เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๒๓
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๒๓  (อ่าน 18707 ครั้ง)

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************


'เด็กธรรมดาน่ะหรือ ริอาจหลงรักผู้ที่เป็นดั่งคุณชายใหญ่ของวัง ไม่เจียมตัวเสียเลย'

| วายพีเรียด |


I miss you

- M.R.Papharach Sullaphanan



"พี่ไปไม่นานเดี๋ยวพี่ก็กลับมา ต้นสนรอพี่ได้ใช่ไหม"

---

"ต้นสนจะรอพี่ปราชญ์เสมอ"


สารบัญ





























#เฝ้าคำนึง

TWITTER : @THi9xz

เปิดเรื่องที่สองแล้ววว เป็นคู่ต่อจากไฟและสิงห์
หรือต่อจากเรื่อง พ่ายโลกันตร์ นั่นเอง ใครยังไม่ได้อ่านจิ้มเลย >>จิ้มเลยครับผม
เรื่องนี้ไม่เน้นฟิลกู๊ดค่ะ ดราม่าหนักเหมือนกัน แต่ถ้าเทียบกันอันนี้เบากว่านิดนึงค่ะ

/ หากเรื่องการทำงานราชการหรือคำผิดและพลาดสิ่งใดไป ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยจริง ๆ ค่ะ

คำเตือน

บางอย่างคือการเกริ่นในนิยายของตัวละครในเรื่อง ตัวละครเอกไม่ได้เป็น 'คนเป็น' หรือ เป็น 'คนทำ'

1. PTSD / Post-Traumatic Stress Disorder - โรคเครียดหลังผ่านเหตุการณ์ร้ายแรง เป็นภาวะทางจิตที่เกิดจากการเผชิญกับเหตุการณ์ตึงเครียด น่ากลัว หรือกระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง (e.g. เคยถูกทำร้ายหรือล่วงละเมิด เคยเข้าร่วมสงคราม) ผู้ป่วยมักมีอาการเห็นภาพหลอนหรือฝันร้ายถึงเหตุการณ์เหล่านั้น มีความคิดแง่ลบ สามารถถูกกระตุ้นได้โดยง่าย เป็นต้น

2. Sexism - การเหยียดเพศ

3. Age difference / Age gap - ความสัมพันธ์ของคู่รักที่มีอายุต่างกัน (ไม่ใช่เปโดนะคะ)

4. มีเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์อันเลวร้าย

5. Character Death - ตัวละครตาย

6. Graphic Depictions of Violence - มีการบรรยายถึงการใช้ความรุนแรงอย่างชัดเจน

7. Blood มีการพูดถึงเลือด บรรยายถึงเลือดชัดเจน

8. มีการบรรยายถึงสภาพศพหรือผู้ถูกทำร้ายในเหตุการณ์

9. Violence - มีการใช้ความรุนแรง

10. Mentioned/Implied Rape attempt / Rape Non-con - มีการกล่าวถึงการข่มขืน

11. Sexual Harassment - การล่วงละเมิดทางเพศ

12. Sexual Assault - การข่มขืน

13. Molestation - การลวนลามทางเพศ

14. Threats of Rape/Non-Con - การคุกคามคนอื่นด้วยการข่มขืน

15. Threats of Violence - การคุกคามคนอื่นด้วยความรุนแรง

16. Abuse (Physical, Mental, Verbal, Sexual, Emotional) - การล่วงละเมิดและทารุณกรรม ทั้งในด้านของการทำร้ายร่างกาย การทำร้ายจิตใจ การใช้คำพูดรุนแรง การข่มขู่ ไปจนถึงการล่วงละเมิดทางเพศ

17. Panic Attack - อาการตื่นตระหนกเฉียบพลันเมื่อถูกกระตุ้น มักจะมีอาการหายใจไม่ทัน หอบถี่ หายใจไม่ออก วิงเวียนคล้ายจะเป็นลม และตกอยู่ในอารมณ์หวาดกลัว

18. Suicide Thought - (มีการบรรยายถึง) ความคิดที่จะฆ่าตัวตาย

19. Classism - การเหยียดชนชั้น

20. Massacre - การสังหารหมู่


ยังไงก่อนอ่านนิยาย ขอให้นักอ่านทุกท่านอ่านคำเตือนด้วยนะคะ

ด้วยความเคารพ

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-05-2022 23:21:56 โดย IMYean. »

ออฟไลน์ psychological

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0

ออฟไลน์ jum1201

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-5
เข้ามารอค่ะ :mew1:  :mew1:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑
«ตอบ #4 เมื่อ17-05-2020 00:06:18 »

 


บทที่ ๑

คำปด

 
 

ปี ๒๔๙๘

เสียงหัวเราะดังไปทั่วพร้อมกับเสียงน้ำที่กระเพื่อมยามที่มีคนเล่น  คนรับใช้ในวังต่างก็อมยิ้มเมื่อมองคุณชายทั้งสองเล่นน้ำด้วยกันพร้อมกับเด็กอีกคนหนึ่งที่ใคร ๆ ก็ต่างรู้จัก ‘ต้นสน’ หรือ หลานของเพื่อนท่านชายนนท์ และก็เป็นถึงผู้มีพระคุณต่อคนรับใช้บางคนที่มาอยู่ที่วังจึงดูแลไม่ต่างจากคุณชายคนอื่นเลย

“ระวังนะต้นสน” สาวใช้คนหนึ่งพูด เพราะต้นสนอายุเพียงหกขวบแต่ก็ว่ายน้ำเป็นเพราะถูกสอนแต่เด็ก แต่ถึงอย่างผู้ใหญ่อย่างเรา ๆ ก็ยังคงเป็นห่วงอยู่ดี

“ผมจับปลาได้แหละ” ชายกรณ์ที่งมน้ำไปครู่โผล่มาทีก็มีปลาในมือแล้ว

“โห เก่งจังเลยพี่กรณ์ ต้นสนอยากจับได้บ้าง” ต้นสนเตรียมจะมุดแต่ ‘ปราชญ์’ กลับดึงตัวไว้

“ไม่ต้องเลยต้นสน ชายกรณ์ด้วย... ถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง ห้ามดำน้ำอีกนะ”

“ครับพี่ชายใหญ่” ชายกรณ์ก้มหน้า

ชายปราชญ์ถอนหายใจก่อนจะคลี่ยิ้มแล้วลูบหัวน้องชาย “ปลาตัวนี้เอาไปทำอาหารเย็นกัน หม่อมแม่ต้องชมแน่”

พอได้ยินอย่างนั้นชายกรณ์ก็ยิ้มกว้าง “ครับพี่ชายใหญ่” พูดเสร็จก็ว่ายเอาปลาไปให้ป้าสรหรือแม่นมที่ดูแลมาตั้งแต่เด็ก

“ต้นสนอยากจับบ้าง” เด็กน้อยหน้าง้ำหน้างอ

“ไม่ได้ครับ มันอันตราย” ปราชญ์เกลี่ยแก้ม

“มีพี่ปราชญ์อยู่ ต้นสนไม่กลัวหรอก”

ชายปราชญ์ไม่รู้จะดีใจหรือจะดุก่อนดี “แต่พี่ปราชญ์ไม่อยากให้ต้นสนทำครับ ถ้าต้นสนเป็นอะไรแล้วพี่ปราชญ์ช่วยไม่ทัน พี่ปราชญ์คงรู้สึกผิดตลอดชีวิต”

เด็กน้อยเบิกตาโตเมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อยของอีกฝ่ายก่อนจะว่ายไปเกาะคอคนพี่ กอดแล้วตบหลังปุ๊ ๆ “ต้นสนไม่จับก็ได้ พี่ปราชญ์ไม่ร้องไห้นะ”

ทุกคนต่างก็แอบขำ แต่ก็อดทึ่งไม่ได้ที่คุณชายปราชญ์ปราบเด็กดื้อได้อยู่หมัด

“ไว้โตอีกนิดเรามาจับปลากันต้นสน” ชายกรณ์ร่วมวงด้วย

ต้นสนพยักหน้าแต่ยังคงกอดพี่คนโต “ไม่เป็นไรนะพี่ปราชญ์ แม่บอกว่าถ้าใครเศร้าให้กอดแบบนี้”

ชายปราชญยิ้มเอ็นดู “ขอบคุณครับ พี่รู้สึกดีมากเลย”

ต้นสนผละออกแล้วแต่ยังคงตบบ่า “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” แค่นั้นแหละทุกคนที่มองก็ระเบิดหัวเราะออกมาจนต้นสนงุนงงว่าหัวเราะกันทำไม คนเขาเศร้าอยู่แท้ ๆ

“ต้นสนไปทานข้าวเย็นด้วยกันไหม” หลังจากทั้งสามขึ้นจากน้ำ ชายปราชญ์ก็ถามทันที

“ต้นสนไปได้เหรอ” เด็กน้อยถาม

“ไปได้สิ”

“แต่พ่อเฟื้องบอกว่าจะไปกวนคนที่วัง”

ชายปราชญ์ถอนหายใจ พี่เฟื้องไม่เปลี่ยนไปเลย “ไม่กวนหรอก เดี๋ยวพี่ปราชญ์ไปขอพ่อเฟื้องให้”

“จริงนะ” เด็กน้อยดีใจยกใหญ่

“จริงสิ อาบน้ำแต่งตัวรอเลยนะ”

ต้นสนดีใจกระโดดโลดเต้นวิ่งข้ามสะพานเพื่อไปยังอีกฝั่ง จริง ๆ แล้ว พื้นที่รอบ ๆ นี้เป็นส่วนหนึ่งของ ‘วังศุลภาณันท์’ และมีบ้านของแม่ครัวชาววังหรือคนใช้ชาววังอยู่ที่อีกฝั่งโดยต้องข้ามสะพานที่กั้นระหว่างคลอง

บ้านที่ต้นสนอยู่ไม่ใช่บ้านของคนใช้ที่ใดแต่เป็นของเจ้าลุงภัสกรหรือพี่ชายแท้ ๆ ของเสด็จพ่อ ท่านมีไมตรียกให้กับเพื่อนของเสด็จพ่อ บ้านหลังนั้นจึงกลายเป็นที่อยู่ของครอบครัวฝ่ายนั้นแทน รวมถึงไร่นาและไร่ต้นตาลกับโรงสีที่ครอบครัวบ้านนั้นช่วยกันสร้าง ถือว่าเป็นครอบครัวหนึ่งที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อวัง

พี่เฟื้องนั้น เท่าที่เสด็จพ่อเล่าให้ฟัง แกดูแลเขามาตั้งแต่เด็ก เพราะอย่างนั้นปราชญ์จึงเห็นพี่เฟื้องเปรียบเสมือนพี่ชายคนหนึ่ง เสด็จพ่อเองก็เห็นพี่เฟื้องเป็นน้องชาย เพราะพี่เฟื้องเป็นลูกของป้าบัวที่เคยเป็นแม่ครัวใหญ่ของวังเลยถือว่าเป็นคนสนิทของเสด็จพ่อ ถึงแม้ตอนนี้พี่เฟื้องมีงานเป็นของตัวเองแล้ว แต่ยังคงแวะเวียนมาหาเสด็จพ่ออยู่ร่ำไป

ต้นสนยังมีศักดิ์เป็นหลานของวีรบุรุษของคนภาคกลาง หรือก็คือหลานของ ลุงสิงห์และลุงไฟ ที่เป็นถึงสหายของเสด็จพ่อเป็นคนสำคัญเสมือนครอบครัวเช่นกัน ไม่แปลกนักที่คนในวังต่างก็ยินดีต้อนรับพวกเขาเสมอ

ชายปราชญ์ถอดแว่นเพื่อเช็ดเอาน้ำออกก่อนจะใส่เสื้อเพื่อจะเข้าวังไปล้างตัว แรก ๆ นั้น คุณย่าดุพวกเขาเพราะน้ำคลองมันสกปรก แต่ก็ห้ามไม่ได้อยู่ดี ปราชญ์คิดว่าคงไม่เล่นอีกแล้ว แต่พอน้องชายทั้งสองร้องไห้งอแงก็ใจอ่อนยวบ

“ไปเล่นน้ำมาอีกแล้วใช่ไหม” เสียงหญิงวัยกลางคนพูดขึ้นทำให้เด็กหนุ่มทั้งสองที่ย่องเข้าวังชะงัก

“คุณแม่” ชายกรณ์ยิ้มแหย

“คุณน้า” ชายใหญ่เดินไปหาเว้นระยะห่างไว้เพราะตัวพวกเขานั้นเปียก “ปราชญ์ขอโทษครับ ที่ไม่ห้ามน้องแล้วยังลงไปเล่นด้วยอีก อย่าว่าน้องเลยนะครับ”

หม่อมแหวนทำหน้าดุได้เพียงชั่วครู่ก็ยิ้มบาง “ต้องหัดโทษน้องบ้างนะชายใหญ่ ไม่อย่างนั้นจะตามใจจนเกินไป”

“ครับ”

“ไปอาบน้ำกันซะเดี๋ยวหม่อมย่ามาเห็นเข้า”

“ครับแม่” ชายกรณ์ไวกว่าใคร

“ขอบคุณครับ” ชายใหญ่ยิ้มบางแล้วรีบขึ้นไปจัดการเนื้อตัว

หลังจากล้างเนื้อล้างตัวชายปราชญ์ก็อยู่ในชุดลำลองธรรมดาเสื้อเชิ้ตแขนสั้นกางเกงขายาวสีน้ำตาลอ่อนพ่วงด้วยสายเอี้ยมเพราะปราชญ์เป็นคนหนึ่งที่ชอบใส่ ชายหนุ่มหันมองกรอบรูปที่มีเสด็จพ่อ คุณแม่และตัวเขาในวัยสี่ขวบ

มุมปากบางยกยิ้มไม่มีความเศร้าอยู่ในแววตา ถึงแม้ว่าคุณแม่จะเสียไปแล้วแต่ปราชญ์รู้ว่าคุณแม่ไม่อยากให้เขาเศร้ามากนัก อีกอย่างหม่อมแหวนหรือคุณน้า ปราชญ์ก็มองท่านเหมือนแม่คนหนึ่งเพราะเธอดีกับเขามาก

ปราชญ์ไม่โกรธเสด็จพ่อเลยที่มีภรรยาคนที่สอง เพราะปราชญ์อยากให้เสด็จพ่อเริ่มต้นใหม่ เมื่อปีที่แล้วปราชญ์เพิ่งจะได้ฟังเรื่องที่เสด็จพ่อเล่า ท่านเคยพลาดทำหม่อมแหวนท้องเพราะถูกมอมยา สงสารชายกรณ์อยู่เหมือนกันที่เกิดมาโดยที่ไม่ได้ตั้งใจและตอนนั้นเสด็จพ่อเองก็ยังไม่ได้รู้สึกรักใคร่ต่อคุณน้าเลย

แต่พออยู่ด้วยกันนานเข้า เสด็จพ่อก็เริ่มหลงรักและมีลูกอีกคนอย่างชายเล็ก หรือ ชายธัน แต่ว่า... ชายเล็กหัวดื้อ ดูถูกผู้อื่น เหตุเพราะมีเพื่อนที่ชักชวนในทางที่ไม่ดี ทุกคนในวังต่างก็ห่วง คุณน้าเสียใจเป็นอย่างมากที่ลูกชายทำตัวหยาบคายใส่คนอื่นตลอด ไม่แม้แต่คนในวังหรือครอบครัวของต้นสน

หรือแม้แต่เขาเอง... คงเพราะเขาเรียกหม่อมแหวนว่าคุณน้าเลยรู้ว่าเขาไม่ใช่พี่ชายแท้ ๆ แต่เป็นพี่ชายคนละแม่ ชายเล็กเลยรังเกียจเขา พลอยให้คุณน้าต้องขอโทษอยู่ทุกเมื่อ แต่เขาไม่โกรธเลย หากน้องโตกว่านี้คงคิดได้ เพราะตอนนี้อายุเพียงหกขวบเท่ากับต้นสนเท่านั้น

“ชายใหญ่ไปไหนหรือลูก” หม่อมแหวนเอ่ยทักเมื่อเห็นลูกจะเดินออกไปจากวัง

“ไปบ้านพี่เฟื้องครับคุณน้า จะชวนน้องต้นสนมาทานข้าวเย็น”

หม่อมแหวนไม่ห้าม แต่ว่า... “ชายเล็กเองก็ยอมมาทานข้าวเย็นด้วยแล้ววันนี้ จะเกิดเรื่องหรือเปล่า” เพราะลูกคนเล็กของเธอไม่ยอมกินข้าวพร้อมหน้าใครหากมีชายใหญ่อยู่ก็ไม่ลงมาเลย แล้วมีต้นสนมาอีก ไม่ใช่เพราะอยากให้ลูกลงมาโดยไม่ต้องให้คนอื่นมาด้วย แต่กลัวลูกจะไปทำคนอื่นเขาเดือดร้อน

ชายปราชญ์คิดหนัก “วันนี้เสด็จพ่อจะประทับด้วยไหมครับ”

“จ้ะ ท่านชายตรัสกับน้าว่าจะเสด็จกลับมาเสวยอาหารด้วย”

“ถ้าอย่างนั้นชายเล็กคงไม่กล้าทำอะไรหรอกครับ เสด็จพ่ออยู่ด้วย”

หม่อมแหวนพยักหน้าเพราะชายเล็กกลัวบิดามาก “งั้นก็ลองดูก่อน ถ้าเกิดเรื่องอะไร น้าจะพาชายเล็กขึ้นห้องเอง”

“ครับ” ชายปราชญ์คลี่ยิ้มแล้วขอตัวออกจากวังเดินไปทางข้าง ๆ ข้ามสะพานเพื่อไปยังเรือนไทย ที่หลังเรือนเคยมีต้นไม้บดบัง ทว่า เอาออกไปแล้ว ห้องปราชญ์อยู่ทางนี้เวลาเปิดหน้าต่างก็จะเห็นเรือนไทยชัดเจน ก่อนนอนชอบมีเด็กตัวน้อย ๆ โบกมือทางหน้าต่างที่เรือนไทยให้ทุกวัน

ทางหน้าบ้านเรือนไทยต่างมีไร่นาที่สวยงามรวมถึงไร่ต้นตาล คนงานเยอะ แถวนี้จากที่โล่ง ๆ ก็เริ่มมีบ้านคนของคนงาน เริ่มที่จะเปิดถนน

ปราชญ์ยืนอยู่หน้าเรือนเงยหน้ามองเพื่อหาผู้ใหญ่ “สวัสดีครับ พี่เฟื้อง พี่ต้นอ้อ”

“อ่าวคุณชาย มารับน้องหรือคะ” พี่ต้นอ้อหรือแม่ของต้นสนถามพร้อมกับเปิดประตู ปราชญ์จึงขออนุญาตเดินขึ้นเรือน

“ใช่ครับ”

“ไม่กวนที่วังหรือ”

“ไม่เลยครับ ที่วังก็อยากให้น้องมาทานข้าวเย็นด้วยกัน”

“พี่ก็กลัวว่าจะไปกวนน่ะสิคุณชาย ซนซะขนาดนี้”

ปราชญ์หัวเราะ “น้องไม่ซนหรอกครับ พอผมพูดก็ฟังทันที”

“ถ้าเป็นอย่างนั้นคงไม่ร้องไห้งอแงตอนที่คุณชายไม่ตามใจหรอกค่ะ” ต้นอ้อส่ายหัวแล้วให้แขกนั่งโต๊ะไม้รับแขกก่อนที่เธอจะไปเรียกลูกชายและหาน้ำมาให้

“พี่ปราชญ์” ต้นสนเรียกมาแต่ไกล วิ่งทั้งยังติดกระดุมไม่เสร็จ

“อย่าวิ่งสิต้นสน โธ่เอ้ยเด็กคนนี้” พี่เฟื้องถอนหายใจ “คุณชาย จะไม่รบกวนจริง ๆ หรือครับ”

“ไม่รบกวนจริง ๆ ครับ” ปราชญ์ไม่รู้จะพูดยังไงดี มองเด็กที่เดินมากอดก็เลยติดกระดุมให้เสียเลย “พี่เฟื้องเมื่อไหร่จะเลิกเรียกผมว่าคุณชายล่ะครับ พี่ต้นอ้อเหมือนกัน”

“โธ่ ก็คุณชายเป็นหม่อมราชวงศ์ พี่ก็ต้องเรียกสิครับ” แกว่ายังมีเด็กสาววิ่งตามหลังมาพร้อมกับแม่

“น้ำค่ะคุณชาย” ต้นอ้อยื่นน้ำให้และอุ้มลูกสาวอีกคนชื่อ ‘ฟ้าใส’ ถือคติมีตัวอักษรคล้ายเฟื้องแล้วยังมีส.เสือเหมือนลุงสิงห์ ไม่ต่างจากคำว่า ‘ต้นสน’ ที่มีต้นคำนำหน้าเหมือนแม่และส.เสือเหมือนลุงสิงห์ ชื่อต้นสนนั้นลุงสิงห์ที่เป็นพี่ชายของต้นอ้อเป็นคนตั้งให้ ส่วนฟ้าใสพ่อเขาตั้งเองกับมือ

“ฟ้าใสสวัสดีค่ะ” ปราชญ์ยิ้มให้เด็กสาว

“สวัสดีค่ะ” ถึงจะอายุเพียงสี่ขวบแต่ก็รู้เรื่องรู้ราวยกมือไหว้ด้วย

“ฟ้าใสไปด้วยไม่ได้เหรอจ๊ะพ่อ” ต้นสนเงยหน้าถามผู้เป็นพ่อ ส่วนตัวเองปีนไปนั่งบนตักของพี่ปราชญ์จนพ่อกับแม่ได้แต่กุมขมับ รู้ไหมว่านั่งตักใครอยู่น่ะ ไอเด็กคนนี้

“ไม่ได้ลูก แค่นี้ก็รบกวนที่วังเขามากแล้ว”

“เสียดายจัง กับข้าวที่วังอร่อยมากเลย” ต้นสนหงอยลงก่อนจะยื่นมือจนสุดแขนไปทางน้อง พอแม่รู้ก็เลยอุ้มน้องไปใกล้ ๆ ต้นสนจึงจับมือน้องแล้วเขย่าเบา ๆ “ไว้ฟ้าใสโตกว่านี้ พี่จะพาไปกินข้าวที่วังนะ”

“อื้อ! ฟ้าใสรอ” เด็กสาวตอบรับพี่ชาย

“ดูก็รู้เลยว่าจะพาน้องไปป่วนวัง” พี่เฟื้องหัวเราะ

“ไม่ใช่ซะหน่อย” ต้นสนคิ้วมุ่น

“เอาล่ะ เราไปกันเลยไหม”

“ไปเลย!” ต้นสนชูมือแล้วหันหลังกอดคอพี่ปราชญ์

“เดินเองไม่เป็นหรือไงห๊ะ” ต้นอ้อตีก้นลูกชาย

“ก็อยากให้พี่ปราชญ์อุ้ม” ต้นสนหน้าบึ้งพอพี่ปราชญ์อุ้มก็ยิ้มตาหยีหัวเราะเอิ้กอ้ากเหมือนมีความสุขมาก

“เดี๋ยวจะพากลับมาส่งนะครับ”

“จ้ะ เดินระวังด้วยนะคะคุณชาย เจ้านี่เหมือนลิงเด็กด้วย” ต้นอ้ออดห่วงไม่ได้

“ครับผม ไปแล้วนะครับ” ปราชญ์ให้น้องโบกมือจึงเดินลงเรือนและพาไปทางวัง

“นี่ ๆ ๆ”

“ว่าไงครับ”

“พี่ปราชญ์ ทำไมถึงชื่อพี่ปราชญ์ล่ะ”

คนถูกถามยิ้มเอ็นดู “คุณแม่พี่ตั้งให้เพราะแสดงถึงผู้มีปัญญารอบรู้”

“ต้นสนไม่เข้าใจ”

“เดี๋ยวต้นสนโตไปก็เข้าใจเองครับ”

“แล้วชื่อต้นสนล่ะ”

“หื้อ พี่ไม่รู้ความหมายนะแต่ว่าชื่อนี้ลุงสิงห์ตั้งให้”

ต้นสนโยกตัว “ใช่ ๆ ลุงสิงห์ตั้งให้แหละ เท่ใช่ไหม”

“เท่ครับ เท่ที่สุดเลย” ปราชญ์หอมแก้มน้อง กว่าจะเดินถึงวังก็แวะดูนกดูแมลงไปเรื่อยเพราะต้นสนอยากเห็น

“อ่าว นั่นต้นสนใช่ไหม”

“ต้นสนสวัสดีคุณย่าเร็ว” ปราชญ์พาน้องยืนพื้น

“สวัสดีครับคุณย่า” ไม่ไหว้เปล่ายังวิ่งไปกอด

“โอ้โห หลานย่า” คุณย่ายิ้มใจดีพร้อมกอดตอบ “เห็นแม่บอกว่าปราชญ์จะพาน้องมาทานข้าวเย็นด้วยกันใช่ไหม”

“ครับหม่อมย่า”

“ดีเลย วันนี้ย่าเข้าครัวเอง ดีไหม” ก้มถามเด็กน้อย

“ดี ๆ”

“ชายปราชญ์พาน้องไปเล่นกับชายกรณ์ที่ห้องนั่งเล่นรอแล้วกันนะ”

“ครับหม่อมย่า... ไปกัน” ชายใหญ่ของวังจูงมือเด็กน้อยไปยังห้องนั่งเล่น ได้ยินเสียงเครื่องบินปากเปล่าคุ้นหู

“พี่กรณ์” พอเห็นพี่ชายอีกคนต้นสนก็วิ่งไปเล่นด้วยทันที

“มาเร็ว ทหารจะยิงเครื่องบินแล้ว” ชายกรณ์ว่าพร้อมกับชูเครื่องบินทำเป็นบินว่อน ต้นสนเลยจับตัวหุ่นทหารพร้อมเสียงปิ้ว ๆ ใส่เครื่องบิน

“เดี๋ยวผมดูน้องเองครับ” ปราชญ์บอกป้าสร เธอจึงไปช่วยหม่อมย่าทำอาหาร

ชายปราชญ์ตรงไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งมาอ่านบางช่วงก็มองเด็กทั้งสองเล่นกันไปด้วย ตอนนี้ปราชญ์อายุสิบเก้าแล้ว เด็จพ่อยังทรงถามอยู่ตลอดว่าจะเรียนต่อที่ไหน ปราชญ์อยากไปเรียนที่อังกฤษแต่ว่า...

“ต้นสนดูนี่” ชายกรณ์ถือหุ่นทหารแล้วทำเป็นยิงใส่อีกฝั่ง

“ทหารเท่จังเลย”

ชายปราชญ์คลี่ยิ้มบาง เขาไม่อยากห่างไกลจากน้อง ๆ เลย ไปที่นู่นคงเหงาแย่ ไม่มีเด็ก ๆ อยู่รอบกาย ไหนจะพระอาการของเสด็จพ่อที่ป่วยบ่อยหนักที่เกิดความเครียดสะสมที่มีมายาวนาน และผลพวงจากการนอนไม่เพียงพอ สมัยก่อนเกิดเรื่องมากมาย ไม่แปลกที่เสด็จพ่อทรงมีพระอาการที่น่าเป็นห่วง

เขาในฐานะพี่คนโต ก็ไม่อยากห่างไกลครอบครัว แต่ก็เพราะเป็นพี่คนโตจึงต้องไปเรียนรู้ก่อนใคร

“นมสดร้อนค่ะคุณชาย” แตงเดินเข้ามาพร้อมเสิร์ฟนมร้อน

“ขอบคุณครับ” ชายใหญ่ผงกหัววางหนังสือลงและรับแก้วส่งให้ชายกรณ์และต้นสน “ระวังนะ ยังร้อนอยู่”

“โอ๊ย ๆ”

“พูดไม่ทันขาดคำ” ปราชญ์ส่ายหน้าให้กับเด็กแสบที่สุดอย่างต้นสน “ค่อย ๆ ดื่มครับต้นสน”

ต้นสนพยักหน้าทำตามพี่ปราชญ์ว่า “อื้ม อร่อย! ขอบคุณครับพี่แตง”

“ยินดีจ้ะ” แตงยิ้มให้หลานของผู้มีพระคุณแล้วขอตัวออกจากห้อง

“ว่าแต่ พี่ปราชญ์โตไปอยากทำงานอะไรหรือครับ” ชายกรณ์เอ่ยถามด้วยความสงสัย

คนถูกถามจิบชาก่อนจะวางแก้ว “พี่คิดไว้ว่าจะเป็นครูน่ะ”

“มาสอนเด็กดื้ออย่างต้นสนแน่เลย”

“ต้นสนไม่ได้ดื้อนะ”

ปราชญ์หัวเราะ “แล้วเด็ก ๆ โตไปอยากเป็นอะไรกันครับ”

“ต้นสนจะเป็นตำรวจแหละ”

“ดีเลยนะ จะได้เหมือนคุณลุงสิงห์”

“ใช่ ๆ เพราะตำรวจเท่”

ปราชญ์พยักหน้าแล้วมองน้องอีกคน “ชายกรณ์ล่ะ”

“ทหารครับ”

“เพราะอะไรล่ะ”

“อยากเป็นทหารที่เก่งกาจเหมือนเสด็จปู่” ชายกรณ์ในวัยสิบเอ็ดขวบพูดด้วยความมุ่งมั่น

“ดีจริงเชียว หากพระองค์ยังอยู่ คงดีใจที่หลานอยากเป็นเหมือนดั่งพระองค์”

“ครับ!” ชายกรณ์ยิ้มกว้าง

พระองค์วายุภักษ์หรือเสด็จปู่ของพวกเรา ท่านสิ้นพระชนม์เมื่อหลายปีก่อนด้วยอายุขัยที่มากและทรงเจ็บป่วยจากการสู้รบที่ภาคใต้กับทหารญี่ปุ่น ถึงไทยจะไม่ตัดสินเข้าร่วมฝ่ายใดในเวลานั้น แต่พระองค์ก็ประสงค์จะเสด็จไปที่ภาคใต้เพื่อช่วยต้านกองทัพญี่ปุ่นที่เดินทางมาทางน้ำ เพราะเสียเพื่อนและลูกน้องไปเยอะจึงมีพระอาการที่เรียกว่าภาวะสงครามมาตั้งแต่นั้นจนพระองค์สิ้นชีพ

“ชายเล็ก” พอเสียงเรียกของชายกรณ์ดังขึ้น ปราชญ์จึงรีบหันไปมองทางประตูก็พบกับน้องชายคนเล็กที่เหมือนจะเข้ามา

“ชายธัน มาเล่นกับน้องสิ” ปราชญ์จำยอมต้องเรียกว่าชายธันเพราะชายธันไม่อยากให้เขาเรียกตนเองว่าชายเล็ก

“ไม่” ชายเล็กปฏิเสธเสียงแข็งแล้วเดินเข้ามาหยิบเครื่องบินออกจากมือของต้นสน “ใครให้เล่น”

“เอามานะ” ต้นสนยกมือ

“ออกไป”

“ไม่ เอาคืนมา”

“บอกให้ออกไปพวกขี้ข้า”

“ชายธัน! ใครสอนให้พูดจาแบบนี้” ปราชญ์ดึงแขนน้อง

“อย่ามายุ่ง”

“ชายธัน ขอโทษต้นสนเดี๋ยวนี้”

“ไม่! ปล่อย!”

ปราชญ์ถอนหายใจ “รู้ตัวไหมว่าพูดอะไรออกมา ขอโทษเดี๋ยวนี้”

“ก็บอกว่าไม่” ยื้อแขนกันไปยื้อแขนกันมาชายเล็กก็ดึงแขนออกอย่างแรงจนทำให้เครื่องบินของเล่นกระแทกกับหน้าของปราชญ์

“พี่ชายใหญ่!” ชายกรณ์รีบวิ่งเข้ามาดูก่อนจะตกใจเมื่อเห็นเลือดซึมออกมาจากหน้าผาก

“ฮืออออ” ต้นสนร้องไห้เมื่อเห็นพี่ปราชญ์เจ็บ เข้ามากอดแน่นจนปราชญ์ต้องลูบหลังปลอบน้อง

“พี่ไม่เป็นอะไรครับ ไม่ร้องนะ”

“ชายเล็กทำอะไร” ชายกรณ์หันไปดุน้องที่ตอนนี้หน้าเสียขึ้นมา “ขอโทษพี่ชายใหญ่เดี๋ยวนี้เลยนะ”

ชายเล็กเม้มปากน้ำตาเริ่มคลอพร้อมกับวิ่งออกไป

“ชายเล็ก เดี๋ยวก่อน”

“ไม่เป็นไรชายกรณ์”

“แต่ว่า—”

“พี่ไม่เป็นอะไรจริง ๆ” ปราชญ์ยิ้มแม้จะมีผ้าเช็ดหน้าของตัวเองมาซับเลือดไว้แต่ต้นสนก็ยังคงร้องไห้ไม่หยุดพลอยเดือดร้อนให้คนรับใช้ของวังต่างวิ่งเข้ามาดู

“ว้ายตายแล้ว เป็นอะไรคะคุณชาย” แตงรีบมาดู

“เมื่อกี้ชายเล—” ทว่าชายกรณ์ยังไม่ทันพูดพี่ชายใหญ่ก็พูดขัดขึ้นเสียก่อน

“ผมแค่เล่นกับน้องแล้วเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะครับ”

“ระวังหน่อยสิคะคุณชายกรณ์ ต้นสน” แตงบอกเด็ก ๆ และพาคุณชายใหญ่ไปรักษาแผล

“เกิดอะไรขึ้นแตง” หม่อมแหวนเดินมาถามก่อนจะตกใจ “ชายใหญ่เป็นอะไรลูก”

“เด็ก ๆ เล่นซนกันจนเจ็บตัวค่ะ” แตงว่า

“ชายกรณ์ หรือ ต้นสน หื้อ”

“อย่าว่าน้องเลยครับ ที่จริงเป็นผมที่พลาดเอง ไม่มีใครทำทั้งนั้นมีแค่ผมที่ทำตัวเองเจ็บเอง”

“น้าบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าให้ท้ายน้องมาก”

“ไม่ใช่น้องจริง ๆ ครับคุณน้า”

“ผมทำเองครับ” ชายกรณ์ที่กอดปลอบต้นสนแทนออกมารับหน้า

“ชายกรณ์” ปราชญ์ส่ายหน้าแต่น้องชายก็ทำเพียงพยักหน้ากลับมาเท่านั้น

“ผมขอโทษครับที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น” น้องว่าพร้อมพนมมือไหว้

“ทีหลังเล่นอะไรระวังหน่อยนะลูก เกิดโดนตาพี่ชายใหญ่ขึ้นมาจนตาบอดจะเป็นเรื่องใหญ่เอา” เธอลูบหัวลูกชายก่อนจะหันมอง “แตงพาคุณชายใหญ่ไปรักษาเถอะ ฉันดูเด็ก ๆ เอง”

“ค่ะ”

“ว่าไงเด็ก ๆ ถือว่าเหตุการณ์นี้เป็นบทเรียนนะ อย่าเล่นกันแรงอีก”

“ครับคุณแม่”

“เอาล่ะ ไปรอพี่ชายใหญ่ที่ห้องรับแขกกันก่อนนะ อาหารเริ่มใกล้จะเสร็จแล้ว” เธอว่าพร้อมกับก้มดูต้นสน “พี่ปราชญ์ไม่เป็นอะไรหรอกนะคะ ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวพี่ปราชญ์ก็กลับมา”

ต้นสนที่สึกสะอื้นหนักยอมพยักหน้าอย่าว่าง่ายและเดินไปทางห้องรับแขก

หลังจากกับข้าวถูกอย่างเสร็จเรียบร้อยคนที่วังจึงพากันจัดโต๊ะ พอดีกับปราชญ์ที่เดินออกมาพร้อมผ้าก็อตติดหน้าผาก

“นั่นไงพี่ปราชญ์มาแล้ว ไปห้องครัวกันนะ” เธอว่าแล้วให้แตงพาเด็ก ๆ ไปที่ห้องครัวก่อน “เป็นไงบ้าง”

“ดีขึ้นแล้วครับ”

“ถ้าอย่างนั้นน้าไปตามชายเล็กก่อนนะ”

“เอ่อคุณน้าครับ”

“จ๊ะ”

ปราชญ์เม้มปากก่อนจะเอ่ยขอร้อง “อย่าบอกหม่อมย่ากับเสด็จพ่อนะครับ ว่าเกิดอะไรขึ้น”

“ทำไมล่ะลูก ชายกรณ์ก็รับผิดแล้ว” เธอสงสัยก่อนจะเริ่มเอะใจเมื่อเห็นสีหน้าหนักใจของชายใหญ่ “ชายเล็กทำหรือ”

“ไม่ใช่ครับ น้องอยู่บนห้องตลอด ไม่ได้ลงมาเลยครับ”

เธอยอมเชื่อ “ต่อให้ใครทำก็ต้องบอกผู้ใหญ่ไว้ พวกท่านเข้าใจอยู่แล้วว่าเป็นแค่อุบัติเหตุ”

“ก็ได้ครับ” ปราชญ์ก้มพอคุณน้าขึ้นไปยังชั้นสองแล้วก็เลยไปนั่งรอที่ห้องทานข้าวเห็นว่านั่งกันครบเลยไม่เว้นแม้แต่หม่อมย่าที่นั่งฝั่งซ้ายมือของหัวโต๊ะและเด็ก ๆ ที่นั่งแถวเดียวกับหม่อมย่า

“อ่าวชายใหญ่ ไปโดนอะไรมาลูก”

“เอ่อคือ...”

“หม่อมสร้อยขอรับ ท่านชายนนท์เสด็จกลับมาแล้วขอรับ” สมพงษ์เดินค้อมตัวมาบอกจึงเก็บเรื่องแผลของปราชญ์ไป

“ไปพามาที่ห้องทานข้าวเร็ว”

“ขอรับ”

เพียงชั่วครู่ชายวัยกลางคนในชุดราชการตำรวจเดินมานั่งที่หัวโต๊ะ “วันนี้มีแขกตัวน้อยด้วยหรือ” ท่านชายคลี่ยิ้มก่อนจะขมวดคิ้ว “ทำไมตาแดงอย่างนั้น เกิดอะไรขึ้นหรือ แล้วไปโดนอะไรมาน่ะชายปราชญ์”

ปราชญ์ที่นั่งข้างต้นสนจับผ้าก็อต

“นั่นสิ ย่าก็ลืมถามเลย”

“คือว่า...”

“ผมทำเองครับ ผมเล่นของเล่นแล้วเหวี่ยงแรงไปหน่อยจึงโดนหน้าผากพี่ชายใหญ่ครับ”

“อ่าว ทีหลังระวังนะ” หม่อมย่าลูบหัวหลานที่นั่งข้างกาย

“ระวังให้มากกว่านี้นะ แล้วน้องแหวนกับชายเล็กล่ะครับหม่อมแม่”

“แหวนไปเรียกอยู่น่ะ เดี๋ยวก็มา”

พูดไม่ทันไรก็เห็นทั้งสองเดินเข้าห้องทานข้าว ท่านชายนนท์มองลูกชายคนเล็กที่ตาแดงเหมือนอย่างต้นสนก็อดจะสงสัยไม่ได้

“วันนี้เกิดเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ ทำไมเจอแต่เด็กร้องไห้กัน”

หม่อมแหวนที่ขึ้นไปหาลูกชาย พอเห็นลูกชายนอนร้องไห้คนเดียวจึงรู้ได้ทันทีว่าฝีมือคนทำที่แท้จริงคือใคร

“ที่จริงแล้ววันนี้เกิดเรื่องนิดหน่อยค่ะ ชายใหญ่เล่าให้เสด็จพ่อทรงทราบหรือยัง”

“มาจากเรื่องนี้หรือ แล้วทำไมชายเล็กถึงร้องไห้ล่ะ”

“อย่าทำอะไรพี่ปราชญ์นะ” ต้นสนเมื่อเห็นชายเล็กก็กลัวแล้วกอดพี่ปราชญ์ไว้แน่น

“ต้นสน” ปราชญ์รีบชูนิ้วชี้เป็นเชิงบอกให้เงียบ

ผู้ใหญ่ทุกคนต่างก็เริ่มมองออก ท่านชายนนท์ถอนหายใจ “ชายปราชญ์”

“ครับ”

“ทำไมถึงไม่บอกความจริง”

“ขอโทษครับ”

“ยอมตามใจน้องแบบนี้ เดี๋ยวจะเสียนิสัยกันไปใหญ่” เพียงหัวหน้าครอบครัวพูดเด็กทุกคนต่างกลัวจนหดคอกันหมด “อะไรที่ผิดก็ว่าผิด ปกป้องและปล่อยไปแบบนี้ คิดหรือว่ามันจะเป็นผลดีในภายภาคหน้า”

ชายปราชญ์ลุกขึ้นแล้วก้มไหวผู้ใหญ่ทั้งสาม “ขอโทษครับ เรื่องวันนี้มันเป็นอุบัติเหตุจริง ๆ ชายธันไม่ได้ตั้งใจทำเลย” พูดแล้วมองน้องคนเล็กที่เริ่มน้ำตาคลอจับมือผู้เป็นแม่แน่น

“ใช่ค่ะคุณพี่ น้องเพิ่งคุยกับชายเล็กมา ชายเล็กบอกไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ขอโทษพี่เขาสิลูก” หม่อมย่าบอกหลานคนเล็ก

ชายเล็กเงยหน้ามองคนพี่ จากที่โกรธพอมองเห็นผ้าสีขาวก็ก้มหน้านิ่ง

“ชายเล็ก” เสียงทุ้มต่ำของผู้เป็นบิดาเอ่ยอีกรอบ ชายเล็กจึงค่อย ๆ ยกมือไหว้ “พูดด้วย”

ชายเล็กมองพ่อแล้วหันมองพี่ชาย “ขอโทษครับ”

“ไม่เป็นไรครับ” ปราชญ์ยิ้มให้น้องแม้จะได้รับการเมินอีกรอบ

“เอาล่ะ มาทานข้าวกัน” ท่านชายนนท์ผายมือ หม่อมแหวนและลูกชายคนเล็กจึงนั่งทางขวามือของท่านชายนนท์

“แล้วเมื่อไหร่หรือที่ชายใหญ่จะต้องไปเมืองนอก” หม่อมย่าถามขึ้น

ท่านชายนนท์มองลูกคนโต “คิดว่าจะให้ไปเร็ว ๆ นี้น่ะครับหม่อมแม่ คงราว ๆ สักเดือนสองเดือนหน้า อีกไม่กี่อาทิตย์นี้ก็จะข้ามปีเป็น ๒๔๙๙ แล้ว คาดว่าปีหน้าจะได้ไป”

“ไปที่อังกฤษใช่ไหมคะ” หม่อมแหวนถาม

“อืมใช่ พอดีว่าจะให้เจ้าตัวไปรับภาษาจากทางโน้น ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะส่งไปที่อิตาลีด้วยเพื่อรับภาษาทางตะวันตกมาเพิ่ม เป็นความต้องการของเจ้าตัวเองน่ะที่ต้องการเรียนรู้ด้านภาษา”

“แล้วทำไมถึงเลือกจะไปเรียนด้านภาษาล่ะชายใหญ่” หม่อมย่าถาม

ปราชญ์ยิ้มบางรวบช้อนแล้ววางมือกับเข่าเพื่อตอบ “ผมอยากเอาภาษาจากทางนอกมาสอนให้กับคนไทยน่ะครับ”

“โอ้ ดีเลยนะ” หม่อมย่าพยักหน้าพึงพอใจ

“จะเป็นครูหรือชายใหญ่”

“ครับคุณน้า ผมอยากเป็นครู”

ท่านชายนนท์ยิ้ม “เหมือนแม่สินะ”

“ครับเสด็จพ่อ... ผมอยากให้ข้าราชการครูไม่ถูกมองว่าเป็นงานที่ต่ำต้อย การเป็นครูถือว่ามีเกียรติและเป็นตัวอย่างที่ดีแก่เด็กได้”

“อืม ดีแล้ว”

“คุณปิ่นต้องภูมิใจแน่จ้ะ” หม่อมแหวนยิ้ม

“ขอบคุณครับคุณน้า” ปราชญ์ดีใจ

“สมัยก่อนนะ คนอื่นเขายังมองว่าการเป็นครูเป็นงานที่ไม่สมเกียรติไม่สมฐานะเลย ย่าดีใจนะที่หลานภูมิใจในงานของแม่และอยากจะสานต่อ”

“ถ้าไปคราวนี้ เด็ก ๆ คงเหงาแย่” หม่อมแหวนมองลูกชายกับเด็กใกล้วัง

“พี่ปราชญ์จะไปไหนเหรอ” ต้นสนเงยหน้าถาม

ปราชญ์ใจหายวูบ จะบอกน้องยังไงดีว่าจะไม่ได้เจอกันอีกนานเลย “พี่ต้องไปเรียนทางไกลครับ”

“ไปที่ไหน นานไหม”

ปราชญ์ลูบหัวเด็กข้างกาย “ไม่นานหรอกครับ”

“อื้อ งั้นต้นสนจะรอนะ” เด็กน้อยยิ้มตาหยี

ไม่ได้รู้เลยว่า ไม่นานของปราชญ์เป็นคำปดที่ไม่น่าให้อภัย...





จบบทที่ ๑

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------

เปิดตอนแรกแล้วครับผม ขอฝากคุณชายปราชญ์ไว้ในอ้อมอกทุกท่าน



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-05-2020 15:04:43 โดย IMYean. »

ออฟไลน์ psychological

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑
«ตอบ #5 เมื่อ17-05-2020 00:14:58 »

 :กอด1:

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑
«ตอบ #6 เมื่อ17-05-2020 01:20:53 »

ชายเล็กนิสัยไม่ดี พี่ปราชญ์ควรกำหราบนะ
ปล่อยไว้แบบนี้ จะกลายเป็นสันดานที่ขัดไม่ออกเอา
หวังว่าโตขึ้นชายเล็กจะคิดได้เองนะ

น้องต้นสน รอพี่ปราชญ์จนโตเป็นหนุ่มเลยรึเปล่าน๊าาาาาา :katai3:

ออฟไลน์ piakunaa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑
«ตอบ #7 เมื่อ17-05-2020 01:48:49 »

ต้นสนลูก​ เดี๋ยวป้ากอดปลอบนะคะ

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๒
«ตอบ #8 เมื่อ20-05-2020 15:40:19 »

 


บทที่ ๒

สามพี่น้อง


 


ปี ๒๔๙๙

เวลานี้เป็นช่วงบ่าย ปราชญ์จูงมือน้อง ๆ ที่มาถนนเจริญกรุงแวะทั้งย่านสี่พระยา สำเพ็ง จวบจนมาจบที่วังบูรพา เพื่อไปห้างเซ็นทรัล เพราะปราชญ์ตั้งใจจะไปซื้อเสื้อผ้าเพื่อใส่ไปอังกฤษและซื้อหนังสือด้วย กลายเป็นว่าชายกรณ์กับต้นสนขอเดินทางมาด้วย แต่ละคนแต่งตัวหล่อซะไม่มี

“อยากขึ้นสามล้อ” ต้นสนชี้ ๆ

“ไว้วันหลังค่อยนั่งสามล้อกันนะ”

“ครับ!”

ปราชญ์ยิ้มแล้วหันมองคุณน้ากับชายธันที่มาด้วยเพราะจะตัดเสื้อไปร่วมงานบริจาคที่วังศิริกิต

“เดี๋ยวผมกับน้องไปดูหนังสือทางโน้นก่อน ไว้วัดตัวชายธันกับคุณน้าเสร็จแล้วให้พี่สมพงษ์ไปเรียกผมนะครับ”

“จ้ะ ไปชายเล็ก”

ปราชญ์เดินไปร้านหนังสือและมองหาหนังสือด้านภาษา เพราะปราชญ์ชอบอ่านหนังสือที่เป็นภาษาอังกฤษทั้งเล่ม อย่างหนังสือวรรณกรรมก็ชื่นชอบ

“อันนี้อะไรอะพี่กรณ์” ต้นสนนั่งลงจุมปุ๊กกับพื้นทันที เมื่อหยิบหนังสือเล่มหนึ่งมา ชายกรณ์ก็ก้มไปบอกว่ามันคือสัตว์อะไร ภาษาอังกฤษพูดว่าอย่างไร

ปราชญ์ยิ้มเอ็นดู ชายกรณ์เป็นเด็กฉลาด ได้ภาษาตั้งแต่เด็กเพราะคุณน้าสอน ส่วนเขานั้นก็เริ่มได้หลังจากที่หม่อมแหวนมาช่วยฝึกเหมือนกัน จริง ๆ แล้ว เสด็จพ่อประสงค์จะส่งเราสามพี่น้องไปไฮสคูล แต่ด้วยเหตุการณ์ต่าง ๆ ไม่อำนวยจึงไม่ได้ส่งไป แต่คิดว่าชายกรณ์กับชายเล็กยังคงมีโอกาสและจะส่งไปอีกไม่นานนี้

พอนึกได้อย่างนั้นปราชญ์ที่ยิ้มอยู่ก็ค่อย ๆ หุบลงเมื่อมองเด็กอีกคนที่เล่นกันมาตั้งนานและรู้สึกสนิทสนมเหมือนดั่งพี่น้อง

ต้นสนจะมีเพื่อนเล่นที่บ้านหลังจากเลิกเรียนหรือเปล่า หากเราพี่น้องไปเมืองนอกกันหมด...

“น่ารักจัง” ต้นสนชี้กระต่ายขาว

“Rabbit แปลว่า กระต่าย”

“แรบ...แรบบิด แปลว่า กระต่ายคับ!” ต้นสนตาหยี

 “คุณชายขอรับ คุณหญิงท่านกับคุณชายเล็กวัดตัวเสร็จแล้วขอรับ” เพียงไม่นานสมพงษ์ก็เดินมาบอก

“เอาล่ะ ไปวัดตัวกัน” ปราชญ์บอกน้อง ๆ และพาเดินไปยังห้องเสื้อ

“เดี๋ยวน้าจะวัดตัวให้ชายกรณ์ก่อน ปราชญ์ดูน้องหน่อยนะ รอครู่เดียว”

ปราชญ์มองชายธันที่แทบไม่มองหน้าเขาเลย “ได้ครับ” ว่าแล้วก็โอบน้องไว้แม้จะรู้สึกว่าน้องขืนตัวออก จึงปล่อยและให้ยืนข้างกาย ส่วนเขาก็อุ้มต้นสนนั่งบนตัก

“พี่ปราชญ์ คนนี้จะทำร้ายไหม”

ชายธันมองด้วยความหงุดหงิดทันที

“ต้นสนไม่พูดแบบนี้นะครับ วันนั้นชายธันไม่ได้ตั้งใจ”

“เหรอคับ งั้นเราชื่อต้นสนนะ นายชื่ออะไร” ต้นสนยิ้มตาหยีแต่ก็ได้รับการหมางเมิน จนเด็กน้อยขมวดคิ้ว “นายชื่ออะไรเหรอ”

“อย่ามายุ่ง”

ต้นสนหน้าเสียเงยหน้ามองพี่ปราชญ์เพื่อขอความช่วยเหลือ

“ชายธัน... คุยกับต้นสนหน่อยสิ แค่บอกชื่อเท่านั้น”

ชายธันหันมองพี่คนโตตาขวาง แต่เพราะมีความผิดจึงยอมฟัง “ฉันชื่อธัน”

“ธันเหรอ ธันเมื่อกี้เราไปดูสัตว์มาด้วยล่ะ”

ชายธันขมวดคิ้ว “สัตว์ที่ไหนจะมีอยู่ที่นี่”

“ไปดูกันเร็ว พี่ปราชญ์พาพวกเราไปดูหน่อยคับ” ต้นสนลงจากตักและดึงมือ

“ได้สิ” ปราชญ์ยิ้มจับมือต้นสนก่อนจะยื่นมือให้ชายเล็ก “จับมือพี่นะ จะได้ไม่หลงกัน”

เด็กยังไงก็คือเด็ก การกลัวหลงกับผู้ใหญ่คือสิ่งที่เด็กนั้นกลัวจับใจ ชายเล็กจึงยื่นมือไปจับอย่างว่าง่าย

ปราชญ์คล้ายตาคลอที่น้องยอมจับมือ ดวงตาสุกสกาวยามมองน้องชายคนเล็ก “พี่สมพงษ์ เดี๋ยวผมไปร้านหนังสืออีกรอบนะครับ”

“ขอรับ” สมพงษ์ก้มหัว

ทั้งสามคนจึงไปร้านหนังสือและต้นสนก็หยิบให้ชายธันดู แม้จะเป็นหนังสือภาพสัตว์ขาวดำ ทว่า ก็น่าสนใจสำหรับเด็ก ๆ ไม่แปลกที่เจ้าธันจะนั่งลงเพื่อดูด้วย ปราชญ์เลยซื้อหนังสือไปด้วยเสียเลย เพราะก่อนหน้านี้ก็ยังไม่ทันได้ซื้อก็ถูกเรียกไป

“นั่นอะไรเหรอพี่ปราชญ์” ต้นสนชี้ที่กลางอก

“หื้อ นี่น่ะเหรอ” ชายปราชญ์ยกกล้องที่ห้อยคอไว้ขึ้นมา เพราะตนเพิ่งเอาออกจากกระเป๋า ที่เอามาด้วยเพราะอยากเก็บบรรยากาศเมืองกรุงก่อนไปเรียนนอก “เขาเรียกกล้องถ่ายรูป”

“โห” ต้นสนตาวาวได้ครู่ก่อนจะทำหน้าสงสัย “แล้วกล้องถ่ายรูปมันคืออะไร”

“ก็ไว้ถ่ายรูปไงถามแปลก” ชายธันขมวดคิ้วมุ่น

“แล้วถ่ายรูปมันคืออะไรล่ะ”

ชายปราชญ์ยิ้มแล้วนั่งลงข้างเด็ก ๆ “ถ้าเกิดพี่กดปุ่มนี้แล้วถ่ายต้นสน ก็จะได้รูปที่คล้ายภาพสัตว์นี้ออกมา”

“จริงเหรอ!”

“เสียงดัง” ชายธันหันหนี

“จริงสิ” ปราชญ์ยิ้มแล้วผละออกมา “ชายธันถ่ายรูปกับเพื่อนสิ”

“เพื่อนที่ไหน”

“ก็ต้นสนไง”

“ไม่ใช่—”

“ธันถ่ายรูป ถ่าย ๆ” ต้นสนกอดคอคนข้างกายทันที ชายธันไม่ทันผลักออกก็ต้องถูกถ่ายรูปไปเสียแล้ว “ได้ไหม ๆ”

“ได้แล้วครับ แต่ยังให้ดูไม่ได้นะ รอก่อน”

“อยากเห็นแล้วอ่า” ต้นสนหน้าหงอย

“ไม่นานหรอกครับ เสร็จแล้วพี่จะรีบเอามาให้ดูเลย”

“ก็ได้ ถ้าเสร็จแล้ว... ธันเรามาดูรูปกันนะ”

“ใครจะอยากดู” ชายธันหันหน้าหนี

ปราชญ์ยกมือไปลูบหัวน้อง “ขอพี่เก็บรูปชายธันไว้ด้วยนะ ถ้าพี่ไปอยู่ไกลแล้ว พี่ก็อยากเก็บรูปน้องชายของพี่เอาไว้”

ชายธันไม่ได้สะบัดหนีได้แต่นิ่งงันกับสัมผัสนี้ที่เพิ่งเคยจะได้รับ ทั้งอบอุ่นและอ่อนโยน แม้มือเรียวจะผละออกไปแล้วแต่กลับทำให้ชายธันไม่สามารถลืมสัมผัสอันบอบบางนั้นได้เลย ทั้ง ๆ ที่ไม่คิดจะสนใจ แต่น่าแปลกที่ภายในอกวูบโหวงขึ้นมากับคำพูดที่เหมือนจะห่างไปไหนไกล...

หลังจากเสร็จธุระหม่อมแหวนก็พาลูกชายไปหาเด็กทั้งสามที่ร้านหนังสือ เธอตกใจไม่น้อยที่ชายเล็กยอมมาด้วย แต่ก็อดปลื้มใจไม่ได้ที่ดูเหมือนว่าพี่น้องคู่นี้เริ่มต้นไปในทางที่ดี “ทำอะไรกันอยู่คะเด็ก ๆ”

พอเห็นคุณแม่กับพี่ชายอีกคน ชายเล็กลืมตัวว่านั่งเพลินไปเสียหน่อยเลยรีบลุกไปหาคุณแม่ทันที

“สนุกใหญ่เชียวชายเล็ก” ชายกรณ์คลี่ยิ้ม

“ไม่ใช่...” ชายเล็กหลบหน้าแล้วกอดแขนแม่แน่น

“แม่ดีใจจังที่ลูก ๆ สองคนคุยกัน” เธอยิ้มอย่างมีความสุขจากใจจริง ชายธันที่เห็นก็ได้แต่หลบตา ใบหูเล็กแดงก่ำ

“ถ้าอย่างนั้น ชายธันมากับพี่มา” ปราชญ์ยื่นมือ

“ไปไหน”

“เดินกับพี่ได้ไหม เราไปถ่ายรูปกัน”

“ไปสิชายเล็ก แม่ก็อยากไป”

ชายธันลังเลก่อนจะตกใจเมื่อถูกดึงแขนจากต้นสน “มาเร็ว ๆ ไปถ่ายรูปกัน”

“เดี๋ยวสิอย่าวิ่ง” ปราชญ์ถอนหายใจก่อนจะวิ่งตามเด็ก ๆ ไป

ตอนนี้ออกมาเดินเล่น แม้อากาศจะร้อนอบอ้าวแต่ก็ไม่ได้แย่นัก ปราชญ์แวะถ่ายรูปอยู่หลายที่ก่อนจะเข้าร้านเสื้อผ้าขอซื้อหมวกให้เด็ก ๆ

“ชายธันมาเร็วครับ พี่ใส่ให้” ชายปราชญ์ย่อตัวลงให้หน้าเท่ากับน้องแล้วสวมหมวกติงลี่ให้ “ใส่ไว้ แดดจะได้ไม่ส่องหน้านะ”

ชายธันเผลอมองดวงตาที่สุกใสก่อนจะเม้มปากเสหน้าหลบ “ข..ขอบคุณครับ”

คนพี่ยิ้มกว้าง “ยินดีครับ”

“พี่ปราชญ์ใส่ให้ต้นสนมั้ง” ต้นสนชูหมวก

“มาครับ... เรียบร้อยแล้ว”

สุดท้ายก็ได้ขึ้นรถสามล้อเที่ยวรอบเมือง ต้นสนกับชายเล็กนั่งกับชายปราชญ์ น้องคนสุดท้องดูท่าจะเปิดใจให้มากขึ้น เห็นรอยยิ้มของเด็ก ถึงแม้จะน้อยนิด แต่ปราชญ์ก็ดีใจแล้ว

“ชายธันมานี่ครับ เดี๋ยวหลง” ปราชญ์โอบน้องแล้วจับมือ

น้องคนเล็กได้แต่มองมือที่ถูกจับ พลันรอยยิ้มก็แตะแต้มบนใบหน้า “พี่... พี่ชายใหญ่”

“ว่าไงครับ” ปราชญ์รีบย่อตัวลงมาถามทำให้เด็กน้อยที่ไม่มีเหตุผลในการเอ่ยเรียกได้แต่เคอะเขิน “มีอะไรหรือเปล่า บอกพี่ได้นะ”

ความเป็นห่วงที่มาจากใจจริง ทำให้ชายเล็กละอายแก่ใจ ยิ่งเห็นผ้าปิดแผลบนหน้าผากคนตรงหน้า ใจของเด็กน้อยก็แห้งเหี่ยว มือน้อยเลยอดไม่ได้ยื่นมือขึ้นไปแตะผ้า

“ธันขอโทษครับ”

ปราชญ์เบิกตาเล็กน้อย ใจเต้นแรง น้องชายที่ไม่มีวันสนใจไยดี ตอนนี้กลับแตกต่างจนทำคนพี่น้ำตาคลอ “ขอบคุณครับ ขอบคุณจริง ๆ”

น้องชายงุนงง ตนขอโทษแต่พี่ปราชญ์ขอบคุณเขาทำไม

หม่อมแหวนอดจะปิดปากเพราะตกใจไม่ได้ ไม่คิดเลยว่าจะมีวันนี้

“พี่ปราชญ์ร้องไห้ทำไม” ต้นสนที่ยืนมองเอียงคอถาม

“พี่ดีใจครับ” ชายปราชญ์ยิ้มไม่หยุด “ชายธัน... พี่ขอกอดได้ไหม”

ชายธันเม้มปาก หูน้อยแดงก่ำอีกระลอก “ได้... ครับ”

คนพี่ปลื้มใจโอบกอดน้องแน่น มีความสุขก่อนไปเรียนไกลถือว่าเป็นของขวัญที่ดีที่สุด “ชายธันรู้ใช่ไหมว่าพี่รักชายธันมาก พี่ดีใจมากเลยนะที่ชายธันไม่เกลียดพี่อีกแล้ว”

มือน้อยยกกอดตอบ เห็นพี่ร้องไห้ดันร้องตามขึ้นมา “ฮือออออ พี่ชายใหญ่ ธันขอโทษ” กลายเป็นว่าสองพี่น้องแข่งกันร้องไห้จนคนเขามองกันเต็ม

คนเป็นแม่รู้สึกยินดีเธอเกลี่ยน้ำตาแล้วลูบหัวชายกรณ์แล้วพยักพเยิดให้ไปหา

“ร้องไห้กันทำไมล่ะสองคนนี้” ชายกรณ์แตะไหล่ทั้งคู่

“ชายกรณ์” ถึงแม้ปราชญ์จะอายุเยอะกว่าใคร แต่เด็กอายุยี่สิบก็ยังคงเด็กอยู่ แขนขาวจึงมากอดน้องคนกลางอีกคน คราวนี้คนเขาก็คิดว่ามีเรื่องอะไรเมื่อเห็นเด็กสามคนกอดกันกลมดิ๊ก

“พี่ ๆ ร้องไห้กันทำไมหรือคับ” ต้นสนเงยหน้าถามหม่อมแหวนที่เธอจูงมือมาดูแลแทนเพื่อให้สามพี่น้องเขาได้ระบายความในใจกันก่อน

“เพราะมีความสุขน่ะ” เธอลูบหัวเด็กข้างกาย

แต่เด็กน้อยก็ไม่เข้าใจ มีความสุขก็ต้องยิ้มสิ

สามพี่น้องเดินเล่นด้วยกันแทนและต้นสนไม่คัดค้าน เพราะรู้ว่าทั้งสามเป็นพี่น้อง หม่อมแหวนบอกว่าพวกเขาทะเลาะกันและตอนนี้กำลังจะดีกันอยู่ ต้นสนเลยอยู่กับหม่อมแหวน ต้นสนไม่อยากให้พี่ปราชญ์ร้องไห้อีก

ปัง

“กรี๊ดดด”

“คุณท่านขอรับรีบหลบเร็วขอรับ”

ปราชญ์ใจสั่นรีบดันน้อง ๆ ให้ไปอยู่ข้างหลัง “ชายธัน ชายกรณ์ หลบหลังพี่”

“ชายใหญ่ไปหลบในบ้าน” หม่อมแหวนรีบบอกเพราะคนแถวนี้ใจดีให้เข้าไปหลบได้

“โอ๊ย” ชายธันเผลอหกล้ม ปราชญ์เห็นท่าไม่ดีจึงให้ชายกรณ์เข้าไปหลบก่อนและตนก็ออกไปหาน้องเพราะเด็กนักเรียนช่างกำลังวิ่งมาทางนี้ “ฮือออ”

“ไม่เป็นไร” ปราชญ์กอดน้องเอาตัวบังพวกนั้นไว้เผื่อมันยิงกันแล้วมาโดนน้อง ให้โดนเขาแทนดีกว่า

“เดี๋ยวอย่าเพิ่งปิดค่ะ เดี๋ยว!” หม่อมแหวนร้องไห้โฮเมื่อเจ้าของบ้านรีบปิดบ้านยังไม่ทันให้ลูกทั้งสองเข้ามาเลย

“พี่ปราชญ์ ธันกลัว” เด็กน้อยร้องไห้กอดคนพี่แน่น

“พี่อยู่นี่นะ เอาล่ะหลบใต้โต๊ะนี้ไว้” ปราชญ์ให้น้องหลบใต้โต๊ะแล้วเอาทั้งตัวบังแทนน้อง เสียงโหวกเหวกโวยวายดังใกล้เรื่อย ๆ พร้อมกับเสียงปืนที่ยิงกันและเสียงเหล็กเสียงไม้ที่ต่างฝ่ายต่างใช้ทุบตี

ตุ้บ!

ปราชญ์ใจหายวาบเมื่อมีเด็กช่างคนหนึ่งล้มหงายตรงนี้พอดี เลือดไหลออกหัวเต็มจนชายธันร้องไห้ไม่หยุด

“อย่ามอง หลับตาไว้ครับ” คนพี่กอดน้อง หันมองพวกเด็กช่างที่ตบตีกัน รออยู่นานพวกนั้นก็วิ่งไปทางอื่นหมดแล้ว ปราชญ์กวาดตามองเห็นสภาพคนล้มนอนตาย นอนเจ็บก็รู้สึกพะอืดพะอมรีบอุ้มน้องให้หน้าซุกกับไหล่ไว้ “ไม่เป็นไรแล้วครับ แต่ชายธันอย่าเพิ่งลืมตานะ”

“ชายเล็ก ชายใหญ่” พอเจ้าของบ้านเปิดออก หม่อมแหวนก็รีบเข้ามากอดทันที

“ต้นสนห้ามมอง” ชายกรณ์รีบปิดตาน้องแล้วตนก็รีบหันหนีเช่นกัน

“รีบกลับกันเถอะครับ เดี๋ยวพวกนั้นกลับมาอีก” ปราชญ์รีบเตือนสติ พวกเขาจึงพากันไปที่รถ

“แม่คิดว่าจะเสียลูกไปแล้ว” เธอสะอึกสะอื้น กอดชายธันแน่น

“พี่ปราชญ์” ต้นสนกอดแขนพี่ชาย เด็กน้อยกลัวจับใจ

“ไม่เป็นไรนะ ขวัญเอ๊ยขวัญมา” ปราชญ์หอมหัวน้องที่นั่งข้างหลังฝั่งซ้ายมือตนเอง

“พี่ชายใหญ่ไม่ได้ถูกทำร้ายใช่ไหมครับ” ชายกรณ์นึกห่วงยังคงถามไถ่

ปราชญ์ยิ้มเพื่อให้น้องวางใจ “ไม่เจ็บไม่โดนอะไรเลยครับ ชายกรณ์ไม่ต้องห่วงนะ”

จนป่านนี้ก็ยังมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้ง ปราชญ์ส่ายหน้าไม่เข้าใจว่าเด็กพวกนั้นจะทะเลาะกันไปทำไม นอกจากจะไม่ได้ประโยชน์อะไรแล้ว ยังเดือดร้อนชาวบ้านชาวช่องเขาอีก ตำรวจก็ไม่เห็นจัดการขั้นเด็กขาดเสียที


 
 
เฝ้าคำนึง

 


เรื่องวันนั้นผ่านไปได้หลายอาทิตย์แล้ว และท่านชายนนท์ก็จัดการสั่งตำรวจนครบาลจับกุมพวกนั้น เรื่องตบตีจึงเงียบไป วันนั้นเพราะมัวแต่ห่วงลูกจนทิ้งของ หม่อมแหวนและลูก ๆ จึงกลับไปซื้อเหมือนเดิม ทั้งยังมีตำรวจมาดูแลเป็นลูกน้องของเสด็จพ่อทั้งนั้น

“เท่จังเลย” ต้นสนที่ยืนอยู่กับชายธันมองนายตำรวจคนหนึ่งที่สูงใหญ่ เคร่งขรึม

ชายธันเงยหน้าจ้องเขม็งจนนายตำรวจคนนั้นเหงื่อออกว่าไปทำอะไรให้ลูกของหัวหน้าโกรธหรือเปล่า แต่ที่จริงชายธันกำลังคิดในใจว่าเท่เหมือนกัน

“กลับกันเถอะเด็ก ๆ” รีบมาก็รีบกลับเพราะยังกลัวกันอยู่

“เพิ่งจะดีกัน แต่ชายใหญ่ก็ต้องไปทางไกลแล้ว” หลังจากขึ้นรถหม่อมแหวนก็พูดขึ้น เธอมองเด็กสี่คนข้างหลัง ชายปราชญ์นั่งตรงกลางโดยมีชายธันนั่งบนตัก และต้นสนกับชายกรณ์ประกบซ้ายขวา เป็นภาพที่หาดูได้ยาก

“นั่นสิครับ อยากอยู่คุยกับน้องนาน ๆ เลย” ว่าเสร็จก็หอมหัวจนชายธันหูแดงอีกแล้ว

“อย่าหอม”

“ฮ่ะ ๆ ขอโทษครับ” เขินอายแต่เด็กเลยเชียว โตไปคงไม่ได้ทำแบบนี้

“พี่ชายใหญ่ไปเรียนกี่ปีหรือครับ” ชายกรณ์ถาม

“พี่ไม่รู้เลย คงจะหลายปี กว่าจะได้กลับ พวกเราคงโตกันหมดแล้ว”

ชายกรณ์ก้มหน้า คงจะคิดถึงมากแน่ ๆ เลย

“ไปไหน” เสียงแข็งของเด็กน้อยถาม

“ไปเรียนครับ เดี๋ยวชายธันก็ต้องไปพร้อม ๆ กับพี่กรณ์”

ชายธันขมวดคิ้ว “เมื่อไหร่จะได้เจอ”

ปราชญ์หนักใจ “ไม่นานหรอกครับ”

“แต่เมื่อกี้บอกว่าหลายปี” ถึงจะอายุเพียงเจ็ดขวบแต่ก็รู้เรื่องบ้าง

“พี่ขอโทษ แต่เดี๋ยวพี่จะส่งจดหมายมาหานะ”

ชายเล็กนั่งหน้าบึ้งทันที กอดอกพยศอีกแล้ว แต่กลับทำให้หม่อมแหวนหัวเราะขึ้นมา

“งอนพี่เขาหรือลูก ไม่อยากให้ไปไหนไกลใช่ไหมล่ะ”

“ไม่ใช่สิคุณแม่” หน้าเด็กน้อยบึ้งตึงไปอีก ก็แค่คิดว่าอุตส่าห์จะได้ไปเล่น เหมือนที่คนอื่นเขาเล่น ได้ว่ายน้ำ ได้ฟังนิทานจากพี่ชายใหญ่ ได้รับความดูแล แต่กลับต้องห่างกันอีกแล้ว

“ถ้าอย่างนั้นก่อนที่พี่จะไป ชายธันต้องลงมาเล่นกับพี่ ๆ และต้นสนนะ”

ชายธันขมวดคิ้วถึงจะดีกับพี่ชายใหญ่ แต่จิตใต้สำนึกยังดูถูกผู้อื่น “ไม่เล่นกับต้นสน ไม่เล่นกับลูกคนใช้”

“ชายเล็ก” หม่อมแหวนดุทันที

“ไม่พูดแบบนี้ครับ” ชายปราชญ์เองก็เช่นกัน หันไปมองต้นสนที่เงียบผิดปกติ น้องเอาแต่ก้มหน้า ปราชญ์จึงลูบหัวน้อง แต่กลับถูกดึงแขนไว้

“ห้ามจับมันนะ”

“ชายเล็ก แม่พูดไม่ฟังเลยนะ”

ชายเล็กไม่เข้าใจทำไมทุกคนถึงปกป้อง “ถ้าพี่ชายใหญ่รักผม พี่ชายใหญ่ต้องไม่ให้ต้นสนมาเล่นด้วย”

“ไม่ได้ครับ” ปราชญ์ขมวดคิ้ว “ชายธันฟังพี่นะ เราไม่ได้สูงศักดิ์กว่าใครเลย เราก็แค่คนธรรมดาเอง  ชายธันจะไปชี้หน้าด่าใครว่าต่ำต้อยกว่าเราไม่ได้นะ มันไม่ใช่สิ่งที่ถูก”

“ไม่เอา ธันไม่อยากเล่นกับต้นสน”

“ก่อนหน้านี้ยังเล่นกันอยู่เลย ไหนว่าเป็นเพื่อนกันไง”

ชายธันไม่อยากจำ ก็แค่อยากรู้อยากเห็นเลยยอมไปเล่นด้วย แต่ไม่ได้จะบอกว่าเป็นเพื่อนด้วยเลย

“ไม่เอา” ชายธันพูดเสียงอู้อี้เพราะกำลังกอดพี่ชายใหญ่แน่นด้วยความหวงพี่ชายกลัวว่าจะไปสนิทกับใครมากกว่าเสียแล้ว

“เฮ้อ” คิดว่าจะดีขึ้น แต่คงต้องค่อย ๆ บอกไปสินะ

หลังจากถึงวัง ปราชญ์ก็พาน้องลงรถแต่ชายธันดันกอดเขาไม่ปล่อยเลย ปราชญ์จึงได้แต่มองน้องต้นสนที่มองมาทางเขาและน้องคนเล็ก

“ขอบคุณคับ” ต้นสนยกมือไหว้ผู้ใหญ่แล้วเอาของที่ได้เดินกลับบ้านคอตก

ปราชญ์มองตามน้อง ได้แต่ขอโทษในใจ

“ไปเล่นกับธันนะ”

แม้ว่าต้นสนจะไม่ใช่น้องแท้ ๆ แต่ปราชญ์ก็รักเหมือนน้องชายคนหนึ่ง อยากจะเอ่ยเรียก แต่ว่าชายธันกับเขาเพิ่งจะได้เปิดใจคุยกันเลยไม่อยากผิดใจน้องไปมากกว่านี้ จึงคิดได้ว่าหัวค่ำค่อยไปหาต้นสนเอา

“ชายกรณ์พาน้องไปที่ห้องนั่งเล่นก่อน”

“ไม่เอา”

“ชายเล็ก” หม่อมแหวนดุ “แม่ขอคุยกับพี่ชายใหญ่เพียงครู่เดียว อย่าดื้อกับแม่”

“ไปเถอะ” ชายกรณ์จูงมือน้อง

พอทั้งคู่เดินออกไปแล้วหม่อมแหวนก็หันมา “จะทำยังไงกับน้องดี”

“คงต้องค่อย ๆ สอนเขาไปน่ะครับคุณน้า จะให้ปรับเปลี่ยนเลยก็คงไม่ได้ น้องยังเด็ก”

“เราน่ะ ให้ท้ายน้องอีกแล้ว ตามใจมากไปไม่ดีนะ”

ปราชญ์พยักหน้าเข้าใจ “ผมรู้ครับ แต่ว่าการสอนให้เขาได้เรียนรู้เรื่องมารยาทและเปลี่ยนความคิดมันไม่ใช่เรื่องง่าย”

“เกี่ยวกับคบหาเพื่อนด้วยหรือเปล่า”

“มีส่วนครับ เด็ก ๆ ถูกชักจูงได้ง่าย เพื่อนแต่ละคนของชายเล็กมีแต่ลูกผู้ดี ทว่า กลับเป็นเด็กดื้อและถูกสอนว่าคนอื่นฐานะต่ำกว่าตัวเองทั้งนั้น”

หม่อมแหวนถอนหายใจ “ย้ายโรงเรียนให้น้องดีไหม”

“เดี๋ยวชายธันก็จะได้ไปเรียนไฮสคูลแล้ว เราแค่สอนเขาเมื่อวันที่เขาอยู่ที่บ้านดีกว่าครับ ไม่แน่ว่าช่วงที่ผมเรียนผมอาจจะไปหาน้องด้วย”

“แต่ต้องเดินทางไปกลับ มันจะดีหรือ”

ปราชญ์ยิ้มรับไม่ใช่เรื่องที่น่าเหนื่อยขนาดนั้น “อย่างน้อย ก็จะได้ไม่ห่างกันเกิน ผมคงเรียนที่นั่นนาน คิด ๆ ดูแล้ว หากชายธันกับชายกรณ์ไปเรียนไฮสคูลด้วยกัน ผมจะคอยไปเที่ยวหาน้องเอง”

“เอาอย่างนั้นหรือ”

“ครับ ผมจะคอยสอนน้องด้วย”

“ขอบคุณมากนะชายใหญ่ แต่ยังไงเรื่องตามใจ น้าก็ไม่เห็นด้วยอยู่ดี”

“เข้าใจแล้วครับ ผมจะพยายามไม่ตามใจมากจนเกินไป”

“ดีแล้ว ถ้าอย่างนั้นไว้ถึงอาหารเย็นเมื่อไหร่เดี๋ยวให้แตงมาเรียกนะ”

“ครับผม”

 


เฝ้าคำนึง

 


ท้องฟ้ามืดลงจนเห็นดวงดาวและพระจันทร์ ปราชญ์อาบน้ำพร้อมชุดนอน แต่ที่จริงก็เตรียมจะไปหาต้นสนด้วย ปราชญ์ไม่ลืมน้องหรอก เด็กหนุ่มมองหาน้องจากทางหน้าต่างก็ไม่มีเด็กน้อยมาโบกไม้โบกมือให้เหมือนเคย

“ตอนนี้จะทำอะไรอยู่นะ” เพราะว่าเพิ่งจะหัวค่ำได้ไม่นานและปราชญ์ก็รู้เวลาดีว่าช่วงนี้บ้านพี่เฟื้องเขายังไม่นอนกัน คงจะเพิ่งทานข้าวด้วยซ้ำ

“เอ่อ คุณชายจะไปไหนหรือคะ” นมสรหรือป้านมของชายกรณ์และชายเล็กถามเมื่อเห็นคุณชายใหญ่ออกจากห้องนอน

“จะไปหาต้นสนครับ”

“แต่ว่าดึกแล้วนะคะ เดินตกน้ำตกท่าขึ้นมาจะทำยังไง ไหนจะงู จะแมลงอีก คุณชายค่อยเจอต้นสนพรุ่งนี้เช้าก็ได้ค่ะ”

“ไม่เป็นไรครับป้าสร” ปราชญ์ยิ้มบาง หากคุณชายใหญ่จะไปก็ไม่มีใครห้ามได้แล้ว

เด็กหนุ่มส่องไฟฉายที่เอาด้วยเดินข้ามสะพานไปยังหน้าเรือน ได้ยินเสียงพูดคุยกันก็เลยร้องเรียก “พี่เฟื้อง พี่ต้นอ้อ นอนหรือยังครับ”

“อ่าวคุณชาย!” พี่เฟื้องตกใจรีบรุดลงมา “มาทำไมดึก ๆ ดื่น ๆ ครับ โดนอะไรกัดมาหรือเปล่า”

ปราชญ์ที่ถูกหมุนตัวไปมา เวียนหัวเสียแล้ว “ผมมาหาน้องต้นสนครับ ไม่ได้ถูกอะไรกัดด้วย”

เฟื้องโล่งใจ “ถ้าอย่างนั้นเชิญเลยครับ อยู่ตรงนี้นานเดี๋ยวยุงกัด”

“ขอบคุณครับ” พอขึ้นเรือนก็เห็นทั้งครอบครัวกำลังทานอาหารกันอยู่ ปราชญ์ยกมือไหว้พี่ต้นอ้อ ตาสมานและยายพิมพ์อรที่เป็นพ่อแม่ของพี่ต้นอ้อ

“เจ้าตัวแสบกินอิ่มพุงกางแล้วครับ อยู่ในห้องนู่น”

ปราชญ์พยักหน้าเดินไปยังห้องของต้นสน เห็นว่าแยกมานอนคนเดียวเพราะให้น้องสาวนอนกับพ่อแม่

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“ต้นสน นี่พี่ปราชญ์เองนะ ขอเข้าไปได้ไหม”

เด็กน้อยที่กำลังเปิดหนังสือภาพที่คนเรียกเป็นคนซื้อให้ถึงกับวิ่งไปเปิดประตู “พี่ปราชญ์” แต่ยิ้มดีใจได้ไม่นานก็ต้องหงอยลงแล้วถอยทันที “พี่ปราชญ์มาทำไมเหรอ ต้นสนไม่น่าเล่นด้วยหรอก พี่ปราชญ์อยู่ห่างต้นสนไว้นะเดี๋ยวธันโกรธ”

คล้ายดวงใจถูกเข็มทิ่มแทง ปราชญ์เจ็บปวดแทนน้องที่ต้องได้ยินอะไรแบบนี้เขาจึงเข้าไปและย่อตัวลงกอดเด็กน้อยไว้ “อย่าคิดอย่างนั้นสิ พี่อยากเล่นกับต้นสนนะ”

“แต่ต้นสนเป็นลูกคนใช้”

“แล้วอย่างไร” ปราชญ์ผละออกมาลูบหน้าน้อง “ต่อให้เป็นลูกใคร พี่ก็จะเล่นกับต้นสน จะอยู่กับต้นสน พี่รักต้นสนเหมือนน้องชายพี่คนหนึ่ง ต้นสนอย่าคิดแบบนี้อีกนะครับ พี่ขอร้อง”

เด็กน้อยที่เก็บความเสียใจไว้คนเดียวมาตลอด มาถึงบ้านก็ไม่ได้บอกใครว่าถูกว่ามายังไง พอเห็นพี่ปราชญ์มาอยู่ตรงนี้ ทั้ง ๆ ที่ในใจเผลอคิดว่าพี่ปราชญ์จะเกลียดเขาไปแล้ว แต่ก็ยังมาหาเขา

“ฮึก พี่ปราชญ์” ต้นสนน้ำตาไหล เบะปากแล้วกอดคอพี่แน่น

“ไม่เป็นไรนะ โอ๋ ๆ พี่อยู่นี่ครับ”

“ฮืออ พี่ปราชญ์”

“ครับ ๆ”

“มีอะไรหรือ” ต้นอ้อรีบเดินมาถาม

“เดี๋ยวผมเล่าให้ฟังครับ” ปราชญ์ยิ้มก่อนจะอุ้มน้อง “ผมขอกล่อมน้องนอนได้ไหม”

“ได้สิจ๊ะ ตั้งแต่กลับมาก็เงียบผิดปกติ สงสัยคงไม่อยากห่างคุณชาย” เธอเป็นแม่ต้นสนเรื่องที่ลูกดูเศร้าและเงียบเกินไปตั้งแต่กลับมาทำไมเธอจะไม่สังเกต เธอจะคุยกับลูกแต่ลูกก็ยิ้มให้เสมอคล้ายบอกว่าไม่เป็นไร พอเห็นว่าร้องไห้แล้วเอาแต่กอดคุณชาย ก็เข้าใจแล้วว่าต้นเหตุมาจากผู้ใด “ตามสบายเลยนะ” ต้นอ้อปิดประตูให้

“มานอนกัน” ปราชญ์พาน้องนอนแต่กลับยังคงถูกดึงเสื้อไว้

“อย่าเพิ่งไปนะ”

“ครับ ๆ พี่จะอยู่ข้าง ๆ” ว่าแล้วก็นอนลงให้น้องหนุนแขน เขาจะหาผ้ามาเช็ดน้ำมูกแต่ก็หาไม่ได้จึงใช้เสื้อตนเองเช็ดให้แทนอย่างไม่นึกรังเกียจ

“พี่ปราชญ์เกลียดน้องไหม” คำเรียกแทนตัวเองทำให้คนพี่ใจอ่อนยวบ เวลาต้นสนเสียใจหรือเหงาหงอย ต้นสนมักจะแทนตัวเองว่าน้องเสมอ

“พี่ปราชญ์ไม่เคยเกลียดน้องต้นสนเลยครับ พี่บอกแล้วไงว่ารักต้นสน รักมากเลย” มืออีกข้างยังคอยลูบกลุ่มผมสีเข้ม

“จริงนะ”

“จริงครับ พี่ไม่ปราชญ์ไม่โกหกหรอก”

ต้นสนเริ่มยิ้มได้แล้ว น้องขยับเข้ามาซุกอก “พี่ปราชญ์เล่านิทานให้ฟังหน่อย”

“ได้สิ” ปราชญ์กอดน้องจูบผมสีเข้มแล้วเริ่มเล่านิทานอีสปเรื่องกระต่ายกับเต่า

เล่าจนถึงกระต่ายนอนพัก ก็เริ่มได้ยินเสียงกรนเล็ก ๆ ดังแว่วเข้ามา ปราชญ์อมยิ้มเกลี่ยแก้มนิ่มไปมา ก่อนจะหอมหน้าผาก

“ฝันดีนะครับ”

ปราชญ์อยากจะนอนด้วย แต่ก็เกรงใจคนบ้านนี้ แขนถูกทับอยู่ด้วยจะขยับก็กลัวน้องจะตื่น

“หลับแล้วหรือคะ” ผ่านไปครู่ต้นอ้อก็เข้ามาถาม

“ครับ ผมว่าจะกลับแล้ว”

“นี่ก็ดึกแล้ว ถ้าไม่รังเกียจ คุณชายจะนอนที่นี่ก็ได้นะคะ”

“จะดีหรือครับ ปราชญ์เกรงใจ”

“พี่สิคะที่ต้องเกรงใจ ห้องรกขนาดนี้” ต้นอ้อว่าพลางมองข้าวของที่ลูกตนเอาออกมาเล่นแล้วไม่ได้เก็บเข้าที่

“ถ้าอย่างนั้นผมขอนอนกับน้องนะครับ อยากให้น้องตื่นมาแล้วเจอผม น้องจะได้ไม่คิดมาก”

“ว่าแล้วเชียวว่าต้องเกี่ยวกับคุณชาย”

“ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ ที่ทำให้น้องเป็นแบบนี้”

“ไม่เป็นไรจ้ะ ไว้ค่อยเล่าแล้วกันเนาะ ฝันดีนะจ๊ะ”

“ฝันดีครับพี่ต้นอ้อ” ปราชญ์ผงกหัวก่อนจะจัดท่าน้องให้นอนสบาย ๆ

ยิ่งเห็นน้องคิดมากขนาดนี้แล้วถ้าเขาไปเรียนไกล ต้นสนจะอยู่อย่างไร…




จบบทที่ ๒

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

ปี ๒๔๙๙ เป็นปีที่ห้างเซ็นทรัลเปิดเป็นสาขาแรกที่ย่านวังบูรพา และเด็กช่าง เด็กวังหลังที่ใคร ๆ ก็ต่างรู้จัก
เด็กช่างที่ตีกันสมัยนั้นนั่นเองค่ะ เอามาใส่เล็ก ๆ น้อย ๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-05-2020 20:11:32 โดย IMYean. »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๒
«ตอบ #9 เมื่อ20-05-2020 16:44:57 »

 :pig4:
 :3123:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๒
« ตอบ #9 เมื่อ: 20-05-2020 16:44:57 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ piakunaa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๒
«ตอบ #10 เมื่อ20-05-2020 22:36:33 »

ต้นสนลูก
เป็นกำลังใจ​ให้​นักเขียน​นะคะ​ สู้​ๆ​นะคะ​นักเขียน​

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๓
«ตอบ #11 เมื่อ23-05-2020 20:09:16 »

 


บทที่ ๓

เริ่มเดินทาง



เสียงนกร้องระงมในรุ่งเช้า ปราชญ์ที่นอนให้น้องหนุนแขนค่อย ๆ ลืมตาตื่น เขาขยับตัวเล็กน้อยพอรู้สึกถึงความหนักอึ้งพลันต้องก้มมองหาที่มา

ปากบางยิ้มกว้างเมื่อเห็นผู้ใดจึงหอมแก้มเด็กน้อย “สวัสดีตอนเช้า”

ต้นสนงัวเงียขยี้ตาแรงจนคนพี่ต้องจับมือน้อย ๆ ออก

“เช้าแล้วครับ” ปราชญ์ไม่อยากกวนน้อง แต่เขาก็ต้องรีบกลับวัง จึงต้องปลุกไว้ก่อน

ต้นสนกะพริบตา ดวงตาใสมองคนข้างกาย เมื่อเห็นว่าเป็นใครที่มิใช่เพียงฝันปากเล็กจึงยิ้มกว้าง แขนกอดหมับ “พี่ปราชญ์จริงด้วย”

ปราชญ์นึกฉงน “ถ้าไม่ใช่พี่แล้วจะเป็นใคร หือ”

“ต้นสนนึกว่าฝันด้วยแหละ” เด็กน้อยว่าพลางหัวเราะเอิ้กอ้าก

พอเห็นน้องอารมณ์ดีขึ้นก็ไม่นึกห่วงแล้ว “พี่ต้องกลับวังแล้ว ต้นสนตื่นไปล้างหน้าทานข้าวด้วยนะครับ”

“จะกลับแล้วเหรอ” ต้นสนกำชายเสื้อคนพี่แน่น

ปราชญ์ยิ้มเอ็นดูลูบหัวน้อง “ไว้เดี๋ยวพี่จะมารับพาไปเล่นที่วังนะ”

“แต่ธัน…”

“ไม่เป็นไร ธันจะต้องอยากเล่นกับต้นสนแน่นอน”

ต้นสนกังวล แต่ก็เชื่อพี่ปราชญ์สุดหัวใจ “ต้นสนจะรอ”

“เด็กดี” ปราชญ์ยิ้ม “พี่กลับก่อนนะ”

“คับ พี่ปราชญ์ระวังด้วยนะ” ไม่ว่าเปล่ายังลุกขึ้นจูงมือคนพี่ไปส่งถึงหน้าเรือน ก่อนจะวิ่งกลับไปยังห้องนอนเพื่อมองทางหน้าต่างจะได้เห็นพี่ปราชญ์เดินข้ามสะพานกลับวัง

ปราชญ์หันหลังโบกมือให้น้อง

“พี่ปราชญ์ต้องระวังนะ! เดี๋ยวตกน้ำ!” ต้นสนตะโกนเสียงดัง

คนพี่อดหัวเราะไม่ได้ เดินถอยหลังเพื่อมองน้องจนลับตา พอเข้าวังได้ก็ต้องตกใจที่เห็นหม่อมย่า

“เห็นนมสรบอกว่าไปหาต้นสนตั้งแต่เมื่อค่ำ เพิ่งจะกลับมาตอนเช้าหรือชายใหญ่”

“ขอโทษครับ ที่ไม่ได้บอกว่านอนที่นู่น” ปราชญ์ยกมือไหว้แล้วเดินไปนั่งโซฟา

หม่อมย่าส่ายหน้า “ติดน้องเกินไปหรือเปล่า”

ปราชญ์เองก็เผลอคิดอย่างนั้น “กลัวน้องเหงาน่ะครับ”

“เกรงใจผู้ใหญ่เขาบ้างนะ พาลูกเขาไปข้างนอก แล้วยังโดนว่ามาอีก”

“หม่อมย่ารู้แล้วหรือครับ”

หม่อมย่าพยักหน้า “แม่เล่าให้ย่าฟังหมดแล้ว”

“อย่าโทษชายธันเลยนะครับ เดี๋ยวโตไปน้องจะคิดได้เองว่าสิ่งที่พูดวันนี้นั้นทำร้ายจิตใจผู้อื่น”

“ผิดก็ว่าไปตามผิดล่ะนะ ย่าเองก็ช่วยสอนอะไรมากไม่ได้ ชายใหญ่ดีกับน้องแล้ว ก็ดูแลเรื่องมารยาทให้น้องด้วยนะ หากไปงานใหญ่โต เดี๋ยวจะทำตัวเสียมารยาทเอา”

“ครับ”

“ไปอาบน้ำเสียเถอะ เดี๋ยวอาหารเช้าก็จะเสร็จแล้ว”

ปราชญ์พยักหน้าแล้วขึ้นห้องนอน พลันนึกขึ้นได้ว่าเขาซื้อสร้อยไว้ให้ต้นสน เป็นสร้อยเชือกร่มสีดำจี้รูปหยกมังกรสีเขียว เถ้าแก่ที่ขายบอกว่าใส่แล้วจะโชคดี จี้หยกมีอำนาจคุ้มครองผู้สวมใส่ให้พ้นจากสิ่งชั่วร้ายยิ่งเสริมมังกรก็จะร่ำรวย รุ่งเรือง ทั้งยังหมายถึงจิตวิญญาณแห่งความกล้าหาญ อดทน

จริง ๆ แล้ว ปราชญ์ไม่ได้เตรียมเงินไปมากนัก พอซื้อสร้อยให้ต้นสนก็ซื้ออะไรไม่ได้อีก เพราะสร้อยจี้หยกแท้นี้ตั้งหลายบาทแหนะ ถ้าหม่อมย่ารู้คงโดนว่าไปแล้วจึงขอพี่สมพงษ์ที่เป็นคนขับรถพาไปให้เงียบไว้แทน ปราชญ์ก็ตีราคาไว้ไม่เกินสลึงแต่พอรู้ความหมายของจี้หยกก็ซื้อไม่คิดทันที ดีนะเถ้าแก่ยังลดให้บ้าง

เงินเก็บปราชญ์เกือบจะไม่เหลือแล้ว เพราะปราชญ์เป็นคนชอบเก็บเงินไว้ ถูกสอนจากแม่ปิ่นทั้งนั้นและไม่ค่อยกล้าขอผู้ใหญ่ด้วยความขี้เกรงใจ

“ไว้ค่อยให้ก็แล้วกัน” ปราชญ์ยิ้มบางใช้นิ้วลูบหยกด้วยความเบามือกลัวว่าจะแตกสลาย

คิด ๆ แล้วก็ใจหายอยู่เหมือนกัน เพราะพรุ่งนี้ปราชญ์จะต้องไปอังกฤษแล้ว... ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะชะลอเวลาเอาไว้ ไม่อยากห่างจากน้อง ๆ เสียเลย ไปที่นู่นคนเดียวคงเหงาแย่ แล้วไม่รู้ว่าต้องไปนานเท่าใด ถ้าชายกรณ์กับชายธันไม่ค่อยห่วงมากเพราะสองคนนี้ไปด้วยกัน ยังไงสักวันปราชญ์จะต้องไปเที่ยวหาน้อง

แต่ต้นสนล่ะ... น้องต้องรออีกกี่ปีกัน เพราะจะกลับไทยได้คงต้องเรียนจบไปเลย

อีกความกลัวหนึ่งที่ปราชญ์คิดมาตลอด ปราชญ์กลัวว่าน้องจะลืมปราชญ์และไม่ยิ้มไม่มาพูดคุยกันเหมือนดั่งทุกวันนี้ กลัวความเป็นผู้ใหญ่ของเด็กที่จะพรากความสนิทสนมให้หายไป

ถ้าเกิดวันหนึ่งต้นสนโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ปราชญ์คงไม่ได้หอมแก้ม ไม่ได้กอด ไม่ได้อุ้ม ไม่ได้พาไปเล่นแล้ว

ยิ่งคิดก็ยิ่งวูบโหวงอยู่ในอก

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ปราชญ์ที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จใส่ชุดคลุมไว้แล้วเปิดประตูออกก็พบกับชายธันที่ยืนเงยหน้าจ้องเขม็ง

“ชายธัน” ปราชญ์นพาน้องเข้าห้องไปนั่งบนเตียงส่วนตนก็นั่งย่อลงตรงพื้น “มาหาพี่ถึงห้อง มีอะไรหรือเปล่า”

ชายเล็กคิ้วมุ่น ดูแล้วช่างน่าเอ็นดูกว่ามองแล้วน่ากลัว “ไปไหนมา”

“ไปไหนล่ะ พี่ก็อยู่ที่ห้องนี่ไง” ปราชญ์ยิ้มแล้วลูบหัวน้อง

“ไม่ใช่” ชายเล็กส่ายหัวกึก “เมื่อคืนพี่ชายใหญ่ไม่อยู่ที่ห้อง”

ปราชญ์ยังคงยิ้ม “พี่ไปหาต้นสนมา”

พอได้ยินชื่อใครชายเล็กก็หงุดหงิดทันที “ไปหามันทำไม”

คราวนี้พี่คนโตหุบยิ้มและทำหน้าดุ “ชายธัน พี่ไม่อยากว่าเรานะ รู้หรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมา”

คนถูกดุใจเสีย แต่ก็ดื้อดึงผันหน้าหนี

ปราชญ์ถอนหายใจแล้วลุกขึ้นไปแต่งตัว ปากก็พร่ำสอนน้อง “ตอนนี้ชายธันคงจะยังไม่รู้เรื่องอะไร แต่พี่บอกไว้เลยนะว่า ถ้าชายธันยังทำนิสัยไม่ดีแบบนี้อีก ชายธันจะไม่มีเพื่อนนะ”

น้องนิ่งงันตาเบิกโตเล็กน้อย

“ในโลกนี้ไม่มีใครใหญ่กว่าใคร ทุกคนเท่าเทียม ต้นสนอยากจะเล่นกับชายธัน อยากเป็นเพื่อนกับชายธันมากและเสียใจที่ชายธันพูดจาไม่ดีใส่”

ชายเล็กก้มหน้าลง เริ่มกุมมือน้อย ๆ

ปราชญ์มองปฏิกิริยาของน้องก็แอบยิ้มขึ้นมา มือติดกระดุมเสื้อ ตามองน้องผ่านกระจก “ชายธันลองนึกตามพี่นะ ถ้าเกิดชายธันเป็นต้นสนแล้วถูกพูดว่าไม่อยากเล่นด้วย ไม่อยากเป็นเพื่อน ชายธันจะรู้สึกยังไง”

น้องเพียงคิดตาม ตาสีใสก็เริ่มคลอ

ปราชญ์ไม่อยากทำน้องร้องไห้ แต่แค่อยากให้เข้าใจความรู้สึกของต้นสนที่อัดอั้นมาตลอดและเพิ่งปลดปล่อยเมื่อคืนนี้ “ชายธันคงจะเริ่มเข้าใจความรู้สึกของต้นสนแล้ว แต่ยังไม่ต้องเร่งรีบนักหรอก”

พอเสร็จเรียบร้อยก็เดินไปนั่งข้างกายน้อง “พี่เชื่อว่าชายธันจะต้องคิดได้ ถ้าผิดก็ยอมรับผิดและขอโทษ ไม่ใช่เรื่องที่ยากอะไรเลย”

น้ำตาน้องไหล จนปราชญ์ใจอ่อนยวบ กอดน้องมาซุกอก “พี่ขอโทษนะถ้าพูดอะไรแรงเกินไป แต่พี่อยากให้ชายธันโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดีไม่เบียดเบียนใคร”

น้องกำเสื้อเขาแน่น

“ไม่เป็นไรนะ ไม่ร้องนะครับ”

“ฮึก ธันผิดหรือครับ”

“ใช่ครับ เราต้องเรียนรู้สิ่งที่ผิดพลาดนะ คนเราทำพลาดกันได้ไม่เป็นไร ตอนนี้ชายธันรู้แล้วว่าตัวเองผิดก็แค่ขอโทษและสำนึกไม่กลับไปทำอีกก็เพียงพอแล้ว”

“พะ..พี่ชายใหญ่ ฮึก เกลียดธันไหม”

ปราชญ์ไม่รู้ว่าตัวเองอ่อนไหวเพียงใด แต่เพียงน้องถามแบบนี้น้ำตาก็เผลอคลอไปด้วย “ไม่เกลียดครับ ไม่เคยเกลียดเลย พี่รักชายธันนะ”

น้องคงคิดว่าเขาเกลียดเพราะทำตัวไม่น่ารัก แต่ทำไมกันนะถึงถูกเด็กสองคนถามคำเดียวกัน จะดุก็ดุไม่ลงแล้ว

“อย่าเกลียดธันนะ” น้องยังคงสะอึกสะอื้น

“ไม่มีวันนั้นครับ พี่สัญญาเลย” เขาชูนิ้วก้อย สองพี่น้องจึงเกี่ยวก้อยกัน “และชายธันต้องสัญญากับพี่ด้วยนะว่าจะไม่พูดจาดูถูกใครอีก”

น้องนิ่งไปสักพักคล้ายคิดอะไรก่อนจะพยักหน้า

“สัญญานะ” ปราชญถามเพื่อเพิ่มความมั่นใจ

“ครับ” น้องตอบอ้อมแอ้ม ตาแดง จมูกแดงไปหมด

“เด็กดี” เขาลูบหัวน้อง “ไปล้างหน้ากันก่อนเร็วแล้วค่อยลงไปทานข้าวเช้ากัน”




เฝ้าคำนึง

 


ช่วงบ่ายแดดร้อนเป็นปกติ แต่กลับมีเสียงหัวเราะของเด็กน้อยดังอยู่ทั่วทางข้างวัง พร้อมกับเสียงน้ำกระเซ็นให้ได้ยินเรื่อย ๆ

“ฉันจะจับแก เจ้าโจรชั่ว” ต้นสนว่ายตามชายกรณ์ เล่นตำรวจจับผู้ร้ายกันในน้ำ

“ชายธันไปเล่นไหม” ปราชญ์ถามน้องที่กอดคอเขาแน่น แต่กลับได้รับแต่เพียงการส่ายหัว ปราชญ์ไม่อยากบังคับมากไปจึงค่อย ๆ ละลายพฤติกรรมทีละนิด “ถ้าอย่างนั้นพี่เป็นโจรให้ แล้วชายธันมาจับพี่ดีไหม”

น้องนิ่งไปครู่ถึงจะพยักหน้า แววตาเริ่มซุกซนเพราะอยากไล่จับโจรบ้าง

“งั้นพี่จะหนีแล้วนะ” ปราชญ์ค่อย ๆ ออกมา ชายธันก็ว่ายน้ำได้เพราะไปเรียนพร้อมกับชายกรณ์

“เจ้าโจร!” ต้นสนว่ายฉิวผ่านหน้า

“จับให้ได้สิ” ชายกรณ์หัวเราะสนุกใหญ่

ชายธันเห็นคนอื่นเล่นแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะทำตาม เด็กน้อยทำหน้าจริงจังแล้วมองทางพี่ชายคนโต

ปราชญ์แสดงละครทันที “มาจับฉันสิไอพวกตำรวจ”

พอได้ยินอย่างนั้นชายเล็กก็ฮึกเหิม ยิ่งจำตำรวจลูกน้องของพ่อได้ก็ยิ่งอยากใส่ชุดแบบนั้นบ้าง

ชายเล็กมีนิสัยไม่ชอบพูดเพราะอย่างนั้นถึงแสดงผ่านการกระทำ อย่างเช่นตอนนี้ที่ว่ายน้ำมาแล้วเขม็งเขาคล้ายกับมองว่าพี่ชายใหญ่เป็นโจรจริง ๆ

“มาเลย ๆ” พอมีอีกสองคนร่วมวง ตำรวจกับโจรจึงว่ายกันมั่วซั่วไปหมด

แตงที่นั่งอยู่ในศาลาริมคลองเอาแต่หัวเราะชอบใจ ต่างจากป้าสรที่ใจหายแล้วใจหายอีก ถ้าคุณหญิงย่าของพวกคุณ ๆ ทั้งหลายรู้เข้าจะทำยังไง จริง ๆ น้ำคลองนี้ไม่ได้สกปรกอะไรมากมายออกจะใสจนเห็นพื้นข้างล่าง แต่ยังไงก็สกปรกสำหรับคุณหญิงท่านอยู่ดี

“ธันจับเจ้านั่นเลย” ต้นสนชี้ชายปราชญ์ที่ถูกจ้องจับจากตำรวจน้อยทั้งสอง “พี่กรณ์ด้วยนะ ไปจับเล้ย”

“อ่าว” ชายกรณ์งุนงง เมื่อกี้เขาไม่ได้เป็นโจรหรอกหรือ

“เดี๋ยวสิ ทำไมเล็งที่พี่คนเดียวล่ะ” ปราชญ์ทำหน้าเหลอหลาแล้วว่ายหนีเจ้าตัวน้อยทั้งสอง คนนึงหัวเราะเสียงดังส่วนอีกคนแทบไม่พูด แต่ใบหน้าเปื้อนยิ้มดูสนุกสนาน

“อย่า” ปราชญ์ร้องเสียงหลงก่อนจะถูกกอดคอจากทั้งคู่ เพราะความสนุกสนานจึงลืมความรู้สึกติดตะขวงใจไป

ก่อนหน้านี้ชายธันจะไม่ลงเล่นน้ำด้วยซ้ำ เอาแต่หลบหน้าแล้วก็ไม่คุยกับต้นสน ส่วนต้นสนก็กลัวธันจะไม่ชอบเลยบอกจะไม่มาเล่นด้วยแทน แต่ปราชญ์ก็ค่อย ๆ พยายามให้น้องลงเล่นด้วยกัน ชายกรณ์จึงเล่นกับต้นสนไปก่อนและปราชญ์จึงจะพาชายธันลงตามไป

ชายกรณ์ที่มองทั้งสามกอดกันก็ยิ้มบาง ดวงตาฉายแววเศร้าเล็กน้อยก่อนที่มันจะมลายหายไปคล้ายไม่เกิดขึ้น

และนั่นก็คือสิ่งผิดพลาดที่ปราชญ์ไม่อยากจะให้อภัยตัวเอง...

 


เฝ้าคำนึง




เช้าของอีกวันมาถึง ปราชญ์อยู่ในชุดสูทสีเทา มองกระเป๋าที่ขนของใช้และเสื้อผ้าบางส่วนไปด้วย เด็กหนุ่มสวมเสื้อโค้ตยาวเตรียมถุงมือใส่กระเป๋าเสื้อโค้ตเอาไว้เพราะตอนนี้ที่อังกฤษอากาศหนาวมาก เป็นช่วงต้นปีด้วย

“คุณชายขอรับ กระผมขนกระเป๋าไปไว้ที่รถเลยนะขอรับ” พี่สมพงษ์ถาม

“อ่อ เชิญเลยครับ” ปราชญ์ยิ้มบาง ก่อนจะหยิบสร้อยที่ซื้อไว้ให้ต้นสนขึ้นมาดู เมื่อวานยังเล่นด้วยกันอยู่แท้ ๆ เชียว วันนี้ต้องบอกลากันเสียแล้ว

“คุณชายคะ ท่านชายและคุณหญิงท่านทั้งสองรอที่ด้านล่างแล้วค่ะ”

“ครับป้าสร” ปราชญ์พรูลมหายใจเก็บสร้อยไว้ในกระเป๋า กระชับเสื้อโค้ตพลางมองห้องนอนของตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย มองกรอบรูปของผู้ให้กำเนิด “เดี๋ยวผมกลับมานะครับแม่ ไปก่อนนะครับ”

พอลงมายังด้านล่างคนใช้ก็ยืนกันอยู่เต็ม เด็จพ่อ หม่อมย่ากับคุณน้ารวมถึงน้อง ๆ ทั้งสองก็มายืนรอส่งกัน

“มาให้ย่ากอดหน่อยเร็ว” หม่อมย่าอ้าแขน ปราชญ์จึงค้อมตัวไปกอดท่าน “เห็นว่าอากาศหนาว ดูแลตัวเองด้วยนะชายใหญ่ ระมัดระวังตัวอย่าเดินออกมาตอนดึก ๆ ดื่น ๆ ทานข้าวให้ครบตามเวลา ถ้าเรียนหนักก็พักบ้างสักวันก็ไม่เป็นไร แล้วก็ขอให้เดินทางปลอดภัยทั้งตอนไปและตอนกลับนะ”

ปราชญ์กอดท่านแน่นซึมซับความอบอุ่นที่มีให้มาตลอด “ขอบคุณครับหม่อมย่า ปราชญ์จะรีบกลับมา”

“มานี่มา” คุณน้าอ้าแขนรับกอดของเด็กหนุ่มที่เปรียบเสมือนลูกชายอีกคน “ดูแลสุขภาพด้วยนะลูก อย่าหักโหมมากนะ ถ้ามีอะไรก็รีบบอกท่านทูตได้เลย ท่านเป็นเพื่อนแม่ ชายใหญ่ไว้ใจท่านได้ เขามีลูกชายคนหนึ่งอายุเท่าลูกเลยและเรียนอยู่ที่นั่นเหมือนกัน ชื่อคุณชายอาทิตย์ หรือเรียก ทิตย์ก็ได้ ชายทิตย์จะรอรับลูกที่สนามบินประเทศนู้น”

ปราชญ์ยิ้มแล้วก้มหัว “ขอบคุณมากนะครับที่ทำธุระให้”

“ยินดีจ้ะ”

“ปราชญ์” นนท์เรียกลูกชายเพียงแค่ชื่อก่อนจะอ้าแขนรับกอดลูก “ลาแม่ปิ่นหรือยัง”

“เรียบร้อยแล้วครับ”

นนท์ลูบหัวลูกชาย น้ำตาคลอเพียงเล็กน้อย “โทรทางไกลหรือส่งจดหมายมาหาพ่อบ้างนะ”

“ครับพ่อ”

“พ่อรักปราชญ์นะ”

“ปราชญ์ก็รักพ่อครับ” ไม่ว่าเมื่อใดกอดนี้ยังคงอุ่นอยู่เสมอ

“อ่าว ชายกรณ์ ชายเล็กบอกลาพี่เขาสิลูก” หม่อมย่าบอกเด็กทั้งสองที่ตาแดงก่ำมาตั้งแต่เมื่อวานเย็น เพราะปราชญ์เพิ่งจะบอกน้อง ๆ ตอนทานข้าวเย็นว่าวันนี้จะต้องไปอังกฤษแล้ว

ปราชญ์คุกเข่า “มาหาพี่มาชายกรณ์ ชายธัน”

ชายกรณ์ร้องไห้ทันทีวิ่งเข้าไปกอดพี่ชายแน่น “อย่าเพิ่งไปได้ไหมครับ”

“เดี๋ยวเราก็ได้เจอกัน พี่จะไปหาชายกรณ์ที่อเมริกาเอง” เด็จพ่อตัดสินใจไว้แล้วว่าจะส่งน้องไปอเมริกา ปราชญ์ก็เห็นด้วย “ไม่ต้องร้องนะ”

“ไม่ให้ไป ฮืออออ” ชายธันร้องไห้งอแงหนักกว่าเรื่องไหน มือน้อยกำเสือโค้ทพี่คนโต ร้องไห้ฟูมฟายเสียงดังลั่นวัง

“เดี๋ยวเราก็ได้เจอกันนะ พี่จะไปหาชายธันที่โรงเรียนด้วยดีไหม” ปราชญ์นั่งชันเข่าข้างหนึ่งให้ชายกรณ์พิงแล้วอ้าแขนกอดน้องชายอีกคน

“ไม่เอา ไม่ให้ไป” ชายเล็กกอดคอพี่ชายแน่น

ชายกรณ์ที่เห็นน้องร้องหนักมากจึงลูบหัวน้อง ปราชญ์อดยิ้มไม่ได้ก่อนจะหันมองน้องชายคนกลาง “ชายกรณ์ตอนนี้เป็นพี่ใหญ่แล้ว ดูแลน้องด้วยนะ”

“ครับ”

“ไปเล่นกับต้นสนด้วย เดี๋ยวน้องเหงา”

“ได้ครับ”

“เด็กดี” ปราชญ์จูบหน้าผากน้อง “ยิ่งตอนไปเมืองนอก เรียนเสร็จแล้วต้องกลับบ้านพักเลยนะ”

“ครับ” ชายกรณ์เบะปากจะร้องแต่ก็กลั้นไว้ได้ เพราะพี่ชายฝากให้ดูแลน้อง เลยต้องเข้มแข็งไว้

“พี่รักกรณ์นะ” ปราชญ์ยิ้ม เพียงเท่านั้นคนที่จะกลั้นร้องไห้ไว้ก็ร้องไห้ออกมาอีกจนได้

“กรณ์ก็รักพี่ปราชญ์”

ปราชญ์ตาแดง สูดน้ำมูกแล้วหันมองน้องคนเล็ก เขากอดน้องทั้งคู่แน่น “พี่รักธันนะ รักทั้งคู่เลย”

ชายธันเอาแต่ร้องไห้อย่างเดียว ยิ่งพี่คนโตพูดแบบนี้ก็ถึงกับดึงเสื้อแน่นจนมือแดงไปหมด

“ปล่อยพี่เขาได้แล้วลูก เดี๋ยวจะตกเครื่องเอา” หม่อมแหวนรีบไปดึงลูกทั้งสองแต่กลับถูกต่อต้าน

“ฮืออ ไม่เอา ไม่ให้ไป ไม่เอา” ชายธันร้องเสียงดัง แขนเล็กปัดป่ายรุนแรงตอนที่ถูกเด็จพ่ออุ้ม “พี่ปราชญ์ ฮึก ไม่เอา”

ปราชญ์เม้มปากกลั้นไม่ให้ร้องไห้ก่อนจะหันมองชายกรณ์ “ดูน้องด้วยนะ แล้วก็อย่าลืมดูแลตัวเองด้วย”

“ฮึก ครับ”

ปราชญ์ลุกขึ้นยืน ยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสามและไหว้คนใช้ที่วังทุกคน “ผมไปก่อนนะครับ ไว้จะซื้อของมาฝาก”

“เดินทางปลอดภัยนะลูก”

เด็กหนุ่มโบกมือลา น้อง ๆ ยังร้องไห้หนัก เขาจึงต้องรีบออกจากวังและรับหมวกมาจากพี่สมพงษ์ แต่ก่อนจะขึ้นรถก็ต้องชะงัก “พี่สมพงษ์ครับ เดี๋ยวผมมานะ”

“ไปไหนครับคุณชาย”

“ไปหาต้นสน ไม่นานหรอกครับ” ปราชญ์ว่าแล้วก็รีบวิ่งไปทางข้างวังข้ามสะพานไปยังหน้าเรือน เขาไม่ได้บอกพี่เฟื้องไว้ด้วยว่าจะไป “พี่ต้นอ้อครับ พี่ต้นอ้อ”

เพียงไม่นานก็เห็นหน้าผู้เรียกแต่คนที่วิ่งฉิวมาเปิดประตูคือต้นสน “พี่ปราชญ์” น้องวิ่งลงบันไดมากอดหมับ “พาไปเล่นที่วังใช่ไหม”

ปราชญ์นิ่งไป ลูบหัวน้องพลางเงยหน้ามองพี่ต้นอ้อที่ดูตกใจเป็นอย่างมาก “พี่ไม่ได้พาไปเล่นครับ”

“อ่าว งั้นพี่ปราชญ์มาเล่นที่นี่ใช่ไหมคับ” ต้นสนกระโดดดีใจทำให้คนพี่จุกอยู่ในลำคอ เขาย่อตัวลงแล้วลูบใบหน้าน้อง กวาดตามองกรอบหน้าจิ้มลิ้ม ยิ้มและมองอยู่อย่างนั้น

“พี่ปราชญ์จะต้องไปทางไกล อาจจะไม่ได้เจอกันสักพักนะ”

พอได้ยินอย่างนั้นต้นสนก็ค่อย ๆ หุบยิ้ม ขมวดคิ้วสงสัย “พี่ปราชญ์ไปไหน จะกลับเมื่อไร”

“พี่ไปเรียนครับ แต่ไปไม่นานหรอกนะ เดี๋ยวก็กลับ”

“จริงเหรอ”

“จริงสิครับ”

ขอโทษที่โกหกนะ...

ต้นสนมองแล้วคล้ายคิดอะไร ไม่ว่าจะมองเสื้อผ้าที่แปลกตาหรือดวงตาที่ยังคงแดงและฉ่ำน้ำ ต้นสนก็เหมือนจะเข้าใจอะไร “พี่ปราชญ์จะกลับมาใช่ไหมคับ”

ปราชญ์ยิ้มให้คำมั่น “พี่จะกลับมาแน่นอน... อ้อ! นี่พี่ซื้อสร้อยมาให้ต้นสนด้วย” ว่าแล้วก็หยิบสร้อยหยกมังกรออกมา

“สร้อยหยกหรือคะ! ราคาสูงไม่ใช่หรือคะคุณชาย” ต้นอ้อแทบใจหายใจคว่ำ

“ไม่เป็นไรครับ ผมอยากให้น้องเก็บไว้”

“แต่พี่กลัวต้นสนจะทำล่วงหายน่ะสิคะ”

“ต้นสนไม่ทำหายหรอก เนาะ” ปราชญ์หันมาพยักหน้ากับน้อง

ต้นสนคิ้วมุ่น “คับ ต้นสนจะไม่ทำหาย”

“ต้นสน” ต้นอ้ออยากให้ลูกชายคิดอีกที

“เอาเป็นว่า พี่ใส่ให้นะ” ปราชญ์สวมสร้อยให้โดยไม่ให้พี่ต้นอ้อประท้วงไปมากกว่านี้ สร้อยนี้ปรับความยาวได้เขาจึงปรับให้พอดีกับน้องในอายุเท่านี้ ถ้าโตกว่านี้คิดว่าสร้อยคงพอดีคอเลย

ต้นสนจับหยกก้มมองพิจารณา “สวยจัง”

“ชอบไหมครับ”

“อื้อ! ต้นสนชอบ” น้องยิ้มแป้น

ปราชญ์ไม่อยากทำลายรอยยิ้มสดใสนี้เลย แต่ก็ต้องบอกลากันแล้ว “ต้นสนครับ พี่ไม่อยู่ต้องดูแลตัวเองนะ อย่าดื้ออย่าซนกับคุณพ่อคุณแม่ กินข้าวเยอะ ๆ ตั้งใจเรียนหนังสือจะได้เป็นตำรวจอย่างที่ต้นสนหวัง”

น้องยังคงยิ้ม “คับ ต้นสนจะตั้งใจเรียน จะกินเยอะ ๆ จะดูแลตัวเอง”

“แล้วไม่ซนไม่ดื้อหายไปไหนครับ”

“อ้อใช่ ๆ ไม่ซนไม่ดื้อ” น้องหัวเราะ

ปราชญ์ส่ายหัว “เอาล่ะ พี่ต้องไปแล้ว รักษาสร้อยไว้ดี ๆ นะ”

“คับ”

“แล้วก็อย่าลืมพี่นะ”

น้องเอียงคอ “ต้นสนไม่เคยลืมพี่ปราชญ์นะ”

ปราชญ์อยากจะตบหน้าผากตัวเองที่เผลอกลัวจนพูดออกไป “ดีแล้วครับ” เขาถอนหายใจก่อนจะหอมแก้มน้อง “พี่รักต้นสนนะ”

มือเด็กน้อยขยำเสื้อคนพี่แน่น แต่ใบหน้ายังยิ้มและหอมแก้มตอบ “ต้นสนก็รักพี่ปราชญ์”

“งั้นไปแล้วนะ เดี๋ยวจะส่งจดหมายมาหา”

ต้นสนเงยหน้าตามตอนที่คนพี่ลุกขึ้นยืน มือยังจับชายเสื้อโค้ตไว้ “รีบกลับมานะ”

“ครับ” ดวงตาเรียวหยีลง ปราชญ์ยกมือไหว้ลาพี่ต้นอ้อ “ขอโทษนะครับที่ต้องมาลากะทันหัน ยังไงก็ฝากบอกพี่เฟื้องด้วยนะครับ ไว้ผมจะโทรทางไกลและส่งจดหมายมาหา”

“ได้ค่ะ เดินทางปลอดภัยนะคะคุณชาย ดูแลตัวเองด้วยนะ” ต้นอ้อเดินมาลูบบ่า

“ครับ” ปราชญ์ยิ้มแล้วหันมองน้อง “พี่ไปก่อนนะ”

ระหว่างเดินไปที่รถ ปราชญ์อดจะหันมองน้องไม่ได้ ต้นสนไม่ได้ร้องไห้เลยสักนิด แต่ปราชญ์รู้ว่าน้องกลั้นไว้อยู่ จวบจนไม่เห็นหน้าแล้วปราชญ์ก็ขึ้นไปนั่งบนรถ ถอนหายใจเพื่อให้คลายน้ำตา ไม่อยากจะปลดปล่อยออกมาตอนนี้

“คุณชายขอรับ!” สมพงษ์เรียกด้วยความตกใจหลังจากที่ออกรถมาได้ไม่เท่าไร

“มีอะไร” ปราชญ์ขมวดคิ้ว

“ข้างหลัง... แต่ผมจอดไม่ได้ไม่อย่างนั้นจะไปไม่ทัน”

ปราชญ์หันไปมองข้างหลังทันที พลันใจหายวาบเมื่อเห็นต้นสนวิ่งตามรถพร้อมกับร้องไห้ไปด้วย ดวงใจคล้ายถูกบีบรัด เห็นน้องร้องไห้ตรงหน้ากลับวิ่งไปกอดปลอบไม่ได้ ภาวนาให้น้องหยุดวิ่งตามแต่ก็ยังคงวิ่งมาอยู่อย่างนั้น

“ต้นสน!” ปราชญ์ตกใจเมื่อน้องหกล้ม อยู่ในรถไม่ได้ยินเสียงน้องเลยแต่ปราชญ์คิดว่าคงตะโกนอยู่เป็นแน่ เด็กหนุ่มกัดปากน้ำสีใสไหลออกมาเมื่อเห็นว่าน้องเงยหน้ามอง พยายามจะลุกขึ้นวิ่งมาหาแต่ก็หกล้มอีกหลายรอบ ระยะทางเริ่มไกลกัน แต่ปราชญ์เห็นว่าเลือดที่เข่าน้องออก “พี่ขอโทษ... พี่ขอโทษครับ”

ขอโทษที่วิ่งไปกอดไม่ได้

ขอโทษที่ปลอบให้หยุดร้องไห้ไม่ได้

ขอโทษที่ทิ้งไว้ให้เจ็บแบบนั้น

ปราชญ์อุ่นใจเล็กน้อยเมื่อมีคนใช้ผู้ชายที่วังวิ่งมารับต้นสนให้แทนพี่ต้นอ้อที่คงจะวิ่งมาไม่ทัน ต้นสนถูกอุ้มไปแล้ว มือน้องยื่นจนสุดแขนมองตรงไปทางรถยนต์ที่กำลังจะเลือนหายไป ปราชญ์โบกมือลาน้องจากในรถ น้ำตาก็ไหลพรั่งพรูออกมาอย่างหนัก...




จบบทที่ ๓
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-05-2020 15:01:45 โดย IMYean. »

ออฟไลน์ psychological

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๒
«ตอบ #12 เมื่อ23-05-2020 20:17:04 »

 :katai2-1:

ออฟไลน์ piakunaa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๓
«ตอบ #13 เมื่อ23-05-2020 21:22:12 »

ต้นสนลูก​ กอดปลอบอีกแล้ว​ เป็น​กำลัง​ใจ​ให้​นักเขียน​นะคะ​ ​สู้​ๆ​นะคะ​นักเขียน​

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๔
«ตอบ #14 เมื่อ30-05-2020 14:55:03 »

 

บทที่ ๔
จดหมายจากทางไกล

 


London, England

ปราชญ์กระชับเสื้อโค้ตก่อนจะรอหยิบกระเป๋าออก แขนซ้ายยกนาฬิกาเรือนสวยขึ้นดูก็พบว่ามาทันเวลาพอดี

“Hey, hey!, Over here!” (เฮ้ เฮ้! ทางนี้!) เสียงเรียกของใครบางคนดังขึ้น ปราชญ์หันมองก็พบกับป้ายขนาดใหญ่และชายรุ่นราวคราวเดียวกับตนโบกไม้โบกมือจนคนมองกันหมด

จะไม่ให้มองได้ยังไงในเมื่อในป้ายเขียนว่า ‘หม่อมราชวงศ์ ปภารัช ศุลภาณันท์’ เป็นภาษาไทยใหญ่ซะขนาดนั้น

ปราชญ์ถอนหายใจ เห็นแววว่าเพื่อนคนนี้น่าจะพูดเก่งเป็นต่อยหอย “Hi, I’m Prach, and you’re Mr. Athit right?” (สวัสดีครับ ผมปราชญ์ และคุณคือคุณชายอาทิตย์ใช่ไหมครับ?)

“ใช่ครับผมอาทิตย์ แล้วก็ผมพูดไทยได้ครับ” คนตรงหน้ายิ้มกว้าง รูปร่างสูงใหญ่ยิ่งกว่าเด็กอายุยี่สิบทั่วไป ดวงตาสีฟ้ากับใบหน้าคมคายไปทางไทยเล็กน้อย บ่งบอกได้ว่าชายคนนี้เป็นลูกครึ่ง

“อ่อครับ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณชายอาทิตย์”

“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ เรียกผมทิตย์เฉย ๆ ก็ได้นะ”

“ครับคุณชายทิตย์”

“งั้นเดี๋ยวผมช่วยถือกระเป๋านะ” อาทิตย์เอาป้ายแนบลำตัวและแบกกระเป๋าเขาใบหนึ่งขึ้น

“ผมถือเองก็ได้นะครับ”

“ไม่เป็นไร แค่นี้สบายมาก”

ปราชญ์จำต้องยอม ระหว่างทางคนข้างกายก็พูดไปเรื่อยและปราชญ์ก็ฟังไปด้วย ทำไมถึงให้ความรู้สึกเหมือนเลี้ยงเด็กอย่างไรอย่างนั้นกันนะ

“ดีใจจังได้เพื่อนเป็นคนไทยแล้ว อยู่ที่นี่ไม่มีเพื่อนคนไทยเลยครับนอกจากที่สถานทูต ถึงจะก็มีแต่อายุเยอะกันแล้ว”

“ไม่มีนักเรียนจากไทยหรือครับ”

“ไม่มีน่ะสิครับ”

“แต่คุณก็ยังมีเพื่อนเยอะใช่ไหมครับ”

พอได้ยินอย่างนั้นอาทิตย์ก็เบิกตาอย่างตกใจ “รู้ได้ไงครับเนี่ย”

ปราชญ์คลี่ยิ้มอย่างนึกขัน “คุณดูเข้าหาคนเก่ง พูดเก่งด้วย”

ถึงอย่างนั้นดวงตากลมโตก็ไม่ยอมหยุดตกใจ “โห คุณชายคุณเก่งจังเลย มีแต่คนบอกผมว่าพูดเก่ง”

ปราชญ์ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ทำไมคนคนนี้เหมือนเด็กสามสี่ขวบขนาดนี้นะ บอกทีว่าอายุเท่ากัน

พอขึ้นรถของเจ้าตัวได้สักพักก็มาถึงสถานทูตก่อนเพราะ หม่อมเจ้าพีระ เจตพิทักษ์ หรือบิดาของคุณชายอาทิตย์ ประสงค์จะพบกับปราชญ์ ที่จริงทรงรับสั่งว่าให้ส่งปราชญ์ที่บ้านพักเลย แต่ปราชญ์ก็อยากพบกับท่านก่อน

“เชิญเลยครับ” คุณชายทิตย์ผายมือและนำทางตรงไปยังห้องทำงานของเด็จพ่อ บอกเลขาไว้และเคาะห้องเข้าไปด้านใน

“มาแล้วเหรอชายปราชญ์” หม่อมเจ้าพีระทักทายทันทีเมื่อเห็นใคร

“ฝ่าพระบาท” ปราชญ์ยกมือไหว้พลางยิ้มบาง “เด็จลุงทรงมีน้ำพระทัยให้ที่พักต่อกระหม่อม เป็นพระกรุณาอย่างสูงกระหม่อม”

“ไม่ต้องพูดเต็มขนาดนั้นหรอก นั่งเลย ๆ”

“ครับ” ปราชญ์พยักหน้าและนั่งลงตรงข้ามส่วนชายทิตย์ก็เดินไปนั่งโซฟาใกล้ ๆ

“เคยเจอเมื่อตอนยังสิบกว่าขวบ ไม่รู้ว่ายังจำลุงได้อยู่หรือเปล่า”

“จำได้ครับ เด็จลุงเคยให้หนังสือวรรณกรรมเรื่อง Nineteen Eighty-Four ของ จอร์จ ออร์เวลล์ เนื้อหาค่อนข้างหนักทีเดียว แต่ก็แฝงการเมือง สังคมนิยมของอังกฤษได้ดีเลยครับ”

หม่อมเจ้ายิ้มอย่างพอใจ “ดีเสียจริงที่ชายปราชญ์ชอบอ่านหนังสือ ไม่เหมือนคนแถวนี้ที่เอาแต่เที่ยวเล่น ลุงไม่รู้จะคุยเรื่องวรรณกรรมกับใครเลย”

“อะไรกันเด็จพ่อ ตัวหนังสือมันเยอะจนตาลายขนาดนั้น ผมอ่านไม่ไหวหรอก”

“เห็นไหมล่ะ” หม่อมเจ้าพยักพเยิด ปราชญ์จึงหัวเราะพร้อมท่าน “ถ้าอย่างนั้นไว้ชายปราชญ์คุยกับลุงเรื่องหนังสืออีกนะ ตอนนี้ก็ไปพักเสียเถอะ เพิ่งจะเดินทางมาเหนื่อย ๆ”

“ครับ ผมขอตัวลา” ว่าแล้วก็ลุกสวัสดี ถึงจะเดินทางไปที่บ้านพัก

แต่จะเรียกว่าบ้านพักหรือคฤหาสน์ดี ในเมื่อใหญ่โตเสียขนาดนี้ ปราชญ์ให้คนรับใช้เก็บกระเป๋าให้ ก่อนจะขอยืมโทรทางไกลหาที่วังว่าถึงที่หมายแล้ว ได้ยินเสียงชายกรณ์กับชายเล็กดังให้วุ่นว่าอยากคุยด้วย

จวบจนผ่านไปหลายเดือน ปราชญ์ต้องเรียนมหาลัยเป็นรุ่นน้องของชายทิตย์หนึ่งปีเพราะเข้าช้า แต่ก็ไม่ได้แย่นัก มีเพื่อนเป็นชาวต่างชาติบ้างประปราย จนได้ฤกษ์เขียนจดหมายหาต้นสน เพราะบางทีโทรทางไกลหาพี่เฟื้องไม่ติด

 

‘ถึงน้องต้นสน จดหมายฉบับนี้เป็นของพี่ปราชญ์เอง ต้นสนเหงาหรือเปล่า พี่ขอโทษนะที่ไม่ได้อยู่ใกล้ ๆ พี่ปราชญ์คิดถึงต้นสนมากเลย อยากจะเล่นน้ำด้วยกัน อยากได้ยินเสียง ต้นสนรอพี่ปราชญ์ได้ใช่ไหม พี่สัญญาว่าจะรีบกลับ ต้นสนตั้งใจเรียนด้วยนะ เป็นเด็กดีกับคุณพ่อคุณแม่ด้วย อย่าดื้อมากนะ พี่ปราชญ์คิดถึงนะครับ ด้วยรัก จาก พี่ปราชญ์’

 

 

ปี ๒๕๐๒

เสียงหนังสือเปิดแล้วเปิดเล่า ชายหนุ่มอยู่ในชุดเสื้อพรหมสีดำ ภายในห้องสี่เหลี่ยมที่ไม่แคบและไม่กว้างจนเกินไป อากาศด้านนอกมีลมเย็นพร้อมกับใบไม้ที่ร่วงลงตามฤดู ปราชญ์อ่านหนังสือด้วยความเพลิดเพลิน นิ้วชี้เรียวเกี่ยวที่ถือแก้วจับขึ้นมาจิบกาแฟ ดวงตาภายใต้กรอบแว่นทรงกลมสีทองยังคงจดจ้องตัวหนังสือไม่ห่าง

“Hey! man!” อารมณ์ถูกดับลงทันทีเมื่อมีบุคคลที่สองเข้ามาในห้องทั้งยังไม่ได้เคาะเรียก แต่ปราชญ์ก็ค้านจะเตือน

“มีอะไร” ปราชญ์ถามเสียงเรียบและวางหนังสือลง

“ทำไมทำหน้าเบื่อหน่ายอย่างนั้นเล่า” ชายทิตย์ขมวดคิ้วแล้วนั่งลงบนเตียงอย่างถือวิสาสะ เพราะรู้ว่าเพื่อนคนนี้ไม่เคยโกรธนาน

ดวงตาเรียวคมจ้องมองอย่างดุ ๆ เล็กน้อย ทำให้คนนั่งบนเตียงเสียวสันหลังวาบ “ถ้าไม่มีธุระด่วนก็ออกไปก่อน ฉันจะอ่านหนังสือ”

“Oh, man, why don’t you hang out?” (โธ่เพื่อน ทำไมนายไม่ไปเที่ยวข้างนอกบ้าง)

“I have to read a book. If you want to hang out, just go.” (ฉันต้องอ่านหนังสือ ถ้านายอยากไปเที่ยว ก็ไปซะ)

“Aahh” ชายทิตย์ถึงกับกุมหัว “Let’s go together, please” (ไปด้วยกันเถอะนะ)

“No” ปฏิเสธเสร็จก็หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านต่อ

“Please”

ปราชญ์เหลือบมอง “มัวแต่ชวนฉันออกไปข้างนอก ทำไมนายไม่อ่านหนังสือบ้าง”

“ฉันอ่านมาแล้วนะ”

“โกหกทั้งเพ”

ชายทิตย์ยิ้มแหย แต่ก็ยังไม่ละความพยายาม “ไปด้วยกันเถอะ แค่คืนนี้คืนเดียวเอง ฉันมีสาว ๆ ที่คลับมาแนะนำเยอะแยะเชียวนะ”

คนฟังถึงกับส่ายหัว “ฉันไม่ค่อยมีอารมณ์สุนทรีย์เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้”

“What!? นี่นายตายด้านหรือไง”

“เปล่าหนิ”

“หรือนายมีคนที่ชอบแล้ว” ชายทิตย์ชี้นิ้ว

ปราชญ์นิ่งไป “ฉันจะไปชอบใครได้ ก็แค่ไม่ไปเที่ยวควงสาวเหมือนนาย ฉันจะต้องมีคนที่ชอบแล้วงั้นหรือ”

อาทิตย์ถึงกับเก็บนิ้วชี้ “ก็หน่า ช่างเรื่องนั้นเถอะ ถ้าไม่มีคนที่ชอบก็ไปด้วยกันสักวันนะ... นายน่ะเอาแต่อ่านหนังสือแทบไม่ออกไปเที่ยวกับฉันเลย”

“เฮ้อ” ปราชญ์จำต้องวางหนังสือลงอีกครั้ง “ไปครั้งนี้ครั้งเดียวแล้วอย่าชวนอีก”

“ไปจริงนะ!”

ปราชญ์พยักหน้าอย่างส่ง ๆ และก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ

“งั้นคืนนี้เจอกัน แต่งตัวหล่อ ๆ ล่ะ คุณชาย เดี๋ยวฉันจะเอาฮาร์เลย์มารับ”

คนถูกชักชวนส่ายหัวหน่าย ๆ และยุ่งอยู่กับหนังสืออย่างเดิม

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“Come in” (เข้ามาสิ)

“Sir, There’s a letter for you” (คุณชายครับ มีจดหมายมาถึงคุณชาย)

“Thank you” (ขอบคุณครับ) ปราชญ์ขมวดคิ้วพอมองชื่อคนส่งพลันใจก็เต้นขึ้นมา คลี่จดหมายออกมาดูก็พบกับลายมือที่คัดอย่างเรียบร้อย แต่ดูออกเลยว่าเป็นลายมือของเด็ก

‘ถึงพี่ปราชญ์ ผมต้นสนเองครับ พี่ปราชญ์เป็นอย่างไรบ้าง สบายดีไหม ต้นสนเพิ่งจะหัดเขียนให้ลายมือสวย ๆ พี่ปราชญ์จะได้อ่านออก ต้นสนสิบขวบแล้วด้วย เป็นผู้ใหญ่แล้ว’ พออ่านมาถึงตรงนี้ปราชญ์ก็หัวเราะออกมาทันที เด็กหนอเด็ก ‘ต้นสนมาอยู่กับลุงสิงห์และลุงไฟตั้งแต่แปดขวบแล้วนะ เพราะว่าถ้าอยู่ที่วัง ต้นสนคงคิดถึงพี่ปราชญ์แน่เลย’ คนพี่ยิ้มกว้างดวงตาคลอเล็กน้อย ‘พี่ปราชญ์ยุ่งมากเลยใช่ไหม ถึงไม่ได้ส่งจดหมายมาเลย แต่พี่ปราชญ์ไม่ต้องห่วงนะ ต้นสนจะส่งจดหมายไปหาเอง ต้นสนเขียนเก่งแล้ว เขียนภาษาอังกฤษได้ด้วยแหละ A B C D… พี่แก้วสอน’ พี่แก้วคือใครนั่นคือคำถามในหัวแต่ก็ชื่นชมเด็กคนนี้มากมายจนรู้สึกผิดที่หลังจากมาที่นี่ เขียนจดหมายไปหาแค่สามสี่ครั้งก็ไม่ได้เขียนไปหาอีกเลย

‘พี่แก้วนั่งอยู่ข้าง ๆ คอยบอกว่าผิดตรงไหน ถ้าพี่ปราชญ์เห็นว่าจดหมายไม่สะอาด ต้นสนขอโทษนะครับ’

“โธ่ สวยมากแล้วครับ” ปราชญ์ลูบกระดาษที่มีรอยเปื้อนจากการถูกลบ

‘ต้นสนคิดถึงพี่ปราชญ์นะ ดูแลตัวเองด้วยนะพี่ปราชญ์ ด้วยรัก จากน้องต้นสนครับ’

ปราชญ์พลิกดูด้านหลังบ้าง เปิดซองจดหมายอีกรอบบ้างแต่กลับไม่พบอะไร เสียดายที่มีเท่านี้ ตอนต้นสนสิบขวบจะโตขนาดไหนนะอยากเห็นหน้าเสียจริง

ว่าแล้วก็หากระดาษสะอาด ๆ และปากกาหมึก หนังสือถูกเก็บไปอย่างไม่คิดจะสนใจอีกแล้ว หากอาทิตย์มาเห็นคงตกใจแย่ที่เพื่อนคนนี้เลิกสนใจหนังสือเพื่อมาเขียนจดหมายตอบคนไกล

 

‘ถึงน้องต้นสน พี่ได้รับจดหมายแล้วครับ พี่ขอโทษนะที่พี่ไม่ได้ส่งจดหมายไปหาเลย พี่งานยุ่งมากเลยแต่พี่ก็อยากคุยกับต้นสนนะ อยากเขียนจดหมายหาต้นสน พี่ขอโทษจริง ๆ นะครับ อยู่กับลุงไฟลุงสิงห์แล้วก็ต้องเป็นเด็กดีนะรู้ไหม กินข้าวเยอะ ๆ นอนเป็นเวลา ถ้าไม่สบายหรือเป็นอะไรรีบบอกคุณลุงเลยนะครับ พี่รักต้นสนนะ คิดถึงมาก ๆ จากพี่ปราชญ์’

 

ปากบางคลี่ยิ้มหยิบจดหมายของน้องขึ้นมาดูอีกรอบ อ่านวนซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้น ไม่มีเบื่อเลยสักนิด ปราชญ์มองจดหมายของตัวเองก็ต้องคิ้วมุ่น ถ้าจะเขียนอีกสองสามฉบับไปหาคงไม่ยาวเกินไปใช่ไหม

ยังไม่ทันได้คิดนานนักมือเรียวก็หยิบกระดาษอีกหลายแผ่นมาวางไว้เพื่อเขียนหาต้นสนเพิ่ม

คำว่าคิดถึง คงไม่ต่ำกว่าสิบแล้ว

 


เฝ้าคำนึง

 


ตกดึกปราชญ์อยู่ในชุดสูทและใส่เสื้อกั๊กด้านใน เพียงไม่นานก็ได้ยินเสียงบีบแตรรถดังสนั่น ปราชญ์เดินไปมองทางหน้าต่างก็พบกับรถฮาร์เลย์เปิดประทุน ชายทิตย์แต่งตัวดูดีทีเดียว

พอชายปราชญ์ลงมาข้างล่างชายทิตย์ก็ขมวดคิ้วทันที “จะแต่งไปเต้นรำที่ไหนล่ะคุณชาย”

ปราชญ์กะพริบตาปริบ ก้มมองชุดตัวเองว่าไม่ดีอย่างไร

“เรากำลังไปคลับนะ แต่งตัวให้ดูสบาย ๆ หน่อยสิ” ว่าแล้วก็เดินลงมาจึงเห็นชุดเต็มตาว่าใส่ยีนส์ทั้งกางเกงและเสื้อ ส่วนเสื้อด้านในเป็นเสื้อยืดสีขาว “ถอดสูทออก”

“ทำไมล่ะ มันก็สุภาพดีนะ” ปราชญ์ว่า

ชายทิตย์ส่ายหัวดิ๊กและรีบถอดสูทนอกให้ “เชื่อฉันเถอะ ถอดออก”

ปราชญ์ถอนหายใจปล่อยเลยตามเลยให้เพื่อนจัดการ ตอนนี้ปราชญ์อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตและพับแขนถึงศอก ส่วนกางเกงก็สแล็คอย่างเดิม

ชายทิตย์เห็นว่าเสื้อผ้าดีแล้วก่อนจะมองเพื่อนและเลยไปยังทรงผมที่เรียบจนชายทิตย์ต้องขมวดคิ้วอีกครั้ง จริง ๆ ก็ไม่ได้แย่ แต่ว่าอยากให้เพื่อนสลัดลุคคุณชายทิ้งแล้วไปเฉิดฉายด้วยกัน ไม่ว่าเปล่าก็หยิบหวีจากกระเป๋ากางเกงของตัวเองขึ้นมาจัดการทรงผมให้

“เดี๋ยวสิ เดี๋ยว อะไรของนายเนี่ย” ปราชญ์รีบผละออก มองหวีในมือเพื่อนก็ได้แต่คิดว่าพกหวีมาด้วยหรือ

“เชื่อฉันเถอะ”

ปราชญ์ลังเลอยู่ครู่ก่อนจะตามใจ เพราะนับถือในการแต่งตัวของอีกฝ่ายเหมือนกัน เพียงไม่นานก็เสร็จเรียบร้อย ส่วนคนจัดการให้ผละออกมามองผลงานตัวเองก็ต้องร้องว้าวออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

“นายนี่ So handsome”

“What?”

ชายทิตย์ยิ้มกว้าง “แบบนี้คนคงเข้าหานายเยอะแน่เลย”

“อะไรของนาย”

“นายรู้ตัวไหมว่านายน่ะมีเสน่ห์มากเลยนะ” พูดเสร็จก็หยิบกระจกออกมา

ปราชญ์ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อก่อนจะก้มส่องกระจก ใบหน้าที่เปิดตลอดเวลาเพราะเซ็ทผมขึ้นตอนนี้กลับเปลี่ยนไปเพราะเอาผมลงปรกหน้าผาก และเพราะเจลที่ยังติดจึงทำให้ผมที่ปรกหน้าดูคล้ายยังไม่แห้งดี แต่จัดดี ๆ แล้วก็ดูดีไม่หยอก แปลกตาเสียจนเผลอยิ้มออกมา

“ฉันก็ดูดีเหมือนกันนะ”

ชายทิตย์ถึงกับหัวเราะลั่นที่เพื่อนชมตัวเองได้หน้าตาเฉย “นายนี่มัน ฮ่า ๆ”

“แต่นายก็เซ็ทผมทำไมถึงให้ฉันเอาผมลงล่ะ”

“นายต้องเปลี่ยนลุคบ้างสิ ฉันเห็นนายเซ็ทผมจนเบื่อแล้ว ลองปรับเปลี่ยนดูก็ไม่เห็นแย่เลย”

ปราชญ์ได้แต่คิดในใจ นั่นคือเหตุผลจริง ๆ ใช่ไหม

“ไปกันเถอะ วันนี้นายปล่อยตัวตามสบายเลยนะ จะพาใครไปนอนไหนก็ไม่มีใครว่า” ชายทิตย์ป้องปากกระซิบ แต่ปราชญ์ก็ส่ายหน้าเพราะคงจะไปดื่มอย่างเดียว

เพียงไม่นานก็มาถึงที่หมาย เสียงเพลงดังออกมาถึงข้างนอก ปราชญ์ลงรถมองผู้คนมากมาย บ้างก็ใส่สูทจนต้องมองเขม็งเพื่อน

“เปลี่ยนลุคไง”

คนมาด้วยถึงกับถอนหายใจและเดินเข้าไปด้านใน ชายทิตย์ดูจะรู้จักกับคนไปทั่ว และปราชญ์ก็ได้รู้จักกับใครหลายคนเพิ่มขึ้น

ดูเป็นเรื่องแปลกใหม่ไปซะทุกอย่างสำหรับปราชญ์ แต่แปลกกว่านั้นก็คงเป็นชายทิตย์ที่ทักทายทุกคนที่เดินผ่านและดูสนิทกันมากด้วย

“นายรู้จักทุกคนเลยรึไง”

“แน่นอนสิ ก็ทั้งหมดนี่เรียนกับฉัน”

“งั้นหรอกหรือ”

“เพื่อนฉันเป็นลูกเจ้าของที่นี่ วันนี้เป็นวันเกิดเลยจัดปาร์ตี้ที่นี่น่ะ”

ปราชญ์คลี่ยิ้ม “ดีจังเลยนะ”

“แล้วนายสนใจใครบ้างไหม”

“ไม่ล่ะ ฉันขอดื่มอย่างเดียว”

ชายทิตย์ถอนหายใจ “ไว้ถ้านายสนใจใครมาบอกฉันได้เลยนะ ฉันจะได้บอกว่าใครมีคู่แล้วบ้าง”

ปราชญ์พยักหน้าอย่างไม่นึกสนใจมากนักก่อนจะคุยกับเพื่อนของชายทิตย์จนเพลิน มือเรียวยกของมึนเมาดื่มจนหมดไปหลายแก้วแล้ว

“Enough. I’ll go to the toilet. I’ll be right back” (พอแล้ว ฉันจะไปเข้าห้องน้ำก่อน เดี๋ยวฉันกลับมา)

“Be careful” (ระวังด้วย) เพื่อนคนหนึ่งในโต๊ะเอ่ยบอก ปราชญ์จึงพยักหน้าและเดินไปยังห้องน้ำ มารอบที่สองได้คนก็เยอะเหมือนเดิม

ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องไปปลดข้างนอก เพราะจะไม่ไหวอยู่แล้ว นี่ถ้าหากใครมารู้เข้าว่าคุณชายของวังศุลภาณันท์มาปลดปัสสาวะด้านนอกคงเข้าหน้าใครไม่ได้ แต่เพราะนี่ปิดเป็นส่วนตัวจึงต้องไปข้างนอกแทน และมีหลายคนเหมือนกันที่มาข้างนอกเพราะมีที่ให้

ปราชญ์ทักทายบางคนก่อนจะไปปลดบ้าง พอเสร็จเรียบร้อยก็หาน้ำเพื่อล้างมือ บรรยากาศหลังร้านมืดอยู่มาก มีแต่แม่น้ำกับต้นไม้ แต่ลมก็เย็นดีจนต้องขอเดินเล่นสักครู่เพราะคิดว่าตัวเองน่าจะเริ่มเมามากแล้ว ถ้ากลับไปตอนนี้คงเมาจนไม่ได้สติแน่นอน

“Ah, yes, That’s it” เสียงครางกระเส่าทำให้ปราชญ์หยุดชะงักทันที มันจะไม่น่าตกใจหรอกเพราะด้านในก็มีแต่ตกใจเพราะเสียงเป็นของผู้ชายสองคน อยากจะเดินออกไปแต่สายตาก็ไปปะทะกับอีกฝ่าย

ปราชญ์ใจหายวาบเมื่อเห็นดวงตาคมมองมาทางนี้และคนคนนั้นกำลังกดหัวคนข้างล่างและขยับสะโพกกระแทกอย่างเนิบนาบ ชายหนุ่มเผลอกลืนน้ำลาย ไม่รู้ว่าเพราะฤทธิ์เมาหรือไรถึงได้ร้อนวูบวาบไปทั้งตัว

อยู่ ๆ คนใต้ล่างเงยหน้าขึ้นมาเห็นก็ตะโกนเรียกทันที “Hey!, You interested?” (เฮ้! นายสนใจมั้ย?)

“No, I’m leaving” (ไม่ล่ะ ฉันจะไปแล้ว)

ปราชญ์พรูลมหายใจรีบเดินออกจากตรงนั้นเพื่อกลับไปนั่งที่เดิม พร้อมกับปฏิเสธของมึนเมาทันทีเพราะคิดว่าตัวเองเริ่มจะไม่ไหวแล้ว ระหว่างทางก็เห็นคนกอดจูบและทำเหมือนผู้ชายสองคนนั้นด้านนอก แต่ทำไมถึงรู้สึกเฉย ๆ นะ

หรือเพราะคู่อื่นเป็นชายหญิงหมดยกเว้นคู่ด้านนอกกัน? หรือว่าเขารู้สึกกับผู้ชายด้วยกันมากกว่าผู้หญิงอย่างนั้นหรือ แต่ปราชญ์ไม่ได้สนใจผู้ชายพวกนั้นเลย เพียงแต่ภาพของผู้ชายสองคนนั้นมันติดตา ไม่ได้รู้สึกชอบ แค่ทำให้รู้สึกอะไรบางอย่าง...

“เป็นอะไรหรือเปล่า” ชายทิตย์ที่เห็นเพื่อนนั่งหน้าเครียดหลังจากเดินกลับมาก็คิดว่ามีเรื่องอะไร

“ถามอะไรหน่อยได้ไหม”

“ว่ามาสิ”

“คือ... เพื่อนนายบางคนเขา... ชอบเพศเดียวกันหรือ”

ชายทิตย์ดูจะไม่ตกใจและพยักหน้าทันที “ใช่ อ้อ นี่นายไปเจอไอเจ้าพวกนั้นมาใช่ไหม ตกใจล่ะสิ”

“นิดหน่อยน่ะ”

“แล้วนายรังเกียจหรือเปล่า”

“ไม่ ฉันไม่ได้รังเกียจ ฉันคิดว่าคนที่นี่จะรับเรื่องนี้ไม่ได้เสียอีก”

“จะว่ารับได้ก็รับได้บางส่วนเหมือนกันนั่นแหละ เพื่อนบางคนในห้องรับไม่ได้ก็มี แต่ฉันน่ะรับได้นะเพราะยังไงพวกเขาก็แค่คนรักกัน ยกเว้นถ้าเจอไอพวกนั้น พวกมันก็แค่ชื่นชอบแบบนี้แต่ไม่ได้รักกันหรอก แค่เซ็กส์น่ะ”

“นายเคยเอ่อ...”

ชายทิตย์ยิ้มและก้มกระซิบ “ฉันช่ำชองเลยแหละ แต่ฉันชอบผู้หญิงนะ ยังไงซะเซ็กส์ก็แค่เซ็กส์ สิทธิ์ของเรา ถ้านายอยาก... นายก็หาคู่ที่เขาพร้อมและต้องการเหมือนกัน”

“It’s just sex. There’s no love involved.” (มันก็แค่เซ็กส์ ไม่มีความรักเกี่ยวข้อง)

ปราชญ์คล้ายเปิดโลกใหม่ ถูกสอนมาตลอดว่าการจะสานสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งจะต้องเป็นคนรักและแต่งงานแล้วเท่านั้น พอฟังจากอีกมุมก็คล้ายปลดล็อกอะไรบางอย่าง

“ฉันอยากลอง”

แค่นั้นก็ทำชายทิตย์ตกใจจนตาโต “Really?” (จริงเหรอ?)

“อืม”

“ถ้านายฝืน ไม่ต้องก็ได้ ฉันไม่ได้บังคับนะ ของแบบนี้อยู่ที่ความสมัครใจ”

“ไม่ฝืน” พูดเสร็จก็หันมองรอบร้านก่อนจะเห็นใครบางคนกำลังเดินเข้ามา เป็นคนเดียวกับที่ปราชญ์เห็นข้างนอก “คนนั้นน่ะ”

“ผู้ชายเหรอ ว้าว ได้ เดี๋ยวถามให้” ชายทิตย์รีบลุกไปคุยกับเพื่อน

ปราชญ์มองอีกฝ่ายอย่างสำรวจ รูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าติดดุเล็กน้อย ดวงตานั้นแวววับยามที่อาทิตย์พูดแล้วชี้มาทางนี้ ก่อนที่คนคนนั้นจะเดินมาแล้วยิ้มให้

“สวัสดีครับ คุณคือคุณชายปราชญ์ใช่ไหม”

“คนไทยหรือครับ”

“ครับ เป็นเพื่อนกับผู้ชายก่อนหน้านี้ เขานัดผมมาที่นี่น่ะ”

“ตามสบายเลยนะ พรุ่งนี้เพื่อนฉันไม่ไปไหนหรอก” ชายทิตย์ยิ้มและกระซิบ “คนนี้ไว้ใจได้ ไม่ต้องห่วง การันตีลูกชายเจ้าของโรงแรมชื่อดังทั้งไทยและอังกฤษ”

“เดี๋ยวสิ” ปราชญ์ถึงกับถอนหายใจเมื่อเพื่อนถวายตัวเขาให้คนอื่นถึงขนาดนี้ เขม็งใส่ชายทิตย์ไปทีก่อนจะคลี่ยิ้มให้คนตรงหน้าและถามไถ่ “ว่าแต่คุณชื่ออะไรหรือครับ”

“ผมชื่อ ภวัต ครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณชาย”

“เช่นกันครับ เรียกผมว่าปราชญ์เฉย ๆ ก็ได้”

“ครับปราชญ์” ภวัตยิ้มบาง ดวงตาคมกริบ “พอดีว่าคุณพ่อผมหุ้นโรงแรมแถวนี้อยู่ ถ้าไม่รังเกียจไปด้วยกันไหมครับ”

ปราชญ์เผลอใจเต้นแรงยามที่รอยยิ้มนั้นประดับขึ้น “ไปครับ”





จบบทที่ ๔

----------------------------------------------------------------------------------------------

อ่าวพี่ปราชญ์ น้องต้นสนล่ะ555555555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-06-2020 12:46:57 โดย IMYean. »

ออฟไลน์ direkraj

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๔
«ตอบ #15 เมื่อ30-05-2020 15:04:49 »

 :pig4:

ออฟไลน์ piakunaa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๔
«ตอบ #16 เมื่อ30-05-2020 22:20:52 »

งานงอกกกกกกกกกกกกกก​ พี่ปราชญ์​ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ​ กอดปลอบต้นสนอีกตามเคย​ นี่คิดมาตลอดนะว่าปราชญ์​รุก​ เกมพลิกซะงั้น
เป็น​กำลัง​ใจ​ให้​นักเขียน​นะคะ​ ​สู้​ๆ​นะคะ​นักเขียน​

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
 


บทที่ ๕

รังเกียจ

 


ปี ๒๕๐๕

Florida, America


ปราชญ์ในวัยยี่สิบหกปีอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสุภาพ ก่อนจะหันมองคนข้างกายที่มาด้วยและถือกระเป๋าให้

“นั่นไง ใหญ่ใช่เล่นเลย” ภวัตที่อาสาถือกระเป๋าชี้โรงเรียนให้ดู

ปราชญ์ยิ้มกว้างเมื่อมาถึงที่หมายแล้วก่อนจะทำหน้าเครียด “ภวัต”

“ครับ” คนรักก้มเล็กน้อยเพื่อรอฟัง

“อย่าเพิ่งบอกอะไรน้องนะ”

ภวัตยิ้มทันที “ได้ครับ ปราชญ์ไม่ต้องห่วงนะ” พูดเสร็จก็เกลี่ยปอยผมให้คนข้าง ๆ ก่อนจะพากันเดินไปยังโรงเรียนของชายกรณ์และชายเล็กที่ตอนนี้เรียนอยู่ที่เดียวกัน

ตั้งแต่สามปีก่อนปราชญ์กับภวัตตัดสินใจสานสัมพันธ์กัน ต่างคนต่างเป็นคนรักคนแรกของกันและกัน ถึงแม้ว่าภวัตจะเจอใครมากหน้าหลายตาแต่กลับไม่ได้รู้สึกมากกว่านั้นเท่ากับคนคนนี้ ปราชญ์เองก็อยากจะลองเปิดใจรับใครสักคนเหมือนกัน และมันก็ไม่ได้แย่เลย

เด็กนักเรียนเยอะเป็นพิเศษและปราชญ์ก็ขอเข้าได้เพราะติดต่อขอเข้าพบน้องชายมาก่อนแล้ว ตอนนี้พักเที่ยงชายกรณ์บอกว่าชอบอยู่กับชายเล็กที่สนามบอล ส่วนชายเล็กก็ดูจะชอบอ่านหนังสือและเล่นกีฬาเก่งมากจนถึงขั้นไปแข่ง

ปราชญ์มองรูปถ่ายที่ชายกรณ์ส่งทางจดหมายมาให้ก่อนจะหันมองว่ามีใครหน้าเหมือนน้องชายเขาหรือเปล่า

“นั่นไง ใช่ไหม” ภวัตชี้

ปราชญ์หันมองตามก่อนจะยิ้มกว้าง น้ำตาระรื้นเมื่อเห็นน้องทั้งสองยืนคุยกันอยู่ ชายเล็กถือหนังสือไว้ในมือ ส่วนชายกรณ์กำลังพิงเสาอยู่ “ชายกรณ์! ชายธัน!”

ทั้งคู่หันมองอย่างตกใจ ถึงจะรู้ว่าพี่คนโตจะมาหาแต่ก็ไม่ได้บอกวันเพราะจะมาเซอร์ไพรส์แล้วมันก็เซอร์ไพรส์จริง ๆ

“พี่ชายใหญ่!” ชายกรณ์ยิ้มกว้าง ก่อนจะอ้าแขนรับอ้อมกอดคนพี่ ขนาดตัวที่สูงกว่าทำให้ปราชญ์ต้องเงยหน้าและลูบหลังน้อง

“คิดถึงจังเลย สูงขึ้นด้วยหนิ” สูงมากเลยล่ะ เขาว่าเขาสูงแล้วแต่พอมองน้องทั้งสองที่สูงกว่าก็เริ่มจะไม่มั่นใจในความสูงตัวเองเสียแล้ว

“คิดถึงพี่ชายใหญ่ที่สุดเลยครับ”

ปราชญ์ยิ้มไม่หุบ พอมองชายเล็กที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มเล็กน้อยก็ผละจากคนกลางแล้วเข้าไปสวมกอดคนเล็ก “ชายธัน พี่คิดถึงมากเลยนะ”

ชายเล็กยิ้มบางก้มเล็กน้อยเพื่อรับกอดพี่คนโต “คิดถึงเหมือนกันครับ”

ปราชญ์เช็ดน้ำตาก่อนจะผละออกมา ดึงแขนน้องคนกลางให้มายืนตรงหน้าคู่กัน ยกมือลูบหน้าทั้งคู่ที่ดูหนุ่มขึ้นมาก “น้องชายพี่โตขนาดนี้แล้วหรือนี่”

“ชายเล็กเพิ่งจะสิบสามเองนะครับ ยังเด็กอยู่ มีแต่ผมที่โตเป็นหนุ่มคนเดียว” ชายกรณ์หัวเราะเพราะปีหน้าก็จะไปเรียนมหาลัยแล้ว

พอได้ยินอย่างนั้นชายเล็กก็ขมวดคิ้วมุ่นทันที “ผมโตแล้ว”

“ครับ ๆ ชายธันโตแล้ว” ปราชญ์รีบโอ๋น้องทันที

“แล้วนั่นเพื่อนพี่ชายใหญ่หรือครับ” ชายกรณ์ถาม

“อ่อ... ใช่” ปราชญ์ยิ้มและกวักมือเรียกคนรักให้เข้ามา

“สวัสดีครับคุณชายกรณ์ คุณชายธัน ผมภวัตครับ”

“เรียกกรณ์เถอะครับ” ชายกรณ์ยิ้มอย่างเป็นกันเองส่วนชายเล็กพยักหน้าตอบรับเฉย ๆ

“แล้วทำไมมาไม่บอกก่อนล่ะครับ จะได้จัดหาที่พักไว้ให้”

“ไม่เป็นไร ภวัตเขามีบ้านพักที่นี่พอดี พี่พักกับเขาได้”

“อ่อ รบกวนด้วยนะครับ” ชายกรณ์ก้มหัว ภวัตจึงต้องก้มหัวตามและโบกไม้โบกมือ

เมื่อหาที่นั่งคุยกันได้แล้ว ชายกรณ์ก็เปิดปากถามทันที “พี่ชายใหญ่ลงจากเครื่องแล้วมาที่นี่เลยหรือครับ”

“ใช่ นั่งรถมาอีกน่ะ”

“ทำไมไม่พักก่อนล่ะครับ ไว้ให้พวกผมไปหาก็ได้”

“พี่อยากเซอไพรส์หนิ” ปราชญ์ยิ้ม

“กินข้าวมาหรือยัง” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยถาม ถึงจะเรียบนิ่งไปบ้างแต่ก็แสดงถึงความห่วงใย

“พี่กินบนเครื่องมาแล้วครับ” ปราชญ์หันบอกชายเล็ก

“แล้วนี่พี่ชายใหญ่จะได้กลับไทยเมื่อไหร่ครับนี่”

ปราชญ์คิดสักพัก “คงเรียนปริญญาเอกจบก่อนน่ะ ถึงจะกลับ”

“อ่าว เรียนปริญญาเอกแล้วหรือครับ” ชายกรณ์ตกใจ

“ใช่ เพิ่งเรียนปริญญาโทจบไปเมื่อปีที่แล้วนี่เอง อัดเนื้อหาแค่สองปี แต่ปริญญาเอกที่นู่นเขาเรียนอีกสี่ปีน่ะ คงจะอีกนานกว่าจะได้กลับ”

“แบบนี้ก็ไม่ได้ไปที่อิตาลีน่ะสิครับ”

“นั่นสิ เสียดายอยู่เหมือนกัน ถ้าเป็นไปได้ก็อยากทำเรื่องต่อปริญญาเอกที่อิตาลีเหมือนกัน แต่กลัวว่าจะยุ่งยากเกินไปเลยเอาที่นี่ให้จบไว้ค่อยไปศึกษาต่อทีหลัง”

“คงต้องเรียกว่าหม่อมราชวงศ์ด็อกเตอร์ปภารัชแล้วสิครับ” ชายกรณ์คลี่ยิ้ม

ปราชญ์หัวเราะ “กว่าจะเรียกจบ พี่คงเดินไปไกลแล้ว” ทั้งสี่คนหัวเราะออกมาทันที ปราชญ์เหมือนไม่ได้มีบรรยากาศแบบนี้มานานแล้ว คิดถึงสมัยก่อนเสียจริง ถ้าต้นสนอยู่ด้วยคงสนุกกว่านี้...

ชายกรณ์คุยกับภวัตต่อจนเพลินไม่ได้สังเกตพี่ตนเลยว่าทำไมถึงเงียบไป เว้นแต่ชายเล็กที่มองอยู่ตลอดและเห็นว่าใบหน้าของพี่ชาย จู่ ๆ ก็เศร้าหมองคล้ายคิดอะไรอยู่

“พี่ชายใหญ่เป็นอะไรหรือครับ” ชายธันถามทันทีเห็นดวงตาของพี่สั่นไหว

“พี่ถามอะไรหน่อยสิ” พอเห็นน้องทั้งสองพยักหน้าปราชญ์จึงเปิดปากถาม “ชายกรณ์กับชายธันได้รับจดหมายจากต้นสนบ้างไหมหรือโทรคุยกันบ้างหรือเปล่า”

ชายกรณ์พยักหน้า “ได้รับครับ เมื่ออาทิตย์ก่อนผมยังโทรทางไกลหาน้องถามสารทุกข์สุกดิบกันอยู่เลย”

ชายธันไม่ได้ตอบเพราะไม่ได้สนิทหรือคุยอะไรกันอยู่แล้ว มีแต่ชายกรณ์ที่คุยกับต้นสน

“อย่างนั้นหรือ” ปราชญ์ยิ้มบางก้มหน้าลง

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“ต้นสน... ไม่ได้ส่งจดหมายตอบหาพี่ตั้งแต่ปีที่แล้วแล้ว”

“หื้อ” ชายกรณ์เบิกตา “แต่ต้นสนยังคุยกับผมอยู่เลยนะครับ”

“ไม่รู้สิ” ปราชญ์ถอนหายใจ “พี่ไปทำอะไรให้ต้นสนโกรธหรือเปล่า ถ้าเป็นเรื่องจดหมาย พี่ก็เริ่มส่งให้ตลอดทุกเดือนนะ หรือพี่เขียนอะไรทำให้ไม่พอใจกัน”

“อย่างต้นสนน่ะหรือจะไม่ตอบจดหมาย เป็นไปไม่ได้หรอกครับ”

“พี่ชายใหญ่จะไปสนทำไม ในเมื่อหมอนั่นไม่อยากคุยก็ไม่ต้องไปคุย” ชายเล็กว่าอย่างหงุดหงิดที่ต้นสนทำให้พี่ตนเองเศร้าอย่างนี้

“ชายธัน” ปราชญ์ทำเสียงดุน้องเล็กน้อย “ต้นสนอาจจะเป็นอะไรแต่ไม่กล้าบอกพี่ก็ได้”

“หึ” ชายเล็กยังอคติ ไม่ใช่น้องชายแต่กลับได้รับความสนใจขนาดนี้

“แล้วครั้งล่าสุดที่ต้นสนตอบกลับมาล่ะครับ”

“ต้นสนบอกว่าขอให้มีความสุขน่ะ แค่นั้นจริง ๆ ทุกทีจะเขียนยาวแต่จดหมายนั้นมีเพียงแค่ประโยคนี้”

“แล้วที่พี่ชายใหญ่ส่งไป พี่ชายใหญ่เขียนว่าอะไรหรือครับ”

ปราชญ์นิ่งไปทันตา ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี เพราะเขาเขียนไปบอกต้นสนว่าเขามีคนรักแล้ว เหมือนกำลังเล่าชีวิตตัวเองอย่างที่เคยทำ เพราะต้นสนก็ชอบเขียนเล่าเรื่องตัวเองให้ฟัง ปราชญ์ไม่รู้ว่าน้องเบื่อหรืออย่างไร

“คือ...”

“ส่งไปว่ามีคนรักแล้วน่ะครับ” ภวัตเอ่ยบอกแทน ปราชญ์จึงรีบหันมองทันทีแล้วก็ได้รับเป็นเพียงพยักหน้าเท่านั้น

“พี่ชายใหญ่มีคนรักแล้ว!!!” ชายกรณ์พูดเสียงดังจนปราชญ์ต้องปรามน้อง ส่วนชายเล็กก็นิ่งไปแล้ว คิ้วเข้มก็ขมวดเข้าหากัน “ใครหรือครับ ทำไมเรื่องใหญ่ขนาดนี้ไม่บอกพวกผม แล้วที่วังเขารู้หรือยัง”

“ใจเย็น ๆ” ปราชญ์ถอนหายใจ มือของคนรักเข้ามากุมคล้ายให้กำลังใจจึงทำให้สงบลงบ้าง “ถ้าพี่บอกพี่กลัวว่าทุกคนจะรังเกียจพี่”

“ทำไมล่ะครับ ถ้าพี่ชายใหญ่รักใคร คนคนนั้นก็ต้องเป็นคนที่ดีอยู่แล้ว”

ปราชญ์มองน้อง ยิ่งเห็นชายเล็กขมวดคิ้วคล้ายทำหน้าดุก็ยิ่งหวั่นใจ “พี่...” มือหนาบีบเบา ๆ เป็นการให้กำลังใจ ปราชญ์จึงดีขึ้นบ้าง เขามองหน้าน้องทั้งสอง “พี่คบกับภวัต”

“ห๊ะ!” ชายกรณ์อ้าปากค้างไปแล้ว ส่วนชายเล็กจ้องเขม็งไปที่ภวัตทันที

“พี่ขอโทษที่ไม่ได้บอก พี่กลัวว่าชายกรณ์กับชายธันจะรังเกียจพี่” ปราชญ์หน้าเสียเผลอบีบมือคนรักแน่นด้วยความไม่มั่นใจ

ชายกรณ์คล้ายปรับตัวไม่ถูก เด็กหนุ่มพรูลมหายใจ ดวงตายังเบิกและเหม่อคิดอะไรกับตัวเอง

“ลุก” ชายเล็กสั่งเสียงแข็งแล้วดึงแขนคนพี่

“ชายธันจะทำอะไร” ปราชญ์ตกใจ

“ออกมาให้ห่างมัน”

“ชายธันฟังพี่ก่อนได้ไหม โอ๊ย” เพราะแรงดึงทำให้ช่วงเอวของปราชญ์ชนกับขอบโต๊ะ

“ปราชญ์” ภวัตรีบลุกดูแต่ก็ถูกชายธันบังตัวเอาไว้

“อย่ามายุ่ง”

ภวัตไม่ใช่คนอารมณ์ร้อนมากนักแต่การที่เด็กตรงหน้าทำอย่างนี้เขาก็ไม่อยากจะใจเย็นเหมือนกัน “ถ้าคุณชายเป็นห่วงพี่ของคุณสักนิด คุณจะไม่ทำอย่างนี้” ภวัตจ้องอย่างไม่ไหวหวั่น “คุณทำพี่ของคุณเจ็บตัว แล้วมีเหตุผลอะไรที่มาสั่งไม่ให้ผมเข้าไปยุ่ง คุณไม่มีสิทธิ์มาสั่งผมด้วยซ้ำ เพราะคุณกำลังทำให้คนรักของผมเสียใจ”

ไม่ว่าเปล่าก็ชี้ไปที่ปราชญ์ที่เริ่มใจเสียและน้ำตาไหล ไม่ใช่เพราะเจ็บแต่เพราะกลัวว่าน้องจะเกลียด

ชายธันเผลอนิ่งไปดวงตาวูบไหวยามเห็นน้ำตาของพี่ชาย

“ชายเล็ก ใจเย็น” ชายกรณ์ที่เพิ่งจะได้สติรีบลุกมาจับบ่าน้องชายและปล่อยให้ภวัตไปดูอาการของพี่คนโต

“อย่าเกลียดพี่เลยนะ” ปราชญ์กัดปาก มองน้องด้วยความอ้อนวอน “อย่ารังเกียจพี่เลย”

ชายธันผันหน้าหนีและเดินออกไป ส่วนชายกรณ์ส่งสายตาเป็นเชิงขอโทษและเดินออกไปพร้อมกับน้องคนเล็ก

“ชายกรณ์ ชายธัน...” ปราชญ์คุกเข่าลงกับพื้นทันที

“ปราชญ์ครับ ไม่เป็นไรนะ ให้เวลาน้องหน่อย” ภวัตนั่งคุกเข่าพร้อมกอดคนรัก “น้องจะต้องเข้าใจปราชญ์นะ เชื่อผม”

ปราชญ์ขยำเสื้อของคนรักแน่น กลัวเหลือเกิน กลัวน้องจะไม่อยากเข้าใกล้

“ไม่เป็นไรนะครับ เรากลับที่พักกันก่อนนะ ผมจะฝากที่อยู่ให้กับคนที่นี่ ถ้าน้องเข้าใจแล้วคงจะมาหาเราที่บ้านเอง”

ปลอบอยู่สักพักปราชญ์ก็ยอมสงบลงและลุกขึ้นเพื่อไปยังที่บ้านพัก ระหว่างทางปราชญ์ดูเหม่อลอย ภวัตจึงปล่อยไว้ก่อน พอถึงบ้านคนรักก็ขอนั่งอยู่ที่ห้องรับแขกพร้อมกับเอาจดหมายเก่า ๆ ออกมา

“เดี๋ยววัตไปเอานมอุ่น ๆ มาให้นะ” ภวัตเกลี่ยน้ำตาคนรักที่พยักหน้า เพียงไม่นานนมอุ่นก็มาวางไว้ตรงหน้า และภวัตก็ขอตัวเอากระเป๋าไปจัดให้

ดวงตาของปราชญ์ยังแดงก่ำแต่ก็ไม่ได้ฟูมฟายออกมาแล้ว มือเรียวหยิบจดหมายของต้นสนขึ้นมาอ่าน เผื่อว่าจะช่วยปลอบเขาได้ บางเนื้อหามีพูดถึงลุงสิงห์และลุงไฟที่เป็นคนรักเพศเดียวกัน และปราชญ์ก็รู้จักพวกท่าน ได้รู้อดีตที่ขมขื่นของพวกเขาทั้งคู่และชื่นชมความรักของพวกเขาที่มีให้กันมาตลอด

ยิ่งอ่านก็ยิ่งทำให้รู้สึกดีขึ้น...

 

‘พี่ปราชญ์รู้ไหมว่าต้นสนน่ะเบื่อลุงไฟมากเลย ชอบแหย่ ชอบแกล้ง ขี้บ่นด้วย บางทีก็หอมแก้มลุงสิงห์ไม่อายฟ้าอายดิน ต้นสนอยากให้ลุงสิงห์ไม่นอนกับลุงไฟสักวันจะได้ลงโทษซะเลย’

ปราชญ์เผลอยิ้มออกมาก่อนจะเปลี่ยนจดหมายอ่านไปเรื่อย ๆ

‘วันนี้นะต้นสนตกปลาแล้วพี่กล้าเผลอทำปลาในกระแป๋งล่วงหมดเลย ต้นสนเหนื่อยนะเนี่ยกว่าจะจับได้แต่ละตัว ถ้าพี่ปราชญ์กลับมาต้นสนจะพาไปตกปลา แต่ห้ามทำกระแป๋งล่วงนะ’

 

‘ลุงอัธโม้ว่าเมื่อก่อนตัวเองฟันยิงไม่เข้าด้วยแหละพี่ปราชญ์ แต่ลุงอัธถูกไม้จิ้มฟันจิ้มเหงือกได้ไง ต้นสนไม่เข้าใจ’

 

‘พี่อิ่มบอกว่าต้นสนมีสาวมาจีบ เอาขนมมาให้ด้วย แต่ต้นสนไม่ชอบหรอกนะ พี่ปราชญ์ไม่ต้องห่วง ต้นสนมีพี่ปราชญ์คนเดียว’

ปราชญ์ยังคงงุนงงกับจดหมายฉบับนี้ที่ต้นสนเขียนมา เลยได้แต่คิดว่าบางทีน้องอาจจะติดเขามากไปจริง ๆ ก็ได้

 

‘พี่แก้วชอบบอกว่าต้นสนเป็นเด็กแก่แดด มันหมายความว่าไงเหรอพี่ปราชญ์ ต้นสนแก่แล้วเหรอ ต้นสนรู้ว่าต้นสนเป็นผู้ใหญ่แล้วแต่ต้นสนยังไม่แก่นะ’

 

‘เมื่อคืนต้นสนนอนไม่หลับเลย ลุงสิงห์ร้องทั้งคืน ต้นสนคิดว่าเป็นอะไรพอไปเคาะห้องถามก็ถูกลุงไฟบ่นจนหูชา บอกว่าไปขัดทำไมอะไรของตาลุงแกก็ไม่รู้ ตาลุงไฟนี่น่าตีจริง ๆ เลย พี่ปราชญ์ว่าไหม’

ปราชญ์หูแดงขึ้นมา ยังดีที่ต้นสนไม่เข้าใจ เขาจำได้ว่าบอกน้องไม่ต้องลุกไปเคาะแล้ว

‘ต้นสนได้ไปงานวัดด้วยแหละพี่ปราชญ์ แต่ลุงไฟกับลุงสิงห์ชอบดูลิเก น่าเบื่อจะตาย คนแก่ชอบดูอะไรแบบนี้เหรอ พี่ปราชญ์ไม่ได้ดูลิเกใช่ไหม’

 

‘ลุงกฤษชอบบอกว่าต้นสนเหมือนลุงไฟด้วยพี่ปราชญ์ ต้นสนเหมือนลุงไฟตรงไหน ต้นสนไม่อยากเป็นตาแก่ขี้บ่นนะ’

 

‘ต้นสนไม่เข้าใจทำไมลุงอัธหวงลูกขนาดนั้น ทุกครั้งที่มีหนุ่มมาจีบพี่อิ่ม ก็โดนลุงอัธไล่ตะเพิดทุกครั้งด้วยนะพี่ปราชญ์ สงสารพี่อิ่มจัง’

 

‘เมื่อคืนต้นสนฝันเห็นพี่ปราชญ์ด้วย ฝันว่าพี่ปราชญ์กลับมาแล้ว แต่ในฝันพี่ปราชญ์ยังอุ้มต้นสนอยู่เลย ต้นสนเตี้ยเหรอ’

 

‘วันนี้เป็นวันเกิดลุงสิงห์แหละพี่ปราชญ์ ลุงไฟจูบลุงสิงห์ด้วย เห็นไหมล่ะตาลุงนี่ไม่อายฟ้าอายผีนางไม้เลย พี่แก้วกับพี่อิ่มชอบบอกว่าอย่าทำเหมือนลุงไฟนะ ลุงไฟเขาหน้าหนา หน้าหนาคืออะไรหรือพี่ปราชญ์ แล้วถ้าถึงวันเกิดของคนรักต้องจูบคนรักเหรอ ถ้าอย่างนั้นถึงวันเกิดพี่ปราชญ์ต้นสนจะไม่จูบนะ ไม่อยากหน้าหนาเหมือนลุงไฟ’

ปราชญ์หัวเราะออกมา โธ่เด็กน้อย ติดเขาจนคิดว่าเขาเป็นคนรักหรือนี่ ปราชญ์อ่านเพลินจนหมดไปหลายสิบฉบับก่อนจะชะงักเมื่ออ่านฉบับล่าสุดเมื่อปีที่แล้ว


‘ขอให้มีความสุขนะครับ’


ต้นสนเขียนมาแค่เท่านี้แล้วก็ไม่เขียนมาอีกเลย ปราชญ์ถอนหายใจ คิดถึงต้นสน อยากเห็นหน้า อยากกอดเผื่อว่าจะทำให้เขาหายทุกข์ได้ แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าต้นสนเป็นอะไรไป เขาไปทำอะไรให้ไม่พอใจหรือเปล่า แต่ถ้าไม่ใช่ก็อยากให้บอกกันหน่อยว่าเป็นอะไรจะได้เข้าใจ

“เห็นหัวเราะเสียงดัง อารมณ์ดีแล้วหรือ” ภวัตเดินมานั่งข้างกายเมื่อจัดเสื้อผ้าเสร็จแล้ว

“ใช่ อ่านจดหมายของน้องเลยอารมณ์ดีขึ้นน่ะ”

“ชักอยากจะเห็นหน้าตาของน้องต้นสนแล้วสิ ใครกันที่ทำให้ปราชญ์มีความสุขขนาดนี้” ภวัตลูบคาง

“น่ารักมากเลยล่ะ พูดเก่ง ร่าเริง ดื้อบ้างแต่ก็เชื่อฟังเหมือนกัน พูดจาน่ารัก นิสัยดี ไม่เคยโกรธใครนาน แต่เวลาเป็นอะไรจะไม่ชอบพูดเพราะกลัวว่าผู้ใหญ่จะคิดมากถ้าพูดไป” ปราชญ์ยิ้มไม่หุบมือยังคงลูบจดหมายพวกนี้

“นี่ถ้าไม่บอกว่าเป็นน้องข้างบ้าน วัตเกือบจะหึงแล้ว”

ปราชญ์ชะงัก “ก็แค่น้อง จะหึงทำไมกัน”

“ครับ วัตรู้ วัตแค่พูดให้ฟัง” ภวัตโอบไหล่แล้วลูบเบา ๆ

ปราชญ์พยักหน้าแล้วก้มมองจดหมายทั้งหมด ก่อนจะไปอาบน้ำเพื่อจะออกไปทานข้าวเย็นข้างนอก



*มีต่อค่ะ

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
*ต่อจากข้างบนเลย


ผ่านไปสองอาทิตย์แล้วแต่ชายกรณ์กับชายธันยังคงคิดมากเรื่องนี้ ทั้งคู่พรูลมหายใจหลังจากกลับมาถึงบ้าน ชายธันเดินไปหาน้ำดื่มส่วนชายกรณ์ก็นั่งลงกับโซฟาหลับตาลงเพื่อให้คลายเหนื่อย

“พี่ชายกรณ์คิดยังไงกับเรื่องพี่ชายใหญ่” ชายเล็กถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ

ชายกรณ์ลืมตามองเพดานอยู่อย่างนั้น “พูดไม่ออก ไม่รู้สิ พี่ไม่รู้ความคิดตัวตอนนี้” ถ้าถามว่ารังเกียจไหม เขาไม่ได้รังเกียจ ยิ่งตอนเห็นพี่ร้องไห้ก็อยากเขาไปปลอบแต่ตอนนั้นทั้งตกใจและงุนงงไปหมด แล้วก็เพิ่งคิดได้ว่าไม่น่าเดินหนีพี่ชายใหญ่เลย

“แล้วพี่ชายกรณ์เกลียดพี่ชายใหญ่ไหม”

“ไม่เลย ไม่ได้รู้สึกเกลียดสักนิด ตอนนี้พี่รู้สึกผิดที่เดินหนีออกมามากกว่าจนไม่กล้ากลับไปสู้หน้าแล้ว” ชายกรณ์ถอนหายใจก่อนจะถามน้องบ้าง “แล้วชายเล็กล่ะ... เกลียดพี่ชายใหญ่ไหม”

ชายธันเงียบไปมือยังคงถือแก้วน้ำที่ไม่ได้ดื่ม “ผม... ผมไม่รู้”

“เฮ้อ จะว่าไปที่ต้นสนไม่ตอบเพราะเรื่องนี้หรือเปล่านะ”

พอได้ยินชื่อของใครชายธันก็ขมวดคิ้วมุ่นทันที “จะไปสนใจทำไม”

ชายกรณ์หัวเราะ ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีก็ยังเหมือนเดิม “ลดทิฐิบ้างก็ได้นะ”

“เหอะ” ชายธันส่ายหน้าแล้วไปนั่งข้างกาย

“พี่โทรถามดีไหม”

“ไม่ต้องหรอก”

“งั้นโทรถามละกัน” เหมือนชายกรณ์จะไม่ฟังที่ชายเล็กพูดเลย เดินไปหาโทรศัพท์ทันทีและหมุนหมายเลขที่ต้องการ “ครับ ขอสายบ้านอัครเดชครับ”

ชายกรณ์ตอบคนรับที่เป็นตัวผ่านเพื่อต่อสายให้ เพียงไม่นานก็ได้ยินเสียงคุ้นหูดังขึ้น

(บ้านอัครเดชครับ)

“ลุงสิงห์ใช่ไหมครับ ผมกรณ์เอง”

(อ่าวคุณชายกรณ์ โทรหาต้นสนหรือ)

“ครับ ขอสายน้องหน่อยได้ไหมครับ”

(ได้สิ.. ต้นสน!.. พี่กรณ์โทรมา... ) ได้ยินเสียงกุกกักดังเล็กน้อยก่อนจะเป็นเสียงที่เด็กลงตอบรับกลับมา (ครับ)

“ต้นสนพี่ถามอะไรหน่อยสิ”

(ได้ครับ)

“ต้นสนรู้แล้วใช่ไหมว่าพี่ปราชญ์มีคนรักแล้ว” ชายกรณ์เอ่ยถามก่อนที่ปลายสายจะเงียบไปนาน

(ครับ)

“แล้วต้นสนทำไมถึงไม่ตอบจดหมายพี่ปราชญ์ล่ะ หรือว่ารังเกียจ”

(รังเกียจหรือครับ ทำไมต้องรังเกียจ)

“ก็ที่พี่ปราชญ์มีคนรักเป็นผู้ชาย ต้นสนไม่รังเกียจหรือ เห็นพี่ปราชญ์บอกว่าต้นสนไม่ตอบจดหมาย ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้หรอกหรือ”

(ผู้ชายหรือ...) เสียงปลายสายพูดเสียงเบาเหมือนพูดกับตัวเอง (ผมไม่ได้รังเกียจและที่ไม่ตอบไม่ใช่เพราะเรื่องนี้หรอกครับ)

“อ่าวเหรอ นึกว่าต้นสนจะรังเกียจพี่ปราชญ์เสียอีก” พอชายธันได้ยินอย่างนั้นก็รีบลุกไปและแย่งมาคุยเอง

“ถ้าไม่ได้รังเกียจแล้วทำไมถึงไม่ตอบจดหมาย”

(ฉันมีเหตุผล)

“เหตุผลบ้าบออะไร นายก็พูดมาเถอะว่ารังเกียจ”

(ฉันไม่ได้รังเกียจและฉันไม่มีวันรังเกียจ นายน่าจะรู้นิสัยพี่ปราชญ์ดีหนิ ถ้าพี่ปราชญ์เลือกใคร... คนคนนั้นต้องเป็นคนที่ดีมากแน่ ๆ และฉันก็เชื่ออย่างนั้น)

“ทำเป็นพูดดีแต่การกระทำสวนทาง”

(ฉันผิดเองที่ไม่บอกอะไรให้ชัดเจน แต่ฉันยังขอยืนยันคำเดิมว่าฉันไม่เคยนึกเกลียดหรือรังเกียจพี่ปราชญ์เลย ไม่เคยสักนิด...) น้ำเสียงนั้นช่างดูเศร้าสร้อยแต่คงไม่มีใครรู้

“หึ นายคงคิดในใจสินะว่าพวกนี้คบกันคงไปไม่รอด สักวันพี่ปราชญ์คงจะคิดได้ นายถึงมั่นใจอะไรแบบนี้”

“ชายเล็ก” กรณ์ขมวดคิ้วดุน้องทันทีที่พูดอะไรไม่รู้ความ

พอได้ยินอย่างนั้นคนปลายสายก็เค้นเสียง (อย่าเอาความคิดต่ำ ๆ ของนายมาบอกคนอื่นไปทั่วว่าคิดแบบนั้นสิ)

“นี่!”

(คนที่ควรจะถูกถามว่ารังเกียจไหม ฉันว่าน่าจะเป็นนายมากกว่านะ นายคิดหรือว่าคู่เขาจะไปไม่รอด หรือเพราะนายไม่เคยเห็นคู่รักเพศเดียวกันที่อยู่ด้วยกันจนแก่จนเฒ่า)

“จนแก่จนเฒ่าหรือ ฉันไม่ยักจะเห็นว่ามีที่ไหน”

(มีสิ... ถ้านายอยากรู้ว่ามีที่ไหนก็ลองไปถามท่านชายนนท์ดู ฉันว่าพ่อนายยังเข้าใจพี่ปราชญ์มากกว่าน้องชายแย่ ๆ อย่างนายซะอีก)

ชายธันกำโทรศัพท์แน่นเส้นเลือดปุดขึ้นตามขมับจนชายกรณ์ต้องลูบหลังน้อง

(หรือต่อให้ไม่มีคู่รักเพศเดียวกันที่เขาอยู่รอด แต่ใช่ว่าจะต้องไปดูถูกพวกเขาว่าไปไม่รอดฝั่งเลย นายมันก็แค่พวกอคติ ฉันบอกเลยนะว่าฉันน่ะรังเกียจคนที่มีความคิดแบบนายมากกว่าเสียอีก พี่ชายตัวเองแท้ ๆ แต่ไม่คิดจะทำความเข้าใจ ฉันเดาออกเลยว่านายหงุดหงิดมากแค่ไหนที่รู้ความจริง ตอนนี้คงโมโหอยู่ล่ะสิท่า โมโหเข้าไปนะ แล้วก็ไปส่องกระจกดูหน้าตัวเองซะ จะได้รู้ว่าเวลาพี่ปราชญ์เห็นหน้านายแบบนั้น เขารู้สึกแย่แค่ไหน)

“หุบปาก” ชายธันว่าเสียงนิ่ง

(ก็นึกดูเอาแล้วกัน คนในครอบครัวตัวเองที่ไม่เข้าใจและรังเกียจเขา ทั้ง ๆ ที่เขาก็แค่รักคนคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้ผิดอะไรเลย น้องชายที่เขารักที่สุดทำเหมือนไม่ชอบ ถ้านายบอกว่าให้เลิกกับผู้ชายคนนั้น นายคิดว่าพี่ปราชญ์จะเลือกอะไร... ถ้าไม่เลือกน้องชายของเขา นายน่ะทำพี่ปราชญ์เสียใจมาก็ตั้งมาก ฉันไม่เคยลืมหรอกนะว่าเมื่อก่อนนายทำอะไรไว้บ้าง ตอนนี้ไม่มีใครควบคุมนายเหมือนตอนที่ปราชญ์อยู่ สันดานก็ออกลายแล้ว)

“มึง!”

“ชายเล็ก! พี่ไม่เคยสอนให้พูดคำหยาบนะ!” ชายกรณ์ตะคอกก่อนจะแย่งโทรศัพท์มา “เข้าไปสงบสติในห้องซะ”

ชายธันตัวสั่นเทิ้มก่อนจะเดินเข้าห้องและปิดประตูเสียงดัง

คนพี่ที่มองได้แต่ถอนหายใจกับนิสัยที่ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ชายเล็กน่ะคงไม่ฟังใครนอกจากเด็จพ่อกับพี่ชายใหญ่ “เฮ้อ พี่ขอโทษแทนชายเล็กด้วยนะ”

(ไม่เป็นไรครับ ผมก็พูดแรงเหมือนกันแต่ก็อยากให้เขาคิดได้)

“ที่จริงพี่กับธันเดินหนีพี่ปราชญ์หลังจากรู้ความจริงน่ะ ตอนนี้พี่รู้สึกผิดมากเลย สองอาทิตย์แล้วที่ไม่ได้ไปคุยให้รู้เรื่อง”

(พี่กรณ์รีบไปหาพี่ปราชญ์เถอะครับ อย่างน้อยเขาก็แค่ต้องการให้น้องชายของเขาไปหาและเข้าใจเขาเท่านั้น)

“อืม ไว้พี่รอธันสงบลงก่อน ค่อยไปหาพี่ปราชญ์พร้อมกัน ขอบคุณต้นสนนะที่ไม่นึกรังเกียจพี่ปราชญ์”

(ไม่เป็นไรครับ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมารังเกียจ ยังไงผมก็ฝากดูแลพี่ปราชญ์ด้วยนะ บอกให้ด้วยว่าผมขอโทษที่ไม่ได้ตอบจดหมาย แค่นี้นะครับ)

“อ่าว ต้นสน.. ต้นสน” ชายกรณ์ผละหูโทรศัพท์ออกมาก่อนจะถอนหายใจ ยังไม่ทันได้ถามเลยว่าเพราะอะไรถึงไม่ตอบจดหมาย...

 

เกือบสามอาทิตย์แล้วที่ไม่มีวี่แววว่าน้องชายทั้งสองจะมาหา ปราชญ์นั่งรอที่หน้าบ้านทุกวันเผื่อจะเห็นรถสักคันมาจอดและเห็นว่าน้องทั้งสองลงจากรถคันนั้นมาหา ปราชญ์อยากจะไปหาน้องแต่ก็กลัวว่าจะทำให้น้องอึดอัด

“หิวหรือยัง” ภวัตเดินออกมาลูบผมคนรัก

“ยังครับ ภวัตล่ะ”

“ยังเหมือนกัน” พูดเสร็จก็นั่งลงตรงเก้าอี้ข้าง ๆ พร้อมกับจับมือคนข้างกายเอาไว้ “เดี๋ยวน้องก็มา”

ปราชญ์ยิ้มและพยักหน้า

รอจนหัวค่ำปราชญ์ไม่ได้ลุกไปไหนเลยจนภวัตต้องดุเล็กน้อยที่ไม่ทานอะไร เป็นอีกวันที่ไม่เห็นน้อง ปราชญ์จำต้องเข้านอนเพราะกลัวภวัตจะเป็นห่วง

พอรุ่งเช้าของอีกวันมาถึง ปราชญ์ยังไม่ตื่นเลยคงเพราะเมื่อคืนนอนไม่หลับ ภวัตที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วจูบหน้าผากคนรักแต่ก็ยังไม่อยากปลุก อยากให้นอนพักก่อน ส่วนภวัตก็จัดการงานที่ตัวเองเอามาทำด้วย

อีกสามวันก็ต้องกลับแล้ว หวังว่าน้องของปราชญ์จะมาหาก่อนที่จะกลับ

และดูเหมือนความหวังจะเป็นจริงเมื่อได้ยินเสียงออดหน้าบ้าน ภวัตรีบลุกออกไปดูทันทีก่อนจะยิ้มกว้างเมื่อพบใคร

“คุณชาย” ภวัตรีบเปิดประตูรั้ว “เชิญเลยครับ”

พอเข้ามาในบ้านได้ชายกรณ์ก็ยกมือไหว้ทันที “ผมต้องขอโทษนะครับที่วันนั้นเดินหนีแล้วกว่าจะมาหาก็หลายอาทิตย์เลย”

“ไม่เป็นไรครับ ถ้าอยากขอโทษ ขอโทษปราชญ์เถอะครับ เขานั่งรอพวกคุณที่หน้าบ้านตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา แต่วันนี้เขาตื่นสายหน่อยเพราะนอนไม่หลับอย่างเคย”

พอความจริงตอกหน้าน้องทั้งสองก็รู้สึกผิดเข้าไปอีกจนรู้สึกจุกจนพูดไม่ออก

“เชิญนั่งเลยครับ เดี๋ยวผมจะเรียกปราชญ์มาให้”

“ขอบคุณครับ” ชายกรณ์ยิ้มและนั่งลงโซฟากับชายเล็ก “บ้านสวยดีนะ”

“อืม” ชายเล็กตอบรับเพียงเท่านั้น มองกองเอกสารต่าง ๆ “เขาคงจะเป็นคนดีจริง ๆ”

“ใช่ไหมล่ะ พอลดอคติแล้วก็ไม่ได้แย่เลย” ชายกรณ์ยิ้ม

“แต่...”

“แต่?”

ใบหน้าชายเล็กเปลี่ยนทันที จากเรียบนิ่งเป็นจริงจัง “ถ้าเขาทำพี่ชายใหญ่เสียใจเมื่อไหร่ ผมไม่เอาเขาไว้แน่”

ชายกรณ์ถึงกับหัวเราะออกมา “ถ้าพี่ชายใหญ่ได้ยินคงจะดีใจมากแน่”

พอได้ยินอย่างนั้นชายธันก็คิ้วมุ่น “ไม่บอกให้ได้ยินหรอก”

ถึงจะพูดอย่างนั้นความอุ่นของแขนใครบางคนที่สวมกอดรอบคอเด็กหนุ่มทั้งสองจากด้านหลังทำให้ทั้งคู่ตกใจทันที

“พี่ชายใหญ่” ชายกรณ์เบิกตา

“มาหาพี่แล้วเหรอ” ปราชญ์ยิ้ม น้ำตาคลอเล็กน้อยขยับหัวซบกับชายเล็กและใช้มือลูบผมชายกรณ์ “พี่กลัวแทบแย่”

“ขอโทษนะครับที่เพิ่งจะมาหา” ชายกรณ์หันหน้าหาพี่

“ไม่เป็นไร แค่นี้พี่ก็ดีใจแล้ว”

ชายเล็กกัดปากช่างใจก่อนจะเอ่ยปากออกมาสักที “ขอโทษนะครับ”

ปราชญ์มองน้องแล้วหอมหัว “ไม่เป็นไร พี่ไม่โกรธหรอก”

หูของคนเล็กแดงเล็กน้อย ชายกรณ์เรียกให้ปราชญ์มานั่งตรงกลาง

“ตามสบายเลยนะครับ” ภวัตยิ้มแล้วเก็บเอกสารของตัวเองไปทำที่อื่น

“เขาเป็นคนที่ดีมากเลย” ชายกรณ์ชื่นชม

ปราชญ์ยิ้มอย่างสุขใจแต่ก็ยังกังวล จึงจับมือน้องทั้งสองไว้ “ถ้ายังรับไม่ได้กับเรื่องนี้ พี่ไม่บังคับหรอกนะ เรื่องนี้เข้าใจยาก พี่ไม่โกรธพวกเราเลย”

“ไม่ครับ ตลอดสามอาทิตย์ที่ผ่านมาพวกผมไตร่ตรองกันถี่ถ้วนแล้ว ที่จริงผมไม่ใช่รับไม่ได้หรอก ผมแค่ตกใจเพราะผมเพิ่งเคยพบจริง ๆ ที่ผมไม่กล้ามาหาเพราะรู้สึกผิดที่เดินหนีพี่ชายใหญ่ต่างหากล่ะครับ”

“โธ่” ปราชญ์ลูบหัวน้อง “พี่ไม่ได้โกรธจริง ๆ พี่แค่กลัวเท่านั้นและพี่ก็ดีใจที่พวกเรามาหาพี่”

“ส่วนหนึ่งต้องขอบคุณต้นสนด้วยนั่นแหละครับที่พูดให้”

ปราชญ์ตกใจ “ต้นสนหรือ”

“ครับ เด็กคนนี้โตขึ้นมากเลย ความคิดของเขาเหมือนไม่ใช่เด็กอายุสิบสามด้วยซ้ำ เขายังพูดให้ชายเล็กคิดได้ด้วยนะครับ”

“จริงเหรอ”

“ไม่ใช่” ชายเล็กปฏิเสธทันควัน

“หรือนายจะบอกว่าที่ต้นสนพูดมาทั้งหมดมันผิดล่ะชายเล็ก” พอจี้จุดเข้าชายเล็กก็อมพะงำ

“ต้นสนรู้แล้วหมดแล้วหรือ”

“ใช่ครับ ผมโทรไปถามเขาเรื่องนี้ คิดว่าที่ไม่ตอบจดหมายเพราะว่ารังเกียจพี่ชายใหญ่ แต่ต้นสนบอกว่าไม่ใช่เหตุผลนั้นครับ”

ปราชญ์ขมวดคิ้ว “ที่จริงพี่ส่งไปแค่ว่ามีคนรักแล้ว แต่ไม่ได้บอกว่าผู้หญิงหรือผู้ชายนะ”

“อ่าว” ชายกรณ์อ้าปากเหวอ “แปลว่าผมเผลอบอกต้นสนไปหมดแล้วเหรอเนี่ย”

“หมอนั่นไม่รู้จริง ๆ หรือ” ชายเล็กถามอีกครั้ง

“ใช่ พี่ไม่ได้บอกอะไรเลยนอกจากมีคนรักแล้วเท่านั้น”

ชายกรณ์อดตะลึงไม่ได้ “นั่นก็หมายความว่า ต้นสนที่เพิ่งจะรู้เรื่องแต่ก็ยังมีความคิดที่ไม่อคติแบบนี้ เขาถูกสอนมาดีมากเลยนะครับเนี่ย”

ปราชญ์ยิ้มอย่างภูมิใจ “เพราะเขามีครอบครัวที่พร้อมสอนเขาไปในทางที่ถูกที่ควรน่ะ”

ชายเล็กหันมองพี่ขายตนเองที่ยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อนึกถึงใคร ความหงุดหงิดฉายแววอยู่ในดวงตาแต่ไม่สามารถทำลายความสุขของพี่ได้ ยิ่งมารู้ว่าหมอนั่นรู้ความจริงทีหลังแต่ยังทำความเข้าใจได้ก็ยิ่งหงุดหงิด

หงุดหงิดที่นิสัยต่างกันขนาดนี้

ถ้าเทียบก็หมอนั่นแล้ว เขามันก็แค่เด็กไม่เอาไหน

“แล้วเหตุผลที่ต้นสนไม่ตอบจดหมายล่ะ คืออะไร”

ชายกรณ์ส่ายหน้า “ยังไม่ทันได้ถามน่ะสิครับ ต้นสนฝากมาขอโทษที่ไม่ตอบจดหมายแล้วก็วางสายไปเลย”

คนฟังถึงกับถอนหายใจ “รอกลับไทยแล้วค่อยถามแล้วกัน อยู่ที่นี่พี่คงไม่มีวันรู้เรื่องถ้าไม่ไปเจอต่อหน้า”

“ผมก็ว่าอย่างนั้น”

“ชายธัน”

“ครับ”

“เป็นอะไรหรือเปล่า” ปราชญ์หันมองน้องที่เอาแต่ก้มหน้า

“ไม่ได้เป็นอะไรครับ”

“แน่นะ”

ชายเล็กเม้มปาก “พี่ชายใหญ่คิดว่า ผมนิสัยแย่ไหม”

ชายกรณ์พอจะเข้าใจจึงอธิบายให้ฟังว่าต้นสนพูดอะไรไปบ้างก็ยิ่งทำให้ปราชญ์ตกใจ เขาหันหาน้องแล้วลูบใบหน้า “แล้วช่วงเวลาที่โตขึ้นนี้ ชายธันคิดว่าชายธันเปลี่ยนไปอย่างไรบ้างล่ะ”

“ผม...” น้องขมวดคิ้วแล้วส่ายหน้า “ผมไม่รู้”

ปราชญ์เกลี่ยแก้มน้อง “ชายธันไม่ใช่คนที่ไปชี้คนมั่วซั่วว่าใครต่ำกว่าแล้ว ชายธันไม่ใช่คนที่พูดจาดูถูกต่อหน้าคนนั้นแล้ว ชายธันปฏิเสธเพื่อนที่ชวนทำเรื่องไม่ดีและตั้งใจเรียน อ่านหนังสือ เล่นกีฬา ชายธันยอมรับฟังปัญหาอยู่บ้าง ถึงไม่มากแต่ก็ดีกว่าเมื่อก่อน ทั้งหมดนี้คือการพัฒนาของชายธัน และพี่คิดว่าชายธันเปลี่ยนไปเยอะเหมือนกัน”

เพียงคำพูดนี้ก็อุ่นซ่านไปทั้งกาย ชายธันเริ่มยิ้มขึ้นบ้างแต่ก็ยังหม่นหมองเพราะเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับต้นสนที่อายุเท่ากันแต่ความคิดและนิสัยต่างกันมากโข “ผมยังแย่อยู่เลย ผมพูดคำหยาบ ผมกักเก็บอารมณ์ไม่ได้”

“ถ้ารู้อย่างนั้นแล้วต้องทำอย่างไรครับ” ปราชญ์พูดเสียงนุ่มเพื่อไม่ให้น้องเหมือนถูกคาดคั้นมาก

“แก้ไขครับ”

“ใช่แล้วครับ” ปราชญ์ยิ้มตาหยี “พี่เชื่อว่าชายธันแก้นิสัยตัวเองได้ เมื่อรู้แล้วว่าตัวเองพัฒนามาได้ตลอด เพราะฉะนั้นพัฒนาต่อไปนะ ไม่ว่าชายธันจะพลาดสิ่งใดไปก็ต้องยอมรับผิดและแก้ไข ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพี่จะอยู่ข้างชายธันเสมอ”

“ครับ”

ชายกรณ์ที่เห็นชายเล็กตั้งใจฟังก็ได้แต่เศร้าใจ “ทีฉันพูดตั้งนานไม่เห็นเข้าใจเลย”

ปราชญ์อมยิ้ม “ชายธันต้องฟังพี่กรณ์ด้วยนะ ลองฟังความคิดคนอื่นบ้าง สำหรับพี่มันไม่มีความคิดที่ถูกต้องหรือความคิดที่ผิด มันมีแต่ความคิดที่ควรและไม่ควร ลองฟังจากหลาย ๆ มุมดู และลองบอกมุมของตัวเอง ถ้าเกิดว่ามันไม่ใช่ก็แค่ปรับ”

“ส่วนในเรื่องคำหยาบ... ไม่ได้ห้ามที่จะพูด ถ้าอยากพูดก็พูดกับเพื่อนที่สนิทเท่านั้น ถึงเราจะมีเชื้อเจ้าแต่เราก็แค่มนุษย์คนหนึ่งเหมือนกัน ทุกคนเท่าเทียมที่สมควรจะต้องถูกสอนเรื่องนี้ กับต้นสนเรายังไม่ได้สนิทกันมากขนาดนั้นในความคิดชายธันถูกไหม”

เมื่อเห็นน้องพยักหน้า ปราชญ์ก็พูดต่อ

“เพราะอย่างนั้นการเผลอพูดคำหยาบใส่ใครที่ไม่สนิทก็คือสิ่งที่ไม่ควร ไม่ว่าจะโกรธหรือโมโหแค่ไหนก็ตาม หรือต่อให้สนิทกันก็ไม่จำเป็นต้องหยาบเสมอไปก็ได้ ถ้าเขายินดีที่จะพูดเหมือนกันและไม่ซีเรียส นั่นคือเราพูดได้ ถ้าให้เข้าใจง่าย ๆ ลองคิดกลับกันว่าถ้าชายธันพูดอย่างใจเย็นมาตลอดและอธิบายให้ฟังแต่กลับถูกตอกหน้าด้วยอารมณ์ที่รุนแรงกว่า ชายธันก็รู้สึกแย่ใช่ไหมล่ะ นั่นแหละ เราไม่ควรที่จะทำอย่างนั้น”

ชายธันพยักหน้าและคิดตามตลอด อารมณ์หงุดหงิดก็เริ่มคลายกลายเป็นความอิจฉาแทน อิจฉาที่ต้นสนคิดเองเป็น และอยากจะคิดได้แบบหมอนั่นบ้าง

“ผมเข้าใจแล้วครับ” ชายธันจุดยิ้ม

“ดีแล้ว เก่งมากครับ” ปราชญ์ชมน้อง ถึงจะเป็นคำพูดสั้น ๆ แต่ก็ควรจะชื่นชมบ้างให้เขาได้มีกำลังใจ และควรจะชื่นชมจากใจจริง

“งั้นเราไปทานข้าวกันไหมครับ”

“เอาสิ เดี๋ยวพี่คุยกับภวัตก่อนนะ”

“ครับ” ชายกรณ์ยิ้มพอพี่คนโตลุกไปก็ตบบ้าน้องชาย “ดีขึ้นไหม”

“ครับ” ชายธันพยักหน้าก่อนจะหันมองพี่ “ถ้าผมจบไฮสคูลผมขอกลับไทยเลยได้ไหมครับ”

“หื้อ? ทำไมล่ะ”

“ผมอยากไปเรียนโรงเรียนนายร้อยตำรวจที่เด็จพ่อเคยเรียน”

“เรียนที่นี่ก็ได้หนิ หลักสูตรดีกว่าเยอะเลย”

ชายธันส่ายหน้า “ผมอยากไปที่นั่น”

 

 

“อยากลองเป็นเพื่อนกับต้นสนดู”





จบบทที่ ๕

-----------------------------------------------------------------------------

ทุกคนคะ.... ถ้าใครเข้าใจผิดเรื่องพี่ปราชญ์
อยากจะบอกว่า พี่ปราชญ์เป็นนายเอก(รับ) น้าาาา
555555555555555555555555555555555555555555555
จริงๆก็วางว่าพี่เขาได้ทั้งสองนะ แต่ถ้าคู่กับต้นสนเป็นรับ...

ออฟไลน์ wutwit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๕
«ตอบ #19 เมื่อ01-06-2020 18:22:24 »

แอบจับคู่ต้นสนกับชายธัน ขอคู่นี้แทนนะครับ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๕
« ตอบ #19 เมื่อ: 01-06-2020 18:22:24 »





ออฟไลน์ piakunaa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๕
«ตอบ #20 เมื่อ01-06-2020 20:39:29 »

ชั้นร้องไห้ๆๆๆๆๆๆ​ สะอึกสะอื้นจนแม่ถามว่าเป็นอะไร​ ชั้นสงสารต้นสนนนนนนน​ กอดปลอบต้นสนอีกแล้ววววว​ ฮือออออออ​ พี่ปราชญ์​อย่ามาเสียใจทีหลังนะคะ​ ไปค่ะชายธัน ดับเครื่องชนแล้วพุ่งเป้าไปหาต้นสนดีกว่าค่ะ​ เอาให้ใครบางคนกระอักเลือดไปเลยยยยย​ (กำหมัดดดด)​ รู้สึกว่าพี่ปราชญ์​เริ่มเขวแล้วนะคะ​ และที่สำคัญ​ พี่ปราชญ์​เป็นคนบอกต้นสนให้รอเองนะ​ แต่ตัวเองกลับมีแฟนเองซะนี่  (ถึงรอในคนละความหมายก็เถอะ)​ ขอดราม่าจุกๆค่ะ​ เอาให้พี่ปราชญ์​กระอักเลือดไปเลย​ ชั้นจะกอดปลอดต้นสนทุกเมื่อเองง  555​ หันหัวเรือไปที่​ #ต้นสนชายธัน​ เหน็บพี่ปราชญ์ค่ะ​ หมั่นไส้ล้วนๆ​ 555
มอบเพลงนี้ให้ต้นสนค่ะ​ : ผู้ชมที่ดี​
เป็น​กำลัง​ใจ​ให้​นักเขียน​นะคะ​ ​สู้​ๆ​นะคะ​นักเขียน​
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-06-2020 02:38:47 โดย piakunaa »

ออฟไลน์ Pppkn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๕
«ตอบ #21 เมื่อ08-06-2020 21:31:30 »

อ่านรวดเดียว ตามทันแล้ว สงสารต้นสนจัง อยากให้ต้นสนโตเร็วๆ  :m15:
พี่ปราชญ์ไม่สงสารต้นสนเลยหรอ  :z6:

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
อยากขอให้คุณนักอ่านทุกท่านเปิดเพลง อาลัยรักของคุณชรินทร์ เพื่อความอินค่ะ



บทที่ ๖

อาลัยรัก


 

สิงห์บุรี, ประเทศไทย

เสียงคนงานมากมายดังอยู่ไม่ขาดสาย ไร่อัครเดช ยังคงอุดมสมบูรณ์ไม่เปลี่ยนแปลง สายลมเย็น ๆ พัดผ่านทำให้อากาศไม่ร้อนมากนัก แต่สิ่งที่ทำให้คนงานและเจ้าของไร่ต้องคอยหันมองบ้านเรือนไทยหลังใหญ่อยู่ตลอดเพราะแผ่นเสียงที่เปิดดังอยู่เพลงเดิม ๆ มานานแล้ว

แม้ว่าเจ้าของไร่อย่าง สิงห์ ที่เป็นลุงของต้นสนจะเข้าไปถามไถ่ว่าหลานเป็นอะไร แต่หลานก็แค่บอกว่าชอบเพลงนี้เฉย ๆ สิงห์เลยไม่อยากคาดคั้นหลาน

ส่วนต้นสนที่วันนี้เป็นวันหยุดก็เปิดเพลง อาลัยรัก ดังทั้งวัน เด็กหนุ่มถอนหายใจเอนหลังพิงเสาชันเข่าข้างหนึ่งวางแขนไว้และมองเหม่อไปบนท้องฟ้า


ฉันรักเธอ... รักเธอ... ด้วยความไหวหวั่น

ว่า... สักวัน... ฉันคง.. ถูกทอดทิ้ง



“แล้วก็อย่าลืมพี่นะ”


มินานเท่าไร

แล้วเธอก็ไป

จากฉันจริงจริง

 

‘ต้นสน พี่มีคนรักแล้ว ดีใจกับพี่ไหม’


เธอ... ทอดทิ้ง

ให้อาลัย... อยู่กับความรัก



‘พี่คบกันมาได้สองปีแล้วแต่เพิ่งจะบอกต้นสนเอง ขอโทษนะที่เพิ่งจะบอก ถ้าเป็นไปได้ก็อยากพามาให้ต้นสนรู้จัก’


แม้มีปีกโผบิน ได้เหมือนนก

อก... จะต้อง... ธนู

เจ็บปวดนัก



‘คนคนนี้เป็นคนแรกที่พี่คิดจะมีความรักเลยนะ’


ฉันจะบิน... มาตาย... ตรงหน้าตัก

ให้ยอดรัก... เช็ดเลือด... และน้ำตา



‘ก็ที่พี่ปราชญ์มีคนรักเป็นผู้ชาย ต้นสนไม่รังเกียจหรือ’


ไม่เลย ไม่คิดอย่างนั้นเลยด้วยซ้ำ เพราะได้แต่คิดว่าทำไมผู้ชายคนนั้นถึงไม่เป็นเขา หรือเพราะเขาเป็นเหมือนน้องคนหนึ่ง

ต้นสนก็พอจะรู้สถานะตัวเองว่าเป็นเพียงน้องชาย แต่พี่ปราชญ์ไม่เคยรู้เลย ว่าความรู้สึกของเด็กคนนี้มันเพิ่มขึ้นมาตลอด ต้นสนยังเด็กต้นสนรู้ ต้นสนยังไม่เข้าใจความรักต้นสนรู้

แต่ต้นสนตกหลุมรักพี่ปราชญ์ ต้นสนห้ามไม่ได้

เขาก็แค่เด็กที่เผลอมีความสุขที่ได้อ่านเรื่องราวของคนที่ตัวเองชอบ เผลอใจเต้นเวลาที่ถูกบอกว่าคิดถึงและบอกรัก รู้ทั้งรู้ว่าพี่ปราชญ์บอกในฐานะพี่ชาย

ต้นสนก็คิดมาตลอดว่าติดพี่ปราชญ์จนเกินไป แต่พอมีจดหมายส่งถึงเรื่องคนรัก ใจของต้นสนก็เจ็บเหมือนถูกบีบรัด ต้นสนร้องไห้ตอนที่อ่านจดหมายนั้น ต้นสนเสียใจแทนที่จะยินดี ก็เพราะต้นสนคิดเกินเลยกับพี่ชายคนนี้

หาเหตุผลมากมายมาตั้งคำถามว่าทำไมถึงหลงรัก เพราะเล่นด้วยกันมากไปหรืออย่างไร ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาคงชอบพี่กรณ์ไปแล้ว และคงชอบใครหลาย ๆ คนที่มาเล่นด้วยกันหรืออยู่ด้วยกัน

ต้นสนไม่รู้หรอกว่าตัวเองชอบพี่ปราชญ์เมื่อไร ต้นสนมองพี่ปราชญ์เหมือนครอบครัวหนึ่งมาตลอด

ในช่วงเวลาที่เขียนจดหมายถึงกัน ต้นสนอาจจะเขียนอะไรแปลก ๆ ไป เพราะความเด็กอยู่ ตอนนี้โตขึ้นมานิดก็เริ่มคิดได้ว่าจดหมายบางส่วนเขาเผลอเขียนตามที่คิดจริง ๆ อย่างจดหมายที่จะจูบพี่ปราชญ์ในงานวันเกิด เพราะตอนที่มองลุงสิงห์กับลุงไฟก็อยากจะมีคนรักที่ดีเหมือนพวกท่าน และคนรักที่ต้นสนเผลอนึกภาพได้ดันเป็นภาพพี่ปราชญ์เสียได้

พี่แก้ว ที่คอยช่วยแก้คำให้ก็รับรู้มาตลอดและคอยอธิบายในเรื่องความรัก พี่แก้วบอกเสมอว่าไม่ว่าจะอายุเท่าใดทุกคนล้วนมีความรักได้ทั้งนั้น บางคนโตไปอาจจะคิดได้ว่าแค่ปลื้ม หรือไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว แต่ในช่วงที่รู้สึกในวัยเด็กนี้มันยังคงอยู่ พี่แก้วไม่เคยห้ามหรือหาเหตุผลอย่างที่ต้นสนหาว่าทำไมถึงรักพี่ปราชญ์ พี่แก้วไม่เคยบอกว่าต้นสนเด็กเกินไปที่จะรู้สึก พี่แก้วแค่บอกว่าถ้ารักก็ยอมรับเสีย ไม่รู้ว่าโตไปจะเป็นยังไงในเมื่อในช่วงเวลานี้เรารักคนคนนั้นมันก็คือรัก

เพราะอย่างนั้นต้นสนจึงเข้าใจและมานั่งทุกข์อยู่ตรงนี้ทุกวัน ยิ่งรู้ว่าคนที่พี่ปราชญ์คบเป็นผู้ชาย... ก็นึกอิจฉาผู้ชายคนนั้น ที่จริงแล้วต้นสนไม่เคยคิดเลยว่าพี่ปราชญ์จะชอบเพศเดียวกัน ตอนที่ไม่รู้ต้นสนนึกภาพว่ามีงานแต่งและลูกของพี่ปราชญ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่พอมารู้ว่าไม่ใช่ผู้หญิงมันก็ไม่ต่างกันหรอก ต่อให้แต่งงานหรือมีลูกไม่ได้ ถ้าพวกเขาตั้งใจจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมันก็คงได้ เหมือนที่ลุงสิงห์และลุงไฟอยู่ด้วยกันในตอนนี้

ท่านชายนนท์ก็รู้ความสัมพันธ์ของลุงสิงห์และลุงไฟ รวมถึงยอมรับ ไม่ดูถูก ไม่อคติ ท่านชายนนท์คงจะปกป้องพี่ปราชญ์และพร้อมสนับสนุนเป็นแน่หากพี่ปราชญ์เปิดตัวคนรัก

ต้นสนเหมือนคนนอก เหมือนเด็กที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวกับเขา รู้ตัวอีกทีอาจจะไปงานแต่งลับ ๆ ของทั้งสองคนที่มีเพียงครอบครัวเข้าร่วมก็ได้

“ไม่เปิดเพลงอื่นบ้างวะ” เสียงทุ้มต่ำของใครบางคนขัดบรรยากาศหม่นหมอง แปรเปลี่ยนเป็นความหงุดหงิดทันที

“ก็ต้นสนชอบเพลงนี้”

“แผ่นเสียงมีตั้งเยอะแยะ เอาแต่เพลงเดิม ทำตัวเหมือนคนอกหักไปได้” ลุงไฟ ส่ายหน้าแล้วเลือกแผ่นเสียง

“ถ้าต้นสนอกหักแล้วมันทำไมล่ะ” ต้นสนคิ้วมุ่นแล้วเปลี่ยนมานั่งกอดเข่า คนเป็นลุงหันไปมองพร้อมเลิกคิ้ว หนวดสีเข้มขยับตามปากที่เบะเล็กน้อย

“มีคนที่ชอบแล้วเหรอเอ็งน่ะ”

“ไม่บอก”

“ฮึ ไม่บอกแปลว่าใช่”

ต้นสนจิ๊ปากใส่ผู้เป็นลุง พอแผ่นเสียงเริ่มเล่นเพลงที่ดูสนุกสนานลุงไฟก็เอื้อนร้องจนน่าหนวกหูแล้วมานั่งลงข้าง ๆ

“ไหนบอกข้ามาสิว่าเอ็งชอบใคร”

ต้นสนหันหน้าหนี “ทำไมต้องบอก”

“เอ้า ก็จะได้ให้คำปรึกษาถูกไง”

“ต้นสนไปขอลุงไฟตอนไหน” ต้นสนหันถาม

“เอ๊ะไอนี่ คนอุตส่าห์จะช่วย” ลุงไฟถอนหายใจแล้วใช้ผ้าขาวม้าพัดหน้าให้มันเย็นขึ้น “ถ้าอย่างนั้นก็เล่าให้ฟังคร่าว ๆ ก็ได้มา ทำไมถึงอกหักได้ ข้าจะบอกให้ว่าข้าเนี่ยนะเก่งเรื่องความรักมาก ให้คำปรึกษามาหมดแล้วตั้งแต่หม่อมเจ้า ยันสัปเหร่อ”

ต้นสนทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ “ขี้โม้”

“ไม่เชื่อไปถามลุงเอ็งสิวะ”

“ถ้าเป็นลุงสิงห์ยังน่าเชื่อถือกว่าอีก”

“แล้วทำไมถึงไม่บอกลุงเอ็งล่ะ ถ้าน่าเชื่อถือทำไมไม่ขอคำปรึกษา ฮึ?”

ต้นสนเงียบไปทันตา จะให้บอกยังไงล่ะ ถ้ารู้ว่าชอบพี่ปราชญ์ที่เป็นถึงลูกเชื้อเจ้าไม่พอยังเป็นลูกของเพื่อนสนิทอีก ลุงสิงห์ไม่ผิดหวังในตัวต้นสนเอาหรือ

“เงียบ” ลุงไฟส่ายหน้า “เผลอไปชอบคนที่ไม่สมควรชอบงั้นหรือ”

“ไม่ใช่” ต้นสนรีบปฏิเสธหัวใจเต้นระรัว

ไฟเหล่มองหลานที่พิรุธออกทันตา “ข้าจะบอกให้นะ ว่าข้าก็เคยชอบคนที่พวกคนภายนอกมักพูดว่าไม่สมควรชอบ ลุงสิงห์ของเอ็งก็เคย”

ต้นสนให้ความสนใจทันทีและถามอย่างนึกสงสัย “เคยชอบหรือ แต่ก่อนลุงสิงห์กับลุงไฟเป็นเพื่อนกันไม่ได้ชอบกันแต่แรกหรือไง ชอบคนอื่นมาก่อนด้วยเหรอ”

“เปล่า ก็ต่างชอบกันเองเนี่ยแหละ”

“อ่าว”

“เรื่องนี้ไม่ได้เล่าในหนังสือเกี่ยวกับสิงห์ และไม่ได้เปิดเผยให้ใครรู้ คนที่รู้มีแต่พ่อแม่เอ็ง ตาสมานกับยายพิมพ์อร แล้วก็พวกแก้ว กล้า กฤษ หนูอิ่ม รวมถึงท่านชายนนท์ที่รู้ มีอยู่แค่นี้แหละ ลุงเอ็งก็ยังไม่เคยเล่าให้ฟังใช่ไหมล่ะเรื่องราวในอดีตน่ะ”

ต้นสนส่ายหน้า รู้แค่ว่าสองคนนี้เป็นเพื่อนกันและชอบกันมาตั้งแต่เด็ก ส่วนในหนังสือเกี่ยวกับลุงสิงห์ต้นสนก็เห็นเพียงว่าลุงสิงห์ช่วยเหลือคนภาคกลางมาตลอดแม้จะถูกดูแคลนว่าเป็นลูกของโจร

“เมื่อก่อนนะ ข้าคือลูกของตำรวจ ส่วนสิงห์คือลูกของโจรที่มีอำนาจมากในสิงห์บุรีและพ่อของข้าตามจับอยู่ แต่ข้าดันไปชอบลุงเอ็ง รู้ไหมว่าเราต้องปิดกันมานานเท่าใดจนกว่าสิงห์จะกลายเป็นตำรวจที่ดีเพื่อให้พ่อข้ายอมรับ แต่ถึงอย่างนั้นก็โดนด่าโดนว่า แล้วยังเกือบตัดพ่อตัดลูกกับข้าด้วยนะ แล้วพ่อข้าก็ทำสิ่งที่ไม่น่าให้อภัย คือให้สิงห์ไปเป็นสายให้โดยไม่บอกข้าสักคำ ให้สิงห์ฆ่าเพื่อนตัวเอง เพราะความเห็นแก่ตัวและเพราะคิดว่าถ้าสิงห์รักข้าจริง ก็ต้องทำ”

“โห” ต้นสนหน้าเสีย “โหดร้ายกว่าที่ในหนังสือลงอีก”

“ก็นั่นน่ะสิ ลุงของเอ็งยังไม่มั่นใจเลยว่าลูกตำรวจกับลูกโจรจะคบกันได้ไหม หนักไปอีกก็ตรงที่เป็นผู้ชายทั้งคู่”

“แต่สุดท้ายก็ผ่านมาได้ใช่ไหม”

“ใช่ สูญเสียอะไรไปเยอะเหมือนกัน จนถึงตอนนี้ลุงของเอ็งยังรู้สึกผิดต่อข้าอยู่เลย”

“ลุงไฟยังดีที่ลุงสิงห์คิดเหมือนกัน” ต้นสนถอนหายใจแล้วก้มเอาคางเกยเข่า

“จะว่าดีมันก็ดีล่ะนะ แต่กว่าจะผ่านอะไรกันมาได้ก็เกือบจะฆ่ากันตายมาก่อนเพราะข้าไม่รู้ว่าสิงห์อยู่ในทีมลับด้วย” ลุงไฟถอนหายใจ “แต่ที่เล่าให้ฟังไม่ใช่จะบอกว่าสมัยข้าลำบากกว่านะ ทุกสมัยทุกวัยมันก็ลำบากเหมือนกันทั้งนั้น และตอนนี้เอ็งก็กำลังเจอปัญหานั้น ข้าแค่จะบอกว่า ไม่มีความรักไหนไม่เหมาะสม หากรู้ว่าเขาก็รักและชอบเราเหมือนกัน เอ็งก็สู้เลย อย่าได้เสียโอกาสเพราะแค่ว่าไม่มีทางเป็นไปได้”

“แต่เขาไม่ได้ชอบต้นสน เขาคิดกับต้นสนแค่พี่น้อง”

ไฟเลิกคิ้วเมื่อหลานเริ่มปล่อยไก่ “มันก็น่าเสียดายนะ แล้วคนนั้นรู้ไหมว่าเอ็งชอบ”

“ไม่เลย ต้นสนไม่ได้บอก แต่ต้นสนก็เผลอเขียนจดหมายไปในเชิงทางนั้น เคยบอกว่าถ้ามีสาวมาจีบก็ไม่ต้องห่วง ต้นสนมีพี่คนนั้นคนเดียว หรือตอนเล่าวันเกิดลุงสิงห์ ลุงไฟไปจูบลุงสิงห์ ต้นสนก็มองภาพพวกลุงเป็นภาพต้นสนกับพี่เขา แต่ต้นสนบอกนะว่าไม่จูบเพราะไม่อยากหน้าหนาเหมือนลุงไฟ”

ไฟถึงกับหน้าคล้ำ เกือบแล้ว เกือบตบหัวไอหลานคนนี้แล้วถ้าไม่ติดว่าหลานมันมีเรื่องทุกข์ใจอยู่ “ถ้าคนนั้นคิดกับเอ็งแค่น้องจริง ๆ คงไม่คิดมากอะไรกับจดหมายนั้นหรอก นอกจากคิดว่าเอ็งติดเขามากไป”

ต้นสนพยักหน้าอย่างเหม่อลอย “ใช่ เขาคงคิดอย่างนั้นอยู่แน่เลย ต้นสนไม่มีทางได้ยืนข้างเขาแล้ว”

“แล้วคิดไหมว่าจะทำอะไรต่อ ถ้าเกิดเจอคนนั้น”

“ต้นสนไม่รู้ ต้นสนไม่กล้าไปพบหน้า เพราะต้นสนไม่ตอบจดหมายเขาเลย ต้นสนทำตัวห่างออกมาเอง”

“แล้วเพราะอะไรถึงทำแบบนั้นล่ะ”

ต้นสนเม้มปาก “เพราะเขามีคนรักแล้ว”

ไฟตกใจเล็กน้อยก่อนจะยกมือลูบหลังของหลานที่เริ่มน้ำตาคลอ ต่อให้เพลงที่ตนเปิดจะฟังสนุกสนานเพียงใดมันก็ต่างจากความรู้สึกภายในเด็กคนนี้ที่ไม่มีอารมณ์ร่วม “ถ้าเป็นอย่างนี้ ข้าคงแนะนำอะไรไม่ได้ นอกจากให้เอ็งยินดีกับเขา หรือถ้าเอ็งยังไม่อยากพบหน้าก็คุยกับเขาให้รู้เรื่อง โกหกไปก็ได้นะดีกว่าบอกไปให้เขาอึดอัด รอตัวเองพร้อมที่จะคุยพร้อมที่จะหัวเราะโดยไม่มีความรู้สึกนั้นเข้ามาแล้วค่อยไปคุยก็ได้”

“แต่ต้นสนไม่รู้ว่าจะทำได้เมื่อไร”

“ถ้าอย่างนั้นคุยกันเสร็จก็อยู่ให้ห่างไปเลย ใช้ชีวิตของตัวเองโดยไม่ต้องไปนึกถึง”

“ขนาดห่างกันขนาดนี้ต้นสนยังทำไม่ได้เลยลุง”

“ของแบบนี้มันต้องใช้เวลาสิวะ ตอนนี้เอ็งก็คิดกับตัวเองได้แล้วว่าต่อไปนี้จะทำอะไรต่อ ไม่ใช่มัวมานั่งฟังเพลงเศร้า ๆ อย่างนี้ ออกไปหาอะไรทำให้ใจมันสงบลงบ้าง”

ต้นสนพยักหน้าอย่างว่าง่ายแม้ดวงตาแดงก่ำ “ต้นสนจะช่วยที่ไร่ ถ้าทำการบ้านเสร็จแล้ว”

“เออ ก็แค่นั้น อย่าทำให้ผู้ใหญ่เขาเป็นห่วงมาก หลานทั้งคนเป็นอะไรขึ้นมาลุงเอ็งจะเสียใจได้”

“ครับ” ต้นสนเบะปากจะร้องไห้อีกรอบเมื่อพูดถึงลุงตนเอง สิ่งหนึ่งที่ต้นสนไม่อยากให้เกิดขึ้นเลยก็คือทำให้ลุงสิงห์ร้องไห้ เพราะเคยถูกแทงตอนมีโจรปล้นในตลาดแล้วต้นสนอยู่ในเหตุการณ์พอดีจำได้ว่าลุงสิงห์ร้องไห้เหมือนจะขาดใจเลย

“ไป ๆ ถ้าอย่างนั้นก็ไปหาพี่แก้วที่ไร่เสีย จะได้ไม่ต้องนั่งทุกข์อยู่แบบนี้”

ต้นสนพยักหน้าแล้วเช็ดน้ำตาพร้อมกับลงเรือนไปอย่างว่าง่าย

ไฟถอนหายใจอย่างนึกสงสารหลานแล้วไปเอาแผ่นเสียงออก “ได้ยินแล้วใช่ไหม” เอ่ยถามใครบางคนที่แอบฟังมาโดยตลอด

สิงห์เดินออกมาจากห้องหนึ่ง ดวงตาแดงน้อย ๆ เพราะเห็นหลานร้องไห้เลยอดร้องตามไม่ได้ “ทำไงดี”

“เราก็ทำได้แค่คอยอยู่ข้าง ๆ นั่นแหละ พาออกไปชมนกชมไม้ให้เด็กมันเลิกนึกถึง”

“แล้วถ้ากลับพระนคร ต้นสนจะเป็นยังไงล่ะทีนี้”

“นั่นสิ แต่กว่าจะได้กลับคงโตแล้ว น่าจะคิดอะไรได้เองบ้าง”

สิงห์ถอนหายใจ “ไม่สมควรชอบจริง ๆ ถึงจะเคยเกลียดคำนี้ แต่คราวนี้มันต่างกัน เชื้อเจ้าไม่ใช่ที่จะยอมรับได้ง่ายเพราะด้วยมีหน้าตาในสังคม ถึงนนท์จะรับได้ แต่ว่าหม่อมสร้อยกับคุณแหวนจะรับได้หรือ”

“แต่ต้นสนบอกว่าปราชญ์มีคนรักแล้วไม่ใช่หรือ สิงห์ก็ได้ยิน”

“สิงห์ได้ยินที่ต้นสนคุยกับชายกรณ์เมื่อไม่นานมานี้เองว่าปราชญ์มีคนรักเป็นผู้ชาย”

“งั้นหรือ ไม่น่าเชื่อเลย”

“สิงห์ก็ห่วงปราชญ์เหมือนกันเพราะก็เห็นมาตั้งแต่เด็ก ก็ขอให้เด็กคนนั้นผ่านพ้นไปด้วยดีนะ และหวังว่าจะไม่ถือโทษโกรธน้อง ถ้าเกิดต้นสนทำตัวห่างเหินอย่างนี้”

“ก็คงอยู่ที่ทั้งคู่แล้วว่าจะตัดสินยังไงในเรื่องนี้”

“สิงห์ก็ภาวนาไม่ให้เกิดเรื่องอะไรต่อกันก็พอ”

ไฟพยักหน้าตามแล้วโอบไหล่คนรักไว้ ลูบบ่าเบา ๆ ให้คลายกังวล


*มีต่อ

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
*ต่อจากด้านบน



ปี ๒๕๑๑

โรงเรียนนายร้อยตำรวจ, นครปฐม

เสียงหัวเราะดังอยู่ทั่วห้องพัก ต้นสนในวัยสิบเก้าปีนั่งจับกลุ่มกับเพื่อน ๆ พร้อมกับหัวเราะเมื่อเพื่อน ๆ เล่าเรื่องตลก แต่พอสายตาผันไปมองใครบางคนที่นั่งอยู่ในห้องเช่นกัน แต่กลับไม่มีใครไปคุยด้วยเพราะใบหน้าไม่รับแขก ต้นสนไม่คิดจะสนใจและนั่งฟังเพื่อนในกลุ่มต่อ

“แต่เอาจริงกูตกใจฉิบหายตอนรู้นามสกุลมึง” เพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งเอ่ยบอกต้นสน

“ทำไมวะ”

“มึงมีนามสกุลอัครเดช เป็นลูกของท่านรองสหัสหรือวะ”

“เป็นหลานน่ะ” พอได้ยินอย่างนั้นเพื่อนทุกคนก็ร้องอย่างตื่นเต้น

“มึงแม่งเป็นหลานของวีรบุรุษเลยว่ะ แม่งเท่ กูโคตรชอบลุงมึงเลย ฝากไปบอกให้กูด้วยนะเว้ยว่ากูเนี่ยนับถือเขา อยากเป็นตำรวจเพราะเขาเลย” โทนเอ่ยบอกตามด้วยไอเหนือกับไอศศิที่ตามมา

“เออ ๆ บอกให้กูด้วย”

“กูด้วย ๆ”

พอได้ยินอย่างนั้นต้นสนก็อดชื่นชมลุงตัวเองไม่ได้ “พวกมึงก็บอกเองสิวะ”

“ได้ไงล่ะ พวกกูจะได้เจอหน้าหรือเปล่าเถอะ” เหนือว่า

“ได้เจอแน่ วันรับกระบี่สั้นพวกมึงเตรียมตัวรอได้เลย”

“จริงหรือวะ” เพื่อนทั้งสามดูตื่นเต้นกันมาก

“เออ ก็ลุงบอกกูเองว่าจะมา”

“แล้วเพื่อนเขามาไหม จริง ๆ กูชอบผู้การไฟว่ะ เขาแม่งโหดแต่เท่” ศศิว่า

“โหดตรงไหน ขี้บ่นจะตาย ก็เหมือนตาลุงแก่ ๆ ทั่วไปนี่แหละ”

“เหรอวะ แล้วมึงรู้ได้ไงอะ”

ต้นสนถึงกับใจหายเกือบจะโพล่งไปแล้วว่าลุงไฟเป็นคนรักลุงสิงห์แต่ก็ห้ามตัวเองได้ “พวกมึงก็รู้ใช่ไหมล่ะ ว่าลุงกูมีเพื่อนสนิทสี่คน คนหนึ่งเสียไปแล้ว อีกคนอยู่พระนคร ตอนนี้ลุงไฟกับลุงสิงห์อยู่จังหวัดเดียวกัน ไม่แปลกที่กูจะเจอเขาเวลามากินเหล้ากับลุงสิงห์”

“อ่อ” ศศิพยักหน้า ต้นสนได้แต่ขอโทษเพื่อนในใจที่โกหกคำโต

“ดีว่ะ ได้รู้จักกับคนเก่ง ๆ” เหนือนึกอิจฉา

“แต่ที่นี่ก็มีลูกของเพื่อนลุงมึงไม่ใช่หรือ ไม่เห็นคุยกันเลย” พอโทนถามขึ้นทุกคนก็หันไปมองลูกชายของท่านชายนนท์ทันทีที่ตอนนี้กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียว

ต้นสนถอนหายใจ “ถึงจะรู้จักลุงนนท์แต่ใช่ว่าจะสนิทกับลูกเขาเสียหน่อย”

“อ่าวหรือวะ” โทนเกาหัว

“แต่ก็ไม่แปลกนะเว้ย ก็มันแทบไม่คุยกับใครเลย ถามคำตอบคำ ตอนกูทักนะเพราะเห็นนามสกุลเหมือนท่านชายนนท์ มันก็ทำหน้าเหมือนไม่อยากคุยกับกู ใครจะไปอยากเป็นเพื่อนด้วยวะ” เหนือบ่นเพราะตอนเข้าเรียนมาและรู้ชื่อของเพื่อนในห้องก็เลยได้ไปถามธันที่เป็นลูกชายหนึ่งในสี่วีรบุรุษ แต่กลับได้รับเพียงใบหน้าที่ดูหงุดหงิด

“เออว่ะ หรือเพราะคิดว่าเป็นคุณชายเลยจะทำอะไรยังไงก็ได้” โทนว่าต่อ

“พวกมึงก็ว่าเกินไป” ศศิรีบเอาน้ำลูบ

“ก็จริงนี่หว่า”

ต้นสนไม่ได้ออกความเห็นใดใด หันมองทางเตียงนอนอีกฝั่ง เห็นว่ามีเพื่อนบางคนคุยกับธันแล้วธันก็พยักหน้าธรรมดา ใบหน้านั้นน่ะมันเป็นมานานแล้วต้นสนรู้ดี ถึงจะตกใจก็เถอะที่เจ้านั่นกลับมาเรียนที่ไทย แต่พอจำได้ว่าธันก็อยากเป็นตำรวจเหมือนกันเลยเข้าใจได้

“เดี๋ยวกูไปอาบน้ำก่อนละกัน เหนียวตัว” โทนบอกเสร็จเหนือก็ตามไปด้วย แต่ต้นสนอาบเสร็จนานแล้วจึงเปลี่ยนไปนั่งพิงเตียงตัวเอง

“ต้นสน”

“หื้อ” หันมองเพื่อนข้างกายอีกคนที่อาบน้ำมาด้วยกันแล้วจึงนั่งอยู่เตียงข้าง ๆ

“มึงไม่คิดจะไปคุยกับไอธันหน่อยเหรอ” ศศิถามพร้อมกับมองไปทางธันที่ยังคงนั่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียว ต่างจากคนอื่นที่จับกลุ่มคุยกันหมด

“แล้วทำไมกูต้องไปคุยล่ะ”

“กูแค่คิดว่า ไอโทนกับไอเหนือมันพูดเกินไป น่าจะรู้จักก่อนถึงจะรู้นิสัยไม่ใช่เหรอ”

ต้นสนถอนหายใจ “พวกมันก็ไม่ได้พูดเกินจริงหรอก กูน่ะเคยโดนมาหนักกว่านี้อีก”

ศศิเลิกคิ้ว “จริงหรือวะ”

“เออ ตอนเด็กนะ มันดูถูกกูว่าเป็นลูกคนใช้ แม่งห้ามพี่มันไม่ให้เล่นกับกู”

พอได้ยินอย่างนั้นศศิก็ขมวดคิ้ว “ไหนมึงว่าไม่รู้จัก”

“ก็รู้จักแหละ กูสนิทกับลูกชายลุงนนท์คนอื่น ๆ ยกเว้นมัน”

“แต่นั่นมันตอนเด็ก บางทีธันมันอาจจะเปลี่ยนไปแล้วก็ได้นะ”

“แล้วมึงไม่ไปคุยเองล่ะ”

ศศิหันมอง “กูว่าจะคุยเหมือนกัน แต่ตอนนี้ธันมันอ่านหนังสือเลยไม่อยากกวน ไว้พรุ่งนี้ก่อน”

“มึงก็คุยแล้วกัน กูขอไม่ยุ่งเกี่ยว” ต้นสนว่าอย่างนั้นก็นอนลงพร้อมห่มผ้าทันที

“กูไม่ได้จะบังคับมึงหรอกนะ” ศศิว่าพลางมองเพื่อนสลับกับคนอีกฝั่งที่อ่านหนังสืออยู่ “กูแค่รู้สึกว่าสักวัน... เราทั้งห้าคนอาจจะได้เป็นเพื่อนสนิทกัน”

ต้นสนหลับตาลงแม้หูจะฟังเพื่อนอยู่ เขาไม่รู้อนาคตหรอก ถ้าได้เป็นเพื่อนสนิทกันก็ไม่ได้แย่อะไร เพราะไม่ชอบบาดหมางกับใครนาน และถ้าธันเปลี่ยนไปจริง ๆ ก็หวังว่าจะดีขึ้น

พอมาถึงวันรับกระบี่สั้นผู้ปกครองหลายคนมาหาลูกชาย รวมถึงผู้ปกครองต้นสนที่ขนกันมาทั้งครอบครัวเลยก็ว่าได้ คนก็มองเยอะเพราะมีแต่คนรู้จัก

“ดีใจด้วยนะลูก” ต้นอ้อน้ำตาซึมกอดลูกเอาไว้

“พ่อภูมิใจในตัวเรานะ” เฟื้องว่าพร้อมลูบผมลูกชาย

“หลานยายมาให้ยายกอดหน่อย”

“ครับยาย” ต้นสนพนมมือไหว้แกแล้วคุกเข่ากอดยายที่นั่งรถเข็นอยู่

“เหมือนเห็นสิงห์ตอนเด็กเลยนะ” ยายว่า

“หลานใส่ชุดนี้แล้วหล่อเว้ย” ตาสมานที่เข็นรถให้ภรรยาอย่างพิมพ์อรพูดชื่นชมหลานไม่ขาดปาก

“ขอบคุณครับตา”

“ต้นสน” สิงห์เรียกหลาน ดวงตาแดงก่ำ

พอได้ยินเสียงเรียกของใคร ต้นสนก็ลุกไปกอดผู้เป็นลุงทันที

“ตั้งใจเรียนและจบมาเป็นตำรวจที่ดีนะ” สิงห์น้ำตาไหลไม่หยุด มือก็ลูบหลังหลานอยู่อย่างนั้น

“ครับ ผมสัญญาจะเป็นตำรวจที่ดีและเก่งกาจเหมือนลุงสิงห์”

“อาจต้องเจอสถานการณ์คับขันหรืออันตราย ต้นสนต้องมีสติตลอดเวลารู้ไหมลูก” สิงห์ผละออกมาลูบหน้าหลานพร้อมกับเกลี่ยน้ำตาออกให้

“ครับ ต้นสนจะมีสติตลอดเวลา”

“ดีแล้ว จำเอาไว้นะว่าตำรวจที่ดีคือช่วยเหลือประชาชนไม่ใช่ทำร้ายประชาชน”

“เข้าใจแล้วครับ”

“ไหนมาดูให้เห็นเต็มตาหน่อยสิวะ” ลุงไฟที่ใส่ชุดตำรวจเต็มยศมาหาหลานเพราะถูกเชิญมาเปิดงานเหมือนกัน “เหมาะดีนี่หว่า ถึงจะเป็นชุดยังไม่เต็มยศก็เถอะ”

“เท่กว่าลุงไฟเยอะ” สิงห์ว่า

“อ่าวสิงห์” ไฟหันไปมองคนรักทันที

“แล้วนี่ได้เพื่อนบ้างไหม” ต้นอ้อถาม

“ได้ครับ ตอนนี้ที่สนิทก็มีอยู่สามคน” พอเปิดทางให้เพื่อนทั้งสามแล้วก็กวักมือบอกพวกมันที่จ้องมาทางนี้อย่างรอคอย ก่อนที่พวกมันจะวิ่งฉิวมาทางนี้

“สวัสดีครับ!!!” พวกมันตะเบ๊ะให้ลุงไฟและลุงสิงห์ทันที ก่อนจะหันไปไหว้ผู้ใหญ่คนอื่น

ต้นสนแนะนำญาติผู้ใหญ่ทุกคนให้ก่อนจะบอกเพื่อน “แนะนำตัวสิพวกมึง”

“ครับ! ผมโทนครับ”

“ผมเหนือครับ!”

“ศศิครับ!” ทุกคนยิ้มขันออกมาที่เห็นเพื่อนต้นสนต่างร่าเริงกันดี ไฟกับสิงห์หันมองหน้ากันเหมือนคิดอะไรบางอย่างก่อนจะถามคนสุดท้าย

“ศศิ ทำไมถึงชื่อนี้หรือ”

พอถูกคนที่ชื่นชมถามถึงกับเหงื่อแตก เขินอายแต่ก็ตอบอย่างหนักแน่น “แม่บอกว่าชื่อนี้แปลว่าพระจันทร์ครับ!! เลยตั้งให้ผมครับ!!”

“มึงจะตะโกนทำไมเนี่ย” ต้นสนว่าพลางผลักหัว

พอรู้ความหมายชื่อแล้วไฟกับสิงห์ก็ไม่ถามอะไรอีก และดูเหมือนจะรู้กันแค่สองคน

“สิงห์ ไฟ” เสียงเรียกใครบางคนดังขึ้นก็พบว่าเป็นลุงนนท์ที่เดินมาหาและลูกชายที่เดินตามหลังมาด้วย

“อ่าวนนท์ ไม่เจอกันนานเลย” สิงห์ยิ้มกว้างพร้อมกับกอดเพื่อนตบหลังเบา ๆ “นี่ชายธันใช่ไหม”

“ใช่ เห็นบอกอยากมาเรียนที่ไทย ก็เลยส่งมาที่นี่”

ชายธันยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทันที

“เหมือนพ่อตอนเด็กไม่มีผิดเลยนะ” ไฟว่า

“แล้วนี่ได้คุยกับต้นสนบ้างไหม” พอสิงห์ถามก็เกิดความเงียบขึ้น พอจะทำให้ผู้ใหญ่มองหน้าและรู้กันดี

“เหมือนฉันมากจริง ๆ นั่นแหละ” นนท์ว่าพร้อมกับโอบไหล่ลูกชาย ที่น่าจะรู้สึกแย่แม้ใบหน้าไม่ได้บ่งบอกความรู้สึก แต่คิดว่าลูกชายพยายามอย่างมากที่จะเปลี่ยนนิสัยตนเอง

“เมื่อก่อนนายก็แทบไม่คุยกับใครจนสิงห์ต้องไปทัก” ไฟเปรย

นนท์พยักหน้าทันทีเพราะไฟพูดถูก

“ต้นสนคุยกับธันบ้างนะ จะได้ช่วยเหลือกันได้”

ต้นสนนิ่งไปสักพักก่อนจะพยักหน้า เพื่อนสองคนจึงสะกิดทันที

“มึงจะเป็นเพื่อนกับมันเหรอ” เหนือกระซิบถาม

“คิดให้ดีนะเว้ย” โทนพูดอีกรอบ

ยกเว้นศศิที่เดินเข้าไปไหว้ลุงนนท์และพูดคุยกับธันเป็นปกติ เพราะหลังจากคุยกันคืนนั้นศศิก็ไปคุยกับธันจริง ๆ และดูจะสนิทมากด้วย

“ไอศศิมันคิดอะไรของมันวะ” เหนือขมวดคิ้ว

“ปล่อยมันเถอะ ธันมันก็ไม่ได้แย่” ต้นสนพูดพลางมองธันไปด้วย

“เออ ๆ ว่าไงก็ว่าตามนั้น” เหนือบอกอย่างไม่สบอารมณ์นัก

“แต่เอาจริงพอเห็นยืนสามคนแล้วโคตรเท่เลย” โทนตาวาวตัวยังเกร็งไม่หาย

“นั่นดิ นี่ถ้าคุณจันเขาไม่เสียนะมึง ดีกว่านี้อีก” เหนือว่า

ต้นสนก็คิดเหมือนกัน แต่พอรู้ว่าความจริงในอดีตที่ลุงไฟเล่าให้ฟังว่าแท้จริงแล้วลุงจันถูกลุงสิงห์ยิงก็นึกสะท้อนใจ อดีตมันช่างขมขื่นและบางเวลาก็ไม่น่านึกถึงจริง ๆ

“พวกมึง ต่อไปนี้ไอธันจะมาอยู่กลุ่มเรานะเว้ย” ศศิเดินเข้าวงพร้อมกับพาธันมาด้วย

ทั้งสามคนได้แต่มองก่อนที่จะเป็นต้นสนที่ตอบรับ “อืม”

ธันมองต้นสนนิ่งก่อนจะหลบตาเมื่อถูกจ้องมองเหมือนกัน ศศิเห็นย่างนั้นก็ตบบ่าธัน “ถ้าพวกมึงมีปัญหาหรืออยากถามอะไรก็ถามเถอะนะ จะได้ไม่ค้างคาต่อกัน”

โทนเป็นคนแรกที่ถาม “เออมึง.. คุณชาย”

“ตามสบายเลย”

โทนพยักหน้าก่อนจะถาม “มึงทำไมไม่คุยกับใครเลยวะ หรือไม่อยากคุย”

“ฉันเข้าสังคมไม่เก่ง”

“อ่าวหรือวะ”

“แล้วทำไมวันนั้นกูทักมึง ทำไมมึงทำเหมือนหงุดหงิดใส่กูวะ” เหนือถามบ้าง

ธันขมวดคิ้วทันทีก่อนจะทำหน้านึกออก “ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ พอดีวันนั้นฉันเพิ่งถูกเพื่อนในห้องคนอื่นว่ามาเลยเผลอไปหงุดหงิดใส่นาย คิดว่านายเป็นเพื่อนพวกนั้น”

“หื้อ พวกนั้น ใครวะ” โทนถามต่อ

“พวกที่ชอบถูกซ่อมน่ะ” พอได้ยินคำตอบและรู้ว่าเป็นกลุ่มที่ไม่สนการเรียนและถูกยัดเงินเข้ามา โทน เหนือและศศิต่างพากันหัวเราะออกมา

“พูดตรงดีว่ะ” โทนตบบ่า

“เออ เรื่องวันนั้นก็ช่างมันละกันกูเองก็ว่ามึงไปเยอะ ขอโทษด้วยนะ” เหนือยื่นมือไป

รอยยิ้มของธันแต้มบนใบหน้าเล็กน้อย แต่ดวงตานั้นมีประกายจนเห็นได้ชัด “ขอบคุณนะ”

“อ่าว พ่อคนหัวแข็ง คนอื่นเขาคุยกันแล้วเหลือแต่มึงนะ” ศศิว่าพลางมองต้นสนที่ยังคงยืนนิ่ง

ธันถอนหายใจ “ไม่เป็นไรหรอก เพราะเมื่อก่อนฉันทำนิสัยแย่ ๆ เยอะเหมือนกัน”

ต้นสนที่ได้ยินมองอย่างพินิจก่อนจะเดินเข้าไปหาก่อนจะยื่นมือ “ต่อไปนี้เป็นเพื่อนกัน มีอะไรต้องคุยกัน ช่วยเหลือกันและกัน ทุกคนเท่าเทียมไม่มีสูงมีต่ำ” อดไม่ได้ที่จะกระแนะกระแหนเล็กน้อย

“ได้ ฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะไม่เป็นเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว แล้วก็ขอโทษด้วยนะที่เคยพูดจาดูถูกนาย” ธันว่าพลางจับมือตอบ

ต้นสนทำหน้าขรึมได้สักพักก่อนจะยิ้มกว้างแล้วเปลี่ยนไปโอบบ่า “โธ่ ก็ปรับนิสัยตัวเองได้นี่หว่า ไม่มาทักตั้งแรกล่ะวะ”

ธันเกาแก้ม “ก็คิดว่ายังโกรธอยู่”

“ต้องโกรธสิ นายจะว่าฉันไม่เป็นไรหรอก แต่สิ่งที่นายทำวันนั้นคือนายดูถูกพ่อแม่ฉันอยู่ไม่ใช่ฉัน และกำลังดูถูกงานสุจริต ดูถูกป้าสรที่เป็นแม่นมเลี้ยงดูนายมาตั้งแต่เด็ก”

พอได้ยินอย่างนั้นดวงตาธันก็ฉายแววเศร้า หันมองครอบครัวต้นสนที่มองมาทางนี้ด้วยรอยยิ้มก็พลันรู้สึกผิดขึ้นมา “ขอโทษด้วยจริง ๆ นะ” ไม่ว่าเปล่ายังเข้าไปขอโทษน้าต้นอ้อกับน้าเฟื้อง และผู้ใหญ่ก็เข้าใจไม่ถือโทษโกรธอะไร

นนท์ที่เห็นลูกชายปรับตัวเข้าหากับคนอื่นได้แล้วก็โล่งอก หันมองศศิที่ถือว่าเป็นเพื่อนคนแรกของธันที่ช่วยเหลือธันในเรื่องนี้ด้วย

“เด็กที่ชื่อศศิ นิสัยดีนะ ส่วนคนอื่น ๆ ก็พร้อมให้อภัยธัน นิสัยดีทุกคนเลย”

สิงห์กับไฟพยักหน้าทันที ก่อนที่สิงห์จะพูด “เหมือนเห็นพวกเราตอนยังเรียนนายร้อยเลย”

“นั่นสิ คิดถึงสมัยก่อน” นนท์ว่าต่อ

“หวังว่าจะไม่เกิดเรื่องอะไรกับเด็กพวกนี้” ไฟพูดพลางยิ้มบาง

สิงห์มองหลานของตนพร้อมกับเพื่อน ๆ คนอื่นที่ยืนหัวเราะอย่างมีความสุข ต่อไปนี้ต้นสนก็คงจะต้องผ่านอุปสรรคด้วยตัวเองแล้ว พวกเราคงได้แต่เฝ้ามองอยู่ตรงนี้ ยืนมองดูการเติบโตของพวกเขา

ก่อนที่จะต้องให้เด็ก ๆ เตรียมตัวกลับบ้านของแต่ละคนสิงห์ก็เรียกทั้งห้าคนมายืนฟังเขาก่อนไปสักนิด

“ต่อไปนี้ก็ขอให้อย่าได้ตัดสินอะไรผิดพลาด แม้เส้นทางจะไม่ดีนักก็ขอให้ผ่านพ้นด้วยความมีสติและไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน มีเพื่อนช่วยเพื่อน มีเพื่อนปรึกษาเพื่อน เพื่อนคือคนสำคัญเสมือนคนในครอบครัว การเป็นเพื่อนที่ดีต้องสนับสนุนหากเพื่อนทำดี แต่หากว่าเพื่อนเดินทางผิดต้องห้ามเพื่อนและช่วยเพื่อนออกมา หากว่าถึงทางตันและคิดว่าตัวเองไม่มีทางออก จงอย่าลืมคนข้างกายที่ยืนอยู่ด้วยกันวันนี้ อย่าได้ปิดบังหรือเก็บความทุกข์เอาไว้คนเดียว เป็นเพื่อนกันแล้วต้องรักษาเอาไว้ดี ๆ นะ เพื่อนที่ดีพร้อมรับฟังและช่วยเหลือ เพื่อนที่พร้อมให้อภัยได้ถ้าเราทำผิดและยอมรับความผิดพร้อมจะกลับตัว หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว เข้าใจไหม”

ทั้งห้าคนยิ้มกว้างก่อนจะตะเบ๊ะออกมา “เข้าใจครับ!!!!!”

“เรื่องราวของพวกลุงในหนังสือนั้นจบไปแล้ว ตอนนี้เรื่องราวของพวกเธอยังมีต่อ ขอให้พวกเธอเดินทางไปด้วยกันจนถึงจุดหมายเลยนะ”

“ครับ!!!”

ต้นสนยืนตรงยืดอกเหมือนเพื่อนคนอื่น ไอโทนร้องไห้ออกมาแล้วส่วนศศิก็น้ำตาซึม เหนือเบะปากกลั้นน้ำตาไว้อยู่ ส่วนธันกับต้นสนเพียงน้ำตาคลอ

เพราะทุกคนที่นี่รู้เรื่องพวกท่านทั้งสามคน เพื่อนคนสำคัญคนหนึ่งที่ตายจาก คงไม่อยากให้เกิดขึ้นกับใครอีก...





จบบทที่ ๖

--------------------------------------------------------------
จริงๆแต่งตอนนี้จบหลังจากลงตอนที่5ได้สองสามวัน

แต่เพิ่งจะเอาลงหลังจากลงตอนพิเศษเรื่องพ่ายโลกันตร์จบแล้ว เพราะมันจะได้ต่อกัน5555

แต่ใครที่ไม่ได้ตามอีกเรื่องก็ไม่เป็นไรนะคะ เพราะเราก็เล่าในตอนที่5และตอนนี้หมดแล้ว


ออฟไลน์ wutwit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๖
«ตอบ #24 เมื่อ10-06-2020 06:56:23 »

ขอชิปต้นสนvsชายธันละกัน ขอเรือแล่นคู่นี้นะ

ออฟไลน์ Pppkn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๖
«ตอบ #25 เมื่อ10-06-2020 21:35:36 »

กลัวว่าถ้าต้นสนเจอพี่ปราชญ์แล้วกลัวต้นสนวนลูป นับเวลาที่พี่ปราชญ์คบกับภวัตก็ 9 ปีแล้ว เส้นทางรักของต้นสนกับพี่ปราชญ์คงไม่ง่ายแน่ๆ ขอมาม่าชามใหญ่ๆเลยนะคะ พร้อมบีบน้ำตาแล้ววววววว 555
ปล.สู้ๆนะคะ

ออฟไลน์ piakunaa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๖
«ตอบ #26 เมื่อ11-06-2020 19:15:03 »

ต้นสนก็ไปพูดว่าไม่อยากหน้าหนาเหมือนลุงไฟต่อหน้าแกเนาะ​ 555​ เอ็นดู
เป็น​กำลัง​ใจ​ให้​นักเขียน​นะคะ​ ​สู้​ๆ​นะคะ​นักเขียน​

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๖
«ตอบ #27 เมื่อ13-06-2020 21:19:03 »

เพิ่งเข้ามาอ่านวันนี้ หลังจากติดตามรุ่นใหญ่มาแล้ว และมาเข้าใจแจ่มแจ้งในตอนพิเศษ
ต่อไปเป็นรุ่นลูกน่าสนใจยิ่งขึ้น ขอบคุณคนเขียนที่มีเรื่องดีๆ มาให้อ่านนะจ๊ะ

คู่เด็กตอนแรกคิดว่า คู่ปราชญ์กันต้นสน อ่านตอนพิเศษตอนที่ไฟอุ้มต้นสนตอนเล็กๆ แล้วสิงห์ป้อนข้าวให้
ปราชญ์มองไปแล้วหน้าแดง ยังคิดว่าเด็กมีความรู้สึกเขินตั้งแต่เด็ก แล้วอีกคนเพิ่งเกิดอายุห่างกันมาก
จนถึงตอนนี้คิดว่าไม่ใช่แน่นอน ต้องธันเท่านั้นที่เกลียดมาแต่เด็ก แล้วแอบมาชอบต้นสนตอนโตก็ได้ อิอิอิ


ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๗
«ตอบ #28 เมื่อ14-06-2020 17:26:14 »

 

บทที่ ๗

เกลียด?




ปี ๒๕๑๔

พระนคร, ประเทศไทย


ผู้คนในวังต่างวิ่งวุ่นกันหมดโดยเฉพาะในครัวที่หม่อมย่าสร้อยเข้ามาดูด้วยตัวเองเลยทีเดียว ส่วนหม่อมแหวนก็เป็นลูกมืออยู่ข้าง ๆ สมพงษ์ออกไปรอรับคุณชายใหญ่ของวังที่จะกลับมาถึงอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า

“ตาใหญ่เขาชอบผัดพริกแกง ต้องทำเยอะ ๆ เลยนะ” หม่อมย่าสร้อยพูดเพียงเท่านั้นคนใช้ในครัวก็ตอบรับกันทันที

“แกงสายบัวด้วยค่ะคุณแม่”

“เอ้อใช่ ไปเด็ดบัวมาหรือยังเจ้าแตง”

“ไปเดี๋ยวนี้แหละค่ะ” แตงรีบลุกออกไปพร้อมตะกร้า

“ทำอะไรให้มันเสร็จ ๆ สิ เดี๋ยวทำไม่ทันชายใหญ่กลับมาพอดี” หม่อมย่าคิ้วมุ่นก่อนจะไปปรุงอาหารเพิ่ม

“นี่ถ้าชายกรณ์กับชายเล็กไม่ติดงานนะคะ คงวิ่งไปรับพี่ชายคนโตทันที”

“นั่นสิ เด็ก ๆ ก็โตกันหมดแล้ว เจอกันช่วงเย็นและวันหยุดเท่านั้น บางทีก็ไปทั้งท่านชายและแหวนที่ก็มีงานเหมือนกัน แม่อยู่บ้านนะเหงาแย่”

“โธ่คุณแม่คะ เดี๋ยวแหวนอยู่เป็นเพื่อนก็ได้ งานของแหวนไม่มากเท่าใด” ในครัวต่างครึกครื้น ผ่านไปไม่นานท่านชายกับชายเล็กก็กลับจากทำงาน ส่วนชายกรณ์ก็กลับตามมาติด ๆ

“หอมจังเลย หิวแล้วสิ” ชายกรณ์ลูบท้องยังอยู่ในชุดทหารเต็มยศ ใบหน้าประดับรอยยิ้ม

“ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าสิครับ อีกเดี๋ยวพี่ชายใหญ่ก็จะกลับมาแล้ว” ชายเล็กที่ทำธุระของตัวเองเสร็จเรียบร้อยเดินลงบันไดมาบอกพี่คนกลาง

“จริงด้วย เดี๋ยวพี่มานะ” ชายกรณ์ตบบ่าน้องชายแล้วรีบขึ้นห้อง

ชายเล็กจึงเดินไปในห้องนั่งเล่น เห็นเด็จพ่อนั่งอ่านหนังสืออยู่พอดี

“อ่าวชายเล็ก ชายกรณ์กลับมาหรือยัง”

“กลับมาแล้วครับ กำลังอาบน้ำอยู่”

ท่านชายนนท์คลี่ยิ้ม “จะได้เจอลูกชายพร้อมหน้าพร้อมตาสามคนเสียที”

ชายเล็กพยักหน้าแล้วเอาหนังสือมาอ่านบ้าง ผ่านไปครู่ชายกรณ์ก็ลงมาร่วมวง ยังคงพูดคุยเยอะเป็นพิเศษ

“คุณชายใหญ่กลับมาแล้วค่ะ” คนใช้สาวที่ได้ยินเสียงรถหน้าวังตะโกนบอก ทุกคนจึงรีบออกมาต้อนรับ มีคนใช้บางส่วนจัดโต๊ะกับข้าว

คนใช้สาวเดินไปเปิดประตูให้ชายใหญ่ ก่อนที่ร่างสูงเพรียวจะก้าวขาออกมา มือเรียวกระชับเสื้อสูทสีครีมและติดกระดุมเข้าด้วยกัน แว่นตาทรงกลมขอบทองเด่นสะดุดตา ใบหน้าของชายปราชญ์ไม่ได้ดูแตกต่างจากเมื่อตอนยี่สิบสักเท่าใดเลย ที่ต่างคงเป็นส่วนสูงที่เพิ่มขึ้นและความสุขุมของผู้ใหญ่

ปราชญ์จุดยิ้มบางก้มหัวขอบคุณสาวใช้และเดินเข้าไปในวัง ทุกย่างก้าวย่ำอย่างพอดีไม่ช้าและไม่เร็วจนเกินไป

“เด็จพ่อ หม่อมย่า คุณน้า” เรียกชื่อผู้ใหญ่แต่ละท่านและก้มสวัสดี ก่อนที่จะตกใจเมื่อชายกรณ์เข้ามากอด

“คิดถึงพี่ชายใหญ่จังเลยครับ” ชายกรณ์ยิ้มกว้างยังคงกอดไม่ปล่อย

“เพิ่งโทรทางไกลหาไม่ใช่หรือ”

“แต่ก็ยังคิดถึงอยู่ดีครับ”

ปราชญ์ยิ้มขำแล้วตบบ่าน้องก่อนจะหันไปกอดชายเล็ก

“ยินดีต้อนรัยกลับนะครับ”

“ขอบใจนะ” ปราชญ์ตบหลังน้องแล้วผละออกไปหาหม่อมย่าสร้อยที่อ้าแขนรอทันที

“โตขนาดนี้แล้วหรือหลานย่า คิดถึงเสียจริง”

“ผมก็คิดถึงหม่อมย่าครับ”

“ไปที่โต๊ะทานข้าวกัน ย่าทำของอร่อย ๆ ไว้ให้ชายใหญ่เพียบเลย”

“ขอบคุณมากนะครับ”

“จ้ะ”

“ไงลูกชาย” ท่านชายนนท์เดินมาโอบไหล่ที่ลูกชายสูงกว่าตนแล้ว

“เด็จพ่อเป็นยังไงบ้างครับ”

“สบายดี ยังวิ่งจับผู้ร้ายได้อยู่”

พอได้ยินอย่างนั้นสองพ่อลูกก็หัวเราะ “เดี๋ยวก็จะเกษียณแล้ว คงน่าเสียดายที่ตำรวจเก่ง ๆ ขนาดนี้เกษียณไป”

“พูดแบบนี้ พ่อได้ขออยู่ต่อพอดี”

ปราชญ์หัวเราะจนตาหยีก่อนจะหันไปก้มหัวให้น้าแหวน “คุณน้าอย่าลืมห้ามคนข้าง ๆ ไว้ด้วยนะครับ”

“ได้เลย ทำเก่งไปอย่างนั้นแหละ วิ่งทันชายเล็กหรือเปล่าก็ไม่รู้”

“อ่าวคุณ”

ทุกคนต่างหัวเราะออกมา พอเข้าห้องครัวท่านชายนนท์ก็นั่งหัวโต๊ะเช่นเดิมฝั่งซ้ายมือก็มีหม่อมสร้อยและหม่อมแหวน ส่วนฝั่งขวาเป็นชายใหญ่ตามด้วยชายกรณ์และชายเล็ก

“ชายใหญ่ไปเรียนสิบปีใช่ไหม” ย่าสร้อยถาม

“สิบห้าปีครับหม่อมย่า”

“นานเหมือนกันนะ ชายเล็กกลับมาก่อนใครเลย”

“ชายกรณ์ไปเรียนสิบเอ็ดปี ส่วนชายเล็กไปเรียนหกปีและกลับมาต่อที่โรงเรียนนายร้อยที่ไทย” หม่อมแหวนอธิบาย

“นานขนาดนี้มีใครแล้วหรือยังชายใหญ่” หม่อมย่าเปิดประเด็นนี้ขึ้นทั้งโต๊ะก็เงียบขึ้นมา

ชายกรณ์กับชายเล็กติดเรียนและงานจนแทบไม่ได้คุยเรื่องนี้เลย สองพี่น้องมองหน้ากันก่อนจะหันไปมองพี่คนโตที่ยังคงจุดยิ้มบางไม่ได้มีท่าทีใดใด

“ยังเลยครับ”

“อายุขนาดนี้แล้ว น่าจะออกเรือนได้แล้วนะลูก” หม่อมสร้อยเสริมทำให้ชายกรณ์กับชายเล็กได้แต่นั่งกลืนน้ำลายกันสองคน

ต่างจากคนพี่ที่ยังคงรักษาอารมณ์วางมาดได้อย่างปกติดี “ผมยังไม่คิดเรื่องนั้นเลยครับคุณน้า”

“แต่ก็ต้องรีบหานะ ไม่ว่าชายใหญ่จะรักจะชอบใครไม่ต้องปิดบังนะ ย่ารับได้”

“ขอบคุณครับ ไว้ถ้าผมเจอแล้วผมจะรีบบอกทันทีครับ”

ย่าสร้อยและแหวนพยักหน้า ก่อนจะไปจบที่ชายกรณ์ต่อ “ชายกรณ์ปีหน้าก็จะสามสิบแล้ว มีบ้างไหม”

ชายกรณ์ยิ้มแหย “อยู่แต่กับกองทัพ ไม่มีเวลาไปหาหรอกครับคุณย่า”

“เจ้าเด็กคนนี้นะ ส่วนชายเล็กยี่สิบสองแล้วก็รีบหา ๆ ไว้ก่อนเลย เดี๋ยวจะเหมือนพวกพี่ ๆ เขาที่อายุป่านนี้แล้วยังไม่มีกันเลย เดี๋ยวจะแก่ไม่ทันมีลูกกันหมด”

คุณชายทั้งสามทำเพียงยิ้มบาง

“จะมีใครก็ขอให้ดีกับเขา ให้เกียรติและดูแลให้ดี” ท่านชายนนท์พูดขึ้นทั้งสามจึงตอบรับพร้อมกัน

ทั้งครอบครัวพูดคุยกันเยอะกว่าทุกวัน กับข้าวก็พร่องลงเรื่อย ๆ ชายใหญ่ทานเยอะกว่าใครเพราะบ่นว่าคิดถึงอาหารไทย หม่อมย่าก็ปลื้มใจ

ทุกคนจึงไปอยู่ในห้องนั่งเล่น ปราชญ์เลยเตรียมของที่ซื้อจากอังกฤษและอิตาลีมาฝากทุก ๆ คน

“สโคนและชาจากอังกฤษครับ” เขายื่นให้คุณย่าและคุณน้า

“น่าทานมากเลย สรไปจัดเป็นของหวานหน่อย”

“ได้ค่ะ” นมสรรีบรับไปจัดเตรียมให้เพื่อแก้ของคาว

ปราชญ์ยื่นหนังสือวรรณกรรมอีกสองสามเล่มให้ชายเล็กเพราะชอบอ่านหนังสือไม่ต่างกัน ส่วนชายกรณ์ก็รับเอาแผ่นเสียงที่ขึ้นชื่อที่อิตาลีไปเพื่อเปิดเวลาอยู่ในกรม

ของเด็จพ่อก็เป็นวรรณกรรมและจิปาถะอีกเล็กน้อย รวมถึงให้ของมากมายกับคนใช้ในวังทุกคน

“แล้วนั่นของใครหรือชายใหญ่” ท่านชายนนท์ถามถึงของอีกสี่ห้าอย่างที่ถูกวางไว้

“อ่อ อันนี้ของทางบ้านพี่เฟื้องน่ะครับ”

“อย่างนั้นหรือ เอาไปให้เลยไหม พ่อเองก็ยังไม่ได้บอกเจ้าเฟื้องเลยว่าชายใหญ่กลับมาแล้ว”

ปราชญ์ชั่งใจเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้น “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมมานะครับ กลัวจะค่ำซะก่อน”

พอเด็จพ่อพยักหน้าปราชญ์ก็เดินออกจากห้องพร้อมของในมือ ปากบางจุดยิ้มเมื่อนึกถึงใครบางคนที่ไม่ได้เจอกันสิบห้าปี

แม้ว่าจะไม่มีจดหมายมาให้เลย แต่พอชายเล็กบอกว่าได้เป็นเพื่อนสนิทกับต้นสนก็อดดีใจกับทั้งคู่ไม่ได้

“พี่ชายใหญ่ครับ” ชายเล็กรีบวิ่งออกมา ปราชญ์ขมวดคิ้ว

“มีอะไรหรือ”

“คือ...” ชายเล็กทำหน้าเครียด คล้ายมีอะไรในใจ

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

“ผมไปด้วยครับ”

ได้ยินอย่างนั้นคนพี่ก็หัวเราะเล็กน้อย “พี่ไปคนเดียวได้ แค่ไปให้ของเท่านั้น”

“ก็ได้ครับ”

ปราชญ์ยิ้มบาง “เป็นห่วงพี่หรือ”

ชายเล็กหลุบตาลงและพยักหน้าแทนการตอบ

“ไม่ต้องห่วงนะ พี่ยังไม่ถามต้นสนตอนนี้หรอก บอกแล้วว่าแค่เอาของไปให้”

“ครับ”

เมื่อปราชญ์เห็นว่าน้องไม่เป็นไรแล้วจึงเดินเลี่ยงไปทางข้างวัง ข้ามสะพานที่คุ้นตาไปอีกฝั่ง ทุกอย่างยังเหมือนเดิมแต่ดูเหมือนว่าไร่นากับไร่ต้นตาลรวมถึงโรงสีของพี่เฟื้องจะใหญ่โตขึ้นมาก เรียกได้ว่าที่นี่มีหมู่บ้านขึ้นมาอีกหมู่บ้านหนึ่งเลยก็ว่าได้ ข้างล่างเรือนไม้แห่งนี้ดูจะเติมต่อจนกลายเป็นบ้านสองชั้น

ปราชญ์ก็ลืมถามเลยว่าคนครอบครัวนี้อยู่ด้านบนหรือข้างล่างกัน เลยได้แต่ยืนด้อม ๆ มอง ๆ ข้างหน้า

“หือ มาหาใครคะ” เสียงใสของเด็กสาวคนหนึ่งถามก่อนที่เธอจะเดินลงมาจากบนชั้นสอง

ปราชญ์เอียงหัวเล็กน้อย คนนี้ใครกันใช่คนงานหรือเปล่า “คือผมชื่อปราชญ์ครับ อยากจะถามว่าพี่เฟื้องอยู่ไหมครับ”

เด็กสาวนิ่งไปตั้งแต่ตอนแนะนำตัว เธอตกตะลึงจนคนมองทำตัวไม่ถูก “พี่ปราชญ์...”

คำเรียกนี้ทำปราชญ์อดสงสัยไม่ได้ก่อนจะนึกออกและลองเชิงถาม “ฟ้าใส.. ใช่ไหม”

เด็กสาวยิ้มกว้างพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ใช่ค่ะ”

“โห ไม่เจอกันนาน โตเป็นสาวแล้วนะ”

“พี่ปราชญ์จำฟ้าใสได้ด้วยเหรอคะ” เพราะเธอไม่เคยไปเล่นกับพี่ปราชญ์เลย มีแต่พี่ปราชญ์มาเล่นที่บ้าน แต่ก็ยังคงไม่ได้เล่นด้วยบ่อยเท่าพี่ต้นสนอยู่ดี

“จำได้สิคะ”

ฟ้าใสอดแก้มแดงไม่ได้ เพราะเสียงทุ้มนุ่มนี้ “ดีใจจังเลย ถ้าอย่างนั้นขึ้นมาก่อนเลยค่ะ พ่อเฟื้องไปดูโรงสีอยู่ ส่วนแม่ต้นอ้ออยู่อีกบ้านหนึ่งดูและคุณย่ากับคุณตาอยู่ค่ะ พี่ต้นสนไปช่วยคนงานตามประสาคนไม่มีอะไรทำหลังกลับจากงาน”

พอได้ยินชื่อใครหัวใจก็เต้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ “ไม่เป็นไรค่ะ พี่แค่เอาของมาให้ไว้ฝากบอกพี่เฟื้องและพี่ต้นอ้อให้ด้วย ของนี่ก็ให้พวกท่าน และของฟ้าใสกับต้นสนก็มีนะ ส่งตรงจากอังกฤษและอิตาลีเลย”

“โหย ขอบคุณนะคะ” ฟ้าใสยกมือไหว้และรับของไป

“ไว้พรุ่งนี้หรืออาจจะเป็นวันมะรืนพี่จะมาหาอีกทีนะ”

“ได้เลยค่ะ จะบอกพ่อกับแม่ไว้ให้ พวกท่านต้องดีใจมากเลยที่พี่ปราชญ์กลับมาแล้วโดยเฉพาะพี่ต้นสน ถึงฟ้าใสจะยังเด็กแต่จำได้ว่าพี่ต้นสนติดพี่ปราชญ์มาก”

ปราชญ์ทำเพียงยิ้มบาง ก็หวังว่าจะได้คุยกับต้นสนเหมือนกัน อยากเห็นว่าจะดีใจไหมที่พี่คนนี้กลับมาแล้ว “ถ้าอย่างนั้น พี่ขอตัวก่อนนะคะ”

“ค่ะ ขอบคุณสำหรับของฝากนะคะ”

ชายหนุ่มพยักหน้าหันมองด้านหลังที่เป็นบ้านคนงาน ก็อดจะมองหาคนที่อยากเจอไม่ได้ แต่ก็คงไม่พบ เขาไม่เคยเห็นรูปตอนโตของต้นสนเลย ไม่รู้ว่าเปลี่ยนไปขนาดไหนแล้ว เคยขอชายเล็กให้ส่งรูปมาให้ดูบ้าง แต่ก็ไม่เคยได้เสียที

ถ้าเจอกันจะถามให้ได้เลยว่าทำไมถึงไม่ตอบจดหมาย

 


เฝ้าคำนึง

 


เช้าของอีกวันมาถึงปราชญ์ต้องไปทำเรื่องเข้าบรรจุเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย เพราะได้ให้ชายกรณ์จัดการเรื่องสมัครไว้แล้ว รอกลับมายื่นเรื่องทีเดียว

“จะไปแล้วหรือ”

“ครับเด็จพ่อ”

“ถ้าตอนเที่ยงอยากทานอะไร ไปทานร้านก๋วยเตี๋ยวที่เยาวราชได้นะ ร้านป้าเช้ง จำได้ไหม”

ปราชญ์พยักหน้า “จำได้ครับ ว่าแล้วก็อยากทานเลย”

“มาทานด้วยกันได้นะ มีแต่คนรู้จักทั้งนั้น”

“ได้ครับ ไว้ผมจะไป ตอนเที่ยงใช่ไหมครับ”

ท่านชายนนท์พยักหน้าก่อนจะขึ้นรถไปกับชายเล็กที่เป็นคนขับ เพราะทำงานที่กรมพระนครเหมือนกัน

“หวังว่าจะได้เข้านะครับ อาจารย์” ชายกรณ์โบกมือและขึ้นรถของตัวเอง

“ขับรถดี ๆ นะ” ปราชญ์บอกน้องก่อนที่ตนจะขับรถของตัวเองบ้าง

มาถึงมหาลัยก็ทำอะไรนานพอควร ปราชญ์ยกนาฬิกาขึ้นดูทันทีหลังจากเสร็จทุกอย่าง

“จะทันไหมนะ” ได้แต่บ่นออกมา รีบก้าวเท้าอย่างรวดเร็วจนเกือบวิ่ง เพราะเป็นเวลาเที่ยงมาได้สักพักแล้ว

ขับรถมาถึงเยาวราชก็เกือบสามสิบนาที ปราชญ์พับเสื้อสูทอย่างดีและเอาไว้ในรถแทน ตอนนี้จึงมีเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวกับเสื้อกั๊กสีน้ำตาลเท่านั้น

“นั่นไงมาแล้ว” ท่านชายนนท์มองลูกชายที่รีบเดินเข้ามา

“ขอโทษนะครับที่ให้รอ”

“ไม่เป็นไรนั่งสิ”

“ครับ” ปราชญ์นั่งลงใกล้กับน้องชายที่มาด้วย ถัดจากชายเล็กไปไม่รู้ว่าคือใคร แต่ดูยังหนุ่ม น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับชายเล็ก ปราชญ์มองค้างไปสักพัก เพราะถูกดวงตาเรียวเล็กนั้นจับจ้อง ใบหน้าคมดุนั้นทำให้ปราชญ์เผลอกลั้นหายใจโดยไม่รู้สาเหตุ

“นี่อธิบดีกล้า”

“โธ่ท่านชาย ผมยังเป็นรองอยู่เลยครับ” อดีตหมวดกล้าตอนนี้เป็นท่านรองพูดเสียงเบา ปราชญ์ยกมือสวัสดีท่าน

“แล้วนี่คืออธิบดีอิฐ”

“สวัสดีครับ”

“หน้าคล้ายคุณปิ่นเลยนะ” อธิบดีอิฐว่า

ปราชญ์จึงคลี่ยิ้มผงกหัวเป็นการตอบรับ

“เหมือนแม่ทุกอย่างเลยเด็กคนนี้น่ะ นิสัยก็คล้ายเคียง ใจดีแต่เวลาโกรธนะน่ากลัว เป็นงานบ้านยิ่งกว่าสาวใช้บางคนในวังเสียอีก แล้วก็ยังเป็นอาจารย์เหมือนแม่เขาล่ะ” ท่านชายนนท์พูดพลางยิ้ม พลันใจก็อุ่นซ่านยามคิดถึงภรรยาเก่า

“ผมไม่เคยโกรธเลยนะครับ เด็จพ่อก็ทูลเกินจริง”

“ไม่เกินไปหรอก ถามชายเล็กสิ ยอมพี่เขาตลอด”

ชายเล็กพยักหน้าปราชญ์จึงคลี่ยิ้มออกมา

“พี่เป็นอย่างนั้นหรือ”

“ทุกครั้งที่ผมดื้อนั่นแหละครับ”

“พี่ดุนิดเดียวเอง ไม่ได้โกรธเสียหน่อย”

“ก็เหมือนกันนั่นแหละ” ท่านชายนนท์ว่าก่อนจะผายมือทางอีกคนที่ยังไม่ได้แนะนำ “ส่วนนั่น—”

ผมหมวดชลันครับ” เสียงทุ้มขัดขึ้นก่อนที่หมวดชลันจะผงกหัวขอโทษผู้ใหญ่ที่พูดแทรก

“ทำตัวดี ๆ หน่อย” รองกล้าอดจะเตือนไม่ได้

“ขอโทษครับ”

“ไม่เป็นไรหรอก” ท่านชายนนท์พอจะเข้าใจเมื่อเห็นชายเล็กส่งสายตามา

ปราชญ์อดไม่ได้ที่จะอึดอัดขึ้นมา หมวดชลันดูเหมือนไม่ค่อยยากจะพูดคุยกับเขาสักเท่าใด

“เป็นเพื่อนกับชายเล็กน่ะ”

ปราชญ์พยักหน้าและหันไปยิ้มให้ตามมารยาท “ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

หมวดชลันทำเพียงผงกหัว ใบหน้ายังคงเรียบนิ่งและก้มหน้ากินก๋วยเตี๋ยวต่อ

“แล้วเรื่องที่มหาลัยเป็นอย่างไรบ้างล่ะ”

“คงได้ไปเริ่มสอนวันมะรืนน่ะครับ”

“อืม ดีแล้ว ไว้จัดงานพรุ่งนี้เลยนะ”

ปราชญ์ขมวดคิ้วทันที “งานอะไรหรือครับ”

“ก็งานต้อนรับกลับมาของชายใหญ่ไง”

“โธ่ เด็จพ่อครับ”

“เอาหน่า จะได้จัดให้กับน้องด้วยไง”

“ผมจัดไปแล้วไม่ใช่หรือครับ” ชายธันว่าก่อนจะเม้มปากเมื่อเผลอผิดประเด็น “จริงด้วยครับ จัดต้อนรับสามคนเลยก็ดี”

ปราชญ์อดจะส่ายหัวให้กับสองพ่อลูกคู่นี้ไม่ได้ “เอาเถอะครับ ผมยังไงก็ได้”

“ดีเลยนะครับ ผมจะได้เอาของต้อนรับมาให้”

“ไม่เป็นไรครับท่านรอง”

“นั่นสิ ผมก็ว่าจะเตรียมไว้ให้เหมือนกัน”

ปราชญ์เกรงใจพวกท่านแต่คงห้ามผู้ใหญ่ไม่ได้

เมื่อถึงเวลาที่ต้องไปทำงาน ท่านชายนนท์ก็นั่งรถด้านหลังพร้อมกับท่านรองและอธิบดีอิฐ ส่วนหมวดชลันขับและชายเล็กนั่งข้างคนขับ

“ชายใหญ่กลับไปบอกที่บ้านไว้เลยนะเรื่องจัดงาน”

“ได้ครับ” ปราชญ์พยักหน้าก่อนจะยืนรอให้รถคันนี้ออกไปก่อน สายตาก็ผันไปมองหมวดชลัน คนแอบมองตกใจไม่น้อยเมื่ออีกฝ่ายก็หันมองเช่นกัน ดวงตาทั้งสองสบกันอยู่อย่างนั้นแล้วก็เป็นหมวดชลันที่หันไปมองถนนทำหน้าที่ขับรถแทน

ถึงเพิ่งจะเคยเจอกัน แต่ปราชญ์คิดว่าผู้ชายคนนี้คงมีอะไรในใจ จะเกี่ยวกับเขาหรือเปล่าก็ไม่อยากจะใส่สีตีความไปเอง ไว้รอถามชายเล็กเสียดีกว่า

 


เฝ้าคำนึง

 


ตลอดทั้งวันปราชญ์ได้ออกไปชมในเมืองว่ามีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง บางที่ก็ต่อเติมมากขึ้นและมีของขายเยอะทีเดียว ซื้อของน่ากินมาเยอะเพราะคิดถึงขนมที่ไทย เขาเอาไปให้ป้าสรเพื่อแจกจ่ายคนใช้ เพราะปราชญ์คงทานคนเดียวไม่หมด

จนเย็นแล้วก็ได้ยินเสียงรถขับเข้ามา เด็จพ่อไปพักที่ห้องส่วนชายธันก็ขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่เพียงครู่น้องก็เดินลงมา

“จะไปไหนหรือชายธัน”

“ไปสอนหนังสือเด็กน่ะครับ”

“หื้อ เด็กที่ไหน” ปราชญ์วางหนังสือลงแล้วลุกไปหาน้อง

“เด็กคนงานที่ไร่น้าเฟื้องครับ พอดีว่ามีเด็กบางคนที่ไม่มีเงินไปเรียนเลยเรียนที่วัด ผมเลยว่าจะไปช่วยสอนเพิ่มเติม”

ปราชญ์ยิ้มขึ้นมาทันที “พี่ไปด้วยสิ พี่อาจจะสอนภาษาอังกฤษให้เด็ก ๆ ได้”

ชายธันนิ่งไปครู่คล้ายคิดอะไรก่อนจะพยักหน้า “ได้ครับ”

“หรือเราจะดูแลเรื่องเงินระหว่างเรียนดีไหมชายธัน” ปราชญ์เปิดปากถามทันทีเมื่อเดินออกมากับน้อง

“ผมก็เคยคิดครับ แต่ว่าที่บ้านเขาเกรงใจไม่ขอรับไว้ หวังว่าจะให้ลูกโตมาทำงานเลย”

“แบบนั้นก็ไม่ใช่เรื่องดีนะ เรียนรู้บ้างประดับสมองไว้”

“เคยพูดแล้วครับ แต่ก็ไม่เอากัน”

ปราชญ์ถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยเขาเท่าที่ช่วยได้แล้วกัน เด็ก ๆ จะได้มีความรู้ติดตัว”

ทั้งสองเดินมาจนถึงไร่ ปราชญ์อดมองขึ้นไปบนบ้านของพี่เฟื้องไม่ได้ และชายธันคงรู้ดีจึงเอ่ยบอก

“อยากเจอต้นสนหรือครับ”

“ก็อยากนะ แต่ไม่รู้จะอยู่หรือเปล่า”

ชายธันมองไปบนบ้าน “ไม่อยู่หรอกครับ”

“ชายธันรู้ได้ยังไง”

“เดี๋ยวพี่ชายใหญ่ก็รู้ครับ” ชายธันว่าเพียงเท่านั้นก็เดินนำไปที่สอนเด็กก่อนใคร ตลอดทางเดินก็มีแต่คนทักทายชายธัน

เขาเห็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนขึ้นทำให้อดปลื้มใจไม่ได้ น้องชายเขาโตขึ้นแล้วสินะ

“พี่ธัน” เด็กเล็กนับหกคนตะโกนเสียงดังเมื่อเห็นอาจารย์จำเป็นเข้าบ้านแห่งหนึ่งที่ไว้สำหรับสอนเด็ก

ปราชญ์ยิ้มอย่างเอ็นดู เด็ก ๆ ดูรักชายธันมาก สิบห้าปีที่ไม่อยู่ที่ไทย ชายธันพัฒนานิสัยไปเยอะเลย นี่สินะความรู้สึกที่พ่อแม่เห็นลูกตนเองเติบโตขึ้น

เปรยยิ้มได้ไม่นานก็ต้องชะงักเมื่อหันไปเห็นใครบางคนที่เพิ่งเดินเข้ามา ดูอีกฝ่ายจะตกใจเหมือนกันที่เห็นเขา เป็นหมวดชลันที่เจอกันเมื่อตอนกลางวัน จะว่าไปแล้วก็ลืมถามชายธันเรื่องของคนคนนี้เลยว่าไม่ชอบอะไรเขาหรือเปล่า

“เด็ก ๆ พี่จะแนะนำให้รู้จักนะ พี่คนนี้ชื่อปราชญ์จะมาสอนหนังสือให้พวกเรา”

“จริงเหรอ” เด็กสาวคนหนึ่งเงยหน้าถาม

“จริงค่ะ จะมาสอนภาษาที่สองให้”

“อะไรคือภาษาที่สองหรือครับ”

ปราชญ์ยิ้มบางก้มตัวเล็กน้อยแล้วยกมือวางบนกลุ่มผมนุ่ม “ภาษาอังกฤษครับ ไว้ติดตัวเผื่อได้ทำงานกับคนต่างชาติ”

“โห” เด็ก ๆ ตาโตกันหมด

“เรียน ๆ อยากเรียนครับ” พอเด็กคนนึงตะโกนบอกทุกคนก็กระโดดโหยง ๆ พร้อมเพรียงลืมพี่ธันไปชั่วครู่เมื่อเจออาจารย์คนใหม่

“เดี๋ยวไว้วันหลังพี่จะซื้อหนังสือมาให้นะครับ อยากได้กันไหม”

“อยากได้ครับ/ค่ะ”

ปราชญ์รู้สึกอบอุ่นเมื่อเห็นเด็กเล็กน่ารักน่าเอ็นดูอย่างนี้ คิดถึงสมัยก่อนเลยนะ ที่มีเด็ก ๆ สามคนวิ่งห้อมล้อม

“ฉันลืมบอกไปว่าพี่ปราชญ์จะมาร่วมสอนด้วย” ชายธันบอกกับเพื่อนสนิทที่คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น

“ทำไมไม่คุยกันก่อน” น้ำเสียงแข็งกร้าวนั้นทำเอาปราชญ์ที่นั่งเล่นกับเด็ก ๆ อดจะเงยหน้ามองไม่ได้

“ขอโทษด้วย แต่มันก็ดีไม่ใช่หรือที่มีคนมาช่วยเพิ่ม พี่ปราชญ์ก็จบทางด้านครูมาคงช่วยอะไรได้เยอะ”

หมวดชลันยังคงดูคุกรุ่น “แต่ก็ต้องคุยกับฉันก่อน”

ปราชญ์เห็นท่าไม่ดีจึงบอกเด็ก ๆ ว่าให้ไปนั่งรอที่โต๊ะกันก่อน “ผมต้องขอโทษจริง ๆ ครับ ที่ไม่ได้มาขออนุญาตก่อน แต่ผมอยากสอนเด็ก ๆ อยากให้ความรู้พวกเขา”

หมวดชลันหันมอง “คุณก็มีงานของคุณแล้ว ไม่ต้องลำบากหรอกครับ”

คนมีน้ำใจถึงกับเสียความรู้สึกที่ถูกพูดอย่างนี้ใส่ “ผมไม่ลำบากเลย และผมก็เต็มใจมากที่จะมาสอน หากว่าหมวดชลันมีปัญหาอะไรกับผม ควรจะคุยกันตรง ๆ ไม่ใช่มาทำแบบนี้ นอกจากจะไม่ได้อะไรแล้ว คุณยังเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องเรียนของเด็ก ๆ”

บรรยากาศรอบกายเริ่มตึงเครียดเรื่อย ๆ ชายธันถอนหายใจแล้วหันมองเพื่อน “นายควรจะมีเหตุผลมากกว่านี้นะ”

หมวดชลันมองเพื่อนก่อนจะจำยอม “ก็ได้ครับ ผมก็แค่ห่วงว่าคุณคงจะไม่มีเวลาว่างมาก”

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ถ้าผมไม่ว่างผมจะมาบอก” ปราชญ์ยิ้มบางแต่ดวงตากลับไม่ยิ้ม ใช้ดวงตาฟาดฟันกันแทน เขาไม่ใช่คนใจเย็นขนาดนั้นและหากใครเอาเรื่องส่วนตัวมารวมกับคนอื่นก็ยิ่งไม่ชอบ ถ้าจะไม่ให้มาสอนเด็กเพราะเกลียดกันหรือเพราะอย่างอื่นก็ตาม ดูเป็นคนไม่มีความคิดเอาซะเลย

“ครับ ถ้าอย่างนั้นก็หวังว่าจะสอนได้ดีนะครับ” หมวดชลันเปรยยิ้มบ้าง แต่เป็นยิ้มที่เย้ยหยัน

“รับรองครับ”

ชายธันมองทั้งคู่สลับกันก็ได้แต่กุมขมับ แล้วรีบพาพี่ชายตนไปสอนเด็ก ๆ และทำความรู้จักเพื่อหยุดการปะทะคารมนี้

หมวดชลันนั่งอยู่ด้านหลังเอาแต่มองการสอนของผู้มาใหม่ ชายธันไปนั่งโต๊ะของผู้สอนเพื่อเตรียมหนังสือการสอนของตัวเอง

“ใครท่องเอบีซีได้พี่จะให้ขนมเป็นรางวัล จะท่องช้าท่องเร็วก็ได้ทุกคน ถ้าใครพร้อมก็บอกพี่ได้นะ ไม่ต้องรีบและไม่ต้องกลัวว่าจะจำไม่ทันเพื่อนนะครับ ถ้าใครได้แล้วก็ช่วยเพื่อนด้วยนะ”

“เย้” ทุกคนดีใจเพราะเวลาเรียนไม่มีของตอบแทนเลย

“ดีจังมีครูเป็นพี่ปราชญ์ได้ของเป็นขนมด้วย” เด็กคนหนึ่งพูดขึ้นทุกคนจึงพยักหน้าและก็อยากจะท่องได้เร็ว ๆ เพื่อจะได้ขนม

ปราชญ์ยิ้มเอ็นดูเมื่อเด็ก ๆ มุ่งมั่นเริ่มพากันท่อง ก่อนจะเงยหน้ามองคนด้านหลังสุดที่มองเขาไม่หยุด แล้วก็เห็นว่าอีกฝ่ายหลบตาทันทีที่สบกัน

พี่ต้นสน!” และเสียงเรียกนั้นก็ทำปราชญ์ตกใจทันที ทางหน้าเข้าบ้านเป็นฟ้าใสที่เดินเข้ามา ก้อนเนื้อในอกเต้นระรัว เพื่อจะหาว่าใครกันคือต้นสนแล้วสายตาของฟ้าใสที่มองไปทางหลังห้องทำให้ปราชญ์แทบกลั้นหายใจ “พี่ลืมเอาหนังสือมาด้วย เดี๋ยวก็ได้อดสอนเด็กพอดี... อ้าว พี่ปราชญ์ก็มาสอนหรือคะ”

ปราชญ์ไม่รู้จะตอบอะไร ดวงตาเขาสั่นระริก มองคนด้านหลังที่เคยยิ้มเย้ยหยัน มองคนที่เคยจ้องเขาคล้ายไม่ชอบ จะกลายเป็นคนเดียวกับคนที่เขาอยากพบ

“คงไม่ต้องบอกแล้วใช่ไหมคะ ว่านี่คือพี่ต้นสน”

หมวดชลันที่ว่าหรือต้นสนดูหน้าเสียไป เด็กคนนั้นไม่กล้ามองหน้าเขาอีก

“หรือครับ หมวดชลันคือต้นสนเองหรือ” ปราชญ์ยิ้มบางแม้ดวงตาคลอเล็กน้อยและคงไม่มีสังเกตเห็น “พี่ก็เพิ่งจะรู้เหมือนกันครับ ว่าหมวดชลันเป็นใคร”

“อ่าวพี่ต้นสนไม่ได้บอกพี่ปราชญ์หรือ” ฟ้าใสหันถามพี่ชาย

“กลับบ้านไปได้แล้ว”

“เอ้า อะไรของพี่เนี่ย”

ปราชญ์คล้ายถูกทุบหน้า ถ้าจะบอกว่าไม่รู้ว่าเขาคือใครก็คงจะไม่ใช่ในเมื่อแนะนำตัวไปตั้งแต่พบกันที่ร้านก๋วยเตี๋ยวแล้ว ที่พูดชื่อขัดเด็จพ่อเพราะไม่อยากให้เขารู้ด้วยใช่หรือเปล่าว่าตัวเองเป็นใคร เขาอาจจะผิดที่จำต้นสนไม่ได้เพราะเปลี่ยนไปมาก ตัวสูงขึ้น ใบหน้าคมเข้มนั้นทั้งเรียบนิ่งและเย็นชา มันต่างจากตอนเด็กที่ร่าเริงเสมอ แต่ทำไมถึงทำเหมือนไม่รู้จักกัน ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าเขาคือใคร ทำไมทำเหมือนไม่ชอบหน้ากันอย่างนี้

รอบคอยังคงมีสร้อยถักสีดำ ปราชญ์คงไม่สังเกตหรอกเพราะต้นสนเก็บสร้อยไว้ในเสื้อคอกลมสีขาวนั่น แต่พอรู้ว่าเป็นใครแล้วยังคงเห็นรอบคอยังคงใส่สร้อยที่เขาให้ มันก็มั่นใจไปอีกเปลาะ

ทั้งดีใจและเสียใจ

ต้นสนลุกออกไปเมื่อทนความอึดอัดไม่ได้ ปราชญ์ไม่รู้ว่าทำไมถึงปวดหนึบตรงอกจนอยากจะร้องไห้ออกมา

“กลับวังก่อนไหมครับ”

“ทำไมไม่บอกพี่” ปราชญ์หันมองน้อง “เพราะอะไร”

“ผมขอโทษ”

ปราชญ์หลับตาเพื่อเก็บความเจ็บปวดไว้ ถึงจะมีเรื่องเกิดขึ้นแต่เขาก็ไม่ชอบทิ้งคนอื่น เขายังสอนเด็ก ๆ ต่อจนจบ

ชายธันต้องอยู่สอนต่อ ปราชญ์จึงขอตัวกลับก่อนเพราะคงอยู่ต่อไม่ไหว

เดินกลับทางเดิมก็ต้องผ่านบ้านพี่เฟื้อง ไม่แปลกที่จะเจอใคร ปราชญ์ชะงักเท้าเมื่อเห็นคนที่เพิ่งเดินหนีมายืนอยู่หน้าบ้าน ต้นสนหันมองเพียงครู่และตั้งท่าจะเดินขึ้นไป ปราชญ์จึงพูดขึ้น

“ไม่เจอกันตั้งนาน เย็นชาขึ้นนะ”

ต้นสนนิ่งไปทันที

“ไม่ตอบจดหมาย กลับมาเจอก็ทำเหมือนไม่อยากพบหน้า ไม่อยากคุย มันเพราะอะไร” ขณะที่พูดดวงใจก็บีบรัดจนแทบหายใจไม่คล่อง มันปวด อึดอัดจนไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นขนาดนี้ “ต้นสนเกลียดพี่แล้วหรือ”

เพียงเท่านั้นหยดน้ำสีใสก็ล่วงผล็อยลงอย่างห้ามไม่ได้อีกต่อไป

ต้นสนหันมามองดวงตาเบิกกว้างเมื่อเห็นคนตรงหน้าร้องไห้

“พี่ไปทำอะไรให้ต้นสนโกรธหรือ บอกพี่หน่อยได้ไหม”

หมวดชลันผันหน้าหนี “ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมไม่ได้โกรธอะไรคุณชาย”

คุณชายหรือ... ห่างเหินขนาดนี้ จะให้คิดอย่างอื่นได้อย่างไร

“ได้ครับ พี่จะเชื่อ” ปราชญ์พยักหน้าและเช็ดน้ำตาตัวเอง “ต้นสนคงไม่ดีใจที่พี่กลับมา”

ไม่ต้องถามอะไรอีกแล้วในเมื่ออีกฝ่ายออกอาการต่อต้านเขาขนาดนี้ ยิ่งถามยิ่งคาดคั้นมันจะได้อะไรขึ้นมา เพราะต้นสนไม่อยากคุยกับเขา

“ยินดีที่ได้พบต้นสนอีกนะ ถึงพี่จะบอกว่าคิดถึงต้นสนมากแค่ไหนแต่ต้นสนก็คงไม่รับหรอก” ปราชญ์มองอีกฝ่ายที่ไม่แม้จะมองมา “โตขึ้นแล้ว ได้เป็นตำรวจอย่างที่อยากเป็น ดีใจด้วยนะ”

ต้นสนเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็เงียบไป ปราชญ์ยืนรอหวังว่าคนตรงหน้าจะพูดอะไรกับเขาบ้าง แต่ก็ไม่มีเลยจึงคิดได้ว่าอยู่ตรงนี้ไปก็ทำให้ต้นสนอึดอัดเปล่า ๆ

“ถ้าอย่างนั้นพี่ขอตัวนะ ขอโทษที่มากวน สวนเด็ก ๆ พี่ยังมาสอนเหมือนเดิม อาจจะเจอกันบ้างแต่จะพยายามไม่มาให้เห็นหน้า”

คำพูดนั้นเหมือนเข็มที่ทิ่มแทง ต้นสนกัดฟันกรอด พี่ปราชญ์เดินกลับไปแล้วปล่อยให้ต้นสนนั่งลงกับขั้นบันไดกุมหน้าผากตัวเองอยู่คนเดียว





จบบทที่ ๗

------------------------------------------------------------------------------------
ตายแล้วมีแต่คนเชียร์ต้นสนกับชายธัน55555555
พี่ปราชญ์ร้องไห้แล้วววว ร้องจริง ร้องหยกๆเมื่อกี้เลย


ออฟไลน์ wutwit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๗
«ตอบ #29 เมื่อ14-06-2020 18:47:05 »

ก็ยังจะอยากชิปต้นสนกับชายธันอยู่ดี 5555555... 3Pซะเลย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด