พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทพิเศษ ๑.๓/๑.๔/๑.๕ ครบ {จบบริบูรณ์}
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทพิเศษ ๑.๓/๑.๔/๑.๕ ครบ {จบบริบูรณ์}  (อ่าน 25957 ครั้ง)

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************



คำเตือน!
บางฉากมีทั้งบรรยายสภาพศพ  ความรุนแรง การข่มขืน สภาวะทางจิตใจ การฆ่าตัวตาย การตบตี/ทารุณเด็ก
เพราะเป็นเนื้อหาที่รุนแรงเป็นอย่างมาก จึงไม่แนะนำผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี อ่าน และผู้ที่เคยเจอสถานการณ์ดั่งกล่าวตามที่นักเขียนลงไว้ หรือ ผู้ใดที่รับการบรรยายที่แรงเกินไปไม่ได้  จึงแจ้งมา ณ ที่นี้ ให้นักอ่านที่เคารพทุกท่านทราบ

ขอใส่คำเตือนเพิ่มเติมนะคะ
บางอย่างคือการเกริ่นในนิยายของตัวละครในเรื่อง ตัวละครเอกไม่ได้เป็น 'คนเป็น' หรือ เป็น 'คนทำ'

1. Smut - ฉากบรรยายการมีกิจกรรมทางเพศ หรือฉากเรท
2. Non-con / Rape - ข่มขืน การร่วมเพศในลักษณะที่เห็นการไม่ยินยอม (Consent) จากอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน
3. Graphic Depictions of Violence - มีการบรรยายถึงการใช้ความรุนแรงอย่างชัดเจน
4. Character Death - ตัวละครตาย
5. Underage - กล่าวถึงหรือบรรยายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางเพศของตัวละครที่อายุต่ำกว่า 18 ปี
6. Mentioned/Implied Rape attempt / Rape Non-con - มีการกล่าวถึงการข่มขืน
7. Sexual Harassment - การล่วงละเมิดทางเพศ
8. Sexual Assault - การข่มขืน
9. Molestation - การลวนลามทางเพศ
10. Threats of Rape/Non-Con - การคุกคามคนอื่นด้วยการข่มขืน
11. Threats of Violence - การคุกคามคนอื่นด้วยความรุนแรง
12. Violence - มีการใช้ความรุนแรง
13. Domestic Violence - การใช้ความรุนแรงในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นการทำร้ายร่างกายหรือจิตใจ
14. Incest - ความสัมพันธ์เชิงชู้สาวระหว่างเครือญาติหรือสายเลือดเดียวกัน
15. Pseudo-Incest - ความสัมพันธ์เชิงชู้สาวระหว่างบุคคลในครอบครัวเดียวกันที่ไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน (e.g. พี่/น้อง/บุตรบุญธรรม) หลายคนนับเป็น Incest ไปเลย
16. Emotional Manipulation - การควบคุมอีกฝ่ายเพื่อให้เปลี่ยนพฤติกรรม ความคิด โดยการหลอกลวงเพื่อผลประโยชน์
17. Abuse (Physical, Mental, Verbal, Sexual, Emotional) - การล่วงละเมิดและทารุณกรรม ทั้งในด้านของการทำร้ายร่างกาย การทำร้ายจิตใจ การใช้คำพูดรุนแรง การข่มขู่ ไปจนถึงการล่วงละเมิดทางเพศ
18. Mental Illness - ภาวะเจ็บป่วยทางด้านจิตใจ
19. Panic Attack - อาการตื่นตระหนกเฉียบพลันเมื่อถูกกระตุ้น มักจะมีอาการหายใจไม่ทัน หอบถี่ หายใจไม่ออก วิงเวียนคล้ายจะเป็นลม และตกอยู่ในอารมณ์หวาดกลัว
20. Depression - ตัวละครมีอาการซึมเศร้า
21. PTSD / Post-Traumatic Stress Disorder - โรคเครียดหลังผ่านเหตุการณ์ร้ายแรง เป็นภาวะทางจิตที่เกิดจากการเผชิญกับเหตุการณ์ตึงเครียด น่ากลัว หรือกระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง (e.g. เคยถูกทำร้ายหรือล่วงละเมิด เคยเข้าร่วมสงคราม) ผู้ป่วยมักมีอาการเห็นภาพหลอนหรือฝันร้ายถึงเหตุการณ์เหล่านั้น มีความคิดแง่ลบ สามารถถูกกระตุ้นได้โดยง่าย เป็นต้น
22. MDD / Major Depressive Disorder - ตัวละครป่วยเป็นโรคซึมเศร้า
23. Abandonment Issue - การมีปมที่ถูกทอดทิ้ง
24. Self-Loathing / Self-Hated - ความรู้สึกเกลียดตัวเอง
25. Self-Esteem Issue - ตัวละครมีปัญหาเกี่ยวกับความภาคภูมิใจในตัวเอง
26. Suicide Attempt - การพยายามฆ่าตัวตาย
27. Internalized Homophobia - ภาวะรังเกียจหรือกลัวกลุ่มบุคคลที่รักใคร่ในเพศเดียวกันอยู่ลึก ๆ ซึ่งผู้เป็นอาจไม่รู้ตัว
28. Homicide - มีการฆาตกรรม
29. Mind Control / Mind Manipulation - การควบคุมจิตใจของอีกฝ่ายทั้งความคิดและการกระทำให้เป็นไปตามที่ต้องการ



ยังไงก่อนอ่านนิยาย ขอให้นักอ่านทุกท่านอ่านคำเตือนด้วยนคะ

ด้วยความเคารพ


| วายพีเรียด |


"ยังรักกันอยู่ใช่ไหม..."
---
"แหวนน่ะใส่ไปก็เปื้อนเลือดเสียเปล่า เอาไปให้คนอื่นเถอะ"


สารบัญ



































จบบริบูรณ์









#พ่ายโลกันตร์
TWITTER : @IMYean_
ชื่อนักเขียน : ยีนส์

หมายเหตุ : เนื่องจากนิยายเป็นแนวย้อนยุค ถ้าเนื้อหาส่วนไหนไม่ถูกต้องสามารถบอกแนะได้เลยนะคะ
ยีนส์จะพยายามหาข้อมูลมาให้ได้มากที่สุด เรื่องงานตำรวจ
งานราชการตั่งต่างถ้าหากผิดพลาดตรงไหนต้องขออภัยใน ณ ที่นี้ด้วยจริงๆค่ะ

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-07-2021 19:37:32 โดย IMYean. »

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: พ่ายโลกันตร์
«ตอบ #1 เมื่อ22-03-2019 02:01:16 »

 
บทที่ ๑

ศัตรูที่เกลียดไม่ลง

 

 

 

๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๓

สถานีตำรวจอ้อยขวาง


ตำรวจเกือบนับสิบนายต่างเดินออกมายืนเรียงกันกลางโรงพักตามคำสั่งโดยมี ร้อยตำรวจเอก เกียรติ อิ่มอำนงค์ หรือที่ใครเรียกว่าสารวัตรโขมและร้อยตำรวจตรี เพลิงกาฬ ไตรย์ษิณ คนอื่นมักจะเรียกกันว่าหมวดไฟยืนรอสั่งการหน้าที่ให้นายตำรวจอยู่ด้านหน้า

“ที่ฉันเรียกมาในวันนี้เพื่อจะให้คำสั่งไปตรวจดูลาดเลาที่บ้านของหลวงธารานันท์ หลังจากเกิดเหตุโจรบุกปล้นบ้านท่านเมื่อคืนนี้ โจรพวกนี้มีชื่อเสียงและอันตรายเป็นอย่างมาก ทุกคนคงรู้จักเสือเอี้ยงกันใช่ไหม...” สารวัตรโขมเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ดวงตาคมกวาดตามองตำรวจทุกนายที่พยักหน้าและตอบรับอย่างพร้อมเพรียง แต่ก่อนที่เจ้าตัวจะเอ่ยต่อก็มีคนมาขัดจังหวะเสียอย่างนั้น

“ขออนุญาตครับ!” ตำรวจนายหนึ่งที่ถูกสั่งให้ไปทำหน้าที่ในการตรวจตราในชุมชนรีบวิ่งขึ้นมาบนโรงพักด้วยความตื่นตระหนก

“มีอะไร” หมวดไฟขานถามแทน

“เมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนชาวบ้านมาบอกว่าเมื่อช่วงเช้ามืดทางพวกลูกน้องนับสิบของเสี่ยพันธ์ได้ออกรถพร้อมกับอาวุธปืนมากมาย ทางผมและนายตำรวจอีกสามนายไปตรวจดูแล้วพบว่ามีรถยนต์คันหนึ่งซึ่งเป็นหนึ่งในรถยนต์ของเสี่ยพันธ์เองยิ่งกว่านั้นชาวบ้านต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเห็นคุณหญิงพิมพ์อรและลูกสาวอยู่บนรถนั้นด้วยครับ คาดว่าคุณหญิงคงจะพาลูกสาวหลบหนีออกมา”

“หนีออกมาได้ยังไงแล้วตอนนี้คุณพิมพ์อรอยู่ที่ไหน!” หมวดไฟรีบเค้นถาม ตำรวจทั้งโรงพักต่างรู้กันดีว่าหมวดไฟมีความหลังกับคนที่เกี่ยวข้องกับเสี่ยพันธ์มากแค่ไหนจึงได้แต่เงียบให้หมวดไฟจัดการ

“ไม่ทราบว่าหนีออกมาได้ยังไงแต่ทางคุณหญิงและลูกสาวนั้น...” นายตำรวจก้มหน้าอึกอักไม่กล้าตอบ

“ว่ามาให้เร็วเสีย!” ชายหนุ่มทำหน้าขึงขัง สารวัตรโขมที่เห็นอย่างนั้นจึงวางมือลงบนบ่าแล้วบีบเบา ๆ ให้หมวดไฟคลายอารมณ์ที่คุกรุ่นในใจ

“รถที่คุณหญิงใช้หลบหนีถูกระเบิดทั้งคัน ตอนนี้ทางนายตำรวจที่อยู่ตรวจ กำลังทำการตรวจศพและรถอยู่ครับ” นายตำรวจกลั้นใจตอบ คนทั้งโรงพักจึงตกใจไปตาม ๆ กัน

สารวัตรโขมหันมองหมวดไฟที่มือไม้สั่นเทิ้มจากความโกรธ “หมวดไฟใจเย็นลงก่อน”

“พวกมันเห็นคนเป็นอะไรกัน นั่นเมียกับลูกสาวมันไม่ใช่หรือไง”

“หมวดไฟ” สารวัตรโขมเค้นเสียงเตือนอีกครา ชายหนุ่มจึงผ่อนลมหายใจแล้วก้มหัวเป็นเชิงขอโทษ “เอาเป็นว่าทางเรื่องที่บ้านคุณหลวงให้จ่าธงเป็นคนจัดการ ส่วนเรื่องของคุณหญิงพิมพ์อรหมวดไฟไปตรวจสอบด้วย”

“ครับสารวัตร!” ตำรวจทุกนายตะเบ๊ะรับคำสั่งก่อนจะแยกตัวออกไปทำตามหน้าที่

“หมวดไฟ”

“ขอรับ” คนถูกเรียกหันกลับมายืนตัวตรงพร้อมรอฟัง

“ใจเย็นลงเสียบ้างนะอย่าใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง มันเป็นสิ่งที่ตำรวจอย่างเราต้องพึงมี”

“กระผมต้องขอโทษจริง ๆ ขอรับสารวัตร”

“อืม เอาเถอะ ไปได้แล้วล่ะ”

“ครับ!” หมวดไฟตะเบ๊ะแล้วสวมหมวกเดินลงไปขึ้นรถของตำรวจที่มาบอกข่าวคราว

อำเภออ้อยขวางเป็นอำเภอที่มีพื้นที่เยอะที่สุดของจังหวัดสิงห์บุรีแต่ในช่วงนี้มีข่าวว่าทางคนใหญ่คนโตบางคนคบหาพูดคุยกับทหารญี่ปุ่นที่ต้องการจะขอเข้าเขตแดนของประเทศไทย จึงได้เห็นว่ามีพวกทหารญี่ปุ่นเข้ามาแถวนี้บ้างแต่กลับไม่มีใครเคยรอดออกไปเพราะฝีมือของคนที่ครอบคลุมทั้งอำเภออ้อยขวางอย่างเสี่ยพันธ์เป็นคนจัดการและขโมยอาวุธของทหารญี่ปุ่นไป

เสี่ยพันธ์นั้นมีไร่เป็นของตัวเองทั้งกว้างขวางและเป็นที่รู้จักในชื่อไร่อัครเดชที่เป็นนามสกุลของเสี่ยพันธ์เอง แต่ทุกคนก็ล้วนรู้ว่าภายในไร่นั้นต่างมีอาวุธและยาอีกมากมายที่มันเอาตุนเอาไว้เพื่อส่งขายไปทั่วทั้งในจังหวัดและอีกหลายจังหวัด

กฎหมายไม่สามารถทำอะไรมันได้เพราะมันเองก็เป็นอีกหนึ่งคนที่มีอำนาจมากถึงขั้นมีตำรวจยศใหญ่จากพระนครคุ้มกะลาหัวไว้ ตำรวจในเขตอ้อยขวางต้องคอยจับตามองเพื่อจะจับพวกมันให้ได้คาหนังคาเขา นอกจากนั้นยังมีพวกที่ซื้ออาวุธที่เป็นลูกค้ารายใหญ่ของเสี่ยพันธ์อยู่อีก มีทั้งเจ้าสัวเหวยคนเชื้อสายจีนที่เปิดซ่องและบาร์อยู่ทั่วจังหวัด แล้วก็นายเอี้ยงหรือเสือเอี้ยงหัวหน้าชุมโจรที่ปล้นบ้านหลวงธารานันท์เมื่อคืน เรียกได้ว่าแบ่งเขตทำมาหากินทั้งภายในจังหวัดและยังจังหวัดใกล้เคียง

คนพวกนี้ล้วนแล้วแต่ทำให้ชาวบ้านตกอยู่ในอำนาจของพวกมัน ทั้งกดขี่ข่มเหง ฆ่าคนได้ง่าย ๆ พวกเศษเดนที่ควรจะเอาใส่ตาราง

“นั่นคือรถที่คุณพิมพ์อรใช้หลบหนีมาหรือ” ชายหนุ่มเอ่ยถามเมื่อเห็นรถที่สภาพย่ำแย่อยู่บนกลางถนนสองข้างทางเป็นพื้นที่โล่งมีแต่ดินเรียบ รอบ ๆ รถมีตำรวจอยู่สามนายที่กำลังตรวจดูอยู่

“ใช่ครับ” นายตำรวจผู้แจ้งข่าวตอบก่อนจะขับไปจอดใกล้ ๆ

พอลงจากรถก็พยักหน้าให้นายตำรวจทั้งสามนายที่ตะเบ๊ะให้พร้อมกับมองเข้าไปในรถ “ตรวจพบอะไรบ้างไหม”

“เราพบเศษชิ้นส่วนร่างกายที่ถูกแรงระเบิดครับแต่จะเป็นส่วนของศีรษะแล้วก็ร่างของผู้เสียชีวิตที่อยู่ด้านใน รู้สึกว่าการระเบิดนั้นอาจจะถูกระเบิดที่เป็นระเบิดจากด้านนอกที่ไม่ใช่ระเบิดจากในรถ เพราะหลังคารถเสียหายยับเยินศีรษะของผู้เสียชีวิตจึงถูกระเบิดอัด” นายตำรวจมีสีหน้ากระอักกระอ่วนรู้สึกสงสารสองแม่ลูกคู่นี้จับใจแต่ก็ต้องทำหน้าที่ต่อไป

หมวดไฟกุมหน้าผากด้วยความวูบโหวง หัวใจเต้นถี่เพราะเกิดจากความสูญเสียก่อนจะมองไปที่รถอีกครั้งด้วยดวงตาแดงก่ำ คุณพิมพ์อรเป็นคนใจดีเมื่อสมัยเขายังเด็กก็ทำขนมมาฝากบ่อย ๆ ลูกสาวเองพอโตขึ้นมาหน่อยก็เป็นเด็กน่ารักยังแวะมาสถานีตำรวจเพื่อจะเอาขนมที่ทำเองมาให้แทนผู้เป็นแม่

ทำไมกันนะ ทำไมคนดี ๆ ถึงต้องมาเจอเรื่องแบบนี้

“หมู่ไปเรียกหมอรัตน์มาแล้วก็เรียกทางตำรวจฝ่ายสืบสวนมาเพิ่มด้วย”

“ครับ!”

พอหมู่ขับรถอีกคันไปแล้วหมวดไฟจึงเดินเข้าไปใกล้ ๆ รถที่เกิดเหตุ พอเห็นสภาพด้านในก็ต้องลูบหน้าคลายความเสียใจเพื่อจะทำงานต่อ “รอบ ๆ นี้ยังรู้สึกอุ่น ๆ อยู่เลย นอกจากการระเบิดแล้วคงทำให้เครื่องยนต์ระเบิดตามจนเกิดไฟลุกขึ้น ร่างกายของคุณพิมพ์อรถึง…”

“ผมสันนิษฐานว่าคงเป็นการถูกระเบิดที่เป็นปืนใหญ่น่ะครับ แต่ว่าต้องตรวจดูอีกครั้งให้แน่ใจ”

“ถ้าปืนแบบนี้ที่ทำได้ นอกจากจะไม่มีรอยกระสุนอย่างอื่นนอกจากสะเก็ดระเบิดก็น่าจะเป็น ปืนM1A1 Bazooka หรือไม่ก็ปืนPIAT”

“ปืนสงครามทั้งนั้นเลยนี่ครับ”

“ใช่ พวกมันมีเป็นเบือ ถ้าผ่านไร่ของมันก็คงเห็นพวกลูกน้องที่ถืออาวุธกันมาก ล้วนเป็นอาวุธสงครามทั้งนั้น”

“น่าแปลกที่ไม่สามารถเรียกหมายจับพวกมันได้”

“เห็นข่าวหนาหูว่ามีคนในกรมตำรวจคุ้มกะลาหัวมันอยู่” จ่าคมเอ่ยต่อจากนายตำรวจอีกคน

“แต่ว่าเรื่องนี้เถอะ ถ้าถูกยิงจากปืนใหญ่จริง การใช้M1A1ต้องเป็นคนที่ใช้ปืนนี้บ่อยจนแม่นยำถึงยิงระยะไกลได้ แต่ถ้าใช้PIAT มันต้องระยะใกล้เท่านั้น แต่ยังไงไม่ว่าจะปืนไหนคนยิงต้องฝึกมาอย่างแน่นอน” ไฟขมวดคิ้วมุ่น ตัวเขาเองไม่ค่อยชำนาญเรื่องปืนสักเท่าใด ส่วนมากจะได้คนช่วยสอนมา…

“พอดีเลยครับหมวด ยังมีชาวบ้านให้การอีกว่า คนที่สั่งฆ่าทั้งสองแม่ลูกไม่ใช่เสี่ยพันธ์ครับ” นายตำรวจอีกคนเดินเข้ามาพร้อมกับชาวบ้านทั้งสองคนที่ว่า เป็นชายทั้งคู่ คนหนึ่งหนุ่ม คนหนึ่งค่อนไปทางวัยกลางคน

“แล้วใครสั่ง”

“อ่าวเร็วบอกไปสิ” นายตำรวจเร่งชาวบ้านทั้งสอง

“คือ… เมื่อช่วงเช้ามืดพวกเราต้องออกไปส่งผักที่ตลาด แต่ว่าเห็นพวกลูกน้องเสี่ยพันธ์ออกมาพอดีก็เลยพากันหลบไม่ให้พวกนั้นเห็น แต่พวกผมก็ได้ยินจากพวกมันว่า คุณสิงห์เป็นคนสั่งให้ฆ่า” ชาวบ้านที่เป็นชายวัยกลางคนตอบเสียงสั่นเล็กน้อย

ไฟคิดในใจลุงคนนี้คงกลัวว่าบอกไปแล้วจะถูกตามเก็บ

“สิงห์?” หมวดไฟถามย้ำอีกครั้ง จากที่กำลังคิดเรื่องหน้าที่ตรงหน้ากลับมีเรื่องที่ต้องสนใจมากกว่านั้นอยู่อีก

“ครับ ได้ยินเต็มสองรูหูว่าไอสิงห์สั่งให้เก็บสองแม่ลูก” ชาวบ้านหนุ่มอีกคนตอบให้คงเพราะเกลียดพวกนี้เต็มทน ถ้ามีคนกลัวก็ต้องมีคนไม่พอใจอยู่เป็นธรรมดายิ่งพวกเสี่ยพันธ์เองก็ยิ่งมีคนไม่พอใจอยู่มากเช่นกัน

นายตำรวจทั้งสองเห็นท่าไม่ดีจึงบอกให้ชาวบ้านรีบออกไปเพราะตอนนี้หมวดไฟเริ่มโกรธยิ่งกว่าเก่าเสียแล้ว

“จ่าคมเอากุญแจมา” น้ำเสียงทุ้มต่ำที่เอ่ยออกมานั้นดูน่ากลัวกว่าปกติ

“เอ่อ...”

“เอามา” เร่งอีกครั้งด้วยสายตาแข็งกร้าวกุญแจรถเลยถูกยื่นให้กับมือทันที

“จะไปที่นั่นไม่ได้นะครับหมวด ถ้าเราไม่มีหลักฐานมากกว่านี้เดี๋ยวจะเกิดเรื่องเอาได้นะครับ อีกอย่าง…หมวดต้องอยู่ตรวจสถานที่เกิดเหตุนี้นะครับ” จ่าคมเอาน้ำลูบแต่ก็ไม่ทันเสียแล้วในเมื่อหมวดไฟได้ขึ้นรถก็ขับออกไปไม่สนจะฟังใครทั้งสิ้น

“ไอ้สิงห์... มึงจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนวะ” ชายหนุ่มกัดฟันกรอดมือหนาบีบพวงมาลัยจนมือแดงเถือกไปหมด หมวกถูกหยิบออกมาวางไว้ที่เบาะข้างคนขับด้วยความรำคาญใจ

ไม่เข้าใจว่าทำไมมันต้องทำแบบนี้ นั่นแม่กับน้องมันเองแท้ ๆ ยังไงก็ไม่อยากจะเชื่อเลยสักนิดว่ามันเป็นคนสั่ง

แต่ถึงขั้นมีคนมาระเบิดรถคันนี้ สิงห์มันจะไม่ออกมาดูหน่อยหรือไง…

พอเข้าเขตไร่อัครเดชได้ก็เห็นคนยืนถืออาวุธอยู่ให้เต็ม แต่เขาก็ไม่ได้สนเรื่องนั้น ขับไปเรื่อย ๆ จนถึงหน้าทางเข้าที่มีคนยืนเฝ้าพร้อมอาวุธก็พุ่งเข้าชนประตูด้านหน้าทันที

“เฮ้ย! ทำอะไรของมึงวะ!” คนยืนเฝ้าคนหนึ่งตะโกนด่าเมื่อไฟขับรถชนประตูด้านหน้าอีกครั้งแต่ก็ยังไม่พังจึงถอยหลังออกมา

“ลงรถมาซะไม่งั้นกูยิง!” คนเฝ้าอีกคนชูปืนขู่แต่ไฟก็ไม่สนความตายบึ่งรถชนเข้าไปอีกครั้งจนมันพังลงจนได้

ปัง ๆ ๆ

เสียงปืนดั่งไล่หลังแต่ไฟก็ทำเพียงขับเข้าไปด้านใน มองเห็นบ้านไม้หลังใหญ่ที่เป็นบ้านของเสี่ยพันธ์ คนที่ยืนเฝ้าตามทางต่างวิ่งหลบรถกันให้วุ่น

“หยุด!” ลูกสมุนคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหา แต่ไฟก็เอี้ยวตัวหลบไปด้านหลังแล้วเอาแขนหักคออีกฝ่าย พอมีอีกคนที่เข้ามาก็ใช้หน้าแข้งเตะเข้าที่ท้องแล้วฉกปืนมาจากมือก่อนจะหันไปยิงขาพวกมันสองสามคนที่อยู่ใกล้ ๆ

ปัง

“อั่ก” ไฟล้มลงทันทีที่ถูกหนึ่งในพวกมันยิงเข้าที่แขนพอจะยกปืนขึ้นก็ถูกเตะปืนทิ้งอย่างรวดเร็ว

“อย่าขยับ!” ปืนนับสิบกระบอกถูกจ่อมาทางไฟและอีกหลายคนที่เดินมากักตัวไว้ให้หน้าแนบกับพื้นดินส่วนแขนก็ถูกดัดไพล่หลังจนขยับไม่ได้

“ปล่อยกู!” ตำรวจหนุ่มดิ้นไม่หยุดเลยถูกเตะเข้าที่หน้าหลายทีจนทำให้ดวงตาพร่าเบลอถึงกับต้องสะบัดหัวหลายหนเพื่อเรียกสติ

“ทำไมเอะอะเสียงดังกันจังวะ” น้ำเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมาจากด้านหน้า ถึงจะมองไม่เห็นเพราะถูกกดหัวไว้แต่ก็จำน้ำเสียงนี้ได้แม่นยำ

“ไอ้สิงห์ไอ้เหี้ย!” พอถูกจับตัวให้ลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าได้ก็พล่ามด่าคนตรงหน้าด้วยความโมโหทันที

“ก็ว่าใครที่ไหน.. มาถึงที่นี่เพื่อจะด่ากันเองหรอกหรือ” สิงห์เลิกคิ้วพอเดินเข้ามาใกล้ก็ก้มหน้าเล็กน้อยก่อนจะคลี่ยิ้มบาง ๆ “เป็นตำรวจแท้ ๆ แต่ดันมาบุกรุกบ้านคนอื่น แล้วไหนยังจะทำร้ายร่างกายประชาชนอีก ใช้ไม่ได้เลยนะ”

“ถุ้ย! บ้านเป็นรังโจรขนาดนี้ยังจะกล้าพูด” ไฟสบถจนทำให้ลูกน้องที่จับตัวอยู่ผลักไฟให้ลงกับพื้นแล้วพากันกระทืบจนตำรวจหนุ่มต้องขดตัวเป็นกุ้งเอาแขนป้องกันหน้าไว้

“กฎบอกไว้ว่าห้ามตำรวจเข้ามาที่นี่โดยไม่มีหมายจับหรือหมายค้น ถ้าใครเข้ามาจะต้องถูกฆ่าเพราะถือว่าบุกรุกบ้านคนอื่น” พอสิงห์เริ่มพูดพวกลูกน้องจึงดึงตัวให้ไฟมานั่งคุกเข่าเช่นเดิม “ดีแค่ไหนที่บุกเข้ามาทำร้ายคนที่นี่แล้วยังมีปากกล้าด่าคนอื่นแบบนี้แต่ยังไม่ถูกเด็ดหัว”

“กูไม่สนเรื่องนั้น ที่กูสนคือเรื่องของน้าพิมพ์อรกับน้องต้นอ้อ! มึงสั่งให้คนไปฆ่าพวกเขาใช่ไหม!” ไฟตะคอกเสียงดังดวงตาเริ่มแดงก่ำ “มึงฆ่าเพื่อนตัวเองไม่พอยังจะฆ่าคนในครอบครัวอีกหรือวะ! นั่นแม่มึงแล้วก็น้องสาวมึงไม่ใช่หรือไง!” ก้อนเนื้อในอกเหมือนถูกมือนับสิบมาขย้ำหวังให้แหลกสลาย ไฟก้มหน้ากัดฟันปล่อยให้ความโกรธและความเสียใจล้นปรี่ออกมาอย่างไม่คิดจะเก็บไว้

“ลืมไปแล้วหรือไงว่าแม่กูตายไปตั้งนานแล้ว ผู้หญิงนั่นมันก็แค่เมียน้อยและกูก็เป็นลูกคนเดียวไม่เคยมีน้องสาวหรอกนะ”

ไฟเงยหน้ามองคนพูดที่เหมือนเรื่องราวในอดีตเป็นเพียงแค่ภาพลวง ใบหน้านั้นที่แสนจะเย็นชาและไร้ความรู้สึกมองกี่หนก็รู้สึกเจ็บข้างในอกทุกครั้ง

ยิ่งด่า ยิ่งโกรธ ยิ่งแค้น

ก็กลายเป็นว่าดันเจ็บปวดเสียเองที่ไปด่า ดันเจ็บปวดเสียเองที่ไปโกรธและดันเจ็บปวดเสียเองที่ไปแค้น

“เมื่อก่อนมึงเรียกน้าพิมพ์อรว่าแม่ น้องโดนรังแกก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ บอกกูทีว่าทั้งหมดมันไม่ใช่เรื่องจริง เพราะไอ้สิงห์ที่กูรักมันไม่มีวันทำเรื่องชั่ว ๆ เหมือนตอนนี้!”

สิงห์ชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะรีบเอ่ยสั่งลูกน้องทันทีที่ไฟเริ่มพูดจาไร้สาระ “ปล่อยมันซะ”

“แต่—”

“กูบอกว่าให้ปล่อยมันไง” พอได้ยินอย่างนั้นลูกน้องก็เลิกกักตัวก่อนจะพากันเดินออกไปที่อื่นอย่างรู้งานส่วนคนเจ็บก็ออกไปรักษา ที่ตรงนี้จึงเหลือกันเพียงแค่สองคน

“มึง!” ไฟลุกขึ้นดึงคอเสื้อคนตรงหน้าง้างหมัดเตรียมจะต่อยแต่พอมองใบหน้าของคนที่ไม่เคยคิดจะเกลียดลงเพราะมันรักจนสุดหัวใจ มือที่จะต่อยก็สั่นค้างอยู่อย่างนั้น

“รีบออกไปซะ ยังพอให้อภัยได้เพราะพ่อมึงเองก็เป็นตำรวจใหญ่ จะฆ่าลูกชายของรองอธิบดีในกรมตำรวจภูธรเขตหนึ่ง คงจะเป็นเรื่องเอา” สิงห์เอ่ยเสียงเรียบแล้วดึงแขนของมันออก

“มึงสั่งให้คนไปฆ่าน้าพิมพ์อรจริง ๆ หรือเปล่า” น้ำเสียงของไฟดูอ่อนแรงคนที่เคยโกรธจนหน้ามืดบัดนี้กลับรู้สึกเหนื่อยที่จะต้องเจ็บปวดกับเรื่องพวกนี้

“ไปได้ยินมาจากไหนล่ะ” สิงห์กอดอกเงยหน้ามองอีกฝ่ายที่สภาพเหมือนหมาไหนจะเลือดจากตรงแขนที่ไหลไม่หยุด ปากก็เริ่มซีดคิดว่าอีกสักพักคงจะสลบเพราะเสียเลือดมาก

“ตอบกูมา”

“จะคิดอะไรก็เชิญ หรือถ้าจะจับกูก็ต้องหาหลักฐานมาด้วยก็แล้วกัน เดี๋ยวจะนอนรอให้ใส่กุญแจมือเลย” สิงห์ยิ้มมุมปากยกมือขึ้นตบข้างแก้มสากเบา ๆ สองสามทีแล้วหันตัวจะเดินกลับแต่ก็ต้องหยุดนิ่งกับที่เมื่อไฟยังคงยื้อไหล่ไว้

“เลิกทำแบบนี้ได้ไหม” หมวดไฟที่ใคร ๆ ก็ต่างบอกว่าไฟตามชื่อทั้งฉุนเฉียว อารมณ์ร้าย ไม่ว่าจะโจรชั่วตัวไหนก็ถูกเก็บหมดไม่มีสงสาร แต่ใครจะรู้ว่าหมวดไฟคนนี้นั้นมีจุดอ่อนอยู่และมีเพียงแค่จุดเดียวก็คือ...

คนที่ชื่อ ‘สิงห์’

“เลิกทำอะไร? คำพูดคลุมเครืออย่างนี้ใครจะไปเข้าใจกัน” สิงห์หันมาถามพลางเลิกคิ้ว

“มึงก็รู้ดียู่แก่ใจ” ไฟพูดติดขัดดวงตาหรี่ลงร่างกายคล้ายจะทรุดอยู่ตลอดเวลา

สิงห์ทำเพียงมองใบหน้าที่บวมช้ำไม่ได้ตอบอะไรออกไป ทว่าแค่เพียงครู่เดียวเท่านั้นไฟก็ล้มลงมาด้านหน้าแต่สิงห์ก็เบี่ยงตัวหลบจนไฟหน้าคะมำลงไปกับพื้นอย่างแรงจนฝุ่นข้างล่างคลุ้งไปหมด

ส่วนคนที่มองอยู่ได้แต่ส่ายหัว “มึงมันโง่ไอไฟ” สิงห์ว่าเสียงเบาแล้วหันมองรถที่อีกคนเป็นคนขับเข้ามา “ไอ้เกื้อ!”

คนถูกเรียกรีบกุลีกุจอวิ่งออกมาหลังจากที่หลบตามพุ่มหญ้าอยู่นานคล้ายนายสิงห์จะรู้ว่ามันแอบดูอยู่ “แหะ ๆ ครับนายสิงห์”

“เอามันไปทิ้งที่หน้าโรงพักซะ”

“ต้องพาไปรักษาก่อนไหมครับ”

“ไม่ต้อง ถ้าโดนยิงแค่นี้แล้วตายก็ปล่อยมันไป ก็ถือว่าสาสมที่มายิงลูกน้องกู” สิงห์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านไม่ได้สนใจไยดีเลยแม้แต่น้อย

ส่วนคนถูกสั่งก็ได้แต่เกาหัวงก ๆ ก้มมองคนที่สลบที่พื้นพลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนแล้วหันไปตะโกนเรียกคนอื่นให้มาช่วยแบกผู้หมวดคนนี้อีกแรง
 



(มีต่อด้านล่างนะคะ)
ปล.อำเภออ้อยขวางไม่มีในจังหวัดสิงห์บุรีนะคะเพียงแค่เอามาเป็นที่อยู่เฉยๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-09-2020 10:11:38 โดย IMYean. »

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
Re: พ่ายโลกันตร์
«ตอบ #2 เมื่อ22-03-2019 14:10:57 »

สู้ๆ

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐
«ตอบ #3 เมื่อ22-03-2019 23:19:14 »

*ต่อจากบทที่ ๑



หลังจากที่สลบไปหลายชั่วโมงไฟก็ค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นอย่างช้า ๆ รู้สึกปวดไปทั้งตัวจนต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพ่งมองรอบ ๆ ก็พบว่าที่นี่คงจะเป็นห้องพักผู้ป่วยในโรงพยาบาลประจำจังหวัด

“ตื่นแล้วหรือลูก” น้ำเสียงนี้คงจะเป็นใครไม่ได้นอกจากมารดาผู้ให้กำเนิดที่คงจะรู้ข่าวจึงมาหา

“แม่…” ไฟหันมองหญิงวัยกลางคนที่ยังคงมีรอยน้ำตาที่เหือดแห้งอยู่ตามใบหน้า ในใจชายหนุ่มก็รู้สึกผิดขึ้นมา

“แม่ตกใจมากเลยนะรู้ไหม อย่าทำอะไรบุ่มบ่ามแบบนี้สิ” ฤดีเอ็ดเล็กน้อยแล้วเอื้อมมือไปลูบผมลูกชาย

“ขอโทษครับ ผมแค่โกรธ…” ไฟหลับตาลงเพียงครู่เดียวเท่านั้นก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง “แม่รู้เรื่องของคุณน้าพิมพ์อรหรือยังครับ”

ฤดีพยักหน้า “แต่แม่ก็ยังไม่ปักใจเชื่อหรอกนะว่าคุณพิมพ์อรกับหนูต้นอ้อจะเป็นอะไรไปจริง ๆ รวมทั้งเรื่องของสิงห์เองด้วย…”

พอได้ยินชื่อใครบางคนนัยน์ตาชายหนุ่มก็สั่นไหว “ทุกอย่างมันชัดเจนมากเลยครับแม่ ไม่มีทางไหนที่จะคิดว่าสิงห์ไม่ได้ทำ แต่ผมก็ไม่อยากจะเชื่อหรอกนะ ผมอยากคุยกับเขาให้รู้เรื่อง”

“เฮ้อ” เธอถอนหายใจรู้สึกสงสารลูกชายเหลือทนจนต้องลูบผมอีกครั้งเพื่อปลอบแผลในใจ “คนเคยรักกัน ย่อมมีเยื่อใยหลงเหลือนะ นิสัยของสิงห์เป็นยังไงลูกก็น่าจะรู้ดีที่สุด”

ไฟได้แต่คิดตาม แม่ชอบพูดเช่นนี้เสมอเมื่อต้องคุยกันเรื่องของคนรักของเขา

แต่ไม่รู้ว่าสิงห์ลืมไปหรือยังว่ามีเขาที่เป็นคนรักของมันอยู่

เมื่อก่อนนั้นทั้งสิงห์และเขาเรียนด้วยกันเมื่อสมัยมัธยม พอจบก็ไปต่อโรงเรียนนายร้อยตำรวจที่นครปฐมพร้อมกันโดยมีพ่อของเขาที่เป็นผู้ปกครองในการทำเรื่องให้

เราสองคนต่างรู้สึกพิเศษต่อกันตั้งแต่อยู่มัธยมและยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อตอนเรียนอยู่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ในตอนนั้นเองเขาก็ได้เพื่อนเพิ่มมาคนหนึ่ง มันชื่อจัน ส่วนสิงห์ก็ได้เพื่อนมาเช่นกันชื่อนนท์ จึงทำให้เราสี่คนเป็นเพื่อนกินเพื่อนตาย

จนเมื่อเรียนจบได้เป็นตำรวจกันสมใจ เราทั้งสองได้ย้ายมาประจำการที่อ้อยขวางจันเองก็ตามมาด้วย จึงทำให้มีแต่คนเรียกพวกเราว่า ‘สามบุรุษแห่งอ้อยขวาง’ เพราะออกงานล่าโจรกี่ครั้งก็ไม่เคยพลาดเลยแม้แต่ครั้งเดียว

แต่ความภาคภูมิใจนั้นมาได้เพียงระยะสั้นก็ต้องจบลงไป...

เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อสามปีก่อนที่สิงห์ถูกพักราชการเพราะทำให้ทางกรมตำรวจสงสัยว่าช่วยเหลือพ่อของตัวเองในการส่งยาและอาวุธให้พ้นตาตำรวจที่ไปดักจับ

ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าตั้งแต่สิงห์มาประจำการที่อ้อยขวาง ตำรวจที่นี่ก็ไม่เคยดักจับรถส่งของพวกเสี่ยพันธ์ได้อีกเลย เขาไม่เคยคิดจะเชื่อว่าสิงห์จะทำอย่างนั้น ต่อให้เอาชีวิตเป็นประกันก็ไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่าคนรักของเขาจะทำเรื่องพวกนั้นได้

จนเมื่อผ่านไปหนึ่งปีหลังจากถูกพักราชการสิงห์ก็ยกปืนยิงจันเพื่อนของพวกเราด้วยมือตัวเอง ภาพนั้นยังจำได้ติดตา ทั้งใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มสดใสกลับไร้ความรู้สึก หูนี้ที่อีกคนเคยพร่ำบอกว่ารักกลับเอ่ยบอกพวกลูกน้องที่วิ่งเข้ามาเพราะเสียงปืนว่าสารวัตรโขมและเขาเป็นคนจัดการไอ้จัน

นับตั้งแต่นั้นมาไม่ว่าจะเจอหน้ากันกี่ครั้งก็เป็นอันต้องมีปากเสียง จากคนรักที่กว่าจะผ่านพ้นอะไรกันมาได้ ครานี้กลายมาเป็นศัตรูที่จ้องจะฆ่ากันแทน

บางครั้งก็ทำให้นึกถึงเมื่อวันที่เราเปิดใจคุยกับพ่อแม่ กว่าพวกท่านจะยอมรับนั้นยากเย็นเพียงใด ทั้งน้าพิมพ์อร น้องต้นอ้อ ทั้งพ่อและแม่ของเขาก็ต่างรู้เรื่องนี้กันหมด ยิ่งกับพ่อของเขาเองที่เป็นนายตำรวจยศใหญ่ย่อมมีหน้ามีตาในสังคม กว่าจะยอมรับเรื่องนี้ได้ต้องเสียน้ำตากันไปเท่าใด แม้ช่วงท้ายพ่อจะหมดความยอมรับในตัวสิงห์ แต่ครั้งหนึ่งท่านก็ยอมโดยไม่ห้ามและไม่พูดอะไร

สิงห์ลืมเรื่องพวกนี้ไปหมดแล้วหรือ

“ใครพาผมมาที่นี่หรือครับ” ตอนแรกก็คิดว่าจะถูกฆ่าตายตั้งแต่ที่ไร่แล้วเสียอีก ยิ่งถ้าเสี่ยพันธ์ได้รู้เรื่องเข้าล่ะก็ไม่น่าจะปล่อยเขามาง่าย ๆ หรอก แต่บางทีเจ้าตัวอาจจะไม่อยู่พวกลูกน้องจึงทำตามคำสั่งของสิงห์เสียมากกว่า

“ลูกน้องของเสี่ยพันธ์นั่นแหละ เห็นว่าเรียกให้ตามหมอทันทีที่มาถึง”

ไฟขมวดคิ้วแน่นหัวใจกลับเต้นไม่เป็นจังหวะขึ้นมา สิงห์เป็นคนบอกเรื่องนี้ให้พวกลูกน้องด้วยหรือเปล่า? ลึก ๆ ยังคงห่วงกันใช่ไหม

“อย่าดีใจไปเชียวหมวดไฟ” เป็นเสียงของจ่าธงที่พูดขัดขึ้นและเดินเข้ามาข้างเตียงพร้อมกับสารวัตรโขม พอเห็นอย่างนั้นไฟก็ยันตัวลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงทันทีเพื่อไม่ให้เสียมารยาทต่อทั้งสอง

“เรื่องที่บ้านคุณหลวงเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือลุงธง”

“เรียบร้อยแล้วล่ะ” จ่าธงว่ายิ้ม ๆ

“แล้วเรื่องที่บอกว่าอย่าดีใจไปหมายถึงเรื่องอะไรกัน”

จ่าธงตั้งท่าจะพูด ฤดีจึงจับแขนแล้วส่ายหน้า แต่ปากคนแก่ก็ไวอย่างนี้ล่ะนะ “หมอรัตน์เล่าให้ฟังว่าที่จริงแล้วไอ้สิงห์บอกให้ลูกน้องไปทิ้งเอ็งที่โรงพักตามคำสั่ง แต่ว่ามันไม่อยากใจดำจึงมาส่งที่โรงพยาบาล เหมือนลูกน้องไอ้สิงห์จะรู้นะว่าเอ็งตื่นมาคงจะคิดอะไรไปไกลเลยมาบอกไว้ก่อน ฮ่า ๆ”

ทันทีที่ได้ฟังหัวใจที่กำลังเต้นแรงก็เริ่มค่อย ๆ ช้าลงจนกลับมาเป็นปกติ จ่าธงเองก็อยู่มาตั้งแต่เราสองคนยังเด็ก ๆ คนเก่า ๆ ที่เคยอยู่ทันตอนนั้นก็มีรู้เรื่องบ้าง ไม่แปลกที่จะมาพูดแทงใจดำกันอย่างนี้

“จ่าธงก็” ฤดีตีแขนไปที

“เอ้าก็ข้าพูดเรื่องจริง เอ็งก็ได้ยินไม่ใช่หรือไง”

“เอาล่ะ ๆ เรื่องนั้นจะเป็นยังไงก็ช่างมันก่อนก็แล้วกันนะครับ” สารวัตรโขมที่เงียบมานานยกมือปรามทั้งคู่แล้วหันมาหาไฟพร้อมทำหน้าจริงจัง “หมวดไฟ ทางอธิบดีแจ้งมาว่าวันมะรืนให้ไปกรมตำรวจที่พระนครตามคำสั่ง”

“ทำไมล่ะขอรับ”

“เห็นว่าจะต้องถูกย้ายไปประจำที่นั่น คำสั่งว่าให้เข้าหน่วยนครบาล ส่วนรายละเอียดยิบย่อยต้องให้ทางการบอกอีกที”

หมวดไฟถึงกับนิ่งไปชั่วขณะ ถึงจะรู้ว่าการทำเกินกว่าหน้าที่และทั้งยังไม่ได้รับคำสั่งจะต้องถูกทางกรมตำรวจลงโทษแต่ไม่คิดว่าจะต้องถูกย้ายไปหน่วยนครบาลที่ทำหน้าที่ตามคำสั่งได้แค่ที่จังหวัดพระนครเท่านั้น

“สิงห์มันคงจะฟ้องทางนั้น” จ่าธงว่า

“ไม่หรอก ผมว่าน่าจะมีปัญหาอื่นเพราะเรื่องนี้เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงเองจะให้ส่งโทรเลขไปกว่าจะถึงคงเกือบอาทิตย์ได้ แต่ไม่ว่ายังไงเรื่องที่หมวดบุกไปที่นั่นก็คงต้องส่งถึงที่กรมเข้าสักวัน อาจจะทำให้ถูกลงโทษเพิ่มแต่ก็ถือซะว่าเป็นเรื่องเตือนใจให้ตัวเองสงบลงเสียบ้าง” สารวัตรโขมยังคงพูดตักเตือนในฐานะพี่น้องตำรวจเหมือนกัน “อยู่พระนครคราวนี้ ต่อให้ทำงานเด่น ๆ เพียงใดคงยากที่จะขอยื่นย้ายกลับมาประจำการที่อ้อยขวางอีก ดีไม่ดีอาจจะต้องถูกย้ายไปช่วยเหลือทางจังหวัดอื่นแทน”

“ใจร้อนก็แบบนี้ ก่อนออกจากสถานี สารวัตรก็ย้ำแล้วย้ำอีกว่าให้ใจเย็นซะบ้าง ถึงเรื่องนี้คงจะไม่เกี่ยวกับที่ไปบุกบ้านเสี่ยพันธ์แต่อีกไม่นานเดี๋ยวพวกเสี่ยพันธ์ก็คงส่งยื่นฟ้องที่กรมตำรวจให้ลงโทษหนักขึ้นก็เป็นได้” จ่าธงได้ทีก็บ่นใหญ่

“กระผมต้องขอโทษที่ทำให้สารวัตรเดือดร้อนนะขอรับ”

“ไม่เป็นไร ผมไม่ได้เดือดร้อนอะไรมากเพียงแต่อยากให้หมวดปรับเปลี่ยนบุคลิกนิสัยอีกสักนิดไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้บ่อย ๆ หรอกนะ.. เพราะถ้าหมวดยังคงเป็นเหมือนเดิม คราวนี้นอกจากชีวิตหมวดจะไม่มีทางกลับมาเหมือนวันนี้แล้ว ยังทำให้ทางกรมตำรวจมีปัญหาเพิ่มอีก”

“ทราบแล้วขอรับ กระผมจะรีบปรับตัวเองใหม่” ไฟยืดตัวตรงใบหน้าและคำพูดดูหนักแน่นน่าเชื่อถือ แต่ก็ยังคงต้องรอดูต่อไปอีกสักนิด

“ถ้าอย่างนั้นพักผ่อนเสียเถอะเดี๋ยวผมจะส่งโทรเลขไปที่กรมตำรวจว่าขอเวลาหมวดรักษาสักอาทิตย์หนึ่ง เพื่อจะได้เดินทางได้อย่างไม่ขัดข้อง”

“ขอบพระคุณมากขอรับ” ไฟยกมือไหว้ ก่อนจะถามเรื่องที่สงสัย “แล้วเรื่องคุณพิมพ์อรเป็นยังไงบ้างครับ”

สารวัตรโขมมองหน้ากับจ่าธงเพียงครู่เดียวดวงตาก็ฉายแววหม่นลงทันทีและเป็นสารวัตโขมที่เอ่ยบอกแทน “ถึงตอนนี้จะยังตรวจสอบไม่ได้แน่ชัด แต่หมอรัตน์ก็บอกว่าให้ทำใจเอาไว้ก่อน”

พอได้ยินอย่างนั้นหมวดไฟก็นิ่งค้างในหัวขบคิดหลายอย่าง

“ถึงแม้จะดูยากแต่ศพทั้งสองก็เป็นศพผู้หญิง”

“เอาเถอะหมวดไม่ต้องห่วงเรื่องนี้นะ คิดเรื่องที่กรมตำรวจเถอะ” จ่าธงตบบ่าเบา ๆ สองสามทีนายตำรวจทั้งสองก็พากันเดินออกจากห้องไป

“หิวน้ำไหมลูก”

“ครับ” ไฟพยักหน้าอย่างอ่อนแรง

ฤดีรู้สึกตกใจแต่ก็ไม่อยากพะวงให้ลูกต้องคิดมากเพิ่มจึงหันไปเทน้ำใส่แก้วแล้วป้อนลูกชาย “เหมือนที่สารวัตรโขมบอกไว้นั่นแหละนะ ให้ใจเย็นลงเสียบ้าง ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาแม่คงอยู่ไม่ได้หรอกนะไฟ”

ไฟยิ้มบาง ๆ “เข้าใจแล้วครับ”

“ดีแล้ว” ฤดีคลี่ยิ้มแล้วหยิบผลไม้ที่ปอกไว้มาให้ลูกตนได้กิน

“แม่จะไปอยู่ด้วยกันไหมครับ พ่อเองก็ไปประจำอยู่ที่อยุธยาผมไม่อยากให้แม่อยู่ที่นี่คนเดียว”

“ไม่ได้ ๆ แม่เป็นครูที่นี่ก็ต้องอยู่ที่นี่เพื่อสอนเด็กที่โรงเรียน คงไปไม่ได้หรอก”

“แต่ว่าโจรมันชุกชุมไม่มีใครสามารถมาดูแลแม่ได้นะครับ เป็นผู้หญิงอยู่บ้านคนเดียวด้วยแล้วยิ่งอันตราย”

“จ่าธงอยู่บ้านข้าง ๆ เดี๋ยวเรียกแกให้มาช่วยก็ได้”

“แต่บางทีลุงธงอาจจะอยู่เวรไม่กลับบ้านล่ะครับ ก็อันตรายอยู่ดี” ไฟขมวดคิ้วทำหน้าไม่เห็นด้วย ในสายตาของผู้เป็นมารดาเหมือนลูกตัวเองเป็นเด็กเล็กที่ทำหน้าเหมือนร้องไห้เพราะไม่ได้ขนมอย่างไรอย่างนั้น

ฤดีหัวเราะ “แม่ไม่เป็นอะไรหรอก ตอนลูกไปเรียนแล้วก็ทำงานไกลแม่ยังอยู่ได้ตั้งหลายปี”

“มันไม่เหมือนกันเลยครับ ตอนผมไม่อยู่พ่อก็ยังกลับมาอยู่บ้านได้ แต่คราวนี้ผมไม่รู้ว่าจะอยู่ประจำที่พระนครกี่ปีถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้แม่ไปอยู่ด้วยเพื่อความปลอดภัย พ่อเองก็ต้องอยู่ที่กรมคงหาเวลากลับยาก มันมีทางเดียวคือต้องย้ายไปอยู่ที่นั่นกับพ่อเลย”

ฤดียิ้มบาง ๆ “เด็กที่นี่ยังต้องการครูสอน บ้านเราไม่ค่อยมีครูเยอะยังไงซะแม่ก็ต้องทำหน้าที่คนเป็นครูไว้ เด็ก ๆ ยังต้องการเรียนรู้นะ”

“แต่—”

“เอาเป็นว่าถ้ามีเรื่องอะไรจริง ๆ แม่สัญญาว่าจะไปหาที่พระนครด้วยตัวเองทันทีเลย”

ไฟยังคงไม่เห็นด้วยแต่ก็ต้องยอมเพราะถ้าแม่พูดคำไหนก็ต้องเป็นคำนั้น ได้แต่หวังว่าจะไม่เกิดอะไรกับผู้เป็นมารดาในระหว่างที่ต้องประจำการที่พระนคร

แต่การที่ต้องอยู่รักษาตั้งเป็นอาทิตย์ก็อยากจะทำอะไรก่อนไปสักอย่าง เพราะหัวใจมันโหยหาจนคิดว่าถ้าไม่ได้ทำก็คงไม่สามารถไปที่พระนครได้...

มันอาจจะเป็นเรื่องที่สิ้นคิด แต่ว่า… เขาอยากจะคุย แม้ความหวังในการพบเจอจะน้อยนิด

ขอแค่ให้ได้รับรู้เรื่องทุกอย่างก่อนที่จะห่างกันไกลกว่าเดิม ขอเพียงเท่านี้จริง ๆ





จบบทที่ ๑
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-09-2020 10:13:46 โดย IMYean. »

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ ๒

ยังคงรัก

 
 
๑๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ เวลา ๐๐:๒๐ น.

ครบหนึ่งอาทิตย์ที่ต้องพักรักษาแต่ว่าไฟนั้นออกจากโรงพยาบาลตั้งแต่สองวันแรกแล้วและมาพักอยู่ที่บ้านแทน พอรุ่งเช้าของวันนี้มาถึงก็คงต้องรีบเดินทางไปที่พระนครทันที แต่ระหว่างนั้นก็กำลังจะทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการก่อนไป

ช่วงเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาก็ได้คิดไตร่ตรองถี่ถ้วนทุกอย่างไว้แล้วว่าจะทำยังไง มันอาจจะรวดเร็วสำหรับบางคน ทว่าสำหรับไฟมันช่างยาวนานและทรมาน การที่ต้องตั้งตัวเป็นศัตรูกับคนรักมานานสามปี มันควรจะพอได้แล้ว…

ถึงแม้ว่าเรื่องอาทิตย์ก่อนจะยังคงติดตราตรึงในก้นบึ้งของความรู้สึกก็ตาม

ชายหนุ่มหันมองซ้ายมองขวาภายในบ้านที่แสนจะเงียบเชียบ แม่คงจะเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำเหมือนอย่างเคย ตอนนี้ผู้หมวดที่เคยเห็นแต่งชุดตำรวจเกือบทุกวันบัดนี้กลับใส่เพียงเสื้อเชิ้ตดำกางเกงดำสวมหมวกก็สีดำ ถ้าใครบอกว่าเป็นโจรปล้นบ้านก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก ยิ่งมีไอ้ผ้าสีดำที่พกมาด้วยแล้วเรียกได้ว่าเตรียมปล้นบ้านคนอื่นได้เลย

แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะไปปล้นใครหรอก

จักรยานคันโปรดที่ชอบขี่ไปสน.บ่อย ๆ ก็เอาออกมาขี่เพื่อจะได้ไม่ให้มันเป็นจุดเด่นและเสียงดังจนเกินไป ตามท้องถนนด้านนอกเองก็เงียบกริบ แม้ว่ายังพอมีแสงสว่างจากบ้านเรือนตามพื้นที่แต่พอขี่ออกมาเรื่อย ๆ บ้านคนก็เริ่มหาย ถนนจึงปกคลุมไปด้วยความมืดอย่างแท้จริง แต่ไฟก็ไม่ได้รู้สึกหวั่นเพราะสมัยเด็กก็เคยแอบมาทำอย่างนี้บ่อยในเวลาที่พ่อกับแม่นอนแล้ว

ขี่ไปได้ไม่นานก็มาถึงสถานที่ที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี เมื่ออาทิตย์ก่อนก็เพิ่งจะถูกยิงมาสด ๆ ร้อน ๆ

และที่นี่คือไร่อัครเดชเป็นที่ที่เขาต้องการมาตั้งแต่แรก

พอขี่เข้ามาทางลัดที่เป็นทางที่เคยแอบมาตอนมัธยม มันเป็นป่าทึบที่อยู่ด้านข้างไร่เป็นทางที่เขาและสิงห์รู้กันเพียงสองคนเท่านั้น สมัยก่อนเขาชอบแอบมาหาสิงห์เพราะอยากอยู่คุยด้วย

เสี่ยพันธ์ก็ไม่ค่อยถูกกับตำรวจคงจะรวมถึงลูกตำรวจอย่างเขาก็ด้วย พ่อเองตอนอยู่ที่นี่ก็เป็นคนหนึ่งที่ไล่จับเสี่ยพันธ์ไม่ปล่อย ไม่แปลกที่จะต้องทำอย่างนี้แทนการขอเข้าไปหาตรง ๆ

ในไร่มีแสงไฟเปิดเรียงรายพวกที่ยืนถือปืนคอยเฝ้าด้านในก็ยังคงมีอยู่ เมื่อสองสามปีก่อนหลังจากที่สิงห์ถูกพักราชการรวมถึงเรื่องที่ยิงจัน เขาอยากจะมาหาถึงที่นี่เหมือนวันนี้ แต่ว่าไม่รู้ทำไมถึงมีคนมาเฝ้าแถวตรงห้องของสิงห์จนไม่สามารถเข้ามาได้ตลอดสามปี

แต่ก็ต้องดีใจที่วันนี้แทบไม่มีคนมาอยู่แถวนี้เหมือนเปิดทางให้กัน ไฟรีบใส่ผ้าปิดปากไว้หันมองรอบกายอย่างระมัดระวังพอเห็นหน้าต่างชั้นสองของบ้านไม้ที่ไม่มีแสงไฟเล็ดลอดก็เป็นอันเข้าใจดีว่าเจ้าของห้องคงหลับไปเสียแล้ว

บริเวณข้างบ้านมีพุ่มหญ้าให้หลบได้แต่ก็ไม่จำเป็นในเมื่อแถวนี้ไม่มีลูกน้องของเสี่ยพันธ์ยืนอยู่เลยสักคนแถมห้องของสิงห์เองก็ตรงข้ามกับป่าทึบจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะขึ้นไปได้โดยไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาเจอ

ตุบ!

พอปีนขึ้นมาถึงหลังคาของชั้นแรกก็ต้องหยุดนิ่งกับที่ มันแข็งแรงดีแต่ใช่ว่าจะไม่ลื่น ไฟสบถกับตัวเองเสียงเบาแล้วรีบจับขอบผนังไม้เพราะหน้าต่างเปิดไว้อยู่

พอเข้ามาได้ก็ต้องกะพริบตาหลายหนเพราะห้องมืดจนแทบมองไม่เห็นคนด้านใน ไฟหันไปปิดหน้าต่างทันทีเพื่อไม่ให้ใครมองเข้ามาได้ในเวลาที่ต้องไปเปิดไฟ ยังดีที่เป็นหน้าต่างทึบไม่ใช่หน้าต่างกระจก แต่คราวนี้พอปิดหน้าต่างก็ไม่มีแสงสว่างลอดออกมาจนต้องคลำตามผนังเพื่อไปที่สวิตช์ไฟ ขนาดไม่ได้มาหลายปีทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเดิม ชินทางในห้องจนสามารถหาที่เปิดไฟได้

“คิดจะเปลี่ยนใจไปเป็นโจรแล้วหรือไงครับผู้หมวด” เสียงของคนที่คิดว่านอนอยู่กลับดังขึ้นทันทีที่ร่างสูงกดเปิดไฟ

พอหันไปมองเจ้าของห้องที่ตอนนี้กำลังนั่งพิงหัวเตียงอย่างไม่ทุกข์ร้อนใดใดคล้ายกับรู้ว่าจะต้องมีคนบุกเข้ามาในห้อง ก็นึกตกใจระคนดีใจ...

“รู้ได้ไงว่าเป็นกู” ไฟถามแล้วถอดผ้าปิดปากกับหมวกออก

“จะมีใครบ้างล่ะที่รู้ทางลัด ห้องของกูอยู่ใกล้กับป่าจะมาทางนั้นก็คงไม่โดนจับง่าย ๆ ต่างจากการบุกเข้ามาทางอื่นที่มีคนอยู่ให้เต็ม”

“แล้วไม่คิดว่าจะมีคนฉลาดเข้ามาทางนั้นเพื่อจะบุกมาฆ่ามึงหรือไง” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง ทว่าในใจกลับรู้สึกเป็นห่วงที่อีกคนไม่ใส่ใจเรื่องนี้

“ต่อให้กูปิดมิดชิดคนมันจะฆ่าต่อให้ปาระเบิดใส่ทั้งบ้านก็คงทำไปแล้ว” สิงห์พูดอย่างไม่สะทกสะท้าน

“ดูจะไม่กลัวอะไรเลยนะ” ไฟเดินเข้าไปนั่งบนเตียงอย่างถือวิสาสะวางหมวกกับผ้าไว้ข้างกายเพื่อจะเท้าแขนคร่อมตัวเจ้าของห้องไว้พร้อมกับจดจ้องใบหน้าที่แสนจะคิดถึง

“นี่ผู้หมวดถ้ามีอารมณ์ก็ไปหาเด็กที่ซ่องก็ได้นะ เดี๋ยวจะคุยกับเจ้าสัวเหวยให้” ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ก็ไม่ได้ผลักออกแต่อย่างใด

“กูไม่ได้มาหาเพราะเรื่องนั้น”

“อือฮึ แล้ว?”

“กูแค่จะบอกว่ากูต้องไปประจำการที่พระนครนะ ไม่รู้ว่าต้องไปกี่ปี”

สิงห์หัวเราะในลำคอ “มาบอกทำไม ไม่ได้อยากรู้สักหน่อย”

“เปิดหน้าต่างแล้วนั่งรอกันขนาดนี้ แน่ใจหรือว่าไม่อยากรู้” ไฟเลิกคิ้ว

“ก็แค่เปิดรับลมเท่านั้น อีกอย่างข่าวมันไวเสียซะจนกูต้องคิดไว้แล้วว่ามึงต้องมา”

“ข่าวไว? มึงมีสายหรือไง”

สิงห์ทำเป็นตกใจ “แย่เลย ถือว่าเมื่อกี้ไม่ได้พูดแล้วกันนะ”

“สิงห์...” ไฟกดเสียงต่ำแต่ก็เบื่อที่จะต้องมาทะเลาะกันเพราะที่ผ่านมาก็ไม่ได้อยากจะทำอย่างนั้นเลย “กูจะถามมึงครั้งสุดท้ายก่อนไปที่พระนคร เรื่องของไอ้จันแล้วก็น้าพิมพ์อรตกลงมันเป็นยังไงกันแน่”

คนถูกถามถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย “กูน่าจะพูดไปแล้วไม่ใช่หรือไง”

“มึงว่าแต่กูพูดจาคลุมเครือมึงเองก็ไม่ต่างกัน กูอยู่กับมึงมานานแค่ไหนดูก็รู้ว่าทุกคำที่มึงพูดมันมีแต่คำโกหก”

สิงห์เงียบไปนานก่อนจะพยักหน้าอย่างจำยอม “ก็ได้ถ้ามึงอยากรู้เดี๋ยวจะบอกให้ แต่เรื่องไอ้จันมึงก็น่าจะเห็นไม่ใช่หรือไงว่ากูเป็นคนฆ่ามันแล้วยังจะมาถามอะไรอีก”

“แล้วมึงจะไปฆ่ามันทำไม มันทำอะไรผิดนักหรือไง นั่นเพื่อนนะสิงห์”

“แล้วอย่างไร มันควรจะขอบคุณที่ตายด้วยน้ำมือกูแทนที่จะเป็นไอ้พวกลูกน้องชั้นต่ำ”

ไฟขมวดคิ้วแน่นแต่ก็ยังไม่พูดอะไรรอให้อีกคนพูดต่อ

“ที่จริงทั้งมึงแล้วก็สารวัตรโขมถ้าไม่อยู่ตรงนั้นกูก็คงไม่โยนให้พวกมึงหรอก แต่น่าเสียดายที่พวกมึงดันเสนอหน้าอยู่ เอาเป็นว่าอย่าถือโทษโกรธกันเลยนะ” สิงห์ยกมือลูบแก้มคนตรงหน้าปากเจือด้วยรอยยิ้มอย่างคนไม่รู้สึกรู้สาที่ไปฆ่าใคร

“ส่วนเรื่องของสองแม่ลูกนั่น กูสั่งให้คนไปฆ่าจริง ๆ ตามที่เข้าใจนั่นแหละ”

“ทำไม? มึงคิดว่าเรื่องนี้มันน่าเชื่อหรือไง”

“ไม่เชื่อก็ตามใจ ที่จริงกูบอกพวกมันว่าให้ยิงก็พอแต่ดันเอาระเบิดไปปาใส่รถด้วย ฮ่า ๆ แม่งซวยซะจริง”

“มึง…” ไฟหลับตาลงเพื่อพยายามอดกลั้นก่อนจะจ้องหน้าอีกฝ่าย “ทั้ง ๆ ที่แต่ก่อนมึงก็ห่วงแม่กับน้องสาวขนาดนั้น มึงคิดว่ากูอยากจะเชื่อหรือไงว่าทั้งหมดมันเป็นความจริง”

สิงห์เงียบลงใบหน้าที่กำลังยิ้มก็กลับมาบึ้งตึงเปลี่ยนอารมณ์เร็วจนคนมองตกใจ ก่อนที่มือเรียวนั้นจะเอื้อมไปจิกท้ายทอยของไฟพร้อมกับพูดออกมาอย่างโกรธเคือง “กูไม่เคยคิดนับถือมันว่าเป็นแม่กู ต้นอ้อกูก็ไม่เคยคิดจะห่วงคนอย่างมัน! แต่กูต้องคอยดูแลต้องคอยไปปกป้อง เพราะถ้ากูไม่ดูแลมัน พ่อก็จะมากระทืบกู!!”

“ว่าไงนะ”

ทำไมเรื่องนี้ไม่เคยรู้เลย

“กูต้องทนรับชะตากรรมแบบนี้มานานแค่ไหนกูจำได้ดี ถ้าต้นอ้อมันมีแผลสักนิดกูก็โดนกระทืบ ไหนจะแม่มันที่มาเป็นเมียน้อยพ่อกูแล้วยังไปมีชู้เพิ่มอีก อาทิตย์ก่อนที่มันจะหนีออกไปมันจะออกไปกับชู้มัน กูเลยต้องสั่งลูกน้องให้ไปฆ่าพวกมัน ส่วนกูก็อยู่ฆ่าชู้มันที่นี่! กูโคตรสะใจตอนรู้ว่าพวกแม่งถูกระเบิดตาย ฮ่า ๆ”

สิงห์ทั้งโกรธทั้งยิ้มปะปนกันจนเหมือนคนบ้า แต่สำหรับคนมองแทนที่จะต้องควรโกรธมากกว่าเดิมแต่กลับรู้สึกสงสารจนได้แต่มองอีกคนหัวเราะแม้ดวงตาจะไม่ได้แสดงออกว่าอยากหัวเราะจริง ๆ

ถึงจะรู้ว่าเสี่ยพันธ์ตบตีสิงห์บ่อยแต่เหตุผลส่วนมากเพราะสิงห์ไปขัดใจคนเป็นพ่อแล้วก็เพราะคบหากับเขา ไม่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับต้นอ้อเลยสักนิด

ความรู้สึกมันบอกว่าตอนนี้สิงห์ยังโกหกเขาอยู่เลย…

พอเห็นว่าสิงห์เริ่มสงบลงไฟจึงพูดขึ้นมา “รู้ไหมว่ากูโกรธมึงมากเลยนะ” สีหน้าของไฟในตอนนี้ไม่ได้มีเค้าของความโกรธตามที่พูดมันมีแต่ใบหน้าที่เจ็บปวดในตอนที่มองหน้าของคนที่ตัวเองรัก “แต่ที่โกรธ มันเพราะมึงไม่ยอมบอกอะไรกูเลย”

ไฟยังคงพูดต่อ “ถึงกูจะไม่เข้าใจว่าเหตุผลของมึงคืออะไร แต่มึงเชื่อไหมว่าขนาดกูเห็นมึงฆ่าเพื่อนต่อหน้าต่อตา ได้ฟังเรื่องอะไรหลายอย่างมาจากคนอื่น ทั้งเรื่องของน้าพิมพ์อรกับน้องต้นอ้ออีก แต่กูกลับคิดว่ามึงต้องมีเหตุผลที่ทำ มึงคงไม่ได้ตั้งใจ”

พูดไปภาพเก่า ๆ ก็ผุดเข้ามาในหัว ถูกสอนมาตั้งแต่เด็กว่าการเป็นผู้ชายและการเป็นตำรวจ ห้ามร้องไห้ ห้ามแสดงความอ่อนแอออกมา แต่ตอนนี้กลับกลั้นน้ำตาไม่อยู่ เพราะต้องทนกับเรื่องที่ตัวเองไม่เข้าใจมาสามปี ต้องทนอยู่เป็นศัตรูกับคนที่ตัวเองรักมาสามปี

จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจอะไรเลย…

ไฟก้มลงเอาหน้าแนบกับไหล่อีกคนปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างกับไม่ใช่หมวดไฟที่คนภายนอกรู้จัก “กูคิดถึงมึง อยากกอดมึง อยากจะช่วยมึงออกมาถ้าเกิดมึงไปเดินบนเส้นทางที่ผิด กูพร้อมที่จะช่วยมึงทุกอย่างถ้ามึงบอกกูสักคำ แต่มึงก็ไม่เคยบอกกูเลย แม้แต่ตอนนี้ ที่มึงบอกมากูกลับไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องจริงเลยสักนิด”

“กูเคยคิดนะว่ามันจะผิดต่อไอ้จันไหม จะผิดต่อน้าพิมพ์อรกับน้องต้นอ้อหรือเปล่าที่กูยังเชื่อใจว่ามึงต้องมีเหตุผลสักอย่าง”

สิงห์เค้นเสียง “เหอะ คนไม่เชื่อเขาจะถ่อมาถึงที่เพื่อจะด่ากันหรือไง”

ไฟผละตัวออกจากลาดไหล่ของอีกคนทันที “เพราะกูโกรธไงสิงห์ กูไม่เข้าใจอะไรเลย กูถึงถ่อมาหา เผื่อมึงจะบอกอะไรกูสักคำบ้าง”

“ถ้าอย่างนั้นมึงจะคิดอะไรก็เรื่องของมึง อยากจะเชื่อสิ่งไหนก็เชื่อไปเพราะถือว่ากูพูดไปหมดแล้ว ตอนนี้ก็รีบไสหัวออกไปด้วย”

“สิงห์...” ไฟเรียกเสียงอ่อน “พอเถอะนะ”

นอกจากจะไม่ฟังอะไรแล้วยังทำร้ายจิตใจกันด้วยกระบอกปืนที่จ่อกลางอก ไฟก้มมองปืนนี้ที่สิงห์ใช้มาตั้งแต่เข้ารับราชการจนบัดนี้ใช้ไปในทางที่ผิด แสงวาววับสะท้อนตาเรียกให้ชายหนุ่มเอื้อมไปสัมผัส เห็นอีกฝ่ายสะดุ้งเล็กน้อย ไม่กลัวว่าปืนอาจจะลั่นใส่เพราะเขานั้นได้เห็นแหวนสีทองที่เคยให้สิงห์

สิงห์ยังคงใส่อยู่... หากเป็นแบบนี้ถือว่าเป็นหลักฐานได้ไหมว่าสิงห์เองก็ยังรักเหมือนกัน

เขายิ้มบาง ๆ “ยังรักกันอยู่ใช่ไหม สิงห์..”

คนถูกถามเงียบไปนานก่อนจะผละปืนออกสลับไปถืออีกข้างแล้วกางนิ้วดูแหวนนิ้วนางข้างซ้าย “ลืมไปเลยนะว่าใส่ไว้อยู่ หากจำได้ว่าใส่คงจะถอดทิ้งไปนานแล้ว” พูดเสร็จก็เหลือบมองอีกฝ่ายที่มีแววตาเจ็บปวดทันทีที่ได้ยิน

“สิงห์...”

“จะขอคืนหรือ เอาไปสิ” สิงห์ถอดแหวนออกแล้ววางใส่มือคนตรงหน้า “ใส่ไปเดี๋ยวจะเปื้อนเลือดเปล่า ๆ เอาไปให้คนอื่นเสีย คืนให้ครั้งนี้ถือว่าเป็นน้ำใจที่เคยช่วยเหลือกัน”

คล้ายถูกมีดนับพันเล่มปักเข้ากลางอก เจ็บเสียยิ่งกว่าแผลที่ถูกยิงภายนอก “คิดดีแล้วใช่ไหมที่จะทำแบบนี้”

“คิดดีมานานแล้ว” สิงห์ตอบเสียงเรียบ

ไฟมองคนรักที่แววตาไม่แม้แต่จะสั่นคลอนหรือรู้สึกผิดที่พูดอย่างนั้นเลย “เข้าใจแล้ว” เขายอมลุกไปดับไฟและเดินออกไปเปิดหน้าต่างทั้ง ๆ ที่ยังคงกำแหวนไว้แน่น มองเห็นดวงจันทร์สีครามเต็มดวงเหมือนดั่งวันที่เราเคยดูด้วยกันที่ศาลากลางน้ำสมัยเด็ก ก็นึกคิดถึงอดีตที่เคยดี

“ขอบคุณที่ทำให้กูได้มาคุยด้วยก่อนที่จะไปพระนคร”

“อย่าคิดไปเอง”

ไฟยิ้มอย่างเหนื่อยไปทั้งกายและใจหันไปมองคนรักด้วยน้ำตาที่คลอเล็กน้อย “ไฟรักสิงห์นะ และยังคงรักเสมอ” เขาไม่รู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายทำหน้ายังไงเพราะมันมืดจนแทบไม่เห็น อาจจะดีใจ เสียใจหรือไม่ได้สนใจ...

“ไปครั้งนี้คงนาน ฝากดูแลแม่ด้วยนะ ท่านอยู่บ้านคนเดียว” พอเห็นว่าสิงห์ไม่แม้แต่จะตอบอะไรจึงพูดต่อ “ถ้ากลับมาเมื่อไหร่จะไม่บุกมาเหมือนอาทิตย์ก่อนอีกแล้ว จะพยายามใจเย็น”

สิงห์ยังเงียบอยู่อย่างนั้น ไฟจึงหัวเราะในลำคอหันไปมองดวงจันทร์อีกรอบ “น่าแปลกนะ มึงเคยเตือนเรื่องนี้ตั้งหลายรอบ กูก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ดูตอนนี้สิ แม่งเหมือนหมาที่เพิ่งมาคิดได้ ถึงแม้ว่ากูยังไม่รู้เลยว่ากูจะทำได้จริงหรือเปล่า”

เขาเหมือนพูดระบายกับอากาศและลม  แต่ก็รู้ว่าสิงห์ยังคงฟังอยู่ไม่อย่างนั้นคงไล่ออกไปนานแล้ว “สิงห์... ถ้าวันไหนกูเกิดตายขึ้นมามึงจะร้องไห้หรือเปล่า”

สายลมเย็น ๆ ลอยพัดผ่านดวงใจที่เหี่ยวแห้งก็เหมือนกลับจะสามารถปลิวไปตามลมได้โดยง่ายเพียงแค่โดนนิดเดียว “กูแค่ถามไปอย่างนั้นแหละ คงเพราะในชีวิตกูเคยมีแต่มึงมาคอยช่วยแล้วก็มีแต่คิดว่ามึงยังรอกูกลับจากปฏิบัติหน้าที่กูเลยรอดมาได้ตลอด แต่ว่าพอไม่มีมึงมาห้ามไม่ให้ใจร้อน ไม่มีมึงที่รอกินข้าวด้วยกัน ชีวิตกูก็ขาดแสงสว่างไป กูยอมรับว่าชีวิตกูอยู่ได้เพราะมีแต่มึง”

เขาหันกลับไปมองคนรักอีกครา “เพราะฉะนั้นกูจะตามหาความจริงด้วยตัวเอง วันนี้อาจจะไม่ใช่วันของกูเพราะกูไม่ได้เข้มแข็งพอ หากพบกันอีกกูจะไม่ให้มึงมาไล่กูได้อย่างนี้แน่นอน”

ไฟยอมออกไปยืนนอกหน้าต่างเมื่อคิดว่าอยู่ไปก็ไม่ได้อะไรเพราะสิงห์ไม่แม้แต่จะตอบเขาสักคำ

“กูไปก่อนนะสิงห์ ดูแลตัวเองด้วยล่ะ... ไฟรักสิงห์นะ

ก็ยังคงเป็นหมาขี้แพ้ที่รักเจ้าของไม่เสื่อมคลายแม้ว่าเจ้าของจะทิ้งขว้างไม่สนใจเหมือนเคย


 


พ่ายโลกันตร์

 

 

“ขอบคุณทุกคนที่เคยช่วยเหลือกันตอนทำงานนะ” หมวดไฟก้มหัวพลางยิ้มให้ตำรวจทุกนายที่ออกมายืนส่งตรงหน้าสถานี

“ตอนที่อยู่พระนครก็อย่าเพิ่งใจร้อนล่ะหมวด เดี๋ยวผมจะช่วยเหลืออีกแรง จะหาทางให้หมวดกลับมาประจำที่อ้อยขวางอีกครั้ง”

“ต้องเดือดร้อนสารวัตรเยอะเลย ขอบพระคุณมากนะขอรับ”

“ไม่เป็นไร คุณเป็นตำรวจที่ดีผมก็อยากจะช่วยเหลือ”

“หมวดไม่อยู่คงไม่มีใครคอยปลุกใจพวกเรา” จ่าคมพูดขึ้นเพราะเวลาไปจับโจรแม้จะไม่มีหนทางเหลือแต่ก็มีหมวดไฟที่คอยปลุกระดมความเป็นตำรวจให้ทุกคน ยิ่งเป็นลูกน้องในหน่วยของหมวดเองก็เสียดายที่ไม่ได้ร่วมงานกันไปอีกนาน

“เดี๋ยวให้สารวัตรกับจ่าธงเป็นคนจัดการเอง” หมวดว่าอย่างนึกขัน

“สารวัตรก็คงได้ แต่จ่าธงจะไหวหรือ”

“อ่าว ๆ ไอ้นี่ ดูถูกกูซะแล้ว” จ่าธงเท้าสะเอว

“แล้วตอนนี้ของที่ต้องเตรียมเอาไปเอาออกมาครบหรือยัง” สารวัตรเอ่ยถาม

“เห็นว่าแม่จ้างคนช่วยยกของ ไม่รู้จะขนอะไรไปเยอะแยะ” หมวดไฟบ่นตามภาษาคนไม่ค่อยใส่ใจ แม่เอาแต่จัดของซะเยอะ เสื้อผ้าคงเอามาทั้งตู้

“ยังไม่รู้เลยว่าจะไปประจำกี่ปีก็คงเตรียมไว้เผื่อให้”

“เผื่อไว้มากไป” จ่าธงว่า

“อันนี้ผมเห็นด้วย” หมวดไฟหัวเราะ เพียงไม่นานรถที่พ่อทิ้งไว้คันหนึ่งก็ถูกขับออกมา คนในรถนั้นมีแม่ที่นั่งมาด้วยโดยมีคนขนของอีกสองคนที่แม่จ้างมา

“นั่นไง ดูสิน่ะของเต็มหลังรถเลย” จ่าธงชี้

ไฟได้แต่กลืนน้ำลายกำลังคิดว่าหากไปไม่ทันการคงเพราะของหนักจนรถยางแบนเข้า

“ไม่น่าออกมาก่อนเลยไม่อย่างนั้นคงห้ามไม่ให้เอาของมาแล้ว” ไฟถอนหายใจพอแม่ลงรถมาก็ต้องเดินเข้าไปบ่นอีกครา “แม่ครับเอาของมาเยอะไปหรือเปล่า”

“ไม่เยอะเลยลูก ประจำกี่ปีก็ไม่รู้เอาไปเผื่อไว้” ฤดีลูบแขนลูกชาย

“แต่ถ้าของเยอะขนาดนี้เรียกผมเอาก็ได้ ผมจะได้ไม่ต้องออกมาที่สถานีก่อน”

“โอ๊ยไม่ได้ ๆ ขับรถไกลคงเมื่อยแย่ไว้เมื่อยแค่ตอนขับรถกับตอนขนของลงก็พอ”

“อ่าวแม่”

“ฮ่า ๆ ลำบากแล้วสิเอ็ง” จ่าธงหัวเราะชอบใจ

“รีบไปได้แล้วไปเดี๋ยวสายขึ้นมาจะถูกว่าเอา” ฤดีตบไหล่เบา ๆ ก่อนจะกอดแนบแน่น “ดูแลตัวเองด้วยนะลูก อย่าหักโหมงานหนักมากนะ”

“ขอบคุณครับแม่ แม่เองก็ดูแลตัวเองด้วยนะ” ไฟหอมแก้มผู้เป็นแม่ก่อนจะหันไปตะเบ๊ะให้นายตำรวจทุกคน “ไว้ผมจะกลับมาที่นี่นะครับ”

“ผมจะรอ” สารวัตรพยักหน้า

“ฝากทุกคนดูแลคุณนายฤดีด้วยนะครับ”

“ได้เลย”

“ไฟก็” ฤดีหัวเราะ

“ไว้ใจข้าได้ แม่เอ็งจะปลอดภัยหายห่วง”

“ให้จริงเถอะจ่าธง”

“เอ้ เอ็งอยากจะโดนฟาดกระบาลก่อนไปหรือไง”

“หยอกน่ะครับ” ไฟอมยิ้มก่อนจะเดินอ้อมไปอีกฝั่ง “ขอบคุณครับ” เขาก้มหัวให้คนขนของที่ยื่นกุญแจรถให้แล้วก็ขอบคุณอีกคนที่มาด้วยกัน เป็นคนแก่ทั้งคู่ ได้แต่สงสารลุงทั้งสองที่รับงานหนักจากแม่

“ขับรถดี ๆ นะลูก”

“ครับ” ไฟคลี่ยิ้มเข้าไปนั่งข้างในพร้อมสตาร์ทรถเตรียมจะออก แต่พอนึกอะไรได้ก็ต้องหยุดลงแล้วหันมองทางด้านหลัง

“มีอะไรหรือเปล่าหมวด” สารวัตรก้มถาม

“อ่อ เปล่าครับ”

“หาใครอยู่ล่ะ ใช่คนนั้นหรือเปล่า แต่อย่างมันคงไม่มาหร๊อก” จ่าธงก็ยังคงเป็นจ่าธงเหมือนเดิม

“อีกแล้วนะจ่าธง” ฤดีปราม

“ข้าไม่ได้พูดชื่อนะ”

“นั่นสิครับ เพราะถ้าเขามาผมคงมัวแต่ดีใจจนไม่อยากไปพระนคร”

“รักจริง ๆ เลยนะคนนี้” จ่าธงทำหน้าเห็นใจแต่ก็ปนความหมั่นไส้ลึก ๆ

“รีบไปเถอะลูก” ฤดียิ้มให้ ไฟจึงยกมือไหว้บอกลาก่อนจะบึ่งรถออกจากสถานี ไม่วายยังหันมองกระจกหลัง เผื่อจะได้เห็นคนที่อยากเจอ

แต่ก็ไม่พบ...

“ไม่คิดจะมาส่งกันหน่อยหรือไง” เขาได้แต่ถอนหายใจอย่างคนอ่อนแรง

สามปีก่อนหน้านี้ติดคำว่าหน้าที่จนไม่เป็นอันจะทำอะไร แล้วยังจะต้องห่างอีกไม่รู้กี่ปี วันไหนถึงจะได้พบกันอีก คงได้แต่รอเวลาเพื่อให้ได้ทำในสิ่งที่อยากทำจริง ๆ เพราะเมื่อคืนแทบไม่ได้ทำอะไรเลย

ไฟก้มมองแหวนในมือที่ยังใส่อยู่ก่อนจะจับสร้อยคอที่ห้อยด้วยแหวนอีกวงหนึ่งพลางถอนหายใจที่ทำได้แต่ยอมให้เป็นแบบนี้ไปก่อน ในเมื่อทำได้เพียงเท่านี้ก็คงต้องทนต่อไปอย่างเดียว






จบบทที่ ๒
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-09-2020 10:17:07 โดย IMYean. »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :กอด1:
 :pig4:

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ ๓

ย้อนวัย : พบกันครั้งแรก



พ.ศ. ๒๔๖๗

๑๖ ปีที่แล้ว ณ โรงเรียนประจำจังหวัด

เสียงคนพูดคุยดังก้องทั่วบริเวณ เด็กเล็กเด็กโตต่างยืนรอกันหน้าทางบ้านไม้ที่เป็นโรงเรียนขนาดเล็ก วันแรกของการเปิดภาคเรียนเริ่มขึ้น เด็กหน้าใหม่หน้าเก่ามีเข้าเรียนอยู่ไม่ถึงสามสิบคนเพราะครูผู้สอนมีเพียงสี่ท่านเท่านั้น เด็กนักเรียนบางคนงบไม่ถึงจึงเรียนตามบ้านหรือไม่ก็เรียนที่วัด เพราะเหตุนี้คนมาเรียนที่นี่จึงมีน้อยนิด

“ขอยินดีต้อนรับนักเรียนทุกคนในการเปิดภาคเรียนวันแรกนะ สำหรับคนไหนที่เพิ่งจะเข้าชั้นมัธยมปีที่หนึ่งใหม่ให้มายืนกันตรงนี้” เสียงคุณครูวัยหนุ่มพูดขึ้นก็มีเด็กนักเรียนเจ็ดแปดคนที่เดินออกไปยืนเรียงกันตามที่คนเป็นครูบอก

“ถ้าครบแล้วก็ตามครูมา” ว่าเสร็จก็พาเดินเข้าไปด้านในห้องเรียนที่อยู่ใกล้เพียงนิดเดียวเท่านั้น

ที่นี่มีโต๊ะตั้งกับพื้นให้แต่ละคนแต่มีเพียงสิบตัวเท่านั้นแต่ห้องก็ไม่ได้แคบอะไร เด็ก ๆ ต่างหาที่นั่งกัน บางคนได้เพื่อนแล้วก็นั่งข้างเพื่อน ดูเหมือนว่าทุกคนจะมีเพื่อนกันหมด ยกเว้นเด็กคนหนึ่งที่กำลังนั่งตัวคนเดียวหลังห้องริมหน้าต่าง

ดูไม่เข้าสังคมและดูเหมือนสังคมจะไม่ต้องการเช่นกัน

คนเป็นครูเองก็ได้แต่เก็บพะงำไม่กล้าพูดอะไรเพราะรู้ดีว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกของใคร

“ครูชื่อชาติชัยนะ เรียกครูชาติก็ได้ ยังไงก็ยินดีที่ได้รู้จักทุก ๆ คนนะ” ครูหนุ่มยังคงพูดทักทายอย่างเป็นกันเอง ก่อนจะบอกให้นักเรียนแนะนำตัวกันจนมาถึงเด็กคนหนึ่งที่เป็นจุดสนใจตั้งแต่อยู่ข้างหน้าห้องเรียน

“กระผมชื่อเพลิงกาฬ ไตรษิณย์ ชื่อเล่นชื่อไฟขอรับ”

“โอ้ ลูกผู้กองอนงค์ใช่ไหม”

“ขอรับ” ไฟยิ้มอย่างอารมณ์ดี เพื่อน ๆ พากันหันมาพูดคุยด้วยเพราะต่างรู้จักผู้กองอนงค์กัน

“พ่อฉันพูดถึงแต่พ่อไฟตลอดว่าเป็นตำรวจที่เก่งมาก ๆ เลยนะ ไม่เคยมีตำรวจคนไหนเก่งเท่านี้มาก่อน ขนาดฉันเป็นผู้หญิงเองยังชื่นชมท่านเลย”

“นี่ ๆ ฉันน่ะเคยใฝ่ฝันว่าอยากจะเป็นตำรวจเพราะพ่อนายเลยนะ จะได้ไปปราบพวกโจรหน้าเลือดเหมือนอย่างผู้กองอนงค์บ้าง” ทุกคนต่างแย่งกันพูดจนคนฟังได้แต่หัวเราะอย่างคลาดเขิน

“ผู้กองอนงค์เป็นตำรวจที่ใคร ๆ ก็รู้จัก ท่านได้ช่วยเหลือปราบคนเลว อย่างโจรดัง ๆ ที่ชื่อไอ้ษาผู้กองอนงค์ก็เป็นคนปราบมาแล้ว” พอครูชาติพูดเสร็จทุกคนก็ยิ่งชื่นชมพ่อของไฟขึ้นไปอีก จนทั้งห้องเอาแต่ถามไถ่เรื่องผู้กองอนงค์กันให้วุ่น

“เอาล่ะ พอ ๆ ค่อยพูดเรื่องนี้กันทีหลังก็แล้วกันนะ คนต่อไปแนะนำตัวเลย” ครูชาติผายมือไปทางเด็กที่นั่งริมหน้าต่าง ถึงจะเกร็ง ๆ ที่เด็กคนนี้ไม่ยิ้มไม่แย้มแต่ในฐานะครูก็ต้องดูแลเด็กทุกคนให้ดี

“กระผมชื่อสหัส อัครเดช ชื่อเล่นชื่อสิงห์” ถึงแม้จะแนะนำตัวตามเพื่อนทว่ากลับรู้สึกเหมือนน้ำเสียงดูเรียบนิ่งไม่ร่าเริงเหมือนดั่งคนอื่น

“ใช่ลูกเสี่ยพันธ์หรือเปล่าวะ” เด็กที่อยู่ข้าง ๆ ไฟหันไปกระซิบกระซาบกับเพื่อนที่นั่งด้วยกัน

“นามสกุลอัครเดชขนาดนั้นจะมีใครอีกล่ะ” เด็กอีกคนตอบจึงดึงความสนใจของไฟเป็นอย่างมากเพราะพ่อเองก็ไล่จับคนที่ชื่อเสี่ยพันธ์มาเนิ่นนานแต่ก็ยังจับไม่ได้เสียที

เด็กหนุ่มหันไปมองคนริมหน้าต่างที่นั่งลงกับที่เหมือนอย่างเคยแล้ว ใบหน้าที่ดูเรียบนิ่งไม่สนใจใคร ทว่า พอคุณครูเริ่มสอนใบหน้านั้นก็มีปฏิกิริยาใคร่รู้ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทำให้คนที่มองอยู่เผลอยิ้มออกมาด้วยความไม่รู้ตัว ยิ่งได้เห็นภาพตรงหน้าในขณะที่ผมสีดำเข้มขยับพลิ้วไหวยามที่สายลมพัดผ่านมาทางหน้าต่างก็ยิ่งละสายตาออกมาไม่ได้

หัวใจของเด็กหนุ่มกำลังเต้นแรง...

ไฟรีบหันกลับมาสนใจหนังสือบนโต๊ะพร้อมกับเคลื่อนมือมาจับตรงหน้าอกที่หัวใจมันเต้นเร็วซะจนกลัวว่ามันจะระเบิดออกมา ได้แต่คิดในหัวว่าแย่แน่... ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปต้องแย่แน่ ๆ  ต้องพยายามไม่ให้หันไปสนใจ อาการแปลก ๆ พวกนี้จะได้หายไปเสียที

ถึงแม้ว่าจะคิดอย่างนั้นแต่ไฟก็ยังหันไปมองคนริมหน้าต่างอยู่ทุกนาที

เด็กคนนั้นชื่อสิงห์หรือ?

ก็ดูตั้งใจเรียนดี ถึงภายนอกจะเหมือนไม่สนใจแต่พอถึงเวลาเรียน หรือเวลาเปลี่ยนวิชาคนที่ชื่อสิงห์ก็จะรีบทำตาม ดวงตาจดจ้อง หูรับฟังคำสอนของผู้เป็นอาจารย์ พยักหน้าบางครั้งแล้วเขียนลงกระดานดำ

ไฟแทบไม่ได้ฟังครูสอนเพราะมัวแต่หันมองคนริมหน้าต่าง เพราะดันตกอยู่ในภวังค์ของเด็กที่ชื่อสิงห์ไปเสียแล้ว

“ไฟมากินข้าวด้วยกันไหม” กานต์เพื่อนในห้องเอ่ยถามทันทีที่ถึงเวลาพัก

เด็กหนุ่มหยิบปิ่นโตเตรียมจะเดินไปด้วยแต่พอหันไปเห็นสิงห์ที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครเข้าไปคุยก็นึกอยากจะเข้าไปทักทาย

“พวกนายไปเถอะ ฉันว่าจะไปนั่งกินตรงนู้นสักหน่อย” ไฟบอกพวกกานต์ก่อนจะเดินออกไปหาเด็กที่ชื่อสิงห์ที่กำลังนั่งลงใต้ต้นไม้ห่างจากห้องเรียนไม่มากพร้อมกับเอาถ้วยปิ่นโตของตัวเองออกมาวางตรงหน้า

“สวัสดี นายชื่อสิงห์ใช่ไหม ฉันไฟนะ” เด็กหนุ่มโบกมือทักทายพร้อมกับนั่งลงตรงข้าม เปรยยิ้มอย่างเป็นกันเองแต่ดูเหมือนว่าอีกคนจะไม่ได้สนใจ

“นายเรียนเก่งเหมือนกันนะ ตอนอาจารย์เรียกตอบคำถามนายก็ตอบทันทีเลย ฉันยังไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ ฮ่า ๆ” ไฟหัวเราะ ค่อย ๆ หยิบถ้วยปิ่นโตออกมาวางบ้าง

“นายลองกินกับข้าวของฉันได้นะ แม่ฉันทำอร่อยมาก แล้วนั่นแม่นายทำให้ใช่ไหม” ไฟชี้ไปที่กับข้าวสองสามอย่างของคนตรงข้ามก่อนชะงัก “น้ำพริกหรือ อันนี้แกงอะไรดูเผ็ดน่าดู อ้อ ถ้วยนี้หมูทอด”

“ทำไมถึงมาคุยกับฉันล่ะ” สิงห์วางถ้วยข้าวลง ไม่ได้จะผลักไสหรือไม่อยากมีเพื่อนแต่แค่ไม่คิดว่าจะมีคนมาคุยด้วย

“ก็เพราะอยากเป็นเพื่อนไงเรื่องมันก็แค่นั้นเอง ขอชิมหน่อยนะ” ไฟตักหมูทอดน่ากินเข้าปาก เคี้ยวสองสามครั้งก็ต้องยิ้มกว้าง “อร่อยจัง”

“ไม่กลัวหรือ”

“กลัว?” ไฟเคี้ยวข้าวเต็มกระพุ้งแก้ม “เรื่องอะไรล่ะ”

“ก็ฉัน… เป็นลูกของโจร” สิงห์ก้มหน้าน้ำเสียงดูเบาหวิว

“แล้วนายคิดว่าตัวเองเป็นโจรหรือเปล่า” ไฟถามแล้วตักผัดเปรี้ยวหวานฝีมือของแม่ตนให้กับอีกคน

“ฉันไม่รู้” สิงห์ก้มมองกับข้าวในถ้วย

“ถึงนายจะเป็นลูกของโจร ใช่ว่าตนจะเป็นโจรไปด้วย ถ้านายบอกกับตัวเองว่าไม่ใช่โจรนายก็จะไม่ใช่โจร”

สิงห์ใจชื้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น “พ่อนายเป็นตำรวจ ฉันรู้ว่าผู้กองก็ตามจับพ่อของฉันด้วยแล้วทำไมนายถึงยังมาคุยกับฉัน ทั้ง ๆ ที่ฉันเป็นลูกของคนที่พ่อนายตามจับล่ะ”

ไฟยิ้มให้ “ก็บอกแล้วไงว่าฉันอยากจะเป็นเพื่อนกับนาย”

การสานมิตรเป็นไปได้ด้วยดีแต่ถึงอย่างนั้นสิงห์ก็ยังคงเก็บตัวไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจาต่างจากไฟที่ไม่ว่าจะมาถึงโรงเรียน พักกินข้าวหรือกลับบ้านก็เป็นอันต้องไปหาสิงห์อยู่ทุกเมื่อ เพื่อนในห้องก็ต่างชอบพูดว่าอย่าไปยุ่งเดี๋ยวจะโดนฆ่าอะไรก็ไม่รู้ของพวกนั้น แต่ไฟก็ไม่เคยคิดจะฟังคำใครนอกจากเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็น

 

ผ่านไปสามเดือน

“สิงห์!” ขอเพียงแค่เห็นสิงห์เดินไปโรงเรียนในทางเดียวกันเหมือนทุกครั้งไฟรีบก็วิ่งเข้าไปหาทันที “นี่ขนมใส่ไส้ แม่ฉันทำมาให้นาย”

สิงห์รับถุงกระดาษมาดู ปากก็เม้มเข้าหากันเหมือนอยากจะพูดอะไร

“ไม่ชอบขนมใส่ไส้หรือ”

“เปล่า” สิงห์ตอบเสียงเบาแล้วยื่นปิ่นโตขนาดเล็กให้กับไฟ “กล้วยบวชชีกับบัวลอยไข่หวาน แม่ทำมาให้”

“ฮ่ะ ๆ ขอบพระคุณขอรับ” ไฟรับปิ่นโตมาถือปากก็ยิ้มกว้างดีใจอย่างปิดไม่มิด

“ถ้าอร่อยจะทำมาให้อีก” สิงห์พูดตามที่แม่ของตนบอกทุกคำคล้ายจับวาง

“ไม่ต้องกินก็รู้ว่าอร่อย เพราะกับข้าวที่แม่นายทำก็อร่อยทั้งนั้น”

สิงห์หันมองคนข้างกายที่เดินพูดไปยิ้มไปพอเจ้าตัวหันมามองก็ต้องรีบหลบสายตา “กับข้าวแม่นายก็อร่อย…”

“อย่างนั้นหรือดีใจจังที่นายชอบ” ไฟอมยิ้มยกแขนคล้องคอคนข้าง ๆ อย่างที่ทำประจำ

 

พ.ศ. ๒๔๖๘ ขึ้นชั้นมัธยมปีที่สอง

“สิงห์ไปบ้านฉันไหม แม่บอกอยู่ตลอดว่าอยากให้นายไปกินข้าวที่บ้านแต่นายก็ไม่ยอมไปสักที” ไฟที่นั่งโต๊ะเรียนข้าง ๆ บ่นขึ้นมาทันทีหลังจากได้เวลาเลิกเรียน

“พ่อนายไม่ว่าหรือ”

“กลัวอะไรอีกล่ะ พ่อฉันเองก็อยากให้นายไปเหมือนกันนะ”

“ฉันกลัวว่าพ่อนายจะไม่ชอบฉัน”

“ฉันคุยกับพ่อเรื่องของนายแล้ว ท่านอยากจะเจอนายนะแล้วแม่ฉันก็มารอรับแล้วด้วย”

สิงห์มีท่าทีลังเลจนไฟต้องดึงแขนให้อีกคนเดินตามออกไปจากห้องเรียน

“ไฟ ทางนี้ลูก” เสียงเรียกของใครบางคนดังมาจากทางด้านหน้าโรงเรียนพอเห็นไฟยกมือไหว้คนเป็นแม่ก็เป็นอันเข้าใจได้ทันที แต่ใบหน้าของเธอดูอ่อนโยนเป็นอย่างมากจนสิงห์ถึงกับมองเหม่อไปชั่วขณะ

“คนนี้ไงแม่ที่เคยเล่าให้ฟัง” ไฟเขย่าไหล่ของสิงห์เพื่อเรียกสติ

สิงห์จึงรีบยกมือไหว้อย่างนอบน้อม

“ไงจ๊ะ ชื่อสิงห์ใช่ไหม”

“ครับ”

“เจ้าไฟชอบเล่าให้ฟังบ่อย ๆ ว่าสิงห์ขี้อาย ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา ปากอย่างใจอย่าง” เธอเอ่ยฟ้องเพื่อนลูกชายจึงทำให้สิงห์ถึงกับหันไปมองไฟทันทีที่ได้ยิน

“อะไร ฉันแค่พูดให้ฟังเฉย ๆ นะ ไม่ได้จะว่าร้ายนายสักหน่อย” ไฟรีบแก้ตัวแต่ดูเหมือนทั้งคู่จะไม่สนใจตนเสียแล้ว

“สิงห์ไปกินข้าวกับน้านะลูก น้าทำกับข้าวไว้เยอะเลย”

สิงห์ยังคงอึกอักไม่กล้าตอบพอหันไปมองเพื่อนสนิทที่พยักหน้าเร่งอยู่หลายหนจึงต้องตอบรับไป “ได้ครับ”

“ดีเลย! ถ้าอย่างนั้นกลับบ้านกันเถอะ”

ดูเหมือนว่าไฟจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษจึงทำให้คนเป็นแม่ต้องคลี่ยิ้มอย่างนึกเอ็นดูที่เด็กสองคนนี้ถึงแม้นิสัยจะต่างกันแต่กลับสนิทกันได้

เดินกลับเพียงไม่นานก็มาถึงบ้านไม้ทรงไทยสวยงาม ทั้งสามขึ้นไปยังชั้นบนเห็นชายวัยกลางคนดูสูงภูมิฐานที่กำลังยืนทำอะไรอยู่ตรงริมตู้

“พี่อนงค์คะ” เธอขานเรียนสามีพร้อมกับหยิบพวกสัมภาระของเด็กทั้งสองไปวางบนโต๊ะให้

“ว่าไงฤดี ไปรับเจ้าตัวแสบมาแล้วรึ” เสียงทุ้มน่าเกรงขามเอ่ยเพียงเท่านั้น ฟังแล้วดูขี้เล่นสำหรับคนในบ้านทว่าคนนอกอย่างสิงห์กลับรู้สึกกลัวจนเผลอถอยไปแอบข้างหลังของไฟ

“ค่ะพี่ เจ้าตัวก็พาเพื่อนมาด้วย” เธอเดินไปจับไหล่ของสิงห์ลูบปลอบให้หายหวั่นพร้อมกับยิ้มออกมาเป็นเชิงบอกว่าจะไม่เป็นไร

“ใช่ที่ชื่อสิงห์หรือเปล่า” อนงค์หันมามอง ใบหน้าดูเหมือนไฟเป็นอย่างมากดวงตาคมกริบ จมูกโด่งเป็นสันทว่าปากของไฟนั้นกระจับคล้ายกับแม่

“ฉันไหว้จ้ะ” สิงห์ยกมือไหว้ทันที

“ไหว้พระ ๆ มาก็ดีแล้วจะได้กินข้าวกันนะ” พ่อลูกคงจะคล้ายกันตรงที่หน้าดูเข้มและดุทว่าจิตใจกับคำพูดดูอ่อนโยน

“นั่งรอตรงนั้นก่อนนะเดี๋ยวน้าจะไปยกกับข้าวมาให้” ฤดีผายมือไปทางโต๊ะกินข้าวใกล้กับห้องรับแขก

“ให้ผมช่วยไหมครับ”

“ไม่เป็นไรลูก เดี๋ยวให้เจ้าไฟไปช่วย”

“อ่าวแม่”

“ไม่ต้องมาอ่าวเลย มานี่” ฤดีดันหลังลูกชายได้ยินเสียงสองแม่ลูกถกเถียงกันสิงห์ก็อมยิ้มขึ้นมา

“นั่งเลย ๆ” อนงค์เอ่ยบอกแล้วเก็บอุปกรณ์การช่างก่อนจะหายเข้าไปข้างใน สิงห์จึงเดินไปนั่งขัดสมาธิเพราะเป็นโต๊ะเตี้ยนั่งกินกับพื้น รอเพียงไม่นานก็ได้กลิ่นหอม ๆ ของกับข้าวโชยมา

“มาแล้ว ๆ” ไฟพูดมาแต่ไกลพร้อมวางถาดลงบนโต๊ะ ด้านในมีจานชามที่ใส่กับข้าวมากหน้าหลายตา

“น่ากินจัง”

“ใช่ไหมล่ะ”

“กับข้าวยังคงอุ่น ๆ อยู่ ต้องรีบกินเดี๋ยวจะชืดหมด” ฤดีถือหวดนึ่งข้าวมาวาง “ไฟไปเอาจานกับช้อนมาเลยลูก แล้วบอกพ่อด้วยว่าให้ตักน้ำมาด้วย”

“จ้า” ไฟตอบรับลุกออกไปพร้อมกับถาดในมือ

“สิงห์กินเผ็ดได้ใช่ไหมลูก”

“กินได้ครับ ของโปรดผมเลย”

“ดีแล้วเพราะเจ้าไฟน่ะดันกินเผ็ดไม่ค่อยได้ ต้องกินแต่กับข้าวที่ไม่เผ็ดมาก”

“จริงหรือครับ ก็ว่าทำไมตอนกินข้าวด้วยกันไฟกินแต่ของไม่เผ็ด” สิงห์อมยิ้ม

ฤดีหันมองทางครัวก่อนจะป้องปาก “คงอายถ้าบอกเพื่อนไปว่ากินเผ็ดไม่ได้”

สิงห์หัวเราะเล็กน้อย รู้สึกผ่อนคลายกว่าจากที่คิดไว้เยอะ

“เอ้าพ่อ ก็บอกว่าอย่าเดินเร็วไง น้ำมันหกเห็นไหมเนี่ย” ไฟบ่นเสียงดังเห็นสองพ่อลูกเดินข้างกันก็ยิ่งดูเหมือนฝาแฝด

“อะไรของเอ็ง ข้าก็เดินปกติน้ำมันไม่ยอมอยู่เฉย ๆ ก็ไปโทษน้ำสิวะ” ผู้เป็นพ่อเองก็บ่นไม่แพ้กัน

“ก็พ่อเดินเร็วจนน้ำหกเดี๋ยวก็ไม่ได้กินกันพอดี”

“เอ็งนี่บ่นเหมือนแม่เลยนะ”

“พ่อก็ขี้บ่น”

“ไอ้ลูกคนนี้”

“พอเลย ก็ขี้บ่นเหมือนกันทั้งคู่นั่นแหละ มา ๆ เดี๋ยวแม่ตักข้าวให้” ไฟยื่นจานกับช้อนให้แต่ยังขมวดคิ้วมุ่น

“เอ้อสิงห์ ได้ข่าวว่าเอ็งสอบได้ที่หนึ่งของห้องเลยใช่ไหม” อนงค์ที่นั่งลงข้างภรรยาเอ่ยถามแขกของบ้าน

“ครับ…” สิงห์เกร็งเล็กน้อยพอเห็นว่าท่านยิ้มก็เริ่มปรับตัวได้

“ดี ๆ ไม่เหมือนไอ้เจ้าไฟเรียนก็ไม่เข้าใจ สอบก็ได้ที่สุดท้าย”

“โธ่พ่อ คนเรายังต้องมีล้มบ้างเส้นทางมันไม่ได้เรียบง่าย”

“ล้มบ่อยไปแล้วเอ็งน่ะ” อนงค์ใช้ช้อนชี้หน้าก่อนจะตักข้าวกิน

“สิงห์ฝากสอนไฟหน่อยนะลูก” ฤดีพูดขึ้น

“ได้ครับ”

“อะไรของนายน่ะ ยังจะตอบรับคำอีก”

“ก็ตอนอยู่โรงเรียนนายก็ไม่ยอมตั้งใจเรียนไม่ใช่หรือไง”

“ใครบอกกัน”

สิงห์ตักข้าวกินแล้วชี้ที่ดวงตาของตัวเอง “เห็นอยู่ทุกวัน”

“มั่วแล้ว…”

“ฮ่า ๆ ขนาดเพื่อนยังพูดเลยไอไฟเอ๊ย” อนงค์หัวเราะชอบใจ

“ได้ ๆ คอยดูเถอะ ไฟจะเอาคะแนนดี ๆ มาให้ตกใจกันไปเลย”

“แล้วสิงห์ได้คิดหรือเปล่าว่าเรียนจบแล้วจะไปทำงานอะไร”

สิงห์นิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยตอบอย่างหนักแน่น “ผมอยากเป็นตำรวจครับ” พอได้ยินอย่างนั้นทุกคนก็ต่างหันมองสิงห์เป็นตาเดียว

“ไม่เห็นนายเคยบอกฉันเลย”

“ก็นายไม่ได้ถาม” พอได้ยินคำตอบ ไฟก็อยากจะหยิกแก้มคนข้างกายสักที ตั้งแต่สนิทกันดูเหมือนฝีปากจะเก่งขึ้นกว่าเดิม

“ทำไมถึงอยากเป็นตำรวจล่ะ” อนงค์ถามต่อใบหน้ากลับมาจริงจัง

“ไว้ทานข้าวเสร็จก่อนแล้วกันนะ” ฤดีเอ่ยขัดเพราะเผื่อสิงห์กลับบ้านเย็นไม่ได้ต้องรีบกินจะได้มาคุยกัน

จนทั้งสี่นั่งกินข้าวกันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็พาลงมานั่งใต้ถุนบ้าน อนงค์เองก็ไม่ยอมปล่อยให้เสียเวลาเปล่า “แล้วที่ถามไปล่ะ ว่าไง”

สิงห์ก้มหน้าลงเรื่องนี้มันไม่ได้ตอบยาก แต่พอนึกถึงเรื่องราวในชีวิตที่ต้องพบเจอร่างกายก็ดูอ่อนแรงทันตา

“ไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไรนะ” น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยบอกพร้อมสัมผัสอันแสนอบอุ่นที่ทาบบนไหล่จึงทำให้สิงห์เงยหน้าขึ้นมามองเพื่อนสนิท

น่าแปลกนะที่เพียงแค่นี้ก็ทำให้สบายใจขึ้นได้

“คุณลุงคงรู้ว่าพ่อกระผมเป็นโจร” สิงห์กล้าพูดเต็มปากถึงจะอายและไม่อยากพูดถึงแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคือความจริง

“ตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ผมได้ยินเสียงปืนอยู่ตลอดเวลา บางทีก็ได้ยินเสียงคนร้องไห้ คนร้องขอชีวิต ทุกครั้งที่เดินออกจากบ้านก็จะเจอแต่พวกที่ถือปืน พวกที่ติดยาติดฝิ่น ผมไม่เคยมีความสุขเลยที่ได้มองสิ่งพวกนั้น เงินที่ได้มาเรียนทุกวันก็ไม่รู้ว่าไปปล้นไปได้มาจากสิ่งผิดกฎหมายหรือเปล่า เห็นพ่อที่เป็นโจรร้ายผมไม่เคยดีใจหรือมีความสุขเลยสักนิด ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะเป็นตำรวจ จะทำให้ไร่อัครเดชเป็นไร่จริง ๆ ไม่ใช่ที่ของพวกโจร”

“โธ่ลูก” ฤดีรู้สึกเห็นใจ ทำไมเด็กอายุเพียงเท่านี้ถึงเจอเรื่องราวมรสุมในชีวิตที่หนักขนาดนี้กันนะ

“กล้าจับพ่อตัวเองหรือเปล่า?”

“กล้าครับ” สิงห์พยักหน้า “ผมคิดว่าการจับพ่อตัวเอง คงจะดีกว่าการที่เห็นพ่อต้องทำบาปเพิ่มอีก”

“เสี่ยพันธ์เกลียดตำรวจซะขนาดนั้น ถ้าเกิดไม่ได้เป็นตำรวจเพราะพ่อไม่เห็นด้วยขึ้นมาล่ะจะทำยังไง”

“ที่จริงผมก็ยังไม่รู้เหมือนกันขอรับว่าจะต้องทำยังไง เพราะพ่อเองก็คงจะไม่ยอมง่าย ๆ เช่นกัน ถึงผมจะคัดค้านเรื่องที่พ่อเป็นโจรเพียงใดแต่เด็กอย่างผมในตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้มากอยู่ดี”

อนงค์พยักหน้าก่อนจะกอดอก “สมมุติว่าถ้าได้เป็นตำรวจแล้วทางการมีคำสั่งให้ฆ่าพ่อตัวเอง.. จะทำได้ไหม”

“พ่อ!” ไฟหน้าเสียรีบเอ่ยขัดเพราะไม่อยากให้สิงห์ต้องมารู้สึกไม่ดี

แต่สิงห์ก็ทำเพียงวางมือบนขาไฟเพื่อให้ใจเย็น “ผมยอมรับว่าทำไม่ได้ เพราะทำไม่ได้จึงอยากจะทำอย่างอื่นแทน”

“อย่างอื่น?”

“ในจังหวัดนี้หรือแม้แต่ทั่วทั้งภาคกลางคงไม่ได้มีแค่กลุ่มของพ่อ มันมีกลุ่มอื่นอีกผมอยากจะค่อย ๆ จับพวกนั้นก่อน พ่อจะได้ไม่ต้องไปขายอะไรให้ใครอีก พอถึงตอนนั้นผมก็อยากจะจับพ่อด้วยมือของตัวเอง”

อนงค์ทำเพียงแค่นั่งเงียบ ๆ จ้องมองเด็กตรงข้ามที่แม้ว่าดวงตาจะดูสั่นไหวแต่น้ำเสียงกลับหนักแน่น เป็นเด็กที่มีความคิดเหมือนผู้ใหญ่ รู้จักวางแผน เฉลียวฉลาด ถ้าได้เป็นตำรวจจริง ๆ ก็คงจะทำผลงานเด่น ๆ ได้อีกเยอะอย่างแน่นอน แต่ถ้าเป็นโจรก็ถือว่าอันตรายเป็นอย่างมาก ทางที่ดีถ้าในตอนนี้เด็กยังมีความดีในตัวและคิดดีอยู่ก็อยากจะดูแลปกป้องความดีเหล่านี้เอาไว้ไม่ให้เลือนหาย

พอถามในสิ่งที่ตัวเองอยากรู้แล้วอนงค์จึงรีบเปลี่ยนเรื่องทันที “นอกจากเรื่องเรียนแล้วศิลปะการต่อสู้ได้เรียนบ้างไหม”

“ผมเรียนมวยไทยที่วัดพรหมวิหารตั้งแต่เรียนประถมแล้วขอรับ ก่อนจะจบประถมสี่ผมก็ไปเรียนยูโดแล้วก็คาราเต้เพิ่มกับคุณหลวงธารานันท์ ท่านใจดีคอยฝึกสอนให้”

“ดีเลยนะนั่น คุณหลวงเก่งเรื่องกีฬาโชคดีถ้าท่านเอ็นดู” อนงค์ยิ้มชม

“เรียนมวยไทยด้วยหรือ ฉันชักอยากจะลองดวลด้วยสักยก” ไฟกอดอกทำหน้ามั่นใจเต็มเปี่ยม

“เจ้าไฟเคยเป็นตัวแทนมวยไทยของโรงเรียนน่ะ” ฤดีบอกเพื่อนลูกชายที่ทำหน้างุนงง

“เออน่าสน ถ้าอย่างนั้นพวกเอ็งก็ลองกันสักตั้งสิ”

“ครับ?” สิงห์เกือบตามไม่ทัน

“มาเร็ว ๆ” ไฟอยากสู้เต็มแก่ลุกออกไปยืนนอกบ้านพร้อมกับถอดเสื้อกับรองเท้าเพื่อจะเตรียมโชว์ความสามารถที่เก่งกว่าด้านเรียน

สิงห์ถอนหายใจแล้วถอดเสื้อออกบ้าง รองเท้าถุงเท้าก็ถอดออกทั้งคู่จึงเหลือเพียงกางเกงน้ำตาล

“ชนมือกันหน่อย”

ทั้งคู่ชนมือกันก่อนจะถอยหลังยกการ์ดตั้งท่าตามฉบับมวยไทย

“เอ้าเริ่ม!” สิ้นเสียงของผู้เป็นพ่อไฟก็ชกไปก่อนจากความใจร้อนแต่สิงห์ก็เอียงหัวหลบได้ทัน

ไฟชกเข้าไปอีกแต่อีกคนก็หลบได้เหมือนเดิม พอยกขาจะเตะสีข้างแต่สิงห์ก็ยกเข่ารับไว้ได้ทันท่วงที

“ก็ใช้ได้หนิ” ไฟยิ้มพร้อมกับยกแขนทั้งสองข้างป้องกันหมัดซ้ายของสิงห์แล้วยกเท้าขวาใช้ท่ามอญยันหลัก*ถีบเข้าที่หน้าท้องของอีกฝ่ายในทีเผลอ พอเห็นว่าสิงห์ถอยหลังตามแรงถีบก็รีบใช้ส้นเท้าหมุนตัวในท่าจระเข้ฟาดหาง* แต่สิงห์ก็เอาแขนมารับไว้พร้อมเหวี่ยงออก

พอได้ทีตนบ้างสิงห์จึงเตะเข้าไปกลางหลังของไฟในตอนที่อีกคนยังตั้งตัวไม่ได้ก่อนจะกระโดดหมุนตัวใช้แรงขาเหวี่ยงกลับมาเตะอีกที ต่างจากท่ามวยไทยตามปกติที่น่าจะเป็นศิลปะการต่อสู้ด้านอื่นที่เรียนเสริมมา

“โอ๊ย ๆ ใจเย็นสิ” ไฟรีบถอยออก ย่ำเท้าตั้งแขนพยายามหาช่องว่าง

ในใจได้แต่คิด ‘จะเสียชื่อตัวแทนโรงเรียนไม่ได้นะเว้ย’

สิงห์สบตามองคนตรงข้ามมุมปากยกขึ้นเล็กน้อย คิ้วเข้มยักขึ้นยักลงโดยไม่ต้องเอ่ยสิ่งใดไฟก็เข้าใจเป็นอันดีว่าอีกคนกำลังท้าทายเขาอยู่

“ถ้าเจ็บตัวก็อย่ามาว่ากันนะ” เพียงไฟพูดจบก็เริ่มเอาจริงบ้างจนสิงห์เสียท่าไปหลายหน แต่ไฟเองก็เหงื่อตกเช่นกัน

การต่อสู้ของทั้งคู่ดูสูสีซะจนอนงค์ถึงกับตบเข่าฉาดได้ใจไปหลายครั้งในตอนที่สิงห์ต่อยลูกชายตัวเองได้ เพียงเสียงของสามีภรรยาที่ดังอยู่ใต้ถุน ทางเพื่อนบ้างรอบข้างก็มามุงดูกันอย่างสนอกสนใจ จนยุติลงที่ทั้งคู่เสมอกันแทน

“อ่อนจริง ๆ เลยนะไอ้ไฟเนี่ย” ลุงธงที่มาดูด้วยเอ่ยเสียงขัน

“อะไรของลุง ผมไม่ได้แพ้เสียหน่อย” ไฟเท้ามือกับเข่าจ้องเขม็งลุงข้างบ้านที่ชอบพูดหยอกล้อกันอยู่เรื่อย

“แต่มีคนมาสู้เสมอกับเอ็งได้ขนาดนี้ก็ถือว่าแพ้แล้ว ฮ่า ๆ”

ไฟพ่นลมหายใจรู้สึกหงุดหงิดเป็นที่สุดแต่ก็ต้องสงบลงเมื่อหันไปเห็นสิงห์ที่ยืนคุยกับพ่อด้วยรอยยิ้มตรงริมต้นไม้ห่างจากใต้ถุน พลันใจก็กระตุกสั่นไหวราวกับมีคนมาตีกลองอยู่ด้านใน

ถึงอายุจะยังน้อยแต่ก็เข้าใจอย่างดีว่าอาการแปลก ๆ ที่เป็นอยู่มันคืออะไร…

รอยยิ้มที่นาน ๆ ทีจะได้เห็น แต่เวลาได้มองกลับทำให้จิตใจสงบ ไฟมัวแต่จดจ้องเพียงเพื่อนสนิท เขาไม่ได้ยินเสียงรอบกายคล้ายคนหูหนวก ได้ยินแต่เพียงเสียงหัวใจที่ดังก้องอยู่ข้างใน

ครั้งนั้นทำให้ไฟรู้สึกว่าตนเองกำลังหลงรักเพื่อนสนิทคนนี้เข้าให้แล้ว

 หรือไม่บางที… อาจจะหลงรักตั้งแต่แรกพบซะด้วยซ้ำ






จบบทที่ ๓

---------------------------------------------------------------------------------------------
คำทักทายในสมัยก่อนไม่ได้ใช้คำว่า 'สวัสดี' นะคะ จึงไม่เห็นว่าเราใส่ไป จะเริ่มใช้ในปี 2486 เริ่มใช้ครั้งแรก ณ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้นได้เริ่มให้ใช้คำว่าสวัสดีเป็นคำทักทายค่ะ

*ท่ามอญยันหลัก คือ การที่ฝ่ายรุกชกหมัดซ้ายเข้ามาบริเวณหน้าของฝ่ายรับ ส่วนฝ่ายรับให้รีบยกแขนทั้งสองขึ้นป่องกันหน้าพร้อมยกเท้าขวาทีบที่ยอดอกหรือท้องของฝ่ายรุกให้กระเด็นไป
*ท่าจระเข้ฟาดหาง คือ การหมุนให้ส้นเท้ากระแทกที่ศีรษะของอีกฝ่าย
- ที่จริงท่าจระเข้ฟาดหางเป็นท่าที่ต้องใช้ในสถานการณ์โดยมีฝ่ายรุกเดินมวยเข้าชกด้วยหมัดขวาสุดแรงจนตัวเสียหลักถลันเข้าไปข้างหน้า
- ฝ่ายรับจะก้าวเท้าซ้ายทแยงออกวงนอก เอี้ยวตัวให้หมัดผ่านทางไหล่ขวา ในระยะ ๑ คืบ แล้วใช้เท้าซ้ายเป็นหลัก หมุ่นให้ส้นเท้ากระแทกที่ศีรษะของฝ่ายรุก
เครดิต : ขอขอบคุณสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-09-2020 10:21:40 โดย IMYean. »

ออฟไลน์ lolli_candy99

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ภาษาสวย แต่งดีมากกก รอติดตามนะคะ

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ ๔

ย้อนวัย : ก้าวแรกของสองเรา

 

ขึ้นชั้นมัธยมปีที่ ๓

พ.ศ. ๒๔๖๙


“เอาให้มันหักครึ่งไปเลยสิวะ” อนงค์เอ่ยว่าเสียงดัง

เด็กทั้งสองที่ใส่เพียงกางเกงขาสามส่วนต่างยืนเตะเข้าที่ต้นกล้วยที่ตั้งเรียงรายตามพื้นที่กันอยู่เป็นชั่วโมงแล้ว แต่ลำต้นมีเพียงรอยช้ำเล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะมันแข็งซะจนขาคนเตะปวดไปหมด

“พ่อขอพักหน่อยสิ” ไฟถึงกับหยุดเตะ เหนื่อยหอบจนแทบหายใจไม่ทัน

“ยังจะมาขี้เกียจอีก ดูสิงห์ไว้ นั่นลำต้นมันเริ่มจะหักแล้วน่ะ”

“โธ่พ่อไม่เห็นต้องถึงกับลำต้นหักเลย”

“ไอ้ลูกคนนี้อ่อนปวกเปียกเสียไม่มี อายเพื่อนบ้างไหม เป็นนักมวยไปแข่งแท้ ๆ แต่ต้นกล้วยเพียงต้นเดียวดันเตะไม่หัก ลืมที่เรียนไปแล้วหรือไงว่าต้องใช้น้ำหนักขายังไง”

“ก็ใช่สิ ไอ้สิงห์มันเป็นเด็กน่าเอ็นดู” ไฟกอดอกหรี่ตามองคนที่ยังตั้งหน้าตั้งตาฝึกอย่างไม่มีบ่นสักคำ

“ไอ้ลูกคนนี้ช่างจ้อเหลือทนนะ” อนงค์ว่าอย่างไม่ใส่ใจ

“ไหนว่าคืนนี้จะพาไปงานวัดไง แล้วทำไมยังให้มาฝึกกันล่ะพ่อ ถ้าเกิดปวดขาเดินไม่ไหวก็อดไปพอดีสิ” ไฟขมวดคิ้วเดินไปนั่งพักดื่มน้ำจากขันทันทีแต่ก็โดนตบหัวจนน้ำหกเรี่ยราด “เอ้าพ่อก็!”

“ไม่มีความกระตือรือร้นเลยนะเอ็งแต่จะยอมให้วันหนึ่ง สิงห์พักได้แล้วล่ะ มาดื่มน้ำมาลูกมา”

“มาลงมาลูกเชียวนะ” ไฟเอ่ยแหย่

“หุบปากไปเลยไอ้เด็กคนนี้” อนงค์ตบหัวลูกชายไปอีกทีก่อนจะดึงขันน้ำจากมือไฟไปให้สิงห์ที่เดินมานั่งข้าง ๆ

“เหนื่อยไหม”

“เหนื่อย”

“ไม่ได้ถามเอ็งไอ้ไฟ”

“อ่าว”

“เหนื่อยครับ” สิงห์ตอบตามจริง “แต่สนุกมากกว่า”

“เอ้อ ๆ ดี ๆ สมกับที่สอนมาตลอดปี” ตั้งแต่ให้ประลองฝีมือกันวันนั้นหลังจากเลิกเรียนหรือหยุดเรียนสิงห์ก็มักจะมาที่บ้านของไฟเพื่อจะฝึกมวยโดยมีอนงค์เป็นคนสอน

บางครั้งก็มีลุงธงหรือไม่ก็ลุง ๆ แถวบ้านมาช่วยเป็นลูกมือให้จนสนิทสนมกันเพราะคนแถวบ้านลุงอนงค์มักจะชื่นชมสิงห์และไม่สนเรื่องที่ว่าเป็นลูกของโจร ทุกคนต่างเอ็นดูและเห็นใจเสียมากกว่า แต่เรื่องนี้ก็ยังต้องเก็บเป็นความลับเพราะหากเสี่ยพันธ์รู้เข้ามันจะไม่เป็นการดี

“ตกลงพ่อเอ็งอนุญาตให้ไปหรือเปล่า”

สิงห์ยิ้มบาง ๆ “พ่อผมไม่ได้สนหรอกครับว่าผมจะออกไปไหนหรือกลับดึกเพียงใด ตอนขอท่าน ท่านก็พูดแต่ว่าจะไปไหนก็ไปแค่นั้นเองครับ”

อนงค์ถอนหายใจ “ไอ้พันธ์นะไอ้พันธ์กับลูกกับเต้าทำไมไม่ห่วงเสียบ้าง”

ไฟหันมองหน้าเพื่อนสนิทที่หม่นลงก็รีบเปลี่ยนเรื่อง “เอาเป็นว่าไม่ต้องพูดแล้ว สิงห์ขึ้นบนห้องกัน ฉันว่าจะให้สอนการบ้านหน่อย” ไฟขัดบทสนทนาแล้วดึงแขนให้สิงห์ตามไปทันทีไม่ได้สนเสียงบ่นจากผู้เป็นพ่อเลยสักนิด

ส่วนหนึ่งเพราะเขาไม่อยากให้ใครต้องมาพูดเรื่องนี้ต่อหน้าสิงห์มากนัก เพราะสิงห์น่ะเหมาะกับรอยยิ้มที่สุดแล้ว

“หิวหรือเปล่าเด็ก ๆ” ฤดีที่เห็นทั้งสองขึ้นบนบ้านมาจึงเอ่ยถาม

“ไม่หิวครับ ผมจะให้สิงห์สอนการบ้านแล้วก็จะนอนพักสักนิด” ไฟตอบอย่างฉะฉานไม่ได้ถามความเห็นจากคนที่ถูกบอกว่าให้มาสอนการบ้านเลยสักนิดเดียว

จวบจนเข้าห้องมาแล้วไฟก็ทำเพียงแค่นอนลงบนเตียงไม่ได้เอาการบ้านออกมา แต่ถึงจะพูดว่าให้สอนการบ้านแต่มันก็ไม่มีการบ้านเสียหน่อย

“จะโกหกคุณลุงคุณน้าทำไม” สิงห์เอ่ยว่านั่งลงข้าง ๆ แล้วสางผมให้เหมือนอย่างที่ทำประจำ

“ก็ฉันอยากอยู่กับนายแค่สองคนหนิ” ไฟเปลี่ยนมานอนตักของสิงห์ ใบหน้าดูผ่อนคลายเวลามือของอีกคนลูบผมให้

“ชอบพูดจาแปลก ๆ อยู่เรื่อยเลยนะ” สิงห์ขมวดคิ้วตั้งแต่อยู่มอสองแล้วไฟชอบเอาแต่พูดจาชวนให้คิดอื่นไกล

“แปลกตรงไหนกัน ฉันแค่พูดความจริง” ไฟลืมตาขึ้นมองก่อนจะจับมืออีกข้างของสิงห์มาวางไว้บนอก

อาจจะไม่ใช่แค่เพียงคำพูดแต่เป็นการกระทำก็ด้วย

“ฉันว่านายต้องกินอะไรผิดสำแดงมาแน่ ๆ เลย”

“ไม่ใช่เสียหน่อย ฉันออกจะปกติดี” ไฟอมยิ้ม ในความคิดของสิงห์นั้นมันเป็นรอยยิ้มที่ดูเจ้าเล่ห์ชอบกล

“ไม่น่าเชื่อถือสักนิด”

“ทำไมล่ะ ฉันดูแปลกยังไงหรือ บอกหน่อยสิว่ามันแปลกยังไง”

“ก็…” สิงห์ก้มมองคนบนตักเห็นดวงตาวาวระยับนั้นก็เผลอใจเต้นแรง “ไม่รู้สิ”

“เป็นคนบอกว่าแปลก พอถามกลับไม่รู้”

“ช่างเรื่องนั้นเถอะไปใส่เสื้อจะได้ไหม” สิงห์ว่าเพราะตนใส่เสื้อตอนเดินตามขึ้นบ้านแล้วแต่ไฟก็ยังคงไม่ใส่เสื้อเลย แถมยังปาลงไปบนพื้นอีก

“ก็มันร้อน”

“แต่ตัวเหนียวนะไฟ ที่จริงควรจะอาบน้ำก่อนขึ้นห้องซะด้วยซ้ำ ทั้งฝุ่นทั้งดินนอนลงไปได้ยังไง”

“นายนี่บ่นเหมือนแม่ฉันเลย”

“น่าให้บ่นไหมล่ะ”

พอได้ยินอย่างนั้นไฟก็หัวเราะในลำคอ “พ่อกับแม่ฉันชอบเรียกนายว่าลูก อยากจะเป็นลูกอีกคนไหม”

สิงห์เงียบไปชั่วขณะ ไม่เข้าใจความหมายพวกนั้น “ลูกอะไรไม่เห็นจะเข้าใจเลย”

“นั่นสินะคำว่าลูกมันมีหลายความหมาย ทั้งลูกที่เกิดจากพ่อแม่โดยตรง ลูกที่ถูกอุปการะ และลูกที่เกิดจากการแต่งงานเป็นลูกสะใภ้กับลูกเขย” ไฟคลี่ยิ้มแล้วลุกขึ้นนั่ง “ส่วนลูกที่ฉันอยากให้นายเป็นน่ะมันเป็นลูกอย่างหลังนะ”

สิงห์กะพริบตาปริบ ๆ ใบหูเริ่มแดงระเรื่อ “เห็นไหม นายพูดจาแปลก ๆ อีกแล้ว” พูดไปก็หลบสายตาอีกคนไป

“ถึงจะแปลกแต่ฉันพูดเรื่องจริงนะ” ไฟขยับเข้าใกล้จนลมหายใจผัดผ่านผิว ขนแขกก็ลุกชัน

“พูดจาเลอะเทอะ ไปอาบน้ำซะเหม็นเหงื่อ” สิงห์ดันอีกฝ่ายแต่ไฟก็ยังคงนั่งนิ่งไม่ยอมขยับ รอยยิ้มก็ดูร้ายกาจ

“ไอ้สิงห์ที่ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา แสดงความรู้สึกก็ไม่เก่ง ทำไมตอนนี้ถึงขี้บ่นชอบเถียงแล้วยังจะมาเขินกันง่ายขนาดนี้ล่ะ”

“เขินหรือ?” สิงห์แทบลิ้นพัน “ใครเขินกันทำไมฉันต้องมาเขินกับนาย ถ้าเป็นผู้หญิงน่ารัก ๆ อย่างทับทิมก็ว่าไปอย่าง”

“นี่กล้าพูดชื่อผู้หญิงคนอื่นทั้ง ๆ ที่ฉันอยู่ตรงนี้หรือไง” ไฟเริ่มชักหงุดหงิด เพราะทับทิมเธอเองพอเห็นว่าสิงห์สามารถเล่นด้วยได้ปกติไม่มีใครกลัวเหมือนวันแรก ๆ ก็มาบอกชอบสิงห์ซะอย่างนั้น ขนมก็บอกว่าทำเองเลยเอามาให้ทุกวัน

เหอะ ขนมที่แม่เขาทำอร่อยกว่าเยอะ

“ไม่ใช่คนอื่นเสียหน่อย” เป็นเพื่อนในห้องเชียวนะ ไฟลืมทับทิมไปอย่างนั้นหรือ?

“ก็แน่ล่ะฉันไม่ใช่ผู้หญิง ถ้าเกิดจะมาบอกชอบนายก็คงหาว่าแปลก” ไฟขยับออกนั่งกอดอกเหมือนเด็กเอาแต่ใจ

ทว่าคนฟังกับนั่งนิ่งไม่ไหวติงเมื่อได้ยินสิ่งที่ไม่คาดคิดออกมาจากปากของไฟ “เมื่อกี้นายว่าไงนะ” สิงห์ถามย้ำหัวใจกลับเต้นแรงเสียยิ่งกว่าเก่า

ส่วนไฟที่เพิ่งจะรู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรออกไปก็เริ่มอ้ำอึ้ง กลายเป็นคนเขินเสียเอง

“ฉัน…” ไฟเกาท้ายทอยหันมองอีกคนอยู่นานก่อนจะถอนหายใจอย่างจำยอม ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วพูดไปเลยให้เข้าใจสักที เพราะตัวเขาเองชอบพูดตรง ๆ อยู่แล้ว “ฉันไม่รู้หรอกว่ามันเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนไหน แต่ว่ามารู้อีกที… ก็ชอบนายไปแล้ว นายก็คงสังเกตเห็นมันได้ใช่ไหมล่ะ”

ไฟสบตามองด้วยหัวใจที่สั่นไหว ถึงจะเขินแต่กลับกลัวเสียมากกว่า กลัวว่าจะถูกปฏิเสธ กลัวว่าจะถูกรังเกียจ ทุกวันที่ผ่านมาจึงใช้แต่คำพูดที่ชวนให้คิดแต่ไม่กล้าบอกความในใจออกมาสักที

“ฉันขออาบน้ำก่อนนะ” สิงห์หลบตาลุกไปเอาเสื้อผ้าของไฟจากในตู้เพราะขนาดตัวเท่ากันจึงใส่ด้วยกันได้ แต่ก็ไม่ยอมเอ่ยตอบหรือออกความเห็นใดใดกับการที่ถูกบอกชอบ

“สิงห์!” เรียกไปก็ไม่มีประโยชน์ในเมื่อสิงห์หนีออกไปจากห้องไม่หันกลับมามองกันอีกเลย

 

 

พ่ายโลกันตร์

 

 

เพียงชั่วอึดใจก็ถึงเวลาเปิดงานวัด ผู้คนต่างเดินพลุ่งพล่านเด็กเล็กเด็กน้อยวิ่งขี่ม้าที่ทำด้วยก้านกล้วย ร้านขนมกับร้านค้าต่าง ๆ ชวนให้หลายคนอยากเข้าไปชมดู

“อยากมางานวัดแต่ดันทำตัวไม่ครื้นเครง เอ็งจะมาทำไมวะ” อนงค์ว่าลูกชายที่ตั้งแต่มาถึงก็เอาแต่เงียบไม่พูดไม่จา ทำหน้าอมทุกข์กับชีวิตเหมือนคนตายอดตายอยาก

“เป็นอะไรหรือเปล่าลูก” ฤดีจับแขนพร้อมถามอย่างห่วงใย คนเป็นลูกชายที่บัดนี้สูงกว่าพ่อแม่ไปแล้วทำเพียงส่ายหัวช้า ๆ

“เหนื่อยจากซ้อมมากไปหรือไง” อนงค์ว่าขำ ๆ แล้วเดินไปซื้อขนมให้ทั้งสิงห์และไฟ

“ไปดูลิเกกันไหม” ฤดีถามไถ่ มีแต่สิงห์ที่พยักหน้าแต่ไฟทำเพียงเดินตามเท่านั้น

ระหว่างที่นั่งดูลิเกกันอนงค์กับฤดีก็ดูเพลินเสียซะจนลืมความไม่ปกติของลูกชาย แต่สิงห์นั้นแอบเหล่มองคนข้างกายที่นั่งเงียบมาตลอด ในใจก็รู้สึกปั่นป่วนไม่เป็นสุข

ไม่ชอบให้ไฟเป็นอย่างนี้เลย

“กินไหม” สิงห์ยื่นถั่วที่แกะให้ ไฟทำเพียงก้มมองถั่วจากในมือสลับกับใบหน้าของสิงห์แล้วส่ายหัวเป็นเชิงปฏิเสธก่อนจะหันไปดูลิเกต่อ ทั้ง ๆ ที่เหมือนจะเหม่อมากกว่าดูอย่างตั้งใจเสียอีก

สิงห์พอจะเข้าใจว่าเพราะอะไร แต่ตัวเองก็ไม่กล้าที่จะพูด ถึงจะรู้สึก ‘แบบเดียวกัน’ แต่เพราะมัวแต่คิดว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ เราเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ พ่อกับแม่คงไม่ยอมรับ ซ้ำยังเป็นลูกโจรกับลูกตำรวจ สิงห์นั้นไม่เห็นจะเหมาะสมกับไฟตรงไหนเลย

คงจะดีกว่าไหมถ้าหากปล่อยให้ไฟไปเจอคนที่เหมาะสมกว่า

“ผมขอไปเดินเล่นนะ” ไฟที่เงียบมานานเอ่ยบอกพ่อกับแม่

“เอาเงินไปนะเผื่อจะซื้ออะไร” ฤดียื่นเงินจำนวนหนึ่งให้

“ไม่ชวนสิงห์ไปด้วยหรือไง” อนงค์ถามอย่างสงสัย แต่ลูกชายก็ทำเพียงเดินออกไปไม่ได้หันมาตอบ “ไอ้ลูกคนนี้กล้าเมินกันรึ”

“ทะเลาะอะไรกันหรือเปล่าลูก” ฤดีหันมาถามสิงห์ที่มัวแต่มองไล่หลังของไฟไป

“เปล่าครับ” สิงห์หันมาตอบยิ้ม ๆ แต่ในใจกับเหมือนถูกบีบรัด นั่งอยู่นานก็ยิ่งอยู่ไม่สุข สุดท้ายก็ทนไม่ไหว “เดี๋ยวผมมานะครับ”

“เอาเงินไหม.. อ่าว” ฤดีค้างมือไว้อย่างนั้นที่สิงห์วิ่งออกไปไม่รอรับเงิน

แต่ผ่านไปเกือบหลายนาทีแล้วที่สิงห์เดินออกมาหาไฟแต่กลับไม่พบเจอแม้แต่เงา ในใจเด็กหนุ่มดันกลัวขึ้นมาว่าไฟจะเป็นอะไร เพราะเดี๋ยวนี้รู้สึกได้เลยว่า.. มักจะเห็นลูกน้องของพ่ออยู่ด้านนอกกันและยังอยู่ที่เดียวกับที่เขาอยู่ประจำเหมือนกำลังตามจับตาดูเขาอยู่

แล้วถ้าเกิดรู้เรื่องไฟเข้าล่ะก็…

เด็กหนุ่มนึกหวั่นรีบกลับไปดูที่โรงลิเกอีกทีเผื่อจะกลับมาแล้วแต่ก็ยังไม่พบอีกจึงรีบบอกกับน้าฤดีและลุงอนงค์ ทั้งสองกระวนกระวายรีบช่วยกันหาอีกแรง

แม้แต่ตอนนี้ที่กลับมาเจอกันที่โรงลิเกอีกครั้งก็ไม่มีใครพบ ลุงอนงค์เลยขอให้ทางโฆษกประกาศหา

สิงห์น้ำตาเอ่อคลอได้แต่พูดในใจว่าไปอยู่ไหน ก้มหน้าร้องไห้ออกมาทั้ง ๆ ที่เป็นคนเก็บอารมณ์ได้ดี แต่พอเป็นเรื่องของไฟก็ไม่เคยเลิกใส่ใจได้สักที

“มีอะไรกันหรือ” น้ำเสียงคุ้นเคยดังขึ้นมาจากด้านหลังทำให้สิงห์รีบหันไปมองทันทีก็พบว่าเป็นไฟที่กำลังถือของเต็มไม้เต็มมือ

“ไฟ! ไปไหนมาฮะ!? พวกแม่ตามหากันแทบแย่” ฤดีตีแขนลูกชายไปทีแต่ก็โล่งใจที่ไม่ได้เป็นอะไร

“ผมบอกไปแล้วหนิว่าจะไปเดินเล่น ทำไมถึงตามหากันล่ะ” ไฟดูงุนงง

“ก็สิงห์ออกไปหาลูกแต่ก็ไม่เจอเลย แม่ก็คิดไปนั่นว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า ถ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” ไฟหันมองสิงห์ที่มีน้ำตาเปื้อนตามแก้มก็ตกใจรีบเดินเข้าไปหา แต่สิงห์นั้นดันปลีกตัวเดินออกไปจากตรงนี้แทน

“สิงห์เดี๋ยวสิ!” เด็กหนุ่มตะโกนเรียกพร้อมกับวิ่งตาม

“สิงห์หยุดก่อน! สิงห์!” ไฟดึงแขนอีกคน “เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม”

“เปล่า” สิงห์ปาดน้ำตาดึงแขนออกมาแต่ก็ไม่ได้หนีไปไหนอีก

“เห็น ๆ อยู่ว่าร้องไห้ยังจะโกหกอีก” ไฟเดินอ้อมไปด้านหน้าขมวดคิ้วจ้องดวงตาที่แดงก่ำ

“แล้วนายไปไหนมา” สิงห์ถามเสียงสั่น

“ก็ไปดูผีกระสือ ซื้อขนม นี่ซื้อหน้ากากผีมาด้วย” ไฟชูหน้ากากผีกับขนมอีกหลายอย่างที่ซื้อมาฝากสิงห์ทั้งนั้น

เด็กหนุ่มจ้องมองหน้ากากผีด้วยแววตาสงสัย “ตอนเดินซื้อของได้ใส่หน้ากากผีไหม”

“ใส่อยู่นะ ทำไมหรือ”

สิงห์ถึงกับถอนหายใจจากที่อยากจะร้องไห้เพราะเป็นห่วงดันหงุดหงิดขึ้นมาแทน “ก็คิดว่าหายไปไหน ออกมาหาก็ไม่เจอ เดินเล่นก็นานทำไมต้องทำให้เป็นห่วงด้วย”

ไฟร้องหือในลำคอก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความดีใจ “เป็นห่วงขนาดไหนเชียว ถึงกับร้องไห้เลยหรือ”

“ไม่ได้ร้อง” สิงห์หลบตาจะเดินกลับไปโรงลิเกแต่ก็ถูกดึงแขนอีกครั้ง “อะไร?”

“ฉันไปเจอศาลาริมแม่น้ำใกล้ ๆ นี้ มาสิจะพาไปไม่มีคนด้วย” ไฟคลี่ยิ้มยังคงเอาแต่ใจจูงมือพาเดินลัดเลาะผ่านวัดจนมาถึงแม่น้ำข้าง ๆ เดินไปอีกนิดก็พบศาลาตามที่บอกห่างจากงานวัดไปเสียเยอะจนตรงนี้มีแต่เสียงนกเสียงแมลง

อย่าบอกนะว่าที่หาไม่เจอส่วนหนึ่งเพราะมาแถวนี้ด้วยน่ะ

“ทั้งมืดทั้งหญ้ารกขนาดนี้งูฉกตายกันพอดี”

“ไม่หรอกหน่า” ไฟปัดเศษใบไม้กับฝุ่นตรงที่นั่งให้อีกคน

“ไม่กลับไปที่โรงลิเกล่ะ เดี๋ยวพ่อกับแม่ก็ตามหาอีกหรอก”

“ถ้ารู้ว่ายังอยู่ดีแค่ออกมาซื้อขนมก็คงไม่ห่วงแล้วแหละ โดยเฉพาะพ่อฉันน่ะ” ไฟหัวเราะแล้วนั่งลงข้าง ๆ ก่อนจะหันมองพระจันทร์เต็มดวงที่ส่องแสงสว่างกระทบกับผิวน้ำดูสวยงาม

สิงห์เองก็เงยหน้ามองพระจันทร์สลับกับคนข้างกายครั้นอยากจะพูดบางอย่างก็เอ่ยเรียกชื่อออกไปอย่างไม่ได้คิดอะไรก่อนคล้ายปากขยับไปเอง “ไฟ”

“หื้อ”

สิงห์อึกอักอยากจะพูดเรื่องนั้นแต่ก็ไม่กล้า

“มีอะไร” ไฟเค้นถาม

“เรื่องที่พูดบนห้อง...”

“ช่างมันเถอะ ฉันเข้าใจว่านายคงไม่ยอมรับเรื่องพวกนี้ แต่ไม่ต้องห่วงฉันจะพยายามไม่ก้าวก่ายอะไรอีก” ไฟยิ้มบาง ๆ แล้วหันไปมองพระจันทร์ต่อถึงแม้ในใจเด็กหนุ่มจะเหี่ยวแห้งก็ตาม

สิงห์ไม่ได้ตอบอะไร ภายในใจได้แต่กู่ร้องว่าไม่ใช่เลย เขาไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย “นายก็รู้ใช่ไหมว่าฉันกับนายเรามีชีวิตต่างกัน นายคือลูกตำรวจ ส่วนฉันคือลูกโจรเราคบกันไม่ได้” สุดท้ายก็เอ่ยออกมาเพราะทนความอึดอัดนี้ไม่ไหว “เราเป็นผู้ชายทั้งคู่ พ่อแม่เราคงไม่มีใครรับได้หรอก”

“แล้วมันทำไม?” ไฟหันกลับมาน้ำเสียงดูแข็งกร้าวทันที “เพราะเป็นผู้ชาย เพราะเป็นลูกโจรกับตำรวจแค่นี้ฉันจำเป็นต้องไปใส่ใจด้วยหรือไง ก็มันรักไปแล้วจะให้ทำไงวะสิงห์”

“เราคบกันไม่ได้จริง ๆ นะไฟ ขนาดเป็นแค่เพื่อนกันยังไม่สามารถเปิดเผยให้ใครรู้มากกว่านี้ได้เลย”

“ก็ช่างสิ ทำไมนายต้องไปสนใจด้วย ถ้าไม่ชอบกันก็บอกไม่ชอบมาเลยสิไม่ต้องเอาเหตุผลพวกนั้นมาก็ได้ บอกไปแล้วว่าจะพยายามไม่ก้าวก่ายยังจะเอาอะไรอีกวะ!” ไฟจ้องเขม็งตะคอกเสียงดังจนสิงห์ตกใจ แต่ก็นึกโกรธที่อุตส่าห์พูดเพราะห่วง แล้วยังจะมาโมโหใส่กันอีก

“คิดถึงอนาคตบ้างสิไฟ นายอยากให้พ่อแม่เป็นขี้ปากชาวบ้านหรือ ลุงอนงค์กับน้าฤดีท่านดีกับฉันขนาดนี้ทั้ง ๆ ที่เป็นลูกของโจร จะให้ฉันทรยศความหวังดีของท่านเพราะเผลอชอบลูกของพวกเขาหรือไง!”

ไฟอึ้งไปชั่วขณะอารมณ์ที่คุกรุ่นในใจค่อย ๆ เบาบางลง “ชอบหรือ?”

สิงห์ถอนหายใจที่ดันเอาอารมณ์เป็นที่ตั้งจนเผลอพูดออกไป “ฉันไม่อยากให้พวกท่านต้องมาโดนดูถูกเพราะเรื่องนี้หรอกนะ ถึงจะไม่ใช่พ่อแม่แท้ ๆ แต่ท่านก็ดูแลฉันเป็นอย่างดี”

“นายชอบฉันใช่ไหม เมื่อกี้นายบอกว่าชอบฉันใช่หรือเปล่า” นอกจากจะไม่ฟังแล้วไฟยังเขยิบเข้ามาใกล้พลางจับไหล่เค้นถาม

“ถึงจะบอกไปก็ไม่ได้อะไรอยู่ดีไม่ใช่หรือ เราคบกันไม่ได้หรอก”

“ฉันไม่สนเรื่องพวกนั้น ยังไงซะเรื่องความรักของคนเรามันห้ามกันไม่ได้ นายคิดว่าฉันจะทนได้หรือไงหากเห็นนายไปเจอคนอื่น หรือต้องไปคบกับคนอื่นแทน ถึงจะบอกว่าไม่ก้าวก่ายแต่ฉันก็เชื่อว่าฉันไม่มีวันทนได้อยู่ดี”

“ทนไม่ได้ก็ต้องทน ชีวิตเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่ตัวเรานะไฟ พ่อแม่ล่ะ? ไฟเอาไปไว้ไหนนายจะทำเป็นไม่สนใจพวกท่านไม่ได้ ถึงฉันจะไม่เคยมีครอบครัวดี ๆ แบบนาย แต่ฉันก็ยังห่วง ยังกลัวว่าพวกท่านจะมาโดนขี้ปากชาวบ้านไปด้วย”

พอได้ยินอย่างนั้นไฟก็เริ่มคิดตาม “แล้วจะต้องทำยังไง”

“ฉันไม่รู้หรอก” สิงห์ก้มหน้า

“ถ้าอย่างนั้นเรามาคบกันไหม”

“ไฟ—”

“ยังไม่ต้องบอกพวกท่านตอนนี้ รอจนกว่าเราจะเรียนจบ ถ้าแบบนี้ยังพอได้หรือเปล่า ตอนแรกฉันคิดว่านายจะไม่ชอบและไม่ยอมรับเลยไม่อยากบังคับ แต่ว่าตอนนี้เราคิดเหมือนกัน ฉันไม่อยากปล่อยให้มันเพียงแค่ชอบกันแต่คบกันไม่ได้หรอกนะ”

สิงห์ถอนหายใจ “บางทีเราอาจจะยังเด็กเกินไปก็ได้นะไฟ รอให้โตกว่านี้—”

“ถ้ารู้สึกเหมือนกันจะรออะไรอยู่ล่ะ”

“เอาแต่ใจนะ”

“แล้วนายไม่อยากคบกับฉันหรือไง”

“ฉันแค่อยากจะคิดดูก่อน”

“ไม่ต้องคิดแล้ว”

“นี่!” สิงห์จิ๊ปากที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ไฟก็เอาแต่ใจตัวเองอยู่เสมอ “ให้คิดสักนิดไม่ได้หรือไง”

“นายน่ะชอบคิดเยอะ อายุก็แค่นี้จะคิดไปถึงไหนกัน เรื่องเล็ก ๆ ยังคิดแล้วคิดอีก เหมือนคนแก่ไม่มีผิด”

“นายมันเด็กเกินไปต่างหาก คิดอะไรบ้างจะได้ไม่ต้องไปเดือดร้อนคนรอบกายไง”

“บางเหตุผลก็ใช่ว่าจะเป็นเหตุผลได้จริง ๆ เสียหน่อย ปล่อยไปตามใจตัวเองบ้างคิดให้มันปวดหัวทำไม”

“ก็เพราะฉันห่วงนายไงไฟ ห่วงพ่อแม่นายด้วย หรือต่อให้ฉันหรือนายเป็นผู้หญิงแต่เป็นลูกโจรกับลูกตำรวจมันเป็นเรื่องยากมากนะที่จะเปิดเผยให้ใครรู้ จะให้คนมาดูถูกนายที่มาคบกับลูกโจรหรือไง”

“แล้วนายจะเอายังไง ไม่ต้องเปิดเผยก็ได้นะ ถ้าเกิดว่ามันทำให้ได้อยู่กับนายต่อไป จะไม่เปิดเผยเรื่องนี้ก็ได้”

สิงห์ถอนหายใจ คิดไปก็ปวดหัวจริง ๆ พอหันมองคนข้างกายที่ดวงตาฉายแววเว้าวอนกับตนก็รู้สึกเหมือนน้ำท่วมปาก ได้แต่บอกตัวเองว่าทีหลังจะไม่เอาอารมณ์เป็นที่ตั้งอีกเพราะจะชอบเผลอพูดในสิ่งที่คิดออกไปซะหมด เรื่องมันถึงเลยเถิดไปไกลแบบนี้

“นะสิงห์”

“เอาแต่ใจอีกแล้วนะ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจหน่อยสิ” ไฟยื่นหน้าเข้าหาเพียงแต่สิงห์เบี่ยงหลบ

“เจ้าชู้นะไฟ”

“เจ้าชู้หรือ ตรงไหนกัน” ไฟถามใบหน้ายังคงคลอเคลียข้างแก้มไม่ห่าง

“คำพูดกับการกระทำนี่ไงดูเจ้าชู้ซะจริง รู้จักพูดจาอ่อนหวาน การกระทำเจ้าเล่ห์เหมือนผู้ใหญ่ ถ้าสาวน้อยสาวใหญ่มาได้ยินคงหลงกันเต็ม”

“ก็ไม่ได้ไปพูดให้ใครฟังเสียหน่อย จะพูดแค่กับสิงห์คนเดียว ให้สิงห์หลงไฟแค่คนเดียวก็พอแล้ว” พูดเสร็จก็เดินอ้อมไปนั่งด้านหลังโอบกอดรอบเอวแล้วหอมแก้มอยู่หลายที

นี่ขนาดยังไม่ได้ตอบรับอะไรก็เล่นถึงเนื้อถึงตัวซะเยอะเลย

แต่จะว่าไปก่อนที่ไฟจะมาบอกชอบก็เล่นถึงเนื้อถึงตัวแบบนี้เป็นประจำเหมือนกันเพียงแต่ไม่มากเหมือนดั่งวันนี้

“ปากหวานแบบนี้ไปได้จากใครมา ฮึ” สิงห์ปล่อยให้ไฟทำตามใจตัวเอง ถึงจะบ่นปาว ๆ ในใจแต่ก็ไม่ได้คิดผลักไส

“ไม่รู้สิ สงสัยเพราะเจอสิงห์เลยเป็นไปเองล่ะมั้ง” ไฟเอาคางเกยไหล่อีกคนไว้ จนถึงตอนนี้หัวใจยังเต้นแรงไม่หาย ยังเอาแต่คิดว่านี่ใช่เรื่องจริงหรือเปล่า คงไม่ได้ฝันไปใช่ไหม ไม่คิดเลยว่าสิงห์จะชอบเขาเหมือนกัน ไม่คิดเลยจริง ๆ

“งั้นสัญญากับฉันเรื่องหนึ่งสิ” สิงห์เอ่ย

“ครับ”

“ถ้าเกิดเรื่องของเราเปิดเผยแล้วพ่อกับแม่ยังไม่ยอมรับ นายก็อย่าเพิ่งใจร้อนนะ”

“ถ้าอย่างนั้น... แปลว่า” ไฟมือเย็นไปหมด

“ก็นั่นแหละ แต่ต้องสัญญาด้วย” ถึงสิงห์จะพูดอย่างนั้นแต่พอเอียงหน้าไปมองคนด้านหลังก็ต้องถอนหายใจอีกระลอกที่ไฟเอาแต่ยิ้มชูมือกับตัวเองไม่ได้ฟังอะไรเลย “นี่ไฟ! ฟังหรือเปล่า”

“หื้อ อ้อ ๆ” ไฟหัวเราะแหะ “แล้วมันทำไมหรือ”

“เชื่อฉันเถอะ ยังไงก็ต้องให้เวลาพวกท่าน นายก็อย่าใจร้อนจนทำให้เรื่องมันยากขึ้นก็แล้วกัน”

“เข้าใจแล้วครับ” ไฟตอบรับแล้วหอมแก้มอีกที

“ไม่ชินเลยแฮะ”

“อะไรหรือ”

“ก็นายมาพูดเพราะใส่” มันชักเขิน ๆ แปลก ๆ

“ไม่ดีหรือ”

“มันก็ดีนั่นแหละ.. รีบกลับเถอะ เราออกมานานแล้ว” สิงห์ดันแขนอีกคนออกแล้วหยิบพวกขนมที่ยังไม่แตะกลับไปด้วย

“บอกรักกันหน่อยสิ” ไฟที่เดินมาขนาบข้างพูดขึ้น

เพิ่งได้ตกลงปลงใจกันเพียงครู่คิดอยากจะให้เอ่ยคำรักแล้วหรือ ถึงจะคิดอย่างนั้นสิงห์ก็เอ่ยอย่างตามใจ “อืม รัก” สิงห์พูดเสียงเบาคล้ายกับพูดกับตัวเองซะมากกว่า

“ไม่ได้ยินเลย ทีตอนเถียงกับตอนบ่นเสียงดังฟังชัดดีจริง พอจะบอกรักทำมาเป็นเสียงเบาเชียว”

“เออ รัก”

“พูดเพราะ ๆ สิ”

“รักครับ”

“รักใคร”

สิงห์ผลักหัวคนข้างกายทันที “เรื่องมาก”

“ก็บอกมาก่อนสิว่ารักใคร”

“เฮ้อ… รักไฟครับ รักแค่คนเดียว รักมากจนไม่เหลือให้ใครแล้ว” สิงห์พูดเสียงดัง พอเห็นคนถูกบอกรักยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก็รีบจ้ำอ้าวออกไปก่อน

“อ้าว รอด้วยสิ”

เดินกลับมาถึงโรงลิเกก็เห็นพ่อกับแม่นั่งคุยกันอยู่อย่างอารมณ์ดี เด็กทั้งสองจึงลงไปนั่งข้าง ๆ เหมือนเดิม

“ไปไหนกันมาลูก วิ่งออกไปไม่บอกแม่เลย” ฤดีเอ่ยถามทันที

“พอดีสิงห์ต้องไปปลดทุกข์น่ะแม่” ไฟตอบพลางยิ้มกว้าง

“ทีหลังบอกก่อนนะเดี๋ยวเกิดเรื่องอะไรอีก”

“ครับ” สิงห์ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหยิกไปที่ข้างเอวของคนปากไว

ตลอดเวลาได้แต่นั่งหูแดงเพราะไอคนข้างกายเอาแต่จับมือบ้างล่ะเกี่ยวนิ้วเล่นบ้างล่ะ เหมือนเด็กน้อยไม่มีผิด ทั้งยังแกล้งเอาไหล่มาชน หันมายิ้มให้อย่างมีเลศนัย

ไม่รู้จักกักเก็บอาการไว้บ้างเลยนะ

“อยู่นิ่ง ๆ” สิงห์กระซิบหยิกขาอีกคนไปอีกที

ส่วนตัวการก็ได้แต่หัวเราะไม่ได้สะทกสะท้านใดใดกับการถูกหยิกเหมือนมดกัดแค่นี้

“เฮ้อ ไอ้แสบ” สิงห์ได้แต่บ่น พอยอมแล้วเป็นยังไงล่ะ ได้ใจทีก็เอาใหญ่เชียวนะ




จบบทที่ ๔
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-09-2020 10:25:21 โดย IMYean. »

ออฟไลน์ lolli_candy99

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :mew1: ติดตามค้าบบ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๔
« ตอบ #9 เมื่อ: 03-04-2019 02:53:47 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ ๕

ย้อนวัย : รอยแผล



ชั้นมัธยมปีที่ ๔ ช่วงปิดเทอม

พ.ศ. ๒๔๗๐


เสียงกิ่งไม้จากลำต้นดังแว่วตามแรงลมที่พัดผ่านกายเด็กหนุ่มทั้งสอง แสงแดดอ่อน ๆ สาดส่องผ่านใบไม้ทำให้สิงห์ต้องหรี่ตาก่อนจะขยับตัวหันไปซุกกับอกของคนที่นอนอยู่ข้างกาย

“ไปนอนที่บ้านไฟไหม”

“ไม่หรอกนอนตรงนี้ดีกว่า เดี๋ยวกลับบ้านไม่ทัน”

ไฟพยักหน้าก่อนจะขมวดคิ้ว “แต่จะว่าไปยังไม่เคยเจอแม่กับน้องสาวสิงห์เลย พวกเขาออกมาไม่ได้จริง ๆ หรือ”

เพราะเพิ่งรู้ว่าแม่ของสิงห์ที่แท้จริงแล้วเสียไปตั้งแต่คลอดสิงห์ออกมา ส่วนแม่ในตอนนี้เป็นน้องสาวแท้ ๆ ของแม่สิงห์แต่กลับถูกเสี่ยพันธ์ข่มขืนจนทำให้มีน้องสาวเพิ่มมาคนหนึ่ง ตอนที่ได้ยินทั้งโกรธเสี่ยพันธ์ทั้งสงสารคนรัก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ อีกทั้งสองแม่ลูกยังไม่สามารถออกไปไหนมาไหนได้เพราะเสี่ยพันธ์กลัวว่าพวกเขาจะหนีออกไป

“ไม่ได้หรอก เดี๋ยวได้โดนพ่อด่ากันพอดี”

“เฮ้อ อยากโตเร็ว ๆ จังจะได้ทำอะไรมากกว่านี้”

สิงห์คลี่ยิ้มบาง ๆ เข้าใจความรู้สึกของไฟได้ดี “ถ้าจบจากที่นี่จะไปเรียนต่อนายร้อยตำรวจใช่ไหม”

“ใช่แล้ว สิงห์ก็ไปด้วยกันสิ”

“ยังไม่ได้คุยกับพ่อเรื่องนี้เลย ไม่รู้ว่าท่านจะให้ไปหรือเปล่า”

“ไม่ไปเดี๋ยวจะไปฉุดมา”

“จะบ้าหรือไง” ว่าแล้วก็ชกหน้าท้องไปทีหนึ่งก่อนจะเอาคางเกยอกเพื่อมองหน้าคนรักแทน “ถ้าไปไม่ได้จริง ๆ ไฟก็ต้องไปเรียนนะ เรียนให้จบพอได้เป็นตำรวจก็กลับมาให้ดูด้วยว่าตอนไฟใส่ชุดตำรวจมันเป็นยังไง”

“อย่าพูดอย่างนั้นสิ เราจะต้องไปด้วยกัน” ไฟลูบผมสีเข้มพร้อมกับก้มลงจูบหน้าผากมน

“ไม่รู้สิ มัน…”

“ต้องไปได้”

สิงห์ได้แต่จำยอม “อืม ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้ไปด้วยกันได้จริง ๆ”

“ก็เท่านั้นแหละ” ไฟอมยิ้ม ในเมื่อมันเป็นความฝันของสิงห์ก็ต้องลองดูสักตั้ง ไม่อยากให้เอาแต่คิดมากจนย่ำอยู่แต่กับที่แบบนี้

“ไว้ค่อยมาใหม่” ทั้งคู่พากันเดินออกมาจากป่าข้าง ๆ ไร่ที่สิงห์พาเข้ามาเพราะไม่มีใครรู้ทางนี้ว่าเป็นทางที่เข้าไร่ของสิงห์ได้ ทุกคนเอาแต่คิดว่าป่าด้านในเป็นทางตัน แต่แท้จริงแล้วมันมีทางเดินเข้าไปต่างหาก ที่รู้เพราะสิงห์เคยหนีมาหลบพ่อตัวเองครั้งหนึ่ง...

“ยังไม่หายคิดถึงเลย” ไฟบ่นเพราะเป็นช่วงปิดเทอมพร้อมจะขึ้นมอห้าจึงไม่ค่อยได้เจอกัน

“เดี๋ยวนี้พ่อมักจะเรียกไปนั่งฟังกับพวกลูกค้า จะออกไปไหนก็ไปไม่ได้นาน เพราะต้องจัดเอกสารของพ่อ”

“เฮ้อ แย่เลย คงต้องแอบไปที่บ้านแล้วล่ะมั้ง”

พอได้ยินอย่างนั้นสิงห์ก็รีบห้าม “อย่านะ ถ้ามีคนเห็นแล้วไปบอกพ่อเดี๋ยวมันจะเป็นเรื่องใหญ่เอา”

“ก็ได้ ๆ” ไฟยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหอมแก้มก่อนบอกลา “พรุ่งนี้จะมาหาที่นี่นะ”

“อือ กลับบ้านดี ๆ” สิงห์โบกมือลารอจนไฟออกไปแล้วถึงจะเดินลัดเลาะกลับเข้าไปทางไร่ของตัวเอง

“ไอ้สิงห์มันอยู่ไหน!!” เสียงที่ดังมาจากในบ้านทำให้สิงห์ต้องหยุดชะงัก ในอกสั่นไหวที่น้ำเสียงนี้เป็นปมของตัวเองที่ไม่ว่าได้ยินกี่ครั้งก็กลัวจนตัวสั่นไปหมด

“กูถามว่ามันไปอยู่ไหน!”

“โอ๊ยย”

“อย่าทำแม่นะ” พอได้ยินเสียงอีกสองเสียงที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่สิงห์จึงรีบปีนทางหน้าต่างห้องนอน เพราะขอให้แม่ช่วยปิดบังว่าเขาอยู่ในห้อง ตอนนี้แม่คงจะห้ามพ่อไม่ให้เข้ามาอยู่แน่ ๆ

“พ่อ ทำอะไรครับ” สิงห์วิ่งลงไปชั้นล่างเห็นว่าแม่กำลังอยู่ที่พื้นกับน้องก็รีบเข้าไปหา

“มึงไปไหนมา”

“ผม… ผมอยู่บนห้องไงครับ” ถึงจะกลัวแต่ก็มายืนบังทั้งแม่และน้องสาวไว้ไม่ให้โดนลูกหลง

“บนห้อง? แล้วทำไมอีสองตัวนี้มันไม่ให้กูขึ้นไปดู!” พ่อชี้ผู้หญิงทั้งสอง

“คือ…”

“ฉันบอกพี่แล้วไงว่าสิงห์หลับอยู่เลยไม่อยากให้ไปกวน” แม่เอ่ยบอก มือข้างหนึ่งจับแก้มตัวเองส่วนแขนอีกข้างก็กอดลูกสาวเอาไว้ เป็นภาพที่ทำให้สิงห์ไม่อาจทนมองดูได้

“หลับหรือ หลับแล้วทำไมกูต้องห้ามไปกวนมันด้วย กูเป็นพ่อมันทำไมกูจะเข้าไปหามันไม่ได้!”

“ผมขอโทษครับ มันเป็นความผิดของผมเองที่ไปบอกแม่ว่าอยากพักเสียหน่อยไม่อยากให้ใครกวน ถ้าเกิดจะด่า... มาด่าผมก็ได้ครับ” สิงห์ก้มหน้าก่อนจะถูกผลักหัวจนล้มลงกับพื้น

“สิงห์ลูก!” พิมพ์อรตกใจ

“หึ ถ้างั้นมึงก็รู้ไว้เลยว่าที่กูจะไปหามึงที่ห้องมันเพราะเรื่องอะไร” เสี่ยพันธ์ก้มชี้หน้า “มีคนไปเห็นว่ามึงอยู่กับลูกของไอ้อนงค์ บอกกูมาว่าพวกมึงไปสนิทกันตั้งแต่ตอนไหน!”

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สิงห์กลัวมากที่สุด เพราะกลัวว่าพ่อจะทำอะไรไฟ “เราไม่ได้สนิทกันครับ” คิดเรื่องนี้ไว้แล้วว่าจะต้องพูดกับพ่อยังไง มันอาจจะดูต่างจากความเป็นจริงที่เราสองคนคบกันเป็นคนรักแล้ว แต่การโกหกมันคือทางรอดเดียวที่จะสามารถเกลี้ยกล่อมให้พ่อใจเย็นได้

“ไม่สนิทแล้วทำไมถึงไปเดินด้วยกัน! ไอลูกทรพีกูบอกแล้วว่าอย่าไปยุ่งกับไอ้พวกที่มันเกี่ยวกับตำรวจ มึงไม่ฟังกูเลยใช่ไหม” เสี่ยพันธ์ระบายอารมณ์โกรธด้วยการกระทืบลูกชายตัวเอง

“พอแล้วพี่! ฮึก พี่พันธ์นั่นลูกพี่นะ พอได้แล้ว!” พิมพ์อรร้องไห้ดันลูกสาวให้ออกห่างส่วนตัวเองก็เข้าไปห้าม ก้มบังตัวสิงห์ไว้จนโดนเท้าเหยียบใส่แทน

“แม่! พี่สิงห์! ฮือออ” น้องสาวกลัวตัวสั่นไม่กล้าเข้าไป ได้แต่ร้องไห้มองแม่กับพี่ชายที่ถูกทำร้าย

“พอแล้วพ่อ! อย่าทำแม่!” สิงห์ลุกขึ้นบังแม่อีกครั้ง ถ้าในเมื่อโกรธเพียงตนก็รีบขยับออกห่างเพื่อให้พ่อทำแค่ตัวเอง

“หลายปีที่ผ่านมามีคนมาบอกกูว่ามึงกับมันเคยอยู่ด้วยกัน กูอุตส่าห์ยอมปล่อยเพราะคิดว่ามึงต้องนึกถึงคำเตือนกู แต่เมื่อวันก่อนพวกมึงก็ยังไปเดินด้วยกันแถวตลาด มึงไม่เห็นหัวกูแล้วใช่ไหมไอ้สิงห์!” เสี่ยพันธ์เลิกกระทืบเปลี่ยนมาดึงหัวลูกชายแทน

“ผมแค่รู้จัก อึก… เราแค่บังเอิญเจอกันเลยเดินด้วยกัน ไม่ได้สนิทกันนะพ่อ” ถึงจะพูดยากลำบากที่ทั้งร้องไห้แล้วก็เจ็บตามตัวแต่ก็ต้องพยายามเข้มแข็ง เพื่อจะได้ไม่ให้แม่กับน้องต้องมาโดนไปด้วย

“คิดว่ากูจะเชื่อมึงหรือไงวะ!”

เพี๊ยะ!

“สิงห์!”

“มึงไม่ต้องมาแส่! จะไปไหนก็ไปอย่ามายุ่งเรื่องของกูกับลูก ไม่อย่างนั้นมึงจะโดนไปด้วย!”

“แม่ออกไป” สิงห์เอ่ยบอก “พาน้องไป ไม่ต้องห่ว—” พูดไม่ทันจบก็ถูกเตะที่เอวจนต้องนอนกุมด้วยความเจ็บปวด

“ออกไป!” เสี่ยพันธ์สั่งอย่างอดกลั้น สุดท้ายพิมพ์อรก็พาลูกสาวออกไปอย่างจำยอม

“กูขอเตือนมึงว่าอย่าไปยุ่งกับมันอีก ถ้าเกิดกูได้ข่าวเรื่องนี้เป็นครั้งที่สามกูไม่เอามึงกับไอ้เด็กนั่นไว้แน่” พูดเสร็จก็ผลักหัวอีกครั้ง “อาทิตย์หน้าหลวงรวีชัยจะมาที่บ้าน มึงต้องลงมาอย่าได้ขัด” เสี่ยพันธ์ชี้หน้าลูกชายเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินออกจากห้องรับแขกไป

สิงห์หอบหายใจแรงปากมีเลือดออก หัวคิ้วแตก ปวดจุกตามร่างกายจนต้องนอนขดตัวร้องไห้อยู่คนเดียว สิ่งแรกที่นึกถึงคือไฟ กลัวว่าถ้าพ่อรู้เรื่องที่มากกว่านี้ไฟคงจะถูกฆ่าเอาได้

“สิงห์” น้ำเสียงอ่อนโยนที่เรียกหายิ่งทำให้สิงห์ร้องไห้หนักกว่าเดิม

“แม่ เป็นไงบ้าง” เด็กหนุ่มไถ่ถามแม่ตัวเองเสียงสั่นลุกแทบไม่ไหวก็ยังลุกขึ้นมาตรวจดูตามร่างกายของคนที่เลี้ยงดูตนมาตั้งแต่เด็ก

“ไม่ต้องห่วงแม่หรอก รีบขึ้นห้องเถอะแม่จะทายาให้นะ” พิมพ์อรลูบหัวลูกชายพร้อมกับช่วยพยุงตัวขึ้นไปบนห้อง ลูกสาวเตรียมทุกอย่างไว้ให้แล้วจึงยิ้มเป็นการขอบคุณ

“พี่สิงห์...” ต้นอ้อเม้มปากสะอึกสะอื้นเพราะสงสารพี่ชาย “เจ็บหรือเปล่า”

สิงห์หันมองน้องน้ำตาก็ไหลแทบไม่หยุด “ไม่เจ็บ… ไม่เจ็บเลยสักนิด ต้นอ้อไม่ต้องห่วงพี่นะ”

คนเป็นน้องได้แต่กุมมือพี่ชายเอาไว้เพื่อปลอบใจ เหมือนกับที่แม่และพี่สิงห์ที่เคยกุมมือตนไว้ในเวลาที่ต้องร้องไห้เสียใจเช่นกัน

พิมพ์อรทั้งเช็ดหน้าเช็ดตัวเพื่อเอาคราบเลือดออกให้ ยิ่งได้ยินเสียงร้องไห้ของลูกชายที่แม้ว่าจะอดกลั้นไม่ให้เสียงเล็ดลอดออกมามาก ทว่าดวงตากลับมีน้ำสีใสไหลออกมาไม่หยุดหย่อน

เธอได้แต่เม้มปากกลั้นเสียงร้องไห้เช่นกัน มือก็วุ่นอยู่กับการเช็ดตัวให้ลูกชาย เห็นกี่ครั้งก็สะเทือนใจทุกครั้ง จำได้ว่าเมื่อวันที่เธอถูกข่มขืนสิงห์ก็พยายามจะมาช่วย…

พิมพ์อรนั้นรู้ดีว่าถ้าหากเธอยังขัดขืนปล่อยให้ลูกชายเข้ามาคงจะต้องถูกทุบตีอีกมาก เธอจึงได้แต่ร้องไห้ปล่อยให้เสี่ยพันธ์ทำตามใจตัวเอง ตัวเธอนั้นเหมือนกับชีวิตที่พังทลายที่ต้องมาถูกพี่เขยตัวเองข่มขืน

เคยคิดจะฆ่าตัวตายแต่พอเห็นว่าสิงห์ต้องมาทนอยู่เจอเรื่องพวกนี้ด้วยตัวคนเดียวก็มิอาจปล่อยไปได้ ให้คำสัญญากับพี่สาวไว้แล้วว่าจะต้องดูแลลูกชายของเธอเหมือนดั่งลูกในไส้ จนเมื่อรู้สึกว่าตัวเองแพ้ท้องก็เข้าใจดีว่ามีลูกสาวเพิ่มมาคนหนึ่ง

กลายเป็นว่าชีวิตนี้มีห่วงอยู่สองห่วงที่ต้องดูแลอย่างถึงที่สุด ไม่ว่าตัวเองจะเจอเรื่องร้ายเพียงใดขอแค่มีลูกทั้งสองอยู่ด้วยคงคลายความเหงาและความเจ็บปวดในแต่ละวันไปได้
 


 

พ่ายโลกันตร์

 

 

วันและเวลาผ่านล่วงเลยไปเป็นอาทิตย์แล้วและในวันนี้เองก็ต้องลงมาอยู่คุยกับแขกของพ่อ แต่ก็เป็นอีกหนึ่งอาทิตย์ที่สิงห์ไม่ได้ออกไปหาไฟเช่นกัน ไม่รู้ว่าตอนนี้อีกคนกำลังทำอะไรอยู่ คงจะเป็นห่วงเขาอยู่แน่ ๆ แต่ก็ยังออกไปหาไม่ได้หรอก จะให้ออกไปเห็นในสภาพย่ำแย่แบบนี้ได้ยังไง

เดี๋ยวได้โกรธหนักจนทำตามใจตัวเองขึ้นมาแล้วจะยุ่ง

“นี่ลูกชายกระผมเองขอรับคุณหลวง” เสี่ยพันธ์จับหลังของลูกชายที่นั่งข้าง ๆ ในชุดสุภาพดูดีทว่าก็ยังมีรอยฟกช้ำตามใบหน้าเล็กน้อย

“ยินดีที่ได้พบขอรับคุณหลวง” สิงห์พนมมือไหว้คลี่ยิ้มตามมารยาท

“หน้าไปโดนอะไรมาล่ะ”

เสี่ยพันธ์หันมอง ปากอมพะงำเพราะยังไม่ได้คิดเรื่องนี้แต่ลูกชายก็เอ่ยตอบอย่างฉะฉาน

“กระผมฝึกมวยกับภพน่ะขอรับ อาจจะต้องเสียมารยาทกับคุณหลวงที่มาให้พบในสภาพอย่างนี้ ต้องขออภัยจริง ๆ ขอรับ” สิงห์ก้มหัว ส่วนภพที่ว่าคือคนสนิทของพ่อหรือมือขวาที่ยืนกุมมืออยู่ห่างจากโซฟาเล็กน้อย คนถูกพูดชื่อก็เข้าใจอย่างดีจึงก้มหัวลงตามเช่นกัน

เสี่ยพันธ์ดูพึงพอใจตบไหล่ลูกชายสองสามที “เอาเป็นว่ากระผมอยากให้ท่านดูโฉนดที่ดินแถวเขตชุมชนแอ่งธนเสียก่อน ถ้าท่านได้ไปอาจจะต่อยอดให้ท่านได้ศักดินาเพิ่มมากขึ้น”

หลวงรวีชัยหยิบโฉนดขึ้นมาดูใบหน้ากำลังครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา

“ส่วนนี่คือรายการของกลางที่ได้เอาไปเก็บรวมไว้ปะปนกับแถวชุมชนขอรับ” เสี่ยพันธ์ยื่นเอกสารให้อีกฉบับ ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเอกสารที่สิงห์เป็นคนทำทั้งนั้น

ที่เอาลูกชายมาด้วยเพราะหลวงรวีชัยดูไม่ค่อยสนใจตนเมื่อเทียบกับลูกชายที่ไม่ว่าจะพูดอะไรก็มักจะสนใจฟัง พอคิดได้อย่างนั้นก็รีบหันไปสะกิดลูกชายทันที

และสิงห์เองก็เข้าใจดีจึงรับมือต่อ “เอกสารทั้งหมดกระผมเป็นคนรวบรวมจัดการเอง บางทีคุณหลวงอาจจะดูไม่เข้าใจเพราะความรอบรู้ของกระผมยังต้อยต่ำนัก ถ้าไม่เป็นการเสียมารยาท ขอกระผมได้ชี้แจงคุณหลวงได้หรือเปล่าขอรับ” สิงห์เป็นเด็กฉลาดทุกคนล้วนรู้ดี รู้จักพูด วาจาชวนคล้อยตามได้ง่าย

หลวงรวีชัยยิ้มอย่างพอใจแล้วตบเบาะโซฟาข้างกายให้สิงห์ไปนั่งข้าง ๆ

เด็กหนุ่มก้มหัวเป็นเชิงขอบคุณก่อนจะไปนั่งข้างท่านพร้อมกับอธิบายเกี่ยวกับของกลางอีกเพิ่มเติม

“ของกลางพวกนี้มาจากของที่พวกตำรวจเอาไปไม่หมด ทางเราได้ทำเอกสารปลอมให้ทางสายตำรวจที่เป็นเสมียนบัญชีจัดการไว้แล้วขอรับ ไม่ต้องห่วงว่าใครจะมาพบเข้าว่าเป็นของที่ยังไม่ได้เก็บเข้าไปในส่วนกลางคลังที่หลวง”

“อืม” หลวงรวีชัยพยักหน้า “แต่โฉนดแผ่นนี้มันของไอกำนันลานไม่ใช่หรือไง ไปเอามาได้ยังไง”

พอได้ยินอย่างนั้นเสี่ยพันธ์ก็เอ่ยตอบเรื่องนี้เอง “กำนันได้ให้ความร่วมมือกับเรื่องนี้ขอรับ เพียงแค่ฟาดเงินให้มัน มันก็ปิดปากเก็บเงียบพร้อมทำตามแล้วขอรับคุณหลวง ฮ่า ๆ”

“ฉันถามเจ้าสิงห์ไม่ได้ถามเสี่ยพันธ์” หลวงรวีชัยว่าเสียงแข็งจึงทำให้เสี่ยพันธ์ต้องก้มหัวขอโทษ

“ต้องขอโทษด้วยนะขอรับ กระผมยังไม่ได้ถามไถ่จากพ่อ จึงไม่รู้เรื่องพวกนี้พ่อก็เลยตอบให้แทน ยังไงครั้งหน้ากระผมจะถามมาอย่างดี ไม่ให้คุณหลวงต้องรอเหมือนอย่างวันนี้อีก” เพียงสิงห์พูดคุณหลวงก็พยักหน้าเป็นอันเข้าใจ

“เอาเป็นว่าฉันรับไว้ก็ได้ แล้วข้อแลกเปลี่ยนคืออะไรล่ะ”

เสี่ยพันธ์ดีใจอย่างถึงที่สุดก่อนจะเอ่ยจุดประสงค์ของตัวเอง “ต้องขอโทษที่เรื่องนี้กระผมก็ยังไม่ได้บอกลูกชาย ขอเสียมารยาทอีกสักครั้งเพื่อให้ตอบคุณหลวงจะได้หรือไม่ขอรับ”

หลวงรวีชัยหันมองเล็กน้อยแล้วพยักหน้า

“ข้อแลกเปลี่ยนคือการที่ให้พวกเราสามารถขนอาวุธผ่านเขตคุณหลวงได้น่ะขอรับ”

ปึก!

หลวงรวีชัยถึงกับหน้าบึ้งถมึงทิ้งเอกสารลงบนโต๊ะด้วยความโกรธ “ช่างกล้าขอในสิ่งที่ไม่มีวันจะให้อย่างนั้นหรือ เรื่องโฉนดที่ดินกับมีสายตำรวจเพียงเท่านี้กูสั่งลูกน้องเพียงคำเดียวก็หามาได้หมดแล้ว หรือต่อให้เอาปืนยิงมึงที่นี่! ตรงนี้! กูก็แย่งมาได้!”

เพราะการขนส่งอาวุธผ่านเขตนั้นอาจทำให้ตำรวจจับตามองและคิดว่าหลวงรวีชัยที่เป็นถึงข้าราชการจะสมรู้ร่วมคิดกับโจร การที่ให้หลีกเลี่ยงมาโดยตลอดเพราะเป็นการแบกหน้าว่าไม่เคยยุ่งกับพวกโจร ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็มีเสือเอี้ยงที่คอยช่วยเหลือจัดการคนอื่นให้

“โธ่ คุณหลวง กระผมอุตส่าห์นอบน้อมต่อท่านแล้วแต่ท่านยังจะไม่ลดทิฐิต่อเราอีกหรือ ท่านคิดว่าการที่ท่านอยู่ในเขตของกระผมท่านจะทำอะไรก็ได้ใช่ไหม” พูดเสร็จทางฝั่งลูกน้องของคุณหลวงก็ยกปืนใส่เสี่ยพันธ์ก่อนจะพบว่ามีลูกน้องของเสี่ยพันธ์ที่เข้ามาจ่อปืนใส่ด้วยเช่นกัน

“กล้ายกปืนใส่กูขนาดนี้คงจะไม่อยากอยู่อย่างสงบใช่ไหมไอ้พันธ์”

“กระผมออกจะรักสงบ มีแต่คุณหลวงที่ยังคงไม่โอนอ่อนต่อเรา ทั้งยังบอกจะฆ่ากระผม แต่ว่ายังไงซะลูกน้องของกระผมก็คงไม่ยอมอยู่ดี” เสี่ยพันธ์ยิ้มมุมปากพิงหลังเหยียดเท้าบนโต๊ะไม่สนเรื่องมารยาทอีกต่อไป

“หรือเพราะมีรองอธิบดีคุ้มกะลาหัวมึงอยู่ มึงถึงกล้าที่จะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นรึ” คุณหลวงโกรธจัด

“คุณหลวง” เสี่ยพันธ์หัวเราะ “คนมันเป็นโจรน่ะ ต่อให้ไม่มีตำรวจเป็นตัวช่วยมันก็ยังฆ่าได้”

คุณหลวงตัวสั่นเทิ้มรู้ได้ดีว่ามันไม่ได้พูดเล่น ไม่แปลกที่เจ้าสิงห์มันฉลาดนั้นได้มาจากใคร

“เหอะ เก่งกล้าขึ้นหนิ”

“โธ่ ๆ” เสี่ยพันธ์ส่ายหน้า “ใครกันแน่ที่เก่งกล้าวางท่ามากขึ้น ตั้งแต่มีไอเสือเอี้ยงคอยช่วยเหลือเพราะมีคาถาอาคม ยิงฟันไม่เข้า ตายไม่เป็น ดูท่าคุณหลวงจะชูคอมากกว่าเมื่อก่อนเสียอีกนะ”

“ไอ้พันธ์!”

“พ่อพอเถอะครับ” สิงห์เอ่ยขัดจึงทำให้เสี่ยพันธ์ต้องหันมอง

“อย่ามาทำเป็นสั่ง”

“ผมแค่ไม่อยากให้มีเรื่องบาดหมางกันเดี๋ยวจะเสียคนกันไปเปล่า ๆ ปรองดองเอาไว้ก็ดีกับทั้งคู่ไม่ใช่หรือครับ คุณหลวงเองก็มีทางเสือเอี้ยงจากชุมโจรใหญ่ที่ครอบคลุมเกือบทั่วภาคกลาง ส่วนทางเราก็มีทั้งเจ้าสัวเหวย รองอธิบดีแล้วก็ลูกค้าอีกทั่วทั้งจังหวัด เกิดทะเลาะกันไปเดี๋ยวจะได้กลายเป็นสนามรบเอานะครับ”

แต่ถ้าให้พูดถึงเรื่องความฉลาดบางทีสิงห์อาจจะมากกว่า ในอนาคตถ้าได้เป็นพวกคงจะมีอะไรดี ๆ ทว่าเพราะเสี่ยพันธ์ที่ยังคงปากกล้าต่อตนที่เป็นถึงคุณหลวง จึงมีทิฐิค้ำคอตามจริงดั่งที่มันพูด

“การที่ให้รถผ่านเขตของคุณหลวงมันอาจจะต้องระวังพวกตำรวจจมูกดี ให้เรื่องนี้เป็นคุณหลวงที่ตัดสินใจเองดีกว่าครับ”

“ไอ้สิงห์” เสี่ยพันธ์ถึงกับโกรธที่มันกล้าพูดอะไรไม่เห็นหัวตน

“พ่อครับนี่เป็นทางที่ดีที่เราจะไม่ต้องมาฆ่ากันเอง ในเวลานี้มีพวกฝรั่งติดต่อกับทางไทยบ่อย ๆ พวกกรมตำรวจน่ะคงไม่กล้าบุ่มบ่ามยุ่งกับพวกนั้นหรอก ถ้าเกิดเราร่วมมือกันและแลกเปลี่ยนพูดคุยกับทางทหารต่างประเทศมันก็มีแต่ดีกับดีนะครับ”

“เป็นเด็กจริง ๆ หรือนี่” หลวงรวีชัยมองอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าเด็กอายุเพียงเท่านี้กลับมองการณ์ไกลเกินกว่าผู้ใหญ่อย่างตน

“พูดมากไปแล้วนะมึง”

“ผมแค่หาทางออกให้พ่อ เพราะเป็นห่วงในฐานะลูกชายและอีกอย่างกระผมก็อยากจะได้อยู่พูดคุยกับคุณหลวงอีก” สิงห์หันมายิ้มให้คุณหลวงที่เริ่มสงบลงแล้ว

“ก็ได้กูจะยอมให้ขนอาวุธผ่าน... แต่!” หลวงรวีชัยจับไหล่ของสิงห์ไว้ “ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะให้ลูกมึงไปพูดคุยกับกูที่บ้านบ้าง”

เสี่ยพันธ์กระดิกเท้าไปมา มองทั้งสองคนสลับกันคล้ายกำลังครุ่นคิดก่อนจะยกมือสั่งให้ลูกน้องเก็บปืน “ถือว่าตกลง ส่วนเรื่องให้ไปพูดคุยหากว่าไม่มีเอกสารที่ต้องทำ กระผมจะให้มันไปหาคุณหลวงก็แล้วกัน”

คุณหลวงพยักหน้า “ดี ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวกลับก่อน”

“ก็ขอให้เดินทางกลับอย่างปลอดภัย” เสี่ยพันธ์ก้มหัวพร้อมผายมือให้ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ลุกขึ้นซะด้วยซ้ำ ส่วนสิงห์ที่กลายเป็นสิ่งของแลกเปลี่ยนข้อตกลงก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา นึกน้อยใจที่พ่อไม่เป็นห่วงตนเลย

“ถึงจะพูดอะไรเกินหน้าเกินตา แต่ก็ขอบใจที่ทำให้ไอ้คุณหลวงมันยอมได้” เสี่ยพันธ์ยกยิ้ม ลุกขึ้นตบไหล่ลูกชายสองสามที “ฮ่า ๆ งานนี้กูขนส่งสบายแล้วเว้ย!”

เด็กหนุ่มหันมองผู้เป็นพ่อที่เดินอารมณ์ดีออกไปกับพวกลูกน้อง ในใจได้แต่คิดว่าทำไมถึงต้องลงมาพูดคุยอย่างนี้ด้วย เขาไม่ชอบงานแบบนี้เลย แต่มันก็ต้องทำ... เพราะไม่ว่ายังไงก็ตาม พยายามอย่าไปขัดใจคนเป็นพ่อจะดีที่สุด

 

 
มีต่อด้านล่างนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-09-2020 10:29:06 โดย IMYean. »

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
ต่อจากบทที่ ๕


ถึงเวลาพลบค่ำสิงห์ได้แต่นั่งจัดเอกสารที่ทำค้างไว้ ดวงตาพร่ามัวเพราะการอ่านเอกสารมานาน เด็กหนุ่มจึงได้แต่ถอนหายใจยกมือนวดคลึงระหว่างหัวคิ้ว ต้องอ่านเนื้อหาข้างในรวมถึงต้องรู้จักลูกค้าของพ่อทุกคน ไหนจะคู่แข่ง ศัตรู หรือไม่ก็พวกสายต่าง ๆ ที่ส่งไปในแต่ละพื้นที่เพื่อจับตามองกลุ่มอื่น

ถึงสิงห์จะไม่ชอบงานแบบนี้แต่ยอมรับว่าพอได้อ่านก็ได้รู้อะไรเยอะแยะมากมายจึงไม่ค่อยอิดออดถ้าหากต้องจัดเอกสารหรือได้ไปพบปะกับลูกค้า

ลูกค้ารายใหญ่ของพ่อนั้นมีทั้งเจ้าสัวเหวยกับพวกเสี่ย ๆ คหบดีรวย ๆ ที่มีอำนาจตามแต่ละจังหวัด แต่เจ้าสัวเหวยเห็นว่าเป็นพวกเลือดเย็น จะเอาพวกผู้ชายที่ถึกทนและเก่งมาเป็นพวก ส่วนผู้หญิงก็หาแต่เด็ก ๆ สวย ๆ ไว้สนองตัวเอง เห็นบอกว่าทั้งหมู่บ้านนั้นที่เป็นที่อยู่ของเจ้าสัวเหวยกลายเป็นหมู่บ้านแห่งการนองเลือด ใครที่ไม่มีประโยชน์จะถูกฆ่าจนไม่เหลือแม้แต่ลูกหลานของคนหมู่บ้านนั้น

ได้รู้มาจากพ่ออีกนิดหน่อยว่า อย่าได้ขัดเจ้าสัวเด็ดขาด ไม่ว่าจะถูกสั่งให้ทำอะไรจงทำซะ เขาไม่เคยคิดว่าพ่อจะกลัวใครได้ แต่พอพูดถึงเจ้าสัวเหวยกลับแตกต่างจากลูกค้าคนอื่น นั่นจึงทำให้เขาต้องพยายามหาข้อมูลและนิสัยส่วนตัวของเจ้าสัวไว้

เพราะการขนส่งสินค้าล็อตใหญ่ครั้งนี้เขาต้องเดินทางไปหาเจ้าสัวพร้อมกับพ่อด้วย

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“หือ?” สิงห์หันไปมองทางด้านหลัง เสียงเหมือนคนมาเคาะประตู แต่มันไม่ใช่... เสียงมันไกลกว่านั้นเหมือนกับมีคนมาเคาะทางหน้าต่างเสียมากกว่า

เด็กหนุ่มขมวดคิ้วลุกขึ้นไปหยิบปืนป้องกันตัวที่ได้มาจากภพ ชูปืนจ่อทางหน้าต่างก่อนจะเอี้ยวตัวไปปลดล็อก

แต่ในตอนที่บานหน้าต่างค่อย ๆ เปิดออกก็รีบถอยห่างอย่างรวดเร็วเพราะมีคนสวมหมวกมาจับขอบผนังไม้ไว้

“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ! แล้วยกมือขึ้นซะไม่งั้นกูยิง” สิงห์สั่งเสียงแข็ง

“เดี๋ยว ๆ อย่าเพิ่งยิงนะ! นี่ไฟเอง!” ไฟรีบกุลีกุจอถอดหมวกออก

“ไฟ!” สิงห์ตกใจก่อนจะรีบดึงตัวอีกคนให้เข้ามาในห้องพร้อมกับล็อกหน้าต่างเอาไว้ “มาทำไม! ถ้าคนเห็นขึ้นมาจะทำยังไง”

“ก็สิงห์ไม่ไปที่จุดนัดพบมาเป็นอาทิตย์แล้วนะ ไฟเป็นห่วงเลยมาดู” คนพูดทำหน้าง้ำหน้างอก่อนจะเอะใจเมื่อเห็นแผลตามใบหน้า “ไปโดนอะไรมา ใครทำอะไร”

สิงห์หลบตา “ไม่มีอะไรหรอก แค่ฝึกมวยนิด ๆ หน่อย ๆ”

“ไม่เชื่อ” ไฟขมวดคิ้ว

“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกไม่ได้เป็นอะไรจริง ๆ แต่เรื่องไฟเถอะบอกแล้วไงว่าไม่ต้องมาหา ถ้าเกิดคนมาเห็นเข้า ไฟจะเดือดร้อนนะ” ไม่น่าบอกไปเลยว่าห้องอยู่ทางไหน ไม่คิดว่าจะกล้ามาถึงห้องขนาดนี้

“ก็ไฟเป็นห่วง ดูสิ…ไม่เจอกันเพียงอาทิตย์เดียวหน้าก็ช้ำเลยเห็นไหม แล้วแบบนี้จะยังให้อยู่เฉย ๆ อีกหรือไง” ไฟนั่งลงกับเตียงดึงอีกคนให้นั่งลงข้าง ๆ กัน ตามจับใบหน้าอย่างเบามือพร้อมกับก้มดูตามแขน “แน่ใจนะว่าฝึกมวยจริง ๆ”

“อือ” สิงห์พยักหน้าสวมกอดคนรักด้วยความคิดถึง เพียงอาทิตย์เดียวมันนานเสียเหลือเกินที่ไม่ได้เจอกัน อุตส่าห์จะใจแข็งรอให้แผลหาย แต่พอเจ้าตัวมาหาถึงที่มันควรจะต้องโกรธและเตือนไม่ให้ทำแบบนี้อีก ทว่าใจกลับอยากกอดตั้งแต่เห็นหน้า อยากจะซึมซับความอบอุ่นเพื่อให้แผลข้างในได้ประสานกัน

ถึงจะรักษาแผลภายนอกไม่ได้แต่แผลจากข้างในก็เป็นไฟที่ช่วยฟื้นฟูมันขึ้นมา

“อย่าทำให้เป็นห่วงแบบนี้สิ” ไฟบ่นด้วยความเป็นห่วงกดจมูกลงกับกลุ่มผมย้ำ ๆ เพื่อคลายความคิดถึง

“ถ้าเกิดไม่ได้ไปหาก็ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก พอดีว่างานที่ทำมันเยอะกว่าที่คิด ออกไปได้ก็คงเมื่อตอนที่ทำงานเสร็จหมดแล้ว”

“ไม่แปลกใจเลยที่สิงห์มักจะเอาแต่คิดมาก ขนาดอายุเท่านี้ก็ต้องทำงานเหมือนพวกผู้ใหญ่แล้ว”

สิงห์ผละกอดก่อนจะยิ้มบาง ๆ “ไม่เห็นจะเกี่ยวตรงไหน เดี๋ยวนี้เศรษฐกิจมันแย่ ส่วนมากคนจบป.สี่ก็ได้ทำงานกันแล้ว”

“ก็คนพวกนั้นเขาไม่เรียนต่อกัน แต่สิงห์ยังเรียนต่อน่าจะเรียนให้จบก่อนค่อยทำก็ได้”

“แล้วนายคิดว่าคนอย่างฉันจะขัดคำสั่งพ่อได้หรือไง” เด็กหนุ่มถอนหายใจ “ฉันไม่ชอบหรอกงานของพ่อน่ะ เพราะมันมีแต่พวกงานผิดกฎหมาย แต่…มันก็ดูได้ประโยชน์ดี” คำหลังเสียงช่างเบาจนคนฟังต้องขยับหน้าเข้าไปใกล้

“เมื่อกี้สิงห์ว่าไงนะ ไฟไม่ได้ยินเลย”

สิงห์อึกอัก “เปล่าหรอก แต่นายเถอะทีหลังห้ามทำแบบนี้อีกนะ นี่มันไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ.. ถ้ามีคนเจอนายเข้า พ่อฉันจะฆ่าเอาได้นะ”

“ตราบใดที่เสี่ยพันธ์ยังไม่รู้ มันก็ไม่น่าจะเป็นอะไรไม่ใช่หรือ”

“เรื่องนั้น...”

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

สิงห์หันไปมองทางประตูทันควันกระวนกระวายรีบดึงแขนไฟให้ลุกขึ้น “ออกไปก่อน”

ถึงจะยังไม่อยากออกไปแต่ก็ต้องพยักหน้าเข้าใจ ระหว่างนั้นเสียงจากคนด้านนอกที่ขานเรียกจึงทำให้ทั้งคู่หยุดชะงัก “สิงห์ นี่แม่เองนะ”

“ใจหายหมด” สิงห์พรูลมหายใจก่อนจะจับไหล่คนรัก “ไม่เป็นไรหรอก”

“แม่ที่ว่าใช่น้าพิมพ์อรหรือเปล่า”

“อือ” ตอบเสร็จก็เดินออกไปเปิดประตู มองด้านนอกที่ไม่มีใครนอกจากแม่ก็เอานิ้วชี้แตะปากแล้วพาผู้เป็นแม่เข้ามาในห้องนอน

“อ๊ะ!” พิมพ์อรตกใจเกือบหลุดปากเสียงดัง พอมองดี ๆ ก็ยังเห็นว่ายังดูเด็กอยู่เธอจึงถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วหันมาหาลูกชาย “ใครน่ะลูก”

“นี่ไฟคนที่ผมเคยเล่าให้ฟังไงครับ”

“ฉันไหว้จ้ะ” ไฟพนมมือไหว้

“พ่อไฟเข้ามาได้ยังไงล่ะลูก ถ้าเกิดเสี่ยพันธ์รู้เข้าจะแย่เอานะ” เธอตักเตือนพร้อมกับหันหน้าไปหาลูกชายอีกครั้ง “ลูกก็รู้ว่าเมื่ออาทิตย์ก่อนลูกเจออะไรมาบ้างทำไมถึงยังจะมาเจอกันอีก รู้ไหมว่ามันอันตรายต่อทั้งคู่นะ”

“แม่ครับ” สิงห์เอามือจับไหล่ผู้เป็นแม่พลางส่ายหัวเป็นเชิงบอกไม่ให้พูด

“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ? ทำไมถึงเจอกันไม่ได้” พอได้ยินอย่างนั้นพิมพ์อรก็เข้าใจได้ทันทีว่าทำไมพ่อไฟถึงมาที่นี่และไม่รู้เรื่องอะไรเลย

“สิงห์… ลูกควรบอกไฟนะ” เธอยังคงเตือนอีกครา ถึงจะสงสารที่ไม่ได้เป็นเพื่อนกันได้อย่างอิสระแต่การทำอย่างนี้ก็เพื่อทั้งสองคน “สิงห์น่าจะเข้าใจดี ชีวิตที่ต้องทนกับอารมณ์โกรธของพ่อว่ามันทำให้ฆ่าคนทั้งเป็นได้ เสี่ยพันธ์น่ะไม่มีคำว่าเกรงกลัวกฎหมายอีกแล้วลูกก็น่าจะรู้ เขาทำร้ายลูกตัวเองขนาดนี้ เขาไม่มีความเป็นคนแล้วด้วยซ้ำ”

ไฟที่ฟังอยู่กำมือแน่น “ปัญหาพวกนั้นมันเกี่ยวกับแผลตามตัวด้วยหรือเปล่า” น้ำเสียงของไฟดูเรียบนิ่งทว่าสิงห์รู้ดีว่ามันเหมือนกับเพลิงที่ใกล้จะปะทุในไม่ช้า

“รีบคุยกันเสีย อีกเดี๋ยวแม่จะมาเรียกให้คุยเรื่องเรียนของต้นอ้อ”

“ครับ” สิงห์พยักหน้า พอผู้เป็นแม่เดินออกไปแล้วจึงได้แต่หันมองคนรักที่กำลังกัดฟันคล้ายคุมอารมณ์อยู่ “ไฟ...”

“จะบอกเมื่อไหร่” ไฟขบกรามแน่น “ต้องรอให้เรื่องมันหนักกว่านี้ถึงจะบอกกันหรือ”

“สิงห์แค่ไม่อยากให้ไฟต้องเป็นห่วง”

“การไม่บอกคือการที่ทำให้ฉันเป็นห่วงและฟุ้งซ่านกว่าเดิมไม่ใช่หรือไง” ไฟหน้าขึงตัวสั่นจากอารมณ์ที่ปะทุขึ้นมา คำแทนตัวเองก็เปลี่ยนไป “ฉันเข้าใจนะว่าบางเรื่องนายมีเหตุผลที่จะไม่บอก แต่เรื่องที่มันเกี่ยวข้องกับฉันด้วยโดยตรงทำไมไม่บอกกันบ้าง ถึงฉันจะไม่กลัวตายแต่การที่ต้องทำให้นายเดือดร้อนขนาดนี้ทำไมถึงไม่บอกกันบ้าง”

“หรือกลัวว่า ถ้าหากบอกไปแล้วฉันจะทำอะไรไม่คิดจนเกิดเรื่องใช่ไหม”

สิงห์ได้แต่เงียบ เพราะในความคิดตนมันก็ไม่ต่างจากที่อีกคนพูดนักเพราะไฟนั้นเป็นคนอารมณ์ร้อนถ้าบอกไปไฟก็ต้องหาวิธีทำอะไรสักอย่างที่มันเสี่ยงต่อตัวเอง อย่างไฟถ้าไม่พูดหรือห้ามอย่างจริงจังก็จะหยุดอีกคนไม่อยู่

“นายไม่ต้องบอกฉันทุกเรื่องก็ได้... แต่ว่าบางเรื่องนายไม่จำเป็นต้องเก็บมันไว้กับตัวเอง เพราะหากฉันรู้ทีหลัง.. ฉันจะโกรธที่นายไม่ยอมพูดปัญหาให้ฟังและจะเสียใจที่ปัญหาพวกนั้นฉันเป็นส่วนเกี่ยวข้องด้วยแต่กลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย”

สิงห์กัดปากไม่คิดเถียง

“เราเป็นคนรักกันหรือเปล่า” ไฟดวงตาแดงก่ำจากความโกรธแต่เพียงแค่นั้นก็ทำให้คนที่มองอยู่ร้องไห้ออกมาแทน “ไม่ว่าจะเรื่องอะไร จะผิดหรือถูก น่าจะบอกกันสักคำ”

“นายเป็นห่วงฉัน ฉันเข้าใจ... แต่ฉันก็เป็นห่วงนายเหมือนกัน”

“ขอโทษ”

เพียงเท่านั้นไฟก็ก้มหน้าถอนหายใจอย่างคนพ่ายแพ้ต่อน้ำตาก่อนจะเดินเข้าไปกอดอีกคนเพื่อปลอบโยน “มีอีกอย่างที่สิงห์น่าจะเข้าใจดีนะ...”

 

 

“ว่าคนที่หยุดฉันได้มีแค่สิงห์เท่านั้น”






จบบทที่ ๕
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-09-2020 10:31:16 โดย IMYean. »

ออฟไลน์ Keane

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-0
 :man1:

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ ๖

ย้อนวัย : นิสัยที่เริ่มเปลี่ยน




พ.ศ. ๒๔๗๑

ผ่านไปหนึ่งเดือน หลังจากเรียนจบชั้นมัธยมปีที่ ๕


ถึงแม้ว่าการไปโรงเรียนจะได้เจอกับไฟเกือบทุกวัน ทว่า เราทั้งคู่ได้เริ่มตัดสินใจทำเป็นไม่สนิทกันเพราะพ่อสั่งให้คนมาตามจับดูเราทั้งสองคนอยู่ตลอดเวลา ส่วนไฟเองก็ยังคงมาหาที่ห้องในเวลากลางคืนเนื่องจากความมืดมันช่วยให้พรางตัวได้ดีรวมถึงไม่มีคนคอยมาเฝ้าแถวห้องของเขามากเพราะพวกนั้นจะไปเฝ้าแถวโกดังสินค้ากับแถวห้องของพ่อซะส่วนใหญ่

ตลอดปีที่ผ่านมาสิงห์ได้รู้จักลูกค้าของพ่อเกือบทุกคน ดูเหมือนว่าพ่อมักจะให้เขาออกไปพบลูกค้าด้วยบ่อย ๆ ทั้งยังสอนงานและแนะนำอะไรอีกหลายอย่าง

เมื่อก่อนการจะขออะไรสักอย่างหรือการเข้ามาในห้องทำงานของพ่อแทบไม่มีสิทธิ์ แต่เดี๋ยวนี้กลับทำได้เสียอย่างนั้น

“ว่ายังไง มีอะไรจะพูด” เสี่ยพันธ์เอ่ยถามในขณะที่ตัวเองกำลังก้มเขียนอะไรอยู่

สิงห์ที่วันนี้อยากจะมาขออะไรบางอย่างกับพ่อแต่ก็ยังไม่ได้บอกไปก่อนว่าเรื่องอะไร เพราะเรื่องที่จะมาขอนั้นมันอาจจะทำให้พ่อโกรธเอาได้ “ผมจะมาขออนุญาตครับ”

พ่อเงียบไปชั่วอึดใจคล้ายกำลังคิดอะไร ก่อนจะถามต่อ “เรื่องอะไร”

เด็กหนุ่มใจสั่นด้วยความกลัวฝ่ามือชื้นเหงื่อจากการบีบเข้าหากัน “ผมขอ.. ไปเรียนต่อที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจได้ไหมครับ”

กึก

เพียงแค่เสียงปากกาตกก็ทำให้สิงห์สะดุ้ง เด็กหนุ่มมองแผ่นหลังของพ่อตนที่ไม่รู้ว่าตอนนี้ท่านกำลังทำสีหน้ายังไง แต่รอบกายในตอนนี้มีแต่ความเงียบ

มันเงียบจนน่ากลัว

“เพราะอะไรทำไมถึงอยากเรียน” น้ำเสียงก็ดูนิ่งจนทำให้สิงห์มือสั่น

“ผม...ผมแค่อยากเห็นการทำงานของตำรวจ”

“เห็นการทำงานของตำรวจ?” เสี่ยพันธ์หันหน้ามาเส้นเลือดปูดตามขมับทว่ายังคงรักษาอารมณ์ “ไม่ใช่เพราะไอ้เด็กนั่นที่เรียนห้องเดียวกับมึงชวนให้ไปด้วยกันหรือไง”

“ค..ใครกันหรือครับ”

“ยังจะกล้าทำเป็นไม่รู้อีกนะ!” ความอดทนหมดลงมือหยาบกร้านก็ตบเข้าที่หน้าลูกชายทันที “กูพูดแล้วใช่ไหมว่าอย่าให้เห็นเป็นครั้งที่สาม”

“มันไม่ใช่นะพ่อ”

“ออกไป! ก่อนที่กูจะทนไม่ไหว”

“พ่อ—”

“ออกไปไอ้ลูกเนรคุณ!” เสี่ยพันธ์ตะคอกเสียงดัง

“ออกมาก่อนเถอะครับคุณสิงห์” ภพที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ รีบจับไหล่แล้วพาเดินออกจากห้องทำงานของเสี่ยพันธ์เพื่อไม่ให้เจ้านายต้องโมโหไปมากกว่านี้ แต่แทนที่จะออกมาส่งแค่นอกห้องกลับพาลงไปถึงชั้นล่างและเดินออกไปด้านนอกทั้งยังหันซ้ายหันขวาเหมือนกำลังมองใคร

“จะพาผมไปไหน”

ภพยังไม่ได้เอ่ยตอบหันมองรอบกายอีกครั้งพอเห็นว่าแถวนี้ไม่มีคนจึงหันมาหาลูกชายของเจ้านาย “คุณอยากจะเป็นตำรวจใช่ไหม”

เด็กหนุ่มนึกแปลกใจ “คุณสนใจด้วยหรือ”

ภพเค้นยิ้ม “ผมสนใจตรงที่ การจะให้คุณได้ไปเป็นตำรวจมันอาจจะดีกับทางเรา”

“นี่คุณหมายถึง...”

“คุณเป็นเด็กหัวไวนะคุณสิงห์ เพราะอย่างนั้นผมจึงอยากให้ความรู้และสิ่งที่คุณมีในตัวได้เข้าเป็นตำรวจเพื่อช่วยเหลือพ่อของคุณ”

สิงห์อยากจะเถียงแต่ก็ต้องเงียบเอาไว้

“อยากจะให้ผมเป็นตำรวจเพื่อเป็นสายให้พ่ออย่างนั้นหรือ?”

“ใช่แล้ว มันดีใช่ไหมล่ะ จุดประสงค์ของคุณมันคือการเป็นตำรวจเพราะอย่างนั้น.. ถ้าคุณช่วยเหลือพ่อของคุณ... บางทีเสี่ยพันธ์อาจจะเห็นด้วย”

เด็กหนุ่มนึกคิดตาม การโกหกพ่อโดยใช้เรื่องพวกนี้ไปมันก็น่าจะดี อีกอย่างการทำเป็นเห็นด้วยกับภพ ก็คงจะให้ภพได้ช่วยพูดกับพ่อได้

“ผมไม่คิดนะว่าพ่อจะยอม เขาเกลียดตำรวจซะขนาดนั้นเรื่องที่ช่วยได้ก็คงไม่มีความหมาย หากพ่อยังไม่เห็นด้วย” สิงห์ยังคงพูดลองเชิง

ภพหัวเราะในลำคอ “นั่นสิครับ ถ้าอย่างนั้นผมจะช่วยพูดให้”

สิงห์ขมวดคิ้ว “คุณน่ะเหรอจะช่วยพูด ผมว่าไม่ได้หรอก”

“อ่า มันอาจจะไม่ได้เพราะพ่อคุณกำลังวางมือเพื่อจะให้คุณทำงานต่อจากท่าน ดูจากวันนี้เขาพยายามเก็บอารมณ์เพื่อไม่ให้คุณต้องดูเสียหน้าต่อลูกน้อง ท่านพยายามจะยกทุกสิ่งทุกอย่างให้คุณเป็นคนดูแลต่อ”

สิงห์ไม่ได้ตกใจเพราะยังไงสักวันพ่อก็ต้องทำแบบนี้ “เห็นไหมล่ะคุณยังพูดเลยว่ามันอาจจะไม่ได้”

“แต่ผมจะพยายามเกลี้ยกล่อม ถึงท่านจะเริ่มวางมือแต่คงต้องรออีกหลายปี บางทีในเวลานี้ที่ยังไม่ได้รับช่วงต่อก็คงจะหาทางคุยกับท่านได้”

“ทำไมคุณถึงต้องช่วยซะขนาดนั้นด้วย”

ภพยิ้มบาง ๆ “เพราะพ่อคุณลากผมออกมาจากเรือนจำ ผมก็ต้องตอบแทนท่านอยู่แล้ว”

สิงห์ครุ่นคิดก่อนจะยิ้มให้ “น่าดีใจนะที่พ่อผมมีลูกน้องอย่างคุณ”

เขายังเคยจำได้ดีเมื่อตอนนั้นที่เขาอายุสิบสองปีกำลังเข้าเรียนมัธยมปีที่หนึ่ง พ่อได้พาคนสามคนเข้ามาในบ้าน ทั้งสามคนที่ออกมาจากเรือนจำ แต่ก็ไม่รู้ว่าไปได้มายังไง

ภพเป็นหนึ่งในนั้นและเป็นคนที่คอยติดตามพ่ออยู่เสมอเพราะเป็นคนที่พ่อไว้ใจที่สุด ส่วนอีกสองคน อย่างเทิดกับมั่น เห็นว่าเทิดเป็นพวกทำงานเบื้องหลังไปเก็บคนอื่นตามคำสั่งของพ่อ ส่วนมั่นไอ้คนนี้นี่แหละที่คอยทำให้เขาได้ยินเสียงร้องไห้และร้องขอชีวิตอยู่เกือบทุกวัน มันมักจะจับพวกสายตำรวจและสายของคู่อริพ่อมาทรมานเพื่อเค้นความจริง แถบโกดังสินค้าเองมันก็เป็นคนดูแล

สามคนนี้ที่พ่อพาเข้ามาล้วนแล้วแต่เป็นโจรชื่อดัง ๆ เทิดเป็นนักฆ่าเห็นว่าแต่ละคนที่มันฆ่าล้วนแล้วแต่เป็นคนใหญ่คนโตมีลูกน้องนับสิบคอยคุ้มกันแต่กลับไม่มีใครเคยจับไอ้เทิดได้ ส่วนไอ้มั่นเป็นฆาตกรโรคจิตเพราะอย่างนี้มันถึงชอบทรมานคน ส่วนภพเห็นว่าเป็นฆาตกรเช่นกันแถมยังฆ่าเพื่อนร่วมห้องขังทุกคนแล้วเหลือมันเพียงแค่คนเดียว

ทุกคนรู้ว่าพ่อเขาฉลาดเลือกคน ไม่แปลกที่คุณหลวงรวีชัยจะแย่งชิงดีชิงเด่นเพื่อจะให้ตัวเองเหนือกว่า

“ผมก็ดีใจที่ได้เข้ามาที่นี่” ภพว่าเพียงเท่านั้นก็ก้มหัวขอตัวกลับไปที่ห้องทำงาน

เด็กหนุ่มยังคงขมวดคิ้ว ความรู้สึกของเขามันบอกว่าสิ่งที่อีกคนพูดมันมีนัยบางอย่าง ไม่ใช่เพียงแค่ที่บอกว่าดีใจแต่มันเป็นทุกคำตั้งแต่ที่ภพออกมาพูดข้างนอก

ผู้ชายคนนี้ ไม่น่าจะใช่แค่ฆาตกรธรรมดา

สิงห์ถอนหายใจไม่อยากจะคิดเรื่องอื่นให้ปวดหัวมากกว่านี้แค่เก็บเอาไว้แล้วค่อยมาคิดทีหลังเอาก็ได้ เพราะงานเอกสารก็เต็มห้องจะให้เอาแต่คิดเรื่องนี้คงทำไม่เสร็จหรอก

ทว่า พอเดินเข้าบ้านมาได้สักพักก็ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงคุยกันมาจากห้องเก็บของ ถ้าเป็นคนอื่นก็คงไม่สนใจนักหรอกแต่เพราะสิงห์เป็นคนชอบสังเกตและชอบฟังคนพูดจึงเดินไปหลบมุมเพื่อไม่ให้คนด้านในเห็น

“เข้ามาทำงานที่นี่แล้วก็อย่าทำอะไรขัดใจเสี่ยพันธ์ล่ะ” เสียงนี้เป็นของภพอย่างแน่นอน เจ้าตัวคงจะยังไม่ได้ขึ้นไปที่ห้องทำงานของพ่อ

“ว่าแต่งานที่ถูกสั่งมา ทำไมถึงต้องใช้เวลานานขนาดนี้ล่ะครับ” ผู้ชายอีกคนที่อยู่ด้วยไม่คุ้นหน้าสักเท่าไรบางทีอาจจะเป็นเด็กใหม่ที่เข้ามาทำงาน แต่สองคนนี้มีความสัมพันธ์กันยังไง ถึงได้พูดคุยคล้ายรู้จักกันมาก่อน

“อย่าลืมสิว่าใครเป็นคนอยู่เบื้องหลัง”

“อ่า นั่นสิ คงลำบากน่าดูเลยนะครับ”

“จะว่าลำบาก มันก็ลำบากหลายเรื่องล่ะนะ แต่ก็ถือว่าการที่อยู่ที่นี่ก็ได้รู้อะไรต่อมิอะไรเยอะเลย”

“ผมเองก็เพิ่งจะเข้ามา ยังไงผมจะพยายามทำตามหน้าที่ให้ดีที่สุดครับ”

“ไม่ต้องทางการขนาดนั้น ให้คิดว่ากูก็แค่มือขวาธรรมดา ๆ คนหนึ่ง”

“ขอโทษครับ”

“เรียกกูอย่างที่เคยให้เรียกซะ”

“อ่อ ได้ครับพี่”

“ถ้างั้นก็ไปทำงานได้แล้วไป”

“ครับ”

สิงห์รีบเข้าไปหลบด้านหลังของกล่องสินค้า เขาส่ายหัวสบถกับตัวเองจากที่จะเก็บเรื่องนี้ไว้คิดทีหลังก็ต้องเอากลับมาคิดทันที

สองคนนี้เป็นใครกันแน่แล้วกำลังวางแผนอะไรกันอยู่ คิดถูกจริง ๆ ที่คิดว่าภพไม่น่าจะใช่แค่ฆาตกรธรรมดา

สิงห์ฟังเสียงฝีเท้าที่เดินขึ้นบันไดไป ก็รออยู่หลายนาทีเพื่อให้แน่ใจว่าภพจะต้องเข้าห้องพ่อแล้ว จึงเดินขึ้นไปยังชั้นบนเพื่อเข้าห้องของตัวเอง

“อยู่ไหนนะ” เด็กหนุ่มพึมพำเพราะพ่อให้เอกสารหลาย ๆ อย่างเพื่อให้เขาทำความเข้าใจรวมถึงเอกสารประวัติของลูกน้องที่เอาเข้ามาทำงานเพื่อจะได้ให้เขารู้จัก ก่อนจะยิ้มกว้างเมื่อเจอประวัติของภพเข้า

“นาย ภพ ศิริกันต์ อายุยี่สิบเก้าปี เกิดที่จังหวัดชัยนาท ฆาตกรขึ้นชื่อ โดยที่นายภพให้เหตุผลแค่ว่าเป็นความสนุกส่วนตัว ต้องทำการจับขังคุกเดี่ยวเพราะได้ทำการสังหารเพื่อนร่วมห้องไปสิบคน ทางอธิบดีส่งเรื่องให้ศาลตัดสินและในเวลาต่อมาก็ได้ถูกโทษสั่งประหารแต่กลับหายตัวไปจากเรือนจำอย่างไม่พบร่องรอย”

“ไม่มีครอบครัว ไม่มีญาติ ไม่มีประวัติใดใดนอกจากประวัติจากการถูกจับที่ชัยนาทเพราะฆ่าคน แต่ก็ถูกปล่อยตัวจนกลับมาทำอีก ทำให้ต้องเข้าเรือนจำที่พระนคร”

สิงห์ถอนหายใจลองหาเอกสารอื่น ๆ ดูแต่ก็ไม่มีอะไรเพิ่มเติม “ไม่มีประวัติอะไรมากกว่านี้เลยหรือไง”

หมับ!

“อ๊ะ!” จากที่กำลังเครียด ๆ อยู่ก็ต้องตกใจเมื่อมีคนเข้ามากอดจากด้านหลัง แต่พอหันหน้าไปมองก็ต้องพ่นลมหายใจ “ไฟ! ทำตกอกตกใจหมด”

“ไฟเข้ามาตั้งนานแล้วนะแต่สิงห์ก็เอาแต่อ่านอะไรก็ไม่รู้” ไฟบ่นเล็กน้อยก่อนจะหอมแก้มอีกคน

“นี่ ไม่ต้องเลย ปล่อยก่อน”

“ไฟไม่ได้มาตั้งหลายอาทิตย์ ไม่คิดถึงกันเลยหรือไง” พูดไปก็หาว่าขี้น้อยใจ แต่มันก็น่าน้อยใจเพราะสิงห์เอาแต่ทำงานแล้วก็ทำงาน บางทีมาถึงก็เห็นว่าหลับจากความเพลียจึงไม่ค่อยได้คุยกันเลย

“คิดถึงสิ แต่ตอนนี้ปล่อยก่อนได้ไหม” สิงห์รีบปลอบพร้อมกับตบหลังมืออีกคนเบา ๆ  “พอดีมีเรื่องอะไรให้ต้องคิดนิดหน่อย”

“ก็ได้” ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ก็ยังคงทำหน้าง้ำหน้างอเดินไปนั่งคอตกอยู่ปลายเตียง

“ไฟ” สิงห์ลองขานเรียก แต่ว่าคนที่ถูกเรียกนั้นเอาแต่หัวคิ้วมุ่นและยังหันหน้าหนี เขาเลยได้แต่ถอนหายใจก่อนจะเดินเข้าไปกอดแล้วกดศีรษะอีกคนให้ซบกับอก “อย่าน้อยใจเลยนะ”

“สิงห์มัวทำแต่งานแล้วยังจะชอบคิดแต่เรื่องอื่น พวกเราไม่ได้เจอกันบ่อยนะ พอเจอกันก็น่าจะพูดคุยกันบ้างสิ”

“ขอโทษครับ สิงห์จะไม่คิดเรื่องอื่นแล้ว” พูดเสร็จก็จับหน้าอีกคนให้เงยขึ้น “อย่าน้อยใจสิงห์เลยนะ”

“ช่างมัน ยังไงงานก็ต้องสำคัญกว่าอยู่แล้ว” ไฟยังคงหันมองทางอื่น

“ไม่เอาหน่าไฟ” สิงห์ใช้นิ้วโป้งลูบแก้มสากอย่างเบามือก่อนจะก้มลงจูบที่ริมฝีปาก “ดีกันเถอะนะ”

ไฟทำหน้าเซ็งยกแขนกอดอกเหมือนเด็กไม่มีผิด

“สิงห์สัญญาว่าจะไม่คิดเรื่องอื่นอีก” ให้คำมั่นแล้วกดจมูกลงบนแก้ม “ไฟ”

เรียกอีกครั้งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ดวงตาสอดประสาน จมูกเสียดสีกันเล็กน้อย บางครั้งก็ขยับปากคลอเคลีย บางครั้งก็ผละออกมามองหน้า วนอยู่อย่างนั้นจนไฟอดใจไม่ไหวต้องกอดเอวแล้วกัดปากทำโทษ

“อื้อ เจ็บนะ” ถึงจะบ่นแต่ก็ยังยอมให้อีกคนทำตามใจ

“ถ้ายังไม่สนใจกันอีกล่ะก็ จะได้โดนมากกว่านี้แน่”

“ฮ่ะ ๆ เข้าใจแล้ว” สิงห์อมยิ้มหยิกแก้มอีกคนด้วยความมันเขี้ยว หยอกล้อกันไปมาจนเผลอนั่งตักไปโดยไม่รู้ตัว

“คุยกับพ่อหรือยัง”

“อืม คุยแล้วล่ะแต่พ่อยังไม่อนุญาตเลย”

“อ่าว แล้วทีนี้จะทำยังไงต่อล่ะ”

“ไม่รู้สิ คงต้องโกหกท่านว่าที่ไปเรียนเพราะอยากจะไปเป็นสายในการช่วยพ่อ”

“ต้องทำอย่างนั้นด้วยหรือ” ไฟขมวดคิ้ว

“จำภพมือขวาของพ่อที่เคยเล่าให้ฟังได้ไหม เขาเป็นคนมาบอกว่าจะช่วยคุยให้หากสิงห์ยอมช่วยเหลือในระหว่างที่เป็นตำรวจ”

ไฟส่ายหัวเอือมระอา “บังคับกันชัด ๆ”

“ไม่หรอก เขาไม่ได้บังคับแต่แค่ออกความเห็น สิงห์ว่ามันก็เป็นเหตุผลที่ดีนะ” สิงห์เคาะนิ้วกับไหล่อีกคน “เคยบอกไปแล้วหนิว่าการโกหกพ่อคือทางออกที่ดีที่สุด มันไม่มีทางไหนอีกแล้วนะ”

“งั้นสิงห์ก็จะต้องเป็นสายให้พ่อหรือ”

“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ตอนนี้ต้องทำให้พ่ออนุญาตให้ได้ก็พอ”

“อย่างนั้นหรือ” ไฟพยักหน้า “เอาเป็นว่าไฟจะรอจนกว่าเสี่ยพันธ์จะอนุญาต”

“ถ้ายังไม่ได้จริง ๆ ไฟก็ไปเรียนก่อนเถอะ สิงห์ไม่อยากให้ไฟต้องมาทนรอนาน”

“ไม่เป็นไร ไฟจะรออยู่กับสิงห์.. เราต้องไปพร้อมกัน”

สิงห์ได้แต่คิดว่าคงไม่มีใครที่จะมาแทนที่ไฟได้อีก คงไม่มีใครที่ยอมทนอยู่กับเขาได้ถึงขนาดนี้ นับวันยิ่งหลงรักผู้ชายที่ชื่อเพลิงกาฬจนถอนตัวไม่ขึ้นซะแล้ว

 

 

พ่ายโลกันตร์


 


๑ ปี กับอีก ๖ เดือน

พ.ศ. ๒๔๗๓


สิงห์ในวัยสิบแปดปีกำลังนั่งเคาะนิ้วลงบนโต๊ะไม้ทรงกลมด้วยใบหน้าเรียบเฉยทว่าทำคนมองกดดัน ตรงหน้าเขามีลูกค้าของพ่อที่กอดอกวางมาดใบหน้าเขม่นเพราะคิดว่าเด็กอายุเพียงเท่านี้จะไปทำอะไรได้

“นายคือภพใช่ไหม” เสี่ยตะวันเอ่ยถามมือขวาของพ่อที่รับหน้าที่มาพบลูกค้าพร้อมกับสิงห์

“ครับเสี่ย” ภพก้มหัวตอบ

“รู้ไหมว่ามันเสียมารยาทมากเลยนะที่เอาเด็กอายุเท่านี้มาพบฉันน่ะ” ในตอนแรกก็คิดว่าอาจจะอายุประมาณยี่สิบกว่า ๆ เพราะแต่งตัวตัดสูทอย่างดี สิงห์เองเป็นเด็กตัวสูงกว่าใคร จัดผมอีกนิดก็ดูโตแล้ว พอรู้ว่าเป็นลูกชายของเสี่ยพันธ์ที่ได้ข่าวว่าเพิ่งจะสิบแปดก็ต้องมีโมโหที่เสี่ยพันธ์กล้าส่งเด็กมาคุย

“เสี่ยครับ ในเวลาที่ต้องการยาเพื่อส่งข้ามประเทศตั้งขนาดนั้นไม่ว่าจะคุยกับใครก็อย่าเกี่ยงไปเลยนะ เพราะถ้าหากทางผมไม่ขายให้ขึ้นมา เสี่ยจะเดือดร้อนเอานะครับ” เด็กหนุ่มเองที่ได้พบเจอคนมากหน้าหลายตาซึมซับคำพูดและความคิดของหลาย ๆ คนเข้าตัวเองจนกลายเป็นเด็กที่น่ากลัวเหมือนดั่งพ่อตนที่ไม่เคยคิดจะก้มหัวหรือยอมให้ใคร

“ไอ้เด็กนี่!” เสี่ยตะวันกัดฟันกรอดทุบโต๊ะเสียงดัง

สิงห์ไม่ได้รู้สึกกลัวหรือว่าต้องไปสนใจกับการกระทำโง่ ๆ อย่างนั้น เด็กหนุ่มทำเพียงกระดิกนิ้วให้ภพเอาเอกสารที่ตนได้สั่งให้เทิดไปสืบมา ไปวางไว้ตรงหน้าของเสี่ยตะวัน “นี่คือเอกสารประวัติการเซ็นสัญญากับทางลูกค้าต่างประเทศที่เสี่ยส่งขายออกไป ทางเอกสารนั้นมีเพียงชื่อเสี่ยตะวันที่เป็นพ่อค้าและได้กำหนดว่าสินค้าที่ส่งออกไปทั้งหมดตนเป็นคนหามาเองกับมือ ไม่ได้บอกว่าซื้อต่อจากพวกผม”

เขายิ้มขันที่เห็นสีหน้าหวั่นวิตกของไอ้แก่หน้าเลือด “คงเข้าใจนะครับว่าผมหมายถึงอะไร” เพราะถ้าหากไอ้เสี่ยตะวันไม่ส่งของตามกำหนดก็เป็นมันคนเดียวที่เดือดร้อน

สุดท้ายการค้าขายก็จบลงถึงแม้ว่าอาจจะไม่ลงรอยกับเสี่ยตะวันมากเท่าใด แต่มันก็คงไม่กล้าพูดอะไรมากกว่านี้

“คุณสิงห์นี่สุดยอดจริง ๆ เลยนะครับ ทำเอาเสี่ยตะวันเงียบไปเลย” เกื้อที่มาด้วยชมยอแต่คนฟังกลับไม่แสดงอารมณ์ใดใด จนเจ้าตัวต้องหุบปากฉับแล้วทำหน้าที่ขับรถต่อไป

“เรื่องที่ขอเสี่ยพันธ์ผมคุยให้แล้วนะครับ” เพียงภพพูดเรื่องนั้นคนที่นิ่งเงียบมานานก็ขยับตัวรอฟังต่อ “ท่านเห็นด้วยเรื่องที่จะให้คุณสิงห์ไปเป็นสายในกรมตำรวจ คงเพราะผลงานเด่น ๆ จากการที่คุณไปคุยกับลูกค้าด้วยตัวเองมาตลอดปีจึงทำให้ท่านเริ่มยอมรับ”

“แล้วตกลงพ่อจะให้ฉันไปเรียนตำรวจหรือเปล่า” คำสรรพนามนั้นสิงห์เองเพิ่งมาเปลี่ยนตอนที่ต้องออกไปพบปะกับลูกค้า ทางภพแนะนำให้พูดอย่างนี้เพื่อจะได้ดูน่านับถือมากขึ้นโดยไม่ต้องเกี่ยงอายุ

“พอถึงบ้านแล้วคุณสิงห์ลองไปคุยดูสิครับ”

สิงห์พยักหน้า “อืม”

เพียงไม่นานก็มาถึงบ้านไม้สวยงาม สิงห์ลงจากรถโดยมีภพที่เปิดประตูให้ ลูกน้องที่เฝ้าตามพื้นที่ต่างก้มหัวต้อนรับกลับแต่ก็ยังมีพวกที่ยังคงไม่ค่อยอยากจะแสดงความเคารพเพราะสิงห์นั้นดูอายุน้อยไม่น่าเกรงขามเหมือนเสี่ยพันธ์

แต่เขาก็ไม่ได้สนใจนักหรอก

“กลับมาแล้วหรือ” เสี่ยพันธ์ที่นั่งอยู่ห้องรับแขกเอ่ยทักทาย

“ครับพ่อ” เด็กหนุ่มเดินไปนั่งข้างกาย ส่วนภพกับเกื้อก็วางกระเป๋าที่บรรจุแบงค์เงินนับหมื่นลงบนโต๊ะ

“ได้มาอีกแล้วรึ เก่งจริงลูกพ่อ” เสี่ยพันธ์หัวเราะชอบใจกอดไหล่ลูกชายแล้วเปิดกระเป๋าดูเงิน

สิงห์หันไปสบตากับภพ ก่อนที่ภพจะดึงตัวเกื้อให้ออกไปอย่างรู้ความนัย “ผมมีอะไรจะคุยด้วยครับ”

“ว่ามาสิ” พ่อที่ชอบดุลูกชายและไม่เคยคิดจะยิ้มให้แต่บัดนี้กลับทำทุกอย่างเพียงเพราะเขาได้ทำงานสำเร็จทุกครั้งโดยไม่มีอะไรต้องเสียหาย

เห็นแล้วน่าขันสิ้นดี

“เรื่องไปเรียนตำรวจน่ะครับ” สิงห์เองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน จากเด็กที่เอาแต่สั่นและผวาเวลาพ่อดุ ทั้งหมดนั้นมันไม่หลงเหลืออีกแล้ว

มันเหมือนกับว่าชีวิตที่ต้องพบในแต่ละวันกำลังบั่นทอนจิตใจให้เด็กหนุ่มที่เคยร่าเริงกลายเป็นเด็กที่ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกขึ้นมา

“อยากเข้าเรียนขนาดนั้นเชียว”

“ครับ” เขาตอบทันทีดวงตาไม่ไหวหวั่นจนเสี่ยพันธ์ต้องพยักหน้าอย่างปลื้มใจที่ลูกชายดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น

“ถ้าอย่างนั้นตอบพ่อมาตรง ๆ ข้อหนึ่ง” เสี่ยพันธ์หันมาพร้อมใบหน้าเคร่งขรึม “กับลูกไอ้อนงค์ จะไปเรียนด้วยกันใช่ไหม”

แต่มีเพียงชื่อเดียวเท่านั้นที่ทำให้สิงห์ยังคงเป็นสิงห์เหมือนเดิมที่สั่นไหวทุกครั้งเวลามีอะไรที่เกี่ยวข้องกับอีกฝ่าย “ครับ” เขาตอบตามตรง ก่อนจะจ้องพ่ออย่างไม่เกรงกลัวเช่นกัน “ผมแค่อยากสานสัมพันธ์เอาไว้ การทำงานจะได้ราบรื่น ไฟมันยังมีประโยชน์เพราะมันเป็นคนที่เชื่อสุดใจว่าผมนั้นไม่ได้ไปพัวพันกับพวกอาวุธและยา”

เสี่ยพันธ์ดูไม่ค่อยเชื่อนักแต่ที่พูดมามันก็มีเหตุผลอยู่ เพราะเดี๋ยวนี้ตนปล่อยให้สิงห์ไปยุ่งกับไอ้เด็กนั่นได้แล้ว แต่สิงห์เองก็ยังคงทำหน้าที่ได้ดีเสมอและไหนจะทำให้ลูกค้าที่เคยคุยกับสิงห์หลายคนชื่นชมและอยากร่วมงานด้วยอีก “ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดี เอาเป็นว่ามึงอยากทำอะไรก็ตามใจ แต่พอถึงเวลาที่เข้าเป็นตำรวจเมื่อไรก็อย่าลืมส่งข่าวมาด้วย”

“ครับ ขอบคุณครับพ่อ” สิงห์พนมมือไหว้ไม่ได้อยู่คุยต่อรีบลุกขึ้นไปบนห้องแต่ก็พบกับแม่ที่นั่งดูกระดาษอะไรบางอย่างอยู่ “แม่”

“อ่าวสิงห์” พิมพ์อรเปรยยิ้มให้ก่อนจะพับกระดาษแผ่นนั้นไว้

“แม่มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“แม่ได้ยินว่าลูกจะไปเรียนตำรวจใช่ไหม” คงจะได้ยินที่คุยกันสินะ

“ครับ ถ้าผมได้ไปเรียนก็คงจะต้องค้างอยู่ที่นั่นเลย” ทางคุณลุงอนงค์ทำเรื่องไว้ตั้งนานแล้วรอแค่ให้เขาและไฟไปเรียนเท่านั้น

“แม่กับต้นอ้อคงเหงาแย่เลย” เธอดูหม่นลงแต่ก็ยิ้มออกมาเพื่อให้ลูกชายคลายกังวล “เรียนกี่ปีหรือลูก”

“อาจจะสามสี่ปีครับ บางทีอาจจะมากกว่านั้นเพราะคงได้ทำงานที่อื่น”

“ไว้กลับมาเยี่ยมที่บ้านบ้างนะลูก”

เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มออกมาได้หลังจากที่ไม่ได้แสดงอารมณ์มานาน “ครับ ถ้าว่างก็จะกลับมา”

“แล้วจะไปตอนไหนหรือ” เธออ้าแขนโอบกอดลูกชายพร้อมโยกตัวเบา ๆ

“คงสองสามวัน”

“ไปยังไงล่ะ เตรียมของหรือยัง”

“ไปกับไฟครับ ส่วนของไว้ค่ำแล้วค่อยเตรียมก็ได้”

“เดี๋ยวแม่เตรียมให้ไหม คงขนไปเยอะน่าดู”

“ไม่เป็นไรครับแม่ ผมเตรียมเองดีกว่า” สิงห์ผละกอดออกว่าจะจัดเอกสารอีกสักนิดแล้วค่อยนอนเอาแรงมาจัดเสื้อผ้า

“ถ้าอย่างนั้นแม่ไปทำกับข้าวนะ เดี๋ยวจะขึ้นมาเรียก”

“ผมว่าจะของีบเสียหน่อย กินกันก่อนเลยก็ได้นะครับ”

“ได้จ้ะ” พิมพ์อรยิ้มบาง ๆ รีบออกจากห้องเพราะไม่อยากกวนลูกชาย แต่เธอก็คงไม่รู้ตัวว่าลืมของอะไรไว้

“หื้อ?” สิงห์เอียงตัวหยิบกระดาษที่ตัวเองนั่งทับขึ้นมาดูพลิกไปมาอย่างนึกสงสัยก่อนจะคลี่ออกเพื่ออ่านเนื้อความด้านใน พลันร่างกายก็นิ่งงัน จ้องมองข้อความในกระดาษด้วยดวงตาแข็งกร้าว

 

พิมพ์อรที่รัก ที่พี่เขียนลงในจดหมายนี้เพราะอยากบอกน้องว่า... พี่เพียงขอเวลาอีกสักนิด พี่สัญญาว่าจะรีบพาพิมพ์อรและหนูต้นอ้อหนีไปด้วยกัน รอพี่เถอะนะ...


สมาน.

 

“หนีหรือ?” สิงห์กัดฟันกรอดรีบเดินไปหยิบไฟแช็กพร้อมกับจุดไฟเผากระดาษนั้นทิ้ง “คิดง่ายเกินไปแล้ว”

 

 

พ่ายโลกันตร์





เวลาล่วงเลยมาจนถึงพลบค่ำแต่สิงห์ก็ยังไม่ได้นอน หลังจากอ่านเนื้อความที่อยู่ในกระดาษและรีบไปคุยกับแม่ เป็นครั้งแรกที่สิงห์รู้สึกโกรธอย่างถึงที่สุด โกรธจนนึกตกใจที่ตัวเองกลายเป็นเด็กน่ากลัวต่อหน้าผู้เป็นแม่ขึ้นมา

“เฮ้อ” เด็กหนุ่มถอนหายใจนวดคลึงระหว่างหัวคิ้วเพื่อคลายความเครียดที่สะสมมาตลอดเกือบทั้งวัน ไม่รู้ว่าเพราะมัวแต่คิดเรื่องจดหมายนั่นตลอดเวลาหรือเปล่าถึงไม่ได้ยินเสียงอะไร พอรู้ตัวอีกทีปากก็ถูกปิดด้วยความอุ่นร้อนที่คล้ายกัน

“อืม” แต่พอเห็นว่าเป็นใครสิงห์ก็ยกมือขึ้นขยุ้มผมสีเข้มของอีกฝ่ายพร้อมกับเอียงหัวรับจูบอย่างไม่อิดออด เพียงปลดปล่อยไปตามอารมณ์ความเครียดพวกนั้นก็หายเป็นปลิดทิ้ง เขานึกขอบคุณที่ไฟมาได้ถูกเวลาเพราะเขาไม่อยากจะคิดเรื่องพวกนั้นอีกแล้ว

“คิดถึง” เสียงทุ้มต่ำก้มกระซิบ ดวงแพรวพราวในตอนที่มองกัน

“คิดถึงเหมือนกัน” สิงห์กระซิบตอบเอาแขนโอบรอบคอในตอนที่ปากถูกสัมผัสอีกครั้ง

เราแลกเปลี่ยนความคิดถึงให้กันและกันจนพอใจไฟก็เขยิบตัวลงมานอนข้างกาย เขี่ยปอยผมของคนรักแล้วก้มลงหอมแก้ม

“มีข่าวดีจะบอก”

“หื้อ อะไรหรือ” ไฟก้มถามคนที่ซุกอก

“พ่ออนุญาตแล้วนะ”

“อ่อ... ห๊ะ!!” ไฟร้องเสียงหลงจนเจ้าของห้องต้องรีบเอามือปิดปากให้เงียบ

“ตกใจอะไรขนาดนั้น” เด็กหนุ่มหัวเราะแล้วเอามือออก

“กะ..ก็มันน่าตกใจไหมล่ะ” ไฟหลับตา ใบหน้าปริ่มเปรม “สมแล้วที่รอจนกว่าเสี่ยพันธ์จะอนุญาต”

“แต่มันก็นานมากเลย ขอโทษนะ”

“ขอโทษทำไมกัน ตอนนี้ถ้าอยู่ด้วยกันได้ก็อยากจะอยู่ด้วยนาน ๆ พ่อบอกมาว่าหากไปเรียนแล้วไม่ได้อยู่ห้องเดียวกันอาจจะเจอกันบ้าง แต่ถ้าเรียนจบ ถึงเวลาทำงานจริงอาจจะไม่ได้เข้ากรมเดียวกันจนแทบไม่ได้พบหน้าเลยก็เป็นได้”

“นั่นสิ” สิงห์เคาะนิ้วบนอกของไฟในตอนที่กำลังคิดอะไรอยู่ในหัว เหมือนทำเป็นนิสัยไปเสียแล้ว ไฟเองก็พอเข้าใจได้ดีจึงนอนรอฟัง “หลังจากที่ได้เรียนก็ไว้ค่อยดูกันอีกที บางทีพอเรียนจบอาจจะอยู่กรมเดียวกันก็ได้”

“ขอให้ทำงานที่เดียวกัน สาธุ” ไฟยกมือขึ้นเหนือหัวทำให้คนที่นอนมองอยู่ได้แต่หัวเราะ

“ถ้าเกิดไม่ได้อยู่ด้วยกันก็อย่าไปคิดมากเลยนะ งานที่เราทำถึงจะอาชีพเดียวกันแต่ใช่ว่าจะเจอสถานการณ์แบบเดียวกันตลอด ห่างกันบ้างคงเป็นสิ่งหนึ่งในชีวิตที่เกือบทุกคนต้องพบเจอ”

“พูดเป็นคนแก่อีกแล้วนะ ใครบ้างล่ะที่ไม่อยากอยู่กับคนที่ตัวเองรักน่ะ” ไฟย่นหน้า

“แค่บอกไว้ ถ้าห่างกันก็อย่าไปคิดมาก ถึงเราจะคบกันแต่เรายังต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะนะไฟ”

“ไฟรู้… แต่การเป็นตำรวจมันเป็นงานเสี่ยงนะ ยังไงสิ่งแรกที่ต้องเจอเหมือนกันก็คือพวกโจร ไฟก็ต้องเป็นห่วงสิงห์อยู่แล้ว” ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะฉลาดและเก่งด้านต่อสู้หลากหลายอย่างมากกว่าก็เถอะ...

คนนอนฟังได้แต่ยิ้ม ยื่นหน้าหอมแก้มเป็นการขอบคุณที่อีกคนห่วงใยตนถึงเพียงนี้

“แต่ก็อย่างที่ว่านะ” เด็กหนุ่มถอนหายใจ “ไฟจะเรียนจบไหม”

“ฮ่า ๆ” สิงห์เผลอหัวเราะออกมาเสียงดังจนต้องรีบเอามือปิดปากไว้ “ทำไมคิดอย่างนั้นเล่า”

“ก็ไฟไม่ถูกกับด้านวิชาการหนิ ถ้าทางปฏิบัติก็ว่าไปอย่าง”

“เรียนตำรวจมันก็ต้องทำทั้งสองอย่างไม่ใช่หรือไง ถ้าทำวิชาการไม่ได้ก็ไม่เป็นไรไว้สิงห์จะคอยสอนให้ ไม่ต้องดีเลิศกว่าใครขอแค่ได้เรียนรู้ไว้ สิงห์เชื่อว่าไฟทำได้ ไม่เก่งด้านวิชาไม่ได้แปลว่าเราโง่หรือเราเรียนไม่เก่ง อย่าไปโทษตัวเอง เราแค่มีความสามารถกันคนละด้าน”

ไฟถึงกับไถลตัวลงเปลี่ยนเป็นนอนซุกคอสิงห์แทนเพราะเหมือนกำลังฟังพ่อหรือแม่พูดก็ไม่ปราย

ส่วนสิงห์ได้แต่ขยี้ผมสีเข้มของคนที่ทำตัวเป็นเด็กอยู่เรื่อยก่อนจะกอดแล้วกดจมูกย้ำ ๆ บนหัวทุย ๆ “ไฟเก่งเรื่องมวยมากกว่าสิงห์นะ แล้วยังเก่งเรื่องกีฬาอีก การเป็นตำรวจต้องมีสมรรถภาพที่ดี ไฟเองก็มีเต็มเปี่ยม เรื่องวิชาการก็ไม่ได้แย่มากถือว่าดีซะด้วยซ้ำ อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ดูแค่ว่าเราเก่งเรื่องอะไรให้มุ่งจุดสนใจและทำสิ่งนั้นซะ”

“ครับแม่”

“นี่ไงชอบเล่นไปเรื่อยแล้วก็มาบ่น ๆ”

“อะไร ก็ฟังอยู่นี่ไง” น้ำเสียงไฟดูออดอ้อนหัวก็ขยับไถเหมือนแมวที่ชอบมาคลอเคลีย

“เอาเถอะ ก็อย่าลืมเก็บไปคิดด้วยนะ ไฟน่ะเก่งที่สุดสำหรับสิงห์อยู่แล้ว”

“มันต้องแน่นอนอยู่แล้ว”

สิงห์นักหมั่นไส้ เมื่อกี้ยังโอดโอยอยู่เลย “นี่ไฟ”

“จ๋า”

“เราต้องเรียนจบไปด้วยกันนะ”

ไฟเหลือบมองอย่างพินิจก่อนจะยิ้มออกมาเพื่อให้ความมั่นใจ “ก็ต้องเรียนจบอยู่แล้ว”

เขามองดวงตาสีนิลที่สั่นไหวเล็กน้อย แม้ว่าสิงห์จะก้มมองมาแต่กลับเหมือนกำลังเหม่อคิดเรื่องอื่นในหัวอยู่

ยังจะมีอะไรให้ต้องคิดมากอีกกันนะ...



จบบทที่ ๖
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-09-2020 10:38:40 โดย IMYean. »

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ ๗

ย้อนวัย : โรงเรียนนายร้อยฯ

 

โรงเรียนนายร้อยตำรวจ พ.ศ. ๒๔๗๓

นักเรียนนายร้อยตำรวจของชั้นปีแรกนับร้อยคนยืนเรียงกันเป็นแถวอยู่ทางหน้าตึกเรียนขนาดใหญ่ บรรดาครูบาอาจารย์ที่ประจำสอนส่วนมากมาจากนายตำรวจที่มาฝึกสอนทั้งนั้น ไฟกับสิงห์ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกัน ซึ่งห้องของไฟนั้นมีจำนวนห้าสิบกว่าคน ส่วนห้องของสิงห์มีห้าสิบกว่าคนเหมือนกัน เขาจำได้ว่าโอดครวญอยู่นานที่ห้องหนึ่งมีคนตั้งห้าสิบกว่าแต่ดันได้อยู่คนละห้อง สิงห์เลยต้องปลอบใจเขาไปหลายวัน

“เฮ้ยไอ้ไฟมองอะไรวะ” จันเพื่อนคนแรกตั้งแต่เข้าเรียนที่นี่เอ่ยถามพลางชะโงกหน้ามองตามก็เห็นแต่พวกนักเรียนนายร้อยรุ่นเดียวกันที่อยู่ภายในแถว

“มองเพื่อนน่ะ” ไฟหันมาตอบก่อนจะมองไปทางเดิมอีกครั้งเห็นสิงห์กำลังยืนคุยกับเพื่อนภายในแถวอย่างอารมณ์ดี พลันเขาก็สบายใจที่สิงห์เข้ากับคนอื่นได้ดี

“ใช่เพื่อนที่มึงบอกว่าเข้ามาเรียนด้วยกันหรือเปล่าวะ”

“เออคนนั้นแหละ”

“ไว้ชวนไปทำความรู้จักหน่อยดิ”

ไฟพยักหน้าแล้วยืนตรงนิ่งตามคำสั่งของผู้เป็นคนคุมกองร้อยตำรวจปีที่ ๑ นักเรียนนายร้อยตำรวจอยู่ในชุดฝึกธรรมดา ต้องรวมตัวกันเพื่อจะฝึกเดินสวนสนามในการรับแหวนรุ่นและกระบี่สั้นเพื่อเป็นเกียรติของการได้เข้าเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจอย่างเต็มตัว หลังจากที่อดทน ฝ่าฟันมาตลอดร่วมสี่เดือน

“ผมในฐานะรุ่นพี่ขอแสดงความยินดีกับทุกคนที่ได้เข้าเรียนนายร้อยตำรวจได้อย่างเต็มตัว อีกสองวันที่จะถึงนี้คืองานที่เป็นเกียรติต่อพวกเราเป็นอย่างมาก...” นักเรียนทุกนายยืนตรงฟังเสียงของผู้เป็นรุ่นพี่ที่มาร่วมด้วย ไม่มีใครพูดคุยไม่มีใครกระดิกตัวสมกับเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ

ไม่ว่าจะเป็นการเดินสวนสนามหรือทำอะไรในชีวิตประจำวันนั้นเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ทั้งการยืน การนั่ง การรับประทานอาหารต้องหนักแน่นและเป็นระเบียบอยู่สม่ำเสมอ เดินเข้าห้องเรียน เดินเข้าห้องนอนก็ต้องเดินเป็นแถวเป็นระเบียบเช่นกัน

ตั้งแต่เข้าเรียนที่นี่ไฟกับสิงห์แทบไม่ได้เจอกันเพราะต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ อาจมีบ้างที่ได้เจอในเวลาเข้านอนเพราะตึกนอนของเราอยู่ตึกเดียวกันเพียงแต่คนละห้องและคนละชั้นก็เท่านั้น แต่ก็ยังไม่เคยได้รู้จักเพื่อนของอีกฝ่ายเลยเพราะกว่าจะได้เรียนก็ต้องมีพิธี ต้องฝึกอีกหลายอย่างจนพอเข้าเวลานอนก็หลับเป็นตาย

“ไปอาบน้ำกันเร็ว เดี๋ยวเลยเวลานอน” จันเขย่าไหล่เพื่อนที่นอนหมดแรงอยู่ที่เตียงหลังจากที่ซักซ้อมกันเสร็จเรียบร้อย

“เหนื่อย” ไฟบ่นเพียงเท่านั้นก็ลุกขึ้นรีบหยิบของที่ต้องใช้เล็ก ๆ น้อย ๆ ไปด้วย

“เฮ้ยไอ้สิงห์ ถามไรหน่อยดิ” พอเข้ามาห้องอาบน้ำรวมได้สักพักเพื่อนในรุ่นคนหนึ่งก็เอ่ยถามชื่อที่คุ้นหูขึ้นจนคนที่ได้แต่ง่วงนอนต้องตื่นตาสว่างรีบหันซ้ายหันขวามองหาคนที่อยากเจอ

“ว่ามาสิ” น้ำเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นมาจากด้านในสุดพอเห็นอย่างนั้น ไฟจึงรีบจับคอไอ้จันให้เดินไปด้วยกันแม้ว่ามันจะโวยวายที่เขาลากคอไม่บอกไม่กล่าวก็เถอะ

“สิงห์” ไฟขานเรียกก็เห็นว่าสิงห์หันมายิ้มให้แต่ก่อนจะคุยอะไรกัน เพื่อนคนเดิมก็ถามต่อ

“มึงรู้ไหมว่าคนไหนที่ได้ไปสอนยูโดวะ เห็นจ่าบอกมาแบบนี้แต่ไม่ได้บอกว่าใคร”

พอรู้ว่าเพื่อนคนนั้นถามอะไรไฟก็คลี่ยิ้มอย่างนึกภูมิใจ แต่ไม่ใช่เขานะที่ไปสอนเพราะคนที่ได้รับเกียรติในการสอนการต่อสู้ยูโดก็คือสิงห์

“อ่อกูเอง”

“เอ้าหรือวะ” ทุกคนต่างหัวเราะออกมาที่เพื่อนคนนั้นมันทำหน้างง “มึงไปสอนจริงดิ นี่แค่ปีแรกจะกลายเป็นอาจารย์พวกกูแล้วหรือไง”

สิงห์ได้แต่ยิ้มก่อนจะหันไปหาไฟที่ยืนอารมณ์ดี ดวงตาดูเป็นประกายในตอนที่ก้มมองตน พอสิงห์ลดระดับสายตาลงบ้างก็พบว่าไอ้ที่ตาเป็นประกายนั่นเพราะมองร่างกายของเขาที่กำลังเปลือยด้านบนอยู่

“เดี๋ยวเถอะ” สิงห์หยิกเอวไปที

“นิด ๆ หน่อย ๆ เอง” ไฟหน้างอแต่ก็เหมือนจะลืมอะไรจึงหันหลังไปมองก็พบกับเพื่อนสนิทอย่างจันที่นอนหน้าคว่ำอยู่บนพื้น “ไอ้จันมึงไปนอนอะไรตรงนั้นวะ”

จันกำมือแล้วดันตัวเองขึ้นมา “มึงลากคอกูมาจนล้มนี่ไงไอ้ห่า”

ไฟขำพรืดกุมท้องหัวเราะอย่างสะใจ “ฮ่า ๆ”

“มึงไอ้สัส ฝากไว้ก่อน” จันสบถค่อย ๆ ลุกขึ้นอย่างช้า ๆ แล้วจับตามเอวเดินกะเผลกไปใกล้ ๆ เพื่อน

“อ้อ นี่สิงห์เพื่อนที่กูบอก” ไฟแนะนำให้

จันนิ่งไปสักพักก่อนจะยกมือขึ้นทักทาย “ไง”

“ไง ยินดีที่ได้รู้จัก” สิงห์ยื่นมือไปแตะเป็นการสานมิตรในแบบของตัวเองแล้วเขยิบถอยให้เพื่อนสนิทของตนเข้ามาร่วมวงบ้างเพราะเจ้าตัวนั้นไม่ค่อยสุงสิงกับใครมากนัก “คนนี้ชื่อนนท์ เพื่อนฉันเอง”

ไฟผงกหัวทักทายส่วนเพื่อนใหม่สิงห์ก็ทำเพียงพยักหน้าแล้วจัดการกับร่างกายของตัวเองต่อ เขารู้สึกคิ้วกระตุกเล็กน้อยที่อีกฝ่ายดูหยิ่งซะเหลือเกิน สิงห์เองก็เข้าใจได้ทันจึงรีบจับแขนไฟพลางส่ายหัว

“ฉันชื่อจันนะ” จันตะโกนบอกคนด้านหลังก็เห็นว่าหันมาพยักหน้าเหมือนเดิมไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ

ไฟพยายามทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับกิริยาท่าทางวางมาดของอีกคนรีบล้างเนื้อล้างตัวเพื่อจะพูดคุยแค่กับสิงห์

“ให้ไปส่งที่ห้องไหม” ไฟก้มถามคนข้างกาย

“ไม่เป็นไร ไฟรีบขึ้นห้องนอนเถอะ จะได้พักผ่อนเยอะ ๆ”

“ยังคุยไม่หนำใจเลย”

สิงห์หัวเราะในลำคอ “ทนอีกนิดนะ สัญญาว่าถ้าเรียนจบจะตามใจเลย”

“ตามใจ?” ไฟเลิกคิ้วก่อนจะยิ้มมุมปาก “ทุกอย่างเลยนะ”

“อ้อ...” สิงห์หลบตา “อือ”

“ได้!”

“ได้อะไรวะไอ้ไฟ” จันหันมองอย่างงุนงงที่อยู่ ๆ เพื่อนสนิทก็พูดคำว่าได้อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“ความลับเว้ย” ไฟกระแทกศอกพลางยักคิ้ว ก่อนหน้านี้ยังตายอดตายอยากไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร แต่พอเข้ามาอาบน้ำก็ดูกระปี้กระเป่าดีซะเหลือเกิน สงสัยน้ำคงเย็นมากถึงทำให้ไฟตาสว่างขนาดนี้


 


พ่ายโลกันตร์

 

 

เข้าปีที่ ๓ พ.ศ. ๒๔๗๖

“เรื่องจริงหรือ” สิงห์ขมวดคิ้ว

“ใช่ พ่อฉันถูกฆ่าตาย ส่วนแม่กับน้องสาวถูกไอ้โจรนั่นจับตัวไป จนทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าทั้งสองเป็นยังไงบ้าง เหตุผลที่เข้ามาเรียนที่นี่ก็เพราะอยากเป็นตำรวจเพื่อจะได้สืบหาตัวคนร้าย เพราะคดีถูกปิดไปไม่มีใครสานต่อ”

สิงห์รู้สึกเห็นใจเพราะตนก็มีน้องสาว ชีวิตคล้าย ๆ กันจึงลูบบ่าของจันที่ตอนนี้ดูหม่นหมองไม่เหมือนจันคนก่อนที่ร่าเริงเสมอ

“ถ้าเรียนจบเมื่อไหร่ กูจะช่วยมึงตามหาแม่กับน้องสาวมึงเอง” ไฟจับบ่าเพื่อน เรื่องนี้ก็เพิ่งจะรู้เมื่อวันที่มันกินเหล้าในงานเลี้ยงจนพูดอะไรออกมาหมดเปลือก

“ใครเป็นคนออกค่าเรียนให้ล่ะ” นนท์ที่เงียบมานานถามขึ้น

“เขาเป็นเจ้านายของพ่อน่ะ ท่านใจดีรับเลี้ยงฉันเป็นลูกบุญธรรม”

“อย่างนั้นหรือ” นนท์พยักหน้าเป็นอันเข้าใจแต่ไม่รู้ว่าไปขัดใจอะไรคนอื่นเขา ไฟถึงได้จ้องเขม็ง “มีปัญหาอะไร”

“มึงนี่หลายครั้งแล้วนะที่ชอบทำตัวแบบนี้ กูก็คิดว่ามึงอาจจะปรับตัวได้หากเป็นเพื่อนกันนาน ๆ แต่ก็เหมือนเดิม”

“ทำตัวยังไง? ฉันก็เป็นปกติของฉันแบบนี้ คนอื่นไม่เห็นมีปัญหาอะไร”

“คนไม่พูดแปลว่าจะไม่มีเสียหน่อย ถ้าทำตัวเหมือนคนไม่ต้อนรับใครแบบนี้ ใครจะอยากคบหาด้วยนาน ๆ วะ”

“ไฟใจเย็นก่อน” สิงห์รีบห้าม

“พูดเหมือนตัวเองดีเลิศประเสริฐศรีมากอย่างนั้นแหละ”

“ไอ้นนท์!” ไฟโผล่เข้าไปกระชากคอเสื้อแต่ก่อนที่หมัดจะประทับหน้าอีกฝ่าย จันก็จับมือไฟเอาไว้แล้วส่ายหัว

“ไฟ เอามือลง” สิงห์ว่าเสียงแข็ง

“ทำไมมีแต่คนปกป้องมันวะ! มันวิเศษวิสงมาจากไหน เป็นแค่หม่อมเจ้าไม่ใช่หรือไง” ไฟกัดฟันกรอด “ที่กูพูดมันดีต่อตัวมันทั้งนั้น ทำไมถึงยังไปเห็นดีเห็นงามกับไอ้คนที่ไม่คิดจะฟังใครด้วยวะ”

“นนท์ก็แค่ถาม มึงจะไปคิดอย่างอื่นทำไม”

“มึงดูไม่ออกหรือไอ้จัน ว่ามันทำเหมือนไม่เชื่อมึงเลย”

“กินปูนร้อนท้องแทนเพื่อนหรือไง”

“ไอ้เหี้ยนนท์”

“จะหยุดได้หรือยัง” สิงห์มองทั้งคู่สลับกันเพื่อกดดันให้หมาบ้าทั้งสองตัวสงบลง “โตกันขนาดนี้แล้วควรจะเริ่มกักเก็บอารมณ์ไว้ซะบ้างสิ ต้องให้พูดอีกกี่รอบกัน”

“ฉันก็ไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียง ถ้าคนอื่นไม่เริ่มก่อน” นนท์กอดอกจ้องเพื่อนสนิทตรง ๆ แต่พอเห็นใบหน้าที่ถมึงทึง ตนก็เผลอหันหนีแล้วถอนหายใจ แสดงออกว่ายอมแพ้อย่างง่ายดาย

“ขอโทษที ใจร้อนไปหน่อย” ไฟเองก็หันหน้าไปทางอื่นเช่นกันรู้ได้เลยว่ายังไม่ลดทิฐิ

แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำให้จันกับนนท์ตกใจอยู่เหมือนกันที่คนอารมณ์ร้อนขนาดนี้ถึงกับยอมขอโทษในทันทีที่ถูกเตือน

“อีกเดี๋ยวคงถึงเวลาเลิกพัก นนท์แล้วก็จันกลับไปที่พักก่อนเถอะ” สิงห์หันไปบอกทั้งสองก่อนจะเหลือบมองคนรัก “ตามมา”

เพียงเท่านั้นไฟก็เดินตามคนรักไปอย่างว่าง่ายปล่อยให้จันกับนนท์มองหน้ากันอย่างไม่อยากจะเชื่อที่สิงห์สามารถสยบคนอย่างไฟได้

ระหว่างนั้นทางไฟที่เดินตามสิงห์มาเงียบ ๆ เอาแต่ก้มหน้าสบถกับตัวเอง ใบหน้าคมคายดูหมองเล็กน้อยแตกต่างจากนายเพลิงกาฬบุคคลที่เพื่อน ๆ ในกองร้อยต่างชื่นชมในความกล้าหาญที่เขาไม่กลัวใครและไม่กลัวสิ่งใด

แต่อยากจะบอกพวกมันเหลือเกินว่าถ้าหากเขาได้อยู่กับสิงห์เมื่อไหร่ จากหมาบ้าจะเป็นหมาที่แสนจะเชื่องทันที

“รู้ไหมว่าวันนี้ตัวเองทำอะไรลงไป” สิงห์เอ่ยถามเมื่อมาถึงห้องเก็บของที่เป็นส่วนที่ไม่มีใครเข้ามานานแล้ว

“ขอโทษ ก็ไอ้นนท์มัน...” ไฟอ้าปากพะงาบ ๆ เมื่อเห็นดวงตาเรียวดุที่มองมา

“นั่นเพื่อนสิงห์นะไฟ เห็น ๆ อยู่ว่านนท์มันไม่ได้แสดงออกเลยว่าไม่เชื่อจันแล้วทำไมไฟยังไปหาเรื่อง”

“แล้วทำไมมันต้องถามอย่างนั้นล่ะ”

“ถามอย่างนั้นหรือ? แล้วมันดูเหมือนไม่เชื่อยังไง ทำไมไม่คิดบ้างว่านนท์มันก็แค่เป็นห่วงว่าใครจะดูแลไอ้จันในตอนนี้ ทำไมไม่คิดแบบนี้บ้างล่ะไฟ”

“สิงห์ก็เอาแต่ปกป้องมัน”

“ปกป้องยังไงไฟ ต่อให้คนอื่นมาดูก็ไม่มีใครคิดเหมือนไฟเลย” สิงห์ชี้อีกฝ่ายย้ำ ๆ

“ไฟผิดตรงไหนล่ะสิงห์ ในเมื่อมันก็ทำตัวเหมือนไม่อยากคบหากับใครมาตั้งนานแล้ว ยิ่งมันทำตัวแบบนี้ไฟก็ต้องโมโหแทนเพื่อนสิ”

“นนท์มันก็เพื่อนสิงห์นะ อะไรที่ว่าผิด สิงห์ก็ไม่เคยเห็นด้วยแต่อันไหนที่มันไม่ใช่เหตุผลต้องไปโกรธ มันก็ไม่จำเป็นต้องไปพยายามจับผิดเพื่อนตัวเองหรอกนะไฟ”

ไฟเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มยังคงหัวดื้อเชื่อในสิ่งที่ตัวเองคิดอยู่ สิงห์เองก็พอเข้าใจดีจึงพยักหน้ากับตัวเอง “สำหรับสิงห์ในตอนนี้ ก็ผิดด้วยกันทั้งคู่ แต่เพราะไฟเป็นคนเริ่มจึงเรียกมาคุยกันแค่สองคน นนท์มีศักดิ์เป็นถึงหม่อมเจ้า เรื่องนี้ไฟก็ควรมีมารยาทด้วย ถึงนนท์จะบอกว่าไม่ต้องใช้คำราชาศัพท์แต่ก็ยังถือว่าเขาสูงกว่าเรานะ พูดอะไรควรคิดหน่อย สิงห์ไม่อยากให้ไฟต้องมาผิดใจกับเพื่อนของสิงห์หรอกนะ”

คนถูกเตือนเม้มปาก “ขอโทษ”

“ที่บอกเพราะหวังดีนะ ถ้าไม่มีใครมาพูดหรือทำเราก่อนก็อย่าเพิ่งด่วนตัดสิน” พูดไปมือไม้ก็จัดเสื้อให้คนตรงหน้าไปก่อนจะเลื่อนมือขึ้นลูบแก้มสากเบา ๆ ที่ตอนนี้ผิวเริ่มคล้ำแดดเหมือนกับเขา “สัญญากับสิงห์อีกข้อจะได้ไหม”

ไฟพยักหน้า

“ไม่ว่าจะเจอสถานการณ์ไหน ควบคุมอารมณ์ตัวเองไว้ อย่าผลีผลาม ขอเพียงเท่านี้... ได้หรือเปล่า”

“ได้ สัญญา” คนตัวสูงกว่าเล็กน้อยจับมือที่กุมแก้มตัวเอง หลับตารับสัมผัสอันอ่อนโยนเหมือนน้ำเย็นที่คอยลูบให้ไฟอย่างเขามอดดับ

สิงห์ยิ้มบาง ๆ ยื่นหน้าเข้าไปหาพอเปลือกตาอีกคนลืมขึ้นก็ทำให้เขวโดยการเงยหน้าขึ้นไปจูบที่หน้าผาก ถึงจะเห็นว่าน่าเสียดายมากแค่ไหนก็ตามแต่ที่นี่ก็ไม่ควรทำอะไรเยอะมากกว่านี้ “เพียงเท่านี้ก็พอนะ”

เหมือนจะได้ยินไฟพึมพำว่ารอเรียนจบก่อนเถอะ

“รีบกลับที่พักกัน เดี๋ยวช่วงบ่ายคงได้เจอกันอีก”

“หื้อ? ทำไมล่ะ”

“เดี๋ยวก็รู้ ไปได้แล้ว” สิงห์อมยิ้มดันไหล่คนรักให้เดินออกจากห้องเก็บของ


 


พ่ายโลกันตร์


 


ตกช่วงบ่ายไฟกำลังนั่งเช็ดปืนลูกโม่ที่อาจารย์ได้เตรียมไว้ให้ หูก็ฟังแกอธิบายไปเรื่อยเปื่อย ไม่รู้ว่าบ่ายของสิงห์นี่ใช่ตอนบ่ายนี้หรือเปล่าแล้วไอ้ที่ว่าจะได้เจอกันมันจะเจอกันได้ยังไง ในเมื่อเขาเรียนอยู่ สิงห์เองก็คงจะเรียนเช่นกัน

“ไอ้ไฟ” จันสะกิด

“ว่า” เขาขานตอบรับโดยที่ยังคงก้มหน้าเช็ดปืน

“มึงว่าถ้าสอบยิงปืนลูกโม่นี่เราจะได้ไหมวะ”

ไฟหัวเราะ “มั่นใจในตัวเองหน่อย”

“โธ่เพื่อน มึงดูอย่างปืนอะไรนะที่เป็นปืนพกธรรมดาอะ M19 ป่ะ แม่งขนาดจับถนัดกว่าลูกโม่กูยังยิงพลาดเป้า”

“ของแบบนี้มันต้องฝึกกัน เดี๋ยวกูว่าต้องมีการประกอบปืน ชื่อปืนอะไรก็จำไม่ได้แต่น่าจะเป็นปืนสงคราม เห็นว่าประกอบได้ทั้งยิงกลและไรเฟิล”

“ไอ้ที่วางตรงนั้นเหรอ” จันชี้ไปที่ปืนตรงโต๊ะที่อาจารย์นั่งอยู่

“เออนั่นแหละกูจำชื่อไม่ได้”

“กูบอกเลยว่าไรเฟิลนั่นไม่ใช่ของถนัด ยิงปืนพกยังเบี้ยวถ้ายิงไรเฟิลกูไม่โดนใครหรอกจริง ๆ”

ไฟได้แต่หัวเราะกับความขี้บ่นของเพื่อนก่อนจะวางปืนลงเมื่ออาจารย์ปรบมือส่งสัญญาณให้ฟัง

“เดี๋ยวจะมีคนมาสอนเรื่องปืนลูกโม่นะ เป็นคนที่สอบเรื่องปืนเต็มทุกช่อง” เพียงอาจารย์พูดเท่านั้นทุกคนก็โห่ร้องอย่างอึ้ง ๆ “ยังไงก็ถือว่าสอนยูโดไปแล้วก็อยากให้สอนเรื่องปืนเสียหน่อย”

“ใครวะ ทำไมคุ้น ๆ” จันขมวดคิ้วก่อนจะอ้าปากค้างหลังจากมีคนเดินเข้ามาในชุดฝึกที่เหมือนกันและเป็นคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาดีแต่พอจะหันไปสะกิดเพื่อนอีกครั้งก็คงไม่ต้องแล้วเพราะมันเองก็ตกใจไม่ต่างกัน “มึงรู้หรือเปล่าว่าไอ้สิงห์มันเก่งเรื่องนี้”

คนที่อึ้งมานานเพิ่งจะได้สติ “ไม่รู้ สิงห์ไม่เคยบอกเลยว่ะ แต่ก่อนหน้านี้เห็นบอกว่าจะได้เจอกันอีกทีตอนบ่ายกูก็เพิ่งเข้าใจก็ตอนนี้แหละ”

“เพื่อนมึงจะเก่งไปถึงไหนวะ”

“คงจะเก่งได้ขึ้นเรื่อย ๆ นั่นแหละ” ไฟคลี่ยิ้มอย่างชื่นชม

“สวัสดีเพื่อน ๆ กองร้อยที่หนึ่ง ผมว่าที่สิบตรี สหัส อัครเดช เรียกว่าสิงห์ก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคน” ทักทายเล็ก ๆ น้อย ๆ ทุกคนก็ต่างปรบมือต้อนรับ ส่วนบางคนที่รู้จักหรือเคยได้คุยก็จะเสียงดังกว่าใครเพื่อน

“ในฐานะที่ตอนนี้ทั้งเรียนและถือว่ารับราชการเป็นนายสิบตรี การที่มาสอนเรื่องพวกนี้ก็ถือว่าเป็นงานอย่างหนึ่งของตำรวจ” อาจารย์เอ่ยกับสิงห์ที่ได้พระราชทานยศสิบตรีตั้งแต่ปีแรกหลังจากรับกระบี่สั้นเพียงไม่นาน “นักเรียนกองร้อยที่หนึ่งยืนตรง!”

พรึ่บ!

“แบ่งออกเป็นห้าหน่วยปฏิบัติ!”

“ครับ!” นักเรียนนายร้อยต่างแยกกันออกไปตามหน่วยของตัวเองซึ่งแต่ละหน่วยมีสิบคนขึ้นไป ไฟเองอยู่หน่วยที่สี่และได้ครูเป็น...สิงห์

“ตกใจแทบแย่ที่เป็นมึง” จันยังคงตาตื่น

“ฮ่า ๆ ตกใจเหมือนกันที่จะได้มาสอนเรื่องปืน” สิงห์ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหันไปสบตากับคนที่มองมาก่อนจะเดินไปอยู่ด้านหน้าเพื่อจะเริ่มสอน “คงมีหลายคนรู้จักวิธีใช้แล้วเพราะยังไงก็ถูกสอนเรื่องปืนมาตั้งแต่ปีแรก แต่ก็ยังมีอีกหลายอย่างที่บางคนก็ยังไม่รู้ อย่างปืนลูกโม่ เดี๋ยวจะสอนวิธีการใช้อีกทีนะ เพราะเห็นว่าบางคนยังไม่เข้าใจเลย”

พูดเสร็จก็หยิบปืนที่แนบอยู่ข้างเอวขึ้นมาปลดกระสุนดูอีกรอบเพื่อความปลอดภัย “ปืนทุกกระบอกไม่ว่าจะมีลูกหรือไม่มีลูกอย่าหันหัวปืนใส่เพื่อนนะ มันอันตราย”

สิงห์เริ่มจากอธิบายในการจับปืน “การจับปืนลูกโม่มันอาจจะยากกว่าปืนพกอย่าง M1911 ที่ทุกคนเคยเรียนไป เพราะถ้าจับไม่ถูกมีสิทธิ์นิ้วขาดได้นะ”

“ฉิบหายละไอ้ไฟนิ้วกูจะอยู่ดีไหม”

ไฟแทบไม่ได้ฟังมันบ่นเพราะมัวแต่ฟังคุณครูคนพิเศษพูดอย่างอารมณ์ดี

“เห็นตรงที่ใส่กระสุนหรือที่เรียกว่าโม่หรือเปล่า เวลาจับปืนมีหลายคนถนัดในการเอานิ้วชี้หรือนิ้วโป้งแนบไปกับขอบลำกล้องใช่ไหม แต่ปืนลูกโม่เนื่องจากใส่กระสุนโดยไม่มีที่ป้องกัน… แก๊สที่พ่นจากการยิงตรงแนวลำกล้องมันจะทำให้นิ้วเราขาดได้”

ไฟก้มลงมองที่โม่นึกภาพออกเลยหากเอานิ้วไปแนบ

“เพราะฉะนั้นเวลาจับให้จับโดยเอานิ้วไขว้ลงมาไม่ว่าจะนิ้วชี้หรือนิ้วโป้งถ้าอยู่ใกล้โม่ก็เอาออกให้ห่าง พยายามจับให้แน่นที่สุด มันมีวิธีจับหลายอย่าง แต่จะขอแนะนำวิธีจับโดยการเอาอุ้งมือข้างที่ไม่ได้ถือปืนเข้าไปจับในพื้นที่ที่เหลือให้มากที่สุด อีกอย่างการง้างนก*ก่อนยิงจะทำให้แม่นขึ้นกว่าเดิม ไม่ต้องกลัวว่านกตรงที่มันงอน ๆ ปลายปืนเนี่ยจะไปกระทบอะไร มันไม่เป็นอันตราย  แล้วก็ต้องจับให้ลำกล้องปืนตรงระนาบเดียวกับลำแขนของเรา ไม่อย่างนั้นเวลายิงแล้วมันจะกระดกทำให้ยิงไม่แม่น และเวลายิงอย่าตั้งแขนตรงจนเกินไป...”

ครูจำเป็นสอนอยู่นานเพราะทุกคนต่างไม่มีพื้นฐานกัน ถึงจะเห็นว่าการยิงปืนดูเหมือนเป็นเรื่องง่ายแต่ก็มีรายละเอียดหลายอย่าง และอาจบาดเจ็บได้

“แล้วก็เดี๋ยวจะสาธิตการใส่กระสุนและปลดกระสุน” สิงห์ปลดโม่โดยการเอานิ้วกลางกับนิ้วนางข้างซ้ายสอดเข้าไปในโม่ตอนที่มันปลดออกก่อนจะหยิบกระสุนจากกระเป๋าข้างเอวมาใส่ เป็นการสอนท่าทางทุกอย่างที่ต้องทำอย่างขะมักเขม้น

ไฟยิ้มแก้มปริ นับวันคนรักของเขายิ่งมีเสน่ห์ขึ้นเรื่อย ๆ

สิงห์ที่ค่อย ๆ สอนทีละคนก็มาถึงไฟที่ยืนมองอย่างเดียว “มัวแต่มองอยู่นั่นแหละ ฝึกซะสิ” เอ่ยกระซิบเสียงเบาแต่พอเห็นมุมปากหยักยกยิ้มหูก็เห่อแดงจึงรีบก้มหน้าก้มตาสอน

ความสัมพันธ์และการกระทำที่รู้กันเพียงสองคนมันทำให้เขาไม่กล้าสบตาไฟเลยสักนิด

“ต่อไปจะเป็นการยิงปืน” สิงห์กลับมาคุมสติ “ถ้าเป็นการแข่งหรือจะสอบสำหรับปืนพกหรือลูกโม่นี้ต้องเอาใส่ซองปืน วันสอบจะมีการให้ซองปืนไว้ให้ เวลาจับสัญญาณการยิง อย่างแรกให้เอามือรอหยิบปืนที่อยู่ในซองปืนข้างเอวฝั่งขวาส่วนมือซ้ายเอาไว้ที่ระดับหน้าอกเพื่อรอจับปืน พอสัญญาณขึ้น นับหนึ่งให้รีบจับปืน”

“นับสองเล็ง”

“นับสามยิง”

ปัง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ

“โหสุดยอด ง้างนกโคตรเร็วเลย” เพื่อนในกองร้อยคนหนึ่งเอ่ยชม

สิงห์ปลดกระสุนอย่างรวดเร็วแล้วหันกลับมา “ตอนนี้ใครทำไม่ได้ก็ยิงทีละนัดไปก่อน ที่จริงไม่ต้องง้างนกก็ได้สำหรับใครที่ไม่ถนัด ตอนสอบก็ไม่จำเป็นต้องง้างนก เพียงแต่ที่บอกเรื่องง้างนกเพราะเพิ่มความแม่นยำเท่านั้น”

นอกจากจะชื่นชมเรื่องยิงปืนไวแล้วก็ต้องชื่นชมที่ไม่พลาดเป้าเลยสักนิด ไฟยืนอึ้ง ๆ เอาแต่มองคนรักอยู่อย่างนั้น

“การนับนี่นับในใจก็ได้นะไม่ต้องนับเสียงดัง เหมือนกับที่สอบปืนพกไปก่อนหน้านี้นั่นแหละ” สิงห์คลี่ยิ้มบาง ๆ ใครไม่ได้ส่วนไหนก็รีบตรงเข้าไปหาอย่างไม่เกี่ยง มันอาจจะเป็นเพราะว่าทั้งชีวิตในวัยเด็กที่ผ่านมามีแต่ความอัดอั้นที่เอาแต่คลุกอยู่แต่กับสิ่งผิดกฎหมาย การมาเรียนที่นี่มันก็เหมือนกับว่าได้ปลดปล่อย อยากจะยิ้ม อยากจะหัวเราะ อยากจะทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องมาพะวง

“ครูครับผมไม่เข้าใจอะไรนิดหน่อยครับ” ไฟที่อยู่ท้ายแถวยกมือขึ้น

สิงห์อมยิ้มเดินมาหาถึงที่ “ว่าไงครับคุณนายร้อยเพลิงกาฬ”

“คือ...” ไฟเอียงหัวทำท่าเป็นยกปืนให้ดู ทว่าการถามดันเป็นอีกอย่าง “ไม่ทราบว่าไอ้คำที่คนชอบพูดว่าให้กินลูกปืนนั้นมันเปลี่ยนมาเป็นกินคนยิงแทนได้ไหมครับ”

สิงห์อ้าปากพะงาบ ๆ เขินจนกลั้นยิ้มแทบไม่อยู่ ทำตาดุไปทีแต่ก็ไม่เป็นผลเลยสักนิดในเมื่อเขาแพ้รอยยิ้มร้ายกาจของอีกฝ่ายเข้าเต็มเปา




จบบทที่ ๗
------------------------------------------------------------------------------
โรงเรียนนายร้อยตำรวจที่สิงห์และไฟไปเรียน คือ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ห้วยจระเข้ จังหวัดนครปฐมนะคะ ไม่ใช่โรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน เพราะสามพราน ตั้งขึ้นเมื่อ ปี 2479 โดย พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ได้ย้ายโรงเรียนนายร้อยไปตั้งที่อำเภอสามพรานค่ะ ส่วนห้วยจระเข้ตั้งเมื่อปี 2464-2476 นั่นเองค่ะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-09-2020 10:42:41 โดย IMYean. »

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
+1 o13 :katai2-1: ขอบคุณมากครับ :pig4:

ออฟไลน์ lolli_candy99

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ชอบมากค่ะ ติดตามๆ

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ ๘

ย้อนวัย : อุปสรรคเดียวกัน

 


วันจบการศึกษา ปี ๒๔๗๗

ว่าที่นายตำรวจทุกนายอยู่ในชุดราชการเต็มยศยืนตรงหน้าเสาธงฟังปราศรัยของอธิบดีกรมตำรวจที่มาเป็นประธานคนสำคัญ ความภาคภูมิใจในวันนี้เป็นสิ่งที่พวกเรานายร้อยตำรวจจะต้องจดจำไปตลอดชีวิต ทุกนายได้ถือว่าเป็นว่าที่ร้อยตรี ส่วนบางคนก็ได้รับเกียรติเป็นนายร้อยดีเด่นอย่างน่าชื่นชมและไม่มีข้อกังขาใดที่คิดว่าไม่เหมาะสมเลยสักนิดในเมื่อตลอดปีก็แสดงผลงานมาให้เห็นหมดแล้ว

“ขอเชิญว่าที่ร้อยตำรวจตรี สหัส อัครเดช ขึ้นมาบนเวทีเพื่อเป็นเกียรติของนักเรียนนายร้อยดีเด่นประจำปีพุทธศักราชสองพันสี่ร้อยเจ็ดสิบเจ็ดด้วยครับ”

คนถูกเรียกก้าวเท้าเดินอย่างหนักแน่นขึ้นไปบนเวทีและทำความเคารพท่านอธิบดี ทั้งสองพูดคุยยิ้มแย้มอย่างเป็นกันเองก่อนที่ท่านจะมอบเกียรติบัตรให้และทำความเคารพซึ่งกันและกัน ไฟที่มองอยู่ด้านล่างได้แต่ยิ้มด้วยความภูมิใจ

เมื่อตำรวจหนุ่มลงมายืนที่แถวอย่างเคยว่าที่ร้อยตรีทุกคนก็เริ่มทำการท่องคำปฏิญาณตนอย่างพร้อมเพรียง

“ข้าพเจ้า จักจงรักภักดีต่อชาติบ้านเมือง จักปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ จักเสียสละต่อประชาชน...”

จวบจนท่องคำปฏิญาณตนจนเสร็จกิจ นายตำรวจนับร้อยก็เดินเป็นแถวเข้าไปตักน้ำลอยมะลิดื่มเพื่อเป็นการสาบานอีกคราว่าจะไม่ทำให้การรับราชการตำรวจต้องเสื่อมเสีย ไฟตักน้ำขึ้นมาพร้อมกับยิ้มบาง ๆ ก่อนจะดื่มจนหมดแล้ววางไว้ที่เดิม

งานพิธีเสร็จไปได้ด้วยดีก็ต้องแยกย้ายกันไปตามแต่ละพื้นที่ที่ต้องไปรับราชการ รวมถึงสี่หนุ่มนายร้อยที่พากันเดินออกไปด้วยกันดั่งเช่นเคย

“ท่านชายนนท์ดูท่าจะเหมาะกับชุดตำรวจเต็มยศมากเลยนะนี่” จันเอ่ยขึ้น

“บอกแล้วไงว่าให้เรียกเพียงแค่นนท์ ฉันไม่อยากถือศักดิ์กับใคร”

“มันก็ยากหน่อยล่ะนะ พอรู้ว่าเป็นหม่อมเจ้าใครจะกล้าเรียกธรรมดา ตอนที่ฉันรู้ตอนแรกนะฉันยังเกร็ง ๆ เลย”

นนท์ยิ้มบาง ๆ “ไม่ต้องเกร็ง เรียกนนท์อย่างเดิมไว้เดี๋ยวก็ชิน”

“ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะจบกันมาได้”

“หมายถึงกูหรือมึง” จันหันหน้าถามเพื่อนสนิทที่อยู่ ๆ ก็พูดขึ้นมา

“ทั้งมึงทั้งกูเนี่ยแหละ” เพียงไฟพูดเท่านั้นทุกคนก็ขำออกมา

“ทำไมล่ะ ไฟออกจะเก่งตั้งหลายอย่าง เรียนก็ดีขึ้นเยอะเลยไม่ใช่หรือไง” สิงห์ว่าพลางหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อตามขมับให้คนข้างกาย

“ไม่รู้สิ” ไฟถอนหายใจหัวก็เอียงให้อีกคนซับไป

“พวกมึงนี่ดูแลกันดีจังเลยเนาะ” จันทำหน้าสงสัย

“นั่นสิ” นนท์พูดต่อจึงทำให้สิงห์ถึงกับชะงักเลิ่กลั่กทำตัวไม่ถูกก่อนจะรีบเก็บผ้าไว้เหมือนเดิม

“แปลกหรือวะ” ไฟที่ไม่ได้สนใจอะไรถามขึ้น

“ก็.. ไม่แปลกหรอกมั้ง แต่กูไม่เคยดูแลเพื่อนดีขนาดนี้เลยว่ะ” จันพูดไปก็เกาหัวตัวเองไป

“ไม่หรอก ทำแบบนี้ก็ดีแล้วล่ะ จะได้รู้ว่ามีคนที่ห่วงและรักอยู่ข้างกายตลอด”

“พูดดี” ไฟยิ้มให้นนท์

ส่วนสิงห์นั้นแทบจะเอาหน้ามุดดิน เขารู้ว่านนท์ดูออก การกระทำมันบอกทุกอย่างตั้งแต่เข้าเรียนแล้ว จำได้เลยว่าตอนที่นนท์ถามถึงความสัมพันธ์ของเขาและไฟ ถึงจะตอบไปว่าเพื่อนสนิทกัน แต่รอยยิ้มของนนท์ในตอนนั้นดูมีเลศนัยแต่เจ้าตัวก็ไม่ถามต่อ ตอบแค่ว่า ‘อย่างนั้นหรือ’ เท่านั้นเอง

แต่มันก็เป็นข้อดีของนนท์อย่างหนึ่ง ที่แม้ว่าจะรู้อะไรก็ตามจะไม่พูดออกมาถ้าไม่จำเป็น

“แล้วคิดว่าจะได้ไปประจำการที่ไหนกัน” จันถามขึ้น

“ไม่รู้สิ อาจจะกลับไปประจำที่บ้านเกิดหรือไม่ก็ถูกส่งตัวไปประจำที่อื่น” สิงห์เอ่ยตอบ

“หรือวะ คงต้องแยกกันแล้วแน่ ๆ เลย”

“ถึงเวลาที่ต้องแยกกันมันก็ห้ามไม่ได้หรอก เราถึงวัยที่จะต้องแยกย้ายกันไปทำงานของตัวเองแล้ว”

“แต่ฉันไม่อยากแยกเลย” ไฟขมวดคิ้ว

“ไฟ” คนรักอย่างเขาได้แต่ถอนหายใจ “เราพูดเรื่องนี้กันไปแล้วนะ”

“ตัวติดกันเป็นตังเมขนาดนี้ การงานไม่ต้องทำพอดี ห่างกันเสียบ้างเถอะ”

ไฟหันขวับไปมองคู่แค้นคู่กัดอย่างนนท์

นนท์เลิกคิ้ว “หรือไม่จริง”

“เอาหน่า เลิกทะเลาะกันเถอะ ไหน ๆ ก็เป็นเพื่อนกันแล้ว” จันพูดห้ามปราม สองคนนี้ดีกันได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเลยมั้ง

“ยังไงก็ต้องได้เจอกันบ้างไม่ใช่หรือไง ตอนนี้ยังไม่ใช่ร้อยตรีเต็มยศ เป็นแค่ว่าที่ร้อยตรีพวกเรายังต้องเป็นนักเรียนทำการสักหกเดือนที่พระนครเหมือนกัน ส่วนเรื่องแยกไม่แยกปล่อยให้มันเป็นไปตามอนาคตเอาก็ได้ จะเถียงกันไปทำไม”

พอได้ยินอย่างนั้นทั้งสองหนุ่มก็หันหน้าหนีไปคนละทาง

สิงห์ได้แต่ถอนหายใจ “เอาเถอะยังไงก็ไปเอาเอกสารก่อนพรุ่งนี้จะได้ไปรายงานตัว”

“แล้วมึงไปไงวะสิงห์”

“กูไปกับไฟน่ะมาด้วยกันหรือเปล่า”

“ไม่ล่ะ ๆ เดี๋ยวไปเอง ก็คิดว่าไม่มีรถไปว่าจะชวนไปด้วย”

สิงห์พยักหน้าก่อนจะหันไปทางนนท์ “นายล่ะ”

“พอดีให้คนขับรถทิ้งรถไว้ให้แล้ว”

“อืม ถ้าอย่างนั้นไว้เจอกันที่พระนครนะ” ต่างคนต่างเดินกันไปคนละทิศละทางเพื่อแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง รู้สึกใจหายอยู่เหมือนกันที่เวลามันช่างผ่านไปไวเสียขนาดนี้

“แล้วมีที่พักแล้วหรือ”

“มีแล้ว สิงห์ขอให้นนท์ช่วยหา อันที่จริงเราสามารถไปกับนนท์ได้นะเพราะทางกลับของเราเป็นทางเดียวกัน แต่จะทิ้งรถที่ลุงอนงค์ซื้อให้ไฟก็ไม่ดี”

“ทางกลับหรือ?”

“ก็ไอ้บ้านที่ขอให้นนท์ช่วยหามันเป็นบ้านเรือนไทยที่อยู่ใกล้กับวังศุลภาณันท์น่ะ”

“ทำไมต้องไปอยู่ตรงนั้นล่ะ”

“ตอนนี้เรายังไม่ได้ทำงานนะไฟ จะเอาเงินที่ไหนไปเช่าบ้าน ที่มีอยู่ก็กะจะไว้ใช้แค่ค่ากินและค่าใช้จ่ายอย่างอื่น ถ้าเป็นไปได้ก็ค่อย ๆ ทำงานเก็บเงินจ่ายค่าบ้านให้นนท์ทีละเดือนเอา”

“สิงห์ชอบบ้านนั้นหรือ”

“ใช่ ก่อนหน้านี้สิงห์กำลังหาบ้านเผื่อเวลามาพระนครจะได้มาพักได้ นนท์ก็เลยแนะนำบ้านเรือนไทยหลังนั้นให้ มันอยู่ใกล้ริมคลอง มีพื้นที่สามารถปลูกผัก ปลูกต้นไม้ได้ สิงห์ชอบแบบนั้น นนท์เลยใจดีขายให้ในราคาถูก”

ร่างสูงพยักหน้าเป็นการเข้าใจ “ถ้าสิงห์ชอบ ไฟก็ว่าตามนั้นแหละจ้ะ”

“หรือถ้าไฟไม่ชอบก็บอกได้นะเราจะได้ไปอยู่ที่อื่นกันมันยังมีอีกที่ทางแถวตลาดใกล้วังหลัง”

“ชอบจ้ะชอบ สิงห์เลือกอะไรไฟก็ชอบทั้งนั้น”

สิงห์คลี่ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะยกมือขึ้นลูบแก้มสากอย่างเบามือ “ไว้เดี๋ยวเราซื้อของเข้าบ้านกันนะ”

“ก่อนจะซื้อของเข้าบ้าน...” ไฟเอียงหน้าซบกับฝ่ามือ มุมปากหยักก็ยกยิ้ม “ขอทวงที่สัญญาก่อนได้หรือเปล่า”

“ยังไม่ลืมหรือไง”

“ใครจะลืมลง ถูกตามใจทั้งทีนะ”

“อือ” สิงห์ผละมือออก ปากยิ้มแต่ไม่กล้ามองตา “ไปเอาเอกสารก่อนแล้วกัน”



 

พ่ายโลกันตร์

 
 


พอรับเอกสารเสร็จก็ขับรถทางไกลจากนครปฐมมาจนถึงพระนครด้วยรถจิ๊บคันใหญ่ที่อนงค์ได้ซื้อไว้ให้ลูกชายเมื่อตอนสอบเข้าได้กำลังขับเข้าไปตามถนนเล็ก ๆ ที่สิงห์บอก ข้างทางเป็นทุ่งนาดูสบายตาทั้งยังมีต้นตาลและต้นไม้อื่น ๆ จากอีกฝั่งที่คอยให้ร่มเงาทำให้ไม่ร้อนจนเกินไป สิงห์สูดอากาศเข้าเต็มปอดคล้ายกับอยู่ต่างจังหวัดก็มิปราย เป็นที่ที่ทำให้สบายใจจนยิ้มแทบไม่หุบ ตอนที่ออกมาทำงานที่พระนครในฐานะนายสิบก็แวะมาดูที่นี่ครั้งหนึ่ง ตั้งแต่ทางเข้าจนถึงบ้านก็ถูกใจสิงห์ไปหมด

“นากับไร่ต้นตาลนี่เป็นของไอ้นนท์ด้วยหรือเปล่า”

“อืมใช่”

“ก็สวยดีนะ ห่างจากบ้านเมืองคนดี”

“สิงห์คิดอยู่ว่าถ้าหากเราอยู่ด้วยกันก็จะมาอยู่บ้านที่ห่างไกลความวุ่นวายแบบนี้ อาจจะมีเพื่อนบ้านบ้างเล็กน้อยเผื่อเกิดปัญหาให้เขาช่วยเหลือได้ ก็ไม่ได้แย่อะไร”

“แล้วที่นี่มีบ้านอื่นนอกจากวังนั่นไหม”

“เห็นนนท์บอกว่ามีนะ จะเป็นบ้านของชาวบ้านละแวกนั้น แต่ส่วนมากเป็นบ้านของคนใช้ในวังทั้งนั้นแหละ ถ้าจะไปวังข้ามคลองไปก็เจอกับวังแล้ว ส่วนบ้านด้านในถ้าลึกเข้าไปอีกก็จะเจอกับบ้านคนอื่น ๆ”

“อืมดี ๆ”

เพียงไม่นานก็ขับมาถึงบ้านเรือนไทยที่ตั้งเด่นสวยงาม รอบบ้านเป็นพื้นที่กว้าง หญ้าก็ถูกดูแลอย่างดีและยังมีรั้วไม้กั้นเสริม ข้างหลังบ้านเป็นป่าขนาดเล็กเห็นลำคลองอยู่ไกล ๆ มองแค่นี้ก็น่าอยู่แล้ว

“ต้นมะลิหรือ” ไฟลงจากรถหลังจากที่ขับเข้ามาจอดด้านในเพราะประตูรั้วเปิดไว้อยู่ ข้างหน้าบ้านมีต้นมะลิปลูกอยู่สองสามต้นและยังมีต้นอื่น ๆ อีก ดูหลากหลายสี

“มีคนสวนแล้วก็คนดูแลบ้านมาคอยดูแลทุกเดือนน่ะ” สิงห์ว่าพร้อมกับขึ้นบนบ้าน “อ่าวนนท์”

แว่วเสียงของคนรักที่เรียกเพื่อนร่วมรุ่นไฟก็รีบหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าของใช้สำหรับพวกเขาตามขึ้นไป

“จะมาอยู่ด้วยกันใช่ไหม”

“อืมใช่ ยังไม่รู้เลยว่าถ้ารับยศเต็มตัวแล้วจะได้ประจำการที่ไหนก็อยู่ที่นี่ไปก่อน” สิงห์ตอบแทน

“เอาเถอะ ๆ ฉันให้คนเอาของใช้ที่จำเป็นมาไว้ให้แล้ว นี่คือกุญแจทุกห้องรวมถึงประตูรั้วด้วย คนดูแลบ้านจะมีอีกดอกเผื่อมาทำความสะอาดและเผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน” ว่าเสร็จก็ยื่นพวงกุญแจให้ “ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็ข้ามคลองไปหาที่วังได้ฉันบอกคนที่วังไว้แล้วว่าพวกนายจะมาอยู่ที่นี่”

“ขอบคุณมากจริง ๆ นะนนท์ ต้องรบกวนเยอะเลย”

“ไม่เป็นไร ตามสบายเถอะ” นนท์ยิ้มให้แต่ก่อนจะกลับก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “พอถึงเวลาอาหารค่ำไปทานด้วยกันที่วังไหม เสด็จพ่อฉันชวนน่ะ”

“จะดีหรือ ฉันไม่ค่อยสันทัดเรื่องคำราชาศัพท์แล้วก็กลัวจะไปเสียมารยาทใส่”

“ไม่ต้องห่วงเด็จพ่อไม่คิดถือสาหรอก ท่านอยากพบ อยากพูดคุยตามภาษาคนแก่ที่อยากคุยกับเพื่อนลูกชายนั่นแหละ”

สิงห์พยักหน้า “แต่ไหน ๆ ก็มาอยู่ที่เขาแล้วยังไงก็ต้องพบเสียหน่อย ถ้าเกิดทำอะไรไม่ดีไม่งามช่วยเตือนด้วยนะนนท์”

“ได้สิ เดี๋ยวไว้ถึงเวลาฉันจะให้คนมาบอกแล้วกันนะ”

“ขอบคุณนะ”

นนท์พยักหน้าแล้วออกไปทันที ไม่ได้อยู่พูดคุยอะไรเพิ่มเพราะอยากให้ความส่วนตัวแก่ทั้งคู่

“เฮ้อ เหนื่อย... ขอนอนพักสักเดี๋ยวนะ” ไฟบ่นอิดออดวางกระเป๋าเอาไว้แล้วลากสังขารตัวเองไปนอนบนโต๊ะไม้ยาวที่เอาไว้สำหรับรับแขก

“เปลี่ยนชุดก่อนไฟจะได้นอนสบาย ๆ” ปากพูดตัวก็เดินไปหยิบกระเป๋าของคนรักพร้อมกับหาชุดสำหรับใส่นอนไว้ให้ “อะนี่ เร็ว ๆ”

“ครับ ๆ” ไฟตอบรับเสียงยานคางลุกขึ้นปลดกระดุมเสื้อออก

“ทำอะไรเชื่องช้าจริงนะ” ได้ทีก็บ่นไปยกหนึ่งแล้วช่วยปลดกางเกงให้อีกแรง

ไฟหูแดงน้อย ๆ เพราะต้องเปลือยต่อหน้าคนรัก เขาถูจมูกแก้เขินก่อนจะรีบหยิบกางเกงผ้าลื่นสีน้ำเงินมาใส่เป็นอันดับแรก

“เอ้านี่เสื้อ ใส่แล้วก็ไปนอนในห้องซะ นอนตรงนี้หลังขดหลังแข็งพอดี”

ไฟอมยิ้มก้มลงหอมแก้มคนรักพร้อมกับกอดเอวไว้หลวม ๆ “ต้องให้สิงห์ดูแลเหมือนเด็กเลย”

“ก็เด็กไหมล่ะ ดูสิเนี่ย ต้องบอกต้องพูดถึงจะลุกขึ้นมาทำ” สิงห์ขมวดคิ้วดุมือไม้ก็วุ่นแต่กับคลี่เสื้อให้อีกคน

“โชคดีจัง”

“อะไร?”

“ก็ที่ได้สิงห์เป็นคนรัก ไฟน่ะโชคดีมาก ๆ เลย”

จากที่ดุอยู่ก็เผลอยิ้มออกมา “จะเอาอะไร หื้อ”

“แค่จะบอกเฉย ๆ ว่าไฟโชคดี” ไฟหัวเราะแล้วก้มแนบหน้าผากกับอีกคน “แต่ถ้าจะให้เอา… เอาคนนี้ได้หรือเปล่า”

“ไปนอนก่อน เหนื่อยมากแล้ว ตื่นมาค่อย…” สิงห์กระแอ่มไอเล็กน้อย “ตื่นมาจะทำอะไรก็ตามใจไฟเลย ตอนนี้ไปพักก่อนเถอะ”

“จ้ะ” ตอบรับอย่างว่าง่ายแต่ก็อดไม่ไหวต้องเคลื่อนหน้าเข้าไปประกบปากเพราะทนมาร่วมสี่ปี

คนถูกจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัวก็ไม่ได้คิดห้ามใดใดเพราะตัวเองก็โหยหาอีกฝ่ายเช่นกัน

“อืม” สิงห์ครางเสียงต่ำพร้อมกับเปิดปากรับจูบก่อนจะเอื้อมมือขึ้นไปประคองใบหน้าของไฟยามที่ลิ้นร้อนเข้าแทรก กายทั้งสองเข้าแนบชิดจนไม่มีอากาศผ่าน ผละออกมาหอบหายใจได้ไม่นานก็ถูกเชยคางช่วงชิงอากาศไปอีกรอบ

“ไม่อยากนอนแล้ว” ไฟกลืนน้ำลาย หัวใจเต้นถี่ จ้องมองดวงตาสีนิลด้วยความหลงใหล

“ตามใจไฟเลย” ตอบไปตามอารมณ์ที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน รู้ตัวอีกทีปากของเราทั้งสองก็ดูดดื่มกันอีกครั้ง จนหลังของสิงห์แนบชิดลงกับโต๊ะไม้ยาว สติสตางค์ก็หายเป็นปลิดทิ้ง

เป็นครั้งแรกที่เราทำกันเลยเถิดเพราะแต่ก่อนนั้นทำได้แค่กอด หอมและจูบ คงเพราะไม่ใช่สถานการณ์ที่จะทำอะไรอย่างนั้นได้ สิงห์จึงนึกขอบคุณคนรอบข้างที่คอยช่วยเหลือและรวมถึงตัวเขาเองที่ยอมเดินออกมาในทางสายที่ตัวเองเลือก ยอมออกมาจากขุมนรกที่คอยดึงเขาให้ต่ำลง

ก็พอรู้ว่าหากเป็นตำรวจแล้วอาจจะไม่ได้ง่ายและยังมีปัญหาตามมาอีก แต่ถ้าปัจจุบันที่อยู่ในตอนนี้มันดี ก็อยากให้มันเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ให้ได้อยู่กับคนที่ตัวเองรักไปเรื่อย ๆ เกิดมาทั้งทีก็อยากจะมีความสุขสักเศษเสี้ยวพอให้ได้ใช้ชีวิตต่อ

และโชคดีที่ความสุขนั้นมาอยู่ตรงหน้าเขา

“สิงห์รักไฟนะ”

“ไฟรู้” คนด้านบนยิ้มบาง ๆ ก้มลงจูบหน้าผากมนพร้อมกับขยับกายอย่างช้า ๆ “ไฟก็รักสิงห์เหมือนกัน”





*มีต่อด้านล่างนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-09-2020 10:45:20 โดย IMYean. »

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
*ต่อจากด้านบน

เข้ายามเย็นมาเนิ่นนานแสงแดดสีส้มก็ส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่อยู่ทางหัวเตียง แต่ทั้งสองร่างที่นอนกอดกันพร้อมผ้าห่มที่คลุมตัวไว้ต่างยังคงอยู่ในห้วงฝันหวาน ในเวลานั้นเด็กวัยหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตแขนสั้นกับกางเกงขาสามส่วนวิ่งมาทางหลังบ้าน เงยหน้ามองทางหน้าต่างห้องนอนของผู้ที่เป็นเพื่อนเจ้านายเพื่อมองหาคนในเรือน

“คุณสิงห์ขอรับ คุณไฟขอรับอยู่ไหมขอรับ” เด็กหนุ่มตะโกนเรียก “ใกล้จะถึงเวลาอาหารค่ำแล้วขอรับ คุณสิงห์ขอรับ”

ไฟงัวเงียขยี้ตาตัวเองหลังจากที่ถูกใครบางคนปลุก หาวไปรอบหนึ่งก่อนจะหันมองคนที่หนุนแขนพร้อมกับหอมแก้มอย่างเคยชินแล้วค่อย ๆ เอาแขนออกเพื่อจะลุกหาทางต้นเสียง

“โอ้ คุณ ๆ” เด็กหนุ่มยิ้มร่า

“หือ” ไฟหันหลังไปมองนอกหน้าต่าง “มีอะไรหรือครับ”

“ท่านชายนนท์ทรงรับสั่งให้กระผมมาบอกพวกคุณ ๆ เรื่องอาหารค่ำน่ะขอรับ ใกล้จะถึงเวลาแล้ว แต่ว่าพระองค์วายุภักษ์ประสงค์จะพบปะพูดคุยด้วย กระผมเลยมาตามก่อนเวลาขอรับ”

“อ่อ เดี๋ยวขอพวกผมจัดการเนื้อตัวก่อน ไว้จะรีบไป”

“ถ้าอย่างนั้นกระผมไปรอศาลาริมแม่น้ำใกล้ ๆ นี้นะขอรับ”

ไฟพยักหน้าพลางยิ้มให้พอเห็นว่าเด็กคนนั้นเดินไปแล้วจึงรีบปลุกคนรัก “สิงห์ สิงห์ตื่นได้แล้ว จะถึงเวลาอาหารค่ำแล้วนะ”

“อือ” คนถูกปลุกขานรับในลำคอรู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัวจนลืมตาแทบไม่ขึ้น

“ลุกไหวไหม ถ้าไม่ไหวเดี๋ยวไฟไปบอกนนท์ให้”

สิงห์รีบโบกไม้โบกมือแล้วลืมตาขึ้นช้า ๆ “ไม่ได้ มาอยู่บ้านเขายังไงก็ต้องไป” พูดเสร็จก็ยันตัวลุกขึ้นและมีไฟที่ช่วยประคองอยู่ข้าง ๆ

“ไหวแน่หรือ ขอโทษนะแทนที่จะได้พักแต่กลับ...” ไฟหน้าหมองจัดการพับผ้าห่มด้วยตัวเอง

“ไม่หรอก สิงห์ก็ห้ามตัวเองไม่ได้เหมือนกัน” ชายหนุ่มคลี่ยิ้มยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มคนรักเพื่อให้คลายกังวล

“งั้นเดี๋ยวไฟอุ้มไปที่ห้องน้ำ” ไฟรีบใส่กางเกงของตัวเองพร้อมกับหาผ้าขาวม้าพันรอบเอวของคนรักไว้

“สิงห์เดินไปเองก็ได้นะ”

“กว่าจะถึงคงค่ำพอดี” ไฟพูดติดตลกแล้วอุ้มคนรักที่น้ำหนักตัวเยอะใช่เล่นแต่ก็พออุ้มได้ เขาเดินลงไปด้านล่างมีห้องน้ำที่สร้างจากไม้ไผ่ไม่แคบและไม่ใหญ่เกินไป “ในโอ่งมีน้ำเต็มเลย”

“นนท์คงบอกให้คนมาจัดการให้ล่ะมั้ง” สิงห์นึกขอบคุณเพื่อนตัวเองที่ใส่ใจกันถึงขนาดนี้

“เอาเถอะสิงห์อาบไปก่อน เดี๋ยวไฟจะเอาเสื้อผ้ามาให้”

“อือ”

ผ่านไปไม่นานทั้งคู่ก็อาบน้ำกันเสร็จเรียบร้อย สิงห์ดูสบายตัวขึ้นและเดินได้อยู่บ้าง ทั้งคู่อยู่ในชุดสุภาพสะอาดตา ถึงจะมีเพียงเสื้อเชิ้ตแขนสั้นพ่วงด้วยกางเกงสแล็คขายาวแต่ก็ดูเข้ากัน

“หล่อเสียจริง” ไฟชมยอคนข้างกายที่เดินไปด้วยกัน

“หล่อไม่เท่าไฟหรอก” ชมกันไปชมกันมาก็มาเขินกันเองกว่าจะถึงศาลาริมน้ำไม่รู้ว่าแก้มจะนูนขึ้นไปกี่หน

“สวัสดีจ้ะ กระผมชื่อเฟื้องนะ”

“ฉันสิงห์ ส่วนนี่ไฟ”

“ขอรับคุณสิงห์ คุณไฟ” เด็กหนุ่มยิ้มกว้างตนเห็นทั้งสองมาแต่ไกลจนอดชื่นชมไม่ได้ ทั้งสูงเด่น ไหล่ผึ่ง ทุกระเบียบการย่างก้าวดูนุ่มนวลทว่าหนักแน่นสมกับเป็นตำรวจ “เชิญทางนี้เลยขอรับ”

ทั้งคู่พยักหน้าเดินตามผ่านสะพานที่สร้างมาอย่างดี ด้านตรงข้ามนั้นมีศาลาด้วยเช่นกันแต่จะตกแต่งมีดอกไม้ประดับให้เชยชมเล็กน้อยทั้งศาลาแต่งสีด้วยสีขาวสะอาด ต่างจากศาลาฝั่งของบ้านสิงห์ที่เป็นศาลาไม้ธรรมดา

“ใหญ่โตเสียจริง” ไฟอดชมไม่ได้เพราะวังแห่งนี้พอมาดูใกล้มันทั้งใหญ่และสวยงาม การตกแต่งเองก็ออกแนวตะวันตกนิด ๆ

“เฟื้องอายุเท่าไหร่หรือ” สิงห์เอ่ยถามเพราะรู้สึกถูกชะตา

“สิบห้าจ้ะ”

“เรียนที่ไหนล่ะ”

“เรียนที่อัสสัมชัญขอรับ พระองค์วายุภักษ์กับหม่อมสร้อยทรงมีพระเมตตากรุณาส่งกระผมเรียนขอรับ”

“ดีเสียจริง แล้วได้คิดหรือเปล่าว่าจะทำงานอะไร”

“ตอนแรกกระผมคิดว่าอยากจะเป็นทหารที่เก่งกาจเหมือนกับพระองค์วายุภักษ์ แต่ว่ากระผมก็อยากจะเป็นชาวไร่ชาวนา อยากทำไร่ทำนาเป็นของตัวเอง แต่มันคงไม่ดีพอกับสิ่งที่ได้รับมาจากผู้มีพระคุณทั้ง ๆ ที่ได้เข้าเรียนที่ดี ๆ แท้ ๆ แต่กลับคิดจะทำเพียงไร่นา..” เด็กหนุ่มนึกไม่มั่นใจ

“อยากทำอะไรก็จงเลือกทำเสียเถอะ ไม่ว่างานไหนจะเป็นยังไง ทุกงานย่อมมีเกียรติของมันเอง” สิงห์ลูบผมเด็กข้างกายที่หยุดอยู่หน้าทางเข้าวัง “ไม่ว่าจะเกียรติของทหารที่รับใช้ชาติ เกียรติของชาวไร่ชาวนาที่สร้างผลผลิตให้คนได้มีกิน งานทุกงานมันคืองานที่เพื่อตนและรวมถึงเพื่อผู้อื่น ถ้ารักถ้าชอบสิ่งไหนก็เลือกทำอย่าได้ลังเล”

“ขอบพระคุณมากขอรับคุณสิงห์” เด็กหนุ่มยิ้มกว้างรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก ความรู้สึกคล้ายกับพ่อของตนที่คอยพูดให้กำลังใจ

“เป็นเด็กดีนะ”

“ขอรับ” เด็กหนุ่มผงกหัวก่อนจะช่วยนำทางไปหาท่านชายนนท์

“ท่านชายขอรับ คุณสิงห์คุณไฟมาแล้วขอรับ”

“ขอบใจนะเฟื้องแล้วก็ไปบอกป้าบัวด้วยว่าให้เตรียมน้ำสำหรับเพื่อนของฉันแล้วก็เด็จพ่อ หม่อมแม่ อ้อพี่ชายภัสด้วย” นนท์สั่งคนรับใช้คนสนิทอย่างเสร็จสรรพก่อนจะผายมือให้เพื่อนทั้งสองไปทางโซฟา “นั่งรอกันสักครู่นะเดี๋ยวฉันจะไปบอกเด็จพ่อกับหม่อมแม่ให้”

พอสิงห์พยักหน้าเพื่อนสนิทก็เดินหายไปอีกทางหนึ่ง

“นนท์มีพี่ด้วยหรือ”

“ใช่ ชื่อท่านชายภัสกร ศุลภาณันท์ พี่ชายแท้ ๆ ของนนท์น่ะ”

“รู้เยอะเพียงนี้ไม่เห็นบอกกันบ้าง ครั้งแรกที่เจอกันไฟก็คิดว่านนท์แค่คนธรรมดา”

“นนท์ขอไม่ให้พูดถึงน่ะ เพราะไม่อยากถือศักดิ์กับเพื่อน ตอนแรกสิงห์เองก็ตะกุกตะกักพูดไม่ค่อยถูกหรอก แต่เดี๋ยวนี้ก็ไม่เป็นไรแล้วแหละ”

“แต่ไฟเพิ่งรู้หลังรับแหวนรุ่นเองนะ อีกอย่างเราไม่ได้เรียนด้วยกันเลยไม่ชิน”

“จริงหรือ เดี๋ยวเรียกไอ้เดี๋ยวเรียกชื่อเฉย ๆ นี่ยังไม่ชินจริง ๆ หรือ” สิงห์ยิ้มล้อ

“ก็... ปากมันไปเอง”

“เพลา ๆ ลงบ้างนะ ถึงนนท์จะไม่ถือสาแต่ก็เป็นถึงหม่อมเจ้า บางทีก็พูดดี ๆ กันเสียบ้างนะ”

“บอกเพื่อนสิงห์ด้วยเถอะ”

“บอกอยู่แล้วในเมื่อพอกันทั้งคู่” สิงห์อยากจะหยิกจมูกคนรักแต่คงจะดูไม่ดีถึงทำได้แค่ทำหน้ามันเขี้ยวใส่คนข้างกาย คนรับใช้ของวังก็เดินเอาน้ำมาให้จึงได้แต่ยิ้มขอบคุณ

“อ่าวว่าไง” เสียงทักทายดังมาแต่ไกลไฟและสิงห์ก็รีบลุกขึ้นทันทีก่อนที่ทั้งคู่จะคุกเข่าลงก้มหัวประกบมือจรดปลายนิ้วแนบหน้าผาก

“ถวายบังคมขอรับฝ่าพระบาท”

“ไม่ต้องพิธีรีตองอะไรมากมายนักหรอก ลุกขึ้นนั่งที่โซฟาเถิด”

“เป็นพระกรุณาอย่างสูง” สิงห์ก้มหัวก่อนจะลุกขึ้นเดินไปนั่งที่โซฟาตรงข้ามกับพระองค์วายุภักษ์ข้างกายเองก็มีหม่อมสร้อย ส่วนโซฟาเดี่ยวทั้งสองข้างเป็นของท่านชายนนท์และท่านชายภัสที่ประทับ

“คนนี้คือไฟ เพลิงกาฬ ไตรย์ษิณ ขอรับ” นนท์ผายมือไปทางเพื่อนร่วมรุ่น

“อ้อ ๆ ลูกชายของอนงค์ใช่ไหม”

“ขอรับ” ไฟยิ้มพลางผงกหัว

“ดี ๆ พ่อเธอเป็นคนเก่ง น่านับถือ”

“เป็นพระกรุณาขอรับ” ไฟยกมือไหว้อีกรอบ

“ส่วนคนนี้สิงห์ สหัส อัครเดช”

“คนนี้.. เห็นนนท์เล่าให้ฟังว่าเป็นถึงนักเรียนดีเด่นของรุ่นหนิ ใช่ไหม”

สิงห์คลี่ยิ้ม “ขอรับกระหม่อม”

“มีแต่เพื่อนดี ๆ แบบนี้ไม่เห็นพามาหาพ่อบ้างล่ะชายนนท์”

“เรียนที่นั่นแทบไม่ได้ออกนอกรั้ว กลับวังมาช่วงที่ทำงานที่พระนคร สิงห์ก็ดันมีงานต้องทำจึงไม่ได้มาทูลเด็จพ่อขอรับ”

“น่าเสียดาย แต่ก็ไม่เป็นไรในเมื่อเจ้าตัวมาอยู่ที่นี่แล้ว ฮ่ะ ๆ” หัวเราะพอเป็นพิธีหม่อมสร้อยก็เอ่ยถามขึ้นมา

“ทานอะไรกันมาหรือยังล่ะ”

“ยังเลยขอรับ” สิงห์ตอบให้

“เดี๋ยวแม่ไปดูในครัวก่อนนะ เพื่อนลูกชายมาทานด้วยทั้งที ต้องไปดูเสียหน่อย สั่งแม่ครัวไว้แล้วแต่ก็ยังกลัว ๆ อยู่” เธอว่าพลางหัวเราะเล็กน้อย

สิงห์กับไฟผงกหัวเป็นการขอบคุณเธอจึงลุกออกไป

“นี่บ้านหลังนั้นน่ะที่จริงเป็นของชายภัส พอรู้ว่ามีเพื่อนของชายนนท์กำลังหาบ้านนะ เจ้าตัวก็รีบบอกน้องให้ใช้บ้านหลังนั้นทันที”

ท่านชายภัสที่เงียบมานานยิ้มบาง ๆ “ถึงพี่กลับวังพี่ก็อยู่แต่ที่วัง ยังมีบ้านอีกหลังที่ซื้อไว้สำหรับเรือนหอ พี่เลยคิดว่าให้พวกเรามาอยู่ที่บ้านนั้นดีกว่าจะได้ไม่ต้องหาให้ลำบาก”

“เป็นพระกรุณาอย่างยิ่ง ต้องรบกวนท่านชายภัสเสียแล้ว”

“ไม่เป็นไร เป็นถึงเพื่อนของชายนนท์ก็เหมือนน้องพี่นั่นแหละ”

“นั่นสิ ชายนนท์น่ะกับเพื่อนกับฝูงไม่ค่อยจะมีหรอก เอาแต่นิ่งเงียบไม่เข้าสังคม พอรู้ว่ามีเพื่อนสนิทก็ตกใจแทบแย่”

“เด็จพ่อ..” นนท์ขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ตอนเรียนอยู่ท่านชายนนท์ก็ไม่ค่อยตรัสขอรับ แต่ท่านก็ยังตรัสกับกระหม่อมได้และให้คำปรึกษาในหลาย ๆ เรื่องได้ดีทีเดียว จนกระหม่อมนับถือท่านชายเป็นเสมือนเพื่อนสนิทตั้งแต่ได้พูดคุยปรึกษากันน่ะขอรับ”

“พูดเกินไปแล้วสิงห์” นนท์ขมวดคิ้วอีกคราแต่ก็อดยิ้มไม่ได้

“พอได้ยินอย่างนั้นก็ชื่นใจหน่อย คิดว่าจะเป็นหินผาไม่ไหวติ่งต่อสิ่งใดไปเสียแล้ว”

“หินผาแน่หรือ” ท่านชายภัสหรี่ตามองน้องชาย

สิงห์ที่มองอยู่สงสัยเล็กน้อยแต่ก็รอให้นนท์พูดเอง

แต่ก่อนจะได้พูดอะไรมากกว่านั้นอาหารมื้อค่ำก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยจึงต้องลุกไปที่โต๊ะอาหาร

“โต๊ะยาวเสียจริง” ไฟพึมพำเบา ๆ แต่คนรักก็ได้ยินจึงส่งสายตาปรามเล็กน้อย

พระองค์วายุภักษ์นั่งลงหัวโต๊ะมีหม่อมสร้อยกับท่านชายภัสที่นั่งฝั่งขวามือของเจ้าบ้าน ส่วนฝั่งซ้ายมือคือท่านชายนนท์ต่อด้วยสิงห์และไฟ

“ทานตามสบายนะ” พระองค์วายุภักษ์ผายมือทุกคนจึงรับประทานอาหาร นนท์มองเพื่อนทั้งสองที่คงเกร็งกันจนไม่กล้าเอื้อมไปตักของไกล ๆ ได้แต่กินไม่กี่อย่างที่วางตรงหน้าเท่านั้น

“ไม่อร่อยหรือ” หม่อมสร้อยถาม

“อร่อยขอรับ อร่อยมากเลย”

“ทั้งสองเป็นคนขี้เกรงใจน่ะขอรับหม่อมแม่” นนท์ตอบให้

“ไม่ต้องเกรงใจหรอก มานี่มาแม่ตักให้”

“ไม่เป็นไรขอรับหม่อมสร้อย” สิงห์ยกมือเป็นพัลวันแต่ก็ต้องยกจานให้หม่อมสร้อยอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ส่วนไฟนั้นที่ขำคนรักในใจได้ไม่นานก็ต้องนั่งตัวเกร็งด้วยที่ท่านชายภัสตักอาหารให้ ถึงจะกลัวว่าการยกจานรับจะเสียมารยาทแต่ดูไม่มีใครถือเรื่องนี้แค่อยากให้เพื่อนสนิทชายนนท์ได้ทานเยอะ ๆ

“เห็นว่าเป็นครูสอนยูโดกับเรื่องปืนด้วยใช่ไหม”

“ขอรับ เพราะได้พระราชทานยศสิบตรี การสอนยูโดและสอนเรื่องอาวุธปืนก็ถือว่าเป็นงานราชการขอรับ” สิงห์ตอบอย่างฉะฉาน ถึงเรื่องทานอาหารหรือเรื่องพูดคุยอาจจะติดตะกุกตะกักบ้างตามภาษาคนขี้เกรงใจและไม่รู้คำราชาศัพท์ แต่ถ้าเรื่องงานหรือเรื่องเรียนก็ตอบรวดเร็วจนพระองค์วายุภักษ์ถึงกับพยักหน้าอย่างชื่นชม

“ส่วนอีกคนสอนเรื่องมวยไทยใช่ไหม”

“ขอรับ” ไฟผงกหัวเขาเพิ่งจะได้รับเกียรติให้สอนเรื่องมวยไทยเมื่อช่วงปีที่สามหลังจากที่สิงห์ได้รับงานในการช่วยสอนเรื่องอาวุธปืน

“ชายนนท์ล่ะ ทำอะไรบ้าง”

ไฟหันมองก่อนจะตอบ “ท่านชายนนท์ทรงมีพระปรีชาสามารถด้านวิชาการเป็นอย่างมากรวมถึงเรื่องวางแผนนำทีมปฏิบัติการ กระหม่อมได้ท่านชายนนท์ประทานโอวาทเรื่องพวกนี้บ่อย ๆ น่ะขอรับ”

นนท์นึกแปลกใจแต่ก็เป็นเรื่องจริงเพราะหลังจากที่ไม่มีเรียนหรือฝึกอะไรช่วงเย็น ๆ เราสี่คนจะนัดกันไปอ่านหนังสือและเขาก็ช่วยไฟในบางครั้ง เพราะสิงห์นั้นไปช่วยสอนจันแล้ว คงเพราะอยากให้พวกเขาสนิทกันมากขึ้น ซึ่งก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีอาจจะทะเลาะกันแต่ก็เบาลงกว่าแต่ก่อน

“อืม ๆ” พระองค์ทรงพยักหน้าดูเหมือนนิ่ง ๆ แต่ก็รู้ว่าท่านภูมิใจในตัวลูกชายอยู่

ทานอาหารกันพออิ่มก็พากันไปนั่งที่สวนข้าง ๆ อากาศเย็นสบาย ยามสายลมพัดผ่านมีกลิ่นหอมของดอกไม้ลอยมาให้ชื่นใจ มีน้ำชาชั้นดีร้อน ๆ และขนมไทยหลายอย่างวางไว้ให้แก้อาหารคาวโดยทั้งหมดเป็นฝีมือหม่อมสร้อย เธอนั่งคุยเพียงเล็กน้อยแล้วให้ผู้ชายเขาคุยกันต่อ

ส่วนมากที่คุยกันจะเป็นเรื่องการทำงาน การเมือง ระบบงานราชการ เรื่องสงครามโลกที่อาจเข้ามาถึงไทย เรื่องเศรษฐกิจ ทว่า ส่วนมากจะเป็นพระองค์เจ้าวายุภักษ์กับสิงห์ที่พูดคุยกันมากซะส่วนใหญ่จวบจนถึงเวลาที่พระองค์เสด็จบรรทมก็ได้คุยเรื่องเสกสมรสขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“พ่ออยากให้ลูกลองคิดดูนะ” ทรงยืนขึ้นพร้อมกับตรัสกับลูกชาย ทุกคนจึงยืนขึ้นตาม

“ขอรับ” นนท์ก้มหัวก่อนที่ท่านจะเสด็จขึ้นห้องบรรทม

“ยังไม่ได้ทูลเด็จพ่อเรื่องนั้นหรือชายนนท์”

“ยังเลยขอรับ นนท์ไม่กล้าทูลท่าน”

สิงห์กับไฟที่ยืนนิ่งเงียบได้แต่นึกสงสัยกับสิ่งที่ท่านชายทั้งสองตรัสกันแต่ก็ไม่อยากพูดอะไร

“เฮ้อ เรื่องนี้คงยากเพราะเด็จพ่อเองก็มีพระสัญญากับเพื่อนร่วมรบว่าหากมีลูกอยากให้ลูกของทั้งคู่เสกสมรสกัน พี่นั้นมีภริยาอย่างหม่อมเจ้าหญิงรวีวรรณซึ่งเป็นพระธิดาของพระองค์เจ้าปัทธิศรที่เป็นสหายเก่าของเด็จพ่อเช่นกัน ของพี่แตกต่างตรงที่พี่กับหญิงรวีนั้นมีใจให้กันอยู่แล้ว ส่วนของชายนนท์นั้น... ไม่มีเลย”

ไฟออกจะปวดหัวกับคำราชาศัพท์แต่ก็พอเข้าใจบ้าง สิงห์เองที่เงียบฟังไม่มีท่าทีใดใดชั่วความคิดอยากจะเอ่ยถามเพื่อนแต่ก็ต้องเงียบไว้ก่อน เขารู้ดีว่าที่ท่านชายภัสตรัสขึ้นมาโดยยังมีพวกเขาอยู่คงอยากให้รู้และอยากให้พูดกับชายนนท์ที่ยังตัดสินใจอะไรไม่ได้ด้วยสายตาและคำพูดที่เหมือนคุยกับชายนนท์แต่เนื้อนัยมิใช่

“ความรักของเลือดเนื้อเชื้อไขที่เป็นเจ้า มันยากเพียงนี้ จะทำอะไรตัดสินใจยังไงต้องมองอนาคตไว้ด้วยนะ” ท่านชายภัสตรัสเพียงเท่านั้นก็ตบบ่าน้องชายปุ ๆ แล้วคุยกับสิงห์และไฟอีกนิดหน่อยถึงจะลุกออกไปปล่อยให้เพื่อน ๆ น้องชายคุยกัน

“อยากจะเล่าไหม” สิงห์ถามพลางจับบ่าเพื่อนสนิทที่นั่งลงอย่างเหนื่อยอ่อน

“ฉัน...” นนท์ถอนหายใจก่อนจะมองไปที่ท้องฟ้าที่มืดมิดไม่มีแม้แต่ดวงดาวให้เชยชมนอกจากดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยว...ไม่เต็มดวง “ฉันมีคนรักแล้ว”

“ห๊ะ” ไฟอ้าปากค้างส่วนสิงห์ทำเพียงแค่พยักหน้ารับรู้

“เธอชื่อปิ่น เป็นครูสอนเจ้าเฟื้อง ฉันเจอปิ่นเมื่อตอนที่ออกมาทำงานข้างนอก ตอนนั้นปิ่นทักเฟื้องที่มาช่วยฉันถือของที่ตลาด เราเลยได้คุยกัน”

สิงห์ร้องอ๋อในใจเพราะมีอยู่หลายครั้งที่นนท์มาทำงานที่พระนครทุกทีที่กลับมาจากที่นั่นก็เอาแต่ยิ้มกับกระดาษบางอย่างในมือ บ้างก็ดูรูปใครไม่รู้ บ้างก็เขียนจดหมาย.. ตอนแรกคิดว่าส่งกลับที่วังแต่พอเผลอไปเห็นข้อความด้านในที่หวานหยดย้อยเขาก็เข้าใจได้ทันทีว่านนท์กำลังมีความรักแต่เขาก็ไม่ได้ซักไซ้อะไร ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะทำให้เพื่อนเครียดเพราะความรักที่มิอาจเข้ากันได้ คนหนึ่งเป็นเพียงครูสาว อีกคนเป็นเชื้อเจ้า สำหรับคนในวังคงคิดว่าไม่เหมาะสม

“ลองทูลพระองค์สักหน่อยไหม ทูลให้ท่านได้เข้าใจ ว่าใจนนท์รักใคร”

“ไม่ได้ พระสัญญาสำคัญกับเด็จพ่อเป็นอย่างมาก”

“ฉันคงแนะนำอะไรมากไม่ได้ แต่ก็อยากให้ทูลกับพระองค์” สิงห์คิดหนักแทนเพื่อน พูดเหมือนง่ายแต่เขารู้ว่ามันยากสำหรับนนท์

“หรือไม่ก็แสดงอะไรสักอย่างให้พระองค์ได้รู้ว่านายรักคนนี้จริง ๆ และพร้อมจะดูแลได้ทั้งครอบครัวและคนรัก” ไฟเปรยขึ้น

“ปิ่นเธอเป็นคนยังไง” สิงห์ถามต่อ

นนท์นึกถึงคนรัก “นิสัยดี เห็นอกเห็นใจคนอื่นเสมอ พูดจาไพเราะแต่ทุกคำนั้นทั้งหนักแน่นไม่เคยผิดเพี้ยน และมักจะคิดในสิ่งที่ฉันคาดไม่ถึงอยู่เรื่อย” เขายิ้มบาง ๆ จำได้ว่ากว่าเธอจะรับรักก็รอเป็นปีเพราะเธอเอาแต่บอกว่าไม่อาจเอื้อมแขนมาแตะฟ้าได้ ไหนจะเรื่องเสกสมรส เธอก็พูดอย่างตรง ๆ เลยว่าจะเป็นคนถอยและไม่ยุ่งกับเขาอีก ไม่น่าเชื่อว่าชายนนท์ที่เป็นหินผา ชายนนท์ที่ไม่หวั่นต่อสิ่งใดถึงได้เคยดื่มเหล้าหนักหลายหนเพราะน้อยใจสาวเจ้า

สิงห์มองเพื่อนอย่างนึกตกใจ นนท์เป็นคนยิ้มยากแต่ถึงกับมีคนทำให้ยิ้มได้เพียงแค่นึกถึงแค่นี้ก็ถือว่านนท์ยอมไปทั้งใจแล้ว

“ไม่ว่าจะความรักแบบไหนก็มีอุปสรรคเสมอเลยนะ” สิงห์ยิ้มฝืนหันมองคนรักข้างกายที่ดวงตาไม่ไหวหวั่นเพราะพร้อมที่จะเผชิญทุกอย่าง ไอ้เขาก็นึกโล่งใจ...แต่พอหันมองเพื่อนที่ดวงตาสั่นระริกก็นึกห่วง

“ฉันกับสิงห์ก็มีอุปสรรคเรื่องนี้แต่เราตัดสินใจว่าจะเรียนให้จบและทำงานก่อนสักปีสองปีถึงจะบอกพ่อกับแม่” นนท์เงยหน้ามองทันทีเพิ่งเคยรู้เรื่องนี้ เพราะไม่คิดว่าทั้งคู่จะตัดสินใจกันแล้ว “นายคงรู้ถึงความสัมพันธ์ของเราสองคน ที่ฉันพูดไม่ได้จะบอกว่าอุปสรรคของฉันมันมากกว่าหรือน้อยกว่า ฉันพูดเพราะอยากให้นายรู้ว่าหนทางมันมีหลายอย่างที่เลือกได้ ก็ใช่ที่คิดว่ามันคงไม่มีหรอก มันยากและมันไม่ได้ง่าย แต่ถ้าหากไม่ลองดูก็ไม่รู้”

ไฟพูดอย่างสบาย ๆ แต่ดูก็รู้ว่าคำพูดของไฟน่ะไม่ต่างจากการกระทำ ใบหน้านั้นคือใบหน้าของคนที่ตัดสินใจมาแล้วและพร้อมจะทำทุกอย่างที่ทำได้

คนที่เขาเคยไม่สนใจ คนที่เขาไม่เคยอยากเสวนาด้วยช่วงแรก ๆ กลับทำให้เขานึกชื่นชมหัวใจที่ยึดมั่นของคนคนนี้

“ถ้าเกิดคิดคนเดียวไม่ไหว ก็ยังมีอีกคนนะ” ไฟลุกขึ้นมาจับบ่าอีกข้าง

 

 

“ปัญหาชีวิตคู่ก็ต้องช่วยกันคิดและแก้ไขสิ...”





จบบทที่ ๘
---------------------------------------------------------------------
*ขอชี้แจงเรื่องที่ห่างหายไปนานกว่าจะอัพที
ช่วงนี้เราทั้งเรียนและทำงานไปด้วยเลยไม่ค่อยมีเวลามาแต่งสักเท่าไหร่
ต้องขอโทษคุณนักอ่านทุกคนจริงๆนะคะที่ปล่อยให้รอนานกัน ฮือออ
เราจะพยายามหาเวลาว่างมาต่อให้จนจบ
เพราะนิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกของเรา เราอยากให้มันจบสมบูรณ์ตามที่เรากำหนดไว้
อยากให้เรื่องของไฟและสิงห์ดำเนินไปเรื่อยๆ เราจะไม่ทิ้งแน่นอนค่ะ
ต้องขอโทษอีกครั้งจริงๆนะคะที่ดองไว้นานขนาดนี้
อย่าเพิ่งทิ้งกันไปไหนนะ


* แล้วก็ที่เคยเกริ่นไว้ว่าถ้าถึงตอนปัจจุบันแล้วเนื้อเรื่องจะเข้มข้นกว่านี้ รออีกนิดนะคะย้อนวัยกำลังจะหมดแล้ว
ที่เราย้อนให้ดูเพราะทุกตอนมีอะไรซ่อนอยู่นะคะเป็นสิ่งที่ดำเนินเนื้อเรื่องทั้งปัจจุบันและอนาคตได้
มันอาจจะย้อนหลายตอนสักหน่อยแต่ช่วยรออีกนิดนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-09-2020 10:47:36 โดย IMYean. »

ออฟไลน์ janamanza

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-2
สนุกมากค่ะ มีปมมีเรื่องราวหลายอย่างให้ชวนติดตาม  ออกแนวเข้มข้นแบบนี้ไม่ค่อยเห็นเท่าไหร่ ยกนิ้วให้เลย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๘
« ตอบ #19 เมื่อ: 03-06-2019 00:32:28 »





ออฟไลน์ donutnoi

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-7
ติดตามค่ะ  :mew1:

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ ๙

ย้อนวัย : ต่างแยกย้าย

 

กรมตำรวจนครบาล ปี ๒๔๗๗

การทำงานในกรมตำรวจนั้นเริ่มเข้าอาทิตย์ที่สองไปแล้วแต่ว่าสิ่งหนึ่งที่ยังไม่เคยหายไปหลังจากที่เข้ามาทำงานก็คือคำดูถูกที่ส่งผ่านไปให้ลูกโจรชั่วอย่างพันธ์ อัครเดช ที่ต่างคนต่างบอกว่าการเข้ามาของสิงห์ไม่ใช่เพราะความสามารถ ทุกครั้งที่เจอคนพูดแบบนี้ไฟแทบจะกระชากคอเสื้อมาต่อยสักที แต่สิงห์กลับไม่สนใจและบากบั่นทำงานต่อไปเหมือนคนพวกนั้นไม่ได้พูดถึงตัวเอง

“ปากพล่อยขนาดนี้มันน่าโดนนัก” ไฟฉุนเฉียวกระแทกแก้วกาแฟดำจนน้ำกระฉอก ต้องเดือดร้อนคนรักหยิบผ้ามาซับมือให้

ร้อนไหมนั่น

“ทำไมมึงยังเฉยได้อยู่วะไอ้สิงห์” จันที่นั่งข้าง ๆ เอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ

“มันก็ไม่แปลกถ้าพวกเขาจะพูดแบบนี้ ถึงกูจะเรียนมาด้วยตัวเองและเข้ามาโดยใสสะอาด แต่ขึ้นชื่อว่าลูกของโจรทุกคนก็ต้องไม่ไว้ใจอยู่แล้ว”

“แล้วมันยังไงล่ะ มาพูดปาว ๆ ให้ได้ยินแบบนี้มันก็สมควรจะโดนสักหมัดก็ดี” ไฟกำมือแน่น ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ก็ไม่เคยได้ต่อยใครเพราะสิงห์จะห้ามตลอด บางทีก็ต้องระงับอารมณ์ด้วยตัวเองเพราะสัญญาไว้แล้วว่าจะไม่วู่วาม

“ใจเย็น ๆ อยู่ไปสักพักเดี๋ยวคนเขาก็เลิกพูดเองนั่นแหละ” สิงห์พูดยิ้ม ๆ แม้ในใจจะเกิดรอยแผลขึ้นก็ตาม

“ก็ดูแล้วกันถ้าผ่านไปอีกอาทิตย์ยังไม่เบาลงกูจะสั่งสอนให้” จันเปรยขึ้นเพราะโมโหแทนเพื่อน

“พอเลยทั้งคู่น่ะ” สิงห์ถอนหายใจ นนท์ออกไปปฏิบัติหน้าที่เลยไม่มีใครช่วยพูด “ปล่อยไปเถอะ ถ้ายิ่งสนใจดิ้นไปกับคำพวกนั้นเดี๋ยวจะคิดว่าเรายอมรับอีก”

“อะไรที่ไม่ใช่ก็ควรปกป้องตัวเองบ้างสิสิงห์ ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นแบบนี้”

“ไฟ…” สิงห์จับไหล่คนรัก

“ไม่ต้องสั่งสอนก็ได้ แค่พูดสักนิด ให้รู้ไปเลยว่าสิงห์เข้ามาเป็นตำรวจด้วยความสามารถของตัวเอง ไม่ใช่อย่างที่พวกมันพูด”

สิงห์ยิ้มรับ พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจถึงจะไม่รู้ว่าตนจะทำตามที่คนรักบอกหรือเปล่า

“หมวดสิงห์ครับ หมวด ๆ ๆ” นายตำรวจคนหนึ่งวิ่งหน้าตื่นมาทางร้านกาแฟโบราณข้างกรมตำรวจ แกหอบหายใจแรงจนจันที่อยู่ใกล้ ๆ ต้องยกมือปราม

“ค่อย ๆ พูดนะจ่านิด”

“ครับ...” จ่านิดพรูลมหายใจก่อนจะออกปากพูด “มีข่าวมาว่านายตำรวจที่ส่งไปจับตาดูเสี่ยเผิงที่เยาวราชถูกฆ่าตายครับ”

“เริ่มแล้วหรือ” สิงห์ลุกขึ้นทันทีไม่รีรอให้เสียเวลาก็รีบหยิบหมวกมาใส่ “จ่านิดไปเตรียมรถมาแล้วก็บอกให้จ่าเฉิ่มกับจ่าตาลขนอาวุธเท่าที่มีไปกับผมด้วย”

“ครับ!” จ่านิดตะเบ๊ะและวิ่งกลับไป สิงห์จึงจะตามไปด้วยแต่ก็ถูกจับข้อมือไว้

“ดูแลตัวเองด้วย” ไฟบอกเพียงเท่านั้นแต่ก็ถือว่าได้กำลังใจที่ดี สิงห์พยักหน้าก่อนจะเดินออกไป

เห็นนายตำรวจที่ถูกสั่งต่างวิ่งลงมาพร้อมกับอาวุธปืน สิงห์นั่งข้างคนขับตรวจสอบกระสุนกับปืนลูกโม่ตัวเองไปพลาง ดูก็รู้แล้วว่าเตรียมพร้อมจัดการเสี่ยเผิง โดยที่มีคนน้อยนิดคอยติดตาม

เพราะคนที่ยอมรับในตัวสิงห์มีเพียงแค่นั้น...

ไฟมองอย่างนึกห่วงแต่ตนเองก็มีหน้าที่ที่ต้องทำ โจรมันชุกชุมถึงขนาดที่ว่านักเรียนนายร้อยทำการต้องออกปฏิบัติหน้าที่ทันที ไม่แปลกหากเห็นว่าทุกวันนี้ทั้งสิงห์ทั้งนนท์ออกไปปฏิบัติหน้าที่ข้างนอกและเสี่ยงอันตรายเพราะทั้งคู่ก็เคยออกมาทำงานในฐานะนายสิบจึงรู้อะไรเยอะพอควร

ส่วนทั้งเขาและจันนั้นยังต้องทำแต่ในกรมเท่านั้น จะออกไปทีก็ต้องออกไปพร้อมกับคนตำแหน่งโตกว่าและผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อน

“ถ้างั้นกูไปหาสารวัตรก่อน เดี๋ยวไว้เจอกัน” จันลุกขึ้นไฟจึงผงกหัวแล้วลุกออกบ้างเพราะตนก็ต้องไปทำงานของตัวเอง

แต่เดินแยกไปทางห้องทำงานของตัวเองได้ไม่นานก็ต้องพบกับท่านรองอธิบดีวารินที่ช่วยแนะนำอะไรหลาย ๆ อย่างให้ตั้งแต่พวกเราเข้ามาที่นี่ ไฟตะเบ๊ะให้ท่าน

“เป็นยังไงบ้างล่ะ มีติดขัดอะไรบ้างไหม”

“ไม่มีขอรับ เพียงแต่กระผมต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะเลย”

“ดีแล้ว งานพวกนี้มันต้องลองทำจริง ๆ ถึงจะเข้าใจ แต่ว่ามันก็สามารถปรับเปลี่ยนไปตามแต่ละสถานการณ์มันยากตรงนี้นี่แหละ” ท่านว่าแล้วหันมองนอกหน้าต่าง “คนเก่า ๆ อยู่ไม่นานนักหรอก คนใหม่ ๆ ก็ต้องเข้ามาทำแทนอยู่แล้ว” ก่อนจะหันกลับมามองไฟด้วยใบหน้าจริงจัง “ฉันหวังว่านายจะเป็นตำรวจใหม่ที่ดีและเป็นตำรวจตัวอย่างให้แก่คนรุ่นต่อไปด้วยนะ”

“ขอรับ” ไฟก้มหัวรู้สึกชื่นชมท่านวารินอย่างถึงที่สุด

“ตั้งใจทำงานล่ะ” ท่านตบบ่าก่อนจะเดินออกไป

ไฟได้แต่มองตามพลางยิ้มบาง ๆ

แต่พอนึกถึงคนที่ไปปฏิบัติหน้าที่อย่างเร่งด่วนโดยไม่ทันได้เตรียมตัวอะไรปากกระจับก็ค่อย ๆ หุบลง ความนึกห่วงถาโถมเข้ามาจนไม่มีอันจะทำอะไร ขนาดมานั่งเปิดแฟ้มคดีที่กำลังทำอยู่ก็เหม่อลอยซะคนที่นั่งใกล้ ๆ สะกิดอยู่หลายรอบ

ไฟผงกหัวเป็นเชิงขอโทษปิดแฟ้มคดีลงแล้วยื่นให้นายตำรวจร่วมงานที่มาสะกิดขอแฟ้มคดีไปดูต่อ มือหนาลูบใบหน้าเป็นพัก ๆ เพื่อจะเรียกสติกลับคืน ไม่รู้เลยว่าตอนนี้สิงห์เป็นยังไงบ้าง มีกันแค่สามสี่คนจะเอาอะไรไปสู้กับคนเป็นสิบกัน

ผ่านไปชั่วโมงกว่าทั้งกรมตำรวจก็ดูจะวุ่นวายกันยกใหญ่ ไฟที่กำลังใช้เครื่องพิมพ์ดีดพิมพ์งานเงยหน้ามองนอกห้องเป็นระยะ ตำรวจที่นี่มีเยอะพอควรไม่แปลกหากเจอตำรวจนายอื่นเดินผ่านห้องบ่อย ๆ แต่แบบนี้ต้องมีเรื่องแน่ ๆ ถึงขนาดที่ว่าทั้งเสียงดังและต่างคนต่างวิ่งพกหมวกพกอาวุธไปด้วย

“ข้างนอกมีอะไรหรือครับหมวดอิฐ” ไฟเอ่ยถามหัวหน้าทีมของเขาที่เดินเข้ามาก่อนจะเอากระดาษออกจากเครื่องหลังจากพิมพ์เสร็จแล้ว

“ก่อนหน้านี้มีการปะทะกันของตำรวจกับเสี่ยเผิงที่เยาวราช ตอนนี้นายตำรวจบาดเจ็บสามราย เราต้องการกำลังคนไปเพิ่มเพราะเสี่ยเผิงคิดจะบุกหมู่บ้านใกล้ ๆ นั้น ดีที่ตำรวจสี่นายที่ออกไปก่อนหน้านี้ ดักไว้ได้เลยช่วยเหลือชาวบ้านไว้ทัน” หมวดอิฐพูดเพียงเท่านั้นไฟก็ลุกขึ้นทันที

“ผมขอไปที่เกิดเหตุด้วยนะครับ”

“อืม ไปสิ ฉันกำลังเข้ามาบอกให้พวกนายไปด้วยกัน” หมวดอิฐพยักหน้าก่อนจะเดินออกไปก่อน ไฟไม่รอช้ารีบวิ่งออกไปพร้อมกับสวมหมวกไปด้วย

นายตำรวจที่ไปมีอยู่สามขบวนรถ โดยไฟอยู่ขบวนรถแรกกับทีมตัวเองมือหนากำปืนลูกซองแน่น ทุกคนเอาอาวุธปืนอื่น ๆ ไปเพราะแค่ปืนพกอาจไม่ไหว

เพียงไม่นานก็ได้ยินเสียงปืนดังแว่วให้ได้ยินเห็นคนนอนเกลื่อนกลาดดูชุดก็รู้แล้วว่ามีแต่พวกเชื้อสายจีนที่เป็นลูกน้องของเสี่ยเผิง

“ทางพวกเราจะไปช่วยหมวดสิงห์กัน ส่วนอีกสองขบวนรถจะไปจัดการลูกน้องเสี่ยเผิงที่อยู่บ้านมันแล้วก็ไปดูชาวบ้านที่อยู่ที่นี่ด้วย” หมวดอิฐพูดเพียงเท่านั้นก็สั่งให้ลูกน้องในทีมวิ่งไปทางเสียงปืนที่ยิงปะทะกันอยู่

“เฮ้ย ตำรวจมาเพิ่ม!” เสียงของคนในนั้นดังขึ้นพวกมันก็หันมาปะทะกับฝั่งของตำรวจที่มาเพิ่มทันที ไฟรีบหลบข้างกำแพง หมวดอิฐจึงส่งสัญญาณมือให้ลูกน้องทีมสองคนไปดักพวกมันอีกทางแล้วก็หันมาทางเขาและตำรวจอีกนายที่อยู่ใกล้ ๆ ชี้ไปทางตำรวจสองสามคนที่สภาพไม่ต่างจากการผ่านสงคราม ไฟพยักหน้าเป็นการเข้าใจเพราะพวกเขาต้องไปช่วยเหลือคนพวกนั้น

ไฟมองหาคนรักก่อนจะพบว่าสิงห์กำลังยิงพวกลูกน้องเสี่ยเผิงใบหน้านั้นเปื้อนฝุ่นเสื้อผ้าเปื้อนเลือดข้างกายนั้นมีนายตำรวจคนหนึ่งคอยสับเปลี่ยนกระสุนปืนให้ มีทั้งปืนลูกซอง ไรเฟิลและปืนลูกโม่

“ฉันจะยิงสกัดไว้” หมวดอิฐบอกก่อนจะหยิบปืนกลไปยิงพร้อมกับตำรวจอีกคน ไฟก็ยิงสวนเหมือนกันเพื่อไม่ให้มันลุกขึ้นมายิงได้

“สิงห์” ไฟเรียกเสียงดังวิ่งเข้าไปหลบที่เดียวกับคนรักทันที

“วิ่งมาแบบนี้บ้ากันแล้วแน่ ๆ” พอมาถึงสิงห์ก็บ่นทันทีใบหน้านั้นถึงจะมีความเคร่งเครียดเพราะลูกน้องเสี่ยเผิงตรงนี้เยอะเกินไป แต่ก็ดูไม่ทุกข์ร้อนมากนัก

“ใครกันแน่ที่บ้า! พวกมันเยอะขนาดนี้ยังจะออกมากันแค่สี่คน” ไฟตะคอกเสียงดังแข่งกับเสียงปืนไม่วายยังคอยยิงพวกมันไปด้วย

“ใครว่าสี่คน” สิงห์ยิ้มมุมปากเพียงไม่นานก็ได้ยินเสียงระเบิดดังมาจากทางที่ตำรวจขบวนรถอื่น ๆ ไป

“เสี่ย!” พวกมันลุกลี้ลุกลนทำตัวไม่ถูกในโอกาสนั้นสิงห์จึงพยักหน้ากับนายตำรวจทีมตัวเองแล้วส่งสัญญาณให้หมวดอิฐชี้ไปทางพวกลูกน้องเสี่ยเผิง

ใช้โอกาสนั้นยิงพวกมัน

“ตอนนี้แหละ” สิงห์สั่งก่อนจะหยิบปืนกลขึ้นมายิงพร้อมกับนายตำรวจคนอื่นที่มีอาวุธพร้อมขึ้นมายิง ไฟก็ไม่รีรอถึงจะไม่ค่อยเข้าใจที่คนรักพูดแต่ก็ใช้ลูกซองยิงพวกมัน

“ตอนนี้หัวหน้าพวกมึงตายแล้ว! ถ้าไม่อยากตายก็เดินออกมามอบตัวแล้วโยนอาวุธทิ้งซะ!” สิงห์ตะโกนสั่งเสียงแข็ง พวกมันไม่ได้ยิงสวนมาร่วมนาทีแล้ว

“กูให้เวลาแค่สิบวิถ้าไม่เดินออกมามอบตัวกูยิงไม่เลี้ยงแน่” สิงห์จ้องเขม็งมือจับปืนแน่นเตรียมพร้อมยิงหากใครตุกติก

“อั๊วยอมแล้ว ๆ” ลูกน้องคนหนึ่งรีบปาอาวุธทิ้งแล้วเดินยกมือออกมา คนอื่น ๆ ถึงตามออกมา

“ปาอาวุธมาทางนี้แล้วนั่งคุกเข่าตรงนั้นอย่าขยับ” หมวดอิฐออกไปจ่อปืนขู่ พวกมันจึงทำตาม

ไม่นานนักก็มีนายตำรวจที่ไปอีกทางวิ่งกันมาสี่ห้าคน

“เป็นยังไงบ้างครับหมวดอิฐ”

“พวกมันยอมแล้วล่ะ แล้วทางนั้นเกิดอะไรขึ้น”

“คือว่าชาวบ้านที่อยู่แถวนี้ไม่มีเลยสักคนครับ ผมไปเจอจ่านิดกับหมวดกล้าที่จัดการพวกลูกน้องเสี่ยเผิงและหมวดกล้าเป็นคนตั้งระเบิดไว้ครับ เสี่ยเผิงถูกจัดการไปแล้วพร้อมกับแรงระเบิดครับ ส่วนของกลางถูกขนออกมาไว้หมดแล้ว”

“หมวดกล้าไม่ได้ตายหรอกหรือ” หมวดอิฐขมวดคิ้ว

“ยังครับ หมวดกล้าถูกยิงก็จริงแต่แค่เฉียดครับหลังจากนั้นก็ตกน้ำพวกมันจึงคิดว่าหมวดกล้าตายแล้ว”

“อืม ขอบคุณมากแล้วก็ฝากจัดการพวกนี้ด้วย”

“ครับ!!” นายตำรวจรีบเข้าไปจับพวกลูกน้องที่เหลือก่อนที่หมวดอิฐจะเดินไปทางหมวดสิงห์และหมวดไฟที่ยืนจ้องหน้ากันเหมือนทะเลาะกันก็ไม่ปราย

“มันเสี่ยงอันตรายก็จริงแต่ผลลัพธ์มันก็ดีไม่ใช่หรือไง” สิงห์อธิบายให้คนรักฟังเพราะไฟห่วงจนกลายมาเป็นทะเลาะกันเสียได้

“โดยเอาชีวิตตัวเองมาเป็นหมากให้พวกมันรุมเนี่ยนะ แล้วที่กลับบ้านดึกก็เพราะแบบนี้ใช่ไหม” ไฟมือไม้ชี้มั่วซั่วด้วยความโกรธ

“เอาล่ะ ๆ ทะเลาะอะไรกันน่ะ ตอนนี้ก็ไม่มีใครเป็นอะไรก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง” หมวดอิฐมองทั้งคู่สลับกันนึกชื่นชมที่ทั้งคู่เป็นเพื่อนที่ห่วงกันขนาดนี้...

ไฟยังคงคุกรุ่นแต่ก็ต้องพรูลมหายใจยิ่งเห็นแผลตามเนื้อตัวคนรักก็ไม่อยากพูดอะไรมากก่อนจะเดินออกไป

“ไฟอยู่ในทีมคงรับอารมณ์หนักนะครับหมวด” สิงห์หันมายิ้มให้หมวดอิฐที่อายุมากกว่าและอยู่มาก่อนนานแล้ว

“ไม่หรอก เขาเป็นลูกทีมที่ดีคนหนึ่งเลยนะ” หมวดอิฐยิ้มก่อนจะร้องอ้อ “แล้วตกลงเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ล่ะหมวด”

สิงห์พยักหน้าก่อนจะเล่าทุกอย่างให้ฟัง ที่จริงแล้วก่อนหน้านี้สิงห์ได้รับมอบหมายให้จับตาดูเสี่ยเผิงเป็นคำสั่งส่วนตัวมากจากท่านอธิบดีหลวงกฤษติภพ สิงห์เลยเป็นหัวหน้าทีมปฏิบัติการกวาดล้างพวกเสี่ยเผิง โดยให้หมวดกล้าไปเป็นสายด้วยการปลอมตัวและยังได้รับความช่วยเหลือจากคนภายในเพราะหมวดกล้าได้ช่วยเหลือและรู้จักกับคนภายในอยู่เยอะ

หลังจากนั้นไม่นานก็รู้แหล่งเก็บฝิ่นของเสี่ยเผิงและลูกน้องของเสี่ยเผิงว่ามีกี่คน หลังจากนั้นก็จะจัดฉากเป็นว่ากล้าถูกจับได้และถูกยิงแต่แท้จริงแล้วคนยิงคือคนภายในที่สิงห์ขอให้ช่วยเหลือเรื่องนี้ แต่เรื่องนี้คนในทีมรู้แค่จ่านิดเพื่อให้ตบตาพวกมันได้

หมวดกล้าถูกยิงไปอาทิตย์หนึ่งเพื่อจะรักษาตัวและกลับมาคุยกับสิงห์ ในวันนั้นคนภายในที่เป็นสายให้แทนก็บอกว่าเสี่ยเผิงกำลังจะบุกหมู่บ้านใกล้ ๆ เพื่อจะเพิ่มพื้นที่ตัวเองในวันนี้

สิงห์เลยเรียกรวมตัวคนในทีมบอกแผนทั้งหมดทั้งเก่าและใหม่ให้คนในทีม แผนใหม่คือให้สายภายในและหมวดกล้าขนของกลางออกไปก่อนรวมถึงบอกชาวบ้านในละแวกนั้นไปด้วย เมื่อคืนนั้นพวกมันจัดงานเลี้ยงหลังจากที่ขายฝิ่นได้ดิบได้ดีเพราะเสี่ยเผิงมันจะอารมณ์ดีมากหากขายของได้และจัดงานเลี้ยงเสมอ

ที่นั่นจึงเสียงดังไปด้วยเสียงดนตรีจึงไม่รู้และไม่ได้ยินว่าสิงห์และคนในทีมไปช่วยชาวบ้านออกมาและก็ตามด้วยขนของกลางออกมา ไม่แปลกที่ไฟโกรธเพราะเมื่อคืนเขากลับบ้านเกือบเช้า

ทุกอย่างเตรียมมาเสร็จเรียบร้อยสิงห์จึงบอกให้จ่านิดมาบอกว่าหมวดกล้าถูกยิงตายแทนการบอกว่าที่จริงแล้วหมวดกล้าติดตั้งระเบิดเสร็จแล้วต่างหาก ทีมสิงห์จึงเตรียมบุกแล้วให้จ่านิดเปลี่ยนเสื้อผ้าลงจากรถไปก่อนเพื่อจะได้ไปหาหมวดกล้ากับสายภายใน จัดการลูกน้องเสี่ยเผิงที่คอยคุ้มครองมันในบ้านแต่ก็จัดการง่ายดายเพราะแต่ละคนเมายังไม่สร่างดี ส่วนสิงห์และนายตำรวจอีกสองคนมาเป็นตัวหมากที่เอาชีวิตมาเสี่ยงเพื่อให้พวกมันตามพวกเขามาเยอะ ๆ

ที่จริงพวกมันที่ตามมามีเกือบสิบกว่าคนสำหรับสิงห์คงจัดการได้ไม่ยากแต่เพราะต้องยื้อเวลาไว้รอให้ได้ยินเสียงระเบิดถึงจะเอาจริง แล้วก็คิดไว้แล้วว่าต้องมีคนตามมาช่วยเพราะแจ้งท่านอธิบดีไว้แล้วว่าจะให้นายตำรวจในกรมออกมาเพื่อจะได้ขนของกลางและดูเสริมว่ามีชาวบ้านหลงเหลือไหม เพราะทีมเขาไม่กี่คนคงดูไม่ไหว

อีกอย่างพวกมันยังไม่เตรียมตัวจะไปบุกจึงสกัดไว้ทันเพราะหัวหน้ามันยังนอนเมาอยู่เลยส่วนลูกน้องที่คอยคุ้มครองก็นอนเมาไม่ต่างกันจึงง่ายต่อการจัดการพวกมันในตอนนี้

และในบ้านมันเองอาจมีเด็กและคนโตที่ถูกจับให้รับใช้โดยไม่เต็มใจ เพราะอย่างนั้นสิงห์จึงไม่อยากให้หมวดกล้ากดระเบิดในทันที จะให้เข้าไปช่วยเหลือคนพวกนั้นก่อนถึงจะกดระเบิดฆ่าไอเสี่ยเผิงโดยไม่คิดจะจับเป็น เนื่องจากมันถูกหมายหัวให้จับตายได้จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไว้ชีวิต ท่านอธิบดีก็อนุญาตแล้วและจะรับผิดชอบด้วยตัวเองเพราะเสี่ยเผิงมันชั่วจนหาคำบรรยายความชั่วของมันไม่หวาดไม่ไหว

คนแบบนี้กฎหมายก็ไม่อาจทำอะไรได้หรอก

“ท่านอธิบดีคงไว้ใจคุณมาก ๆ ถึงสั่งงานใหญ่แบบนี้” หมวดอิฐยิ้มบาง ๆ

แต่สิงห์กลับทำเพียงหัวเราะในลำคอ “ผมว่าที่สั่งงานหนักให้ทันทีอย่างนี้ไม่น่าจะใช่เพราะไว้ใจหรอกครับ”

พอได้ยินอย่างนั้นหมวดอิฐก็อึ้งไปเล็กน้อยแต่พอคิดตามก็พยักหน้า “ผมคิดว่าผลงานของคุณในตอนนี้คงจะแสดงให้ท่านเห็นแล้วล่ะครับ”

“ก็ขอให้เป็นอย่างนั้นครับ” สิงห์ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะไปตรวจดูอะไรอีกนิดหน่อยและดูอาการของลูกทีมตัวเองแต่ละคนที่สะบักสะบอม บางอย่างมันอาจง่ายสำหรับบางคนแต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่คิดว่าง่าย สิงห์ลูบบ่าลูกทีมทุกคนพูดขอบคุณซ้ำ ๆ ที่เสี่ยงอันตรายด้วยกัน ถึงแม้ว่าบางคนจะเข้ามาเพราะถูกท่านอธิบดีสั่งและอคติเขามาก่อนอย่างกล้าและตำรวจอีกสองนายที่อยู่กับเขาแต่พออยู่ด้วยกันนาน ๆ ก็เริ่มเปิดใจและเคารพเขากันมากขึ้น

“รีบรักษาตัวเถอะ ทั้งจ่าเฉิ่มแล้วก็จ่าตาลด้วย”

“โธ่หมวดครับ พวกเราแทบไม่เป็นอะไรเลยเพราะหมวดจัดการเองหมดพวกเราก็แค่ช่วยยิงสกัดบ้าง ไหนจะเอาแต่หลบแล้วเปลี่ยนกระสุนให้ไม่ได้ช่วยยิงเลยสักนิด ถ้าหมวดเป็นอะไรพวกผมคงโทษตัวเองไปจนวันตาย”

“ฮ่า ๆ จ่าอย่าคิดมาก ผมว่าก็ยังดีกว่าให้ลูกน้องต้องมาตายนะ” สิงห์ตบบ่าจ่าเฉิ่มก่อนจะเดินไปหาจ่านิดและหมวดกล้าที่เดินมาพร้อมกับสายภายในสองสามคน

“บาดเจ็บกันตรงไหนไหม” สิงห์รีบถามไถ่

“พวกเราไม่เป็นอะไรหรอกครับทางหมวดเถอะที่เอาชีวิตมาเสี่ยงแทนแบบนี้เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” จ่านิดนึกห่วง ไอ้พวกเขาก็แค่ติดตั้งระเบิดกับจัดการคนเมาเท่านั้นไม่ได้ปะทะอะไรจริงจังเท่าที่นี่

“แผลมดกัดน่ะ” สิงห์มองตามเนื้อตัวที่มีรอยแผลเล็ก ๆ น้อยจากการต่อยตีกับลูกน้องเสี่ยเผิงบางส่วนแล้วก็แผลถูกยิงเฉียด ๆ ที่ไหล่ซ้ายนอกนั้นก็ไม่มีอะไรมาก ส่วนลูกน้องอีกสองก็ไม่ต่างกันเท่าใดนัก

“ยังจะทำเก่งอีก” หมวดกล้าขมวดคิ้ว “รีบทำแผลเถอะหัวหน้า ไม่อยากเห็นคนนอนซมโรงบาลเดี๋ยวก็ไม่ได้ทำงานพอดี”

สิงห์อมยิ้มบาง ๆ เห็นหมวดกล้าหันหนีก็ได้แต่หัวเราะ เป็นห่วงแต่ปากแข็งอยู่เรื่อย

“ก็ควรจะไปรักษาได้แล้ว” เสียงทุ้มดังเข้ามาใกล้ ๆ ก่อนจะพูดอะไรสิงห์ก็ถูกดึงแขนให้เดินตาม

“ไฟใจเย็น ๆ สิ”

“ยิ้มให้มันหวานเชียวนะ แผลเผลอน่ะไม่ต้องรักษาแล้วมั้ง” ไฟหน้าขุ่นถึงจะหึงแต่ก็ไม่กล้าบีบข้อมือคนรักหรอกได้แต่จับเบา ๆ ดึงเบา ๆ เพราะเพียงแค่นั้นสิงห์ก็เดินตามอย่างว่าง่ายแล้ว

“ยิ้มหวานที่ไหนกัน” สิงห์หัวเราะ

“ยังจะหัวเราะอีก” ไฟมองเขม่นก่อนจะพาหลบมุมหลังจากเดินออกมาได้ไกลแล้ว ไม่พูดพร่ำทำเพลงร่างสูงดันคนรักให้ติดผนังก่อนจะก้มลงจูบที่กลีบปาก

“อื้อไฟ เดี๋ยวคนเห็น” สิงห์ผละหน้าหนีใช้มือดันอกคนรักไว้

ไฟยอมอ่อนลงง่าย ๆ ก้มเอาหน้าแนบลำคอพร้อมกับกดจูบเบา ๆ อย่างหวงแหน “เป็นห่วงมากเลยนะ.. รู้ไหม”

สิงห์ใจเต้นแรงอย่างไม่เคยชินสักที กอดคนรักไว้แล้วจูบที่ปลายหู “ขอโทษนะที่ทำให้ห่วงขนาดนี้”

“รู้ว่าทำคนอื่นห่วงก็เพลา ๆ ลงบ้างนะเรื่องเสี่ยงอันตรายน่ะ” ไฟบ่นผละหน้าออกมาพร้อมกับยกมือเกลี่ยฝุ่นออกจากแก้มคนตรงหน้า

“จะพยายามนะ”

“ไม่จะพยายามสิ ต้องทำ” ไฟทำหน้าดุแต่ก็หมองลงอีกครั้งที่เห็นรอยโดนยิง

“เข้าใจแล้ว”

“ไปหาหมอเถอะ มัวแต่ยิ้มให้ชายอื่นเดี๋ยวเลือดก็หมดตัวพอดี”

สิงห์หัวเราะ “ยังไม่จบอีก ใครกันแน่ที่จะทำให้เลือดสิงห์หมดตัวกันน่ะ หื้อ”

คนขี้หึงยักไหล่แล้วรีบพาคนรักไปหาหมอ ถึงแม้สิงห์จะบอกว่าเดี๋ยวไปพร้อมกับลูกน้องก็ได้ไฟก็เหมือนไม่ฟัง แต่ก็ขับรถวนกลับไปรับลูกน้องที่บาดเจ็บขึ้นไปด้วยกัน

หลังจากจบงานนี้สิงห์ก็ได้รับความชื่นชมและลงข่าวหน้าหนึ่งชื่อของหมวดสิงห์ก็ดังไปทั่วพระนคร ได้รับความไว้วางใจจากคนในกรมมากขึ้น ท่านอธิบดีเองก็เริ่มไว้ใจจากการได้คุยกับสารวัตรอนงค์ที่มาช่วยพูดเรื่องสิงห์อีกแรง

ท่านอธิบดีจะจัดแจงลูกน้องในทีมสิงห์เพิ่มแต่สิงห์ก็ขอเพียงคนเดิมเท่านั้น

จวบจนทำงานในพระนครได้ครบนักเรียนนายร้อยทำการก็ได้รับยศร้อยตำรวจตรีเต็มตัวกันทุกคน แต่หลังจากผ่านไปอีกหลายเดือนสิงห์ก็ถูกส่งให้ไปช่วยที่อ่างทองโดยการเป็นสารวัตรที่นั่น นนท์ไม่ได้ถูกย้ายไปไหนยังคงทำงานที่กรมนครบาลเหมือนเดิม ส่วนไฟและจันถูกส่งไปสุราษฎร์ฯ ด้วยกัน



มีต่อนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-09-2020 10:50:01 โดย IMYean. »

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
ต่อจากบทที่ ๙


ปี ๒๔๗๘

เสียงคลื่นกระทบดังไปทั่วกลิ่นไอเกลือลอยเข้าแตะจมูก ชายหนุ่มในชุดธรรมดาเหมือนชาวบ้านในพื้นที่พร้อมกับหมวกสานที่ปิดหน้าไว้ยังคงกรนเสียงดังกลางเปล เด็กน้อยในพื้นที่วิ่งเล่นกันสนุกสนาน หมู่บ้านนี้สงบขึ้นเยอะหลังจากได้ตำรวจดี ๆ มาอยู่

“ไอ้ไฟ! ไอ้ไฟเว้ย!” จันเท้าสะเอวมองเพื่อนสนิทที่นอนไม่สนอะไรเลยก่อนจะนึกอะไรออกก็ยกขาขึ้นแล้วถีบเข้าสีข้างของมันจนตกเปล

“โอ๊ยยย ใครวะ” ไฟหยิบหมวกสานมาสวมลุกขึ้นจ้องไอคนถีบ “คนกำลังหลับสบาย ๆ ไอ้ห่านี่”

“อ่าว ๆ ไอ้นี่ กูอุตส่าห์มาตามไปแดกข้าว พี่อนัสให้เมียทำกับข้าวไว้ให้น่ะ ถ้าไม่อยากมาก็อดไปนะเว้ย” จันบ่นอุบอิบเดินออกไปก่อน ไฟทำหน้าเซ็งแล้ววิ่งไปล็อกคอเพื่อนต่างคนต่างแกล้งกันกว่าจะถึงบ้านพี่อนัสชาวบ้านในพื้นที่ก็ยิ้มอย่างเอ็นดูตำรวจหนุ่มทั้งสองที่มาสร้างสีสันให้ที่นี่

“อ่าวมา ๆ มากินข้าว” พี่อนัสพูดภาษากลางแปร่ง ๆ เพราะถึงจะมาอยู่หลายเดือนแล้วสองตำรวจหนุ่มก็ยังไม่คุ้นชินภาษาใต้ ทุกคนจึงพูดภาษากลางบ้างใต้บ้างเล็กน้อยเวลาคุยอะไรผู้หมวดทั้งสองจะได้เข้าใจด้วย

“เนือยอย่างแรงแลยพี่” จันที่เริ่มเข้าใจจึงพูดไป

“ฮ่า ๆ เอาสิ เมียข้าทำไว้เพียบ นี่น้ำชุบ”

“อ่อน้ำพริก” จันชี้พอพี่อนัสพยักหน้าก็ดีใจใหญ่

“แหมก็ชี้ให้ดูว่าเป็นน้ำพริกใครบ้างล่ะจะไม่รู้”

“ไอ้ไฟ มึงเงียบไปเลย”

“เออจะว่าไป นี่หัวเช้ามีใครเจอไอ้ก้งบ้างไหมนิ ทุกทีมันจะไปส่งปลาที่ตลาด แต่ไม่มีใครเห็นมันเลย” พี่อนัสถามด้วยความนึกห่วงน้องชายตัวเอง

“ไม่เห็นนะพี่ ผมตื่นมาก็ออกมานอนรับลมต่อที่เปลใต้ต้นมะพร้าวตรงนู้น” ไฟบอกแล้วชี้ไปที่นอนของเขา

“เออคงเห็นแหละตื่นแล้วแทนที่จะไปตรวจอะไรสักนิดแต่เสือกมานอน” จันส่ายหัวแต่ก่อนที่เพื่อนจะเถียงอะไรต่อก็พูดขึ้น “เมื่อเช้าก็ไม่เห็นเหมือนกันพี่ ผมไปตรวจดูแถวท่าเรือแล้วก็ที่ตลาดก็ไม่เจอไอ้ก้งเลยนะพี่” เนื่องจากก้งอายุน้อยกว่าพวกเขาเล็กน้อยจึงสนิทกันมากพอควร

“เฮ้อ เริ่มขวยใจมันแล้ว” ไฟกับจันหันมองหน้ากันก่อนจะก้มตักข้าวยัด ๆ ใส่ปากด้วยความเร่งรีบพร้อมกับลุกขึ้นเพื่อจะได้ไปตรวจดูที่อื่น

“พี่นัส ๆ ๆ” เสียงชาวบ้านหนุ่มเรียกมาแต่ไกลยิ่งทำให้ไฟกับจันเริ่มกังวลเพราะหน้าตาของคนนี้ดูไม่ดีเสียด้วย

“ไอ้ไหร? ฉาวมาแต่ไกลเลยนิ”

“ไอ้ก้ง ๆ ๆ”

“ไอ้ก้งมันพรื๋อ”

“ไอ้ก้ง หลังตลาด ๆ”

พี่อนัสไม่รอให้มันพูดจบเพราะมันตกใจแล้วพูดไม่รู้เรื่องจึงเดินเข้าไปในบ้านหยิบปืนลูกซองออกมา

“ผมไปด้วย” ไฟขอแล้วรีบไปที่พักหยิบอาวุธปืนไปด้วย

ทั้งตลาดคนไม่ค่อยเยอะสักเท่าไหร่แถมยังดูว่าง ๆ เห็นคนยืนมุงข้างหลังตลาดทั้งสามคนก็เดินเข้าไปด้านในทันที

“ไอ้ก้ง!” พี่อนัสร้องเสียงหลงวิ่งเข้าไปวางปืนลงแล้วดึงตัวน้องชายตัวเองขึ้นมาตามตัวมีแผลเต็มไปหมด ใบหน้าคมเข้มนิ่งสนิทจนน่าหวั่น

“ใครมาเห็นไอ้ก้งเป็นคนแรก” จันตะโกนถามทันที

“ฉัน ๆ ฉันเอง” หญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาด้วยความหวาดกลัวแต่ก็บริสุทธิ์เพราะมาเห็นก่อนจริง ๆ

“ได้เห็นใครน่าสงสัยไหม”

“ไม่มีจ้ะ ฉันมาถึงก็เจอพี่ก้งนอนหมดสภาพอยู่เลยตะโกนเรียกคนให้ช่วย”

“พี่อนัส” ไฟก้มมองคิ้วขมวดมุ่น

“เออ ไอ้เสือเม็ด” พี่อนัสกัดฟันกรอดก่อนจะสั่งชาวบ้านที่ตัวเองดูแลสองสามคนแบกน้องชายกลับไปที่บ้าน “หมวดช่วยที”

ไฟพยักหน้าทันทีรวมถึงจันเองก็ด้วยตำรวจหนุ่มทั้งสองจึงเดินตามพี่อนัสไปเขตของเสือเม็ดที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลมากเพราะเขตนี้แบ่งพื้นที่ระหว่างของพี่อนัสกับเสือเม็ดโจรใต้ที่ยังไม่มีใครกำราบลงได้เพราะมีคาถาอาคม

“ไปกันแค่สามคนจะไหวหรือ” จันเอ่ยถามขึ้นมา ขนาดคนปกติเจอสี่คนก็ยังจะไม่ไหว นี่เกือบสิบคนแล้วยังมีคาถาอาคมอีก ไปถึงไม่โดนยิงตายก่อนหรือไง

“เออลืมไป ตั้งแต่มายังไม่เคยปะทะกับพวกมีของเลยไม่ได้ให้” ไฟพูดขึ้นก่อนจะควักเอากระสุนที่สักลงของออกมาสามนัดและตะกุดอีกอัน

“มึงไปเอาของพวกนี้มาจากไหนวะ กูคิดว่ามึงจะไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ซะอีก” จันรับตะกุดกับกระสุนมา

“สิงห์ให้มาน่ะ บอกว่าโจรใต้ของแรงก็เลยยกของพวกนี้ให้ พระอาจารย์ที่เคยสอนสิงห์ตั้งแต่เด็กท่านก็ให้มาอีกที” ไฟคลี่ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเอาตะกุดตัวเองยกเหนือหัวท่องบทสวดตามที่สิงห์สอนมาพร้อมกับเอาสายคาดตะกุดมาคาดเอว “ท่องบทสวดตามกู”

จันพยักหน้าระหว่างที่เดินกันอยู่จันก็ทำตามเพื่อนทุกอย่างแล้วเอาสายคาดตะกุดมาพันรอบเอว “จะได้ผลหรือวะ”

“ในโลกนี้ไม่มีคนยิงไม่เข้าฟันไม่เข้าหรอก ของที่มีก็ทำแค่หนังเหนียวแต่ก็ยังคงช้ำในได้อยู่ดี เพราะฉะนั้นอย่าประมาท” ไฟพูดลอกตามที่คนรักเคยพร่ำบอกก่อนมาที่นี่อย่างไม่มีผิดเพี้ยน

“แล้วกระสุนล่ะ”

“เอาไปก่อนเผื่อฉุกเฉินก็ยิงเลย นี่มีด” ไฟหยิบมีดที่ปลายดาบมีอักขระสลักไว้อยู่

“อีกนิดกูจะคิดว่ามึงเล่นของแล้วนะ”

ไฟหัวเราะ อยากจะบอกว่าที่จริงสิงห์จะให้มาเยอะกว่านี้เพราะเป็นห่วง ถึงมันจะแล้วแต่คนเชื่อแต่สิงห์ก็คิดว่าดีกว่าไม่มีอะไรมาเลย เพราะอย่างน้อยในเมื่อสู้กับคนมีของก็ต้องเอาอาวุธที่ปลุกเสกไปสู้

“เอาไปใช้หากต้องปะทะตัว ๆ”

“ก็ว่าอยู่ทำไมมึงพกทั้งปืนทั้งมีดแถมเอาไปเยอะเหมือนรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

ไฟยักไหล่ “แค่สังหรณ์ใจไม่ดีตั้งแต่พี่อนัสถามเรื่องไอ้ก้งแล้ว ในถิ่นนี้ถ้าใครจะมาทำร้ายชาวบ้านก็มีแต่พวกไอ้เสือเม็ดที่เรายังจับกันไม่ได้นั่นแหละ”

“เฮ้อ ก็ขอให้แทงหรือยิงใครเข้าสักคนเถ๊อะ สาธุ”

“ไม่ต้องกลัวผู้หมวดจัน มีแค่ไอ้เสือเม็ดกับลูกน้องมันสองคนที่มีของ นอกนั้นก็แค่พวกปลาซิวปลาสร้อย”

“พี่อนัสพูดขนาดนี้พวกฉันก็ชื่นใจ” จันพูดยิ้ม ๆ ถึงแม้จะหวั่น ๆ อยู่ก็ตาม

“เอาล่ะ ถึงแล้ว” พี่อนัสพูดเสียงเบาแล้วพาย่องอ้อมไปอีกทางเพื่อปีนข้ามรั้วเหล็ก ดีที่เคยมาปะทะกับมันมาครั้งหนึ่งจึงรู้พื้นที่ดี

“ด้านหน้าสี่ ข้างในสาม” ไฟที่สอดส่องมาตั้งแต่ข้างหน้ายันอ้อมมาตรงนี้ก็สอดส่องข้างในโกดังที่พวกมันอยู่

“ในหมายจับขึ้นรูปแค่สามคน แต่ว่าที่จริงพวกมันมีกันแปดคน” จันเอ่ยบอกหลังจากที่เคยอ่านประวัติไอ้พวกนี้มา

“อีกคนหนึ่งคือไอ้เสือเม็ดงั้นหรือ”

“คงใช่ แต่มันไม่ได้อยู่ที่นี่” พี่อนัสขมวดคิ้ว “ระวังไอ้คนที่ขึ้นหมายจับให้ดี ๆ ผู้หมวดทั้งสองคงเคยเห็นแล้วใช่ไหม”

“ครับพี่” ไฟตอบเพราะหนึ่งในสามคนนั้นที่อยู่ในโกดังมีหน้าขึ้นหมายจับ ส่วนหนึ่งในสี่คนด้านหน้าทางเข้ามีหน้าขึ้นหมายจับเหมือนกัน

“พวกเอ็งไปจัดการสี่คนนั้นไหวไหม ฉันจะไปจัดการสามคนนั้น”

“เดี๋ยวพี่ มันตั้งสามคนนะแถมหนึ่งในนั้นมีของแล้วไหนจะหัวหน้ามันอีกไม่รู้ว่าหายไปไหนพี่จะไหวหรือ” จันรีบห้ามเพราะดูยังไงทางเราก็เสียเปรียบเห็น ๆ

“ไม่ต้องห่วง” พี่อนัสพูดขึ้นแล้วถกเสื้อให้เห็นลายสักที่หลังพร้อมกับถกแขนเสื้อให้เห็นรอยสักที่แขน “ข้าก็เล่นของ สำนักเดียวกับไอ้เสือเม็ด เป็นศิษย์พี่”

จันอ้าปากค้างแกไม่เคยบอกเรื่องนี้ให้ฟัง

“เอาไว้ข้าจะเล่าให้ฟัง พวกเอ็งไปจัดการสี่คนด้านหน้าเถอะ”

“ครับ” คราวนี้ตอบอย่างรวดเร็วแต่ไฟก็ยังพะวง ถึงบอกว่าต่อให้มีของแต่สามรุมหนึ่งแถมไหนจะหัวหน้าพวกมันที่ยังไม่โผล่แบบนี้อาจจะรู้ว่าเรากำลังมาและเตรียมแผนอะไรอยู่ก็ได้ “ระวังตัวด้วยนะพี่ ผมจะรีบจัดการและไปสมทบ”

“อืม ขอบคุณ” พี่อนัสตบบ่าไฟแล้วรอให้ทางไฟและจันไปก่อนเผื่อจะได้เรียกความสนใจแล้วใช้จังหวะนั้นยิงพวกมันสามคนด้านใน

ไฟชี้ให้จันอ้อมข้างโกดังไปฝั่งขวามือส่วนไฟก็จะอ้อมไปฝั่งซ้าย เดินเลียบทางมาจนถึงด้านหน้าก็กำปืนในมือแน่นแล้วเหวี่ยงตัวออกไปยิงพวกมันทันที

ปัง ๆ ๆ

“เฮ้ยมีคนบุก!” หนึ่งในคนด้านหน้าบอก เพื่อนถูกยิงไปคนหนึ่งก่อนจะยกปืนไปทางไฟแต่ทว่าก็โดนยิงกลางหลังเพราะจันออกมายิงมันแทน

ปัง ๆ ๆ

พลันเสียงปืนลูกซองก็ดังมาจากด้านในโกดัง ที่เป็นพี่อนัสที่ยิงพวกมันได้สองคนตามที่คำนวณไว้ แม้จะเหลืออีกคนที่ยิงไปก็ยังคงลุกมาได้ แม้จะช้ำในแต่ก็เหนียวพอควร

“พวกมันมาตอนไหนวะ แล้วมากี่คน” หนึ่งในคนที่ขึ้นหน้าหมายจับด้านหน้าตะโกนขึ้นมาอย่างหวาดหวั่น หลบด้านในโกดังเพื่อสอดส่องไอ้คนที่ยิงพวกตัวเองไปสองคน

“พี่เม็ดล่ะพี่ฉัตร ไหนบอกจะไปหานายแป๊ปเดียวไง” ลูกน้องไม่มีของถามเสียงสั่น

ฉัตรกัดฟันกรอด รู้แต่แรกแล้วว่านี่มันเป็นกับดักแต่ก็ยังเป็นหมาซื่อสัตย์รอให้พวกนี้มันมา “พี่เม็ดไม่กลับมาแล้ว”

“ว่าไงนะพี่!”

“พี่เม็ดเขาไม่กลับมาแล้วมึงได้ยินไหม!! พี่เม็ดเขาทิ้งพวกเราแล้ว!!!”

เพราะเสียงนั้นทำให้อนัสชะงักจึงถูกไอ้คนที่รอดถีบเข้าที่กลางอกแล้วเตะปืนลูกซองทิ้งจึงจำเป็นต้องสู้ตัวต่อตัวสถานเดียว

ไฟที่อยู่ด้านนอกสบถกับตัวเองที่มาเจอเรื่องแบบนี้ “ถ้าพวกมึงไม่อยากตายก็มอบตัวซะ! กูสัญญาว่าจะจับเป็น!” คงต้องมีแต่วิธีนี้เพราะพวกมันคงไม่อยากสู้ต่อแน่ ๆ

“ไม่เว้ย!”

แต่ก็เดาผิดคาดในเมื่อฉัตรตะโกนสวนกลับ

“มึงเป็นควายกันหรือไงวะ! ถูกหลอกใช้แล้วยังจะสู้ต่ออีก!” ไฟตะโกนด่าอย่างเหลืออด

ฉัตรไม่สนใจคำด่านั้นในเมื่อถูกทิ้งก็จะหนีด้วยตัวเองไม่ยอมถูกจับง่าย ๆ “เฮ้ยมึงน่ะ!”

“พี่ ช่วยผมด้วยนะ” มันร้องขออย่างน่าสมเพชแต่แทนที่จะสงสารฉัตรกับดึงตัวมันเดินออกไป ไฟที่แอบดูอยู่ก็รีบชี้ปืนไปทางนั้นทันที “พี่! ทำอะไร!”

ยังไม่ทันได้ตอบฉัตรก็ยิงไปทางไฟก่อนจะถูกยิงที่หลังจากอีกฝั่งถึงจะแสบ ๆ คัน ๆ แต่ก็หันตัวเพื่อนร่วมชะตากรรมไปทางจันจึงทำให้จันยิงโดนไอ้คนนั้นเต็ม ๆ

ไฟสบถอีกคราที่มันขายเพื่อนตัวเองก่อนจะใส่กระสุนที่สิงห์ให้ท่องบทสวดแล้วหันไปยิงมัน แต่มันก็ดูไม่กลัวเพราะคิดว่าเป็นแค่กระสุนธรรมดาจึงไม่ได้ใส่ใจเอาตัวเพื่อนมาบังอีก

ปัง

เพียงนัดเดียวลูกกระสุนก็เจาะทะลุลำคอจนจันที่เห็นด้านหน้ายืนนิ่งอย่างตกใจ

“อ้ากกกก” ยังไม่ทันได้พักหายเหนื่อยก็ได้ยินเสียงพี่อนัสร้องขึ้นมาไฟรีบวิ่งเข้าไปในโกดังทันที เห็นพี่อนัสนอนกุมหัวเข่าตัวเองพร้อมเลือดมากมาย

“พี่!” ไฟร้องเสียงหลงก่อนจะยิงไปที่ไอ้คนทำแต่เพราะสติหลุดไปชั่วครู่จึงทำให้ยิงเบี้ยวจนมันวิ่งเข้ามาปัดปืนตกได้

ปัง ๆ

“ไอ้ไฟ!” จันที่ตามมาทีหลังร้องเรียกหลังจากที่ลูกน้องเสือเม็ดคนนี้จ่อปืนของตัวเองยิงกลางอกของเพื่อนอย่างไม่รีรอใดใด

“หมวดไฟ” อนัสกัดฟันจะคลานไปเอาปืนลูกซองเพื่อจะยิงมันแต่มันก็วิ่งหนีออกไปทางข้างหลังอย่างรวดเร็ว

“ไอ้ไฟ ๆ ๆ ๆ” จันวิ่งเข้ามาช้อนตัวเพื่อนสนิทตบหน้าเบา ๆ เรียกสติ “ไอ้ไฟตื่นสิวะ” จันมือสั่น

“ตามหมอ” พี่อนัสเรียกสติเพราะคนที่ไปตามได้เร็วที่สุดคือจัน

แต่จันกลับควบคุมตัวเองไม่ได้เมื่อเจอสถานการณ์แบบนี้ “ไอ้ไฟมึงอย่าทิ้งกูนะเว้ย”

อนัสกำลังจะเตือนสติหมวดจันอีกครั้งแต่ก็ได้ยินเสียงคนทุบอะไรบางอย่างมาจากทางเข้าก่อนจะได้ยินเสียงคนมากมายเริ่มดังมาใกล้เรื่อย ๆ

“พี่อนัส!”

“หมวดไฟ! หมวดจัน!” เสียงคนเรียกดังมาแต่ไกลอนัสจึงยอมสงบลงก่อนที่ในโกดังจะวุ่นวายเมื่อชาวบ้านที่ตนดูแลต่างถืออาวุธเข้ามาไม่ว่าจะท่อนไม้ มีดอีโต้

“ไปตามหมอ” พี่อนัสพูดขึ้นจึงมีคนวิ่งออกไปตามให้

ถึงจะเสียดายที่พลาดไปคนหนึ่งและยังจะลูกน้องคนนี้ที่มีฝีมือเก่งพอดูไม่รู้ว่าเสือเม็ดไปได้มาจากไหน แต่ก็ดีที่ตอนนี้ไม่มีใครเสียชีวิต ไอ้ก้งก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว ส่วนจันก็เฝ้าดูอาการเพื่อนที่นอนซมเพราะช้ำในบริเวณที่ถูกยิง เพราะถูกยิงถึงสองนัดต่อให้เป็นตะกุดปลุกเสกมาก็ช่วยไว้ไม่ดีพอ ไฟไม่เคยสักไม่เคยเล่นของเป็นธรรมดาของคนที่เอาของปลุกเสกมาป้องกันตัวแล้วโดนครั้งแรกจะปรับตัวไม่ถูก

และมันไม่ขลังถึงขนาดที่ว่าช่วยเหลืออะไรมากมายเพราะตอนนี้ไฟเองช้ำในสาหัสต้องนอนพักหลายวันเลยก็ว่าได้

จนผ่านไปหลายเดือนไฟหายอาการบาดเจ็บจากการถูกยิงและเข้าสน.เพื่อจะคุยกับสารวัตเรื่องเสือเม็ดและลูกน้องคนสนิทที่ถูกฆ่าตายอย่างปริศนา ไม่มีใครรู้ว่าคนทำคือใครมีแต่ข่าวแว่วมาว่าเหนือไอ้เสือเม็ดยังมีนายใหญ่อีกคนที่แม้แต่คนในพื้นที่ก็ไม่มีใครรู้จักเพราะไม่เคยเห็นเสือเม็ดก้มหัวให้ใคร

ไฟต้องรออยู่สืบเรื่องคดีเสือเม็ดไปอีกนานเพราะมันน่าสงสัยและควรจะหาตัวไอ้นายใหญ่คนนี้ให้ได้โดยได้ความร่วมมือจากชาวบ้านในพื้นที่ที่คอยให้ข่าวหลาย ๆ อย่าง

ไม่รู้ว่าคดีนี้จะยาวนานแค่ไหนและจะได้กลับไปหาสิงห์ไหม...

เขาไม่รู้เลย…

 


จบบทที่ ๙

------------------------------------------------------------------
ใครรู้ภาษาใต้ช่วยแนะนำด้วยนะคะ น่าจะผิดเพี้ยนไปเยอะเลย
เรื่องของขลังเป็นความเชื่อส่วนบุคคล ควรใช้วิจารณญาณในการอ่าน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-09-2020 10:53:03 โดย IMYean. »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :pig4:
 :3123:
รออ่านต่อค่ะ
 o13

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
 

บทที่ ๑๐

ย้อนวัย : ให้ทั้งชีวิต


 
กรมตำรวจนครบาล พ.ศ. ๒๔๗๙

เข้าเดือนเมษาแดดก็ร้อนอบอ้าวซะจนเหงื่อกาฬไหลตามขมับไม่หยุดหย่อนยิ่งด้วยชุดราชการเต็มยศก็ยิ่งร้อนเข้าไปใหญ่ สิงห์ถอนหายใจเปิดเอกสารดูเรื่อย ๆ มาจนถึงคดีเสือเม็ดที่คนรักกำลังทำอยู่และส่งมาให้เขาที่กรมโดยเฉพาะ ตอนนี้ยังไม่รู้ข่าวคราวจากฝั่งสุราษฎร์ฯ มากนัก

เนื่องจากสิงห์ไปรับราชการที่อ่างทองจนได้รับคำชมจากชาวบ้านและคนในสถานีว่าเป็นตำรวจเก่งกาจและจัดการโจรร้ายในอ่างทองซะหมด ก่อนจะมาที่นี่ได้เข้าไปที่กรมตำรวจภูธรเขต ๑ เพื่อติดยศร้อยตำรวจเอกจากการทำความดีความชอบและรับราชการอย่างดีเยี่ยมจนเลื่อนตำแหน่งมาเป็นผู้กองสิงห์ที่หลาย ๆ คนคุ้นชินและเรียกบ่อยขึ้น

ถึงแม้ว่าจะเลื่อนตำแหน่งมาถึงสองขั้นที่ไม่เคยมีมาก่อนนั้นจะทำให้หลายคนสงสัย แต่เพราะยศร้อยตำรวจเอกเป็นการได้รับพระราชทานมากับที่เคยช่วยเหลือจังหวัดใกล้ ๆ อ่างทอง สิงห์เลยถูกเลื่อนขั้นเร็ว

เขาดีใจอยู่หรอกที่ได้เลื่อนขั้นแต่เลื่อนเร็วถึงสองขั้นกับอีแค่ผลงานปีกว่า ๆ มันไม่น่าภูมิใจสักเท่าไหร่ เขาอยากให้มันค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป ไม่อยากได้ยศเร็ว เพราะเขารู้ว่าการจะได้เลื่อนตำแหน่งมันยากลำบากแค่ไหน

จากที่คำดูถูกเคยสงบไปช่วงหนึ่งก็กลับมาเป็นประเด็นอีกครั้ง จนสิงห์คร้านจะใส่ใจจึงเปลี่ยนเป็นคิดแค่ว่าเราก็ทำงานของเราไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวทุกคนก็ยอมรับเอง เพราะยังไงซะคนก็เคยยอมรับมาครั้งหนึ่งแล้ว

“ผู้กองครับ” ดาบนิดก็ถูกเลื่อนขั้นเดินเข้ามาหาหัวหน้าตนเอง

“ว่าไง”

“มีจดหมายมาส่งครับ” ดาบนิดยื่นจดหมายให้ ก่อนจะพูดต่อ “แล้วก็... หมวดนนท์ฝากจดหมายอันนี้มาให้ด้วย” ว่าแล้วก็ยื่นจดหมายอีกฉบับให้

“หื้อ” สิงห์ขมวดคิ้ว จะว่าไปตั้งแต่กลับมาประจำที่นี่ได้อาทิตย์หนึ่งก็ไม่เห็นหน้านนท์เลย “ดาบนิดรู้ไหมว่าหมวดนนท์หายไปไหน เขาได้มาทำงานหรือเปล่า”

“เอ่อ…คือว่า” ดาบนิดทำหน้ากังวล

“มีอะไร”

ดาบนิดถอนหายใจเฮือกหนึ่งเพื่อเพิ่มความกล้าถึงจะพูดออกไป “หมวดนนท์มีลูกแล้วครับ หมวดเลยต้องดูแลภรรยาและลูกที่บ้าน แต่หมวดก็มาทำงานอยู่นะครับ แค่ว่าง ๆ จะออกไปที่บ้านเพื่อไปดูลูก”

“ห๊ะ!” สิงห์ลุกขึ้นทันที “เรื่องนี้นานแค่ไหนแล้ว”

“ก็ตั้งแต่สองสามเดือนที่แล้วครับ”

สิงห์กัดปากอย่างเครียดครั้นนิ้วเรียวเคาะโต๊ะอย่างใช้ความคิด “ตอนนี้หมวดนนท์อยู่ไหน”

“อยู่ที่ห้องครับ”

ผู้กองหนุ่มพยักหน้าเก็บจดหมายอีกฉบับที่น่าจะเป็นของคนรักไว้ในลิ้นชัก และหยิบจดหมายของเพื่อนสนิทออกไปด้วย ระหว่างทางก็คลี่จดหมายอ่าน เนื้อความด้านในบอกไว้อยู่แล้วว่าทางนนท์เกิดเรื่องนิดหน่อยแต่ไม่ได้บอกว่าเกิดเรื่องอะไร คงอาจจะไม่ได้มาต้อนรับเขากลับมาประจำที่พระนคร

สิงห์ถอนหายใจ ไปทำงานที่อื่นแค่ปีกว่าเรื่องรอบตัวก็หมุนเร็วซะจนแทบตามไม่ทัน พอมาถึงห้องของทีมหมวดนนท์ นายตำรวจคนหนึ่งก็กำลังออกมาพอดีจึงตะเบ๊ะทำความเคารพสิงห์แล้วเดินออกไป

“นนท์” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยเรียกเพื่อนสนิทที่นั่งก้มหน้าพิมพ์งานอยู่ ใบหน้าอิดโรยขอบตาดำคล้ำคล้ายคนไม่ได้นอน จากที่เป็นท่านชายสะอาดสะอ้านกลายเป็นคนนอนดึกไม่ดูแลตัวเองแบบนี้ได้ยังไง

“สิงห์...” นนท์ตกใจเล็กน้อยก่อนจะยิ้มบาง ๆ “คงรู้แล้วใช่ไหม”

“เรื่องมันเป็นยังไงนนท์ ทำไมถึงเป็นขนาดนี้”

นนท์มองรอบข้างก่อนจะพยักพเยิดไปทางข้างนอก “ไปร้านกาแฟกันเถอะ”

ผู้กองหนุ่มพยักหน้ารอเดินออกไปพร้อมกันจนมาถึงร้านกาแฟก็สั่งโอเลี้ยงคนละแก้ว ก็ยังดีที่คนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่

“ตกลงเรื่องมันเป็นยังไง”

นนท์คนโอเลี้ยงในแก้วแล้วนึกถึงเรื่องเมื่อปีก่อน “หลังจากที่พวกนายย้ายไปคนละที่ฉันก็คิดได้และไปบอกเด็จพ่อเรื่องปิ่นแต่ท่านกลับไม่เห็นด้วยและจะให้ฉันเสกสมรสกับลูกสาวเพื่อนพระองค์ให้ได้ ฉันเลยหนีออกมาข้างนอกออกมาหาปิ่นคุยกับเธอเรื่องนี้แต่เธอกลับบอกว่าให้ฉันไปเข้าพิธีขอหมั้น ฉันไม่รู้จะทำยังไง จนมารู้จากป้าที่เลี้ยงดูปิ่นว่าปิ่นท้องแต่ปิ่นสั่งไม่ให้บอกฉัน”

“นายเคย...”

“ใช่ บางวันฉันเหนื่อยจากงานเลยไปนอนที่บ้านปิ่นแต่ทุกอย่างก็จบตรงที่ฉันกับปิ่นนอนข้างกันในรุ่งเช้า ฉันทำด้วยรักและไม่เคยคิดข่มเหงรังแก ฉันคิดว่าจะขอคุยกับเด็จพ่อเพื่อจะขอปิ่นแต่งงานฉันถึงจะทำเรื่องแบบนั้น แต่มันก็ทำไปแล้ว เพราะฉันกลัว... กลัวว่าปิ่นจะหายไปเพราะเรื่องเสกสมรส และฉันคิดถูกเพราะเธอเก็บความลับเรื่องตัวเองท้องและจะหนีไป เพราะปิ่นคิดว่านั่นเป็นทางที่ดีที่สุดเพื่อจะได้ให้ตระกูลศุลภาณันท์ไม่มีเรื่องด่างพร้อย”

“แล้วตอนนี้ล่ะ”

“ฉันบอกเด็จพ่อเรื่องทำปิ่นท้อง แต่ท่านไม่เชื่อว่าลูกในท้องเป็นลูกของฉันเด็จพ่อดูถูกปิ่นจนฉันเก็บอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ ปากก็พาลหาเรื่องจนถูกไล่ออกจากวังตัดพ่อตัดลูกเด็ดขาดแม้แต่พี่ชายภัสกับหม่อมแม่ก็ช่วยไม่ได้ ฉันเลยต้องมาพักอยู่กับปิ่น พี่ชายภัสส่งเจ้าเฟื้องมาอยู่ด้วยเพื่อจะช่วยดูแลเพราะยังไงเฟื้องก็เป็นลูกศิษย์ปิ่นจึงช่วยพูดกับเธอทำให้เธอไม่คิดหนี ของใช้และอะไรหลาย ๆ อย่างที่อยู่ในบ้านเป็นของที่หม่อมแม่ซื้อมาเพื่อช่วยฉันอีกแรง”

“เฮ้อ นนท์นะนนท์” สิงห์คิดไม่ตก “แล้วตอนนี้คลอดแล้วใช่ไหมกี่เดือนแล้วตั้งชื่อหรือยัง”

“สามเดือนแล้วล่ะ ชื่อปราชญ์”

“เด็กผู้ชายหรือ”

“ใช่ แม่เขาตั้งชื่อให้น่ะ” พอพูดถึงแม่กับลูก นนท์ก็กลับมามีชีวิตชีวาทันที

“เย็นนี้ขอไปหาหลานได้ไหม”

“เอาสิ หลานคงอยากเห็นลุงสิงห์” นนท์หัวเราะ

สิงห์คลี่ยิ้ม “อย่าท้อล่ะ ไม่มีพ่อที่ไหนไม่รักลูกหรอก พระองค์ท่านต้องยอมอ่อนลงแน่ ๆ หากเจอหลาน” ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ก็ใช่ว่าพ่อแม่ทุกคนจะรักลูกจริง… เขาก็แค่ไม่อยากให้เพื่อนคิดมากจึงพูดออกไปอย่างนั้น

“อืม หม่อมแม่กับพี่ชายภัสมาดูหลานแล้วเหมือนกันพวกท่านต่างเอ็นดู หม่อมแม่ก็คุยกับปิ่นและคอยซื้อของดูแลปิ่นตลอด เหลือแต่เด็จพ่อเท่านั้น ฉันกำลังจะพาทั้งปิ่นและลูกไปแต่ขอให้อาการปิ่นดีขึ้นก่อน”

“ปิ่นป่วยหรือ”

“ใช่ เธอร่างกายอ่อนเพลียตั้งแต่คลอดลูก ตอนนี้ยังต้องรักษาอยู่โรงพยาบาล หม่อมแม่เลยให้ป้าบัวไปดูแลส่วนฉันก็ไปบ้างและต้องกลับมาดูแลลูกที่บ้าน จะเห็นสภาพฉันเป็นอย่างนี้ก็ไม่แปลก”

สิงห์พยักหน้าลูบบ่าเพื่อนอย่างนึกสะท้อนใจ “นายน่ะพักผ่อนเสียบ้าง ส่วนเรื่องลูกไว้ให้เฟื้องดูแลไปก่อน ตอนนี้เฟื้องเรียนอยู่ไหม”

“ปิดเทอมน่ะ”

“ก็นั่นแหละให้เฟื้องดูแลไปก่อนเดี๋ยวฉันไปช่วยดูลูกให้ก็ได้”

“ไม่เป็นไรหรอก ลูกคนเดียวฉันดูแลไหวอยู่แล้ว”

“เฮ้อ แน่หรือว่าคนเดียว.. ทั้งแม่ทั้งลูกไม่ใช่หรือ ต้องไป ๆ กลับ ๆ ทั้งโรงพยาบาลแล้วก็บ้านเลยใช่ไหม”

นนท์ได้แต่ยิ้มขืนแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร

“ไม่ต้องเกรงใจนะ ยังไงซะฉันอยู่บ้านคนเดียวก็เหงาไว้จะไปช่วยดูแลตอนคุณพ่อไปดูคุณแม่แล้วกันเนาะ”

“ขอบคุณนะ ฉันจะรีบกลับไปดูลูก”

“ไม่ต้องห่วง แม่คนก็ต้องการกำลังใจนาน ๆ” สิงห์บีบไหล่เพื่อนอีกหนเห็นมันน้ำตาคลอก็ได้แต่ยิ้มปลอบใจ

พอตกเย็นนนท์ก็ไปรับสิงห์ที่บ้านใกล้วังตนเองเนื่องจากสิงห์ไม่มีรถส่วนตัวเพราะไฟก็เอาไปที่สุราษฎร์ฯ และสิงห์ก็ไม่คิดซื้อเพราะมีจักรยานคู่ใจอยู่ที่บ้านไว้คอยปั่นไปทำงานทุกเช้า เวลาออกไปทำงานก็มีรถราชการให้อยู่แล้ว

“บ้านสวยจัง” สิงห์มองบ้านชั้นเดียวที่กว้างขวางและเป็นโทนสีพื้นอ่อน ๆ เห็นแล้วสบายตา

“หม่อมแม่สั่งทำสีบ้านใหม่น่ะแล้วก็เติมห้องนู้นห้องนี้อีกนิด”

“ดีเสียจริง” สิงห์ยิ้มบาง ๆ เดินเข้าไปในบ้านก็ได้ยินเสียงเด็กหัวเราะสองคน ทั้งคนโตและเด็กในเปล

“ท่ายชาย.. พี่สิงห์!” เพราะสิงห์อยู่ที่บ้านไม้นั้นนานและคอยไปเล่นกับบ้านใกล้เคียงหรือก็คือเฟื้องกับป้าบัวอยู่บ้านหลังใกล้ ๆ สิงห์จึงให้เฟื้องเรียกตนว่าพี่

“ว่าไงเรา”

“พี่สิงห์จริง ๆ หรือขอรับ” เฟื้องดีใจอย่างปิดไม่มิด

“ไม่ใช่ข้าแล้วจะเป็นใครวะห๊ะ” สิงห์เท้าสะเอว

“พี่สิงห์!” เฟื้องดีใจจะกระโดดเข้ามากอดแต่พอหันมองท่านชายนนท์ก็ต้องสงบปากสงบคำ “ขอโทษที่เสียงดังขอรับท่านชายนนท์”

“อะไรกัน ฉันยังไม่ได้ว่าอะไรเลย ตอนนี้ฉันก็แค่คนธรรมดาไม่ได้มียศถาบรรดาศักดิ์จะกลัวไปไย หรือต่อให้มีก็ไม่จำเป็นต้องกลัวเสียเลย”

“ก็... ป้าบัวบอกว่ามันไม่ดีหากคิดให้ท่านชายเสมือนคนต้อยต่ำอย่างกระผม”

“พูดเกินไปแล้ว” นนท์ทำหน้าดุใส่เด็กที่คิดว่าเป็นน้องชายมาตลอดเพราะเล่นด้วยกันบ่อย “อย่าได้คิดแบบนี้อีก เฟื้องคือน้องชายฉันไม่ใช่คนอื่นไกล”

เฟื้องเม้มปาก สะอึกสะอื้นเพราะถูกดุ “ฮึก ขะ..ขอรับ”

“นี่ไม่ต้องดุเด็กขนาดนั้นก็ได้ ดูซิร้องไห้โฮเลย” สิงห์หัวเราะเดินเข้าไปลูบหัวเฟื้องแล้วดันให้ซบอกตนเบา ๆ “ไม่ร้อง ๆ พี่นนท์ก็แค่ดุไปอย่างนั้นตามภาษาคนแก่ล่ะนะ”  สิงห์พูดเพื่อให้เฟื้องสบายใจเผื่อจะได้ชิน

“ไหนหลานฉัน ขอดูหน้าหน่อยซิจะเหมือนพ่อไหม” สิงห์เปรยขึ้นเฟื้องก็สงบลงวิ่งเข้าไปอุ้มเด็กน้อยในเปลขึ้นมาอย่างระมัดระวัง

“ชื่อน้องปราชญ์ขอรับ” เฟื้องบอกอย่างรวดเร็วแม้ดวงตาจะแดงก่ำ

“หื้อ ไหนขออุ้มหน่อย” สิงห์ค่อย ๆ ประคองเด็กน้อยเข้ามาในอ้อมอกก้มลงมองพร้อมกับพยักหน้าเล่นกับหลานชาย “ชื่อปราชญ์หรือครับ ชื่อเพราะเสียจริงเหมาะกับหนูมากเลยครับหลานชาย”

เด็กน้อยไม่ประสีประสาได้แต่ร้องแอ๊ะ ๆ ใส่ลุงสิงห์ มือเล็กปัดป่ายไปมา สิงห์จึงก้มให้เด็กน้อยจับปาก คุณลุงก็แกล้งทำเป็นงับเล่น ๆ จนเด็กน้อยหัวเราะชอบใจ

“ดูท่าจะชอบนายนะ” นนท์พูดขึ้น

“จริงหรือ ดีใจจังเลยครับ” สิงห์หัวเราะเดินรอบห้องเพื่อเล่นกับหลาน

“แล้วนี่เฟื้องดูน้องคนเดียวหรือ”

“ขอรับ แม่บัวไปดูแลครูปิ่น กระผมเลยดูแลน้องปราชญ์แทน แต่ว่าพักเที่ยงหรือว่าว่าง ๆ ท่านชายนนท์ก็จะมาช่วยดูอีกแรง”

“เคยเลี้ยงเด็กหรือ”

“ขอรับ เลี้ยงลูกของญาติที่รู้จักเลยรู้ว่าต้องเลี้ยงยังไงหรือต้องทำยังไงเพราะแม่บัวก็พาเด็กที่ไหนไม่รู้มาให้เลี้ยงบ่อย ๆ” พอได้ยินอย่างนั้นผู้ใหญ่ทั้งสองก็หัวเราะเด็กหนุ่มจึงได้แต่เหลอหลาด้วยความงุนงง

“ดีแล้ว ๆ ถ้าเฟื้องเป็นคนเลี้ยงทั้งทีเด็กทุกคนต้องเติบใหญ่เป็นคนดีแล้วก็ได้ดิบได้ดีแน่นอน”

“แต่ว่าจริง ๆ นะขอรับ เด็กที่กระผมเคยเลี้ยงโตมาเป็นเด็กดีทุกคนเลยขอรับ อย่างไอ้แดงตอนนี้มันหกขวบแล้วพูดจ๊ะจ๋าน่ารักเชียวขอรับ แล้วก็น้องหยกก็เรียบร้อยแต่เด็ก...” ผู้ใหญ่ทั้งสองตั้งใจฟังเด็กหนุ่มพูดทุกคำด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มจากความเอ็นดู ไม่มีรำคาญและไม่เบื่อที่ได้ฟังเด็กคนนี้พูด

พลบค่ำนนท์ก็ไปดูแลภรรยาแต่เพราะมัวมาเกรงอกเกรงใจสิงห์ กว่าจะไปก็มืดค่ำเสียแล้ว สิงห์นอนแกว่งเปลน้องปราชญ์แทนเฟื้องที่หลับไปก่อนจากการดูแลมาทั้งวัน เจ้าเฟื้องก็อีกคนกว่าจะหลับก็ต้องมาเกรงใจเขาที่มาดูแลปราชญ์แทน สมกับเป็นพี่น้องที่ขี้เกรงใจเสียจริง

สิงห์หัวเราะในลำคอหลังจากที่คิดอะไรในหัว มือข้างหนึ่งอ่านหนังสือปรัชญาชีวิตที่ครูปิ่นมีเก็บไว้เพียบไม่แปลกหากเธอจะคิดอะไรที่ไม่น่าเชื่อ ถึงแม้บางข้อคิดของครูปิ่นเขาจะไม่เห็นด้วยแต่ก็นับถือใจผู้หญิงคนหนึ่งที่กล้าทำอะไรก็ตามอย่างไม่นึกหวั่นและตัดสินใจอย่างตรงไปตรงมา เขาเคยเจออยู่หลายครั้งตอนยังประจำที่พระนครเธอมีกิริยามารยาทที่งดงามแต่ทว่าก็แข็งแกร่ง เป็นผู้หญิงที่เก่ง ซึ่งผู้หญิงอย่างเธอคงหาได้ยากในสมัยที่ผู้หญิงต้องมารยาทอ่อนน้อมอย่างนี้

พอรุ่งเช้าสิงห์ก็งัวเงียตื่นขึ้นมาเพราะถูกปลุกเห็นนนท์ทำหน้ากังวลก็ถามไถ่พอรู้ว่าที่กังวลเพราะนนท์ไปเฝ้าภรรยาจนเผลอหลับป้าบัวก็ไม่กล้าปลุกจึงหลับยาวจนถึงเช้าตื่นมาอีกทีก็ต้องรีบกลับมาที่นี่

“ขอโทษนะ ฉันน่าจะรีบกลับมา”

“ก็บอกว่าไม่เป็นไรไง มันก็ได้ประสบการณ์ใหม่ดีนะ” ได้ตื่นมาดูหลานกลางดึกแบบนี้เริ่มเข้าใจคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่ต้องดูลูกเช้าค่ำไม่เว้นวัน แม้จะเหนื่อยแต่ก็เป็นอีกความสุขหนึ่งหากได้เลี้ยงเด็กจนเติบใหญ่ในทางที่ดีมันก็น่าจะภูมิใจไม่หยอก

“ถ้าเกิดไม่รบกวนมากไปถ้าอย่างนั้นให้ฉันมาอยู่เป็นเพื่อนเฟื้องไหมล่ะ ถ้าเกิดนายต้องไปดูปิ่นก็พักที่นั่นเสียเลย ฉันจะดูทางนี้เองไม่ต้องห่วง”

“ไม่ได้หรอก ลูกตัวเองจะให้คนอื่นมาลำบากลำบนได้ยังไง”

“คนอื่นที่ไหนกัน ฉันเป็นเพื่อนนายนะนนท์” สิงห์ทำหน้าจริงจังอยากให้เพื่อนพักผ่อนเสียบ้าง “อีกอย่างไฟเองก็ยังไม่กลับจากสุราษฎร์ฯเลย ฉันอยู่บ้านคนเดียวเหงาจะตาย”

“อย่างนั้นหรือ” นนท์คิดหนัก

“ไม่ต้องเกรงใจหรอก... ถ้าอย่างนั้นค่าเลี้ยงดูเป็นข้าวเย็นหลังกลับจากทำงานทุกมื้อก็ได้ ไอ้ฉันก็ทำกับข้าวไม่เป็นด้วยสิ”

“เฟื้องทำเป็นจ้ะ ให้เฟื้องทำให้นะพี่สิงห์” เด็กหนุ่มยกมือ เจ้าตัวตื่นก่อนพี่สิงห์ตั้งแต่ไก่โห่

“ดีเลยอยากชิมฝีมือพอดี แต่ว่ารอให้พี่กลับมาค่อยทำนะเพราะเดี๋ยวเอ็งทำก่อนจะไม่มีใครดูหลาน”

“จ้ะ” เฟื้องพยักหน้าหงึกหงักไม่ได้เข้าใจเลยว่าที่พี่สิงห์พูดเองเออเองก็เพื่อไม่ให้เพื่อนสนิทพูดขัด

“นายจะนอนที่นี่เลยหรือ”

“ก็ถ้าเจ้าบ้านไม่ว่าอะไรก็ขอรบกวนเสียหน่อย จะมานอนกับหลานที่ห้องนี่แหละ”

“มันจะลำบากนะสิงห์”

“โอ๊ยย ลำบากลำบนอะไรกัน อยู่แบบนี้ดีกว่าอยู่ที่บ้านเกิดเยอะ” สิงห์พูดไปหัวเราะไปแต่ดวงตากลับวูบไหวไปเล็กน้อย

“เข้าใจแล้ว” นนท์ฟังเรื่องนี้มาบ้างจึงไม่อยากพูดอะไรอีกได้แต่ขอโทษขอโพยในเรื่องวันนี้แล้วพาเพื่อนไปเปลี่ยนชุดที่บ้านเพื่อจะได้มาทำงาน แล้วก็ข้อแลกเปลี่ยนอีกอย่างคือพวกเสื้อผ้านนท์จะขอเอาให้คนไปซักและรีดให้เอง สิงห์จึงได้แต่จำยอมขนเสื้อผ้ามาอยู่บ้านเพื่อนแทน

ในวันนี้สิงห์ขอไปเยี่ยมปิ่นที่โรงพยาบาล เห็นเธอนอนอ่อนแรงจนน่าห่วงร่างกายซูบผอมจนไม่เหลือเค้าเดิม

“คุณสิงห์..” ปิ่นทักด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

“คุณปิ่นไม่เจอกันเสียนาน” สิงห์ยิ้มให้ก่อนจะหันไปยกมือไหว้ป้าบัวเธอจึงรับไหว้และยิ้มทักทายเล็กน้อยเขายกกระเช้าผลไม้วางไว้บนโต๊ะใกล้ ๆ

“กลับมาประจำที่พระนครแล้วหรือคะ” ถึงเธอจะอาการไม่ทรงตัวแต่ก็ยังคงพูดคุยได้ไม่น่าห่วงมาก

“ครับ พอดีว่าท่านอธิบดีขอตัวผมกลับมาทำงานที่นี่น่ะครับ เพราะมีเรื่องต้องทำหลายอย่าง”

“นนท์บอกแล้วว่าคุณสิงห์จะมาช่วยดูเจ้าปราชญ์ แบบนี้คงลำบากคุณสิงห์แย่เลย”

“ไม่เลยครับ ดีเสียอีกผมจะได้ไม่ต้องอยู่บ้านคนเดียว ผมน่ะอยากลองเลี้ยงเด็กบ้างเผื่อในอนาคตอาจจะได้อุ้มหลาน เผื่อมีจริง ๆ จะได้รู้เรื่องกับเขาบ้าง” ลูกของต้นอ้อนั่นแหละ... หากวันนั้นมีจริง ๆ นะ...

“ขอบคุณนะคะ ขอบคุณจริง ๆ” เธอยกมือไหว้จนสิงห์ตกใจได้แต่ทำอะไรไม่ถูกหันไปหาเพื่อนสนิทก็เห็นว่านนท์พยักหน้าเพื่อให้ยอมไปก่อน

“คุณปิ่นไม่ต้องไหว้ผมหรอกครับ” สิงห์รับไหว้อย่างรวดเร็ว “นนท์เป็นเพื่อนผมและเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ ที่ผมเป็น ผมต้องตอบแทนเขาบ้าง”

“แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณจริง ๆ นะคะ ลูกคงดีใจที่มีคนเอ็นดูแกเยอะเพียงนี้” เธอยิ้มเมื่อนึกถึงลูกชายก่อนจะจับมือสามีที่เลื่อนมากอบกุมกัน

สิงห์มองภาพนั้นด้วยรอยยิ้ม พ่อกับแม่ที่รักกันจากใจจริงและพ่อแม่ที่รักลูกชายด้วยความรักที่จริงใจและบริสุทธิ์ หนูปราชญ์โชคดีเสียจริงที่เกิดมาเป็นลูกของทั้งสองคนนี้ ต้องพูดเพราะกิริยามารยาทงามเหมือนพ่อ เข้มแข็งและเผชิญหน้าทุกอย่างโดยไม่หวั่นเหมือนแม่แน่ ๆ เลย

“คุณสิงห์อยู่ที่นั่นได้ตามสบายเลยนะคะไม่ต้องเกรงใจ ไม่ต้องจ่ายค่าอื่น ๆ หรอกค่ะ เดี๋ยวปิ่นจะให้นนท์จัดการเอง แล้วถ้าปิ่นหายดีปิ่นจะทำอาหารเลี้ยงขอบคุณ คุณสิงห์เองค่ะ”

“ไว้ผมจะรอนะครับ” สิงห์ยิ้มให้ อยู่คุยสักพักก็กลับไปที่บ้านนนท์เพื่อจะไปดูหลานแทนเฟื้อง

อยู่มาเนิ่นนานเวลาเฟื้องไปเรียนก็มีญาติสนิทของป้าบัวมาช่วยดูแลตอนทุกคนไปทำงานและเรียน พอตกเย็นก็เป็นเฟื้องและสิงห์ที่ดูแลต่อเป็นอย่างนี้เกือบปี อาการคุณปิ่นก็ดีขึ้นแต่ยังไม่สามารถออกจากโรงพยาบาลได้




*มีต่อนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-09-2020 10:55:57 โดย IMYean. »

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
*ต่อจากบทที่ ๑๐


มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๐

รถจิ๊บคันใหญ่ที่สภาพลุยโคลนไม่ได้ล้างมาค่อนปีขับไปตามเส้นทางในพระนครแขนล่ำในผิวสีแทนที่มีรอยแผลเล็กน้อย ๆ ตามจุดปรับเปลี่ยนพวงมาลัยอย่างไม่เร่งรีบ เสียงกรนหนัก ๆ ดังกรอกหูอยู่ร่วมชั่วโมงจนคนขับรถได้แต่ถอนหายใจ

ใบหน้าคมคายที่คล้ำแดดดูเข้มขึ้นกว่าแต่ก่อนหนวดเครามีบ้างประปรายเพราะไม่ได้โกนมาร่วมเดือน การไปประจำที่ภาคใต้คราวนี้ไฟกับจันก็เป็นอันที่รู้จักสำหรับคนที่นั่นและเป็นที่น่าไว้ใจ ไฟได้แผลมาเยอะพอควรไม่ว่าจะแขนหน้าท้องเพราะต้องสู้กับโจรใต้หลายคน หลังจากนั้นก็ถูกสั่งให้มาประจำที่พระนครจึงต้องกลับมาที่นี่

เพียงไม่นานก็มาจอดอยู่หน้ากรมตำรวจร่างสูงกำยำที่ผ่านอะไร ๆ มาหลายอย่างก้าวลงจากรถด้วยชุดราชการถึงจะไม่เรียบร้อยตรงที่ไม่ได้โกนหนวดให้ดี ๆ แต่ก็ไม่ได้ดูแย่ ไฟหันมองเพื่อนที่หลับไม่รู้เรื่องก็กดบีบแตรเพื่อให้มันสะดุ้ง

“อะไรวะ ๆ อะไร ๆ” จันพูดระรัวเช็ดน้ำลายข้างมุมปากไปพลาง

“ถึงแล้วโว้ย” ไฟทำหน้าเซ็งสวมหมวกเข้าที่หัว “ชักช้ากูไปก่อนละ”

“อ่าวเฮ้ย รอด้วยดิ” จันรีบวิ่งตาม

พอเข้าไปด้านในทุกคนก็ต่างมองทั้งสองเป็นตาเดียวก่อนจะมีนายตำรวจที่รู้จักมาทัก

“หมวดไฟกับหมวดจันใช่ไหม”

“อ้อใช่ครับ” จันพยักหน้าแล้วก็ถูกจับตัวหมุนไปมาเพราะทั้งคู่ดูสูงใหญ่ขึ้นและผิวที่คล้ำแดดก็ทำให้ดูน่าเกรงขามแปลก ๆ ยังจะรอยแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ ของไฟบวกกับใบหน้าที่ไม่ได้ยิ้มแล้วก็ยิ่งไม่มีใครกล้าทัก

“ไปเถอะ” ไฟบอกจันแล้วเดินนำไปที่ห้องอธิบดีเพื่อรายงานตัวหลังจากนั้นก็ไปที่ห้องรองอธิบดีที่เป็นท่านสั่งให้พวกเรากลับมาที่พระนครก่อนที่เรื่องเสือเม็ดจะเรียบร้อย

“ดีใจเสียจริงที่พวกนายกลับมาอย่างปลอดภัย โจรใต้เห็นบอกว่าน่ากลัวแต่ก็ยังถูกพวกนายจัดการได้ สมแล้วที่ฉันไว้ใจส่งไปที่นั่น”

“ขอบพระคุณมากขอรับ” ไฟยืดอกยืนตรง

“ไปพักเสียเถอะ ส่วนหมวดจันฝากเอาแฟ้มคดีเสือเม็ดมาด้วยแล้วกัน”

“ขอรับ” จันผงกหัวก่อนจะออกไปพร้อมกับไฟเพราะดันลืมเอาลงรถมาด้วย

“ถ้าเกิดหายขึ้นมานะซวยแน่” ไฟชี้หน้า

“โธ่ มึงก็ไม่ทักกูเรื่องนี้มึงก็ลืมเหมือนกันนั่นแหละ”

ไฟยักไหล่ไล่มันให้ไปเอาแฟ้มคดีมา ส่วนเขาก็เดินตรงดิ่งไปที่ห้องทีมผู้กองสิงห์ สอดส่องเข้าไปข้างในก็เห็นว่าสิงห์กำลังเปิดอะไรอ่านอยู่

ชายหนุ่มใจเต้นแรงอยากจะโผเข้ากอดเสียซะตรงนี้แต่ติดตรงที่ว่าทำไม่ได้จึงได้แต่ระงับตัวเองเดินไปหยุดหน้าโต๊ะนั้นมองคนที่ก้มหน้าขะมักเขม้นกับงานอย่างคิดถึงทั้ง ๆ ที่คนอื่น ๆ เริ่มออกไปทานข้าวกันแล้ว

“ไม่ทราบว่าผู้กองสิงห์ว่างหรือเปล่าครับ ไปทานข้าวด้วยกันไหม” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามพลันเห็นมือเรียวที่กำลังเปิดหน้ากระดาษชะงัก

สิงห์เงยหน้ามองอย่างตกใจหนังสือเล่มนั้นล่วงลงพื้นพร้อมกับผู้กองหนุ่มที่ยืนขึ้นด้วยความรวดเร็ว “ไฟ!”

ไฟหัวเราะมองคนในทีมสิงห์ที่หันมามองกันเป็นตาเดียวก็ยกนิ้วจรดริมฝีปาก “เบา ๆ สิครับ”

“ไฟ...” ผู้กองหนุ่มน้ำตารื้น คิดถึงเหลือเกิน

“อ่าว มานี่มา” ไฟอึ้งเล็กน้อยแล้วพาสิงห์ออกไปด้วยกัน พอมาถึงรถก็ไม่เห็นกระเป๋าเสื้อผ้าเพื่อน จันมันคงเอาลงไปแล้วเขาจึงเป็นสารถีขับรถพาสิงห์กลับไปที่บ้านเพราะจะได้เก็บของและกินข้าว

“ไฟ...” ผู้กองหนุ่มเม้มปากดวงตาเริ่มแดง

“ใจเย็น ๆ ไม่ต้องร้อง” แต่ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุพอพูดเสร็จสิงห์ก็ร้องไห้ออกมาทันที พอเห็นอย่างนั้นเขาก็หัวเราะแม้น้ำตาจะคลอเล็กน้อยเพราะคิดถึงมากเหมือนกันแต่ก็ไม่ได้ร้องออกไป “ไหนใครบอกนะว่าสักวันก็ต้องแยกย้ายทำงาน ต้องอยู่ให้ได้”

สิงห์กัดปาก “รู้แล้ว”

“หื้อ? รู้อะไร” ไฟเลิกคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ

“รู้แล้ว... ว่าห่างกันมันทรมาน”

“อายุเท่าไหร่แล้วฮึ ร้องไห้เป็นเด็กเลย” ไฟเอื้อมมือไปลูบผมสีเข้ม

“คิดถึง”

ไฟชื่นใจจนแทบหายเหนื่อย “พูดอีกซิ”

“คิดถึง... คิดถึงไฟ” สิงห์จับมือคนรักลูบเบา ๆ แล้วจรดปากจูบหลังมือ “คิดถึงมากเลย” ปากพร่ำบอกพร้อมกับกดจูบจนไฟไม่มีสมาธิขับรถ

“สิงห์... มันอันตราย”

“สิงห์รู้” ผู้กองหนุ่มว่าแล้วจูบตามแผลเป็นที่ไม่หายขาด “เจ็บหรือเปล่า อยู่ที่นั่นลำบากไหม”

“ไม่เจ็บเลย ไม่ลำบากด้วยกินอิ่มนอนหลับดี”

“สิงห์น่าจะขอท่านอธิบดีให้ไปประจำที่นั่นด้วย” นึกถึงเรื่องที่ไฟถูกยิงก็ต้องเม้มปากกลั้นน้ำตาเอาไว้ เกือบจะไม่ได้เจอไฟแล้ว...

ไฟใจหล่นวูบ “หลังจากวันนั้นไฟก็ระวังตัวมากขึ้นนะไฟไม่ใจร้อนแล้ว สิงห์ไม่ต้องห่วงนะ”

“แต่...”

“สิงห์ อย่าร้องเลยนะ ไฟอยากให้สิงห์ยิ้ม ไฟจะได้หายเหนื่อยไง”

สิงห์พยักหน้าจับมือหนาแน่นคล้ายกลัวว่าจะหายไปจริง ๆ “สิงห์ขอโทษ สิงห์แค่ห่วงไฟ”

“ไฟรู้” พูดไปนิ้วโป้งก็เกลี่ยมือคนรักที่ดูเล็กขึ้นทันตา เวลาสิงห์ร้องไห้ทีไรเขาใจเสียทุกทีไม่อยากให้คนรักต้องมาเป็นอย่างนี้ เขารู้ว่าดูภายนอกสิงห์จะเข้มแข็งสำหรับคนอื่นมากแค่ไหนแต่สำหรับไฟ… สิงห์น่ะอ่อนไหวที่สุดแล้ว

พอมาถึงบ้านของเราทั้งสอง สิงห์ก็รีบยกกระเป๋าขึ้นไปให้โดยที่ไฟแทบไม่ได้ถือ ร่างสูงถอนหายใจส่ายหัวยิ้ม ๆ แล้วเดินขึ้นบ้านตาม

“สิงห์ทำกับข้าวไม่เป็น แต่ไฟรอก่อนได้ไหมสิงห์จะขับไปซื้อให้” สิงห์รีบบอกกระวนกระวายจนไฟได้แต่มองอย่างนึกเอ็นดูก่อนจะกอดคนรักแนบแน่น

“คิดถึงจะตายอยู่แล้ว ได้กอดเสียที” ไฟพูดข้างหูหอมแก้มจนช้ำก็ยังไม่พอใจ

“ให้สิงห์ไปซื้อข้าวนะ” สิงห์ยังไม่เลิกพยายามที่จะดูแลจนไฟได้แต่หัวเราะ

“ไม่เป็นไรจ้ะ ไฟขอทำเอง ได้สูตรอาหารใต้มาเยอะเลยอยากให้สิงห์ลองชิมด้วย”

“แต่ไฟเพิ่งกลับนะพักก่อนเถอะ”

“พักแล้วไม่ได้คุยกับสิงห์ ไฟขอไม่พักจะดีกว่า” ไฟหน้าหมองพาคนรักไปนั่งโต๊ะไม้โดยให้สิงห์นั่งตัก ลำแขนก็โอบรอบเอวพร้อมกับเอาคางเกยไหล่ “แต่ว่าอยู่แบบนี้ก็เหมือนพักเหมือนกันนะ”

สิงห์ถอนหายใจอย่างจำยอมเอียงหัวซบแล้วยกมือลูบข้างแก้มคนรัก “รู้ไหมว่าคิดถึงจนสิงห์อยู่บ้านคนเดียวไม่ได้เลย ไม่อย่างนั้นก็คงเอาแต่ร้องไห้คิดถึงไฟ”

“จริงหรือ” ไฟขมวดคิ้ว “แล้วสิงห์ไปอยู่ไหนทำไมถึงไม่อยู่บ้าน มืด ๆ ค่ำ ๆ มันอันตราย”

“สิงห์ไปยู่บ้านนนท์น่ะ ไปอยู่กับเจ้าเฟื้อง”

“เฟื้องน่ะหรือ ที่วัง?”

“เปล่า” สิงห์ไม่ได้เขียนจดหมายบอกเรื่องนี้ให้ไฟรู้เพราะคิดว่านนท์คงจะบอกเองเพราะเจ้าตัวก็เกริ่นขึ้นมาว่าหากทั้งไฟและจันกลับมาค่อยไปคุยกัน

“แล้วที่ไหนกัน ไปกับชายอื่นรึไง”

สิงห์หัวเราะ “ผู้ชายไปกับผู้ชายไม่เห็นดูไม่ดีตรงไหน อีกอย่างเฟื้องก็น้อง นนท์ก็เพื่อนไม่มีชายอื่นหรอก”

ไฟยังคงขมวดคิ้วแน่น

“เอาล่ะ ๆ ไม่ต้องหึงขนาดนั้นหรอกพ่อคุณ” สิงห์ยิ้มจูบข้างขมับก่อนจะบอกให้คลายกังวล “สิงห์ไปนอนบ้านครูปิ่นนั่นแหละตอนนี้เธอนอนโรงพยาบาลนนท์ต้องไปดูแล ฉันเลยขอไปอยู่ที่นั่นเฝ้าบ้านกับเจ้าเฟื้อง” ที่จริงเฝ้าลูกเขาต่างหาก

“แต่ก็ยังดี” ไฟพอเข้าใจได้ หอมแก้มไปอีกฟอดพร้อมกับคุยสัพเพเหระไปเรื่อยเปื่อยตั้งแต่เรื่องครูปิ่นเป็นอะไร แต่ก็บอกได้ไม่มากบอกได้แค่ว่านนท์จะเล่าเอง

หลังจากนั้นทั้งสิงห์และไฟก็ไปซื้อของมาทำอาหาร ไฟได้ของใต้มาเยอะแยะไปหมดจึงไม่ต้องซื้ออะไรมามากหลังจากกินข้าวฝีมือไฟเสร็จ สิงห์ก็ให้ไฟพักผ่อนส่วนตนก็ไปทำงานต่อโดยเอารถจิ๊บไป บอกนนท์เรื่องที่ไฟกลับมาพอดีกับที่ว่าอีกหนึ่งอาทิตย์ครูปิ่นก็จะได้ออกจากโรงพยาบาลเขาเลยไปขนเสื้อผ้ากลับ เจ้าเฟื้องร้องไห้อีกแล้วเพราะจะไม่ได้เล่นกับพี่สิงห์และไม่มีใครสอนการบ้าน สิงห์สงสารเด็กแต่ก็ต้องกลับ

กว่าจะถึงบ้านก็มืดค่ำ ป่านนี้ไฟอาจจะบ่นเขาอยู่ก็ได้ นึกแล้วก็ยิ้มบาง ๆ ขนเสื้อผ้าขึ้นบ้านเข้าไปในห้องก็เห็นคนรักหลับอยู่

“ยังไม่ตื่นอีกหรือ” สิงห์นึกสงสัย คงนอนทับตะวันแน่นอนเลยแต่ก็ไม่อยากปลุกในเมื่อมันก็มืดค่ำแล้วเขาจึงลงไปอาบน้ำอาบท่าเพื่อจะขึ้นมานอน ชายหนุ่มดับไฟตะเกียงลงพร้อมกับปิดหน้าต่างกางมุ้งให้เรียบร้อยถึงจะปีนขึ้นไปนอนข้าง ๆ

“ฝันดีนะ” พูดเสียงเบาแล้วจูบเบา ๆ ที่หน้าผากแต่พอหงายหลังนอนได้ไม่นานก็ถูกคร่อมพร้อมกับปากที่ถูกปิดด้วยความอุ่นร้อน “อื้อ ไฟ!”

“กลับดึกเชียว” ไฟดุเล็กน้อยคลอเคลียตามข้างแก้ม

“ต้องแวะเอาเสื้อผ้าบ้านนนท์น่ะ” สิงห์เอียงหน้าให้คนรักได้หอมได้ถนัดมือก็ยกขึ้นขยุ้มผมยามที่ลำคอถูกเม้มกัด

“คืนนี้ไฟขอได้ไหม”

“อือ เอาสิ” สิงห์คล้อยตามอย่างง่ายดายเสื้อผ้าถูกปลดเปลื้องอย่างรวดเร็ว สิงห์ครางเสียงพร่ายามที่นิ้วยาวของคนรักขยับเข้าออก ทั้งเสียวซ่าน อกสั่นไหวไปด้วยแรงอารมณ์ ในตอนที่คนรักถอนนิ้วออกไป สิงห์ก็วูบโหวงเผลอขยับเข้าหาจนเสียดสีกับเนื้อร้อนของอีกฝ่าย

“สิงห์...” ไฟกัดฟันกรอดเกือบจะทนไม่ไหว

“เข้ามาได้ไหม... ไฟ” สิงห์อ้อนวอนขยับบั้นท้ายด้วยความเผลอไผลดวงตาฉ่ำไปด้วยน้ำ

“ถ้าพรุ่งนี้เผลอเดินไม่ไหวก็อย่ามาโทษไฟนะ” ไฟพูดเสียงต่ำจับความเป็นชายของตัวเองเข้าไปตามคำร้องขอ ยิ่งอีกฝ่ายดูดกลืนก็ยิ่งสะท้านไปทั้งกาย

“ไฟ..” สิงห์ยังคงเรียกเสียงอ่อนตอดรัดเพราะโหยหายอีกคน “ขยับเถอะนะ”

ไฟคำรามในลำคอวันนี้สิงห์ทำเขาแทบคลั่ง และก็คลั่งดั่งไฟโหมเมื่อร่างกายเริ่มปรับตัวก็เหมือนถูกราดน้ำมันเพื่อจะได้แผดเผาร่างกายของคนใต้ล่าง เขาขยับกระชั้นถี่เพื่อให้ไฟลามไปทั่วทั้งตัว เหงื่อหยดตามขมับ สิ่งที่ผลุบโผล่นั้นร้อนระอุ

และสิงห์เองก็พอใจที่จะให้ไฟแผดเผาตัวเอง เมื่อความต้องการล้นปรี่ร่างกายก็ตอบสนองกลายเป็นน้ำมันที่ผสมกับเพลิง ผลัดกันกระทุ้งเข้าหาแลกเปลี่ยนความคิดถึงผ่านบทรัก

สิงห์ผลัดขึ้นไปข้างบนโยกกายกดย้ำ ๆ เพื่อให้สิ่งคับแน่นนั้นเข้าไปในตัวลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ แขนโอบรอบลำคอปากบางก็ก้มลงจูบพร้อมกับขย่มอีกฝ่ายไปด้วย เสียงอันหยาบโลนและเสียงร้องครางดังไปทั่วห้อง

พอจะถึงจุดสุดท้ายไฟก็กลับมาจัดการด้วยตัวเองจนร่างกายของสิงห์แทบจะเหลวไปกับความอุ่นร้อนที่ทะลักเข้ามาด้านใน

สิงห์หอบหายใจแรงมองคนรักที่จับมือข้างซ้ายของเขาขึ้นไปพรหมจูบก่อนจะตกใจเมื่อสัมผัสถึงความเย็นจากนิ้วนาง

“แต่งงานกันนะ”

คนถูกขออึ้งไปครู่ใหญ่ ๆ ก่อนจะกัดฟันน้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ร้องไห้สะอึกสะอื้นจนไฟได้แต่ก้มกอดเพื่อปลอบประโลม

“ว่าไงครับ”

“อือ ๆ” สิงห์พยักหน้ายังคงร้องไห้ไม่หยุด มือเรียวกุมหน้าตัวเองดีใจจนพรั่งพรูออกมาเป็นน้ำตา ไม่สามารถเอื้อนเอ่ยคำใดออกมาได้คล้ายว่าหาเสียงในลำคอไม่เจอได้แต่ร้องเสียงสะอื้นเป็นการตอบรับ

“ใส่ให้ไฟด้วยสิ” ชายหนุ่มขยับตัวหยิบของตัวเองออกมาเป็นแหวนทองเหมือนกัน เป็นแหวนของพ่อกับแม่ที่ให้เขามาเพื่อจะได้ใส่ให้คนที่ตัวเองรัก

สิงห์พยักหน้าน้ำตาบดบังจนจับไม่ถูก ไฟต้องจูบมือปลอบแล้วเอาแหวนวางบนมือให้ ส่วนสิงห์ก็พยายามจะลุกใส่ให้แต่ไฟก็ส่ายหัวแล้วเอามือซ้ายของตัวเองวางบนมือสิงห์

“รักสิงห์นะ” ไฟยิ้มให้คนที่กำลังสวมแหวน มือของสิงห์สั่นมากจนเขาต้องคอยช่วย ยิ่งเห็นน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุดก็ได้แต่ยิ้มบาง ๆ “ถึงจะไม่ได้สวยหรูแต่ไฟก็อยากให้แหวนนี้เป็นของสิงห์”

เขารู้ว่าสิงห์พูดอะไรไม่ออกและคงหาเสียงตัวเองไม่เจอจึงก้มเอาหน้าผากแนบกับอีกคน “อยู่กับไฟไปนาน ๆ นะ”

สิงห์พยักหน้าหลับตาแน่นรับจูบจากคนด้านบนก่อนจะกอดคนรักเอาไว้ สุดท้ายก็ค้นหาเสียงตัวเองเจอสักที “ทั้งชีวิตสิงห์ก็ให้ไฟได้... ให้ไปทุกอย่างแล้ว”

 

 

“จะอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิตก็ยังได้...”

ไฟจำคำคำนี้ได้ขึ้นใจ ในอนาคตจะเป็นยังไงก็ขอเชื่อแต่คำคำนี้จนสุดหัวใจ...



จบบทที่ ๑๐

---------------------------------------------------------------------------------------
นี่ใช่นายสิงห์ตอนปัจจุบันจริงๆเหรอ ทำไมในอดีตดูขี้งอแงขนาดนี้55555555
อีกไม่กี่ตอนจะถึงตอนปัจจุบันแล้วนะคะ เสิร์ฟฉากซึ้งๆไปก่อนเนาะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-09-2020 10:58:25 โดย IMYean. »

ออฟไลน์ blanchard

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 376
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-3
:m4:    เรื่องนี้ดีงามมากอะ   


โดนใจที่สุดตรงที่ พระ-นาย แมนทั้งคู่!   :m3:


เฮียไฟเท่ ดุดัน มุทะลุ  …  พี่สิงห์สุขุมลุ่มลึก  ดีต่อใจ    :give2:


ชอบความพีเรียด   ชอบความขุนพันธ์ในบทที่ ๙



แต่แอบขัดใจตรงใช้คำว่า “ทาน” อยากให้ใช้คำว่า “กิน” แทนได้ไหม?

“กิน” ไม่ใช่ไม่สุภาพนะ


เห็นใช้คำว่า “หินภา” สองสามครั้ง ไม่ทราบว่าสะกดผิด หรือว่าเป็นการสะกดแบบโบราณฮะ?



รอตอนต่อไปนะ      o14

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ ๑๑

ย้อนวัย : กลับบ้านเกิด


 

เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๐

เวลาล่วงเลยผ่านไปเดือนกว่าได้หลังจากที่ไฟกลับมา ตอนนี้สี่หนุ่มนัดกันไปเลี้ยงต้อนรับในโอกาสไฟและจันกลับมาโดยมีเจ้ามือคือนนท์และสิงห์ เสียงเพลงในร้านเหล้ายังคงดังคลอไปทั่วร้านแข่งกับเสียงคุยโม้ของจัน

“พวกมึงรู้ไหมกูตกใจแทบตายที่ไอ้ไฟโดนยิง กูทำห่าอะไรไม่ถูกเลย” จันเล่าไปกระดกของมึนเมาเข้าปากไป

“ทีหลังก็ระวังตัวไว้ดี ๆ อย่าให้โดนยิงแบบนั้นอีก” สิงห์หันบอกคนรัก ถึงแม้จะพูดเรื่องนี้กันไปหลายครั้งแล้วแต่ก็อดย้ำอีกครั้งเสียไม่ได้

“รู้แล้วจ้ะ” ไฟกระซิบเบา ๆ ให้ได้ยินแค่สองคน

“แล้วตกลงจะทำเรื่องขอย้ายตอนไหนล่ะ” นนท์ถามขึ้นเพราะสิงห์บอกไว้ว่าจะทำเรื่องขอย้ายไปประจำที่สิงห์บุรี

“ก็คงรอทำเรื่องอื่น ๆ ให้ครบก่อนน่ะ”

“กูไปด้วยได้ไหมวะ” จันเปรยขึ้น

“ไปทีเดียวสามคนมึงว่ามันจะได้ไหมล่ะ ขนาดแค่สองคนกูยังไม่รู้เลยว่าจะทำเรื่องได้ไหม” ไฟเอ่ยพร้อมกับจิบน้ำเมาเล็กน้อย

“ไว้เดี๋ยวกูลองขอท่านอธิบดีเอา” จันว่า

“มึงก็อยู่นี่ก็ได้หนิ อยู่กับนนท์เนี่ยแหละ” สิงห์บอก

“เออหน่าถ้ากูไม่ได้ไปประจำด้วยก็อยู่ที่นี่นั่นแหละ” จันหัวเราะแล้วสะอึกไปที

เสียงพูดคุยยังคงดังไปเรื่อยจนเงียบกันหมดเพราะหันไปฟังเสียงใสกังวานของนักร้องสาวสวยที่ขึ้นมาบนเวที จันตาเยิ้ม นนท์ไม่แม้แต่จะปรายตามองส่วนสิงห์ก็ฟังและยิ้มไปด้วยต้องเดือดร้อนไฟต้องเอาตัวบังไม่ให้สิงห์มองสาวนักร้องคนนั้น

“ฉันมีเรื่องจะบอก” ผ่านไปสักพักนนท์ที่เงียบมานานก็เอ่ยขึ้นเรียกความสนใจทั้งสามเป็นอย่างดี

“อะไร” ไฟถามขึ้นคิดว่าคงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่คุณปิ่นป่วย

“ฉันมีลูกแล้ว”

“ห๊ะ!!!” จันร้องเสียงหลง โต๊ะสั่นกึก ๆ เพราะแก้วเหล้าที่ถูกวางอย่างแรง

“เป็นท่านชายที่ไฟแรงเสียจริง”

“ไฟ” สิงห์กระทุ้งศอกใส่สีข้างของคนรัก

“โทษที”

“เมื่อไหร่ ตอนไหน แล้วไปทำอีท่าไหนห๊ะ! ท่านชายยยย” จันตาเหลือกตบโต๊ะย้ำ ๆ ให้เพื่อนเล่าจนสิงห์ต้องเขวี้ยงถั่วฝักยาวใส่หน้าเพื่อให้จันสงบลง

นนท์เล่าทุกอย่างจนหมดเปลือกทุกครั้งที่พูดทีจันก็ร้องห๊ะทีแล้วก็ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่พูดจนต้องเอ่ยบอกว่าพรุ่งนี้เย็น ๆ ให้ลองไปเยี่ยมปราชญ์ดู

“ผ่านไปปีกว่า เหมือนผ่านไปสิบปีเพื่อนกูก็มีลูกมีเมียแล้ว” จันส่ายหัวกระดกเหล้าหลายแก้วเพื่อคลายความตกใจ

“หนึ่งขวบแล้วหรือคงจะน่ารักน่าชังน่าดู” ไฟชมออกไปก่อน นนท์จะได้ไม่ต้องคิดมากอะไร

นนท์ยังเล่าให้ฟังอีกว่าปิ่นร้องไห้เพราะรู้สึกผิดต่อลูกที่จะหนีไปทั้งอย่างนั้นไม่รู้ความอันตรายข้างหน้าและไม่ห่วงถึงความรู้สึกลูกชายที่มารู้ว่าตัวเองไม่มีพ่อเหมือนใครอื่น เธอรู้สึกผิดจนร้องไห้ทั้งคืนไม่ได้หลับได้นอนมัวแต่ไปนั่งเฝ้าลูกที่ห้องทุกวัน

“โชคดีของหนูปราชญ์ที่คุณแม่คิดได้ทันและคุณพ่อที่ไม่ทิ้งครอบครัว” สิงห์ตบบ่าเพื่อนที่นั่งข้างกาย

จันที่นั่งเงียบมานานหรี่ตามองมือข้างซ้ายของสิงห์ที่เลื่อนไปจับบ่านนท์ตอนแรกก็ตกใจอยากจะถามว่ามึงก็มีเมียมีลูกอีกคนหรือไงแต่พอสายตาไปกระทบกับแหวนทองที่คล้ายกันของไอ้ไฟก็ต้องคิดหนักอีกรอบ

“นี่พวกมึงสองคนน่ะ....” จันวางแก้วเหล้าชี้ทั้งไฟและสิงห์สลับกัน

“อะไรของมึง” ไฟขมวดคิ้วแขนก็พาดพนักพิงของคนรักไว้

“พวกมึงสองคน...” จันจ้องเขม็ง

 

“มีลูกมีเมียกันแล้วใช่ไหมวะ”

“พรืด” ไฟหัวเราะอย่างห้ามไม่ได้ “อะไรของมึงเนี่ย อยู่กับกูที่สุราษฎร์มึงเห็นกูไปหลงสาวใต้ที่ไหนหรือไง” ไฟส่ายหัว

“ไม่หลงก็ดี” น้ำเสียงแข็ง ๆ ดังขึ้นข้างกาย พอหันไปก็พบกับแววตาขวาง ๆ ของคนรักจึงต้องขยับเข้าไปใกล้ใช้มือแตะ ๆ ไหล่เป็นเชิงบอกว่าจะไม่ทำอย่างนั้นแน่นอน

“เอ้า ก็พวกมึงแม่งใส่แหวนกัน หรือมึงไอ้สิงห์” จันหันไปชี้อีกคนแทน

“จะมีที่ไหนล่ะ วัน ๆ จับแต่โจร” ว่าพลางกระดกเหล้าเข้าปากก่อนจะขยับให้คนรักโอบไหล่ได้ถนัด

“แล้วพวกมึงจะใส่แหวนนิ้วนางซ้ายกันทำไมวะ กูก็นึกว่ามีลูกมีเมียหนีกูกันไปหมดแล้ว”

สิงห์ก้มมองแหวนในมือพลางหัวเราะในลำคอแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรเห็นนนท์เลิกคิ้วถาม ก็ชี้ไปที่ไฟก่อนจะผงกหัวให้รู้กัน

“ดีใจด้วย” นนท์เปรยขึ้นมาเรียกความงุนงงของจันเพิ่มไปอีก

“นี่พวกมึงมีเมียกันแล้วใช่ไหมวะ ดีใจอะไร ทำไมนนท์มันรู้” จันยังคงถาม

“มึงนี่โง่จริง ๆ” ไฟส่ายหัวยังขำไม่หาย จนป่านนี้มันก็ยังดูเขาสองคนไม่ออกกันหรือไง

“จะว่ากูทำไมเนี่ย” จันขมวดคิ้ว

“มึงดูไม่ออกหรือ” ไฟถามลองเชิง

“ดูอะไรวะ”

“แหวนเนี่ย” ไฟยกข้อมือที่จับไหล่คนรักขึ้นให้มันมอง นี่ขนาดทำตัวตามสบายไม่มาปิดบังใครเหมือนในกรมเลยนะ

“อะไรวะ” จันจ้องมือของเพื่อนแล้วจ้องที่มือของสิงห์พลางใช้ความคิด

“เกินเยียวยา” ไฟส่ายหน้า

“เออใช่” จันตบโต๊ะไปที “พวกมึงใส่แหวนเหมือนกันจังวะ”

“คิดว่าไง” ไฟถามยิ้ม ๆ

“แหวนแสดงมิตรภาพเพื่อนหรือวะ”

“โอ๊ย ไอ้จันเอ๊ย” ไฟกุมขมับส่วนสิงห์ก็ขำจนสำลักเหล้าไปแล้ว สุดท้ายก็ปล่อยให้มันเชื่อไปอย่างนั้นไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติมเพราะถือว่าเปิดเผยให้รู้เยอะพอควรแล้ว

พอเห็นว่าสมควรที่จะกลับบ้านกันแล้ว นนท์ก็ขออาสาไปส่งจันเองเพราะมันเมามายเดินแทบไม่ไหว ส่วนสิงห์ก็ขับรถกลับบ้านแทนเนื่องจากไฟดื่มเยอะพอกัน

วันรุ่งขึ้นกว่าจะลุกขึ้นไปทำงานก็เกือบสาย ทั้งสิงห์และไฟดำเนินเรื่องที่จะขอย้ายไปประจำที่บ้านเกิด พอตกเย็นก็ชวนกันไปหาหนูปราชญ์ที่บ้านครูปิ่น เจ้าเฟื้องกลับไปอยู่ที่บ้านแล้วเหลือป้าบัวที่คอยดูแลกับป้าผึ้งคนเลี้ยงดูครูปิ่นที่เพิ่งกลับมาจากต่างจังหวัด

“จันเป็นอะไรวะ” สิงห์เดินออกมานั่งข้างนอกตามจันที่อยู่ ๆ ก็ออกมานั่งตรงนี้คนเดียว

“กูคิดถึงแม่กับน้อง”

สิงห์เงียบลง “นั่นสิคิดถึงจัง” แม่พิมพ์อรกับน้องต้นอ้อ..

“พอเห็นลูกไอ้นนท์กูก็เก็บเอามาคิดกับตัวเองว่า.. หากกูมีอนาคตที่ดีพร้อมกับแม่กับน้อง.. กูคงมีลูกให้น้องกับแม่อุ้มไปแล้ว”

“แล้วได้เบาะแสอะไรไหม” สิงห์ถามเพราะจันบอกจะตามสืบเรื่องแม่กับน้องแต่คงยุ่งกับการย้ายไปประจำที่อื่นเลยไม่ได้มาทำเรื่องนี้

จันเงียบไปครู่หนึ่งใบหน้าก็หม่นลงทันตา “ไม่มีเลย...”

“อยากตามหาไหม กูจะช่วยอีกแรง”

จันยิ้มอย่างนึกขอบคุณ “ไม่เป็นไรหรอก มึงทำเรื่องจะไปประจำที่บ้านเกิดแล้วก็อย่าทิ้งโอกาสเลย กูไม่เป็นไร”

“โอกาสกูยังมีอีกเยอะหน่า ถ้าไม่ได้ตอนนี้ก็ยังมีปีอื่น ๆ”

“ไม่เป็นไรจริง ๆ ว่ะ กูไม่อยากให้พวกมึงต้องมาทิ้งโอกาสเพราะเรื่องนี้ ไว้กูมีเรื่องที่ทำไม่ได้จริง ๆ กูจะขอให้พวกมึงช่วยเองไม่ต้องห่วง”

สิงห์จะค้านต่อแต่จันก็ตบบ่าเขาแล้วเดินกลับเข้าไปเล่นกับหนูปราชญ์เหมือนเมื่อกี้ไม่ได้เกิดอะไรขึ้น สิงห์จึงเดินไปยืนข้างคนรักแล้วเล่าเรื่องเมื่อกี้ให้ฟัง แต่ไฟก็ทำเพียงบอกว่าให้ทำตามที่จันพูด เพราะถ้าจันต้องการแบบนี้เราสองคนก็ไปยุ่งเกี่ยวไม่ได้

 

 

พ่ายโลกันตร์

 

 

มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๐

สถานีตำรวจอ้อยขวาง จ. สิงห์บุรี


วันที่สามหลังจากมาประจำที่อ้อยขวางไฟก็ยังไม่เคยเห็นหน้าสารวัตรของที่นี่ แต่ก็มาประจำได้เพราะ ‘หลวงศักดิ์กมล’ หรือก็คือท่านอธิบดีกรมตำรวจภูธร เขต ๑ และพ่อของเขาที่ช่วยในด้านนี้

สิงห์ได้รับตำแหน่งรองสารวัตรของที่นี่ ส่วนเขาก็เป็นผู้บังคับหมวดหรือผู้ช่วยรองสารวัตร ส่วนจันยังมาไม่ได้และถูกส่งตัวไปประจำที่อื่นแทน นนท์เองก็ได้รับตำแหน่งรองสารวัตรที่กรมตำรวจภูธร เขต ๑ เห็นส่งจดหมายมาว่าพ่อของเขาช่วยเหลือนนท์ได้มากทั้งเรื่องที่อยู่ เรื่องกินและเรื่องลูกชาย พ่อก็ใจดีให้ยืมรถตนไปใช้เพื่อรับภรรยาและลูกมาอยู่ด้วยกันเพราะอยู่ใกล้ที่ทำงาน

“ลุงธง สารวัตรที่นี่คือใครกัน” ไฟหันไปถามจ่าธงที่พอพวกเขามาถึงก็พูดยาวเหยียด

“สารวัตรทัพน่ะ” แกว่าก่อนจะแลซ้ายแลขวาพร้อมกับป้องปากให้ได้ยินกันแค่สามคน “ไม่เอาการเอางาน ใครทำผิดก็เรียกเก็บเงินแล้วปล่อย”

“จริงหรือ แล้วมันเป็นสารวัตรได้ยังไงวะ” ไฟหัวฉุนจนสิงห์ต้องจับแขนปราม

“จ่าธงอย่าพูดไปเลย เดี๋ยวมีคนได้ยินเอาไปบอกสารวัตรเดี๋ยวจะเป็นเรื่อง” สิงห์เตือนเล็กน้อย

“เออ ๆ ข้ารู้แล้ว เอ็งนี่ก็” จ่าธงส่ายหัวแต่ก็น้อมรับคำเตือน

“งานทุกงานถ้าหากมีเรื่องด่วนก็คงมีแค่สิงห์ที่รับหน้าที่ใช่ไหม สามวันนี้ไม่เห็นหัวสารวัตร มีแต่รองสารวัตรที่ทำงานงก ๆ” ไฟทุบโต๊ะ

“ไฟใจเย็นก่อน” สิงห์จับมือคนรักหันมองรอบกายอย่างโล่งอกที่ไม่มีใครแถวนี้

“แต่มันก็ดีนะ ไอ้พวกคนชั่วทั้งหลายมันจะได้เข้าคุกเข้าตารางจริง ๆ ไม่ใช่ถูกปล่อยตัวเพราะแค่ฟาดเงินใส่หัวไอ้สารวัตร” จ่าธงเสริม

“จ่าธง” สิงห์เอ็ด

“ผู้กองครับ! ผู้กอง!” เสียงเรียกของใครบางคนดังขึ้น ก็พบว่าเป็นจ่าคมที่วิ่งมาหา

“มีอะไร” ผู้กองหนุ่มลุกขึ้นไม่รอเวลาใดใดหากมีเรื่องก็จะให้เดินไปพูดไป

“ไอ้เดตมันโวยวายถามหาสารวัตรครับ”

“เดต? ที่ไปข่มขืนลูกสาวลุงเบิ้มหรือ”

“ใช่ครับ”

“มาโวยวายเหมือนคนอื่น ๆ ใช่ไหม” สิงห์ถามเสียงเรียบ

จ่าคมหน้าถอดสี “ครับ”

สิงห์เดินขึ้นไปบนสถานีได้ยินเสียงโวยวายมาจากด้านใน ตำรวจทุกนายไม่กล้าเข้าใกล้ เรื่องเดิม ๆ ที่โจรกล้าขู่ตำรวจโดยการเอาตำรวจที่ยศใหญ่กว่ามาเป็นคนคุ้มกะลาหัวตัวเอง เห็นไฟกับจ่าธงกำลังเดินมาจึงต้องรีบจับขังคุยไม่อย่างนั้นไฟคงหงุดหงิดมากกว่าเดิม

“จ่าคมกับหมู่ลากมันเข้าไปในห้องขังซะ”

“แต่..” หมู่นายนั้นอึกอักเพราะหากสารวัตรรู้คงโดนว่า

“ในเมื่อตอนนี้สารวัตรไม่อยู่สถานี ถือว่าคำสั่งของรองสารวัตรเป็นเด็ดขาด” สิงห์จ้องหมู่นายนั้นเพื่อกดดัน นายตำรวจทั้งสองจึงช่วยกันดึงตัวไอ้เศษเดนเข้าตาราง

“ปล่อยนะเว้ย! ปล่อยกู! พวกมึงกล้าขัดคำสั่งหัวหน้าพวกมึงหรือไง!”

สิงห์ถอนหายใจบอกจ่าคมว่าห้ามให้ใครเข้ามาโดยเฉพาะหมวดไฟ ถึงจ่าคมจะงุนงงแต่ก็พยักหน้า

ผู้กองหนุ่มปิดประตูด้านนอกให้จ่าคมเฝ้าหน้าประตูส่วนตนเองก็เดินเข้าไปถึงห้องริมสุดที่เป็นไอ้เดตกำลังโวยวาย และมีเพื่อนร่วมขังอีกสองสามคนที่อยู่ในนั้น

“มึงใช่ไหมผู้กองสิงห์ มึงกล้าจับตัวกูหรือวะ โง่หรือเปล่า” ไอ้เดตสบถลุกขึ้นจับกงเหล็ก “ปล่อยตัวกูซะ เดี๋ยวกูจะตอบแทนงาม ๆ ดีกว่าไอ้สารวัตรร้อยเท่า มึงเป็นลูกเสี่ยพันธ์ซะอย่างคงพูดง่ายใช่ไหม” มันว่ายิ้ม ๆ

แต่สิงห์กลับทำเพียงยืนกอดอกไม่ได้แสดงสีหน้าใดใดออกมา “คนทำผิดก็ต้องเข้าตาราง มันก็ถูกแล้ว” ถ้าเป็นไฟป่านนี้คงเข้าไปซัดปากมันหลังจากที่พูดออกมาแบบนั้นเป็นแน่

“คนอย่างมึงกล้าพูดเรื่องแบบนี้ด้วยหรือวะ อย่ามาทำเป็นตำรวจยุติธรรมตอนนี้ กูรู้ว่ามึงเข้ามาได้เพราะใคร” ไอ้เดตยังคงไม่รามือ “รีบปล่อยกูซะ นายกูรู้จักกับเสี่ยพันธ์ ถ้ารู้ว่ามึงจับกูไว้ งานที่พ่อมึงทำจะล่มเอานะเว้ย”

สิงห์เค้นหัวเราะ “ก็ช่างสิ งานของพ่อกูไม่ใช่งานกู ตอนนี้งานของกูคือตำรวจ ถ้าให้ปล่อยสวะอย่างมึงออกไปข่มขืนใครอีก กูคงไม่เรียกตัวเองว่าเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์หรอก”

“ไอ้สิงห์! มึงทำแบบนี้เท่ากับไม่เห็นหัวพ่อมึงเลยนะ”

“กูไม่เห็นหัวใครทั้งนั้น...” สิงห์ใช้มือจับกรงเหล็กตาจ้องเขม็งอย่างกับไม่ใช่สิงห์ที่ใจดีและสุขุมเหมือนดั่งเดิม มันเป็นสายตาที่เคยใช้เมื่อตอนที่รับงานชั่ว ๆ จากพ่อตัวเองไปกดดันคู่แข่งและเขาทำมันสำเร็จเสมอ ไม่อยากจะทำอีกแต่ก็ต้องทำเพราะรู้ว่าพวกมันเข้าใจในสิ่งที่เขาสื่อ

จะไปใจดีด้วยทำไมกับคนพรรค์นี้

“ถ้ามึงออกไปเมื่อไหร่ กูจะเอากระสุนยัดปากมึงด้วยน้ำมือตัวเองทันที” มันนิ่งงันรู้ว่ายังโกรธ สิงห์จึงผละออกแล้วตวัดตามองคนในห้องขังที่เหลือที่เคยเป็นลูกน้องพ่อสองคนและอีกคนที่เป็นโจรทั่วไปไม่มีใครคุ้มหัว “พวกมึงก็คงเข้าใจที่กูพูดใช่ไหม”

“ครับนายสิงห์” สองลูกน้องยังภักดีก้มหัวทันทีอย่างไม่รีรอ ส่วนอีกคนก็ไม่กล้าสู้หน้าแต่ไหนแต่ไร

“ถ้าทำตัวดีและไม่คิดจะกลับไปทำชั่วกูพร้อมจะปล่อยพวกมึง” สิงห์มองพวกมันทั้งห้องเป็นหนสุดท้ายก่อนจะออกไปข้างนอกพลางพรูลมหายใจ

“เป็นยังไงบ้างครับ”

“ก็อาจจะเงียบไปสักพัก แต่คงกำราบไม่อยู่หรอกคนแบบนี้น่ะ” สิงห์ว่าพลางส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ เดินไปทางห้องของตัวเองที่เป็นห้องรวมเพราะมีแต่ห้องสารวัตรเท่านั้นที่เป็นห้องเดี่ยว

“เป็นไงบ้าง” ไฟถาม

“ก็เหมือนคนอื่น ๆ เดี๋ยวก็โวยวายอีก” สิงห์ถอนหายใจนั่งลงที่โต๊ะ

จวบจนผ่านไปสามสี่วันหลังจากนั้นสารวัตรทัพก็มาที่สถานีด้วยชุดที่ยับยู่ยี่ไม่มีความเป็นตำรวจอยู่ในตัว สภาพคล้ายคนที่ไปขโมยชุดราชการมาใส่ก็คงไม่พูดเกินจริง

“ไอ้ผู้กองสิงห์!” สารวัตรเดินมาหาถึงที่ ใบหน้าดูโกรธถมึงมืออ้วนท้วมชี้หน้าด่า “อย่าทำอะไรโดยไม่ขออนุญาตกูอีก กูใหญ่กว่ามึง มีสิทธิ์จะสั่งอะไรก็ได้และมึงต้องทำตามไม่ใช่ขัดคำสั่งกู!”

ไฟกัดฟันกรอดกำลังจะลุกขึ้นไปประจันหน้าแต่สิงห์ก็เดินมาบังไว้ “ผมทำอะไรไม่ดีหรือครับ”

“ยังจะกล้าถาม!” สารวัตรทัพตะคอกเสียงดัง “มึงขัดคำสั่งกู!”

สิงห์เลิกคิ้ว “ผมก็ทำตามคำสั่งแล้วนี่ครับ”

“ตรงไหนที่มึงทำ ห๊ะ!!”

“ก็สารวัตรบอกผมไว้ว่า ‘รู้ใช่ไหมว่าควรทำยังไงกับคนพวกนี้’ ผมทราบและคิดว่าพวกมันสมควรถูกจับเข้าตาราง ไม่เห็นจะไปขัดคำสั่งสารวัตรตรงไหนเลยไม่ใช่หรือครับ”

สารวัตรทัพหน้าคล้ำมือไม้สั่นเทิ้ม “มึงจะลองดีกับกูใช่ไหม”

“ไม่กล้าหรอกครับ” สิงห์ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหุบริมฝีปากดวงตาแข็งกร้าวจ้องที่สารวัตรอย่างไม่เกรงกลัว “ผมจะกล้ากับพวกที่ทำความเลวและเข้าข้างในสิ่งที่ผิดเท่านั้น ใครที่ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งผิดกฎหมาย ผมจะไม่ทำอะไรพวกเขาหรอกครับ”

“ไอ้สิงห์!” สารวัตรทัพโกรธจัด “สักวันมึงจะต้องเสียใจที่ทำแบบนี้!” พูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก็เดินออกไปจากสถานีทันที

“พูดอะไรของมัน” ไฟที่ฟังอยู่นึกโมโห

“ไปทำงานเถอะ เลิกพูดเรื่องนี้” สิงห์สั่งแต่ไม่ใช่เพียงแค่ไฟ แต่รวมถึงคนอื่น ๆ ก็ด้วย


 


พ่ายโลกันตร์

 

 

ผ่านไปสี่เดือน

ตุลาคม ๒๔๘๐


“ไอ้ไฟ! ไอ้สิงห์!” จันที่เพิ่งลงจากรถรีบหอบของวิ่งไปหาเพื่อนทั้งสองที่มารอรับ “กว่ากูจะมาที่นี่ได้ แม่งทำเรื่องซะนาน”

“บ่นมาก เอาของไปเก็บไป”

“รู้แล้วโว้ย คนมาเหนื่อย ๆ แทนที่จะช่วย” จันส่ายหน้าเห็นสิงห์ยื่นมือมาช่วยถือของก็ชื่นใจ

“ไม่พักกับไฟหรือ ไปพักอะไรที่บ้านเช่านั่นล่ะ” สิงห์ถาม

“พักที่นั่นดีแล้ว กูไม่อยากกวน” จันว่าก่อนจะป้องปาก “เผื่อเอาสาวมาจะได้ไม่ไปกวนแม่ไอ้ไฟไง”

“มึงนี่” ไฟจะตบหัว แต่มันก็หลีกได้

“อย่าคึกคะนองจนไม่เป็นอันทำการทำงานล่ะ”

“ครับผู้กอง!” จันทำท่าตะเบ๊ะจนสิงห์ถึงกับส่ายหัว

เพียงไม่กี่อาทิตย์จันก็เป็นที่รู้จักของทั้งสถานีและชาวบ้านเพราะความอัธยาศัยดีและพูดเก่งจึงมีแต่คนชื่นชอบ

“หมวดจัน เอ้า! นี่ต้มข่าไก่” ป้าคนหนึ่งยื่นปิ่นโตขนาดเล็กให้ “ขอบคุณที่ช่วยจับหัวขโมยให้นะ”

“ขอบคุณครับ” จันยิ้มยื่นมือรับของก่อนจะเดินไปหาเพื่อนทั้งสองที่นั่งรออยู่ที่ร้านกาแฟ

“เนื้อหอมนะมึง”

“แน่นอน” จันยักไหล่นั่งลงแล้วแบ่งของกินให้เพื่อน “แล้วตกลงเรื่องไอ้เดตเป็นไง”

เพราะได้ฟังอะไรหลาย ๆ อย่างมากมายจึงเข้าใจได้ดี แม้ตอนนี้สารวัตรจะกลับมาทำงานเช่นเคยและไม่มีท่าทีใดใดก็ถือว่าผิดปกติอยู่

หลังจากวันนั้นสิงห์ก็เล่าให้ฟังว่าขังมันได้แค่เดือนเดียวก็มีคนช่วยออกไปพร้อมกับฆ่าคนในห้องขังไม่เหลือสักคนเพื่อปิดปาก ส่วนไอ้เดตหนีรอดไปได้และได้ข่าวว่ามันคอยตามติดนายมันตลอดคงกลัวจะโดนเก็บหากอยู่คนเดียว

“ตอนนี้ดูเงียบผิดปกติ คงจะรวมตัวกันวางแผนปล้นชาวบ้านเหมือนเดิม”

“มันจะทำกันตอนไหนวะ” จันถาม

“บ่ายโมงที่หมู่บ้านเริงรมย์” สิงห์ตอบพยักพเยิดไปทางเจ้าของร้านกาแฟที่ได้ยินพวกมันพูดตอนมาที่ร้านนี้จึงเอามาบอกเขา

“คงไปกันทุกคนเหมือนเดิม” ไฟว่าต่อ

“มันไม่ได้ยิ่งใหญ่มากมีลูกน้องไม่ถึงสิบคนเราสามคนน่าจะไหว” จันเอ่ยบอกเพราะตรวจสอบลูกน้องพวกมันมาแล้ว

“ตอนอยู่ สุราษฏร์ฯ มึงยังกลัวอยู่เลย”

“โธ่ นั่นมันมีของ นี่ไม่มียิงนัดเดียวก็ตาย”

“เอาเถอะ จะยังไงก็ต้องประสานงานกับจ่าธงไว้ก่อนเผื่อเกิดเรื่องอะไรจะได้ให้จ่าธงคอยซุ่มอยู่ห่าง ๆ”

“อืมก็ดี มีน้อย ๆ ไก่จะได้ไม่ตื่น โดยเฉพาะไก่ที่อยู่สถานีนั่นน่ะ” ไฟอดไม่ได้ที่จะแขวะคนที่เป็นถึงหัวหน้าตนเสียหน่อย

ส่วนสิงห์ไม่คิดจะห้าม รอถึงบ่ายก็เริ่มเตรียมตัวกัน สิงห์ขอมือจ่าธงและจ่าคมให้คอยช่วยอีกแรงแต่รอสมทบเท่านั้น ส่วนทั้งสามคนก็รอลุยเมื่อพร้อม

“จับเป็นได้ก็ควรจะจับเป็นไปก่อนนะ” สิงห์สั่งก่อนจะชี้ตำแหน่งแต่ละจุดให้ทั้งสองไป

การปะทะเกิดขึ้นอย่างที่พวกมันไม่ทันตั้งตัว เพราะกำลังเตรียมของไปปล้นจึงไม่มีอะไรป้องกันพวกมันยอมนอนราบกับพื้นเพราะถูกจันเอาปืนจ่อ

สิงห์จึงอาสาเข้าไปอีกทางซึ่งมีเสียงร้องของผู้หญิงดังระงม ส่วนไฟก็ให้รออยู่ช่วยจันตรงนี้เพราะมันมีกันหกคนเผื่อใครตุกติกขึ้นมาสู้ จันคนเดียวคงไม่ไหว

ผู้กองหนุ่มเข้าไปข้างในโดยการถีบประตูเห็นพวกมันสองคนกำลังทำเรื่องเลวระยำ ไม่รอช้าเขาก็จัดการยิงหัวพวกมันสองคนทันทีก่อนจะรีบหาผ้ามาคลุมผู้หญิงทั้งสอง

“ไม่เป็นไรแล้วนะ ทุกคนปลอดภัยแล้ว” สิงห์เอ่ยปลอบ ยังดีที่ยังไม่ถึงขั้นนั้นแต่ก็เป็นตราบาปของทั้งสองที่ไม่อาจลืมลง

สิงห์พาเธอทั้งสองออกมารอข้างนอกโดยใส่เสื้อผ้าเก่าครบก่อนจะให้จันไปตามจ่าคมกับจ่าธงมาจัดการต่อ

“พวกมันมีอีกค่ะ” หญิงสาวคนหนึ่งรีบเอ่ยบอกผู้กองทันที

“เข้าใจแล้ว พวกคุณหลบตรงนี้อย่าไปไหน” สิงห์เอ่ยบอกให้หลบหลังถังไม้ขนาดใหญ่ก่อนจะเอ่ยบอกคนรัก “ไอ้เดตไม่ได้อยู่ในนั้น”

“ว่าไงนะ!” ไฟขมวดคิ้วก่อนจะได้ยินเสียงปืนดังขึ้นยิงเฉียดแขนสิงห์ไป “สิงห์!”

“ตรงนั้น!” สิงห์ชี้ไปที่อีกทางหนึ่งก่อนจะหลบหลังกล่อง พวกมันหกคนที่นอนอยู่ก็ลุกขึ้นทันที

“แม่งเอ้ย!” ไฟสบถหันไปยิงขาพวกมันทีละตัวได้ยินเสียงปืนจากด้านนอกก็เข้าใจดีว่ายังมีพวกมันข้างนอกอีก

“นับคนพลาดหรือ” สิงห์ขมวดคิ้วก่อนจะหันไปยิงมันคนหนึ่งล้ม

“มันมีคนที่ไหนมาเพิ่ม”

“ช่างเรื่องนั้นก่อน จับตายซะ” สิงห์สั่งทันทีเพราะงานนี้พวกมันถูกจับตายได้หากเกิดเหตุฉุกเฉิน เพียงแค่นั้นก็ปราดยิงไม่เลือกหน้าสิงห์วิ่งตามไอ้เดตทันทีที่จัดการไอ้หกคนที่เหลือเสร็จก่อนจะปะทะกับพวกข้างนอกอีก

การปะทะจบลงไปหลังจากที่สิงห์ไม่นึกไว้ชีวิตใคร ไอ้เดตก็ถูกยิงจุดเดียวกับที่เขาพูดที่ห้องขังตอนนั้น ผู้กองหนุ่มสั่งทุกคนให้จัดการเรื่องของที่มันปล้นมาและช่วยเหลือผู้หญิงทั้งสองที่ถูกจับมา เห็นว่าเป็นลูกสาวของคนในพื้นที่

พอจบเรื่องนี้สิงห์ก็ถูกต่อว่าที่ทำอะไรโดยพลการแต่สารวัตรก็ไม่สามารถทำโทษอะไรได้เพราะชาวบ้านในพื้นที่ต่างมาขอบคุณสิงห์และชื่นชมผู้กองหนุ่มมากขึ้น เรื่องในวันนี้ก็แพร่งพรายไปไกล

สิงห์สั่งเด็ดขาดว่าจะจับตายทุกคนหากไม่มามอบตัว สารวัตรทัพทำเพียงอยู่เงียบ ๆ อย่างผิดปกติแต่นั่นมันก็ดีแล้ว



 
*มีต่อนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-09-2020 11:02:03 โดย IMYean. »

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
*ต่อจากบทที่ ๑๑


กุมภาพันธ์ ๒๔๘๑

ผ่านไปอีกสี่เดือนจากการจับโจรร้ายเกือบทั่วจังหวัดทั้งสามคนก็ได้ชื่อ ‘สามบุรุษแห่งอ้อยขวาง’ จันที่ถูกชื่นชมอยู่แล้วก็ยิ่งน่าชื่นชมเพิ่มขึ้นไปอีก ส่วนไฟที่เป็นลูกรองอธิบดีอนงค์ก็ถูกชมว่าเก่งเหมือนพ่อ แม้ว่าไฟไม่ค่อยชอบคำชมนั้นแต่ก็ต้องรับไว้ ส่วนสิงห์จากที่มีคำอคติก็กลายเป็นว่าค่อย ๆ ลบคำพวกนั้นให้เลือนหาย

ยิ่งหนังสือพิมพ์ลงข่าวเกี่ยวกับหน้าที่ในอดีตของผู้กองสิงห์ทั้งในกรมนครบาล ในจังหวัดอ่างทองหรือจังหวัดใกล้เคียงก็ถูกเป็นตำรวจดีเด่นที่ใคร ๆ ก็ยกย่อง

“ผู้กองครับ” ชาวบ้านคนหนึ่งมาคุยด้วยเหมือนย่างปกติที่มีหลาย ๆ คนมาพูดคุยด้วยไม่ว่าจะเรื่องโจรที่อื่นหรือเรื่องเศรษฐกิจเรื่องตั่งต่าง

“เออสิงห์ไปกินข้าวที่บ้านไฟไหม พ่อกลับมาแล้วน่ะก็เลยให้ไฟมาชวน” ไฟเอ่ยถามเมื่อชาวบ้านคนนั้นเดินออกไป

“ไปสิ ว่าจะไปรับแม่กับน้องมาด้วย”

“ออกมาได้หรือ”

“น้องออกมาเรียนได้แล้วตอนนี้ก็อยู่มัธยมสี่ ส่วนแม่ก็แค่ขอพาออกมากินข้าวคงไม่เป็นไร”

“ไฟไปรับแม่กับน้องด้วยได้ไหม”

“ไว้ขอสิงห์ไปรับแม่ก่อนแล้วจะได้ไปรับน้องด้วยกันนะ”

ไฟพยักหน้าก่อนจะทำหน้าจริงจัง “เราบอกพวกท่านกันไหม”

ผู้กองหนุ่มนึกหวั่นใจ “ถ้าอย่างนั้นบอกแม่กับน้องก่อนนะ ไว้ค่อยบอกคุณลุงกับคุณน้า”

“ได้จ้ะ” ไฟตอบ

พอถึงช่วงบ่ายแก่ ๆ สิงห์ก็กลับไปรับแม่โดยเอารถที่เป็นรถของพ่อที่ให้มาทำงาน ตั้งแต่กลับมาก็ไม่มีอะไรให้ต้องห่วง แม่เองก็ออกไปซื้อของหรือไปตลาดได้แล้ว ต้นอ้อก็ออกไปเรียนได้ตั้งแต่สิงห์ไปเรียนต่อ พ่อเองก็ไม่พูดอะไรและไม่ได้ใส่ใจมาก เขากลับมาที่บ้านในชุดตำรวจแต่พ่อก็ไม่พูดอะไรนอกจากสั่งให้เขาอย่าใส่ชุดนี้เดินในบ้านเท่านั้น

“แม่ล่ะภพ” หลังจากที่เข้ามาในบ้านก็เอ่ยถามมือขวาพ่อทันที

“อยู่ที่ครัวครับ”

สิงห์พยักหน้าเข้าไปหาแม่ก่อนจะกอดเธอแล้วหอมไปฟอดหนึ่ง

“โธ่ลูก ตกอกตกใจหมด” พิมพ์อรลูบหัวลูกชายจำได้ว่าเธอกับต้นอ้อร้องไห้ทันทีที่สิงห์กลับมาทั้งปลื้มใจและคิดถึงที่ห่างกันไปนานหลายปี

“ผมจะมารับแม่ไปกินข้าวกับครอบครัวไฟน่ะครับ”

“ไม่ไปกวนเขาหรือลูก”

“ผมก็เกรงใจครับ แต่ผมกับไฟมีเรื่องจะบอกแม่กับน้องด้วยเหมือนกัน”

พิมพ์อรหันมายิ้มบาง ๆ เธอเห็นแหวนนี้และเห็นเหมือนกันกับที่มือของเพื่อนสนิทลูกชายเมื่อวันที่พบกันที่ตลาด เธอพอเข้าใจดีถึงจะตกใจและนอนคิดมาเกือบหลายวันก็ต้องยอมรับในเมื่อนี่เป็นลูกชายเขา เรื่องความรักก็อยากให้ลูกตัดสินใจด้วยตัวเอง

“แม่เข้าใจลูก ไว้แม่เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ” พิมพ์อรเห็นลูกชายน้ำตาคลอเธอจึงกอดปลอบไปอีกหนแล้วเดินขึ้นห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ดูดีขึ้น

ทั้งสองแม่ลูกขึ้นรถโดยที่สิงห์บอกกับภพว่าจะออกไปกินข้าวเพราะพ่อไม่อยู่พอดี เขาแวะรับไฟที่สถานีก่อนโดยไฟอาสาขับรถส่วนสิงห์นั่งข้างคนขับ

เพียงไม่นานก็มาถึงโรงเรียนประจำจังหวัดที่สิงห์กับไฟเคยเรียน ดูอะไรหลาย ๆ อย่างดีขึ้นมากก็อดคิดถึงเรื่องราวในวัยเด็กไม่ได้

“นี่คุณน้าแต่ก่อนนะครับ สิงห์เงี๊ยบเงียบ ผมต้องชวนคุยอยู่หลายหนเลยล่ะกว่าจะคุยกับผมได้” ได้ทีไฟก็เล่าใหญ่จนพิมพ์อรหัวเราะอยู่หลายครั้ง

“เดี๋ยวเถอะ”

“เห็นไหมคุณน้า ดูสิ สิงห์ดุผมอีกแล้ว” ไฟฟ้องพิมพ์อรยกใหญ่ก่อนที่ทั้งคู่จะเถียงกันอีกครา

“โตกันขนาดนี้ยังจะเล่นเป็นเด็กอีกนะลูก” เธอหัวเราะก่อนจะบอกให้สิงห์ไปรับน้องมาเพราะถึงเวลาเลิกเรียน

ต้นอ้อในชุดนักเรียนดูน่ารักเสียจริงจนสิงห์ต้องจ้องไอ้พวกนักเรียนผู้ชายที่มองน้องสาวตาเยิ้ม

“พี่สิงห์อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ” ต้นอ้อว่าพี่ชายแล้วรีบขึ้นไปนั่งเบาะหลังข้างแม่ “หนูไหว้ค่ะแม่ หนูไหว้ค่ะพี่ไฟ”

“จ้ะลูก” พิมพ์อรลูบหัวลูกสาวส่วนไฟก็พยักหน้ายิ้ม ๆ

“จะไปไหนกันหรือคะ”

“ไปกินข้าวบ้านพี่ครับ” ไฟตอบให้

“จริงหรือคะ! ดีใจจัง!”

“ต้นอ้อ” พิมพ์อรเอ็ดลูกสาวที่ดีใจเกินเหตุ

“ก็หนูดีใจหนิคะแม่”

“เกรงใจเขาบ้างลูก”

“ฮ่า ๆ ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ ต้นอ้อก็เหมือนน้องสาวผมอีกคน”

“เห็นไหมแม่”

“เฮ้อ เจ้าลูกคนนี้”

สิงห์รู้สึกอบอุ่นไปทั้งใจที่ได้เห็นภาพอย่างนี้ เธอหันมองคนรักพร้อมกับหันมองครอบครัวคนสำคัญทั้งสองน้ำตาก็ระรื้นเพียงแต่เก็บเอาไว้

“ตกลงมีอะไรจะบอกแม่หรือสิงห์” พิมพ์อรเห็นแล้วจึงเอ่ยถามถึงเรื่องนี้

สิงห์ยิ้มบางหันมองคนรักที่มองมา ไฟทำท่าจะขอพูดแต่สิงห์ก็ส่ายหัวแล้วหันไปหาทั้งสองเอง “ผมกับไฟคบกันครับ”

“ห๊ะ!!” ต้นอ้อตกใจจนถูกแม่ตีแขนเบา ๆ ไปที

พิมพ์อรถอนหายใจ สิงห์เห็นแล้วถึงกับใจหล่นวูบแต่พอเห็นแม่ยิ้มออกมาดวงใจก็เต้นแรงขึ้นมา “นานหรือยังลูก ไม่เห็นบอกแม่เลย”

“แม่..” สิงห์เม้มปากน้ำตาเอ่อคลอ “ไม่รังเกียจหรือครับ”

“แม่ไม่เคยรังเกียจลูก เรื่องของความรักมันเป็นไปได้ทุกรูปแบบ ถ้าเขาดีกับลูกแม่ก็หมดห่วง ส่วนสิงห์ก็ต้องดีกับไฟด้วยนะ” เธอว่าแล้วลูบหัวลูกชายที่ร้องไห้ออกมาหลังจากที่อัดอั้นมานาน

“ขอบคุณครับแม่” สิงห์พนมมือไหว้จนเธอต้องกุมมือลูกไว้แล้วพูดปลอบอยู่อย่างนั้น

“คุณน้าขอบคุณนะครับ” ไฟที่จอดรถลงหลังจากถึงบ้านหันมาไหว้ทันที “ผมสัญญาว่าจะดูแลสิงห์ให้ดีที่สุด”

“เรียกแม่เถอะแล้วก็บอกเรื่องแหวนด้วยนะ” เธอชี้ที่มือ ไฟก็เสียวหลังวาบ

ถึงกับต้องอธิบาย “แหวนนี้พ่อกับแม่ให้ผมมาน่ะครับเป็นแหวนตั้งแต่รุ่นของคุณปู่คุณย่า พ่อกับแม่เลยให้ไว้กับผม เพื่อให้ผมได้มอบให้กับคนที่ผมรัก”

สิงห์แก้มแดงไม่กล้าสบตาผู้เป็นแม่

“พี่สิงห์เขินหรือคะ”

“เดี๋ยวเถอะต้นอ้อ” สิงห์เอ็ดน้องที่ชอบยิ้มมาตั้งแต่เข้าใจเรื่องพวกนี้

“ต้นอ้อดีใจนะคะที่พี่สิงห์มีคนที่รักแล้ว พี่สิงห์จะได้มีความสุข” ต้นอ้อยิ้มกว้าง

“ขอบคุณนะ”

“พี่ไฟต้องดูแลพี่สิงห์ให้ดีนะ”

“ต้นอ้อ จะพูดอย่างนั้นได้ยังไง เป็นคนรักกันต้องช่วยกันดูแลถึงจะถูกนะลูก”

“จริงด้วย” เธอพยักหน้าเป็นการเข้าใจแล้วยกมือไหว้ขอโทษ “หนูขอโทษค่ะพี่ไฟ”

“ไม่เป็นไรครับ พี่ดูแลพี่ชายหนูอยู่แล้วไม่ต้องห่วงนะ”

“คบกันแล้วก็ช่วยกันประคับประคองชีวิตคู่นะลูก มีอะไรในใจก็พูดกันนะอย่าเก็บเอาไว้”

ทั้งคู่มองหน้าพลางยิ้มอย่างดีใจก่อนจะพากันไหว้แม่ที่แบมือรอรับมือของทั้งคู่ “ขอให้คบกันนาน ๆ มีความสุขกันทั้งคู่นะ”

“ขอบคุณครับแม่” สองหนุ่มพูดพร้อมกันจนเธอยิ้มอย่างอุ่นใจที่ลูกชายมีความสุขก่อนจะลูบหัวลูกสาวที่ร้องไห้เพราะซึ้งกับภาพตรงหน้า กว่าจะลงจากรถได้ทั้งพี่ทั้งน้องก็ต่างตาบวมตาแดงทั้งคู่

“ฉันไหว้จ้ะพี่พิมพ์อร” น้าฤดีที่ออกมาเพราะได้ยินเสียงรถ เธอไหว้คนคุ้นเคยที่พบกันทุกเช้าที่ตลาดบ่อย ๆ จึงได้รู้และแลกเปลี่ยนคุยกันเรื่องลูกชายก่อนจะรับไหว้ทั้งต้นอ้อและสิงห์

“เชิญเลยค่ะกับข้าวเสร็จพอดี” พอได้ยินอย่างนั้นไฟก็ผายมือให้แขกเดินขึ้นบนบ้านไปก่อน

“ลุงอนงค์” สิงห์ยกมือไหว้ผู้มีพระคุณทั้งในเรื่องเรียนและเรื่องต่าง ๆ

“ว่าไง ๆ ไม่เจอกันเสียนาน เป็นถึงผู้กองสิงห์เสียแล้ว คล้ายลุงเมื่อวันวานไม่มีผิด ฮ่า ๆ” ลุงอนงค์ว่าแววตาชื่นชมอย่างถึงที่สุดก่อนจะหันไปรับไหว้คุณพิมพ์อร ได้มีโอกาสคุยอยู่บ้างจึงรู้อะไรเยอะเลย

“ขอบคุณพี่อนงค์กับน้องฤดีมาก ๆ นะคะที่เอ็นดูสิงห์และคอยช่วยเหลือมาตลอด เขามาถึงจุดนี้ได้เพราะพวกคุณเลย ขอบคุณจริง ๆ ค่ะ” เธอไหว้อย่างนอบน้อมจนฤดีต้องรีบมาจับมือไม่ให้ทำอย่างนั้นส่วนอนงค์ก็ลุกขึ้นเก้ ๆ กัง ๆ ทำตัวไม่ถูก

“ไม่เป็นไรค่ะพี่ สิงห์เป็นเด็กดีเราต้องเอ็นดูอยู่แล้ว”

“ผมดีใจนะที่สิงห์เป็นตำรวจที่ดีและยังดีมากกว่าผมเสียอีก สิงห์สมควรได้รับความรักและได้รับความช่วยเหลือ ผมเต็มใจเสมอ เพราะเห็นเขาเหมือนลูกเหมือนหลานไปเสียแล้ว” ลุงอนงค์ว่าแล้วเดินไปบีบบ่าสิงห์เบา ๆ

“ขอบพระคุณมากครับ” สิงห์ไหว้อย่างนึกขอบคุณจากใจจริง

“เป็นตำรวจที่ดีนะ” อนงค์จับบ่าทั้งสองข้างของคนที่เปรียบเสมือนลูกหลาน เขาคิดถูกจริง ๆ ที่ยอมเปิดใจให้เด็กคนนี้ ยิ่งเห็นโตขึ้นไปในทางที่ดีก็อดจะภูมิใจไม่ได้ ยิ่งเห็นใครในกรมอคติก็อยากจะไปพูดคุยเสียให้ได้ ยิ่งท่านอธิบดีหลวงกฤษติภพให้แล้ว ก็รอให้สิงห์ทำงานอะไรเด่น ๆ เสียก่อนจึงจะไปสมทบช่วยพูดเกี่ยวกับเด็กคนนี้ว่าอีกฝ่ายอยากเป็นตำรวจด้วยใจจริง

“พ่อแล้วผมล่ะ” ไฟชี้เข้าตัวเองจนอนงค์ต้องเคาะหน้าผากลูกชายก่อนจะสวมกอดจากความคิดถึง

“เอาล่ะ ๆ กินข้าวกันเถอะ” ฤดีว่าแล้วผายมือให้แขกนั่งที่โต๊ะกินข้าวเพราะหากนั่งพื้นอาจจะดูไม่ดี

“หนูต้นอ้อ นี่ผัดฉ่าปลานิลที่หนูชอบ” ฤดีเลื่อนจานไปให้

“ขอบคุณค่ะ” ต้นอ้อผงกหัว ตักของชอบกินทันที

“พอดีเจ้าไฟมาบอกว่าจะมีพี่พิมพ์อรกับหนูต้นอ้อมากินข้าวด้วย ฤดีเลยทำของชอบเผื่อน่ะค่ะ”

“ขอบคุณนะคะ พอต้นอ้อรู้ว่าจะมากินข้าวที่นี่ก็ดีใจใหญ่”

“แล้วที่สถานีเป็นยังไงบ้าง” อนงค์เอ่ยถามสิงห์ที่นั่งข้างน้องสาว

“ก็มีปัญหาอยู่ครับแต่โดยรวมแล้วถือว่าทุกคนเข้ากันได้ดีครับ”

“อืม เห็นตาธงบอกว่าสารวัตรทัพดูไม่เอาการเอางานใช่ไหม”

สิงห์ได้แต่ยิ้มไม่อยากพูดอะไรมากกว่านี้ ส่วนไฟนั้นพอเปิดประเด็นขึ้นมาก็จวกใหญ่จนคนเริ่มอย่างอนงค์ต้องเอ่ยปราม

“พูดมากเชียว ตอนเรียนกับทำงานเป็นอย่างนี้ไหม ฮึ” ฤดีถามลูกชาย

“ผมก็พูดแต่กับครอบครัวผมเท่านั้นแหละ ตอนทำงานก็ต้องนิ่งไว้สิ”

“จริงหรือ ตาธงยังพูดอยู่เลยว่าเอ็งโมโหร้ายไม่เปลี่ยน”

“ลุงธงมั่วแล้ว”

“แล้วสิงห์ล่ะตอนอยู่ที่ทำงานเป็นไงบ้าง”

“พูดเก่ง อัธยาศัยดี ใจดีเกินไป ใจอ่อนเกินไป” ไฟจ้องคนตรงข้าม

“เกินไปตรงไหนกัน” สิงห์ขมวดคิ้วถาม ปากก็พ่วงด้วยรอยยิ้ม

“ทุกตรง”

อะไรของเขาน่ะ

“ก็ดีแล้วล่ะลูก” ฤดียิ้มให้

“อ่าวแม่”

ฤดีหันมองลูกชายด้วยความงุนงงไม่เข้าใจว่าเธอพูดอะไรผิดก่อนจะสนใจคนตรงข้ามตน

“พี่พิมพ์อรเดี๋ยวอีกไม่กี่วันจะมีงานบวชลูกคุณจรัญ มางานด้วยกันไหมคะ”

“ไปค่ะ คุณจรัญก็มาชวนอยู่เหมือนกัน”

“ไว้ไปพร้อมฤดีนะคะเดี๋ยวจะไปรับ”

“ไม่เป็นไรค่ะ รบกวนน้องฤดี”

“ไปด้วยกันเถอะนะคะ” สุดท้ายพิมพ์อรก็จำยอม ต้นอ้อจึงขอไปด้วยคน

พอกินข้าวกันเสร็จเรียบร้อยก็คุยอะไรกันอีกนิดหน่อยสิงห์จึงขอตัวกลับไปส่งน้องกับแม่ก่อนเพราะได้บอกไว้แล้วว่ามีเรื่องจะคุยด้วยพร้อมกับไฟ

“ถ้าเกิดคุณลุงอนงค์กับคุณน้าฤดียังไม่ยอมรับ ต้องให้เวลาพวกเขาก่อนนะลูก” พิมพ์อรเอ่ยขึ้น

“ครับแม่ ผมก็ว่าจะทำอย่างนั้นหากพวกท่านยังไม่ยอมรับ” สิงห์ยิ้มบาง ๆ

“คุณลุงกับคุณน้ายอมรับพี่สิงห์แน่นอน” ต้นอ้อให้กำลังใจโดยการโอบกอดพี่ชาย

“ขอบคุณค่ะ” สิงห์ยีหัวน้องสาวแล้วเตรียมขึ้นรถ “ผมจะรีบกลับนะครับ”

“ขับรถดี ๆ นะลูก”

“อย่ากลับดึกนะคะ” ต้นอ้อโบกมือให้ สองแม่ลูกรอส่งก็ได้กำลังใจเต็มเปี่ยม จนขับกลับไปที่บ้านของไฟหัวใจดวงน้อยก็สั่นไหว เห็นไฟลงมารับก็ยิ่งกังวล

“จะต้องไม่เป็นไร” ไฟกระชับฝ่ามือคนรักไว้แน่นก่อนจะผละออกแล้วพาเดินขึ้นบนบ้าน เห็นพ่อกับแม่กำลังพูดคุยสนุกสนาน

“สิงห์มาแล้วครับ” ไฟเปรยขึ้นทุกคนจึงพยักหน้าส่งยิ้มมาให้แล้วตบโต๊ะไม้ให้มานั่งด้วยกัน แต่ไฟกับสิงห์กลับนั่งลงตรงข้าม

“มีอะไรหรือลูก” ฤดีถามไถ่อย่างนึกห่วงเพราะสีหน้าของลูกชายกับสิงห์ดูกังวล

ไฟมองสิงห์แล้วหันไปมองหน้าพ่อกับแม่ด้วยใบหน้าจริงจัง “ผมกับสิงห์เราคบกันครับ”

ทั้งคู่ตกใจจนพูดไม่ออก ฤดียกมือปิดปากพอเห็นลูกชายจับมือของคนข้างกายก็ยิ่งทำอะไรไม่ถูก

“เล่นตลกกันหรือไง ฉันไม่ขำนะไอ้ไฟ” อนงค์จ้องลูกชายเขม็ง

“เรื่องจริงครับพ่อ ผมรักสิงห์และผมก็ให้แหวนไปแล้วด้วย” ไฟชูมือซ้ายขึ้นและรวมถึงของสิงห์ก็ด้วย

“ไอ้ไฟ! มึงรู้ไหมนี่มันของสำคัญแค่ไหน จะเอามาเป็นเล่นแบบนี้ไม่ได้!” อนงค์ลุกขึ้นชี้หน้าลูกชายอย่างโกรธเกรี้ยว

“ผมก็ไม่ได้ล้อเล่นนะพ่อ ผมจริงจังจริง ๆ ผมถึงให้”

“ผู้หญิงมีไม่ชอบกันหรือไง ทำไมถึงมาคบกันเอง เรื่องแบบนี้มันมีที่ไหนกัน!” อนงค์ว่าทั้งสอง

“แต่ผมรักสิงห์จริง ๆ รักอย่างที่พ่อรักแม่”

“หยุดพูดเรื่องน่าเกลียดแบบนั้นนะไอ้ไฟ แล้วออกไปจากบ้านซะ”

“พี่อนงค์!”

“หยุดเลยฤดี คุณยอมรับได้หรือ!” อนงค์กำหมัดแน่น

“พ่อ—”

“หุบปาก!” อนงค์โกรธจัด “มึงออกไป”

“พ่อก็ฟังผมบ้างสิ!”

“กูไม่ฟัง มึงมันพูดไม่รู้เรื่อง”

“พ่อนั่นแหละที่พูดไม่รู้เรื่อง พ่อไม่คิดฟังผมเลย!” ไฟลุกขึ้นกัดฟันกรอด

ยิ่งเห็นท่าทางก้าวร้าวอนงค์ก็ทนไม่ไหวตบหน้าลูกชายด้วยอารมณ์ชั่ววูบจนฤดีร้องไห้และจับแขนสามีเพื่อปราม

“พี่ตบหน้าลูกทำไม”

“ไฟ...” สิงห์เม้มปากเห็นรอยแดงที่แก้มก็ปวดใจ ทั้ง ๆ ที่ครอบครัวนี้กำลังมีความสุขดีแต่พอเขามามันก็ดูแย่ไปเสียหมด

“ออกไปซะ”

“พี่!”

“ออกไปจากบ้านกู!” อนงค์ตาแดงก่ำจากความรู้สึกผิดและความรู้สึกปั่นป่วนมากมาย

ไฟไม่เปล่งเสียงร้องแม้แต่นิดแต่น้ำตาที่ไหลกับแววตาแข็งกร้าวระคนเจ็บปวดยิ่งทำให้คนเป็นพ่ออยากจะตัดมือตัวเองทิ้ง

“สิงห์ไปกันเถอะ” ไฟว่าทั้ง ๆ ยังจ้องหน้าพ่อตัวเองแต่ก็ต้องหยุดลงเมื่อพ่อเอ่ยอะไรออกมา

“สิงห์อยู่กับลุงก่อน ลุงจะขอคุยด้วยหน่อย”

“จะคุยอะไรอีก!” ไฟปราดเข้ามาบังคนรัก

“มึงอย่ามายุ่ง! ออกไป!” อนงค์ชี้ไปข้างนอก

“ห้ามทำอะไรสิงห์เด็ดขาด” ไฟยังคงยืนบัง

“ไฟออกมาก่อนเถอะลูก” ฤดีใช้น้ำลูบโดยการจับแขนลูกชาย

“ไฟ.. ให้สิงห์คุยเถอะนะ” สิงห์ปลอบอีกครา

ไฟมองพ่อสลับกับคนรัก “ไฟจะไปรอข้างนอก” ว่าเสร็จก็เดินออกไปทันทีโดยไม่แลมองพ่อตนเอง

“คุยกันดี ๆ นะพี่” ถึงจะยังไม่ยอมรับแต่เธอก็ไม่อยากให้ใช้อารมณ์กัน ก่อนที่เธอจะเดินออกไปหาลูกชาย

“ตั้งแต่เมื่อไหร่” อนงค์ยอมอ่อนลงแม้น้ำเสียงจะแข็งกระด้างเล็กน้อย “ตอบตามจริง”

สิงห์ก้มหน้า “ตั้งแต่มัธยมสามครับ”

“แล้วแหวนนั่นให้ตอนไหน”

“เมื่อเดือนมีนาที่ผ่านมาครับ”

อนงค์เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถามต่อ “เพราะอะไรถึงตัดสินใจบอก”

“ผมคิดว่าควรบอกพวกท่าน แม้จะนานเกินไปแต่ก็อยากเรียนรู้กันและกันไปก่อนรวมถึงเรียนให้จบและทำงานเป็นหลักเป็นแหล่งถึงจะมาบอกครับ” สิงห์เงยหน้าบอก

อนงค์ได้ยินอย่างนั้นก็คิดไม่ตก เจ้าตัวลูบใบหน้าให้หายเครียดก่อนจะมองคนที่เหมือนลูกเหมือนหลาน

จะเกลียดก็เกลียดไม่ลง จะห้ามความรักที่เกิดขึ้นมาก็ยากพอควร...

“ขอเวลาลุงหน่อยได้ไหม”

สิงห์ได้ยินอย่างนั้นก็ใจชื้นขึ้น อย่างน้อยก็ไม่ได้เลวร้ายไปอย่างที่คิด “ได้ครับ ผมไม่เร่งรีบและผมก็อยากบอกให้คุณลุงรู้ว่าผมรักไฟจากใจจริง แม้จะผิดแปลกไม่เหมือนคนอื่น แต่ผมรู้ว่านี่คือความรักที่คนสองคนมีให้กันจริง ๆ”

อนงค์มองหน้าคนที่เคยเลี้ยงดู ภาพในวัยเด็กก็ประดังขึ้นมาทำให้เขาไม่กล้าพูดอะไรแรง ๆ ใส่ ได้แต่ก้มมองแหวนนั้นที่ตนเคยให้ฤดี “รักษาไว้ดี ๆ ล่ะ”

สิงห์ยิ้มขึ้นมา “สัญญาว่าจะรักษาและดูแลให้ดีครับ” รวมถึงไฟก็ด้วย

“อืม ไปเถอะ”

“ขอบคุณครับ” สิงห์พนมมือไหว้แล้วเดินลงไปข้างล่างเห็นน้าฤดียืนกอดลูกชายอยู่ “คุณน้า...”

เธอยิ้มบาง ๆ เห็นแหวนยังอยู่ก็เข้าใจดีจึงเดินเข้าไปกอดปลอบ “คงเสียขวัญใช่ไหมลูก”

สิงห์น้ำตาคลอ “ขอโทษครับที่อาจทำให้ผิดหวัง”

“ไม่เป็นไรลูก แค่ขอเวลาน้ากับลุงหน่อยนะ” เธอลูบหัวอีกฝ่าย

“ขอโทษครับ ขอโทษจริง ๆ”

“ไม่เอาลูกไม่ร้องนะ” เธอลูบหลังก่อนจะผละออกหันไปมองลูกชายที่ผ่านการร้องไห้มาเช่นกัน ดูก็รู้ว่าเสียใจแค่กอดนิดเดียวคนเข้มแข็งก็ร้องออกมาแล้ว “ไม่ต้องไปตามที่พ่อบอกหรอกนะลูก พ่อเขาแค่โมโห พ่อไม่ได้อยากไล่ลูกจริง ๆ หรอกนะ”

ไฟพรูลมหายใจเงยหน้าให้น้ำตาเหือดหายแม้ยากลำบาก “ผมจะไปเข้าเวรที่สถานี แม่ไม่ต้องห่วง”

“ไฟลูก..” เธอนึกห่วง

“ไฟอยู่บ้านเถอะนะคุณลุงแค่ขอเวลา” สิงห์จับแขนคนรัก “เราพูดเรื่องนี้กันแล้วนะ”

ไฟหันมองคนรัก “ไม่ล่ะ ไฟอยู่ก็จะโมโหเสียเปล่าขอไปสงบที่สถานีเถอะ ไหน ๆ จ่าธงก็อยู่คนเดียว นะครับแม่” คำหลังหันมาขอร้องมารดา

“พรุ่งนี้ต้องกลับมานอนบ้านนะไฟ”

“ครับ ขอโทษนะครับ”

ไฟเดินไปขึ้นรถของสิงห์ก่อนที่สิงห์จะพนมมือไหว้ลาคุณน้าแล้วขับรถแทนเพราะไฟคงไม่มีอารมณ์มาขับ

“ใจเย็น ๆ นะไฟ สิงห์คุยกับคุณลุงแล้ว ท่านไม่ขอแหวนคืนและยังบอกให้สิงห์ดูแลด้วย ท่านเพียงต้องการเวลาก่อน”

“เข้าใจแล้ว” ไฟหันมองนอกหน้าต่าง

“อย่าโกรธคุณลุงเลยนะ ท่านไม่ได้ตั้งใจ” สิงห์กุมมือคนรักไว้แน่นพยายามมองถนนสลับกับคนรัก

“ไฟรู้” ไฟหันมาพร้อมกับจับมือของคนรักขึ้นจูบแล้วใช้สองมือกอบกุมมือข้างซ้ายนั้นไว้พลางลูบแหวนด้วยความรู้สึกมากมาย “ขอโทษที่ต้องมาให้เจอสถานการณ์แบบนี้”

“ไม่เป็นไรเลยจริง ๆ สิงห์ต่างหากที่ต้องขอโทษ”

“ขอโทษทำไม ไม่ใช่คิดมากอะไรอีกนะ” ไฟว่าพลางลูบหัวคนรัก

“ไม่มีอะไรหรอก”

ไฟถอนใจก่อนจะกลับมาคิดเรื่องเดิม “ไฟให้เวลาพ่อกับแม่ได้เสมอไม่ว่านานแค่ไหน แต่หากบอกให้เลิกคบกัน ไฟไม่ยอมเด็ดขาด”

“ไฟ...” สิงห์อ่อนใจ

“พ่อแม่เป็นคนสำคัญของไฟก็จริง” ไฟประทับริมฝีปากลงกับนิ้วนางข้างซ้าย “แต่สิงห์เองก็สำคัญกับไฟมากเช่นกัน”

คนฟังได้แต่ยิ้มอย่างอุ่นวาบในดวงใจ “ขอบคุณนะ” ขอบคุณที่นึกถึงกันเสมอ



จบบทที่ ๑๑

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-09-2020 11:06:14 โดย IMYean. »

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ ๑๒

ย้อนวัย : ชีวิตที่จบสิ้น


 

กุมภาพันธ์ ๒๔๘๑

สถานีตำรวจอ้อยขวาง


ไฟที่มาอยู่เวรเป็นเพื่อนจ่าธงตั้งแต่เมื่อคืนก็ทำแกงงเข้าไปใหญ่ ถามกี่ครั้งมันก็ไม่ตอบอะไรไหนจะยังเอาแต่เหม่อพูดอะไรก็ไม่ค่อยจะฟัง จนมันเล่าเรื่องทั้งหมด หัวใจคนแก่แทบจะวายแต่ก็เห็นมันมาตั้งแต่เล็กจึงแนะนำอะไรหลาย ๆ อย่างไป ก็ถูกแล้วที่ให้อนงค์กับฤดีทำใจเสียก่อน เรื่องนี้มันยังไม่เป็นที่ยอมรับจะให้เข้าใจปุ๊บปั๊บใช่ว่าจะทำได้ที่ไหน

บ่นมันจนหูชาถึงเช้าก็ยังคงพูดให้ฟังอีกรอบ คราวนี้มีทั้งสิงห์ทั้งไฟอยู่ด้วยกันเพราะสิงห์ถูกไฟไล่ให้กลับไปนอนที่บ้านเมื่อคืนเลยต้องมาพูดตอนเช้าแทน

“จำไว้นะพวกเอ็ง อย่างอนงค์กับฤดีน่ะเปิดใจได้อยู่แล้ว ตอนนี้ก็อย่าทำอะไรให้ผู้ใหญ่เขาห่วงนักเลย ยิ่งเอ็งไอ้ไฟข้าบอกแล้วว่าให้กลับบ้านไปนอนซะก็ไม่ยอม” จ่าธงโขกหัวเด็กที่เคยเห็นตั้งแต่ไอ้จ้อนยังน้อย

“โธ่ลุง เข้าใจแล้วหน่า”

“เออเข้าใจก็ดีแล้ว เวลาทำงานก็เรียกข้าว่าจ่าเสียทีสิโว้ย”

ไฟหัวเราะจึงโดนโขกหัวไปอีกรอบ

“ส่วนเอ็งน่ะก็ทำตัวดี ๆ ทำให้มั่นใจว่าจะดูแลเจ้าไฟได้”

“ครับจ่าธง”

“ทำไมเหมือนกำลังยกหลานสาวให้หลานเขยเลยวะ” จ่าธงเกาหัวงก ๆ

“หลานสาวอะไรกันลุง หลานชายสิ”

“ก็มันเหมือนนี่หว่า”

“ไม่ต้องเลยลุง”

“จ่าสิวะไอ้นี่”

“อะ จ่า ๆ” ไฟว่าพร้อมกับดันหลังจ่าธงให้ไปทำงานต่อ “ไม่ไหวเลยนะลุงธงน่ะ ไม่รู้ซะแล้วว่าใครผัวใครเมีย”

“เบา ๆ” สิงห์เอ็ดเพราะคนอยู่เยอะ ยืนคุยกันอยู่สักพักก็ต่างคนต่างแยกไปนั่งทำงานของตัวเอง

ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาไฟไม่ได้คุยกับพ่อเลยสักนิด แม้จะกลับบ้านกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาแต่ก็เหมือนมีเส้นกั้นบาง ๆ ที่ขวางทั้งสองพ่อลูกไว้อยู่ เป็นเส้นความคิดที่แตกต่างและกีดกันเส้นอีกฝ่ายไว้ไม่ให้เข้ามาได้

“มีข่าวมาว่าเสี่ยพันธ์จะส่งของ รีบไปดักจับ” อยู่ ๆ สารวัตรทัพก็เดินออกมา สั่งให้หมวดไฟอยู่สถานี ส่วนหมวดจัน จ่าคมและสิงห์ออกไปกับสารวัตร

“ทำไมผมถึงไปไม่ได้” หมวดไฟลุกขึ้นถาม

“ต้องอยู่สถานีเผื่อมีเรื่องฉุกเฉิน” สารวัตรว่าเพียงเท่านั้นก็ออกไปข้างนอก

“สิงห์...” ไฟนึกห่วงคนรัก

“ไม่เป็นไร” สิงห์ยิ้มบาง ๆ แล้วเดินลงตามไป

“มึงไม่เป็นไรแน่นะ” จันถามอีกครา

“ไม่เป็นไรจริง ๆ”

จันเลิกเซ้าซี้ตบบ่าเพื่อนหนสุดท้ายก่อนจะขึ้นไปนั่งบนรถ

“ผู้กองทราบไหมว่า เสี่ยพันธ์จะส่งของทางไหนบ้าง” หลังจากที่รถออกไปได้ไม่นานสารวัตรทัพก็ถามขึ้นมา

แต่สิงห์ก็ไม่ได้หันไปมองหน้าคนถาม “ไม่ทราบครับ”

“งั้นหรือ” สารวัตรพยักหน้า “แล้วเคยได้ยินข่าวเรื่องที่เคยมีเด็กอายุสิบเจ็ดสิบแปดเมื่อหลายปีก่อนทำงานแทนเสี่ยพันธ์ นายรู้ไหมว่าเด็กคนนั้นคือใคร”

ผู้กองหนุ่มยังคงนั่งนิ่งไม่แสดงท่าทีใดใด “ก็ไม่ทราบอยู่ดีครับ”

“หึ น่าแปลกนะ อยู่ที่นั่นแท้ ๆ แต่กลับไม่รู้อะไรเลย”

“ไม่หรอกครับ ผมสนใจแต่เรียนและฝึกการต่อสู้เท่านั้น ไม่ได้สนใจอย่างอื่นที่มัน... เลวระยำอย่างนั้น” คำหลังนั้นสิงห์หันไปเน้นย้ำให้ฟังโดยที่ยังคงไว้ใบหน้าเรียบเฉย

สารวัตรทัพกำหมัดแน่นก่อนจะสงบอารมณ์แล้วหันไปทางอื่น “ลูกโจรยังไงก็คือโจร เคยเกลือกกลั้วอยู่กับสิ่งผิดกฎหมายแต่ยังเข้ารับราชการได้ หึ น่าขันสิ้นดี”

จันที่ฟังอยู่แทบจะทนไม่ไหวเผลอเบรกรถกะทันหัน

“ทำอะไรของมึงวะ!” สารวัตรทัพเดือดดาล จับหัวตัวเองที่โขกเบาะหน้าเต็ม ๆ

“ขอโทษทีครับ พอดีตัวเหี้ยมันตัดหน้าไปเมื่อกี้” จันก้มหัวก่อนจะยักคิ้วให้สิงห์ที่ส่ายหน้าเอือม ๆ ใส่

“ทีหลังก็ขับดูทางดี ๆ สิวะ”

“ครับสารวัตร!” จันรับสั่งเสียงดังก่อนจะบึ่งรถด้วยความเร็วจนหลังสารวัตรกระแทกกับเบาะ

“มึง!”

ระหว่างทางจันถูกด่าจนหูชากลายเป็นว่าสารวัตรทัพไปสนใจแต่หมวดจันจึงทำให้สิงห์รู้สึกโล่งใจที่ไม่ต้องมานั่งฟังคำครหาพวกนี้

เพียงไม่นานก็มาถึงเส้นทางที่เสี่ยพันธ์จะผ่าน รออยู่ร่วมชั่วโมงก็มีรถใหญ่สัญจรผ่านมาจ่าคมโบกรถให้จอดแต่ก็ผิดคาดเมื่อสองรถคันใหญ่ขับฝ่าออกไปทันที

“หยุด!” หมวดจันตะโกน

ตำรวจทุกนายต่างหยิบปืนออกมายิงที่ล้อรถคันนั้นก่อนที่สิงห์จะขึ้นรถเป็นคนขับ “เร็วขึ้นรถ” พอได้ยินอย่างนั้นทุกคนก็ขึ้นรถยกเว้นสารวัตรที่ยังคงยืนอยู่ “สารวัตรขึ้นรถครับ”

“ให้ผู้กองขับมีแต่จะพาเปลี่ยนเส้นทางเสียมากกว่า”

สิงห์กำพวงมาลัยจนมือแดง “จันมึงมาขับ”

พอเปลี่ยนที่กันเสร็จเรียบร้อยสารวัตรก็ขึ้นมานั่งบนรถยังไม่วายแขวะสิงห์อีกเช่นเคย “มีคนไม่น่าไว้ใจอยู่แบบนี้ มันลำบากจริง ๆ”

“ถ้ามันลำบากขนาดนั้นทีหลังก็สั่งให้คนอื่นมาก็ได้นะครับ”

“ก็ถ้าไปสั่งคนอื่นแล้วปล่อยผู้กองไว้ที่สถานีจะไม่ออกไปส่งข่าวให้พ่อตัวเองหรอกหรือไง”

สิงห์กัดฟันกรอด

“ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้รถของเสี่ยพันธ์ไม่เคยคิดจะฝ่าออกไปแต่ทำไมวันนี้ถึงกล้าบ้าบิ่นนะ หรือมีตัวช่วยเลยไม่กลัวที่จะขับหนีหรือเปล่า”

สิงห์โกรธจนตัวสั่นจ้องหัวหน้าตัวเองไม่วางตา “สารวัตรอยากพูดอะไรก็พูดมาเลยดีกว่า”

“ฉันก็แค่สันนิษฐานไปตามที่เห็นเท่านั้น” สารวัตรทัพเปรยยิ้ม “หรือผู้กองคิดว่ามันไม่แปลกหรือไง”

แต่ก่อนจะพูดอะไรมากกว่านั้นจันก็จอดรถ “ตามไม่ทันเลยครับพวกมันไปทางไหนแล้วไม่รู้” ว่าแล้วก็ชี้ทางแยกสองทาง

“ไม่ทันก็กลับ”

“ลองไปทางขวาดู” สิงห์เอ่ยแทรก

“โอ้ ผู้กองรู้ด้วยหรือ”

“ผมแค่เดา แล้วอีกอย่างถ้ากลับไปเลยโดยไม่สำรวจดูก่อน อาจารย์ที่สอนผมตอนอยู่โรงเรียนนายร้อยบอกกับผมว่า คนพวกนี้เรียกว่าพวกคนทำงานชุ่ยนะครับ”

“เหอะ ปากดีให้นาน ๆ เถอะ” ว่าเพียงแค่นั้นก็สั่งให้จันขับไปทางขวา

“ไม่พบเลยครับ” จ่าคมเอ่ยบอกเมื่อลองสอดส่องตามเส้นทางที่มาก็ไม่เจอแม้แต่เงา

“ตั้งใจบอกเส้นทางผิดหรือเปล่าผู้กอง”

สิงห์ถอนหายใจ “ผมไม่เคยมีความคิดแบบนั้น”

สารวัตรทัพปรายตามองก่อนจะหัวเราะในลำคอ “ให้จริงแล้วกัน วนรถกลับสถานีซะ”

สิงห์ได้แต่นั่งเงียบแม้ภายในใจจะแผดเผาเพราะอารมณ์ที่ปะทุขึ้นมา ยิ่งมองรอยยิ้มที่สมเพชเขาก็ยิ่งไม่อยากจะใจเย็นเหมือนที่เตือนตัวเองมาตลอด อยากให้ชุดที่ใส่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นชุดธรรมดาและอยากให้ความยุติธรรมที่ตัวเองเคยมีหมดลงแล้วจัดการไอ้ตำรวจหน้าเลือดนี่ที่ปากมากทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ชั่วไม่น้อยกว่าโจร

แต่ก็รู้ว่าทำอะไรไม่ได้มากจึงเลิกสนใจรอยยิ้มและใบหน้าที่ดูสนุกเวลาได้ดูถูกคนอื่น เพียงรถขับจอดเทียบกับหน้าสถานีสิงห์ก็ลงรถไปโดยไม่หันมองคนข้างหลังเลยสักนิด

“สิงห์” เมื่อเห็นคนรักเดินเข้ามาไฟก็ลุกขึ้นไปหาทันที ถ้าเป็นคนอื่นก็คงดูไม่ออกว่าตอนนี้สิงห์หงุดหงิดมากแค่ไหน คงจะเห็นเพียงแค่ว่าผู้กองหนุ่มยังคงมีใบหน้าเรียบนิ่งและดูเย็นเยียบเหมือนเดิม แต่เขารู้ ดวงตานั้นที่ดุดันขึ้นมันบ่งบอกทุกอย่าง

หมวดไฟหันมองทางเพื่อนกับจ่าคมที่เพิ่งเดินเข้ามา จึงถามไถ่เรื่องราวทั้งหมดก็เป็นอันเข้าใจ สบถด่าหัวหน้าได้แต่ภายในใจก่อนจะยืนจับบ่าคนรักให้คลายอารมณ์โกรธ

แม้ใจอยากจะเข้าไปคุยกับสารวัตรให้รู้แล้วรู้รอดแต่ก็ต้องเก็บอารมณ์เอาไว้เพราะสิงห์คงไม่ชอบแน่หากเขายังจะใส่ไฟ ไม่อยากให้สิงห์ต้องคิดมากเรื่องเขาเพิ่มไปอีก

 

๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๑

“หลบ! มันมีระเบิด!” สิ้นเสียงสั่งของผู้กองหนุ่มนายตำรวจราวห้านายก็ต่างวิ่งหลบลูกระเบิดกันให้วุ่น เสียงระเบิดดังไปทั่วพื้นที่พร้อมกับเสียงล้อรถบดถนนออกไปด้วยความเร็ว

“โธ่เว้ย!” หมวดจันตบเข่าตัวเองมองรถส่งอาวุธที่ขับออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา

“เป็นอะไรไหมหมู่ดิน” สิงห์รีบพยุงลูกน้องที่ถูกสะเก็ดระเบิดเพราะอยู่ใกล้สุด

หมู่ดินตอบแค่เสียงร้องระคนเจ็บปวดกับแขนตัวเองที่เนื้อหนังแทบจะหลุดลุ่ย

“รีบพาหมู่ไปโรงพยาบาล เร็ว!” สิงห์สั่งลูกน้องที่ยังคงยืนทำอะไรไม่ถูกก่อนจะอุ้มหมู่ดินด้วยตัวเองพาขึ้นรถไปด้วย

การจับกุมรถส่งของเสี่ยพันธ์ก็ยังคงไม่มีความคืบหน้าใดใด ผ่านไปวันแล้ววันเล่าก็ถูกฝ่าด่านไปทุกรอบและเริ่มเล่นแรงถึงขั้นเอาอาวุธออกมาใช้โดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย ทุกครั้งที่กลับสถานีก็จะถูกสารวัตรด่าที่ทำงานไม่ได้เรื่อง

และวันนี้เองก็เช่นกัน

“เหอะ ปล่อยไปได้ยังไง มันเล่นถึงฆ่าขนาดนี้ไม่ตามไปล่ามันให้เสียซะจบ ๆ ไป หรือจะปกป้องลูกน้องพ่อตัวเองหรือไงผู้กอง” แม้น้ำเสียงจะดูโกรธทว่าสิงห์เองก็รู้ดีก็แค่ไอ้คนแสดงละครเป็นตำรวจแต่เนื้อในคือโจรของแท้

“หมู่ดินได้รับบาดเจ็บไม่อาจปล่อยให้ล่าช้าต้องพาไปโรงพยาบาลไม่อย่างนั้นคงเสียเลือดมาก บาดแผลเองก็สาหัส ถ้ายิ่งปล่อยไว้นานเข้าหมู่ดินอาจไม่รอด ผมต้องเลือกลูกน้องไว้ก่อน” สิงห์ตอบตามจริงเพราะรถมีคันเดียวจะขับไปล่ามัน หมู่ดินก็คงไม่รอดจนถึงตอนนี้

“มันโง่ที่ไม่ยอมหลบดี ๆ ผู้กองนั่นแหละที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้” สารวัตรชี้หน้าจนสิงห์ต้องขมวดคิ้ว

“จะกล่าวหากันไปเพื่ออะไรครับสารวัตร ผมเคยบอกไปแล้วว่าผมไม่เคยมีความคิดต่ำ ๆ อย่างนั้น”

“งั้นบอกมาซิว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมาตลอดตั้งแต่ผู้กองไปตั้งด่านจับพวกเสี่ยพันธ์ทำไมมันถึงเหิมเกริมหนักขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก่อนไม่เห็นจะเป็นอย่างนี้” สารวัตรแบมือก่อนจะเอนหลังจ้องหน้าลูกน้องไม่วางตา

สิงห์จ้องกลับไม่นึกกลัว “ผมคิดว่าต้องมีคนบงการอยู่เบื้องหลัง แต่ผมมั่นใจ ว่าผมไม่ใช่ไอ้คนชั่วพรรค์นั้น”

“กับคนที่คลุกคลีอยู่กับโจร กลับจากงานตำรวจก็อยู่บ้านที่เป็นของพวกโจร ใช้เงิน กินอาหารที่มาจากพวกค้าอาวุธค้ายา แล้วแบบนี้ยังจะให้ใครมามั่นใจได้!” สารวัตรตบโต๊ะลุกขึ้นจ้องเขม็ง

สิงห์จุกไปทั้งอก ไม่อาจปฏิเสธใดใดได้ มันก็จริง… กลับบ้านที่เป็นที่อยู่ของโจรแต่เพราะบ้านนั้นมีแม่และน้องสาวอยู่จำเป็นต้องกลับไปนอนที่นั่น แต่เงินใช้ทุกอย่างเป็นของตัวเองที่ทำงานราชการ ยกเว้นแต่… กับข้าวที่แม่ทำให้ทุกเช้าและเย็นมันมาจากเงินของพ่อทั้งนั้น…

นึกแล้วก็สมเพชตัวเอง…

สารวัตรหัวเราะขัน “ผู้กองเองก็คิดใช่ไหมล่ะ ลองคิดกลับกันดูสิว่าคนที่เป็นลูกโจรมาเป็นตำรวจ ขนาดทำงานรับใช้ประชาชนยังกลับไปคลุกอยู่กับพ่อตัวเองที่เป็นคนชั่วร้าย แล้วแบบนี้ใครจะมามั่นใจในตัวผู้กองที่คำพูดไม่รู้ว่าเรื่องจริงหรือไม่จริง”

สิงห์ไม่อาจเถียงอะไรออกได้สักคำแม้แต่แก้ตัวสักนิดก็ไม่ได้ ในเมื่อสิ่งที่สารวัตรพูดมันก็ถูกทุกอย่าง แม้เขาจะพูดมาตลอดว่าไม่เหมือนพ่อ แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะคิดว่าเขาพูดจริง

“เอาล่ะในเมื่อผู้กองพูดแล้วว่าอาจจะมีคนบงการเบื้องหลัง งั้นฉันให้เวลาหนึ่งเดือนในการตามตัวไอ้คนนั้นมาให้ได้ ไม่อย่างนั้น…” สารวัตรเงียบไปครู่เพราะกำลังเปิดลิ้นชักหยิบอะไรบางอย่างให้ สิงห์รับไปอ่านพลันร่างกายก็แข็งทื่อ “ผู้กองอาจจะถูกตัดสินว่าช่วยเหลือพ่อตนเองในการขนส่งของจนอาจถูกออกจากราชการ”

และนั่นเป็นครั้งแรกที่สิงห์รู้สึกเหมือนถูกพรากทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยตั้งใจทำมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นคนดีแค่ไหน บริสุทธิ์มากเท่าใดก็ยังคงมีเหตุผลที่ทำให้เขากลายเป็นพวกคนเลวไปเสียหมด

รู้ดีว่าทุกคนไม่มีสีขาวและสีดำไปทั้งหมด สิงห์เองก็มือเปื้อนเลือดเพราะฆ่าคนแม้จะเป็นโจรแต่ก็ถือว่าฆ่าเหมือนกันและเขาเองไม่เคยคิดเห็นใจ แต่ว่า… สิ่งไหนที่เขายึดมั่นแล้ว สิ่งไหนที่เขาคิดไว้แล้วว่าจะต้องทำให้ได้ สิ่งนั้นที่เรียกว่าการเป็นตำรวจอย่างซื่อสัตย์และยุติธรรมที่ใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็ก มันจะพังทลายลงแล้วจริง ๆ หรือ

“ถ้าเข้าใจก็ออกไปได้แล้ว” สารวัตรนั่งลงมุมปากก็หยัดยิ้ม

สิงห์เก็บเอกสารที่ถูกส่งมาจากกรมตำรวจภูธรเขต ๑ แล้วเดินออกไปด้วยความรู้สึกที่อธิบายได้ยาก มันทั้งอ้างว้างและเหมือนถูกทุบให้กลายเป็นดินเป็นกรวดที่มิอาจต่อเติมกลับขึ้นมาใหม่ได้

ชีวิตคนเรามันเลือกเกิดไม่ได้จริง ๆ หรือชาติที่แล้วไปทำบาปทำกรรมกับใครเอาไว้กัน ชาตินี้ถึงได้เจอแต่เรื่องไปเสียหมด

“เป็นไงบ้าง มันพูดอะไรหมา ๆ ฮึ” จ่าธงเท้าเอวแอบมากระซิบคุยให้ได้ยินเพียงสองคน ตนต้องมาดูแลแทนเพราะเจ้าไฟมันออกไปจับโจรที่ขโมยทองเดือดร้อนให้คนอื่นต้องมาดูคนรักแทน เพื่อนอีกคนก็มีงานด่วนที่พระนครไม่ได้มาช่วยดู ก็เลยมาตกที่จ่าธง แต่ว่าถึงจะไม่บอกไอ้เขาก็เอ็นดูเจ้าสิงห์เหมือนหลานเวลาไม่มีใครอยู่ก็อยากอยู่กับมัน

“ผม...” ถึงแต่ก่อนเวลามีอะไรสิงห์ก็จะบอกว่าไม่เป็นไรแล้วเดินหน้าต่อแต่วันนี้มันเหนื่อยล้าไปทั้งกายและใจจนถึงกับน้ำตาคลอ “ผมต้องทำถึงขนาดไหนคนอื่นถึงจะเห็นว่าผมตั้งใจจะเป็นตำรวจจริง ๆ หรือครับลุง”

จ่าธงถอนหายใจตบบ่าหลานไปทีพร้อมกับโอบเล็กน้อย “ไม่ว่าใครจะพูดอะไรก็อย่าไปใส่ใจเลยไอ้สิงห์ มองสิ่งรอบตัวดู ทั้งชาวบ้านที่เอ็งเคยช่วยเหลือ ทั้งข้า ไอ้ไฟและตำรวจที่ช่วยเหลือเอ็งตลอดนั่นน่ะ ทุกคนพร้อมเชื่อมั่นและช่วยเสมอเพราะพวกเขาไว้ใจเอ็งนะ การจะทำสิ่งใดต้องแลกมาด้วยความพยายาม เอ็งได้ทำให้ใครหลายคนได้รู้แล้วว่าเอ็งเป็นตำรวจที่รักในอาชีพอย่างสัตย์จริง ข้าเองก็เป็นคนหนึ่งที่เชื่อว่าเอ็งสมกับเป็นตำรวจที่สุดแล้ว”

ผู้กองหนุ่มเม้มปาก ยิ่งฟังจ่าธงพูดใจดวงน้อยก็มีชีวิตชีวาขึ้นมา ถึงจะเสี้ยวเล็ก ๆ แต่ก็อบอุ่นไปทั่วกาย “ขอบคุณนะครับลุง ขอบคุณจริง ๆ”

“ทั้งเอ็งและไอ้ไฟต่างก็เหมือนหลานข้า ในฐานะลุงคนหนึ่งข้าก็อยากให้เอ็งสู้อีกนิดนะสิงห์เอ้ย... หากมันจะเป็นยังไงข้าก็จะอยู่ข้างเอ็งไม่เปลี่ยน”

สิงห์ยิ้มขึ้นได้ ก่อนจะพนมมือไหว้จนจ่าธงห้ามแทบไม่ทัน “ถ้าไม่มีจ่าธงผมก็คงมัวแต่นั่งเฉย ๆ ไม่ทำอะไรเป็นแน่”

“เอ้อ ๆ เอาเถอะ ไม่ต้องไหว้หรอกเดี๋ยวคนมาเห็นขึ้นมา ราศีของรองสารวัตรจะดับหมด” ว่าแล้วก็หันซ้ายหันขวา

“อย่าพูดอย่างนั้นสิครับถึงจะเป็นรองสารวัตรแต่ก็ต้องรู้บุญคุณ ลุงก็เป็นคนที่พาให้ผมมาอยู่ในจุดนี้ อย่าได้ห้ามผมเลยนะ”

“เฮ้อ พูดยากสมกับเป็นคนรักของไอ้ไฟเลยนะ” จ่าธงส่ายหน้าแต่คนฟังเริ่มแก้มแดงเป็นลูกมะเขือเทศไปแล้ว

“อย่าพูดดังสิครับ”

“เออ โทษที อดบ่นไม่ได้เด็กสมัยนี้ทำเอาคนแก่ตามไม่ทันแล้ว ฮ่า ๆ” จ่าธงหัวเราะเสียงดังเลยพลอยให้สิงห์หัวเราะตามไปด้วย ได้กำลังใจขึ้นเยอะ ก็เริ่มจะตามหาคนบงการ แม้ว่าคนคนนั้นมันจะเป็นไอ้คนที่... เป็นหัวหน้าของเขาก็ตาม



*มีต่อนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-09-2020 11:08:41 โดย IMYean. »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด