลังจะทำอะไรบางอย่างอยู่   ผมเดาเด็กคนนี้ไม่ออก  เหมือนเบสต์รู้ทุกสิ่งทุกอย่างไปหมด  แต่ก็ไม่เคยปริปากพูดอะไร

“เบสต์ !!!!”   ต้องเรียกเพื่อนเสียงอย่างดัง และยิ้มจนแก้มปริ มือที่โอบกอดแม่อยู่ย้ายมากอดเบสต์ ก่อนที่เพื่อนทั้งสองจะกอดกันจนตัวกลม   พูดพร่ำเป็นห่วงกันสารพัด   สิ่งที่ทำให้ผมกลัวที่สุด  ไม่ใช่พ่อหรือแม่ทำ แต่เป็นจากเด็กร่างเล็ก เพื่อนของต้องนี้ต่างหาก    คำถามที่ผมกลัวที่สุด   กำลังจะเกิดขึ้น

“ต้อง   .....  มองดูช้าๆ นะ  คิดช้าๆ   ในห้องนี้  ต้องจำใครได้บ้าง” 

เบสต์พูดกับต้อง แต่สายตามองมาทางผม เหมือนคงจะให้ผมรับรู้บางสิ่งไปด้วย
   

“เบสต์ !!!!”   ต้องเรียกเพื่อนเสียงอย่างดัง และยิ้มจนแก้มปริ มือที่โอบกอดแม่อยู่ย้ายมากอดเบสต์ ก่อนที่เพื่อนทั้งสองจะกอดกันจนตัวกลม   พูดพร่ำเป็นห่วงกันสารพัด   สิ่งที่ทำให้ผมกลัวที่สุด  ไม่ใช่พ่อหรือแม่ทำ แต่เป็นจากเด็กร่างเล็ก เพื่อนของต้องนี้ต่างหาก    คำถามที่ผมกลัวที่สุด   กำลังจะเกิดขึ้น

“ต้อง   .....  มองดูช้าๆ นะ  คิดช้าๆ   ในห้องนี้  ต้องจำใครได้บ้าง” 

เบสต์พูดกับต้องอีกครั้ง  มือทั้งสองข้างของต้องกับเบสต์ยังจับกันอยู่จนแน่น  ต้องมองไล่ไปทีละคนอย่างช้าๆ  งุนงงกับคำถามที่เบสต์ถามอยู่  แต่ก็ยังทำตามที่เพื่อนรักบอก  ต้องมองหน้าแม่  พร้อมกับยิ้มให้  และโผเข้าไปกอดอีกครั้ง  ก่อนจะเรียกแม่ของต้องเองด้วยเสียงแผ่วเบา   สองแม่ลูกกอดกันอยู่อย่างนั้นจนผ่านเวลาไปนาน   ต้องนั่งลงมาที่เดิมอีกครั้งก่อนที่จะไหว้พ่อ   จนพ่อเองต้องมายืนอยู่ใกล้   ลูบหัวไปมาด้วยความรักใคร่

“หมดเคราะห์ซะทีนะลูก”   
   
ต้องจำแม่ กับพ่อได้   ส่วนเบสต์ไม่น่าห่วง  เพราะรู้กันอยู่แล้วว่าต้องจำได้แน่นอน    สายตาของคนที่อยู่บนเตียงไล่มาเรื่อยๆ  ไหว้ขอบคุณคุณหมอที่ช่วยให้จนหายดีก่อนจะมามองหยุดอยู่ที่ ซิวกับนันต์ 

“น้องต้อง   นี่พี่ซิวนะครับ  จำได้ไหม”   สายตาที่ต้องมอง  พร้อมกับที่ซิวถามขึ้น   ต้องยิ้มให้นันต์กับซิว    พูดขึ้นมา

“พอคุ้นๆ ครับ  พี่ซิว รุ่นพี่ที่โรงเรียนหรือเปล่าครับ   พี่ซิวแล้วก็อีกสองคนเพื่อนพี่ใช่ไหมครับ  ผมเคยเห็นที่โรงเรียน....”

............เพื่อนพี่ซิว............  ผมแย้งคำถามนี้อยู่ในใจ

“ต้องจำใครได้บ้างสามคนนี้  คุ้นหน้าใครบ้าง พูดให้เบสต์ได้ยินหน่อย”     เบสต์พูดแต่ยังมองหน้าผมอย่างนั้น  เบสต์อยากได้ยินในสิ่งที่ผมไม่อยากให้ต้องพูดออกมา    แต่คำพูดที่ต้องพูดออกมา มันทำให้ผมดีใจซะยิ่งกว่าอะไร   

“จำได้ทุกคน”      มันเหมือนฟ้าประทานมาให้ผมเหมือนเดิม   ต่อให้นับจากนี้ต้องจะเกลียดผมอย่างไง ผมก็ไม่สนต่อให้ขับไล่ไสส่งขนาดไหนผมก็จะไม่หนีต้องไปไหน  อะไรที่ทำไว้ไม่ดี  ผมจะชดใช้ให้หมดทุกอย่าง ขอให้ต้องจำผมได้ก็พอ   

ตาของเบสต์แดง ที่รู้ว่าต้องจำได้หมดทุกคน   และเดินถอยออกมาก้าวหนึ่ง  มันเป็นจังหวะเดียวกันพอดี กับที่ผมเดินไปใกล้ๆ  จนมือสองคนเราสัมผัสกันอีกครั้ง  ต้องมองหน้าผมแบบตกใจตื่นที่คิดว่าผมจะทำอะไร ก่อนที่ผมจะพูดขึ้น

“ต้องจำพี่ได้ใช่ไหมครับ  จำพี่ธิวได้ใช่ไหม !!!!!”

“ครับ   จำได้”   ต้องมองหน้าผม พร้อมกับพยักหน้าให้ช้าๆ   ก่อนจะพูดขึ้นต่อ

“พี่เป็นรุ่นพี่ผมที่โรงเรียนนี่ครับ !!!!!”    ต้องยิ้มให้ผม  และก็หยุดพูดอยู่แค่นั้น   แต่สิ่งที่ต้องพูดต่อมันทำให้ผมคิดอะไรไม่ออก   ความรู้สึกที่ดีใจอยู่เมื่อครู่มันหายไปหมด  ต้องหันไปหาเบสต์ต่อ ก่อนที่เบสต์จะกอดต้องอีกทีและเหมือนพยายามกันผมออกไป   ตอนนี้มันทำอะไรไม่ถูกไปหมดแล้ว  ผมเดินถอยหลังออกมาอย่างไม่รู้ตัว จนพ่อต้องมาจับที่บ่าเอาไว้ 

“รุ่นพี่ที่โรงเรียน”   ผมทวนคำพูดของต้องขึ้นอีกครั้ง   ..................  แค่นั้นเองหรอ   จำไม่ได้มากกว่านี้หรอ  ความรู้สึกมันจุกแน่นจนพูดไม่ออก  คำพูดหลายคำในความคิดที่คิดเอาไว้ มันไม่รู้จะพูดอย่างไรต่อ   ต้องจำผมไม่ได้  ต้องจำคนอื่นได้หมดแม้กระทั่งซิวกับนันต์  ต้องก็ยังพอคุ้นหน้าว่าเป็นพี่ที่โรงเรียน และสำหรับผมตอนนี้ ผมก็เป็นได้เพียงแค่ รุ่นพี่ในโรงเรียนเท่านั้นเหมือนกัน

“แม่  ต้องอยากออกจากโรงพยาบาล ต้องกลับวันนี้เลยได้ไหม”  ต้องพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แจ่มใสกว่าเดิม   เหมือนกับให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองแข็งแรงพอแล้วที่จะออกจากโรงพยาบาลได้

“อย่าเพิ่งดีกว่าลูก  รอให้แข็งแรงดีกว่านี้ก่อนนะ แล้วเดี๋ยวค่อยออก ต้องเพิ่งฟื้นเองนะลูก อีกซักสองสามวันดีกว่าไหม”  ยังดีที่แม่ของต้องห้ามเอาไว้  ไม่อย่างนั้นไอ้ตัวเล็กที่อยู่บนเตียงก็คงจะดื้อที่จะออกจากโรงพยาบาลให้ได้ แต่ไหนแต่ไรมาแล้ว   ไอ้เจ้านี่ถ้าป่วยขึ้นมา ถ้าไม่แย่จริงๆไม่มีทางที่จะนอนโรงพยาบาลเด็ดขาด   ตอนเด็กๆ ต้องกลัวโรงพยาบาล เพราะคิดว่าโรงพยาบาลจะมีผี  ......   มาถึงตรงนี้ หลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างก็ทำให้ผมอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้   ต้องไม่เปลี่ยนไปจากเด็กมากนัก  พ่อของผม น้าตาและเบสต์  ยังคุยกันอีกหลายเรื่อง   และนันต์กับซิว ก็เข้าไปใกล้และรายล้อมอยู่บนเตียงที่ต้องยังนั่งกึ่งนอนอยู่  มีเพียงผมเท่านั้น ที่ยืนอยู่ห่างที่สุด  ไม่กล้าเข้าไปใกล้

“พี่ธิว”  ผมมัวแต่คิดเรื่องราวของต้อง จนไม่รู้ว่าเบสต์มาเรียกผมอยู่ข้างๆ  เมื่อไหร่ ตอนนี้พ่อ และคุณอาหมอออกไปข้างนอกแล้ว  คงจะออกไปเคลียร์เรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ   พร้อมกับนันต์และซิว   ทำให้ผมก็เพิ่งรู้ว่า ห้องทั้งห้องตอนนี้มีเพียง  ผม  เบสต์  ต้องและแม่เท่านั้น

“............”  ผมมองหน้าเบสต์  แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรกับไป จนเบสต์เรียกอีกครั้ง

“ผมขอคุยกับพี่ธิวหน่อยนะ   ข้างนอกนะครับ”  เบสต์พูดจบเพียงแค่นั้นก็เดินออกไปข้างนอก  ปล่อยให้แม่กับต้องอยู่กันเพียงแค่สองคน เบสต์คุยกับผมแทบจะเป็นเสียงกระซิบก็คงจะไม่อยากให้ต้องได้ยินนั้นแหละ  และสิ่งที่เบสต์จะคุยกับผมก็คงไม่พ้นเรื่องของต้องแน่ๆ   ผมเดินตามเบสต์ออกไป จนถึงระเบียงของตึกอีกด้าน  ตรงนี้เงียบ และไม่มีผู้คนเดินไปมามากนัก  เพราะเป็นส่วนของห้อง ICU ที่จะจัดไว้ให้เฉพาะของแขก VIP  ในตัวโรงพยาบาล 

“ผมจะคุยกับพี่เรื่องของต้อง” 

“ครับ”  ผมรับคำเพียงแค่นั้น

“ต้อง จำพี่ไม่ได้”    ผมไม่รู้ว่าเบสต์ตอกย้ำซ้ำเติมผม  หรือว่าจะเป็นการเตือนอะไรกันแน่

“ครับ” 

“พี่จะทำอย่างไงต่อไป” 

“พี่จะทำทุกอย่าง  พี่ไม่ได้หวังให้ต้องจำพี่ได้ เพราะถ้าต้องจำได้ต้องก็คงจะเกลียดพี่ แต่พี่รักต้อง  และพี่จะไม่ยอมเสียต้องไปอีกเป็นอันขาด”  ผมพูดกับเบสต์ ถึงน้ำเสียงมันจะไม่หนักแน่นนัก  เพราะผมไม่มั่นใจว่าคนตัวเล็กข้างหน้านี้จะขวางอะไรผมบ้าง แต่จิตใจผมมีผมเท่านั้นที่รู้ว่าวันข้างหน้ามันจะมั่นคงเพียงไหน

“หึ  !!!!!   รักหรอ   พี่รู้จักคำนี้ด้วยหรอ  พี่กับเพื่อนพี่   รู้จักคำว่ารักด้วยหรอครับ  ผมถามหน่อย  คนที่รักกัน  เค้าทำแบบนี้หรอ”

“เบสต์  .....”   ผมครางเรียกชื่อเพื่อนของต้อง และไม่คิดว่าลักษณะท่าทีเหมือนเด็กแบบนี้จะพูดออกมาทำให้ผมเสียใจไปมากกว่าเก่า

“ตัวพี่เอง กับเพื่อนพี่ มันห่างไกลมากกับคำว่ารัก เรื่องราวที่มันผ่านมานาน  มันนานมากจนพี่เองไม่มีวันรู้  ต้องอาจจะเคยทำผิดกับพี่เอาไว้ แต่เค้าก็ได้ใช้ให้พี่หมดแล้ว มันหมดกันไปตั้งแต่ที่ต้องเสี่ยงชีวิตช่วยพี่ครั้งนั้น................  ถ้าพี่บอกว่ารักต้องจริง พี่ต้องปล่อยต้องไป”   

น้ำตาของเบสต์เริ่มไหล   ผมผิด  ผมรู้  แต่ผมอยากจะชดใช้ในสิ่งที่ทำมาทั้งหมดและไม่รู้ว่าคนสองคนนี้จะอภัยให้ผมหรือเปล่า

“เบสต์   ให้โอกาสพี่เถอะนะ  ให้พี่ได้แก้ตัว  พี่กับเอกจะไม่ทำแบบนั้นอีก พี่ให้สัญญา ..............”     ผมจะพูดต่อ แต่เบสต์ขัดจังหวะก่อน ก่อนจะกระแทกเสียงใส่หน้าผมอีกครั้งอย่างดัง

“ให้โอกาส   !!!!! พี่เคยให้โอกาสต้องไหมล่ะ   เพื่อนพี่เคยให้โอกาสผมไหมล่ะ   ผมผิดอะไร   ผมทำอะไร ผมเคยทำร้ายใครหรอ   ผมเคยไปบังคับ  ไปทำร้ายจิตใจใครหรอ   .............  ผมเปล่าเลย    ต้องอีก  เค้าก็ไม่เคยทำ   ผมกับต้องอยู่กันในโรงเรียน  เรามีกันแค่สองคน   และสองคนเรา อะไรหลบได้เราก็หลบ  อะไรหลีกได้ เราก็หลีก  คนในห้องเค้าก็ไม่อยากคบผมสองคน เพราะผมสองคนมันอ่อนแอไง  ...........  แล้วพี่   แล้วเพื่อนพี่  มาทำพวกผมทำไม !!!!!  ทำไม    ทำพวกผมทำไม !!!!”   

 น้ำตาที่มันเริ่มไหลออกมาจากสองตาของเบสต์   ถูกปาดทิ้งเอาไปหมดจนผมเห็นแต่สายตาที่แข็งกร้าว จากร่างเล็กๆ  ตรงหน้า   ผมพูดอะไรไม่ออก  สิ่งที่เบสต์พูดคือความจริงทุกอย่าง 

“เบสต์จะให้พี่ทำไง  ถึงจะหายโกรธ   เบสต์บอกพี่ซิครับ ให้พี่ตายไหมล่ะ เรื่องมันถึงจะได้จบ” 

“ตายหรอ  !!!! คนอย่างพี่ตายไปก็ไม่คุ้มหรอก  พอๆกับเพื่อนของพี่นั้นแหละ”   

เบสต์มันพูดอีกครั้งอย่างอาฆาตเคียดแค้น  แต่ก่อนที่จะพูดอะไรกันต่อ บุคคลที่สามที่เบสต์เอ่ยถึงก็ก้าวเข้ามาพอดี   ผมไม่รู้ว่าไอ้เอกมันมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่ตอนไหน  แต่ตอนนี้มันอยู่ข้างหลังเบสต์นั้นเอง และเบสต์ก็คงจะไม่รู้ตัว

“เพื่อนของไอ้วัจน์ หมายถึงพี่หรือเปล่า”   

 ไอ้เอกเป็นคนพูดขัดจังหวะขึ้นมา  ทำให้เบสต์ตกใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับตกใจมากมายเหมือนที่แล้วๆ  มา   ก่อนจะหันหน้าไปทางไอ้เอกอย่างช้าๆ

“อ่อ   ตายยากจริงๆ    ผมอุตส่าห์หนีมาก่อนจากหนองคาย   ไม่น่าเชื่อ กลับมาไวเหมือนกันนี่”     เบสต์มันคงจะหมายถึงไอ้เอกที่ตามไปด้วยกันกับวัดที่หลวงพ่อท่านนั้นอยู่

“พี่ถามว่า หมายถึงพี่หรือเปล่าครับน้องเบสต์”  ไอ้เอกไม่ถามเปล่าแต่จับที่ไหล่ของเบสต์แทบจะทันทีที่ถามจบ

“ผมจะหมายถึงใครมันก็เรื่องของผม”  มันหยุดพูดลงแค่นั้น  ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าไปอีกครั้ง    สิ่งที่มันทำ เหมือนจะดึงเอาความโกรธที่มีต่อผมและไอ้เอกเข้าไปด้วย     และก็เหมือนจะระงับอารมณ์โกรธของตัวเองลงได้    เบสต์พูดขึ้นอีกครั้ง ช้าๆ  แต่ผมก็จับได้ทุกถ้อยคำที่มันพูดออกมา

         “เรื่องมันจบไปแล้วแหละพี่วัจน์   ผมไม่มีอะไรจะคุยกับพี่แล้ว  ........... พี่วัจน์  ต่อให้พี่กลับมาเป็นคนดีขนาดไหน   ต่อให้พี่ต้องการจะลบล้างความผิดขนาดไหน   มันไม่ง่ายหรอกนะที่จะทำให้ผมกับต้องอภัยให้  พวกผมเจ็บ  เจ็บจนมันเลยคำว่าให้อภัยมาแล้ว  เวรกรรมอะไรของผมที่ทำให้ต้องมาเจอพวกพี่  ถ้าเป็นไปได้  ผมอยากจะเสียความทรงจำแบบต้องไปซะยังดีกว่า  ดีกว่าจะต้องมาเจออะไรแบบนี้   ผมไม่ได้เกลียดพี่  และผมก็ไม่ได้เกลียดเพื่อนของพี่แล้ว   เพราะถ้าผมยังเกลียดพี่สองคนอยู่  แสดงว่าผมยังมีความรู้สึกต่อพี่อยู่ ถึงจะเป็นความรู้สึกเกลียดก็เถอะ ผมไม่เกลียดพี่สองคนแล้ว   แต่  ……  พี่สองคนไม่มีตัวตนสำหรับผมและต้องต่างหาก” 

มันพูดจบแค่นั้นก่อนจะเดินลับออกจากตรงระเบียงตึกไป  ไอ้เอกมองมาทางผมที  กับเบสต์ที ก่อนจะวิ่งตามไอ้ตัวเล็กนั่นไป   

ผมมองตามทอดไปจนสุดสายตา  สิ่งที่เบสต์พูดทิ้งท้ายเอาไว้ มันยังก้องอยู่ในหูของผม  คนเราต่อให้เกลียดกัน  ก็แสดงให้เห็นว่ายังรู้สึกต่อกันอยู่   ยังมีตัวตนอยู่   แต่สิ่งที่เบสต์พูดออกมาเมื่อสักครู่

.....มันทำให้ผมเหมือนไม่มีตัวตน...........

ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
เฉือดเฉือนในอารมณ์มาก เอามีดมาปักอกกันเถอะพูดขนาดนี้

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
จบแล้วหรอ? ทำไมหายไปนานจังเลย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ analogue

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-3
นึกว่าตาฝาด ดีใจที่มาต่อครับ

ออฟไลน์ sosi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 246
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
คิดถึงมาก. นึกว่าจะไม่ได้อ่านแล้ว ขอบคุณที่มาลงให้อ่านอีกค่ะ.

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ Kenta

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
รักเรื่องนี้ ชอบฉากที่โยนตุ๊กตาเข้ากองไฟ อ่านแล้วร้องไห้ตลอด

ถ้ามีโอกาสรวมเล่ม ก็ดีสินะครับ ผมรักเรื่องนี้มาก :hao5:

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

ออฟไลน์ analogue

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-3

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด