เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๒๓
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๒๓  (อ่าน 18686 ครั้ง)

ออฟไลน์ piakunaa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๗
«ตอบ #30 เมื่อ15-06-2020 09:59:39 »

อ่านตอนนี้​แล้วใครจะสงสารพี่ปราชญ์​ก็สงสารไปค่ะ​ แต่เราทีมต้นสนมาตั้งแต่ต้น​ จุดยืนเราแข็งแกร่ง​มั่นคงต่อต้นสนเท่านั้น​ ดิชั้นรู้สึกสะใจมากที่เห็นพี่ปราชญ์​ร้องไห้​ แค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำกับสิ่งที่ต้นสนต้องเจอ(แอบรักมันเจ็บ)
เป็น​กำลัง​ใจ​ให้​นักเขียน​นะคะ​ สู้​ๆ​นะคะ​นักเขียน​

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๗
«ตอบ #31 เมื่อ15-06-2020 20:21:07 »

ยังไง ก็ยังอยากจะเชียร์ ธัน+ต้นสนอยู่ดี ถึงแม้จะเป็นไปไม่ได้ อิอิอิ

ออฟไลน์ Tin Tin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๗
«ตอบ #32 เมื่อ17-06-2020 22:07:17 »

จิ้นต้นสนกับชายธันอ้ะ
ถ้าพล็อตเรื่องเป็นต้นสนดัดนิสัยคุณชายเอาแต่ใจอย่างชายธัน จะเป็นยังไง  :laugh:

ออฟไลน์ psychological

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๗
«ตอบ #33 เมื่อ17-06-2020 22:22:03 »

 :pig4:

ออฟไลน์ Pppkn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๗
«ตอบ #34 เมื่อ17-06-2020 22:51:57 »

ดูทรงคนที่รักมาก ก็เจ็บมากที่สุด

เมื่อไหร่พี่ปราชญ์จะรู้ใจตัวเอง // ปาเพลงอยากรู้หัวใจตัวเองของ วี ให้พี่ปราชญ์

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๘
«ตอบ #35 เมื่อ21-06-2020 18:18:33 »

 


บทที่ ๘

ฝืน




ผ่านพ้นมาช่วงเย็นของอีกวัน งานต้อนรับคุณชายใหญ่ของวังศุลภาณันท์ก็ถูกจัดขึ้นอย่างหรูหรา แขกมากหน้าหลายตาต่างก็มาร่วมงานยินดีต้อนรับกลับของคุณชายปภารัช รวมถึงมีน้อง ๆ มาร่วมเปิดงาน

ปภารัชอยู่ในชุดสูทสีครีม ผูกโบสีเดียวกันเข้ากันดีกับเสื้อกั๊ก น้องชายพากันใส่สูทออกสีเข้ม เพราะบอกว่าเจ้าของงานจะได้เด่น

ไหนว่าจัดรวมกันสามคนไม่ใช่หรือ

“สวัสดีครับคุณอา”

“สวัสดี ๆ โตขึ้นเยอะเลยนะ”

ปราชญ์ยิ้มบาง ทักทายใครหลาย ๆ คนและรับของมาบ้าง

“พี่ชายใหญ่ครับ”

“ว่าไงชายกรณ์ หิวแล้วหรือ”

“เปล่าครับ” อิตธิกรณ์ส่ายมือแล้วก้มกระซิบ

“หม่อมย่าฝากถามว่าสนใจไปนั่งร่วมวงกับน้องวรัญหรือเปล่า ถ้าสนใจให้ไป หรือถ้าไม่ก็รับแขกต่อ”

ปภารัชถอนหายใจ “ไม่ไปแล้วจะดูเสียมารยาทน่ะสิ”

“ไม่หรอกครับ หม่อมย่าท่านกระซิบกระซาบกับผมอีกที ไม่ได้บังคับ เพราะผู้ใหญ่เขาก็คุยกันอยู่”

“ถ้าอย่างนั้นพี่ขออยู่ที่นี่ต่อแล้วกัน”

ชายกรณ์พยักหน้า “จะว่าไปแล้ว พี่จะบอกเรื่องคุณภวัตกับผู้ใหญ่เมื่อไรหรือครับ”

ปราชญ์เงียบลงลืมบอกเรื่องนี้กับน้อง ๆ เลย ทว่า ยังไม่ทันจะเอ่ยปากใดใด ก็ถูกหม่อมแหวนเรียกให้ไปรับแขก เรื่องคนรักของปราชญ์จึงลืมเลือนไปอีกครา

งานเริ่มตั้งแต่ช่วงเย็นจนถึงค่ำ ปภารัชดื่มไวน์และมองไปรอบ ๆ งาน บรรยากาศดูอบอุ่นเสียจริงในความรู้สึกของคนที่ไปเรียนต่างแดนมาเนิ่นนาน

ด้วยอายุก็มากขึ้นนี้ ปภารัชคิดว่าบางทีอาจจะหาซื้อบ้านสักหลังที่ห่างไกลผู้คน อยู่แถบชายทะเลก็ดีไม่หยอก กลิ่นไอเกลือและเสียงคลื่นซัด นึกแล้วก็อดยิ้มกับตัวเองไม่ได้

แต่คงไม่ไปเร็ว ๆ นี้หรอก คิดว่ารออีกสักสิบ ยี่สิบปีค่อยไปทำเลที่นั่น

ถึงแม้ว่าอาจจะได้อยู่ที่นี่เพราะต้องเป็นคนดูแลจัดการแทนเด็จพ่อในอนาคต แถมยังมีสอนที่มหาลัย คงต้องยี่สิบปีอย่างต่ำที่อยู่ที่นี่แล้วแหละนะ

“ไงคุณชาย” เสียงใครบางคนทักขึ้น ปภารัชหันไปมองก่อนจะคลี่ยิ้มกว้าง

“ราม ไม่เจอกันนานเลย” รามคือเพื่อนสมัยมัธยมที่สนิทมากคนหนึ่ง ตอนนี้เห็นว่ามีภรรยาและลูกสาวอีกสองคน

“ไปนอกมาได้สาวผมทองกลับมาบ้างหรือเปล่าวะ” รามก้มถามอย่างสนอกสนใจ

“ได้อะไรล่ะ ไม่มี”

รามถอนหายใจ “อะไรวะไอคุณชาย เสียของชะมัด”

“แค่ไปเรียนไม่ได้ไปตามหาความรัก” ถึงจะเคยมีคนรักก็เถอะ...

“ครับ ๆ คุณพ่อพระ สนแต่การเรียนเหมือนเดิม อ่านหนังสือทั้งวันเลยมั้งน่ะ”

ปภารัชหัวเราะ “ก็ใช่”

“นั่นไง”

“ว่าแต่ลูกสาวกับภรรยาเป็นยังไงบ้าง”

“ภรรยาก็สบายดี ลูกสาวคนพี่เป็นแม่บ้านแม่เรือน ส่วนคนน้องดื้อ ทำอะไรไม่เป็น แต่ดันเก่งชกต่อย”

ปภารัชยิ้ม “จริงหรือ”

“หายากนะผู้หญิงที่สู้ผู้ชายกลับ ควรภูมิใจดีไหมนะ”

“ควรภูมิใจสิ จะได้รู้ว่าลูกสาวก็สู้คนเป็น ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนที่อยากจะเป็นแม่บ้านแม่เรือน ให้เธอทำในสิ่งที่ชอบเถอะ” ที่ปราชญ์บอกเพื่อนอย่างนี้ เพราะแม่เขาเป็นตัวอย่างของผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่ยอมก้มหัวหรือน้อมรับการกดขี่ผู้หญิงให้อยู่ต่ำกว่า และเขาก็เห็นด้วยมาก ๆ ที่ควรจะยุติเรื่องสังคมชายเป็นใหญ่ได้แล้ว

ชลันที่นั่งอยู่กับน้องหันมองเจ้าของงานที่เดินไปคุยกับเพื่อนที่น่าจะเป็นเพื่อนสมัยมัธยมอย่างออกรส รอยยิ้มประดับบนใบหน้าอย่างดูมีความสุข ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงยิ้มตามไปแล้ว แต่พอนึกถึงเรื่องเมื่อวานนี้ที่เห็นน้ำตาของอีกฝ่าย ต้นสนก็ไม่สามารถเอาภาพออกไปจากหัวได้เลยเอาแต่นั่งจมทุกข์อยู่คนเดียว

“ไปทักพี่ปราชญ์หรือยังลูก” แม่เดินมาถามหลังจากไปคุยกับหม่อมแหวนเรื่องช่วยในการส่งพืชผลออกต่างประเทศ

“ยังเลยค่ะแม่ เอาแต่นั่งมองพี่ปราชญ์อยู่นั่นแหละ” ชลันถึงกับหน่ายใจที่น้องสาวชิงพูดก่อนตน

ต้นอ้อขมวดคิ้วเธอมองลูกชายที่ยังคงใส่ชุดตำรวจเพราะเพิ่งกลับจากงาน เธอก็ให้ลูกชายมาร่วมงานทันที “ทำไมไม่ไปทักล่ะต้นสน”

“เขามีแขกอยู่”

“ต้นสนทะเลาะอะไรกับพี่เขาใช่ไหม”

“เปล่าสักหน่อยครับ” ชลันถอนหายใจแล้วหยิบของมากิน

“เมื่อวานเย็นแม่นั่งอยู่ชั้นล่างในบ้านเห็นพี่ปราชญ์ร้องไห้ตอนคุยกับต้นสน”

“จริงหรือคะ!?” ฟ้าใสเผลอเสียงดังจนถูกแม่เตือนเลยกระซิบเบา ๆ “ทะเลาะกันรุนแรงขนาดไหนถึงทำพี่ปราชญ์ร้องไห้ได้ล่ะพี่ต้นสน”

ชลันปลีกตัวออกไปก็ไม่ได้หลบหน้าก็ยิ่งมีพิรุธ จึงได้แต่นั่งปลงตก “ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่เป็นเรื่องเข้าใจผิดเท่านั้น”

“ถ้าอย่างนั้นก็ไปคุยกับพี่เขาให้รู้เรื่องสิลูก”

“ไว้ก่อนครับแม่”

“ไม่ได้... ไปเลย เร็ว” ไม่ว่าเปล่ายังดึงแขนลูกชายให้ลุกขึ้น

ชลันทำตัวแข็งทื่อ ผู้เป็นแม่แทบจะดึงไม่ไหว

“เจ้าลูกคนนี้ ลุก”

“ไม่เอา”

“มานี่ค่ะแม่ หนูช่วย” เจ้าน้องตัวแสบเดินอ้อมมาพร้อมกับดึงแขนจนชลันเกือบหน้าคะมำ ถูกแม่กับน้องลากไปหาเจ้าของงานที่หันมามองทางนี้ทันทีเมื่ออยู่ในระยะสายตา

“พี่ปราชญ์คะพอดีพี่ต้นสนมีเรื่องอยากจะคุยด้วย”

ปภารัชมองต้นสนที่ดูไม่เห็นอยากจะคุยอย่างที่ว่าเลย แต่ก็ต้องหันไปพยักหน้ากับเพื่อนแล้วเปรยยิ้มบางให้น้อง

“มีอะไรหรือครับ”

“คุยกันให้เรียบร้อยนะ ไปฟ้าใส” ต้นอ้อตบแขนลูกชายเบา ๆ แล้วหันไปจับแขนลูกสาวให้เดินออกไปรอที่เดิม

ชลันมองตามสองแม่ลูกก็ได้แต่พรูลมหายใจ มองคนตรงหน้าที่ยังคงจดจ้องกันและรอยยิ้มก็หายไปแล้ว

“มีอะไรจะพูดหรือครับ” ปราชญ์ถามย้ำ

คนถูกบังคับได้แต่อึกอัก ทำตัวไม่ถูกเข้าไปใหญ่ ยังไม่อยากพูดอะไรตอนนี้เลยด้วยซ้ำ แต่ในเมื่อมาแล้วก็คงต้องพูดอะไรบ้าง

“ผมแค่จะบอกว่า… ยินดีต้อนรับกลับไทยครับ ดีใจที่ได้เจอกัน” ถึงเสียงจะเรียบนิ่งไปบ้าง ผิดกับดวงใจที่เต้นสั่นไหวรุนแรง ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีพี่ปราชญ์ก็ยังคงมีผลต่อหัวใจของต้นสนเสมอ

ปภารัชมองใบหน้าที่นิ่งเฉย น้องพูดขนาดนี้แต่หัวใจกลับเหมือนถูกบีบรัด ดวงตาภายใต้กรอบแว่นฉายแววตัดพ้อ “ฝืนหรือเปล่า ถ้าฝืนก็ไม่เป็นไรนะ”

ผู้หมวดหนุ่มเงียบลง เมื่อมาถึงตอนนี้ก็ดูอะไร ๆ จะไม่เป็นใจ คงเพราะนิสัยแย่ ๆ ของเขาที่เผลอไปโกรธพี่ปราชญ์ตั้งแต่แรกเจอ ทำไมถึงจำหน้าไม่ได้ นั่งคุยกันตั้งนานแต่กลับไม่รู้ว่าเขาคือใคร เอะใจสักนิดก็ไม่มีเลยหรือ เพราะแบบนี้ต้นสนเลยบอกชื่อจริงเพราะพี่ปราชญ์ไม่รู้ว่าชื่อจริงเขาชื่ออะไร และคงเพราะโกรธ หึงเรื่องคนรักจึงพาลไปหมด

จากที่คิดจะโกหกและมาพูดด้วยดี ๆ ไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร

เขาควรจะโกหกเรื่องอะไรก็ได้ พี่ปราชญ์จะได้ไม่ต้องเสียน้ำตาให้กับคนอย่างเขา แต่ทำไมนะ ความเห็นแก่ตัวนี้ คล้ายไฟสุมทรวงในอก ยิ่งคิดว่าพี่ปราชญ์กับคนรักใช้ชีวิตด้วยกันยังไง อยู่กันมาตั้งกี่ปี ต้นสนก็กลายเป็นคนไม่มีเหตุผลขึ้นมาเสียดื้อ ๆ

“อะไรทำให้คิดอย่างนั้นครับ”

ปราชญ์หลุบตาหนีซ่อนความอ่อนแอไว้ “ถ้าไม่ฝืนก็ขอโทษด้วยนะที่พูดจาสื่ออย่างนั้น”

“ที่คิดแบบนี้ เหมือนเห็นผมเป็นคนอื่นเลยนะครับ”

ปภารัชหันมองทันทีก่อนที่ชายหนุ่มจะหัวเราะในลำคอ “พูดกับตัวเองด้วยสิ ใครกันแน่ที่เห็นพี่เป็นคนอื่น”

อีกแล้วความรู้สึกนี้ มันเจ็บ มันทรมาน มันอึดอัด ใบหน้าที่แสนจะเย็นชาทำปราชญ์อยากจะหนีไปให้ไกล ไม่คิดเลยว่าเด็กคนนี้จะมีอิทธิพลต่อเขามากขนาดนี้

“ขอโทษนะครับที่ทำให้รู้สึกผิดหวังหรือรู้สึกไม่ดี”

“มันคงจะดีกว่านี้ถ้าพูดให้พี่เข้าใจ เพราะพี่ไม่อยากจะทำเหมือนทะเลาะกับต้นสนตลอดเวลาหรอกนะ”

ต้นสนหลุบตาลง “ขอโทษครับ”

“บอกพี่ได้หรือเปล่าว่ามันเพราะอะไร”

“ผม...”

“คุณชายใหญ่คะ” ปภารัชหันไปมองพี่แตงที่วิ่งเหยาะ ๆ มาทางนี้

“มีอะไรครับ”

“มีสายจากทางไกลชื่อคุณภวัตค่ะ ไม่ทราบว่าใช่คนรู้จักคุณชายหรือเปล่าคะ”

ปราชญ์นิ่งไปทันที ไม่รู้ว่าทำไมต้องหันไปมองน้องด้วย ดวงตาต้นสนจากที่อ่อนลงเหตุใดถึงแข็งกร้าวขึ้นมา

“ใช่ครับ เดี๋ยวผมไป”

“ค่ะ”

ปราชญ์มองแตงเดินออกไปแล้วก่อนจะหันมาหาต้นสน “ไว้เราค่อยคุย—”

“ไม่ต้องหรอกครับ เชิญคุณชายตามสะดวก” ชลันพูดเสียงเรียบแล้วเดินออกไปทันที ต่างจากปราชญ์ที่ไม่รู้ว่าทำไมต้นสนถึงดูโมโหอย่างนั้น

ผู้หมวดหนุ่มขอตัวกับแม่เพื่อกลับบ้าน ตอนแรกต้นอ้ออยากจะถามไถ่แต่พอเห็นใบหน้าเศร้าหมองของลูกชายจึงไม่อยากบังคับมากเลยบอกให้อาบน้ำอาบท่านอน ชลันกัดฟันกรอดเพื่อกลั้นความอ่อนแอ

คุณภวัต...

ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเป็นใคร เพราะธันบอกว่าคนรักของพี่ปราชญ์ชื่ออะไรและคนคนนั้นเป็นผู้ชายที่ดีมากแค่ไหนจนถึงทำให้ธันยอมรับและฝากฝังพี่ชายของตนเองไว้ได้ เขาแพ้หมดรูปเลย แพ้ทุกอย่าง แพ้ให้กับผู้ชายที่ชื่อภวัต

พวกเขาโตกันแล้วคงเหมือนลุงสิงห์กับลุงไฟสินะ คงจะเตรียมไปอยู่ด้วยกันแล้วหรือเปล่า

พอคิดได้อย่างนั้นต้นสนก็เผลอน้ำตาซึม ผู้หมวดหนุ่มที่แสนจะเย็นชาต่อหน้าคนอื่นกลับมีน้ำตาออกมาเพียงเพราะคนคนเดียว

ปภารัชเดินเข้าไปในวังและตรงไปยังโทรศัพท์ ถอนหายใจไปรอบและยกสายขึ้น “ครับ”

(ปราชญ์ เป็นอย่างไรบ้าง)

คนถูกถามยังคงใบหน้าเรียบเฉย “สบายดีครับ แล้วภวัตล่ะ”

(ก็ดีครับ... คิดถึงปราชญ์นะ)

“ภวัต” ปราชญ์หลับตาลงและลืมตาอย่างคนเหนื่อยใจ “เราตกลงกันแล้วนะ”

(แต่ผมคิดถึงคุณจริง ๆ พอกลับจากทำงานแล้วไม่มีคุณอยู่ข้าง ๆ ผมเหมือนอยู่ตัวคนเดียวเลย)

ปราชญ์นึกใบหน้าของอีกฝ่ายออกว่ามีความเศร้าเสียใจแค่ไหน “ภวัต ผมไม่อยากพูดซ้ำหลายรอบ โต ๆ กันแล้ว”

(แต่ผมคิดถึงคุณจริง ๆ นะ)

เรื่องของเรามันจบไปนานแล้ว

ปลายสายเงียบลงไปทันที ปราชญ์นวดขมับ เขากับภวัตเลิกกันไปตั้งแต่สี่ปีที่แล้ว แต่ภวัตก็ยังคงติดต่อหาเรื่อย ๆ แม้ปราชญ์จะย้ำแล้วย้ำอีกว่าอย่าติดต่อกันหากยังคงรู้สึกไม่อย่างนั้นภวัตจะตัดเขาออกจากชีวิตไม่ขาด ที่เลิกกันเพราะว่าปราชญ์ไม่ได้รู้สึกรักหรืออยากอยู่ร่วมกันไปจนแก่เฒ่าอีกแล้ว มันเหมือนอยู่ในจุดอิ่มตัว เรื่องนี้ก็ไม่ได้บอกน้องเลยเพราะจะกลับมาบอกเอง มีแต่เพื่อนอย่างอาทิตย์เท่านั้นที่รู้

แน่นอนว่าแรก ๆ ตัดกันได้ลำบากเพราะความสัมพันธ์อันยาวนานร่วมแปดปีมันก็มากจนกลายเป็นผูกพัน แต่ปราชญ์เป็นคนแรกที่ถอยออกมาได้ก่อนไม่อยากให้ชีวิตคู่มันยืดยาวโดยไม่มีความรักเลย เมื่อไรไม่รู้ที่ปราชญ์ไม่ได้รู้สึกกับภวัตอย่างเดิม มันอาจจะเป็นก่อนหน้านั้นนานแล้วเพียงแต่ยังไม่มั่นใจ

ที่ปราชญ์บอกไม่มีใครก็คือไม่มีใครจริง ๆ ปราชญ์ไม่ชอบโกหก เขาชอบพูดตรง ๆ ถ้าเขายังคบกับภวัตยังไงก็ต้องบอกว่ามีคนรักแล้ว แต่จะแนะนำให้ผู้ใหญ่รู้จักทีหลัง แต่เพราะว่าเขาเลิกกับภวัตไปนานแล้วจึงไม่มีใครดั่งที่พูด

(คุณเข้ามาในชีวิตผม มาเปลี่ยนอะไรหลายอย่างให้กับผม แล้วคุณก็มาทิ้งผมงั้นหรือ”

ปภารัชไม่เคยชินกับน้ำเสียงสั่นเครือของอีกฝ่าย เขากำโทรศัพท์แน่น “ภวัต ผมขอโทษแต่ผมขอร้องนะ ถ้าคุณยังเป็นแบบนี้คุณจะลืมผมไม่ได้”

(ต่อให้ไม่ติดต่อผมก็ลืมไม่ได้อยู่ดี)

ชายหนุ่มถอนหายใจไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว เขาไม่อยากทำเป็นสงสารเดี๋ยวจะดูเหมือนให้ความหวังเสียเปล่า ๆ “เลิกติดต่อมาเถอะนะ

(ปราชญ์ ถ้าคุณยังไม่มีใครไว้เราไปอยู่ด้วยกันได้ไหมครับ)

ปภารัชหลับตานิ่ง “ต่อให้ผมไม่มีใคร ผมก็ไม่อยากให้คุณมาทนอยู่กับผม เราจบกันไปแล้วก็ขอให้จบลงแค่ตรงนั้นเถอะนะ”

เรื่องนี้เขาคงผิดเองที่ไม่ยอมตัดให้ขาดตั้งแต่แรก ยังยื้อชีวิตคู่ต่อไปแม้ว่าจะไม่รู้สึกรักแล้ว เขาผิดที่ไม่เด็ดขาดปล่อยให้ภวัตเขามาวนเวียนตลอดแม้ว่าจะเลิกรากันไปแล้ว เพราะเขาเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่าเราคบกันมานานขนาดนี้แล้ว นึกว่าจะไปด้วยกันรอด สุดท้ายก็ไม่

ไม่ว่าจะนานอีกสิบปี ยี่สิบปี เมื่อบทจะเลิกก็เลิกกันเสียอย่างง่ายดาย บางคนไม่ได้รักกันแล้วแต่ยังอยู่เพราะผูกพันหรืออาจจะเพราะมีเรื่องลูกพ่วงด้วย ยิ่งอยู่ก็มีแต่ความทุกข์ มองและยิ้ม บอกรักให้กับคนที่ไม่รู้สึกอย่างเดิม มันน่าเจ็บปวดกว่าการเลิกราและไม่ติตต่อ เพราะกายเขาอยู่กับเราแต่หัวใจถูกปิดกั้น ต่อให้ทำดีมากเท่าใดการเลิกรักก็คือเลิกรักอยู่ดี

ปราชญ์เองก็ไม่อยากทนอยู่แต่กับความรู้สึกผิด แม้เราจะกอด จะจูบ ปราชญ์ก็ไม่ได้มีอารมณ์ร่วม คำบอกรักต้องทำได้แต่กล้ำกลืนไม่พูดมันออกไป ทุกครั้งที่เขาไม่ได้ตอบรับภวัตอย่างเดิม ภวัตจะทำเพียงยิ้มและแอบไปนั่งเสียใจคนเดียว ปราชญ์ไม่อาจทนมองชีวิตพวกเขาได้อย่างนี้จริง ๆ

การที่จะดีต่อตัวภวัตที่สุดก็คือยุติความสัมพันธ์ลง

(เข้าใจแล้วครับ)

ปภารัชได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นดังอยู่แว่ว ๆ เขาจำต้องเป็นคนใจร้ายผละโทรศัพท์วางลง แต่ถึงอย่างนั้นก็โทรศัพท์หาเพื่อนสนิทที่ตอนนี้เป็นท่านทูตแทนผู้เป็นบิดาเสียแล้ว โทรคุยกันได้เพื่อนคนนี้ก็พูดไปทั่วจนปราชญ์ต้องบอกให้วกกลับมาเรื่องเดิม

“ฝากดูภวัตหน่อยนะ”

(นายยิ่งให้เพื่อนอย่างฉันไปดู ภวัตจะไม่เศร้ากว่าเดิมหรือ)

เขาเองก็คิดอย่างนั้น “ส่งใครไปดูก็ได้ ไม่ต้องเข้าไปหรอกให้ดูไว้เผื่อเกิดเรื่องอะไร”

(อืม... ถ้าอย่างนั้นให้เลขาฉันไปดูก็ได้... Excuse me!?)

เสียงชายคนหนึ่งแทรกขึ้น ปภารัชรู้จักอยู่บ้าง เพราะเลขาคนนี้เป็นลูกชายของเลขาคนก่อนของท่านชายพีระ อายุมากกว่าพวกเขาสี่ปีได้ จึงเปรียบเสมือนพี่ชายของพวกเขาเวลาอยู่ที่อังกฤษ

“ฝากรบกวนคุณเวย์ด้วยนะ”

(ได้ไม่มีปัญหา... Wait! คุณชาย! ... แค่นี้ก่อนนะ see you)

ปภารัชถอนหายใจได้แต่ขอโทษขอโพยพี่คนนี้ในใจที่รบกวนเรื่องของตนเอง แต่คงนึกใครไม่ออกแล้วที่ช่วยเรื่องนี้ได้

พอหมดเรื่องเครียดจึงนวดขมับและเดินออกจากงาน รอยยิ้มจุดขึ้นเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เสียมารยาทต่อแขกที่มา

แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เห็นต้นสนเสียแล้ว...

“คุยกับใครมาครับทำไมหน้าดูเครียด ๆ” ชายธันเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าพี่ของตนคุยโทรศัพท์เหมือนมีเรื่องอะไร

“พี่ทำหน้าอย่างนั้นหรือ!?” ปราชญ์รีบหันหลบแขกกลัวว่าแขกจะคิดว่าเขาไม่มีความสุขกับงานวันนี้

“เปล่าหรอกครับ” พูดเสร็จก็พลิกตัวคนพี่ให้หันมา “ก็แค่ตอนคุยโทรศัพท์น่ะครับ”

ชายใหญ่ถอนหายใจ “ไว้เสร็จงานพี่จะเล่าให้ฟังนะ ตอนนี้พี่ขอพักเรื่องเครียดไว้ก่อน”

“ได้ครับ เพราะผมก็ไม่อยากให้พี่ชายใหญ่เครียดเหมือนกัน”

คนพี่ยิ้มกว้างขึ้นมาได้จึงยกมือลูบแขนน้อง “ขอบคุณที่เป็นห่วงนะ”

งานต้อนรับจบลงไปด้วยดี ปราชญ์ยืนรอส่งแขกให้หมดก่อนถึงจะขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อจะเตรียมเข้านอน

กว่าจะนึกได้ว่าลืมคุยกับน้องเรื่องคนรักทั้งวังก็ปิดไฟกันหมดแล้ว ปราชญ์เลยคิดว่าจะเล่าให้น้องฟังพรุ่งนี้

ชายหนุ่มเดินมาพิงที่หน้าต่างในมือมีผ้าขนหนูผืนเล็กคอยเช็ดผมที่เปียก ดวงตามองไปยังดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยว นกบินผ่านอยู่หลายตัว พลันหลุบตามองไปทางบ้านอีกหลังที่ห่างแค่คลองกั้น ดวงใจก็สั่นไหวเมื่อเห็นแผ่นหลังกว้างที่นั่งพิงหัวเตียงที่อยู่ใกล้หน้าต่าง

ไม่รู้ว่ามองนานเพียงใดถึงได้เห็นว่าต้นสนกำลังลุกขึ้นเหมือนจะปิดหน้าต่าง เป็นอีกครั้งที่ปราชญ์คาดหวังว่าจะเห็นเด็กคนนี้โบกมือให้อย่างเคย

แต่กลับได้รับเพียงดวงตาที่เพ่งมองมา ถึงจะอยู่ไกลแต่ก็พอรู้สีหน้าว่าต้นสนไม่ได้ยิ้มให้เขาเลยสักนิด...และยังปิดหน้าต่างทันที

จนดวงใจที่เต้นแรงนั้นเบาลง

ปราชญ์ถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าใดก็ไม่รู้ของวันเขาเอื้อมมือไปปิดหน้าต่างบ้าง แม้จะขอมีหวังอีกสักนิดที่น้องเปิดออกมา รอจนแล้วจนเล่าก็ไม่มีวี่แววจนเห็นไฟที่เล็ดลอดออกมาเล็กน้อยนั้นดับลง ปราชญจึงต้องปิดหน้าต่างอย่างเสียไม่ได้

พรุ่งนี้ก็ต้องไปสอนแล้ว คงจะทำให้ลืมเรื่องต้นสนไปบ้างไม่มากก็น้อย

 


เฝ้าคำนึง

 


ปภารัชยืนอยู่หน้าชั้นเรียน สอนเป็นคาบที่สามของวันแล้วและมีนักเรียนรวมถึงอาจารย์รู้จักเขามากขึ้น ข่าวที่เขาเข้ามาสอนที่มหาลัยแห่งนี้ก็แพร่ไปทั่ว มีหลายคนมาทำความรู้จักจนปราชญ์แทบจะจำชื่อได้ไม่หมด

“อาจารย์หม่อมคะ”

“ครับ”

“คือว่าถ้าเกิดจะเล่าเรื่องกรีกโบราณ หากมีคำศัพท์เฉพาะตัวต้องทำอย่างไรคะ”

ปราชญ์คลี่ยิ้ม “ถ้ามีคำศัพท์เฉพาะตัวให้พูดด้วยเลยครับ เพียงแต่มีอธิบายด้วยว่าคำนี้หมายความว่ายังไงและทำไมถึงใช้คำนี้ เพราะก็ถือว่าได้บอกเพื่อน ๆ ให้ทราบและรู้เพิ่มเกี่ยวกับคำศัพท์เฉพาะได้ เหมือนเราได้เรียนรู้ไปกับเพื่อน ๆ รวมถึงให้ความรู้กับเพื่อนอีกที”

ทุกคนต่างพยักหน้า การสอนของอาจารย์คนใหม่นั้นเรียบง่าย เรียนสบายไม่เครียดจนเกินไป ให้อิสระในการถาม ให้อิสระในทางความคิด หากใครแนะนำหรืออยากจะบอกเสนออะไร อาจารย์หม่อมคนนี้ก็จะพยักหน้ารับและลองทำตามที่นักศึกษาพูด ว่าแบบนี้จะได้ผลหรือไม่ได้ผล หากได้ผลอาจารย์หม่อมจะแนะนำเพิ่มเติมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หากไม่ได้ผลอาจารย์หม่อมก็จะให้ลองคิดใหม่ และเขียนเสนอนั้นไว้เพราะคิดว่าทุกสิ่งที่นักศึกษาพูดนั้นถือว่าเป็นบทเรียนและเอามาปรับมาแก้ให้มันดีขึ้นได้

“เป็นยังไงบ้างครับคุณชายกับการสอนวันแรก”

หลังจากหมดคาบปราชญ์ก็เข้าห้องพักครู เห็นอาจารย์รศิตที่สอนมาก่อนเขาเดินเข้ามาถาม

“ดีครับ นักศึกษาที่นี่ต่างก็ให้ความร่วมมือกับการสอน ผลัดกันแบ่งความคิด แบ่งคำศัพท์จากทางภาษาอื่น สนุกดีครับ”

“เห็นคุณชายมีความสุขดีผมก็ดีใจครับ” รศิตยิ้มจนแก้มบุ๋มดูมีเสน่ห์ “ว่าแต่คุณชายจะไปทานอาหารกลางวันด้วยกันไหมครับ”

ปราชญ์ผงกหัวและเก็บของ “เอาสิครับ”

โรงอาหารนั้นไม่กว้างและไม่แคบจนเกินไป ปภารัชเห็นกับข้าวน่าทานหลายอย่างแต่อาจารย์รศิตกลับเอาแต่กลัวว่าเขาจะไม่ชอบจนต้องเดินนำและซื้อกับข้าวมาให้อาจารย์หนุ่มคนนี้เลิกคิดมาก

“อาจารย์หม่อมทำไมถึงไม่สอนที่ต่างประเทศเลยล่ะครับ” ที่รศิตถามอย่างนี้เพราะปราชญ์เคยเป็นอาจารย์สอนที่มหาลัยหนึ่งในอิตาลี แต่ก็เลือกจะกลับมาสอนที่ไทย

“ผมอยากให้ความรู้เด็กที่นี่น่ะครับ ถ้าให้เทียบแล้วที่นี่ยังมีเด็กอีกมากที่ไม่มีโอกาสได้เรียนภาษา”

“ดีจังเลยนะครับ มีคุณครูที่เก่งและใจดีขนาดนี้มาสอน”

“อาจารย์รศิตก็ชมผมเกินไปครับ” ทั้งคู่ต่างหัวเราะออกมา รศิตพูดเยอะเป็นพิเศษเพราะในมหาลัยแห่งนี้แทบจะไม่เจออาจารย์ที่อายุรุ่นราวใกล้เคียงกัน ถึงแม้ว่าอาจารย์หม่อมจะอายุมากกว่าเขาตั้งหกปีได้ แต่ก็ถือว่าอายุไม่ใกล้ไม่ไกลสักเท่าใด

วันนี้ทั้งวันนอกจากจะสอนแล้วก็เป็นการคุยกัยอาจารย์รศิตที่ทักอยู่ทุกเมื่อ มีเรื่องเล่าเยอะแยะมากมายจนฟังไม่หวาดไม่ไหว

“ขับรถกลับบ้านดี ๆ นะครับคุณชาย”

“อาจารย์รศิตเช่นกันครับ” ปราชญ์ยิ้มและต่างคนต่างขึ้นรถของตัวเองในตอนที่ขับรถออกมา เขาเห็นใครบางคนที่คุ้นเคยกำลังเดินสะพายกระเป๋าอยู่ เลยบีบแตรแล้วจอดรถลง

“ฟ้าใส”

“อ่าวพี่ปราชญ์” ฟ้าใสก้มลงพร้อมยกมือทาบหน้าอกไว้

“กลับยังไงคะ กลับกับพี่ไหม”

“ไม่เป็นไรค่ะ พี่ต้นสนมารับ อยู่นั่นไง” เธอชี้ไปข้างหน้า ปราชญ์มองตามก็พบกับคนที่ว่าที่อยู่ในชุดตำรวจพร้อมกับรถมอเตอร์ไซค์คลาสสิค

“งั้นหรือ... ถ้าอย่างนั้นพี่ไปก่อนนะคะ”

“ค่ะ” ฟ้าใสยิ้มกว้างโบกไม้โบกมือลา

ปราชญ์ขับรถออกมาพลางมองไปทางใครอีกคนที่จ้องมาทางนี้เช่นกัน ก่อนที่จะเป็นต้นสนที่หันหน้าหนีไปก่อน

จึงไม่มีความใดใดที่จะต้องพูดกันอีก

พอกลับมาถึงบ้านก็ต้องจัดเตรียมเอกสารการเรียนหลายอย่างเพื่อนำไปสอนนักศึกษาพรุ่งนี้ รวมถึงเอาพวกอุปกรณ์การเรียนที่แวะซื้อมาก่อนกลับไปให้นักเรียนที่พักคนงาน ตอนนี้เย็นมากแล้ว ปราชญ์จึงไม่ได้สอนแต่เอาของไปให้แทน

“อาจารย์สุดหล่อมาแล้ว” เด็กสาวตะโกนบอก เด็ก ๆ ทุกคนจึงผละจากครูจำเป็นอย่างหมวดชลันไปหาใครบางคนที่เพิ่งมาถึง

“พี่ซื้อมาให้ครับ” ปราชญ์ชูของในมือ เด็ก ๆ ต่างดีใจกันยกใหญ่ เขาเดินเข้าไปในบ้านก่อนจะชะงักเมื่อเจอใคร “ขอโทษที่รบกวนนะครับ แค่เอาของมาให้เด็ก ๆ เท่านั้น”

“ตามสบายครับ” ต้นสนว่าพลางนั่งลงอ่านหนังสือของตัวเองเพื่อเตรียมสอนต่อ วันนี้ชายธันไม่ได้มาสอนเพราะติดงานที่กรมตำรวจคงกลับค่ำ

“นี่ของหนู” ปราชญ์ยื่นให้เด็กสาวที่พนมมือไหว้ก่อนจะให้ครบทั้งหกคน

“พี่ต้นสนดูสิ” เด็กสาวคนหนึ่งวิ่งไปหาคนหน้าชั้นเรียน “สวยไหม”

ต้นสนเงยหน้ามองหนังสือและกล่องใส่ดินสอสีชมพู “อืม”

คำตอบเพียงเท่านั้นทำให้เด็กสาวหน้าง้ำหน้างอ “พี่ต้นสนนิสัยไม่ดีเลย ตอบอืมใส่หนูได้ยังไง”

“อ่าว แล้วจะให้ตอบยังไง”

“สวยมากกกกกก แบบนี้ไง”

“ยานคางไปไหน” ต้นสนส่ายหัวพลางยิ้มขำ

“ก็หนูอยากให้พี่ต้นสนชมหนิ”

คนถูกร้องขอวางมือบนกลุ่มผมนุ่มแล้วโยกเบา ๆ “สวยมากกกก เลยค่ะ”

“ก็แค่นั้น” เด็กสาวแอบกลั้นยิ้มจนแก้มป่องแล้วเดินไปร่วมวงกับเพื่อน ๆ

ชลันมองตามยิ้มอย่างนึกเอ็นดูก่อนที่จะตกใจเมื่อถูกมองอยู่ เลยกระแอ่มไอแล้วทำเป็นอ่านหนังสือต่อ

ปราชญ์ที่เผลอยิ้มในตอนที่มองน้องต้องปรับสีหน้าตัวเองใหม่ เขามองหนังสือภาพที่มีภาษอังกฤษประกอบหลายเล่มก่อนจะเดินไปหาครูจำเป็น

“คือพี่... ผมซื้อหนังสือภาพมาน่ะครับ เอาไว้ให้เด็ก ๆ เรียนรู้ ยังไงฝากแจกให้แทนด้วยนะครับ แล้วก็มีของสำหรับคนสอนด้วยเลยอยากฝากไว้ก่อน เผื่อว่าผมไม่ว่าง” แม้จะปวดหนึบตรงช่วงอกที่ต้องแทนตัวเองเหมือนคนอื่นไกล แต่เพราะปราชญ์ไม่รู้ว่าควรจะวางตัวยังไงกับอีกฝ่าย ที่ดูเหมือนจะเย็นชาใส่เขาอีกระลอก

ต้นสนวางหนังสือลงและรับหนังสือภาพนั้นมา หยิบมาเปิดดูไปพลาง ๆ พลันเผลอมองภาพสัตว์และภาษาอังกฤษที่แต่ก่อนเขาไม่เข้าใจก็มีพี่กรณ์สอนรวมถึงใครคนหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาที่เคยซื้อไว้ให้ ความทรงจำสมัยเด็กไหลเข้ามาในหัวเป็นฉาก ๆ จนเผลอกำหนังสือแน่น

เมื่อไรกันที่เขากลายเป็นคนทำให้รอยยิ้มที่ดูอบอุ่นนี้จางหายไป...

“ขอบคุณแทนเด็ก ๆ ด้วยนะครับ”

“ยินดีครับ” เราทั้งคู่ต่างสบตากันอยู่อย่างนั้น ความคิดถึง ความห่วงหายังคงเปี่ยมอยู่ในอก ปราชญ์เคลื่อนมือไปสัมผัสแก้มน้องอย่างเผลอตัว นิ้วโป้งเกลี่ยไปมา ดวงตาคู่อ่อนนั้นดูมีความหมายโดยไม่ต้องพูดอะไร

อยากกอด อยากบอกคิดถึง อยากส่งยิ้ม อยากทำอะไรที่เหมือนเมื่อก่อน

“ครูปราชญ์จะสอนไหมครับ” เสียงทักของเด็กหนุ่มคนหนึ่งทำให้ปราชญ์ต้องผละออกอย่างตกใจ

“ขอโทษนะครับ วันนี้พี่มีงานเยอะ ไว้วันหลังนะ” ปราชญ์หันไปบอกเด็ก ๆ พลางยิ้มและนั่งลงยีหัวทุกคนที่ดูจะเสียดาย

ในตอนที่ลุกขึ้นสัมผัสอุ่นร้อนที่แนบกับหลังทำให้ลมหายใจของปราชญ์สะดุด แผ่นหลังของเขาดูบอบบางไปเลยเมื่อเทียบกับอกหนาของคนด้านหลัง

“ขอโทษครับ” เสียงทุ้มต่ำนั้นกระซิบบางเบา ลมหายใจพัดผ่านใบหู และผละออกไป

หัวใจของเขาสั่นไหว รู้สึกอากาศร้อนขึ้นมาทันตา “ไม่เป็นไรครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวกลับก่อน”

เขาพูดโดยไม่หันไปมองคนด้านหลังเลยสักนิด บอกลาเด็ก ๆ และรีบเดินกลับไปทางเดิม ในหูยังได้ยินเสียงหัวใจดังกึกก้องไม่ขาดสาย ยิ่งจำได้ว่าตัวเองไปลูบหน้าอีกฝ่ายหน้าก็ยิ่งเห่อร้อนขึ้นมา

ทำไม...

ทำไมเขาถึงเป็นขนาดนี้





จบบทที่ ๘

-------------------------------------------------------------------------
ไหนว่าฟิลกู๊ด? ปรับอารมณ์ไม่ทัน เดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวเศร้า
ไม่ได้ลืมคุณภวัตน้าา แค่ยังไม่ได้บอกว่าเลิกกันแล้ว ฮืออออ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-06-2020 16:23:43 โดย IMYean. »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๘
«ตอบ #36 เมื่อ21-06-2020 18:23:30 »

 :pig4:
 :3123:

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๙
«ตอบ #37 เมื่อ25-06-2020 18:03:09 »

 
 


บทที่ ๙

เป็นห่วง




สองอาทิตย์แล้วที่ปราชญ์ได้มาสอนในมหาลัยแห่งนี้ รู้จักใครหลายคนและจำชื่อได้มากกว่าเดิม วันนี้เขาต้องไปทานอาหารพร้อมกับเด็จพ่อที่เดิมเพราะท่านชวน เห็นว่ามีเรื่องจะถาม

เพียงไม่นานก็มาถึงที่หมาย เข้าไปก็เจอคนที่รู้จักมักคุ้นอย่างดีขาดเพียงแค่ท่านอธิบดีอิฐเท่านั้น ปราชญ์ยกมือสวัสดีท่านรองกล้าและนั่งลงข้างน้องเหมือนเดิมแต่เพราะว่าท่านอธิบดีไม่มา จึงอยู่ตรงข้ามกับต้นสนพอดี

พอสั่งก๋วยเตี๋ยวเสร็จเด็จพ่อก็เอ่ยถามทันที “เจอเรื่องแปลกอะไรที่มหาลัยบ้างไหมชายใหญ่”

ปราชญ์ขมวดคิ้ว “ไม่นะครับ มีอะไรหรือเปล่า”

“พอดีว่ามีฆาตกรต่อเนื่องยังลอยนวลน่ะ เห็นว่าผ่านทางมหาลัยที่ปราชญ์สอนด้วย พ่อกลัวว่าจะเกิดอันตรายกับนักศึกษาหญิงที่นั่น”

“คนเดียวกับที่ออกข่าวในหนังสือพิมพ์ว่าฆ่าข่มขืนผู้หญิงน่ะหรือครับ”

“ใช่ นี่ก็สองศพแล้วยังจับตัวไม่ได้เลย” เด็จพ่อว่าพลางทำหน้าเครียด

“ถ้าเจอข่าวอะไรบอกทางเราด้วยนะครับคุณชาย”

“ได้ครับท่านรอง” ปราชญ์พยักหน้า เพียงครู่ก๋วยเตี๋ยวแบบเดิมที่เขาชอบก็มาวางตรงหน้า

“นี่ค่ะอาจารย์หม่อม”

“ขอบคุณค่ะ” ปราชญ์ยิ้มรับ “เห็นว่าไม่สบายเลยไม่ได้ไปเรียน เป็นอย่างไรบ้างเพียงขวัญ”

“พอได้นอนพักก็ดีขึ้นมากแล้วค่ะ เลยออกมาช่วยแม่แทน พรุ่งนี้ไปเรียนได้แน่นอนค่ะ”

“ถ้ายังไม่ไหวก็พักอีกสักวันก็ได้นะคะ”

“ให้ไปเถอะค่ะคุณชาย เดี๋ยวจะเรียนตามไม่ทันเพื่อนเอา” ผู้เป็นแม่ที่เป็นเจ้าของร้านว่า “แต่พูดเรื่องจะไปมหาลัยแล้ว หมวดชลันไปส่งและรับเจ้าขวัญได้ไหมคะ”

“แม่” เพียงขวัญเตือนแม่ด้วยใบหน้าแดงก่ำ

ปราชญ์หันมองคนที่อยู่ในบทสนทนาทันที

“ได้สิครับ” ต้นสนหันไปยิ้มให้

ไม่รู้ว่าทำไมถึงกำตะเกียบแน่นเพียงนี้ ปราชญ์ไม่เข้าใจตัวเองเสียเลย รอยยิ้มนั้นที่เขาอยากจะเห็นบ้าง แต่กลับไม่เคยได้รับ

“แต่พี่ต้นสนไปส่งฟ้าใสแล้ว แถมรถมอเตอร์ไซค์ซ้อนสามไม่ได้ด้วย”

“เดี๋ยวอาจารย์มารับได้ครับ” ไม่รู้เพราะเหตุใดปากของปราชญ์จึงขยับพูดขึ้นจนทุกคนต่างหันมองเป็นตาเดียว ก่อนที่เพิ่งจะรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไปจึงรีบแก้ข้อสงสัย “เผื่อว่าหมวดชลันไม่ว่างน่ะครับ”

หมวดชลันที่ว่าหันมองทางนี้ ปราชญ์เลยเผลอหลบดวงตาคมเข้มนั้น

“ว่างครับ เดี๋ยวพี่มารับเอารถยนต์มาก็ได้”

“ดีเลยค่ะหมวด บางทีป้าก็ไปส่งไม่ได้เพราะต้องเตรียมร้าน จะให้ขึ้นรถโดยสารก็กลัวจะเกิดอันตรายตอนเดินทางกลับเย็น ๆ”

“ยินดีเสมอครับ ไว้พรุ่งนี้เช้าพี่จะมารับนะ” ต้นสนคลี่ยิ้มให้เพื่อนของน้องสาว เธอแก้มแดงเล็กน้อยและผงกหัวตอบรับ

“เสน่ห์แรงนะเอ็ง” ท่านรองดันศอก

ต้นสนทำเพียงยิ้ม

ไม่รู้ว่าปราชญ์ใช้ตะเกียบคนเส้นนานเท่าใด ถึงได้ถูกน้องชายแตะเข่า

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ชายธันถามเสียงเบาเมื่อเห็นว่าพี่ชายตนดูเหม่อลอย คล้ายไม่อยากอาหาร

“เปล่าหรอก เครียดนิดหน่อย” เปรยยิ้มไม่ให้น้องเป็นห่วงมากไป

“แน่นะครับ มีอะไรบอกผมได้นะ” ธันยังคงห่วง

“ไม่เป็นอะไรจริง ๆ” ว่าแล้วก็ตบบ่าน้องให้ทานอาหารกันต่อ

นั่งคุยกันร่วมชั่วโมงปราชญ์เห็นว่าได้เวลากลับไปสอนแล้วจึงลุกขึ้นและขอตัวไปสอนก่อน ไม่วายสายตายังหันไปมองใครบางคนที่นั่งมองอยู่

“ฝากดูที่มหาลัยให้ด้วยนะ จะส่งตำรวจเข้าไปดูลาดเลาตอนนี้เดี๋ยวมันจะไหวตัวทัน เพราะบางทีอาจจะเป็นอาจารย์หรือนักศึกษาชาย” เด็จพ่อว่าเสียงเครียด

“ได้ครับ เดี๋ยวผมช่วยอีกแรง แต่ทางที่ดีส่งตำรวจปลอมตัวเข้าไปสอดส่องเผื่อก็ได้”

“อืม ว่าจะส่งหมวดชลันไปเหมือนกัน ถ้ายังไงเดี๋ยวให้หมวดชลันไปหาอีกที”

ปภารัชนิ่งไปทันทีก่อนจะยิ้มรับเพราะยังไงเรื่องนี้ก็ต้องสนใจ เพราะหากปล่อยไว้แบบนี้จะเป็นอันตรายต่อลูกศิษย์ของเขาหรือผู้หญิงที่เดินทางไปไหนมาไหนคนเดียวได้ คงต้องระวังไว้ก่อน

“ครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัว” ยกมือไหว้ผู้ใหญ่แล้วตบบ่าน้อง เดินออกจากร้านเพื่อไปยังรถของตนเอง

ตกเย็นปภารัชต้องไปสอนเด็ก ๆ ทั้งหกคนที่บ้านพักอย่างเดิม เขาเตรียมขนมไปด้วยเพื่อให้เป็นของรางวัลกับคำถามง่าย ๆ ที่จะให้ตอบในวันนี้

เมื่อเห็นใครบางคนที่ยืนสอนอยู่จึงผงกหัวแล้วเดินเข้าไปนั่งข้างน้องชายที่กำลังตรวจการบ้านอยู่ ปราชญ์มองพลางยิ้ม อาจมีผิดบ้างแต่ก็ถือว่าเก่งกันมากเลย เขาหันไปมองบรรยากาศการสอนวิชาคณิตศาสตร์

ไม่คิดเลยว่าต้นสนจะสอนเก่งขนาดนี้ การพูด น้ำเสียง สูตรที่ให้ ดูฟังระรื่นหูและยังง่ายต่อเด็ก ๆ ใบหน้าดูผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยได้เห็นเลยตั้งแต่กลับมาจากที่นี่ ปราชญ์มองน้องเพลิน ทุกครั้งที่ข้อมือนั้นขยับขึ้นเขียนกระดาน ลายมือเป็นระเบียบสวยงามอ่านง่าย

น้ำเสียงทุ้มที่ดูนุ่มลง จากที่เคยถูกสอน มาวันนี้กลายเป็นคนที่จะต้องสอนคนอื่นแล้ว เดาได้ไม่ยากเลยว่าต้นสนรักและเอ็นดูเด็ก ๆ แค่ไหน และคงจะรักผละผูกพันกับคนงานที่นี่ ถึงได้มาช่วยงานตลอด

หากว่าเรายังเป็นเหมือนเดิม คงจะดีกว่านี้...

“เป็นไงบ้าง ยากไหม”

“ไม่ยาก” เด็ก ๆ ตอบเสียงใส

พองานที่ให้เสร็จเรียบร้อยทุกคนก็ต่อแถวส่งงาน ชายธันจึงผายมือให้ว่าถึงตาเขาแล้ว

ปราชญ์วางขนมไว้และเริ่มสอนเกร็ดเล็ก ๆ น้อยๆ

“นายว่าพี่ฉันสอนดีไหม” อยู่ ๆ ชายธันที่ตรวจการบ้านเสร็จแล้วเอ่ยถามคนข้างกายที่ทำเป็นก้มตรวจงานแต่ก็ยังคงเงยหน้ามองคนหน้าชั้นเรียน

“อืม” ชลันตอบรับในลำคอ ขมวดคิ้วมุ่นทำเหมือนเครียดเสียจริงกับแค่ตรวจงานเด็ก ๆ และมันก็ไม่ได้ยาก เห็นตรวจถูกเอา ๆ

“บางทีฉันก็ไม่ชอบที่ตัวเองเป็นคนช่างสังเกตเหมือนกันนะ แต่คงเพราะทำมาตลอดเลยพอจะเดาถูกว่าใครมีอะไรในใจหรือคิดอะไรอยู่”

“จะพูดอะไรกันแน่” ต้นสนวางปากกาหมึกแล้วหันมองเพื่อน

“ถ้าไม่มีทิฐิมากจนเกินไป นายน่าจะรู้ตัวว่านายมองพี่ปราชญ์เยอะแค่ไหน เหมือนอยากคุย แต่พอพี่ฉันมองนายกลับ ดันทำเป็นหน้านิ่งใส่” พอเห็นว่าเพื่อนตั้งท่าจะเถียงเลยยกมือห้ามแล้วพูดต่อ “ฉันอาจจะคิดผิดหากนายเป็นแค่ไม่กี่ครั้ง แต่นี่ฉันเห็นนายเป็นอย่างนี้ตลอด เพราะฉะนั้นจะเถียงอะไรฉันไม่ได้แล้วนะ”

ชลันถอนหายใจแล้วตรวจงานต่อ “ไร้สาระ”

“หึ ฉันว่านายกับฉันน่าจะสลับกันนะ ตอนเด็กฉันทำตัวนิสัยเสียแต่นายเป็นเด็กที่ดูมีเหตุผล แต่พอโตขึ้นมาฉันเรียนรู้อะไรได้มากขึ้น ส่วนนายเหมือนว่าจะเลิกเรียนรู้เรื่องความรู้สึกของคนอื่นไปแล้ว"

คำพูดที่แทะโลมทำต้นสนจุกเอาไม่น้อย แต่ก็ไม่อยากเถียง เพราะธันก็พูดไม่ผิดหนัก เพราะตอนนี้เขาเห็นแก่ตัวมาก แม้จะรู้แต่ไม่ยอมปรับนิสัย

“ฉันมีเหตุผล”

“เหตุผล?” ชายธันเลิกคิ้วพลางส่ายหัว “เหตุผลของนายคืออะไรฉันไม่รู้ ฉันถามเรื่องที่นายไม่ตอบจดหมายพี่ปราชญ์ตั้งแต่ตอนเรียนนายร้อย แต่นายก็บอกว่ามีเหตุผลของนาย ฉันเลยไม่ก้าวก่ายมากกว่านั้น แล้วพอมาเจอกันอีกทีนายทำนิสัยแย่ใส่พี่ของฉัน นั่นหมายความว่าการที่นายจะมีเหตุผลส่วนตัวจึงต้องทำร้ายจิตใจผู้อื่นด้วยหรือ”

ต้นสนนิ่งไปทุกครั้งที่เพื่อนพูด เขารู้และเข้าใจ เขาเคยคิด แต่บอกแล้วว่าเขากลายเป็นคนเห็นแก่ตัว คิดว่าที่ทำแบบนี้เพราะเขาโกรธ หึง หวงพี่ปราชญ์ ไม่อยากคุยกับคนที่ผิดสัญญา ไม่อยากคุยกับคนที่บอกเขาว่าห้ามลืมกัน แต่ตัวเองดันลืม ไม่อยากคุยกับคนที่บอกรักทำให้ไหวหวั่น แต่แท้จริงมีคนรักอยู่ข้างกาย

ถึงแม้ที่ผิดสัญญาบอกว่าจะรีบกลับก็ทำเพื่อให้เขาสบายใจ

ถึงแม้บอกห้ามลืมกันแต่ถ้าเขาเอารูปให้ดูตอนโตกลับมาคงจะจำได้ทันที

ถึงแม้ว่าการบอกรักนั้นจะบอกรักเพราะเห็นเป็นน้องชายคนหนึ่ง ไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น

ถึงแม้ไม่รู้ว่าเขาชอบแล้วพาลทุกสิ่งทุกอย่างและทำตัวเย็นชาใส่ก็ยังคงไม่โกรธเขา เอาแต่คิดว่าตัวเองทำอะไรผิด

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยยิ้มให้อีกตามเคย ก็ยังคงรออย่างคาดหวัง

มันทำให้ต้นสนละอายใจ แต่ถ้าจะให้คุยและยิ้มอย่างเคยคงตอบว่าทำไม่ได้ เพราะเขาอาจจะเผลอใจ อยากคาดหวังบ้างว่าสักวันพี่ปราชญ์จะชอบเขา ไม่อยากเป็นอย่างนั้น ไม่อยากเข้าไปแทรกคู่ของทั้งสอง เป็นน้องที่ไม่ซื่อสัตย์มันดูไม่ดีเลย

“เอาเถอะ นายจะมีเหตุผลกี่ร้อยกี่พันข้อก็ตามใจ แต่อย่าเอาเหตุผลนั้นมาทำร้ายพี่ของฉัน” ชายธันว่าเสียงเรียบดวงตาคมกริบจดจ้องเพื่อน “ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือน”

ต้นสนเสหน้าหลบ “เข้าใจแล้ว”

 
 

เฝ้าคำนึง

 


ปราชญ์เดินเลียบไปทางหลังตึกคณะอักษร หันมองรอบกายเมื่อเห็นว่าไม่มีใครจึงเข้าไปยังห้องเก็บของ เห็นใครบางคนในชุดนักศึกษาชายยืนรออยู่ด้านใน

“มีอะไรน่าสงสัยหรือเปล่าครับ”

ผู้เป็นครูส่ายหน้า “ครูที่นี่ไม่มีใครดูน่าสงสัยเลย ส่วนนักศึกษาชายเองก็คงจะดูได้ไม่หมด”

ชลันพยักหน้าพลางจดอะไรไปด้วย “แล้วยังมีใครอีกไหมนอกจากอาจารย์และนักศึกษา ที่นี่มีคนทำความสะอาดหรือภารโรงบ้างหรือเปล่า”

“อ่อ มีภารโรงสามคนครับ ผู้ชายสองคนกับผู้หญิง”

“ทำไมผมไม่เห็นเลย”

“พอดีว่าภารโรงเขาจะมาทำช่วงเช้า กลางวัน และเย็นน่ะครับ ทำเป็นเวลาไม่ได้เดินไปทั่วมหาลัยด้วย”

ผู้หมวดหนุ่มลูบปลายคาง “ชายภารโรงอายุเท่าไรครับ พอจะทราบไหม”

“มีคนหนุ่มคนหนึ่งน่าจะอายุใกล้เคียงกับผมและคนแก่คนหนึ่งครับ”

“ถ้าอย่างนั้นผมจะจับตาดูภารโรงสองคนนี้เอง ฝากคุณชายดูอาจารย์และนักศึกษาชายให้ด้วยนะครับ”

ปราชญ์พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ แต่ก่อนจะออกไปก็ถูกจับข้อแขนไว้ สัมผัสอุ่นร้อนทำให้ปราชญ์เผลอใจเต้นแรง

“ขอโทษครับ” ชลันรีบผละออก “ผมแค่จะบอกว่าระวังตัวด้วย”

ความเป็นห่วงที่สะท้อนออกทางสายตาทำให้ปราชญ์เปรยยิ้มอย่างห้ามไม่ได้ “คุณก็เหมือนกันนะ”

พอขึ้นมายังห้องพักครูได้ดูเหมือนว่าทุกคนจะอยู่ในห้องกันหมดและคงจะเครียดกันมากด้วย “อาจารย์รศิตครับ เกิดอะไรขึ้นหรือครับ”

อาจารย์รศิตถอนหายใจ “ก็ที่มีข่าวฆ่าข่มขืนน่ะครับ ทางคณบดีเลยจัดประชุมด่วนเพราะเห็นว่าคนร้ายผ่านมาทางนี้กลัวว่าอาจจะหลบซ่อนในมหาลัยนี้ด้วย”

“งั้นหรือครับ”

“คุณชายก็ไปด้วยกันนะครับ ท่านคณบดีเรียกอาจารย์ทุกคน”

“ได้ครับ ผมเองก็ห่วงความปลอดภัยของนักศึกษาและอาจารย์ท่านอื่นเช่นกัน”

อาจารย์รศิตส่ายหน้า “ผมไม่เข้าใจเลย ทำได้ยังไงนะ มันไม่ใช่คนแล้ว”

ปราชญ์นึกคิดเพียงครู่ “แล้วอาจารย์รศิตสงสัยใครบ้างไหมครับ”

คนถูกถามขมวดคิ้วพลางนึกและสังเกตคนรอบตัว “จะให้สงสัยสุ่มสี่สุ่มห้ามันก็คงไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็นึกใครไม่ออกเลยครับ”

“ผมก็คิดอย่างนั้น”

“บางทีอาจจะผ่านมาเฉย ๆ แล้วหลบหนีไปที่อื่นแล้วก็ได้นะครับ”

ปราชญ์พยักหน้า ส่วนนี้ก็เป็นไปได้ “แต่ยังไงก็ต้องตรวจดูที่นี่ก่อน การเรียกประชุมนี้ก็ถือว่าเป็นผลดีเหมือนกัน อาจารย์ทุกท่านจะได้คอยช่วยสอดส่องได้”

“ครับ และผมหวังว่าจะจับมันได้เร็ว ๆ กลัวนักศึกษาหญิงจะเป็นอันตรายมากที่สุดแล้วครับ”

พอประชุมเสร็จ ปราชญ์จึงขอตัวไปทำธุระส่วนตัว เพราะไม่มีสอนช่วงบ่ายสอนอีกทีก็บ่ายสาม ไม่รู้ว่าจะได้เจอต้นสนเมื่อไรเขาจึงรอในห้องเก็บของ ข้างในนี้ทั้งมืดและอับ อุปกรณ์ที่ใช้วันกิจกรรมกับคาบพละจึงไว้ในนี้เป็นส่วนใหญ่ ห้องเก็บของมีเกือบทุกตึก แต่ที่นี่ลับตาคนที่สุด

เสียงคล้ายคนกำลังเปิดประตูทำให้ปราชญ์ต้องไปหลบก่อนเผื่อว่าเป็นคนอื่น แต่พอเห็นว่าเป็นใครก็โล่งใจ

“ผมมีเรื่องจะบอก”

“ผมเองก็มีถ้าอย่างนั้นคุณพูดก่อนเลย”

ชลันส่ายหน้าแล้วผายมือ “คุณก่อนเลยครับเพราะผมต้องเก็บรายละเอียดก่อน”

“ได้ครับ คือก่อนหน้านี้ทางคณบดีเรียกประชุม—” ยังไม่ทันพูดอะไรมากกว่านี้คนหูไวอย่างต้นสนจึงรีบยกมือปิดปาก

“รีบหลบก่อนครับ” ไม่ว่าเปล่ายังดึงตัวคนอายุมากกว่าเข้าไปหลบในตู้ล็อกเกอร์เก่า ทั้งคู่ต้องก้มหัวเพราะตัวสูงกว่าตู้ แสงสว่างจากด้านนอกทำให้มองลอดช่องว่างไปได้ แต่ยังไม่ทันมองหน้าได้ชัดประตูก็ปิดลงจนข้างในมืดมิดอีกครั้ง

“กูบอกแล้วไงว่าห้ามพูด” เสียงใครบางคนตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยว น้ำเสียงออกจะเป็นคนดูมีอายุหน่อย

“จะปิดต่อไปหรือไง ฉันก็กลัวนะพี่” ปราชญ์พอจำได้ว่าเป็นเสียงใคร เธอคือป้าภารโรงและอีกคนคงจะเป็นสามีแกที่เป็นภารโรงเหมือนกัน

“เดี๋ยวเรื่องก็เงียบไปเอง มึงน่ะหุบปากไว้”

“พี่แต่ตำรวจมาที่มหาลัยเลยนะ” เธอพูดเสียงสั่นเพราะคงเจอต้นสนเข้า แม้นักศึกษาจะเยอะแต่เธอก็รู้ว่าต้นสนไม่ใช่นักศึกษาที่นี่แน่นอน

“ก็ช่างหัวมันสิ ทำเป็นไม่รู้ต่อไป เข้าใจไหม!” ลุงภารโรงพูดลอดไรฟันจนปราชญ์ได้แต่กำมือแน่น ทำไมถึงต้องข่มขู่ขนาดนั้น

“ออกไป แล้วอย่าให้มีพิรุธ” ลุงภารโรงว่าเพียงเท่านั้นก็เดินออกไป ป้าแกถึงจะเดินตามออกไปไม่ต่างกัน

เสียงเท้าที่เดินออกไปไกลแล้วทำให้หมวดชลันถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะเปิดตู้ออกแล้วให้อีกคนออกไปก่อน

“ก่อนหน้านี้ผมตามพวกเขาอยู่แล้วป้าแกเห็นพอดี เธอรู้ว่าผมไม่ใช่นักศึกษาเลยถามว่ามาทำอะไร จนต้องบอกไปว่าเป็นตำรวจ เธอดูตกใจมากเลยนะแถมยังสั่นพูดอ้ำอึงเหมือนกลัวอะไร” หมวดชลันเปิดปากเล่าคลายข้อสงสัย

“ถ้าอย่างนั้นแปลว่าลุงภารโรงเขา...” ปราชญ์หน้าเสีย ลุงแกออกจะใจดีขนาดนั้นทำไมถึงเป็นแบบนี้นะ

“คงต้องตามให้แน่ใจก่อนครับ ผมยังตัดสินอะไรไม่ได้”

“ไม่อยากจะเชื่อเลย” ว่าแล้วก็ถอดแว่นพลางลูบหน้าตัวเอง สัมผัสแผ่วเบาตรงไหล่ทำให้ปราชญ์หันไปมอง

“คนเราดูภายนอกอย่างเดียวไม่ได้หรอกครับ ถ้าทำผิดไปแล้วต่อให้ก่อนหน้าเป็นคนดีแค่ไหน ผิดก็คือผิดครับ ทั้งฆ่าและข่มขืน ไม่ควรให้อภัย”

“ผมรู้ ผมแค่ใจหาย เพราะหลายวันก่อนผมยังได้คุยเล่นกับพวกเขาอยู่เลย นักศึกษาหลายคนก็ดูสนิท”

ชลันบีบไหล่นั้นบางเบาแต่หนักแน่น “ขอโทษนะครับที่ต้องมาทำให้เจอเรื่องลำบากใจ”

“ไม่เป็นไร ผมเต็มใจ” ปราชญ์คลี่ยิ้มแล้วจับหลังมือของคนตรงหน้าที่วางไว้บนไหล่ วันนี้อาจเป็นเพราะต้องประสานงาน ต้นสนจึงดูพูดเยอะเป็นพิเศษ ทั้งยั้งออกอาการเป็นห่วง อดไม่ได้ที่จะอยากปล่อยให้เวลามันหยุดลง

เพราะเขากลัวว่าจบจากตรงนี้ไป ต้นสนจะไม่เป็นห่วงเขาอย่างเดิมอีกแล้ว

“ขอบคุณที่เป็นห่วงนะครับหมวด”

ชลันจุดยิ้มบาง สายตาปรับให้มองความมืดได้แล้ว อีกฝ่ายก็คงจะปรับได้แล้วเหมือนกันถึงทำหน้าตกใจที่เห็นเขายิ้ม “ยินดีครับ”

ไม่รู้ว่าต้นสนจะได้ยินไหม เสียงกึกก้องที่ดังอยู่ในอกนี้ ปราชญ์เม้มปาก บางทีเขาอาจจะมองไม่ชัดเพราะสายตาสั้น เลยรีบใส่แว่นกลับเข้าไปแต่เงยหน้ามองอีกทีคนตรงหน้าก็ไม่ได้ยิ้มแล้ว

สงสัยคงจะคิดไปเอง...

คิดได้อย่างนั้นคนอายุมากกว่าจึงทำหน้าเสียดาย สร้างความงุนงงให้ต้นสนไม่น้อย แต่พอนึกได้ว่าพี่ปราชญ์สายตาสั้นจึงเข้าใจแต่ก็ไม่ได้แก้ไขข้อข้องใจว่าเมื่อกี้เขายิ้มจริงหรือเปล่า

“แล้วคุณชายมีเรื่องอะไรจะบอกหรือครับ”

ปราชญ์เลิกคิดเรื่องอื่นแล้วเข้าเรื่องเดิมทันที “ก่อนหน้านี้ทางคณบดีเรียกประชุมอาจารย์ทุกคนครับ คุยเรื่องคนร้ายที่ผ่านทางมหาลัย บอกว่าให้จับตาดูนักศึกษาชายไว้ด้วย”

“เข้าใจแล้วครับ เอาเป็นว่าผมจะกลับไปที่สน.อีกที คงต้องมาสอบปากคำพวกเขา” มือหนาผละออกจากไหล่อย่างอ้อยอิ่ง

“คงต้องไปแล้วใช่ไหม...” เสียงถามช่างเบาหวิวคล้ายถามอากาศกับลมแต่เพราะในห้องมันเงียบจึงได้ยินชัดเจน

ชลันเผลอกำมือแน่น อยากกอด... นั่นคือสิ่งที่เขาอยากทำแต่ทำไม่ได้

“ครับ ผมขอตัวก่อนนะ” ถ้ายังไม่ออกไปจากตรงนี้มีหวังได้ทำตามอะไรใจอยาก

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการที่อยู่ใกล้พี่ปราชญ์นั้นทำให้ต้นสนอยากจะเล่าเรื่องชีวิตตัวเองและโม้ไปเรื่อยเหมือนตอนเด็ก อยากได้รับรอยยิ้มเอ็นดู อยากให้อีกคนหัวเราะเวลาที่ฟังเรื่องของเขา อยากจะยิ้มให้อย่างไม่มีอะไรตะขิดตะขวงใจ ยิ่งอยู่ด้วยกันยิ่งเก็บอาการไม่อยู่ เพราะอย่างนั้นต้นสนจึงต้องหลีกหนีตลอดถ้ามีโอกาสหรือไม่ก็ไม่มองหน้าและทำเย็นชาใส่ เพื่อสร้างเขตกั้นไม่ให้อีกฝ่ายเข้ามามากกว่านี้

แท้จริงแล้วเขามันก็แค่คนใจเสาะ ลองได้ยืนคุยมากกว่านี้สิ เขาคงออดอ้อนเหมือนเด็กไปแล้ว

ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงก็มีรถตำรวจมากมายเข้ามาในมหาลัย ทั้งนักศึกษาและอาจารย์ให้ไปรวมกันที่โดมห้ามใครไปไหน รวมถึงภารโรงทั้งสองคนด้วย

ปราชญ์เห็นอย่างนั้นจึงเดินเข้าไปถามต้นสนทันที “แล้วลูกเขาไปไหน”

“นอนป่วยอยู่ครับลุกมาไม่ได้”

พอได้ยินอย่างนั้นก็พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ นักศึกษาชายกับอาจารย์ที่เป็นผู้ชายถูกสอบปากคำ ณ วันที่เกิดเหตุว่าตอนนั้นอยู่ที่ไหน ส่วนนักศึกษาหญิงก็ประกาศเรื่องอันตรายให้ทราบเพราะบางคนต้องเดินทางกลับบ้านคนเดียวจึงจะให้มีรถไปส่งให้ก่อน

“จับผมเลย!” เสียงหนึ่งดังขึ้น พอมองไปก็พบว่าเป็นลุงภารโรง “จับผมเลย ผมทำเองไม่ใช่นักศึกษาหรืออาจารย์ที่ไหนทั้งนั้น”

แกพูดเสียงดังส่วนป้าภารโรงก็ทรุดนั่งร้องห่มร้องไห้ไปเสียแล้ว ปราชญ์มองหน้ากับต้นสนอย่างรู้กันก่อนที่ต้นสนจะไปกุมตัว

“ยังต้องมีหลักฐานเพิ่มครับ”

“หลักฐานอะไร ก็ผมเนี่ยคนทำ จับไปเลย!” ไม่ว่าเปล่ายังยื่นแขนท่าเดียว

“ใจเย็น ๆ นะครับ ผมจะจับใครสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้” ชลันยกมือห้าม

“ก็จับไปสิวะ” ลุงแกดูโมโหก่อนจะตกใจเมื่อแกเอามีดออกมาแล้วจับตัวนักศึกษาชายคนหนึ่งไว้ “เอาสิวะ กูจะฆ่ามันให้ดู”

“ใจเย็นครับลุง”

“พี่!” ป้าภารโรงร้องเสียงหลงที่สามีทำอะไรบุ่มบ่ามจนเธอใจเสีย

ปราชญ์ส่ายหน้าทำไมถึงอยากโดนจับขนาดนั้นทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังไม่ให้ป้าแกพูดอะไรเลย แต่ก่อนจะคิดอะไรเขาก็เห็นนักศึกษาหญิงคนหนึ่งเดินออกไป

“ชายธัน เดี๋ยวพี่มานะ เห็นนักศึกษาหญิงเข้าไปหลังตึกคงจะไปเข้าห้องน้ำ พี่เป็นห่วง”

“ได้ครับ เอาตำรวจไปด้วยคนหนึ่งเพื่อเกิดเรื่องอะไร”

ปราชญ์พยักหน้าแล้วรีบวิ่งตามไป ต้นสนที่ยกมือปรามลุงภารโรงอยู่เห็นหลังของใครบางคนหายเข้าไปหลังตึกจึงต้องขอลูกน้องให้ช่วยคุยก่อนส่วนเขาก็วิ่งตามพี่ปราชญ์ไป

ปราชญ์เดินออกมาก็ไม่เห็นใครแล้วจึงขอวิสาสะเข้าไปในห้องน้ำหญิง “นักศึกษาครับ อยู่หรือเปล่า” ไม่มีเสียงตอบรับจึงต้องเดินออกมา ถ้ามันหลังตึกนี้ก็เพราะมีห้องน้ำ ถ้าไม่มาห้องน้ำแล้วจะไปไหน “เดี๋ยวผมดูตรงนี้เอง ฝากจ่าไปดูตึกนั้นได้ไหมครับ”

“ได้ครับ” จ่าที่มาด้วยพยักหน้ารับแล้ววิ่งไปทางตึกอีกฝั่งที่อยู่ไกลทางนี้เล็กน้อย

“นักศึกษา” ตะโกนเรียกสักพักก็ได้ยินเสียงร้องออกมาจากอีกตึกที่อยู่ข้างกัน ปราชญ์จึงรีบวิ่งไปทางนั้นทันที ดวงตาเบิกกว้างเมื่อเห็นนักศึกษาหญิงกำลังถูกบีบคอกับพื้นโดยมีภารโรงอีกคนที่สะพายกระเป๋าข้างหลังคล้ายจะไปไหน “หยุด!”

ชายภารโรงยังคงบีบคอเด็กสาวอยู่อย่างนั้นและบีบแรงขึ้นเพื่อให้ตายคามือ ปราชญ์เลยถีบเข้าที่สีข้างแล้วดึงตัวนักศึกษาออกมา “วิ่ง!”

เธอพยักหน้า หอบหายใจแรงแล้ววิ่งออกไปทันที ชายภารโรงจะตามเธอคนนั้นเขาเลยต่อยมันไปทีหนึ่ง

“อยากตายหรือไงวะ” ชายภารโรงตะคอกก่อนจะหยิบมีดอีโต้ที่ไว้ใช้ตัดหญ้าออกมาจากกระเป๋า ปราชญ์ผงะถอยทันทีเหงื่อกาฬไหลตามขมับ

พอจะรู้ว่าตัวเองสู้ไม่ได้แต่นักศึกษาหญิงยังไม่พ้นระยะ กลัวมันจะตามทันเลยต้องยืนอยู่อย่างนั้น

“หยุดเถอะนะ นายเป็นคนทำใช่ไหม”

“หุบปาก!”

ปราชญ์กลืนน้ำลาย “พ่อของนายกำลังรับผิดแทนอยู่ สงสารแกบ้าง”

“ช่างหัวมันสิวะ” ไม่ว่าเปล่ามันยังเดือดดาลวิ่งเข้ามาง้างมีดมาแต่ไกล ปราชญ์ตั้งท่าจะรับข้อมือของมันที่ฟันลงมาเพราะถ้าหันหลังคงต้องโดนฟันกลางหลังเต็ม ๆ แต่ก่อนจะได้ทำก็มีใครบางคนมาบังไว้ได้ทัน

“มึงนี่เอง ทำเป็นป่วย” ต้นสนพูดลอดไรฟันแต่เพราะเข้ามากลั้นกลางกะทันหันเลยถูกฟันโดนที่หัวไหล่จนเลือดไหลออกมา

“ต้นสน!” ปราชญ์ตกใจรีบจับแขนคนตรงหน้าไว้

“ไม่เป็นไรครับ พี่ปราชญ์หลบหลังผมไว้นะ” ต้นสนพูดอย่างนั้นก่อนจะยกปืนจ่อมัน “วางมีดลง! แล้วมอบตัวซะ!”

ชายคนนั้นตกใจมือที่ถือมีดนิ่งค้างไว้

“คุกเข่าเดี๋ยวนี้! แล้วปามีดออกไป!” ต้นสนตะคอกเสียงดัง ก่อนจะยกมือส่งสัญญาณให้ตำรวจด้านหลังที่เข้ามาทางหน้าตึก

พอมันยอมปามีดออกไปแล้วตำรวจที่อยู่ข้างหลังก็เข้าไปกุมตัวทันที ต้นสนก็รีบก้มลงไปใส่กุญแจมือ

“ต้นสน” ปราชญ์น้ำตาคลอเมื่อเห็นน้องเป็นแผล “เจ็บมากไหม”

ชลันที่ผละออกมายืนกุมแผลตัวเองหันมองคนข้างกายที่ดูร้อนรนและเป็นห่วงเขา ใจของชายหนุ่มเลยอ่อนยวบ “ไม่เป็นไรครับ แค่รอยถาก ๆ”

“ถากยังไงมันลึกจนเลือดออกขนาดนี้” ปราชญ์ดุน้องทันที น้ำตาไหลเพราะใจเสีย “ไปหาหมอเดี๋ยวนี้เลย”

ชลันยังไม่ทันพูดอะไรก็ถูกดึงแขนให้เดินตาม ปราชญ์บอกชายธันไว้ก่อนว่าจะพาต้นสนไปทำแผลแล้วเอารถเขาไป

“แต่ว่าเรื่องผู้ร้าย...”

“นั่งเฉย ๆ นึกถึงตัวเองก่อน” ปราชญ์ว่าเสียงแข็งรีบขับออกจากมหาลัยทันที ใจยังสั่นไม่หาย ถ้าเกิดต้นสนจับแขนคนร้ายออกไม่ทันขึ้นมา ดีไม่ดีตรงที่โดนอาจจะเป็นศีรษะของน้องก็ได้ “ทำอะไรเกินตัว ถ้าเป็นอะไรมากกว่านี้จะทำยังไง”

คนถูกดุเงียบลงทันตา หันไปเห็นอีกฝ่ายยังน้ำตาไหลไม่หยุด มือก็สั่นไปด้วย “ผมไม่เป็นไรแล้ว ใจเย็นก่อนนะครับ” มือหนาเอื้อมไปกุมมือคนข้างกายบีบเบา ๆ ให้คลายกังวล

“ก็อย่าทำให้พี่เป็นห่วงสิ” ปราชญ์บอกน้องสอดประสานนิ้วแนบแน่น

ชลันอุ่นซ่านไปทั่วอกเขายิ้มบาง ทว่า ดวงตาส่อแววเศร้าเมื่อจำได้ว่าตัวเองทำผิดกับอีกคนไปมากแค่ไหน แต่ก็ยังเป็นห่วงเขาถึงขนาดนี้

เพียงไม่นานก็มาถึงโรงพยาบาล ต้นสนเข้าไปทำแผลอยู่สักพักคุณหมอถึงจะให้เข้าไปด้านใน

ผ้าพันแผลทาบอยู่ที่ไหล่ขวาและพันหน้าท้องเอาไว้ ปราชญ์ยกมือไหว้ขอบคุณคุณหมอและพยาบาล ก่อนจะแตะแขนคนตรงหน้า

“ขอบคุณที่พามาทำแผลนะครับ”

ปราชญ์พยักหน้ามองผ้าที่ปิดแผลไว้ ด้วยความเผลอตัวและลืมเลือนว่าน้องทำตัวเย็นชาใส่ ปราชญ์ก็ยกมือลูบหัวน้อง “ทีหลังอย่าทำอะไรเกินตัวแบบนี้นะ”

“มันหน้าที่ผม ยังไงก็ต้องช่วย”

พูดถึงหน้าที่มือเรียวก็ชะงัก เขาอาจจะผิดเองด้วยที่ทำอะไรโดยพลการ “พี่ขอโทษนะ ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ต้นสนคงไม่ต้องมาเจ็บตัว”

“โทษตัวเองทำไมครับ ตอนนั้นสถานการณ์มันฉุกละหุก ถ้าผมไม่เข้าไปช่วย... พี่ปราชญ์ก็คงได้แผลเหมือนผมและผมก็คงยอมไม่ได้ ถ้าเกิดพี่ปราชญ์ต้องบาดเจ็บ”

คนฟังยิ้มออกมาอบอุ่นไปทั่วทั้งใจ ดวงตาจดจ้องกัน มือเรียวเลื่อนมากุมแก้มใช้นิ้วโป้งเกลี่ยอย่างเบามือ “ขอบคุณที่เป็นห่วงและปกป้องพี่นะ”

ชลันเปรยยิ้ม “พี่ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับ”

ดวงใจของปราชญ์เต้นระงมหลังจากได้สติเขาก็เพิ่งจะรู้ว่าคำแทนกันนั้น... เปลี่ยนไป รอยยิ้มนี้ที่ส่งออกมาจากใจจริง เขาได้เห็นเต็มตาแล้ว...

ไม่รู้ว่าจดจ้องไปนานเท่าใด ร่างกายขยับเข้าไปชิดคนที่นั่งบนเตียงตอนไหน ปราชญ์จ้องดวงตาสีเข้มที่สะท้อนหน้าเขาสลับกับริมฝีปากที่แนบสนิท มือยังคงวางบนใบหน้า ไม่ทันได้คิดปราชญ์ก็เคลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ จมูกโด่งชนเสียดสีกัน

“ขออนุญาตค่ะ” ไม่ทันได้ลิ้มลองใดใดปราชญ์ก็รีบผละออกมายืนห่าง หันไปมองประตูที่เปิดออกมาเฉียดฉิวอย่างพอดี คุณพยาบาลแนะนำอะไรหลายอย่างก่อนจะให้ไปรับยาและอนุญาตให้กลับบ้านได้

ปราชญ์รับยาเสร็จก็เดินนำน้องไปที่รถ พอนั่งอยู่ในรถได้ก็เกิดความเงียบเข้าครอบคลุม จากที่ผ่อนคลายกลายเป็นอึดอัด

“พ..พี่ขอโทษนะ” กว่าจะหาเสียงตัวเองเจอก็ผ่านไปหลายนาที

ชลันเองก็ตกใจไม่แพ้กัน ผู้หมวดหนุ่มไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าคนข้างกาย “ช่างมันเถอะครับ”

ทั้งคู่เงียบตลอดทางจนถึงบ้านของต้นสน ปราชญ์อาสาจะกลับไปรับน้องสาวของต้นสนแทน เพราะเดี๋ยวเธอรอเก้อ ดันลืมบอกชายธันว่าให้พาฟ้าใสกลับมาด้วย คงต้องไปรับด้วยตัวเองอย่างเดียว

“ขอบคุณมากนะคะคุณชาย” ต้นอ้อก้มหัวแล้วจับแขนลูกชายไว้

“ไม่เป็นไรครับ ฝากดูแลน้องด้วยนะครับ”

“จ้ะ”

ปราชญ์ยืนมองต้นสนจนลับสายตาถึงจะออกไปรับน้องสาวของอีกฝ่าย ภาพที่เขาจะจูบน้องแวบเข้ามาในหัว ทำให้ได้เข้าใจตัวเองดีแล้วว่า ที่เป็นเอามากทุกวันนี้เพราะอะไร...

ดูท่าว่าเขาจะเผลอมีใจให้ต้นสนไปเสียแล้ว





จบบทที่ ๙

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-06-2020 18:15:21 โดย IMYean. »

ออฟไลน์ piakunaa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๙
«ตอบ #38 เมื่อ25-06-2020 19:01:40 »

ทั้งสองคนจะรักกันไม่ได้ง่ายนะคะนักเขียน​ พี่ปราชญ์​ยังไม่เจ็บเท่าต้นสนเลย​ ขอมาม่าๆๆๆๆๆค่ะชามใหญ่​ๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑๐
«ตอบ #39 เมื่อ30-06-2020 17:27:16 »


บทที่ ๑๐

วนลูป

 



ปภารัชอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวพับถึงข้อศอก ดวงตาภายใต้กรอบแว่นมองเด็ก ๆ ที่ก้มทำข้อสอบง่าย ๆ สิบข้อ และต่อแถวสอบปากเปล่าอีกนิดหน่อยก็เป็นอันเสร็จ พอยกนาฬิกาเรือนขอบทองขึ้นดูก็พบว่าอีกไม่นานก็จะถึงวิชาของต้นสน

อีกฝ่ายดื้อรั้นที่จะออกมาสอนและจะไปทำงานท่าเดียว ถึงจะไม่ได้แขนขาหักแต่ก็ควรจะพักเสียบ้าง ขยับทีก็เจ็บจนสีหน้าแสดงออกมา ถึงจะกลั้นเสียงร้อง ทว่า ใบหน้าที่เจ็บปวดมันก็ไม่ได้โกหกหรอกนะ ฟ้าใสบอกว่าต้นสนร้องทั้งคืนเพราะปวดแผล

คนอายุมากกว่าส่ายหัวมองคนเจ็บที่นั่งอ่านหนังสือทบทวนที่จะสอนไปพลาง เขายังไม่ได้มีโอกาสได้ถามไถ่เลยว่าเป็นอย่างไรบ้าง แต่ฟ้าใสเล่ามาก็คงไม่ต้องถามให้มากความ

เด็ก ๆ ทุกคนสอบกันเสร็จเรียบร้อย ปราชญ์จึงให้ตุ๊กตาขนาดเท่าฝ่ามือที่ส่งตรงจากอังกฤษให้ทุกคนเป็นของขวัญ

“ทำไมเวลาไปเรียนที่วัดไม่เห็นได้ของเหมือนที่นี่เลย ทำผิดก็โดนตีโดนว่า” เด็กชายคนหนึ่งพูดพลางมองตุ๊กตาในมือ ปราชญ์เห็นอย่างนั้นก็นึกอาทรจึงย่อตัวให้อยู่ระดับหน้า

“ฟังพี่นะครับเด็กดี ถึงแม้ว่าการเรียนที่อื่นจะไม่มีของให้อย่างนี้ แต่สิ่งที่ได้คือความรู้ เพื่อน สังคม ไม่มีของรางวัลใช่ว่าเราจะทำได้ไม่ดี พี่อยากให้เราคิดว่าเราไปหาประสบการณ์ด้านนอก เราสามารถซื้ออะไรก็ได้ให้เป็นของรางวัลของตัวเราเองได้ ไม่จำเป็นต้องรอของรางวัลจากคนอื่น ซื้อขนมสักชิ้นระหว่างทางกลับบ้านนั่นก็คือรางวัลของเราแล้ว” เด็ก ๆ พากันยิ้มและพยักหน้า แล้วก็พูดว่ามีร้านขนมอร่อยก่อนถึงบ้าน แลกเปลี่ยนร้านขนมกันถึงจะมีไม่กี่ร้านก็ตาม “เมื่อใครดุใครว่า ให้รับฟังเป็นบทเรียน ทำผิดไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะโดนว่า แต่ถ้าแค่ทำการบ้านผิดหรือทำข้อสอบผิด ไว้รอบหน้าเราก็ทำให้มันดีขึ้น ถ้าเขายังดุยังว่าอีกก็ไม่ต้องห่วงนะ พี่ปราชญ์ พี่ธันและพี่ต้นสนคอยให้กำลังใจอยู่ตรงนี้”

“ครับ/ค่ะ” เด็กทั้งหกตอบรับอย่างพร้อมเพรียง

โรงเรียนบางโรงเรียนเจอครูที่ไม่นึกถึงความรู้สึกเด็ก จนบางทีปราชญ์ก็อยากจะไปคุยให้รู้แล้วรู้รอด ทุกครั้งที่เด็กบางคนกลับมาก็ร้องไห้บอกไม่อยากไปเรียนเพราะคุณครูทั้งตีและต่อว่ากลับมา เขาไม่รู้ว่าคนพวกนั้นเป็นครูได้อย่างไรในเมื่อไม่รู้จักหักห้ามอารมณ์ตัวเอง ยิ่งสอนเด็กด้วยแล้วถ้าไม่รักเด็กจริงจะไปรอดได้อย่างไร ไม่ว่าจะโรงเรียนวัดหรือโรงเรียนที่ขึ้นชื่อ ต่างก็มีครูที่นิสัยอย่างนี้

ปราชญ์บอกกับตัวเองเสมอว่าถ้าได้สอนใครขึ้นมา ปราชญ์จะไม่เอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง ไม่เอาอารมณ์ตัวเองไปลงที่เด็ก ไม่ทำโทษด้วยการตีเด็ก ไม่ดุด่าเกินควร เพราะยิ่งทำอย่างนั้นเด็กจะถูกลดกำลังใจและหวาดกลัวไปเลยก็ได้

บางทีเขาก็เจอเด็กที่เกเร ไม่ฟัง มีหนักสุดถึงขั้นพูดคำหยาบใส่ครู ถ้าเด็กเป็นอย่างนั้นคงต้องคุยกันจริงจังเรียกผู้ปกครองมาคุย เขาเคยโกรธแต่ไม่เคยปลดปล่อยอารมณ์ออกมา มันก็ดีที่เด็กบางคนเรียนรู้ได้ แต่บางคนก็ไม่เรียนรู้เลยจนถูกออก อย่างน้อยการจะปรับนิสัยเด็กเขาก็พยายามจนถึงที่สุด ทำทุกหนทุกทาง จะได้ไม่ได้ก็อยู่ที่อนาคต ใครปรับได้ก็ยินดีกับเขา ใครปรับไม่ได้ก็อยากหวังให้สักวันเขาจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้

“เอาล่ะถึงเวลาของพี่ต้นสนแล้ว” ปราชญ์ลุกขึ้นและเก็บของทั้งหมด เขามีตรวจงานของนักศึกษาจึงกลับเร็วกว่าปกติ เขาเลยยื่นของให้น้องไปเพราะก่อนมานี่ก็ไม่ได้เอาไปให้ เรียกแล้วก็ไม่มีใครออกมารับของคิดว่าไม่อยู่ที่บ้านกัน จนมาเจอฟ้าใสกับต้นสนที่นั่งอยู่ในบ้านพักหลังนี้

“หายไว ๆ นะครับ” เอ่ยบอกน้องที่กำลังลุกเตรียมตัว ดวงตาสุกใสสงบนิ่งไปทันตา ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเขากำลังถูกขีดเส้นไม่ให้เข้าไปใกล้

อีกแล้วหรือ?

เขาทำอะไรผิด... หรือเพราะเรื่องเมื่อวานที่จะ ‘จูบ’ เลยนึกรังเกียจเขาขึ้นมาหรือเปล่านะ

“เมื่อวานยังเห็นคุยกันดี ๆ อยู่ไม่ใช่หรือคะ เป็นอะไรอีกน่ะ” ฟ้าใสถามอย่างนึกฉงนเพราะเมื่อวานเธอเห็นพี่ชายตนยืนคุยกับพี่ปราชญ์อยู่เลย แถมยังเห็นว่าปกป้องจนตัวเองบาดเจ็บ พี่ปราชญ์ต้องหามไปโรงพยาบาล มาวันนี้ดันทำตัวเย็นชาใส่หน้าตาเฉย

ผีเข้าผีออกหรือไงตาพี่คนนี้

“ต้นสนคงเหนื่อย ๆ” ปราชญ์พูดเสียงเบาผันมองคนหน้าชั้นเรียนที่เริ่มสอนแล้ว ถ้าเกิดเป็นเพราะเรื่องเมื่อวานเขาคงต้องขอโทษอย่างจริงจัง มันไม่ใช่เขาเองหรือที่เป็นคนริเริ่ม หากต้นสนรู้ว่าเขารู้สึกอย่างไร จะไม่ตีตัวออกห่างมากกว่านี้หรือ

เย็นชาใส่เพียงแค่นี้ เขาก็ปวดหนึบไปทั้งอกแล้ว

“อารมณ์แปรปรวนง่ายขนาดนี้คงต้องพาไปทำบุญบ้างสักวัน” ชายธันที่มองอยู่นานพูดขึ้น

“พี่ธันก็ไปด้วยกันเลยสิคะ เคยเป็นเหมือนกันไม่ใช่หรือ” ฟ้าใสว่าจนธันหน้าเสีย มีไม่กี่ครั้งที่ทำธันแสดงอารมณ์ออกมาขนาดนี้

ปราชญ์พอจะเข้าใจเพราะตอนที่เขาไปอังกฤษแล้ว เห็นว่าเด็ก ๆ มีปัญหากันทันที ต้นสนพาฟ้าใสออกไปเล่นด้วยแต่ก็เคยถูกชายธันต่อว่าและเคยผลักตกน้ำ ฟ้าใสว่ายน้ำไม่เป็น เหตุการณ์วันนั้นฟ้าใสเลยจำจนติดตา และกลัวน้ำจนถึงทุกวันนี้ เขารู้ว่าชายธันรู้สึกผิดจึงพยายามช่วยเหลือคนบ้านพี่เฟื้องตลอด

แต่คนถูกกระทำก็จำไปจนตายเช่นกัน ไม่ว่าจะทำดีแค่ไหนก็มิอาจลบภาพความเลวร้ายในอดีตได้

“พี่—”

“หนูกลับก่อนนะคะ” ฟ้าใสยกมือไหว้ผู้ใหญ่แล้วเดินออกไปทันที

ปราชญ์หันมองน้องชายที่ดูรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก เขาจึงตบบ่าน้อง “ถึงน้องจะไม่ให้อภัย ก็ไม่เป็นไรนะ ต้องมีสักวันที่ฟ้าใสจะไม่ถือความ”

“ไม่ต้องให้อภัยก็ได้ ขอแค่ได้คุยกันดี ๆ สักครั้งก็พอ”

“ต้องใช้เวลาหน่อยนะ”

แล้วมันเมื่อไรกัน... นั่นคือสิ่งที่ชายธันถามอยู่ภายในใจตลอด แต่ก็น้อมรับความผิด น้อมรับหากน้องจะเกลียด

ปราชญ์บีบบ่าน้องหนสุดท้ายแล้วขอตัวกลับไปตรวจงานของนักศึกษาต่อ พอเข้าวังได้ก็เห็นน้องชายคนกลางที่กำลังนั่งหน้าคล้ำหน้าเครียดอยู่คนเดียว

“ถูกสาวอกหักมาหรือชายกรณ์”

อิตธิกรณ์เงยหน้า ส่ายหัวพลางขำ “สาวที่ไหนล่ะครับ มีแต่พวกหนุ่ม ๆ”

“หื้อ?”

เห็นสีหน้าตกใจของพี่คนโตชายกรณ์ก็หัวเราะชอบใจ “เกี่ยวกับคนในรุ่นน่ะครับ”

“อ่อ.. แล้วมีปัญหาอะไรหรือถึงทำหน้าเครียดขนาดนี้”

คนที่ร่าเริงเสมอจุดยิ้มบาง “พอดีมีเรื่องนิดหน่อย แต่ก็ไม่มีปัญหามากหรอกครับ”

ปราชญ์เดินเข้าไปหาน้องไม่ต้องพูดอะไรให้มากความน้องที่อายุจะเข้าเลขสามก็ซุกกับอกของพี่ทันที ชายกรณ์น่ะเห็นยิ้มเก่ง พูดเก่ง ต้องทำตัวเข้มแข็งเสมอเพื่อน้องชายคนเล็กและพี่คนโตอย่างเขา แต่เนื้อในก็แค่มนุษย์คนหนึ่งที่มีหัวจิตหัวใจ คงแบกรับอะไรหลายอย่าง ทั้งยศถาบรรดาศักดิ์ที่ได้มาอย่างง่ายดายจนคนดูแคลน แต่เขารู้ว่าชายกรณ์ทำด้วยความพากเพียรพยายามของตัวเองมาตลอด ฝึกหนักที่อเมริกาและที่ไทยจนมาถึงวันนี้ได้

“ถ้าเหนื่อยก็พักบ้างนะ รู้ไหม” มือเรียวสางผมน้องชาย คลี่อย่างเบามือ นวดคลึงให้คลายเครียด “หาเวลาว่างไปพักผ่อนบ้าง”

“ถ้าจะไป อยากไปด้วยกันสามพี่น้อง” ชายกรณ์พูดอู้อี้

ปภารัชยิ้มเอ็นดู ต่อให้น้องชายจะอายุห้าสิบก็ยังคงเป็นเจ้าน้องชายที่ขี้อ้อนของเขาอย่างเคย “ถ้าอย่างนั้นไว้พรุ่งนี้มาคุยกันดูไหมว่าจะไปเที่ยวไหนกัน”

ชายกรณ์ผละออก เห็นตาแดงเล็กน้อย “ได้ครับ... อ่า ใช้ไม่ได้เลยชายกรณ์ ทำตัวอ่อนแอไปได้” น้องพึมพำบ่นตัวเอง

“ถ้าเรื่องที่กองทัพไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนอะไร พี่ว่าชายกรณ์ไปนอนพักเถอะนะ”

“ครับผม” ว่าแล้วก็ลุกขึ้นตะเบ๊ะ

ปภารัชส่ายหัวอมยิ้มน้อย ๆ แล้วเดินตามขึ้นไป ต่างแยกย้ายเข้าห้องของตัวเอง พอถึงห้องก็คลายกระดุมเสื้อลงอีกสองสามเม็ดจนเผยแผงอกขาว วันนี้เป็นวันอะไรกันนะ สามพี่น้องถึงมีเรื่องเครียดเข้ามาพร้อมกัน

คนเล็กมีปัญหาเรื่องที่ตัวเองเคยทำผิด

คนกลางมีปัญหาเรื่องที่ต้องแบกรับคนเดียว

ส่วนคนโตมีปัญหาเรื่องของ... หัวใจ

หรือเราสามพี่น้องจะปลีกตัวไปนั่งสมาธิที่วัดกันสักอาทิตย์ดี

 
 

เฝ้าคำนึง

 


ผลัดไปอีกวันการเรียนการสอนก็มีเป็นปกติ จากเรื่องที่จับผู้ร้ายได้นั้นเป็นข่าวดังเลยทีเดียว ทางมหาลัยจึงต้องคัดคนมาเป็นภารโรงอย่างจริงจัง คู่สามีภรรยาถูกไล่ออกอย่างไม่นึกเห็นใจ แต่เขาก็เข้าใจว่าทั้งคู่ต้องการจะปกป้องลูกชาย แต่เป็นการปกป้องที่ผิดเท่านั้น เขานึกเห็นใจอยู่เหมือนกัน เพราะลุงกับป้าแกนิสัยดี

ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นอย่างไรกันบ้าง หางานทำได้หรือยัง

“สอนเสร็จแล้วหรือครับ” อาจารย์รศิตถามขึ้นเมื่อเห็นใครเข้ามาในห้องพัก

“ครับ แล้วอาจารย์รศิตล่ะครับ”

“เสร็จแล้วเหมือนกันครับ แต่ผมอยู่ตรวจงานต่อ”

“อย่ากลับดึกมากนะครับ ขับรถตอนกลางคืนมันอันตราย” ปากก็พูดไปมือก็เก็บของและพาดเสื้อสูทลงกับแขน

“รับทราบครับ ขับรถกลับดี ๆ นะครับคุณชาย”

ปภารัชยิ้มพลางผงกหัวก่อนจะเดินออกจากห้องเพื่อกลับวัง เมื่อเข้าไปนั่งรถก็ขยับคอไปมาให้คลายความล้าที่สะสมมาทั้งวัน พอขับออกมาก็เห็นเด็กสาวสองคนคุ้นหน้าคุ้นตาที่เดินไปที่รถคันหนึ่ง และมีร่างสูงของใครบางคนที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนสั้นธรรมดา เพราะคงไม่ได้ไปทำงานอย่างเดิม

อดไม่ได้ที่จะขับชะลอมองใบหน้าเปื้อนยิ้มของอีกฝ่าย ต้นสนเปิดประตูให้เพียงขวัญ เห็นฟ้าใสทำท่าโวยวายคงเพราะพี่ชายไม่เคยเปิดประตูให้บ้าง

ชายหนุ่มนึกห่วงที่ต้นสนขับรถออกมาทั้งที่บาดเจ็บอยู่ ใช่... เขาก็แค่ห่วง ถึงแม้ว่าเวลาเจอเพียงขวัญจะยิ้มอย่างสดใสมากกว่าที่อยู่ใกล้เขา ดูเหมาะสมกันดีเวลายืนใกล้กัน

ที่เขาเอาแต่กำพวงมาลัยจนมือแดง จ้องมองภาพบาดตาที่ทำให้หัวใจคล้ายถูกบีบรัด ทั้งหมดทั้งมวล มันก็แค่ความรู้สึกห่วงไม่อยากให้ออกมาขับรถก็เท่านั้น...

เท่านั้นจริง ๆ

ไม่รู้ว่าโชคชะตานำพาหรืออย่างไร ถึงได้เห็นว่าต้นสนดูมีปัญหากับรถของตัวเอง เด็กสาวทั้งสองจึงออกมายืนนอกรถ อยากจะขับหนีไปให้รู้แล้วรู้รอดแต่เมื่อเห็นคนเดือดร้อนก็ทำใจมองข้ามลำบาก รถสไตล์ยุโรปจึงขับเข้าไปจอดเทียบใกล้ ๆ

ปภารัชวางสูทกับเบาะข้างคนขับแล้วลงรถไป “รถมีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ”

“เจ้าชายขี่ม้าขาว” ฟ้าใสว่าอย่างเพ้อฝันก่อนจะบอกปัญหา “รถสตาร์ทไม่ติดค่ะ เจ้าพี่คนดีคนเดิมลืมเติมน้ำมันมา”

พอได้ยินอย่างนั้นเขาก็เผลอหัวเราะออกมา “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพี่ไปส่งก่อนดีไหม”

ต้นสนลงรถอย่างห้ามไม่ได้ “ฟ้าใสกลับกับคุณชายเขาก่อนก็ได้ พี่ขอโทษนะขวัญที่ไปส่งไม่ได้”

เพียงขวัญยิ้มอย่างไม่ถือสา “ไม่เป็นไรค่ะ ขวัญต่างหากที่ต้องขอโทษที่รบกวน พี่ต้นสนบาดเจ็บมาแท้ ๆ”

ทั้งคู่ยืนยิ้มให้กัน ปราชญ์ที่เห็นก็จำต้องหันหน้าหนี “ไว้เดี๋ยวผมไปส่งฟ้าใสกับเพียงขวัญก่อน แล้วจะแวะซื้อน้ำมันรถมาให้”

“ไม่ต้องก็ได้ครับ รบกวนให้พี่สมพงษ์ไปบอกพ่อเฟื้องดีกว่า จะได้ไม่รบกวนคุณชายให้ขับรถไปมา”

ปราชญ์มองอีกฝ่ายย่างนึกไม่เข้าใจ “ไม่เป็นไรหรอกครับ เผื่อพี่เฟื้องทำงานอยู่”

“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ขอพี่สมพงษ์มาก็ได้ครับ” แววตาดื้อรั้นนั้นทำเขาต้องถอนหายใจ เราทั้งคู่ต่างสอดสายตาประสาน ไม่ใช่แบบที่ยิ้มให้กันหรือมีนัยมากกว่านั้น แต่เป็นดวงตาที่ฟาดฟันกันแทน

เพียงขวัญกระซิบกระซาบเพื่อนเมื่อเห็นบรรยากาศมาคุนี้ ฟ้าใสทำหน้าเอือมระอา “เป็นแบบนี้ตลอดแหละ สามวันดีสี่วันไข้ โดยเฉพาะพี่ต้นสนนะไม่รู้ว่าไปโกรธไปเกลียดอะไร เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายใส่พี่ปราชญ์ ทั้งที่แต่ก่อนติดพี่ปราชญ์จะตาย ไม่รู้ว่าทำไมพอกลับมาเจอกันถึงเป็นอย่างนี้ไปได้ พี่ปราชญ์ก็ไม่เห็นจะทำอะไรให้เลย พูดดีไปแต่ก็ถูกเมินกลับ”

“เขาอาจจะมีปัญหากันส่วนตัวแต่เราไม่รู้ก็ได้นะ”

“ปัญหาอะไรล่ะ พี่ปราชญ์ออกจะนิสัยดีขนาดนี้ ทำไมพี่ต้นสนถึงเป็นแบบนี้ก็ไม่รู้”

“ก็เหมือนกับคุณชายธันที่เธอเล่าให้ฉันฟังไม่ใช่หรือ”

ฟ้าใสเงียบลง กลอกตาไปมา “ไม่เหมือนกันสักหน่อย อันนี้พี่ปราชญ์ไม่เคยทำอะไรให้พี่ต้นสนจริง ๆ”

เพียงขวัญส่ายหน้า “ถึงยังไงเราก็ไม่รู้เรื่องภายในใจพวกเขาอยู่ดีนะ อาจจะมีปัญหาตอนที่เธอไม่เห็นก็ได้”

คนฟังต้องจำยอมพยักหน้าทำเป็นเห็นด้วยแล้วหันไปหาพี่ปราชญ์ “ไปกันเถอะค่ะพี่ปราชญ์ ให้ดีก็ไม่ต้องบอกใครเลย ไม่ต้องช่วยด้วย ทิ้งตาพี่คนนี้ไว้ก็ได้”

“อ่าว ยัยตัวแสบ” ต้นสนเท้าเอว

“พี่ปราชญ์อุตส่าห์ช่วยเหลือแต่ปัดน้ำใจแบบนี้ นึกถึงใจคนมาช่วยบ้างสิคะพี่ต้นสน” ฟ้าใสทำตาดุใส่พี่ชาย

ชลันเถียงไม่ออกเลยทำเป็นหงุดหงิดกลบเกลื่อน

“ช่างเถอะครับ พี่ก็แค่คนนอก” ปราชญ์พูดทั้งที่ตายังมองอีกฝ่าย “ไปเถอะครับ เดี๋ยวพี่ไปส่ง”

ทั้งสามขึ้นรถอีกคัน ปราชญ์ขับรถออกโดยไม่มองต้นสนเลยสักนิด ดีหน่อยที่ฟ้าใสพูดตลอดทางในรถจึงไม่เงียบจนเกินไป

“ขอบคุณนะคะอาจารย์หม่อม” เพียงขวัญยกมือไหว้

“ยินดีครับ” ชายหนุ่มคลี่ยิ้มพอน้องลงรถไปแล้วจึงขับกลับวัง

เมื่อออกรถมาได้สักพักฟ้าใสก็เอ่ยถามแทงใจทันที “พี่ปราชญ์คิดว่ายัยขวัญเหมาะกับพี่ต้นสนไหมคะ”

ปราชญ์ยิ้มบางแม้ในใจเจ็บปวด “เหมาะดีครับ”

“ใช่ไหมล่ะคะ ขัดใจนิดหน่อยที่ในอนาคตจะได้เพื่อนเป็นพี่สะใภ้ แต่ก็ไม่แย่” ฟ้าใสพูดอย่างร่าเริง ต่างจากอีกคนที่ปากยิ้มแต่แววตาเรียบนิ่ง

พอมาถึงเขาก็จะไปบอกพี่สมพงษ์ให้อยู่หรอกถ้าไม่ติดว่าแกออกไปตลาดกับคุณน้า เขาจึงต้องตีรถกลับและหาแวะซื้อน้ำมันเอง ใช้เวลานานพอควรถึงจะขับมาถึงที่มหาลัย เห็นคนในรถกำลังนอนอยู่จึงบีบแตรไปที

ชลันสะดุ้งจนหัวโขกกับประตู พอหันมองว่าเป็นใครก็นึกฉุนเล็กน้อย

“พอดีว่าพี่สมพงษ์ไปตลาดเลยไม่มีใครมาแทนได้” ปราชญ์ลงรถและยื่นถังน้ำมันให้

“ขอบคุณครับ” ต้นสนลูบหัวตัวเองปอย ๆ ปิดประตูรถและรับถังมา

เห็นอย่างนั้นก็รู้สึกผิดที่ทำให้เจ็บตัว “ขอโทษนะครับ เจ็บหรือเปล่า”

ชลันที่เดินไปเติมน้ำมันเงยหน้ามอง “ไม่เจ็บครับ ไม่เป็นไร คุณชายกลับไปเถอะ”

“แล้วแผลเป็นอย่างไรบ้างครับ” นอกจากจะไม่กลับแล้วยังยืนกอดอกพิงประตูรถ

“แค่หัวโขกไม่ถึงกับมีแผลหรอกครับ”

ปภารัชยิ้มบาง “หมายถึงแผลที่ไหล่ครับ”

ต้นสนหูร้อนขึ้นมา จากที่ทำขรึมถึงกับหน้าม้านเล็กน้อย “เริ่มสมานแล้วครับ”

“อย่าทำอะไรหักโหมมากนะครับ อย่ากินของแสลงด้วย ถ้าเป็นไปได้อยากให้พักผ่อนมาก ๆ จะได้หายไว ๆ”

คนฟังกัดฟันกรอด ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น “อย่าทำเหมือนเป็นห่วงผม” เพราะเขารู้สึกละอายใจที่ทำตัวแย่ใส่

แต่คนได้ยินกลับคิดว่าอีกคนไม่อยากจะรับความหวังดี จึงอดจะน้อยใจไม่ได้ “ทำไมหรือ พี่เป็นห่วงไม่ได้เลยใช่ไหม”

ชลันหลบสายตาที่ส่อแววตัดพ้อนั้น “เราเป็นคนนอกต่อกันไม่ใช่หรือครับ เป็นห่วงคนอย่างผมทำไม เสียเวลาเปล่า” คนพูดก็อยากจะกัดลิ้นตัวเอง แต่ทำยังไงได้ถ้าไม่ตัดขาดตอนนี้ มันจะไม่ดีต่อตัวพี่ปราชญ์เองด้วย

ที่จะจูบเขาน่ะ เขาไม่เคยลืมได้ลงหรอก ถ้าเขาปล่อยใจเลยตามเลย อาจจะกลายเป็นมือที่สามหรือคนแก้เหงาก็ได้ใครจะไปรู้

“พี่แค่น้อยใจพี่เลยพูดว่าพี่เป็นคนนอก... แต่ไม่คิดเลยนะว่าต้นสนจะคิดกับพี่แบบนี้จริง ๆ” ปราชญ์พูดเสียงเรียบต่างจากภายในใจที่เริ่มแตกร้าวอย่างช้า ๆ “พี่คงยุ่งมากไป พี่คิดว่าเราจะกลับมาคุยกันเหมือนเดิมได้ แต่ก็ไม่ใช่... เพราะเรื่องวันนั้นใช่ไหม”

ใจของต้นสนเต้นระรัว เขารีบปิดฝาถังแล้วเอาใส่หลังรถ “เลิกพูดถึงได้แล้วครับ ขอบคุณที่ช่วย”

ปราชญ์ไม่ทันคิดรีบดึงแขนต้นสนทันที “พี่ขอโทษ วันนั้นพี่แค่เผลอตัว...” ถึงจะน้อยใจแต่เรื่องนี้เขาก็ผิดเอง

ชลันหันหน้าเข้าหา คำว่าเผลอตัวทำร่างสูงปวดหนึบไปทั่วอก “ทีหลังก็อย่าเผลอตัวไปทำแบบนี้กับใครอีกนะครับ เดี๋ยวเขาจะไม่ชอบเอา”

คนฟังถึงกับรู้สึกจุก

จะให้เผลอตัวกับใครหรือ... ในเมื่อมีใจให้ต้นสนไปเสียแล้ว จะให้ไปทำกับใครหรือ... ในเมื่ออยากจะมอบให้ต้นสนเพียงคนเดียว

ทำไมพูดอย่างกับว่าเขาต้องระรานหาคนไปทั่ว เนื้อความยังตีให้คิดว่าสิ่งที่เขาทำมันน่ารังเกียจ ต้นสนที่ไม่ชอบเลยคิดว่าคนอื่นก็คงไม่ชอบสินะ

ถึงอย่างนั้นก็ต้องทำใจยอมรับ คนที่เราไม่ได้ชื่นชอบทำเกินขอบเขตความสัมพันธ์ ถ้าเป็นเขาโดนบ้างก็คงไม่ชอบใจเหมือนกัน “พี่ขอโทษจริง ๆ”

“กลับได้แล้วครับ แล้วก็ลืมเรื่องพวกนั้นไปซะ”

“ต้นสนไม่ได้รังเกียจพี่ใช่ไหม”

คำถามนั้นทำเอาชลันยืนนิ่ง “ไม่ได้รังเกียจครับ แต่คุณชายก็ควรรู้ว่าตัวเองไม่สมควรทำอย่างนี้ เรื่องง่าย ๆ คงคิดได้” อย่าทำผิดกับคนที่รักเลย ไม่อยากให้ใครมองพี่ปราชญ์ไม่ดี

“เข้าใจแล้ว พี่จะไม่ทำอีก”

“งั้นก็ปล่อยมือผมได้แล้ว”

ปราชญ์รีบผละออกทันที ดวงตาภายใต้กรอบแว่นหม่นหมองลง ขยับออกให้รถอีกฝ่ายขับออกไป

เขาคงต้องทำใจไว้บ้าง...

ขนาดเพิ่งเข้าใจความรู้สึกตัวเองที่มีต่อต้นสน ไม่ทันไรก็มีแววจะไม่ได้ไปต่อ ถึงจะไม่ได้คาดหวังอะไร เพราะยังไงเขาก็อายุมากขนาดนี้แล้ว ส่วนต้นสนยังเจอผู้คนได้อีกมากมาย เขาไม่เคยคิดจะเอาคนนี้ให้ได้ หรือต้องเป็นคนนี้เท่านั้น

ปราชญ์ยอมรับว่ารู้สึกชอบ แต่ไม่เคยคิดจะก้าวก่ายมากกว่านี้ ไม่อยากเข้าไปทำให้รู้สึกอึดอัด แค่มองอยู่ตรงนี้ก็พอ แม้จะเจ็บปวดบ้างแต่ก็ไม่เป็นไร

นึกโทษตัวเองด้วยซ้ำที่วันนั้นห้ามตัวเองไม่อยู่ มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเขาไม่ได้ทำอะไรลงไป ต้นสนคงจะกลับมาเป็นอย่างเดิม อุตส่าห์เรียกเขาว่าพี่ แสดงออกว่าเป็นห่วง แต่มันก็พังเพราะเขาเอง

จะโทษใครได้นอกจากตัวเขาเอง

จนมืดค่ำปราชญ์เพิ่งจะมาถึงวัง ป้าสรบอกว่าน้องชายทั้งสองรอยู่ที่ห้องนั่งเล่นนานแล้ว ชายหนุ่มถอนหายใจลืมไปเสียสนิทว่าวันนี้จะมาคุยกับน้องเรื่องไปเที่ยวพักผ่อน

“ทำไมกลับดึกจังครับ” ชายกรณ์ถามขึ้น

ปภารัชเดินไปนั่งเก้าอี้นวมตรงข้ามกับน้อง ๆ “งานยุ่งน่ะ แล้วคุยกันไปหรือยังว่ามีที่ไหนที่อยากจะไป”

“ผมแนะนำเชียงใหม่ครับ ขึ้นดอยกัน คุณอาชักชวน” คงจะเป็นคุณอาที่รู้จักมีวังอยู่ในเชียงใหม่

“แล้วชายธันล่ะ”

“ผมไปที่ไหนก็ได้”

คนพี่พยักหน้า “พี่อยากไปทะเล”

“อ่าว”

“ขึ้นดอยไว้ไปหน้าหนาวกัน ตอนนี้หน้าร้อนเราไปทะเลเถอะ”

“จริงด้วยสินะ” ชายกรณ์ลูบคาง ถ้าไปตอนนี้ก็ไม่เห็นหมอก “ไปทะเลก็ได้นะครับ คิดถึงอาหารทะเลเหมือนกัน”

“ชวนผู้ใหญ่ไปด้วยหรือเปล่า”

“เราไปสามคนสิครับ”

ปราชญ์เลิกคิ้วคลี่ยิ้มล้อชายกลาง “จะพาสาวไปด้วยหรือไปเหล่สาวที่นู่น”

ชายกรณ์กระแอมไอ “พี่ชายใหญ่นี่ก็ เห็นผมเป็นคนอย่างไร”

“จะไปกันแค่สามคนจริงหรือ” ชายธันถามอีกรอบ

“เอ้อ!” อิตธิกรณ์ตบบ่าน้องคนเล็ก “ชายเล็กก็ชวนต้นสนไปด้วยสิ แล้วก็เพื่อน ๆ สมัยเรียนนายร้อย”

ชายเล็กขมวดคิ้ว จำได้ว่าศศิเพื่อนนายร้อยของเขาไปประจำที่ทางใต้ “มีเพื่อนคนหนึ่งไปประจำอยู่ที่พังงา เราไปที่นั่นกันไหมครับ จะได้ชวนคนอื่นด้วยเลย”

“เอาสิ เลยไปภูเก็ตด้วยเลยดีไหม อยากขึ้นเรือมานานแล้ว”

“ต้นสนจะไปด้วยหรือ”

ชายธันยิ้มบาง “ไปสิครับ”

“จะยอมไปหรือ ในเมื่อพี่ก็ไปด้วย...”

คนกลางหันซ้ายหันขวาเพราะยังไม่รู้เรื่อง “มีอะไรหรือครับ ถ้าพี่ปราชญ์ไปด้วยต้นสนก็ต้องไปอยู่แล้ว”

เห็นอย่างนั้นปภารัชจึงเปิดปากเล่าเรื่องทุกอย่างให้คนกลางฟัง แล้วก็ไม่แปลกใจเลยที่ชายกรณ์จะตกใจขนาดนี้

“นี่ยังไม่ได้คุยกันเรื่องจดหมายเลยหรือครับ แล้วทำไมต้นสนต้องทำตัวแบบนั้นด้วย”

“พี่ก็ไม่รู้”

“พอมาฟังอย่างนี้แล้ว... ต้นสนจะไปด้วยได้แน่หรือ” ชายกรณ์ถามน้องชายที่ดูมั่นอกมั่นใจเหลือเกิน

“เอาเถอะครับ ผมชวนไปได้อยู่แล้ว”

พี่คนโตกับพี่คนกลางมองหน้ากันอย่างนึกสงสัย

“เอาเป็นว่ารออีกสองอาทิตย์แล้วกันนะ พี่ชายใหญ่ว่ายังไงครับ”

“ก็ดีเหมือนกันนะ จะได้จัดการเรื่องงานไว้ก่อนได้ แล้วไปกี่วันดีล่ะ”

“อืม... สามวันสองคืนดีไหมครับ” ชายกรณ์แนะนำ

“ก็พอดีนะ ไปในช่วงวันหยุดแล้วใช้ลากิจเอา ไม่อยากลาเยอะเพิ่งได้เข้าสอนด้วย”

“ตามนั้นครับ” คนกลางยิ้มร่าเริงที่จะได้ไปพักผ่อนเสียที

ปภารัชได้แต่ภาวนาว่าวันที่ไปจะไม่เกิดเรื่องบาดหมางอะไรกันอีก ถ้าเป็นไปได้เขาคงต้องอยู่ห่างไว้ อาจจะไม่ได้คุยกันเลย...

แต่เป็นแบบนี้ก็คงจะดีแล้ว





จบบทที่ ๑๐
-----------------------------------------------
อยากทราบว่าคุณนักอ่านกดเข้าอ่านแต่ละตอนที่ลงสารบัญได้ไหมคะ พอดีว่าเพิ่งลองกดเข้าแต่มันไม่ขึ้นแต่ละตอนให้
ใครเป็นยังไงบอกด้วยนะคะ พยายามแก้อยู่แต่แก้ไม่ได้สักที :mew6:




CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑๐
« ตอบ #39 เมื่อ: 30-06-2020 17:27:16 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ piakunaa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑๐
«ตอบ #40 เมื่อ30-06-2020 19:10:33 »

กดได้ค่ะ


แล้วเมื่อไหร่พี่ปราชญ์​จะบอกว่าเลิกกับภวัตแล้ว​ เหอมมมมมมมมมมม​ ต้นสนนนนนนนนนนนนนน

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑๐
«ตอบ #41 เมื่อ30-06-2020 20:52:00 »

 :3123:
 o13

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
 


บทที่ ๑๑

เต้นรำ

 
 

หลังจากเพิ่งกลับจากการสอนมาก็ไม่ได้มีงานอะไรเพิ่มมากนัก ที่ต้องทำคงทำช่วงหัวค่ำได้ พลันเสียงเพลงที่ดังขึ้นมาหลายวันนี้ทำให้ปราชญ์ต้องออกไปดูทางบ้านพี่เฟื้องว่ามีงานอะไรกัน เพราะยังไม่ได้ไปถามเลยเนื่องจากติดสอนที่มหาลัยแล้วก็เตรียมบทความที่จะสอนและให้นักศึกษาทำในช่วงที่เขาจะไปทะเล พอเห็นว่าใครที่เดินกลับมาทางวังด้วยใบหน้าติดจะหงุดหงิดเลยเอ่ยถามเสียหน่อย

“ที่บ้านพี่เฟื้องมีงานอะไรหรือ”

ชายธันเปลี่ยนสีหน้า “ไม่มีหรอกครับ พอดีต้นสนฝึกเต้นรำน่ะครับ”

“งั้นหรือ...” อยากเห็นเสียจริง “แล้วฝึกไปทำไมล่ะ”

“สำหรับงานการกุศลที่จะจัดขึ้นอีกสามวันนี้น่ะครับ”

“อ่อ แต่ว่าใครอยากเต้นรำก็ตามสมัครใจไม่ใช่หรือ”

“ก็นั่นแหละครับ ต้นสนอยากร่วมเต้นรำจะได้ถือว่าร่วมทำบุญ”

ปภารัชถึงกับเลิกคิ้วก่อนจะอมยิ้ม “สมกับเป็นเขาดีนะ” ถ้าให้เปรียบภาพตอนเด็กก็คงจะคิ้วมุ่นแล้วพูดว่า ‘เพราะต้นสนไม่ได้ลงเงินเลยอยากทำอะไรตอบแทนครับ’

“ผมว่าต้นสนคงไปร่วมด้วยไม่ได้เพราะยังเต้นแบบคลาสสิคไม่เป็นเลย”

“ชายธันก็สอนสิ”

น้องคนเล็กส่ายหัวหวือ “ไม่ครับ สอนไปก็ไม่เข้าใจ จะให้เต้นด้วยก็เก้ ๆ กัง ๆ ผมไม่ยอมเป็นผู้หญิงให้หมอนั่นหรอกครับ”

ปราชญ์หัวเราะออกมา “ถ้าต้นสนไม่มีใครช่วยแล้วชายธันก็ช่วยซะนิด ๆ หน่อย ๆ แค่สอนเต้นเอง”

ชายเล็กขมวดคิ้วก่อนจะทำหน้านึกอะไรแล้วมองพี่คนโต “ถ้าอย่างนั้นพี่ชายใหญ่ก็ไปสอนต้นสนสิครับ”

“หื้อ?”

“พอดีผมมีงานด่วนน่ะครับ เลยต้องไปอย่างห้ามไม่ได้ ถ้าพี่ชายใหญ่ยังว่างก็ไปสอนต้นสนหน่อยนะครับ”

“เดี๋ยวสิ” ยังไม่ทันพูดอะไรชายธันก็เดินเข้าวังไป ยังไม่วายชะโงกหน้าออกมาพร้อมจุดยิ้มบาง

“ถ้าไม่มีใครไปสอน ต้นสนก็ยังคงเต้นไม่ได้แล้วก็คงเสียใจที่ไม่ได้ทำอะไรเลยในงานนั้น”

ปภารัชอ้าปากพะงาบ ๆ จะเถียงก็ไม่ได้ในเมื่อน้องพูดเสร็จก็เดินหนีไปเลย คิดผิดหรือคิดถูกที่เดินมาถามเรื่องนี้นะ

ถึงจะบ่นไปสุดท้ายก็เดินข้ามสะพานไปอีกฝั่งอยู่ดี เสียงเพลงยังดังคลออยู่จากชั้นล่าง ปราชญ์สอดส่องเข้าไปเห็นต้นสนกำลังยืนก้มมองเท้าตัวเองแล้วขยับไปมา ปากพึมพำตามจังหวะจนอดเอ็นดูไม่ได้

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ปภารัชเคาะประตูยืนรออยู่ข้างหน้าเห็นว่าเพลงดับไปแล้วและมีเสียงบ่นของคนด้านในขึ้นมาแทน

“ไหนบอกว่าจะไม่สอนไง กลับมาทำไมล่ะ... เอ้อ ไอเราก็เต้นไม่เป็นหวังให้เพื่อนช่วย แต่นอกจากจะไม่ช่วยแล้วยังหนีอีก ถ้าฉันเต้นเป็นก็คงไม่ขอให้นายช่วยหรอกเว้ย จะบอกให—” คนขี้บ่นถึงกับชะงักในตอนที่เปิดประตูออกมา ทั้งคู่นิ่งไปถนัดตาก่อนจะเป็นปราชญ์ที่กระแอมไอแล้วยุติความเงียบลงก่อน

“คือ... ชายธันบอกมีงานด่วนเลยขอให้พี่... ขอให้พี่มาช่วย” ปภารัชเหนื่อยที่จะต้องพูดแทนคำอื่นเพราะเขาชินเสียแล้วที่พูดอย่างนี้ ต่อให้อีกฝ่ายกีดกันเขาเพียงไหน เขาก็จะแทนตัวเองว่าพี่ต่อไป

ชลันสบถเสียงเบา “ไม่เป็นไรครับ ผมฝึกเองได้”

“แน่หรือ”

“แน่ครับ”

ปราชญ์ยิ้มบาง “แต่เมื่อกี้พี่เห็นว่าจังหวะก้าวเท้ายังผิดอยู่เลยนะ”

คนถูกย้อนถึงกับไปไม่เป็น “คนเราผิดพลาดกันได้ครับ คุณชายไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวผมก็ฝึกเองได้”

ปภารัชถอนหายใจพลางส่ายหน้ากับความดื้อรั้น เขาเข้าไปด้านในอย่างถือวิสาสะก่อนจะเริ่มแผ่นเสียงใหม่

“นี่คุณชาย” ชลันขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ

“สอนครู่เดียวก็ได้แล้วครับ พี่อยู่ที่นี่ไม่นานหรอก ที่มาสอนเพราะชายธันขอมา”

คนที่ทำเป็นไม่อยากให้สอนดันกลับหงุดหงิดขึ้นมาที่ได้ยินอย่างนั้น

หึ ก็แค่น้องชายขอมา แต่ก็ไม่อยากจะสอนอย่างนั้นหรือ

“อยากสอนก็เชิญครับ แต่ผมเข้าใจยากหน่อยนะ ถ้าเบื่อหรือหงุดหงิดขึ้นมาอย่าโทษผมแล้วกัน”

“พี่เคยโทษต้นสนด้วยหรือครับ” ปราชญ์ยังคงยิ้มก่อนจะเดินเข้าไปใกล้แล้วยกมือขวาแตะกับมือซ้ายของอีกฝ่าย ส่วนมือซ้ายยกวางบนบ่ากว้างแต่ก็รู้ว่ายังมีแผลจึงไม่ทิ้งน้ำหนักมือลงไปมาก

ส่วนชลันนั้นตกใจไม่น้อยแต่ทำนิ่งกลบเกลื่อนอาการใจเต้นแรง ฝ่ามือร้อนที่สอดสัมผัสกันทำคนที่ขรึมมาตลอดอดจะหูแดงไม่ได้ มือของพี่ปราชญ์ทั้งเล็ก ทั้งอุ่น แถมยังเรียวเวลาขยับเหมือนถูกสะกดจิตอย่างไรอย่างนั้น

“ที่ชายธันสอนไว้คือท่าไหนล่ะ”

“เอ่อ...” ชลันนึกคิด ค่อย ๆ กระชับมือตรงหลังของอีกคนในระดับเอวจึงเหมือนคล้ายโอบไม่ปราย “วอล ๆ อะไรสักอย่างกับบีกินครับ”

“อืม วอลซ์กับบีกินสินะ” ปราชญ์จำต้องมีสมาธิในการสอนแทนการจดจ่อกับฝ่ามือที่ทาบตรงช่วงเอวของตนเอง “วอลซ์เป็นท่าเบสิคจะเต้นไม่เร็วมาก ฝึกท่านี้ก่อนนะ แล้วค่อยฝึกท่าบีกิน”

“ค..ครับ” ต้นสนได้แต่ด่าตัวเองที่ติดอ่าง นิ่งมาตั้งนานจะมาพังเพราะแค่จะเต้นรำหรือวะ

“ของผู้ชายจังหวะที่หนึ่งถอยเท้าขวาไปด้านหลัง...” ปราชญ์สอนแล้วก้าวออกตามน้องไปด้วยแต่สักพักต้นสนก็หยุด

“ของผู้ชาย หมายถึงผมหรือคุณชาย”

“ของผู้ชายก็ต้องเป็นต้นสนสิ ในเมื่อพี่เป็นคนสอน... พี่ก็ต้องเป็นผู้หญิงของต้นสนอยู่แล้ว”

คนฟังถึงกับใจเต้นแรง หน้าเห่อร้อนอย่างห้ามไม่ได้ “หรือครับ”

ปราชญ์เองก็เริ่มคิดได้ว่าพูดอะไรออกไปจึงเก้อเขินไม่ต่างกัน เลยหลุบตาลงพื้นแล้วทำเป็นสอนต่อ

การสอนดูเป็นไปอย่างราบเรียบ ทว่า ภายในใจของทั้งคู่ดังก้องไปด้วยเสียงหัวใจเต้น ขนาดเสียงเพลงยังดังสู้ไม่ได้เลย

“ไหนลองแบบไม่ดูเท้าซิ” ปราชญ์บอกเมื่อน้องเริ่มเต้นได้แล้ว เลยขยับโดยไม่ต้องเอาแต่ก้มมองเท้า ดวงตาที่จะต้องประสานกันเลยเกิดขึ้น แต่เพียงชั่ววิ ต้นสนก็หันไปทางอื่นแทน เขาไม่อยากจะขัดหรอกนะแต่ก็อดพูดไม่ได้ “ถ้าจะเต้นคู่ใครต้องมองหน้าด้วยอย่าหันหน้าหนีแบบนี้ เดี๋ยวเขาจะถือว่าเสียมารยาทต่อคู่ของตัวเอง”

ชลันหันกลับมามองทันที คิ้วกระตุกเล็กน้อย

ปราชญ์ไม่ได้พูดอะไรมากกว่านี้นอกจากเต้นไปตามทำนองที่เชื่องช้า ภาพสะท้อนที่อยู่ในดวงตาของคนตรงหน้าทำให้ปราชญ์รู้สึกดีไม่หยอก พอมาสังเกตใกล้ ๆ ดูแล้ว ตาของต้นสนเป็นสีน้ำตาลเข้ม ดวงตาเรียวคม รับกับจมูกโด่งได้รูป แต่เพราะว่าวันนี้ต้นสนไม่ได้ไปทำงาน ผมจึงไม่ได้ถูกจัดเป็นทรง แต่ถึงอย่างนั้นก็ดูมีเสน่ห์ แม้จะมองไปที่ผมแต่ก็เผลอหลุบมองที่ริมฝีปากที่ดูสุขภาพดี หากลองสัมผัส มันจะนุ่มแค่ไหนนะ...

ถึงจะคิดอย่างนั้นแต่ก็มีความรับผิดชอบกับสิ่งที่ตัวเองเคยผิดพลาดพอตัว จึงช้อนสายตากลับไปมองดวงตาสีน้ำตาลลุ่มลึกนั่นต่อ

“เป็นคนพูดเองว่าเวลาเต้นรำต้องมองหน้าคู่ของตัวเอง แล้วคุณชายมองอย่างอื่นทำไมครับ” ชลันกระซิบเสียงพร่า ไม่รู้เพราะตั้งใจหรือเป็นไปเอง แต่ก็ทำคนฟังร้อนวูบขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

“ขอโทษครับ”

“มองตาผมก็พอ” อย่าหาว่าผมไม่เตือน... ต้นสนพูดคำนั้นภายในใจ พลางจดจ้องคนตรงหน้าไปด้วย

ปภารัชสูดลมหายใจแล้วผ่อนออกเพื่อจะปรับอารมณ์ ถึงอย่างนั้นดวงใจยังเต้นระส่ำไม่หยุด ทำนองเพลงที่ขับเคลื่อนไปอย่างเนิบนาบ เหมือนกับเท้าของพวกเขาที่ขยับไปทีละน้อย มือที่จับกันนั้นกระชับแน่นขึ้น ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่ขยับเข้าใกล้กันกว่าเดิม จนปราชญ์ต้องเงยหน้ามากกว่าเดิมเล็กน้อย ถึงแม้ส่วนสูงจะไม่ต่างกันมากนัก แต่ถ้าเทียบร่างกายกันแล้วเขายังดูไม่ค่อยมีน้ำมีเนื้อมากสักเท่าใด ถึงจะมีกล้ามเนื้อบ้างแต่ก็คงยังน้อยกว่าคนที่ฝึกหนักมาตลอดของการเรียนนายร้อยอย่างต้นสน ไหล่ก็แน่นตึง ลำแขนใหญ่อย่างพอดีกับร่างกาย มีเส้นเลือดขึ้นให้เห็น ผิวคล้ำแดดต่างจากตอนเด็กที่ขาวเหมือนปุยนุ่น

หมดคราบเด็กน้อยไปเลย

“พอได้บ้างหรือยัง”

ชลันพยักหน้า “ได้แล้วครับ”

“ถ้าอย่างนั้นท่าบีกินต่อนะ”

“ครับ”

ปภารัชผละออกแล้วขยับเท้าให้ดูก่อนถึงจะสอนแบบคู่ให้ ต้นสนดูงุนงงคงเพราะปรับตัวไม่ทันและยังคงเผลอใช้ท่าวอลทซ์ไป

“พี่ว่าเราฝึกท่าวอลซ์ไปก่อนนะวันหนึ่ง แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้พี่จะมาสอนท่าบีกินใหม่”

“ครับ” ต้นสนเอาแต่ก้มมองเท้าตัวเองแล้วขยับอีกรอบ

“ถ้าอย่างนั้นตามสบายเลยนะ พี่ไม่กวนแล้ว ถ้ามีอะไรบอกพี่สมพงษ์ให้มาเรียกพี่ก็ได้”

ชลันผงกหัว มองตามอีกฝ่ายที่เดินออกจากห้อง “เดี๋ยวครับ”

“ครับ?” ปราชญ์หันกลับมามือยังคงจับประตูไว้อยู่

“ขอบคุณนะครับ”

เพียงคำขอบคุณแค่นี้คนฟังถึงกับใจชื้นขึ้นมา ไม่ได้มีเจตุจำนงอย่างอื่นแฝงนอกจากขอบคุณจากใจจริง

“ยินดีครับ” ยิ้มให้น้องเล็กน้อยก่อนจะขอตัวออกไป ระหว่างทางก็ยิ้มกับตัวเองมาตลอดจนถึงวังแล้วก็ถูกหม่อมย่าทักว่าไปทำอะไรมาถึงได้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เพียงนี้ จึงตอบเลี่ยง ๆ ว่าไปสอนเด็กเต้นรำมาเท่านั้น ไม่ได้บอกว่าเด็กที่ไหน คงจะคิดว่าเด็กเล็ก ๆ ที่เขาไปสอนอยู่

จะว่าเด็กก็เด็กล่ะนะ แต่ตัวใหญ่กว่าเด็กทั่วไปเฉย ๆ เท่านั้นเอง...

 

*มีต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
*ต่อจากด้านบน


วันที่สามแล้วที่เขามาฝึกให้ต้นสน น้องพัฒนาขึ้นมาก ที่จริงก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรนัก เมื่อวานนี้ฟ้าใสดูจะตกใจไม่น้อยที่เห็นเขาเต้นรำกับต้นสน สองพี่น้องจึงกระแนะกระแหนใส่กันไปรอบ ถึงจะให้ความส่วนตัวแก่พวกเขา

วันนี้พี่เฟื้องเข้ามาหาเขา ดูดีใจจนน้ำตาไหล เพราะที่ผ่านมางานยุ่งจวนตัวจนอยู่แต่กับโรงสีและไร่นาที่ทำ ไม่ได้มายินดีต้อนรับเขากลับจากเมืองนอก

“คุณชายโตแล้วจริง ๆ” เฟื้องที่อายุห้าสิบปีแล้วยังคงถนอมคุณชายของตนไม่ต่างจากตอนเด็ก จะจับทีก็กลัวแตกสลายคามือ

“โธ่พี่เฟื้องครับ ร้องไห้ทำไม” ปราชญ์หัวเราะในลำคอแล้วยื่นผ้าเช็ดหน้าให้

“ผมดีใจครับที่เด็กน้อยที่ผมคอยเลี้ยงดู โตมาเป็นคนที่ดีขนาดนี้ มันอดปลื้มไม่ได้น่ะครับ” ว่าแล้วก็สะอึกสะอื้นจนปราชญ์ต้องกอดแก

“ผมก็ดีใจที่พี่เฟื้องเคยเลี้ยงดูผม พี่เฟื้องเหมือนพี่ เหมือนพ่อผมคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ ขอบคุณจริง ๆ นะครับ ที่ดูแลผมมาตลอด” เขายิ้มบางใบหน้าซบกับบ่าของอีกฝ่าย ความอบอุ่นที่แผ่ออกมาไม่เคยจางหายไปเลยแม้จะห่างกันไปเสียนาน เพราะพี่เฟื้องอยู่กับเขามาตั้งแต่เด็กจึงชื่นชมและรักเปรียบเสมือนพ่อคนหนึ่งมาตลอด

“ไม่หรอกครับ อย่าชมยอผมเลย” แกส่ายมือ ถึงอย่างนั้นก็ปริ่มอกปริ่มใจจนน้ำตาไหลพรากอีกระลอก

“พ่อร้องไห้เป็นเด็กไปได้” ต้นสนที่นั่งมองทั้งคู่มานานอดส่ายหัวใส่พ่อตัวเองไม่ได้

“อะไรวะไอนี่ คนมันดีใจ เอ็งก็ดีใจไม่ใช่หรือ”

ชลันถึงกับร้อนรน “ดีใจอะไรล่ะพ่อ เอามาจากไหน”

“นี่จะบอกให้นะครับคุณชาย เจ้าลูกชายตัวดีของผมมันไม่ยอมอยู่ที่นี่ดันไปอยู่กับลุงสิงห์เขาเพราะเดี๋ยวจะอดคิดถึงคุณชายไม่ได้ เวลาผมไปหาที่นู่นนะก็เอาแต่ถามว่าพี่ปราชญ์กลับมาหรือยัง สงสัยตอนคุณชายกลับมา เจ้าเด็กนี่คงวิ่งไปกอดเหมือนเด็ก ๆ เลยใช่ไหมล่ะครับ” พ่อเฟื้องที่ไม่รู้เรื่องอะไรเอาแต่หัวเราะชอบใจ

ต่างจากปราชญ์ที่ทำเพียงเค้นยิ้มเล็กน้อย แม้จะไม่เป็นจริงตามที่พี่เฟื้องบอก แต่พอรู้ว่าต้นสนถามถึงเขา... ก็ดีใจจะแย่แล้ว

“มั่วแล้วพ่อ คนแก่เนี่ยชอบพูดอะไรเกินจริงตลอดเลย” ต้นสนขมวดคิ้วไม่พอใจผสมกับความเขิน

“ฮึ พ่อไม่เคยพูดผิดหรอกนะจะบอกให้” เฟื้องเลิกสนใจลูกชายแล้วหันกลับมาหาลูกชายที่แท้จริง... “วันนี้ทานอาหารเย็นด้วยกันไหมล่ะครับ ผมอยากจะชวนนานแล้วแต่ไม่มีโอกาสเสียที”

“เอาสิครับ คิดถึงอาหารฝีมือพี่ต้นอ้อกับพี่เฟื้องเหมือนกัน” เพราะสมัยก่อนพี่เฟื้องต้องอยู่เลี้ยงเด็กมาเยอะ แล้วก็อยู่ในครัวที่วังตลอดจึงได้ฝีมือการทำอาหารของชาววังมาบ้าง แถมอร่อยเสียด้วย

“ได้เลย จะเตรียมไว้เยอะ ๆ ต้นสนวันนี้ออกไปตลาดด้วยนะ”

“เอ้า อะไรน่ะพ่อ ใช้ผมทำไม”

“เอ๊ะ ก็เลี้ยงอาหารต้อนรับพี่ปราชญ์ไง” เฟื้องส่ายหน้าก่อนจะชูนิ้ว “หรือเอ็งอยากจะอยู่กับพี่ปราชญ์จนเย็นใช่ไหม... อ้อ ๆ เข้าใจแล้ว”

“เดี๋ยวสิพ่อ ผมพูดตอนไหน”

“เออ ๆ ไม่ต้องอาย รู้ว่าโตแล้วก็เขินอายเป็นธรรมดา” เฟื้องตบบ่าลูกชาย “ไม่เป็นไร เดี๋ยวให้คนงานไปซื้อให้”

“พ่อ...”

“รอก่อนนะครับคุณชาย” นอกจากจะไม่ฟังลูกแล้วยังเดินออกไปเพื่อสั่งงานต่อ ชลันได้แต่ถอนหายใจ

ปภารัชเห็นอย่างนั้นจึงเปลี่ยนเรื่องแทน “เรามาฝึกกันต่อดีกว่าครับ” ต้นสนทำอะไรไม่ได้นอกจากลุกขึ้นมาฝึกท่าทั้งคู่ด้วยกันต่อ

สามวันมานี้ไม่ได้มีอะไรพิเศษนอกจากฝึกสอนเต้นเท่านั้น แม้จะมีบางครั้งที่พวกเขาทั้งคู่สบตากันแล้วเหมือนมีอะไรมากกว่านั้น วูบไหวทุกครั้งเวลาจดจ้อง ฝ่ามือก็ชื้นเหงื่อ ที่ไม่เปลี่ยนไปเลยอีกอย่างก็คือ...

หัวใจที่เต้นระรัวอยู่ภายใน

จวบจนเย็นแล้วต้นสนก็เต้นคล่องขึ้นกว่าเดิมมากจนไม่ต้องสอนอะไรแล้ว ผ่านไปไม่นานพระอาทิตย์ก็เริ่มลับขอบฟ้า

ปราชญ์เดินมานั่งคุยกับฟ้าใส เห็นบอกว่าคุณตากับคุณยายไปอยู่อีกบ้านมีคนเลี้ยงดูอยู่ เพราะอายุมากกันแล้ว ไม่มีใครที่บ้านว่างมากพอ จะมีแต่พี่ต้นอ้อที่ว่างบ้างจึงไปนอนบ้านนั้นเป็นบางครั้ง ซึ่งบ้านก็อยู่ติดกัน แต่ว่าตอนนี้คุณตากับคุณยายพักผ่อนอยู่ ปราชญ์จึงไม่ไปกวนมาก

“จะว่าไปแล้ว พี่ปราชญ์มีคนรักหรือยังคะ”

คนถูกถามตกใจเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะออกมา “ยังไม่มีค่ะ”

“จริงหรือคะ พี่ปราชญ์ออกจะหล่อขนาดนี้ นิสัยก็ดี”

“จริง ๆ เคยมีค่ะ แต่เลิกกันไปแล้ว”

“อ่าว... ขอโทษนะคะ” ฟ้าใสก้มหน้า

“ไม่เป็นไรค่ะ” จะว่าไปแล้วก็ลืมบอกเจ้าพวกน้องชายไปเลย พอจะพูดก็ดันมีงานแล้วก็ลืมไป

“รู้ไหมคะพี่ปราชญ์ว่าเพื่อนฟ้าใสเนี่ยชอบพี่ปราชญ์ทั้งนั้นเลย”

“ขอบคุณค่ะ แต่ต้องระวังด้วยนะ ถ้าพูดเรื่องนี้ให้อาจารย์ท่านอื่นหรือนักศึกษาคนอื่นได้ยินเข้า จะแย่เอาได้”

“ฟ้าใสก็เตือนอยู่เหมือนกันค่ะ แต่ก็ถามตลอดว่าฟ้าใสสนิทกับพี่ปราชญ์ขนาดไหน”

“ถ้าให้ดีก็ตอบอ้อม ๆ ไปก็พอนะคะ จะได้ดีต่อตัวฟ้าใสด้วย เพราะยิ่งพูดจากปากต่อปากเดี๋ยวจะใส่สีตีไข่จนฟ้าใสเสียหายได้”

“เข้าใจแล้วค่ะ”

ชลันที่ออกไปช่วยคนงานเรื่องตั้งเสาหน้าทางเข้าหมู่บ้านก่อนหน้านี้ เดินกลับขึ้นมาบนเรือน เห็นใครบางคนที่นั่งอมยิ้มอยู่กับน้องสาวจึงอดจะเผลอยิ้มตามไม่ได้ แต่พออีกคนเงยหน้ามองก็แสร้งทำหน้านิ่งใส่

“มานั่งทำอะไรตรงนี้ ทำไมไม่ไปช่วยพ่อกับแม่ทำกับข้าว”

“ก็พ่อไล่ออกมาบอกจะทำเอง”

“อู้ล่ะสิไม่ว่า”

ฟ้าใสทำท่าฮึดฮัด ส่วนปราชญ์ก็มองตามแผ่นหลังนั้นเข้าไปในห้องพลางถอนหายใจออกมา

ได้กลิ่นกับข้าวหอมฉุยจนท้องร้อง ปราชญ์จึงเข้าไปช่วยยกกับข้าวออกไปที่โต๊ะยาวที่ติดกับหน้าเรือนไทย

“น่าทานจังเลยครับ” ปภารัชอดชมไม่ได้

“ถ้าอย่างนั้นต้องทานเยอะ ๆ นะคะ” ต้นอ้อที่ตักข้าวพูดขึ้น

“นั่งเลยครับคุณชาย นั่งข้างต้นสนนั่นแหละ” ต้นสนที่ก้มจัดจานให้แม่ถึงกับเงยหน้า

ปราชญ์จะขัดผู้ใหญ่ไม่ได้เลยจำยอมนั่งข้างกาย ตรงข้ามเป็นพี่เฟื้องกับพี่ต้นอ้อ ส่วนฟ้าใสนั่งทางขวามือของต้นสน

“ให้เยอะ ๆ เลย นี่อะ” ต้นอ้อยื่นจานข้าวมาให้

“ขอบคุณครับ” เขาผงกหัวมองเม็ดข้าวที่เรียงสวยน่าทาน

“แกงคั่วหัวตาลกุ้งสด ตอนเด็กคุณชายทานไม่ได้เพราะเผ็ดไป วันนี้ผมเลยทำให้”

ปราชญ์ยิ้มกว้างตักแกงคั่วมาชิมก่อนจะเบิกตาเล็กน้อย มันอร่อยจริง ๆ หน้าตาก็น่าทานมาตั้งแต่ไหนแต่ไร พอได้ทานจริง ๆ ก็อดจะตักอีกไม่ได้ “อร่อยมากเลยครับพี่เฟื้อง ดีใจจังที่ได้ทานแล้ว”

“ใช่ไหมล่ะครับ ที่บ้านเราก็มีต้นตาลล่ะเนาะ เลยเอามาเป็นวัตถุดิบด้วยเลย”

“ส่วนนี่แกงระแวงเนื้อ พอโตขึ้นคุณชายก็ชอบทานเผ็ด วันนี้เลยเอาแกงระแวงมาด้วย ถึงจะไม่เผ็ดมากแต่ก็อร่อยเชียว”

ปราชญ์ที่ตักมาชิมพูดได้เลยว่าพี่เฟื้องไม่พูดเกินจริง กับข้าวทุกอย่างอร่อยหมด กับข้าวบางส่วนที่เคยทานสมัยเด็กเลยทำให้อดคิดถึงเรื่องราวในอดีตไม่ได้ แม่เขาก็ชอบทำอาหาร เลยทำอาหารพร้อมกับพี่เฟื้องให้เขาและเด็จพ่อทานกัน

พวกเรานั่งทานกันสี่คน เสมือนครอบครัวในบ้านหลังหนึ่งของแม่ เพราะเด็จพ่อเคยถูกไล่ออกจากวังเพราะคบหากับแม่ของเขา สมัยก่อนอาชีพครูและฐานันดรธรรมดายังโดนดูถูกดูแคลน แต่ก็มีหม่อมย่าและเด็จลุงที่คอยมาหาตลอด เว้นแต่เด็จปู่ จนแม่เสียไป ท่านจึงให้เขาและพ่อกลับไปอยู่ที่วัง ถึงจะโกรธที่แม่เขาเคยโดนดูถูก แต่พอเข้าวังก็เห็นว่าเด็จปู่ก็รู้สึกผิดอยู่เหมือนกัน ปราชญ์จึงไม่ถือโทษโกรธอะไร

พี่เฟื้องที่เป็นลูกแม่ครัวในวังจึงสนิทกับเด็จพ่อเป็นอย่างมาก ตอนที่เด็จพ่อถูกไล่ออกมาก็เป็นพี่เฟื้องที่ออกมาด้วย เพราะพี่เฟื้องเคยเป็นลูกศิษย์ของแม่ปิ่น จำได้ว่าแม่จะหนีพ่อไปเพื่อให้พ่อกลับวังไปแต่งงานกับคู่สมรสที่ถูกจัดไว้ให้ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้หนีเพราะพี่เฟื้องได้ช่วยคุยให้และแม่ปิ่นก็ห่วงความรู้สึกของเขา... สุดท้ายพี่เฟื้องก็ดูแลเขาแทนเด็จพ่อที่ติดงานราชการรวมถึงดูแลแม่ปิ่นที่ป่วยหลังจากคลอดเขาออกมา

ในวันที่แม่เสียพี่เฟื้องก็คอยอยู่ข้างเขาเสมอ

ไม่แปลกที่ทุกช่วงวัยของเขาโตมาก็เจอพี่เฟื้อง ถึงได้ผูกพันกันมากขนาดนี้ เพราะพี่เฟื้องเหมือนพ่อของเขาอีกคนจริง ๆ

เฟื้องที่เห็นคนที่ตนเลี้ยงดูนั่งนิ่งไปนาน ถึงจะไม่มีใครสังเกตแต่ก็เห็นว่าดวงตาคลอด้วยน้ำ

“ทานเยอะ ๆ นะ ไว้ทานเสร็จคุยกับพี่นะ มีเรื่องที่อยากจะฟังจากปราชญ์เยอะแยะเลยว่าที่นู่นเป็นอย่างไรบ้าง” คำแทนตัวเองทำปราชญ์อยากจะร้องไห้ออกมา เพราะไม่ได้ยินมานานมาก ความทรงจำในอดีตไหลเข้ามาเป็นฉาก ๆ

มีความสุขจริง ๆ ที่ได้เจอพี่คนนี้

“ได้ครับ ปราชญ์ก็อยากเล่าให้ฟังเหมือนกัน” เขาเคยแทนตัวเองว่าปราชญ์เสมอในสมัยเด็ก ปราชญ์อย่างนู้นปราชญ์อย่างนี้ เป็นต้นสนในวัยแรกรุ่นเลยก็ว่าได้

พอทานกันเสร็จเรียบร้อยสามแม่ลูกช่วยกันเก็บจาน ปราชญ์จะช่วยบ้างแต่พี่เฟื้องก็บอกให้นั่งที่เดิมเพราะจะคุยด้วย

“ตอนที่อยู่ที่นู่นเป็นไงบ้าง”

“ก็ต้องปรับตัวอยู่พอควรครับ ยิ่งตอนอากาศหนาวนะแทบจะอาบน้ำไม่ได้เลยล่ะครับ”

เฟื้องหัวเราะ “เป็นพี่ก็คงไม่อาบเลย เห็นแค่รูปก็หนาวแล้ว” เพียงครู่ต้นอ้อก็เอาน้ำกับของว่างมาวางไว้ให้ก่อนจะเดินออกไป “มีใครในใจแล้วบ้างไหมล่ะ”

“เคยมีครับ” ปราชญ์แหงนมองดาวหลากหลายดวง “เขาเป็นผู้ชาย”

คนฟังหันมองอย่างตกใจ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นยินดี “คบกันมานานหรือยัง”

“แปดปีครับ แต่เลิกกันไปเมื่อสี่ปีก่อน”

“อ่าว...” เฟื้องยกแขนตบบ่า “อะไรที่ผ่านมาแล้วก็ให้มันผ่านไปนะ”

“ครับ...” ปราชญ์ยิ้มบางก่อนจะหันมอง “พี่เฟื้องไม่รังเกียจหรือครับ”

“จะรังเกียจไปทำไม ก็แค่คนรักกัน จะเป็นใครก็ช่างขอให้คนนั้นดีกับปราชญ์พี่ก็ไม่ห่วงมากแล้ว”

“ขอบคุณนะครับ”

“อย่าไปยึดติดว่าใครจะรังเกียจหรือคิดมากกับเรื่องนี้เลยนะ ชีวิตของปราชญ์ จะเลือกอะไรหรือเลือกใครก็ไม่เกี่ยวกับคนอื่น ยิ่งความรักก็ต้องเป็นเจ้าตัวที่เลือกด้วยตัวเอง ไม่ใช่ให้คนอื่นมาเลือก”

“เข้าใจแล้วครับ แต่ปราชญ์คงไม่ได้มีใครแล้วล่ะครับ”

“ลืมเขาไม่ได้หรือ”

“เปล่าครับ กับคนเก่าปราชญ์ไม่ได้รู้สึกรักเขาอีกแล้ว... แต่ปราชญ์ไปชอบใครคนหนึ่งที่เขาน่าจะไม่อยากคุย ไม่อยากพบ ไม่อยากเห็นหน้าปราชญ์อีกแล้ว คนนั้นเข้ามาอยู่ภายในใจแต่ก็ไม่มีโอกาส”

“ใครกันล่ะ ไม่ลองดูหน่อยหรือ”

“ไม่ล่ะครับ” ปราชญ์ถอนหายใจ “เราอายุต่างกัน ความคิดต่างกัน อีกอย่างปราชญ์ก็ไม่ได้คาดหวัง เพราะทุกวันนี้เราคล้ายคนที่รู้จักกันแต่ก็ไม่รู้จักไปแล้ว”

เฟื้องถึงกับงุนงง “อย่าไปยึดติดเรื่องอายุเลย ก็ชอบก็รักไปเถอะ ส่วนเรื่องความคิดนี่ทุกคนมีความคิดที่ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว พี่กับต้นอ้อก็มีบางเรื่องที่คิดต่างกัน เราก็แค่ต้องแลกเปลี่ยนความคิดและค่อย ๆ ปรับทัศนคติกันไปเรื่อย ๆ แล้วไอที่ว่าไม่อยากคุยไม่อยากพบนี่ มันเพราะอะไรกันล่ะ”

“ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำอะไรผิดไป เขาดูเหมือนคนโกรธผม แต่บางทีก็มาทำดีด้วย ผมไม่รู้จริง ๆ ว่าทำไมเขาเป็นอย่างนี้”

“เฮ้อ เรื่องจิตใจคนนี่ดูยากเสียจริง อย่าให้รู้นะว่าเป็นใครจะสับให้เละมาทำปราชญ์คิดมาก”

ปภารัชส่ายหัวพลางยิ้มที่พี่เฟื้องยังโอ๋เขาเหมือนเด็ก ๆ “ช่างเถอะครับ บางทีผมอาจจะทำอะไรผิดไปแต่อาจจะไม่รู้ตัวก็ได้”

“ฮึ ไอคนนั้นมันไม่ยอมบอกเองนี่หว่า ใครจะไปรู้”

“คนทำผิดแล้วไม่รู้ตัวผมว่าแย่กว่านะครับ”

“ที่พูดก็เพราะว่าพี่เชื่อไงว่าปราชญ์ไม่มีวันเพิกเฉยต่อความผิดของตัวเอง อยู่กันมานานทำไมจะไม่รู้ หรือถ้าปราชญ์ไม่รู้จริง ๆ ก็ลองถามอีกครั้งดูว่าทำผิดเพราะอะไร หากคนนั้นไม่พูดไม่บอกและไม่อยากคุยอีกก็เอาให้มันจบเสียตรงนั้น ต่างคนต่างใช้ชีวิตเถอะนะ”

เขายิ้มอย่างนึกขอบคุณ ถึงอย่างนั้นก็ยังคงไม่ได้คิดว่าตัวเองไม่ผิด “ขอบคุณที่เข้าใจปราชญ์นะครับ”

“มีอะไรก็มาปรึกษาได้ตลอดนะ”

ปราชญ์ผงกหัวแล้วจิบน้ำเล็กน้อยถึงจะพูดต่อ “บางทีความเป็นผู้ใหญ่ก็น่ากลัวเหมือนกันนะครับ จะต้องออกมาใช้ชีวิตของตัวเอง ช่วยเหลือตัวเองด้วยตัวคนเดียว ไม่สามารถร้องไห้ หรือทำอะไรที่เคยทำตอนเด็ก ๆ ได้อีกแล้ว ยิ่งผ่านพ้นวันในแต่ละวันไปเรื่อย ๆ คนใกล้ตัวก็หายไปบ้างหรือเสียชีวิต เป็นห้วงเวลาที่น่ากลัว ยิ่งดำเนินไปยิ่งเหมือนพรากคนใกล้ตัวไปด้วย”

เฟื้องบีบบ่าคนข้างกาย “อะไรที่มันเป็นอดีตก็ปล่อยให้มันเป็นอดีตไปเถอะนะ ถึงปราชญ์จะคิดอย่างนั้นแต่พี่ก็ดีใจที่เห็นการเติบโตของปราชญ์ คนที่ห่างหายไปก็ถือว่าวันหนึ่งเคยได้พบเจอกัน ส่วนคนที่อยู่บนฟ้าเขาก็อยู่ในใจเราด้วย ในห้วงเวลาที่แสนน่ากลัวนี้ก็มีบทเรียนและสิ่งสำคัญเข้ามาหาเรา ถ้าตลอดเวลาที่ผ่านมาปราชญ์เจอคนสำคัญเข้าสักวันแล้วจะไม่เสียดายเวลาที่ผ่านมา ไม่เสียดายที่เวลามันดำเนินไปอย่างนี้จนได้พบกับคนคนนั้น ไม่ว่าจะเป็นพี่น้อง เพื่อน หรือคนรักก็ตาม สัตว์เลี้ยงก็ไม่เว้นหรอกนะ”

“สิ่งสำคัญหรือ...” ทุกคนในวัง... หม่อมย่า เด็จพ่อ คุณน้า น้องชายทั้งสอง พี่เฟื้อง ต้นสน... อย่างต้นสนคงจะเป็นคนสำคัญอีกคนที่ได้แค่แอบรักอยู่ตรงนี้ รู้สึกเจ็บปวดแต่ก็ดีใจที่ได้พบเจอ “นั่นสิครับ คนสำคัญของปราชญ์ยังมีอยู่”

“นั่นแหละ อยู่กับปัจจุบัน ปราชญ์ก็เป็นคนสำคัญของพี่คนหนึ่งนะ”

“ครับ พี่เฟื้องก็เป็นพี่ที่สำคัญกับปราชญ์มาก” ปภารัชยิ้มขึ้นได้วันนี้คล้ายได้ปลดปล่อยอะไรหลายอย่าง รู้จักปล่อยวาง มองปัจจุบันเข้าไว้ อะไรที่ผ่านมาก็ให้มันผ่านไป

ทั้งคู่คุยกันเรื่อยเปื่อยจนเริ่มค่ำมากแล้ว ปราชญ์จึงขอตัวกลับเพราะจะสะสางงานอีกนิด

“ต้นสนเว้ย ไปส่งพี่ปราชญ์หน่อย”

ปภารัชรีบส่ายมือ “ไม่เป็นไรครับพี่เฟื้อง วังอยู่ใกล้แค่นี้เอง”

“ไม่ได้ ๆ ชวนมาทานข้าวเย็นจนค่ำ ต้องไปส่งด้วย... ต้นสนเว้ย” เฟื้องเดินไปเปิดประตูห้องลูกชาย “มัวแต่นั่งทำหน้าเหมือนปวดขี้ไปได้ไอลูกคนนี้ ไป ๆ ลุก”

ชลันถอนหายใจแล้วลุกออก อุตส่าห์เตรียมนอนแล้วแท้ ๆ ถึงแม้ห้วงความรู้สึกนึงจะดีใจก็ตาม

“พาไปส่งถึงที่นะ”

“รู้แล้วหน่า” ต้นสนทำหน้าหน่าย

“ส่งแค่สะพานก็ได้นะครับ” พอเดินลงมาแล้วปราชญ์ก็เปิดปากพูด

“เดี๋ยวผมไปส่งถึงหน้าวังครับ” ชลันว่าเสียงเรียบแล้วเดินนำไปอย่างไม่เร่งรีบนัก

เสียงนกเสียงแมลงดังทำลายความเงียบ พระจันทร์ส่องแสงสะท้อนกับคลอง ทำให้เห็นใบหน้าของกันและกันอย่างชัดเจนแม้ตรงนี้จะไม่มีไฟ

‘หรือถ้าปราชญ์ไม่รู้จริง ๆ ก็ลองถามอีกครั้งดูว่าทำผิดเพราะอะไร หากคนนั้นไม่พูดไม่บอกและไม่อยากคุยอีกก็เอาให้มันจบเสียตรงนั้น ต่างคนต่างใช้ชีวิตเถอะนะ’

ปราชญ์หยุดกะทันหันและคนตรงหน้าคงจะรู้ตัวจึงหันมามองด้วยคิ้วเข้มที่ขมวดเข้าหากัน

“มีอะไรครับ”

คนอายุมากกว่าถอนหายใจ “พี่ว่าเราควรคุยกันอย่างจริงจังได้แล้ว”

อะไรที่ค้างคาก็ให้มันจบเสียตรงนี้

ชลันหันหนี “คุยเรื่องอะไรครับ”

“พี่ไปทำอะไรให้โกรธ หรือทำนิสัยไม่ดีใส่ยังไงช่วยบอกพี่หน่อย พี่อาจจะผิดเองที่ทำผิดไปแล้วยังไม่รู้ตัว แต่ขอร้องตอนนี้ช่วยบอกกันหน่อยได้ไหม”

“บอกแล้วไงว่าไม่เกี่ยวกับคุณชาย”

“ต้นสน” ปภารัชเอ่ยเสียงนิ่งจนชลันตกใจเล็กน้อย “พี่จะถามครั้งสุดท้าย ถ้ามีเหตุผลที่จะไม่บอกก็แค่พูดมา พี่พร้อมจะเข้าใจ ไม่ใช่ไม่พูดอะไรเลย พี่คงไม่โง่ถึงขนาดที่ว่าทุกวันนี้ที่ต้นสนทำเหมือนไม่อยากคุย ไม่อยากพบหน้าพี่นั้นมันไม่เกี่ยวกับพี่จริง ๆ ถ้าไม่อยากคุยกันขนาดนั้นน่าจะบอกกันไปเลย พี่จะได้เลิกยุ่งอย่างจริงจังสักที”

เขาจะได้ปล่อยวางเรื่องของต้นสน...

ชลันใจหายวาบ วูบโหวงในอกอย่างบอกไม่ถูก “ผม...”

“ถ้าอย่างนั้นพี่จะถามใหม่ ยังอยากคุยด้วยกันเหมือนเดิมไหม”

ต้นสนเงยหน้ามอง ใบหน้าได้รูปนั้นไม่มีแววว่าจะล้อเล่นแต่อย่างใด “ผม..” ชลันได้แต่กัดฟัน ปากหนักอะไรเพียงนี้

“แล้วเรื่องที่เป็นแบบนี้เพราะพี่ใช่ไหม” ปราชญ์พอจะเข้าใจโดยไม่ต้องคาดคั้นอีก จึงตัดสินใจวกกลับมาถามเรื่องเดิม เพราะถ้าคนเขาอยากคุยจริง ๆ คงตอบโดยไม่คิดแล้ว

ต้นสนได้แต่เครียดกับตัวเอง ไม่เคยคิดถึงสถานการณ์นี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำ ที่ถามเพราะถึงขีดสุดแล้วหรือถ้าหากเขายังทำหมางเมินใส่ คงจะไม่ยุ่งกับเขาจริง ๆ แล้วสินะ... เขารู้ดีว่าถ้าพี่ปราชญ์เอาจริงเมื่อไรเขาคงจะเป็นหมาหัวเน่าดี ๆ นี่เอง

“ครับ” กลัว นั่นคือสิ่งที่ต้นสนคิด เขากลัว...

ทว่า นั่นก็เหมือนกับสิ่งที่เขาทำ กรรมตามสนองก็คราวนี้

“บอกได้ไหมว่าเรื่องอะไร ถ้าบอกไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะ” น้ำเสียงของอีกฝ่ายอ่อนลง จนชลันได้แต่เกลียดตัวเองที่ทำให้พี่ปราชญ์ร้องไห้และเสียใจเพราะเขา

“ผมบอกไม่ได้” ชลันกลั้นใจพูดมือหนากำราวสะพานแน่น ดวงตาเอ่อคลอ แต่ก็ไม่ได้เปิดเผยให้รู้ว่าเขาเองก็อัดอั้นเหมือนกัน “ผมพูดไม่ได้จริง ๆ”

ปภารัชคลี่ยิ้มบาง “ไม่เป็นไร บอกแค่นี้ก็พอ... ถ้าอย่างนั้นพี่ขอโทษนะ อะไรที่เคยทำผิด อะไรที่เคยทำให้โกรธกัน พี่ขอโทษจริง ๆ”

อย่า... อย่าขอโทษ เพราะเขาคือคนที่สมควรขอโทษที่สุด

“พี่ไม่รู้จริง ๆ ว่าทำอะไรผิด และพี่คิดว่ามันแย่มากที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ทั้งที่ตัวเองผิดแท้ ๆ”

ไม่ได้ผิดเลยสักนิด ไม่เลย

“พี่ขอโทษ” ปภารัชก้มหน้า “ไม่ต้องให้อภัยพี่ก็ได้นะ พี่สัญญาว่าจะไม่มายุ่งด้วยอีกแล้ว แต่ถ้ามีเหตุสุดวิสัยที่ต้องคุยกันจริง ๆ พี่ต้องขอโทษตั้งแต่ตอนนี้ และพี่หวังว่าต้นสนจะเข้าใจ”

ชลันยืนนิ่งไปทันที หัวใจเหมือนถูกบีบรัดแน่น

“ตอนนี้พี่เข้าใจหมดแล้ว ถึงแม้เราจะเลิกยุ่งต่อกัน ยังไงต้นสนก็ยังเป็นน้องที่พี่รักเสมอนะ ถ้าอยากจะมาคุยกับพี่เมื่อไรพี่พร้อมจะคุยกับต้นสนได้ตลอด” ปราชญ์เองก็ปวดใจไม่แพ้กัน ทุกคำที่พูดเหมือนแก้วที่บาดลึกลงภายในอกย้ำ ๆ

“ขอบคุณที่เดินมาส่งนะ แต่ตรงนี้ก็พอ ฝันดีนะครับ” ปภารัชเปรยยิ้มแล้วเดินออกไป

ถ้าทั้งคู่หันมามองกันตอนนี้ก็คงจะรู้กันดีว่าต่างคนต่างเสียใจไม่แพ้กัน คงจะได้เห็น ‘น้ำตา’ ที่ไหลออกมาจากใบหน้าของกันและกัน

ถ้าเกิดต้นสนยื้ออีกสักนิดปราชญ์ก็คงยืนอยู่อย่างนั้นไม่ยอมไปไหน

และถ้าหากปราชญ์ถามต้นสนอีกครั้ง ต้นสนคงจะพูดว่าอยากคุย อยากพบหน้าทุกวัน

แต่ถ้าให้มองในความคิดของแต่ละคน ก็ต่างคนต่างคิดว่าตัวเองผิด  ต่างคนต่างคิดว่าสมควรแล้วที่เป็นอย่างนี้

ความไม่เข้าใจกัน ปิดบังกัน ซ่อนเร้นความรู้สึก สุดท้ายก็จบลงอย่างนี้





จบบทที่ ๑๑
-----------------------------------------------------
นึกว่าเป็นอะไร สงสัยของเราเป็นคนเดียว ช่วงนี้อัพช้าหน่อยนะคะ  :katai5:


ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑๑
«ตอบ #44 เมื่อ07-07-2020 22:53:36 »

เข้าใจจริงๆ นะ สำหรับคนนอก มองไปแล้วทำไมไม่บอกความจริงไปจะเคลียรๆ
แต่ถ้าเป็นเราเองอยู่ตรงนั้น ก็คงจะเหมือนต้นสน สถานการณ์บีบคั้น พูดไม่ออกจริงๆ
 :mew6: :mew6: :mew6:

ออฟไลน์ piakunaa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑๑
«ตอบ #45 เมื่อ14-07-2020 19:13:43 »

 :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: 

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑๒
«ตอบ #46 เมื่อ15-07-2020 01:27:02 »


บทที่ ๑๒

ยอมรับผิด

 


ควันสีขาวลอยเหนือปากแก้วที่มีน้ำสีเข้มเคลื่อนไหวอยู่ด้านใน นิ้วเรียวเกี่ยวจับยกขึ้นมาจิบ ดวงตาจดจ้องหนังสือเล่มบางที่กำลังนั่งอ่านอยู่ในห้องนั่งเล่น คนที่นั่งเงียบอยู่ข้างกันก็เป็นน้องชายคนเล็กที่อยู่ในห้วงภวังค์ของเนื้อหาในหนังสือเช่นกัน เวลานี้ค่ำมากแล้วแต่เพราะปภารัชมีเรื่องอยากจะคุยกับน้องชายทั้งสองเลยรอเวลาน้องกลับจากทำงาน ตอนนี้เหลือก็แค่ชายกรณ์เท่านั้นที่ยังไม่กลับมา

นั่งรอกันอีกไม่กี่นาทีก็ได้ยินเสียงป้าสรทักชายกรณ์จากด้านนอกก่อนที่เสียงนั้นจะใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ

“ขอโทษนะครับพี่ชายใหญ่ พอดีมีปัญหานิดหน่อย”

“ไม่เป็นไร นั่งสิ” ปราชญ์ผายมือ

ชายกรณ์พรูลมหายใจแล้วนั่งลงตรงข้าม “ว่าแต่มีเรื่องอะไรหรือครับ”

ปภารัชวางหนังสือลง พอเห็นว่าน้องคนเล็กก็หันมาฟังแล้วจึงเปิดปาก “พี่จะบอกว่าพี่เลิกกับภวัตแล้วนะ”

“ห๊ะ!” ชายกรณ์เบิกตา ส่วนชายเล็กคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแล้ว

“เลิกกันตั้งแต่สี่ปีก่อน ว่าจะบอกก็ลืมเลย”

“เพราะอะไรล่ะครับ”

ปราชญ์ถอนหายใจเงียบไปสักพักจึงจะเอ่ยตอบ “พี่ไม่ได้รักเขาแล้ว”

“เขาไม่ได้ทำอะไรให้พี่ชายใหญ่ใช่ไหม” ชายธันถามเสียงนิ่ง

“ไม่เลย มีแต่พี่ที่ทำให้เขาเสียใจ พี่ทิ้งภวัตมา เลิกรักไปแล้วแต่ยังเคยให้โอกาสคบกันอีกรอบ มีแต่พี่ที่แย่เท่านั้น”

พอฟังอย่างนั้นชายธันก็มีสีหน้าอ่อนลงบ้าง

“โธ่ สงสารคุณภวัตเลย คบกันมาตั้งนาน” ชายกรณ์ส่ายหน้า

ปราชญ์ทำเพียงยิ้มรับ ไม่ได้เถียงหรือตอบอะไรมากกว่านั้น

“แล้ววันนั้นใช่คุณภวัตที่โทรศัพท์มาหรือเปล่าครับ”

“ใช่ ภวัตยังตัดใจจากพี่ไม่ได้” หันบอกน้องคนเล็กที่คงสงสัยเรื่องนี้ตั้งนานแล้วแต่ยังไม่มีโอกาสได้ถามอีกรอบ

“พี่ชายใหญ่จะทำยังไงต่อหรือครับ”

“พี่คงไม่รับสายหรือว่ายุ่งกับเขาแล้วแหละ แต่ก็ยังห่วงนะเลยให้คนไปดูแลห่าง ๆ”

“แน่ใจหรือครับว่าจะทำอย่างนั้น” ชายธันว่า

ปราชญ์หลุบตา “พี่รู้ว่าไม่ควร เราคบกันมานานความสัมพันธ์มันตัดขาดยาก”

“รู้แต่ก็ยังทำ”

“เอาหน่าชายเล็ก” ชายกรณ์ตบบ่าน้อง

ปภารัชไม่มีสิทธิ์เถียงเลยกับเรื่องนี้ เพราะเข้าใจความหมายของชายธันดี มันไม่สมควรจริง ๆ ในเมื่อเลิกรักไปแล้ว ไม่ยุ่งเกี่ยวด้วยแล้ว และตอนนี้ก็มีคนในหัวใจ... แต่ก็ยังเป็นห่วงคนรักเก่า ไม่ต่างจากคนที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อใจตัวเองเลย

ถ้าเกิดว่าเขากับต้นสนมีความเป็นไปได้ที่จะไปต่อด้วยกันแล้วน้องรู้เรื่องนี้ขึ้นมาคงจะผิดหวัง  คงไม่ยินดีที่จะให้เขามีห่วงกับคนรักเก่า หรือต่อให้ไม่มีอะไรคืบหน้าต่างคนต่างใช้ชีวิตอย่างที่ตัดสินไปเมื่อวันนั้น ทว่า เรื่องไม่ซื่อสัตย์ก็ไม่ได้หายไปไหน

“ผมก็ว่าตอนที่หม่อมย่าถามเรื่องคนรักทำไมพี่ชายใหญ่ตอบว่าไม่มีใคร คิดว่าจะปิดบังพวกท่านเสียอีก” ชายกรณ์ขมวดคิ้ว

“ไม่มีใครก็คือไม่มีใครจริง ๆ ถ้าเกิดพี่ยังคบกับภวัตยังไงก็ต้องบอกว่ามีคนรักแล้ว แต่คงยังไม่บอกหรอกว่าคือใคร จะแนะนำทีหลังเอา”

“เฮ้อ ใจคนเราก็ยากหยั่งถึง ผมไม่คิดด้วยซ้ำว่าพี่ชายใหญ่กับคุณภวัตจะเลิกรากันได้”

“มันเป็นไปแล้วคงจะย้อนกลับไปไม่ได้”

“ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ว่าอะไรพี่ชายใหญ่หรอกนะ เพราะเป็นเรื่องของคนสองคน ผมยอมรับการตัดสินใจของพี่ชายใหญ่เสมอ”

“ขอบคุณนะชายกรณ์”

“ผมก็หวังว่าจะมีคนมาทำให้พี่รักไปจนตลอดชีวิตได้นะ” ชายกรณ์ยิ้มบางบีบมือพี่ชายเล็กน้อย

“ขอบคุณที่รับฟังกันนะ ไม่มีอะไรแล้วแหละ ไม่ต้องห่วงพี่หรอก” ปราชญ์บอกน้อง ๆ ชายกรณ์จึงเป็นคนแรกที่ขอตัวไปอาบน้ำอาบท่าก่อนใคร

“เดี๋ยวชายธัน”

“ครับ?”

“เรื่องที่จะไปทะเล บอกต้นสนหรือเปล่าว่าพี่ไปด้วย”

ชายธันเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่เดิม “ไม่ได้บอกครับ บอกแค่ว่ามีแค่ผม พี่ชายกรณ์กับพวกเพื่อนนายร้อยอีกสองคนที่จะไปเจอกันที่นู่น”

“บอกต้นสนด้วยนะว่าพี่ไปด้วย ถ้าเกิดต้นสนไม่อยากจะไปขึ้นมาก็ไม่เป็นไรหรอก”

“ยังไม่ได้คุยกันอีกหรือครับ”

ปราชญ์ส่ายหน้าดวงตาสั่นระริกแต่ก็เปรยยิ้มไม่ให้น้องห่วงมาก “ไม่แล้วแหละ ต่อไปนี้คงจะไม่ได้คุยกันอีกเลยถ้าไม่มีเรื่องที่ต้องคุยจริง ๆ นะ”

“มันไม่ยอมคุยกับพี่ชายใหญ่ใช่ไหม” ชายธันดูจะโมโหอย่างเห็นได้ชัด

“อย่าโทษต้นสนเลยนะ ตอนนี้เราก็ตัดสินใจกันแล้ว ถือว่าต่างคนต่างอยู่”

“แล้วพี่ชายใหญ่มีความสุขหรือครับ”

สิ้นคำถามนั้นก็เหมือนคำพูดจุกอยู่ในลำคอ ตาพร่ามัวจึงทำเป็นก้มเกลี่ยหนังสือไม่ให้น้องชายเห็น “พอได้คุยแล้ว... พี่ก็ไม่ได้อะไรหรอกนะ ดีแล้วแหละที่เป็นอย่างนี้เพราะพี่ทำผิดต่อต้นสน”

“ทำผิด?” คนถามไม่อยากจะเชื่อเรื่องนี้ “ทำผิดอะไรครับ ถึงขนาดที่จะต้องเลิกคุยกันไปเลย แล้วทำไมต้นสนต้องทำตัวแย่ ๆ แบบนั้นใส่พี่ชายใหญ่ด้วย”

ปราชญ์เองก็ยังไม่ทราบเรื่องนี้ แต่ถ้าให้บอกว่าเขาก็ไม่รู้ มีหวังชายธันได้โมโหจนต้องรุดหน้าไปคุยกับต้นสนเป็นแน่

“เอาเถอะชายธัน ถือว่าขอให้จบแค่ตรงนี้เถอะนะ”

ชายธันดูจะไม่ยอม แต่พอเห็นแววตาอ่อนล้าของพี่คนโตจึงได้แต่พยักหน้า “ก็ได้ครับ ถึงอย่างนั้นผมก็เสียใจนะ ที่ผมช่วยมาตลอดให้ทั้งสองได้กลับไปคุยกัน สุดท้ายก็ไม่ได้อะไร”

ตั้งแต่วันที่ถามต้นสนเรื่องจดหมายตอนเรียนนายร้อย

วันที่พี่ชายใหญ่กลับมาและเด็จพ่อชวนไปทานอาหารกลางวันเลยชวนต้นสนไปด้วย

วันที่บอกจะไปสอนหนังสือเด็ก

วันที่ต้นสนเต้นรำแล้วนึกถึงพี่ชายใหญ่ขึ้นมา

แม้จะเคยคิดว่าทั้งคู่อาจจะไม่กลับไปคุยกันอย่างเคย ทุกครั้งที่พาไปให้พบเหมือนถูกลิขิตเอาเองไม่ใช่เพราะคนช่วย ธันจึงอดนึกสมเพชในความพยายามของตัวเองไม่ได้ เขาก็แค่อยากให้ทั้งคู่กลับไปเป็นเหมือนสมัยเด็ก... ช่วงนั้นเขานิสัยเสีย พอโตขึ้นเลยเสียดายเวลาที่แสนมีค่าพวกนั้นไป เขาแค่หวังว่าคนที่เคยทำเรื่องแย่อย่างเขานั้นจะช่วยอะไรสองคนนี้ได้บ้าง

แต่ก็ไม่เห็นผลเลย... มันเพราะอะไรกันนะ

“ชายธัน...” ปราชญ์อดจะตกใจไม่ได้ ไม่คิดว่าน้องคนนี้ช่วยเหลือเขาเงียบ ๆ มาโดยตลอด

“ช่างเถอะครับ ผมเองก็เหนื่อยแล้วเหมือนกัน ถ้าพี่ชายใหญ่กับต้นสนตัดสินใจกันแล้วผมก็ไม่มีสิทธิ์ไปยุ่งด้วย” เขาก็แค่รู้สึกน้อยใจ ตอนนี้เขาเป็นคนใหม่แล้ว เขาเปลี่ยนตัวเองมาจนถึงขนาดนี้แล้ว

แล้วทำไม... ทุกคนถึงถอยห่างออกไป

“พี่...”

“ผมขอตัวนะ”

“เดี๋ยวสิชายธัน” ปภารัชลุกขึ้นทันที ทว่า ขากลับก้าวไม่ออก มองเห็นแผ่นหลังของน้องชายเดินลับหายไป ในห้องจึงเหลือเพียงแต่ความเงียบ

เรื่องเก่ายังไม่วายเรื่องใหม่ก็มาทันที ปราชญ์ถอนหายใจ ตั้งแต่กลับมาไทยก็มีแต่เรื่องให้เครียดตลอดเลย เขาเคยคิดไว้ว่ากลับมาแล้วทุกอย่างจะเป็นปกติ คนเราจะมีเรื่องเครียดบ้างในชีวิตมันก็ไม่แปลกนัก แต่หรับเขาแล้ว นี่มันก็จะถี่เกินไปหรือเปล่านะ

อย่าว่าแต่ชายธันเลยที่เหนื่อย เพราะเขาเองก็เหนื่อยไม่ต่างกัน ถ้าเรื่องมันไม่เป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรกก็คงดี
 

 

เฝ้าคำนึง


 

เสียงผู้คนมากมายดังอยู่ทั่วทุกทาง เสียงเท้าย่ำกับพื้นดังแข่งกับเสียงเครื่องพิมพ์ดีด หากว่าใครบางคนที่นั่งอยู่ภายในห้องพักกลับทำเพียงมองนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย เครื่องแบบตำรวจขยับตามเล็กน้อยในตอนที่หน้าอกกระเพื่อมจากการหายใจ

“หมวด... หมวดชลัน!”

“ครับ ๆ!” ต้นสนรีบลุกขึ้นยืนตรงจนคนในห้องหัวเราะ พอเห็นว่าเป็นใครต้นสนก็ถอนหายใจแล้วนั่งลงอย่างเดิม “จะตะโกนทำไมเนี่ยจ่า”

“โธ่ ก็ผมเห็นหมวดนั่งนิ่งมาตั้งนานแล้ว เรียกตั้งหลายรอบก็ไม่หัน”

“ผมแค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ”

จ่าส่ายหัว “หมวดนะหมวด มีเรื่องอะไรในใจก็อย่าไปทุกข์กับมันเลย”

หมวดชลันเค้นยิ้ม “พูดเหมือนรู้ว่าผมมีเรื่องทุกข์”

“ปัดโธ่! ก็หมวดเอาจริงเอาจังเรื่องงานจะตาย พอมาเห็นเอาแต่นั่งเหม่อแบบนี้พวกผมเลยไม่ชินกัน” คนในห้องที่เหลือต่างพยักหน้า

“จ่าก็พูดไป” ชลันส่ายหน้าแล้วหยิบแฟ้มคดีที่ยังแก้ไม่เสร็จมาดูไปพลาง ๆ

“ถ้าอยากพักก็ไปสังสรรค์กันตอนเลิกงานก็ได้นะครับ”

ต้นสนพอจะรู้ความหมายเลยส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ แต่จ่าก็ไม่ได้คาดคั้นต่อเพราะรู้ดีว่าผู้หมวดคนนี้ไม่สนเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ จนคนอื่นคิดว่าผู้หมวดคงมีคนในใจไปแล้ว

จวบจนถึงเวลาเลิกงาน ต้นสนขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปรับน้องสาว เพราะคงไม่ต้องใช้รถยนต์ เนื่องจากว่าเขาบอกกับน้องเพียงขวัญว่ามีคนในใจแล้ว เธอจึงไม่ได้ขอให้ไปรับไปส่งเช่นเคย เขาเองก็รู้สึกผิดอยู่เหมือนกันที่ไม่ได้พูดให้ชัดเจนตั้งแต่แรก เรื่องนี้เขาบอกไปหลังจากที่มีปากเสียงกับพี่ปราชญ์ในวันที่รถน้ำมันหมดไปนั่นแหละ พอได้ไปส่งอีกวันเขาเลยพูดอย่างจริงจัง

พอมาถึงหน้ามหาลัยชลันก็พิงรถรออย่างเคยเพราะน้องสาวเลิกค่ำ นักศึกษาบางคนกลับบ้านไปนานแล้ว ข้างในจึงไม่เห็นใครมากนัก เพียงไม่นานก็เห็นน้องสาวเดินออกมากับกลุ่มเพื่อนสี่ห้าคน

“สวัสดีค่ะพี่ต้นสน” ทุกคนยกมือไหว้อย่างนอบน้อมต้นสนจึงผงกหัวพลางยิ้ม เห็นเพียงขวัญยิ้มให้และเดินออกไปกับเพื่อน ๆ เพราะเพียงขวัญก็ไม่ได้โกรธอะไรมาก แต่คงมาพูดคุยอย่างเดิมไม่ได้ น่าจะต้องรอเวลาเยียวยา ก็ถือว่าดีแล้วสำหรับเราทั้งคู่ จำได้ว่าเขาถูกฟ้าใสบ่นหูชาไปเป็นอาทิตย์เลย...

“เฮ้อ เมื่อยจังเลยวันนี้เลิกค่ำอีกแล้ว อยากเลิกเที่ยงจะได้ไปซื้อของกับเพื่อน”

“ยัยตัวแสบ แค่นี้ทำบ่น”

“แค่นี้ที่ไหนเล่า” ฟ้าใสบ่นอู้อี้แล้วขึ้นซ้อนท้าย

ต้นสนเตรียมจะสตาร์ทรถแต่พอเห็นรถคันคุ้นหน้าคุ้นตากำลังขับออกมาจึงเผลอมองค้างไป พี่ปราชญ์...

“พี่ปราชญ์ก็กลับตอนนี้เหรอเนี่ย” ฟ้าใสทักขึ้น แต่ก็เห็นว่าพี่ชายมองนานไปจึงตบบ่าเบา ๆ “จะกลับไหมบ้านน่ะ”

“รอนิดรอหน่อยก็ไม่ได้” ชลันบ่นแล้วขี่รถออกไปอย่างไม่เร่งรีบนักเพราะน้องอยู่ด้วยเลยไม่อยากจะขี่เร็วสักเท่าใด

“กับพี่ปราชญ์นี่ยังไงคะ ตกลงคุยกันแล้วหรือยัง” ฟ้าใสถามมองพี่ชายผ่านกระจก

“อืม”

“อืมในทางไหนคะ ถ้าให้เดาคงจะจบไม่สวยใช่ไหม”

ชลันถอนหายใจ “จะอยากรู้ไปทำไม”

“เอ้า ก็พี่ต้นสนไม่ยอมบอกใครเลยว่าทำไมถึงเย็นชาใส่พี่ปราชญ์ รู้ไหมว่ามีกี่คนที่ห่วงเรื่องของพี่สองคนน่ะ”

“ใครจะมาห่วง ปล่อยไปเถอะหน่า”

“แม่แล้วหนึ่งคน หนูแล้วสอง แล้วก็...” ฟ้าใสไม่ค่อยอยากพูดถึงแต่เพราะสังเกตเหมือนกัน “คุณชายธันเพื่อนพี่นั่นไง”

“หื้อ? ไอธันอะนะ”

“นี่พี่ไม่รู้เลยเหรอว่าคุณชายธันเขาอยากให้พวกพี่คุยกันขนาดไหน ถึงหนูจะยังโกรธเขา แต่เรื่องนี้หนูก็เห็นใจนะ หนูรู้แหละว่าเขาเปลี่ยนไปแล้วและคงอยากให้พวกพี่ได้คุยกันอย่างเดิม เรื่องนี้หนูขอยอมเข้าข้างเขา”

ชลันได้ยินอย่างนั้นก็ดีใจแทนเพื่อน “ถ้าไอธันมาได้ยินคงดีใจจนน้ำตาไหล”

น้องสาวคิ้วมุ่นแล้วฟาดหลังพี่ไปที “ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลย”

ต้นสนหัวเราะเสียงดังก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเพียงยิ้มบาง “ฟ้าใส...”

“อะไรเล่า” ฟ้าใสนึกว่าพี่จะแกล้งกันเลยหน้ามุ่ยไปก่อน

“ถ้าเกิดว่าพี่บอกฟ้าใสไป ฟ้าใสจะโกรธพี่ไหมนะ”

เมื่อเห็นดวงตาส่อแววเศร้า ฟ้าใสจึงเม้มปากแขนข้างขวาที่กอดเอวพี่ไว้นั้นกระชับแน่นส่วนข้างซ้ายก็ลูบบ่า “พี่ต้นสน... พูดออกมาเถอะอย่าเก็บไว้เลยนะ หนูเป็นน้องสาวของพี่.. พี่พูดกับหนูได้”

ต้นสนเปรยยิ้ม คงเป็นเพราะเริ่มมืดแล้วฟ้าใสเลยไม่เห็นร่องรอยน้ำตาที่เครืออยู่ “ทั้งหมดมันเพราะความเอาแต่ใจและความเห็นแก่ตัวของพี่เอง”

เรื่องทั้งหมดถูกเล่าออกจากปากในระหว่างทางกลับบ้าน เป็นเรื่องที่ฟ้าใสไม่คาดคิดว่าจะเป็นอย่างนี้เหมือนกัน เธอพูดอะไรไม่ออก จนถึงบ้านแล้วก็ไม่มีเสียงตอบรับจากฟ้าใสเลยสักนิด

ต้นสนพอจะเข้าใจ เรื่องนี้มันยอมรับได้ยาก เขาเห็นน้องขึ้นบ้านไปก่อนเลยขึ้นไปบ้าง ออกไปทานข้าวได้นิดเดียวก็เข้าห้อง พอมันมืดค่ำแล้วและคนในบ้านต่างเข้านอนกันหมดจึงออกมานอกห้อง หยิบโทรศัพท์บ้านออกมากดเบอร์โทรหาคนที่น่าจะเข้าใจเขาได้มากที่สุด

(บ้านอัครเดชครับ) น้ำเสียงอ่อนโยนนี้ทำต้นสนน้ำตาคลอจากที่กลั้นไว้กลับพรั่งพรูออกมาจนหมด

“ลุง...ลุงสิงห์”

(ต้นสนเหรอ! เป็นไงบ้างลูก สบายดีไหม) คำถามยาวเหยียดพร้อมความคิดถึงและห่วงใยทำให้ต้นสนอยากไปหาแกแล้วขอนอนตักเพื่อพักจิตใจตัวเองเสียหน่อยมันคงจะดีมากเลย

“อยากเจอลุงสิงห์” ต้นสนนั่งลงกับพื้นมือยังจับโทรศัพท์อยู่ เขาก็แค่คนที่อายุเพียงยี่สิบสองปีไม่ได้โตไปกว่าเดิมเลยสักนิด

(เป็นอะไรหรือเปล่า... มีอะไร) เสียงสองแทรกมานั้นก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นลุงไฟ

“ผมไม่รู้จะทำยังไงดี”

(เล่าให้ลุงฟังหน่อยได้ไหม)

ต้นสนกลั้นเสียงร้องไห้และเล่าไปด้วย เขาไม่ต้องปิดบังเลยเพราะพวกท่านรู้ตั้งนานแล้ว หลังจากที่ลุงไฟมาให้คำปรึกษา อีกไม่กี่ปีถัดมาพวกท่านก็รู้เพราะต้นสนอึดอัดที่จะเก็บมันเอาไว้ และพวกท่านก็เข้าใจ พวกท่านเองก็รู้มานานแล้วเหมือนกันจึงให้คำปรึกษาเพิ่มเติม

และลุงทั้งสองก็บอกให้เขาพูดอะไรก็ได้ ที่ไม่ใช่เงียบหาย แต่คำปรึกษาที่ให้มาเขาโยนมันทิ้งไปหมดเพียงเพราะความเห็นแก่ตัวที่โกรธพี่ปราชญ์

(ไอต้นสนเอ๊ย) ลุงไฟแว่วเสียงมา น้ำเสียงดูเหนื่อยใจ (ข้าบอกเอ็งว่าไงวะ)

“ผมขอโทษ”

(อย่าว่าหลานเลย... ดูมันสิฟังเรากันไหม แล้วก็มานั่งทุกข์คนเดียว) ทั้งคู่เถียงกันไปมาจนต้นสนรู้สึกผิด (เอ็งคิดว่าปราชญ์มันจะเสียความรู้สึกแค่ไหนที่เจออย่างนั้นหลังจากกลับมาไทยวะ เขาเสียใจไม่แพ้เอ็งหรอกนะ)

คงเพราะเข้าใจความรู้สึก คงเพราะเคยพบเจอมาเหมือนกัน เพียงแค่การปิดบัง ไม่ยอมบอกไม่ยอมพูดและไม่คุยกันให้เข้าใจ มันทำให้สูญเสียอะไรไปเยอะ ไฟเข้าใจมันดีที่สุดแล้ว...

คนทางสิงห์บุรีถอนหายใจ สิงห์ลูบแขนคนรักเพื่อให้สงบลง (ต้นสน... ในเมื่อตอนนี้พี่เขาตัดสินใจแล้วเราก็ไปห้ามไม่ได้ แต่อย่างน้อย ต้นสนน่าจะไปขอโทษพี่เขาหน่อยนะลูก)

“ครับ ต้นสนจะไปขอโทษ”

(ดีแล้วลูก...) เสียงปลายสายเงียบไปสักพักก่อนจะเป็นเสียงของลุงไฟที่คงสงบลงบ้างแล้ว (ข้าก็ห่วงเอ็งเพราะเอ็งเป็นหลานข้า ไม่อยากให้ตัดสินใจผิดพลาด ถ้ารู้ตัวว่าผิดแล้วก็ไปขอโทษซะก่อนที่มันจะสายไปมากกว่านี้ เขาจะมีคนรักแล้วก็ช่างเขา เอ็งไม่มีสิทธิ์ไปโกรธเขาด้วยซ้ำ เขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลย มีแต่เอ็งที่คิดเกินเลยไปคนเดียวจนทำตัวแบบนี้ ปราชญ์มันจะรับรู้ไหมว่าที่เอ็งเป็นแบบนี้เพราะอะไร แล้วเห็นไหมว่าเขาโทษตัวเอง คิดว่าตัวเองผิด ทำอะไรนึกถึงใจคนอื่นบ้าง)

“เข้าใจแล้วครับ”

(เข้าใจจริง ๆ หรือเปล่า)

ต้นสนพยักหน้าแม้ปลายสายจะไม่เห็น “เข้าใจจริง ๆ ครับ ผมจะไปขอโทษ แต่คงไม่บอกว่ารู้สึกอย่างไรเพราะเขามีคนรักอยู่แล้ว”

(เออก็แค่นั้นแหละ ถ้าไม่ไหวก็มาอยู่ที่สิงห์บุรีซะ ฝึกงานสามเดือนเสร็จขอย้ายมาประจำที่สิงห์บุรีเลย พักใจสักนิดค่อยกลับพระนคร)

“ครับลุง”

(ต้นสน... ไม่เป็นไรนะ ถ้าอยากมาที่นี่ก็โทรศัพท์มาบอกได้เสมอนะ ลุงจะเตรียมห้องไว้ให้แล้วก็จะให้ลุงไฟไปทำเรื่องขอต้นสนมาประจำที่นี่)

“ขอบคุณนะครับลุงสิงห์ ขอบคุณจริง ๆ ถ้าไม่มีลุงผมก็ไม่รู้จะปรึกษาใครแล้ว”

(ลุงยินดีให้คำปรึกษาเสมอ ต้นสนอย่าเศร้าไปเลยนะ พ่อกับแม่และน้องจะเป็นห่วงเอา)

“ครับ ผมจะพยายาม”

(พรุ่งนี้มีงานไปนอนได้แล้ว)

“ครับ ขอโทษที่โทรศัพท์ไปกวนกลางดึกนะครับ”

(ไม่เป็นไร)

“ฝากขอบคุณลุงไฟด้วยนะครับ”

(ได้ยินไหมล่ะลุงไฟ... เออ ๆ)

ต้นสนยิ้มขึ้นได้ก่อนที่จะบอกราตรีสวัสดิ์และวางโทรศัพท์ลง แต่ถึงอย่างนั้น... ก็คงต้องเตรียมทำใจ ถ้าหากวันหน้าอาจจะได้ยืนมองพี่ปราชญ์กับคนรัก คิดเพียงเท่านั้นต้นสนก็กอดเข่าตัวเองแล้วซบหน้าลงกับแขนทันที

ภาพสมัยเด็กที่เขาเอาแต่นั่งอมทุกข์ย้อนเข้ามา ตอนเด็กใคร ๆ ก็คงคิดว่าเรื่องความรักของเด็กพวกนี้โตไปความรู้สึกคงจะมลายหายไป แต่ก็ไม่เลย มันไม่ได้หายไปสักนิด หนำซ้ำยังทวีคูณขึ้นเรื่อย ๆ จนกลัวว่าจะตัดได้ลำบาก... หรือให้เลวร้ายที่สุด

ก็คงจะตัดใจไม่ได้เลยตลอดชีวิต

จะมีวันนั้นหรือเปล่านะ วันที่เขายืนยิ้มอย่างมีความสุข ยืนยิ้มอย่างภูมิใจที่พี่ปราชญ์มีคนรักที่ดีแล้ว

ต้นสนกัดฟันกลั้นเสียงไม่ให้มันดังไปมากกว่านี้ อ่อนแอทั้งกายทั้งใจ วูบโหวงและปวดหนึบจนอยากจะตะโกนออกมาดัง ๆ แต่ก็ทำไม่ได้ ตอนนี้เขาเหมือนอยู่คนเดียวในห้องมืด ๆ ที่ไม่มีแสงสว่างเลยสักนิด...

แต่สัมผัสหนึ่งที่โอบกอดลงมาทำต้นสนตกใจจนต้องเงยหน้ามอง “ฟ้าใส...”

ฟ้าใสน้ำตาคลอ ถึงจะชอบบ่นแต่ก็รักและห่วงพี่ชายคนนี้เหมือนกัน “ไม่เป็นไรนะพี่ต้นสน ฟ้าใสอยู่ข้างพี่นะ” คงเพราะมีหลายเรื่องที่ประดังเข้ามาฟ้าใสจึงลืมบอกไปเลยว่า

พี่ปราชญ์เลิกกับคนรักแล้ว...

สองพี่น้องต่างร้องไห้ออกมาท่ามกลางความมืดสลัว โดยไม่รู้ตัวเลยว่ามีใครบางคนยืนนิ่งค้างอยู่ด้านล่างของเรือนไทย

ชายในชุดตำรวจที่จะเดินมาคุยกับเพื่อนเรื่องที่จะไปทะเล...


 

เฝ้าคำนึง


 

ต้นสนนั่งลงกับโต๊ะอย่างอ่อนแรง เพราะเมื่อคืนแทบนอนไม่หลับ จะว่าไปก็ไม่ได้ไปสอนเด็ก ๆ เลย เพราะอยากให้พักกันก่อน เขาต้องเข้าประชุมเรื่องคนร้ายที่ยังจับไม่ได้ ถึงอย่างนั้นก็ยังคงมีสมาธิตลอดและแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้

ถึงเวลาว่างต้นสนว่าจะออกไปหาอะไรกินเสียหน่อย แต่ก็ถูกดักหน้าจากเพื่อนที่ดูสีหน้าก็รู้แล้วว่าไปอารมณ์เสียอะไรมา

“เป็นไรวะ” ต้นสนถามอย่างสงสัย

ชายธันมองเพื่อนอย่างพินิจ ความกรุ่นโกรธสุ่มอยู่ในอกแต่ก็พ่วงด้วยความเห็นใจ... มันผสมปนเปจนยากที่จะคาดเดาได้ว่าตอนนี้ตัวเขานั้นคิดอะไรอยู่ และคิดยังไงกับเรื่องที่ได้ยินเมื่อวาน

เขารู้ว่าต้นสนนอนดึกเลยกะว่าจะไปหาแต่พอเห็นว่าบ้านมืดเลยคิดจะกลับแต่ก็ดันได้ยินเสียงเพื่อนร้องไห้และคุยโทรศัพท์กับใครอยู่ ยิ่งยืนฟังก็ยิ่งกระจ่างจากอะไรหลายอย่าง ทำให้เริ่มปะติดปะต่อทุกสิ่งเข้าด้วยกัน

 

“ต้นสนบอกว่าขอให้มีความสุขน่ะ แค่นั้นจริง ๆ ทุกทีจะเขียนยาวแต่จดหมายนั้นมีเพียงแค่ประโยคนี้”

“แล้วที่พี่ชายใหญ่ส่งไป พี่ชายใหญ่เขียนว่าอะไรหรือครับ”

“ส่งไปว่ามีคนรักแล้วน่ะครับ”

-------------

“ถ้าไม่มีทิฐิมากจนเกินไป นายน่าจะรู้ตัวว่านายมองพี่ปราชญ์เยอะแค่ไหน เหมือนอยากคุย แต่พอพี่ฉันมองนายกลับ ดันทำเป็นหน้านิ่งใส่”

“ฉันอาจจะคิดผิดหากนายเป็นแค่ไม่กี่ครั้ง แต่นี่ฉันเห็นนายเป็นอย่างนี้ตลอด เพราะฉะนั้นจะเถียงอะไรฉันไม่ได้แล้วนะ”

“ฉันมีเหตุผล”

 

ยิ่งเอามาคิดรวมกันแล้วก็เริ่มเข้าใจได้ทันทีว่าเพราะเหตุใดต้นสนจึงไม่ตอบจดหมาย นี่เพื่อนเขาหลงรักพี่ปราชญ์ตั้งแต่ตอนนั้นเลยหรือ... ถึงรู้แต่ก็ยังเตือนสติน้องชายอย่างเขาให้เข้าใจพี่ตนเอง

เพราะแบบนี้สินะเขาถึงโกรธผสมกับเห็นใจเพื่อนคนนี้ โกรธที่คิดเองเออเอง เป็นอะไรไม่บอกทำให้คนเข้าใจผิด แต่ก็เห็นใจเพราะว่าต้องรับรู้ว่าคนที่หลงรักนั้นมีคนรักแล้วแต่ยังหวังดีเตือนน้องชายแย่ ๆ ที่เคยคิดไม่ดีไป

“เรื่องไปทะเลน่ะ”

“ทำไมวะ”

“ที่จริงพี่ปราชญ์ไปด้วย” ชายธันพูดเสียงเรียบ ทว่า ก็จ้องจับผิดเพื่อนตลอดเวลา ยิ่งพอรู้ความจริงก็เห็นได้ชัดทุกการกระทำและอาการที่แสดงออกมา มันชัดขึ้นมาก...

“งั้นเหรอ” ต้นสนพูดเสียงเบา “เอาสิ ฉันมีเรื่องจะคุยกับพี่ปราชญ์เหมือนกัน”

คงจะเรื่องเมื่อวานสินะ ชายธันคิดในใจ “อืม มีแค่นี้แหละ”

“แล้วไปกินข้าวด้วยกันไหม”

“ไม่ล่ะ” ชายธันโบกมือก่อนจะเดินกลับเข้าไปในกรมตำรวจด้วยใบหน้าจริงจัง ดูซิว่าถ้ารู้ว่าพี่ปราชญ์เลิกกับคนรักแล้วต้นสนจะทำยังไง

เขาจะเป็นคนบอกเอง บอกตอนที่ถึงทะเลแล้ว...

จะได้ไม่สามารถหลบหน้าไปไหนได้ในเวลาที่ตัวเองคิดผิดมาตลอด และทำให้พี่ปราชญ์เสียใจจากความคิดเองเออเองของตัวเอง ให้เผชิญหน้ากับความจริง ให้รู้สึกผิดเวลาที่มองพี่ปราชญ์

ถึงจะดูโหดร้ายไปเสียหน่อย แต่ก็ถือว่าเป็นบทเรียน




จบบทที่ ๑๒

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑๒
«ตอบ #47 เมื่อ15-07-2020 11:08:13 »

คิดเอง เออเอง นะ ก็น่าเห็นใจ
 :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6
Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑๒
«ตอบ #48 เมื่อ15-07-2020 19:23:33 »

 :hao4:

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑๓
«ตอบ #49 เมื่อ31-07-2020 23:03:21 »

 

บทที่ ๑๓

ความจริงที่ได้รับรู้


 

ช่วงเช้ามืดสมพงษ์ตื่นนอนมาเพื่อเอากระเป๋าของคุณ ๆ ทั้งหลายใส่รถให้ รวมถึงคนรับใช้คนอื่น ๆ ที่จัดเตรียมอาหารและอุปกรณ์ครบครัน ปภารัชนึกอยากเอ็ดพี่แตงที่บอกคนอื่นว่าพวกเขาจะไปทะเลในวันนี้เลยปลุกคนอื่นมาให้ช่วยจัดของให้

เขาน่ะเกรงใจทุกคนยิ่งกว่าเสียกระไร

“อ้าวต้นสน ไปด้วยเหรอ” แตงถามไถ่ใครบางคนที่เดินแบกกระเป๋ามาทางนี้ ปราชญ์หันไปมองทันที ดวงตาของเราสบกันชั่วครู่ก่อนจะเป็นปราชญ์ที่หันไปคุยกับคนรับใช้คนหนึ่งเรื่องความพร้อมของรถ

“ครับพี่แตง”

“งั้นมา ๆ เดี๋ยวพี่เอาไว้ในรถให้”

“ไม่ต้องพี่” ต้นสนรีบเบี่ยงหลบแต่พี่แตงก็ยื้อดึงเอาไปใส่ให้จนได้เลยได้แต่จำยอมตามไป

“ไงน้องชาย” ชายกรณ์เดินมาเอาแขนพาดไหล่ทันทีเมื่อเห็นใคร

“เหมือนไม่เจอกันนานเลยนะครับพี่กรณ์”

หนุ่มทหารพยักหน้า “ใช่ แทบไม่ได้เจอกันเลยนะ ต่างคนต่างงานยุ่ง”

ต้นสนยิ้มบาง “แล้วพี่กรณ์เป็นอย่างไรบ้างครับ งานที่กองทัพล้นมือเลยใช่ไหมครับ”

“พูดแล้วก็อยากกลับไปเป็นเด็กอีกสักรอบ” ชายกรณ์หัวเราะทั้งคู่คุยกันอย่างสนิทสนมอย่างเคย ถึงแม้ว่าดวงตาของต้นสนจะจดจ้องไปที่ใครอีกคน แต่ก็ไม่ได้รับสายตาตอบกลับมา

ชายธันที่ยืนอยู่ห่าง ๆ มองเพื่อนกับพี่คนโตสลับกันไปมา อีกคนเฝ้ามองหาส่วนอีกคนทำเมินเฉยแม้ใจจะไม่อยากทำอย่างนั้น ความสัมพันธ์ช่างแปลกสิ้นดี แล้วถ้าเกิดพี่ปราชญ์รู้ว่าต้นสนคิดอย่างไร จะทำยังไงนะ

เรื่องนี้เขาคงไม่ได้บอกหรอก เพราะหากเพื่อนเขารักข้างเดียว บอกไปจะหนักข้อขึ้นเปล่า ๆ พี่ปราชญ์คงไม่ได้คิดอะไรกับต้นสน...

แล้วถ้าคิดล่ะ

ชายธันรีบสะบัดหัวกับความคิดมากของตัวเอง ถ้าเป็นแต่ก่อนเขาคงไม่มีวันจะยอมรับได้แน่และคงไม่นิ่งเฉย สิ่งที่ทำอย่างแรกคือกันต้นสนออกจากพี่ปราชญ์ให้ได้ ตอนนี้ถ้าเกิดทั้งคู่คิดเกินเลยกันจริง เขาคงต้องปล่อยไป เขารู้ว่าพี่ปราชญ์เหนื่อยมามากเกินพอแล้วและเขาก็ไม่อยากทำให้เหนื่อยเพิ่มอีก

เขาเป็นคนในครอบครัว เป็นน้องชายที่จะคอยอยู่ข้าง ๆ ไม่ได้เป็นเจ้าของชีวิต ทางที่ดีก็ให้คุยกันเองเสียกว่า...

“ยังไม่ทันรู้จริงเลยคิดไปถึงไหนเนี่ยเรา” ชายธันบ่นเสียงเบาพลางนวดขมับตัวเอง

เมื่อทุกอย่างเตรียมพร้อมเสร็จเรียบร้อยทุกคนก็ต่างขึ้นรถ เป็นชายปราชญ์ที่ขับให้ก่อน ส่วนคนนั่งข้างกายก็เป็นน้องคนกลาง ส่วนด้านหลังเป็นน้องคนเล็กและต้นสนที่นั่งหลังปราชญ์

“ฝากดูแลหม่อมย่ากับคุณน้าให้ด้วยนะครับ”

“ได้เลยค่ะคุณชายใหญ่ ขอให้เดินทางปลอดภัยนะคะ” แตงยิ้มและโบกไม้โบกมือ

ปภารัชตีรถออกจากวัง ระหว่างทางชายกรณ์พูดเยอะเป็นพิเศษ คงเพราะชายกรณ์แทบไม่ได้กลับมาทานข้าวหรือกลับมาเจอพวกเขาเลย ไม่แปลกที่จะมีเรื่องพูดคุยเยอะ ถึงอย่างนั้นก็เป็นสีสันได้ดี ไม่ทำให้ในรถเงียบจนเกินไปด้วย

“ว่าแต่เราจะไปส่วนไหนของพังงา” ปราชญ์ถามขึ้น

“ไปที่ตะกั่วทุ่งครับ ใช่ไหม” ชายธันหันไปถามเพื่อนสนิท

“อืมอำเภอตะกั่วทุ่ง ตำบลโคกกลอย ศศิมันอยู่ที่นั่น”

“ที่นั่นแหละครับ เห็นเพื่อนผมบอกว่าเดินเรือไปคงถึงภูเก็ตได้เลย”

“งั้นวันที่สองเราไปภูเก็ตกันดีไหม” ชายกรณ์เสนอ

“ก็ดีนะ แล้วออกเรือได้ไหม” ปราชญ์มองสองคนด้านหลังผ่านกระจก

“คงต้องรอไปถามศศิน่ะครับ”

ปภารัชพยักหน้าตอบรับน้องคนเล็ก ตลอดทางนั้นมีแวะทานอาหารและพักรถด้วย แล้วก็เปลี่ยนเป็นชายกรณ์ที่ขับบ้าง เพราะถ้าเข้าจังหวัดไปแล้วจะให้ต้นสนขับเพราะรู้ทางดี เนื่องจากเคยมาเยี่ยมเยียนเพื่อนอยู่

จนเปลี่ยนมาเป็นชายธันที่ขับจนใกล้จะถึงก็เปลี่ยนไปให้ต้นสนแทน ปภารัชที่หลับพักไปครู่ลืมตาตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงปิดประตูรถ พอมองคนข้างกายที่ไม่ใช่น้องคนเล็กแล้วจึงขยับนั่งดี ๆ แทน

“ชายธันหลับไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวถึงแล้วพี่จะเรียก” ปราชญ์บอกน้องเพราะชายธันกลับดึกมากเนื่องจากต้องสะสางงาน ส่วนชายกรณ์หลับไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ชายธันพยักหน้าตอนนี้ตนล้าเกินทน เพียงครู่เดียวก็หลับตามชายกรณ์ไป ในรถจึงเงียบมาตลอดทาง

“พี่ปราชญ์จะหลับต่อก็ได้นะครับ”

คนถูกพูดถึงตกใจเล็กน้อย ดวงใจกลางอกสั่นไหว พี่ปราชญ์หรือ?

“ไม่เป็นไร พี่อยู่เป็นเพื่อนได้ แถมหลับมาตลอดทางเลย”

ต้นสนพยักหน้าจากนั้นทั้งคู่ก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันต่ออีก ปภารัชเพิ่งจะได้สังเกตในมุมนี้ของอีกฝ่าย ดวงตาจดจ้องไปที่ถนนด้านหน้า มือจับพวงมาลัย เสื้อเชิ้ตแขนสั้นนั้นดูเหมาะกับต้นสนเสียจริง

เด็กคนนี้โตขนาดนี้แล้วหรือ

 จำได้ว่าหลังจากกลับไทยได้ไม่นานคุณน้าก็เอารูปที่เขาเคยได้ถ่ายเด็ก ๆ ไว้มาให้ ตอนนี้เขายังคงเอาติดกระเป๋าไว้อยู่ ในรูปนั้นเห็นเด็กสองคนนั่งข้างกันที่คนหนึ่งอมยิ้มหวานและอีกคนที่หน้านิ่งแลดูหงุดหงิด มุมปากบางยกยิ้มเมื่อนึกถึงสมัยก่อน ยังไม่ได้ให้รูปนี้แก่ทั้งสองเลย นึกขึ้นได้ว่ายังมีรูปที่เขาได้ถ่ายกับต้นสนตอนยังเป็นเด็ก

ในรูปนั้นเขากำลังอุ้มน้องอยู่ในอ้อมกอด ไม่คิดเลยนะ ว่าเด็กในวันนั้นจะโตมาเป็นคนที่พึ่งพาได้ดีขนาดนี้ ตัวที่สูงกว่า มือหนาและใหญ่พอจะกุมมือปราชญ์ได้ทั้งหมด แผ่นหลังกว้างไหล่ตึง ใบหน้าที่จิ้มลิ้มดูคมเข้มขึ้น แววตาเปี่ยมไปด้วยความจริงจัง สุขุมและอ่อนโยน ยกเว้นตอนที่ใช้ดวงตาเย็นชานั่นมองเขา คงจะเป็นเขาเพียงคนเดียวที่อยู่ในสถานการณ์อย่างนั้น

ไม่รู้ว่ามองคนข้างกายนานเท่าใดอีกฝ่ายจึงหันมาหาเมื่อรอรถอีกคันข้างหน้าออกไปก่อน

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

ปราชญ์หันหลบ รู้สึกอากาศร้อนขึ้นมาทันตา “เปล่าหรอก”

“ที่จริงผมมีเรื่องจะคุยกับพี่ปราชญ์ด้วย”

“เรื่องอะไรหรือ”

“ไว้ก่อนครับ หากถึงที่หมายและจัดของเสร็จแล้วรวมถึงเที่ยววันนี้เสร็จผมอยากให้เราไปคุยกันแค่สองคน”

ปภารัชพยักหน้า “ได้สิ”

“ขอบคุณครับ”

ไม่รู้เหมือนกันว่ามีเรื่องอะไรที่จะคุยกัน แต่ก็คงไม่พ้นเรื่องเมื่อวันนั้น... ก่อนจะได้คิดอะไรมากกว่านี้กลิ่นไอเกลือก็ลอยเด่นขึ้นมา ทางด้านข้างเห็นทะเลเด่นอยู่ในสายตา ปราชญ์คลี่ยิ้มกว้าง สูดอากาศเข้าเต็มปอด แดดอ่อน ๆ กระทบกับผิวน้ำ ภาพตรงหน้าสะท้อนในดวงตา

ถ้าหันไปหาคนข้างกายคงจะได้เห็นรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า...

“ถึงแล้วเหรอ” ปราชญ์ถามเมื่อต้นสนขับมาจอดอยู่ที่บ้านหลังหนึ่งที่ติดกับชายหาดเพียงถนนกั้น

“ครับ หลังนี้แหละ” ต้นสนว่าก่อนจะลงรถเป็นคนแรกเพื่อเข้าไปเรียกเพื่อนอย่างศศิที่มาประจำที่ภาคใต้

“ชายธัน ชายกรณ์ตื่นได้แล้วถึงแล้ว” ปราชญ์หันไปสะกิดน้องชายทั้งสองจึงจะลงรถไปเพื่อทักทายเพื่อนของน้องชาย

“นี่คุณชายปราชญ์” ต้นสนผายมือให้เพื่อน

“สวัสดีครับคุณชาย” ศศิคลี่ยิ้มยกมือไหว้ทันที เห็นอย่างนั้นปราชญ์จึงยกมือรับตอบ

“สวัสดีครับคุณ...?”

“ผมศศิครับเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของต้นสนกับคุณชายธัน”

“อ่อครับ ธันพูดถึงอยู่เหมือนกัน ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ แล้วก็เรียกผมพี่เฉย ๆ ก็ได้นะ”

“ครับพี่ปราชญ์” ศศิผงกหัวแล้วช่วยหยิบสัมภาระเข้าบ้านและแนะนำตัวกันอีกครั้ง ก็ได้รู้จักกันหมด

“ไอเหนือ แล้วไอโทนล่ะวะ” ต้นสนถามเพื่อนในกลุ่มอีกคนที่มาถึงก่อนใครตั้งแต่เมื่อวานแล้ว

“เดี๋ยวก็คงถึงแหละมั้ง อยู่ตั้งแพร่ให้ลงใต้มาคงจะนานเลย”

“บ้านนี้มีแค่สองห้องนอนเอง ต้องขอโทษจริง ๆ นะครับ” ศศิยิ้มแหย

“ไม่เป็นไรครับ เรานอนเบียดกันได้”

เหนือกอดอกมองสามคุณชายที่ขนของเข้าไปในห้องและดูไม่เกี่ยงกับห้องนอนเล็ก ๆ อย่างนี้ และความเป็นมิตร สุภาพที่แผ่ออกมาจากคุณชายปราชญ์ก็ทำให้เหนือนึกถึงเพื่อนธันในสมัยเรียน จึงเผลอขำออกมา

“อะไรของมึงเนี่ย อยู่ ๆ ก็ขำ” ต้นสนหันมอง

“กูเห็นพี่ชายของไอธันแล้วนึกถึงมันสมัยเรียนว่ะ พี่ชายออกจะนิสัยดีขนาดนี้ทำไมตอนนั้นมันดูแย่วะ”

“กูก็ไม่รู้หรอก”

“เออ แต่ว่าพี่ปราชญ์เนี่ยเขาหน้าไม่ค่อยเหมือนสองคนนั้นเลยนะ”

มือที่กำลังคลี่เอาของออกชะงักไปทันตา “จะไปยุ่งกับเขาทำไมล่ะ”

“เอ้า” เหนือเกาหัว ก่อนจะไปช่วยทั้งสามคุณชายยกของเข้าไปอีกห้อง ต้นสนอาสานอนกลางบ้านเพราะว่าจะให้โทนและเหนือนอนด้วยกันในห้องของศศิเอง ส่วนสามคุณชายก็นอนด้วยกันอีกห้องหนึ่ง

“มีมุ้งไหม”

“มี ๆ แต่มึงจะนอนนี่จริงดิ” ศศิถามอย่างเกรงใจ

“เออดิ กูไม่อยากนอนเบียดกับพวกมึง เดี๋ยวแดกเหล้ากลับมาเหม็นหึ่งหมด”

“เออ ๆ ตามใจ”

“ไอโทนมาแล้วโว้ย” เหนือตะโกนบอกหลังจากออกไปตามเสียงเรียกหน้าบ้าน

“ห่าร้อน” โทนรีบเข้าบ้าน เหงื่อไหลตามขมับ ก่อนจะยกมือสวัสดีคนหน้าใหม่ที่ไม่เคยเห็นแต่พอจะเดาได้ว่าเป็นพี่ชายของไอธัน

“นี่โทนครับ” ธันแนะนำเพื่อนให้รู้จักถึงจะแนะนำฝ่ายพี่ของตนบ้าง “ส่วนนี่พี่กรณ์กับพี่ปราชญ์”

“ยินดีที่ได้พบครับคุณชายกรณ์ คุณชายปราชญ์”

“เรียกพี่ก็พอนะ ไม่ต้องเกรงใจ” ปราชญ์ยิ้มให้

“ได้ครับพี่ปราชญ์”

แขกหน้าใหม่ทั้งห้าจัดของกันเสร็จเรียบร้อย ศศิก็พาไปร้านอาหารที่ไม่ไกลจากบ้านมากนัก ซึ่งเดินไปเอาก็ได้ แถวนี้มีบ้านอยู่ไม่เยอะ ถนนก็โล่งพอตัว ถ้าเทียบกับพระนครคงบอกได้เลยว่าต่างกันลิบลับ

“ไอศศิกับพี่ปราชญ์ดูเข้ากันดีเนาะ” เหนือพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าศศิกับพี่ปราชญ์ที่เดินนำต่างคุยกันไม่หยุด แลดูสนิทกันมานานนม

“มันก็เข้ากับคนอื่นง่ายมาแต่ไหนแต่ไรแล้วหนิ ไอศศิน่ะ” ต้นสนพูดตอบ

“แต่สามคุณชายนี่หน้าตาดีกันทั้งบ้านเลยว่ะ” โทนว่าอย่างนึกอิจฉา

“แบบนี้เรียกสาวใต้ได้เยอะแน่เลยว่ะ” เหนือกระยิ้มกระย่อง โทนก็เห็นด้วยอย่างทันที

ต้นสนถึงกับถอนหายใจ “พวกมึงก็คิดแต่เรื่องแบบนี้”

“ปัดโธ่ ให้กูคลายเครียดบ้างเถ๊อะ งานจะถมกูตายอยู่แล้ว” เหนือบ่น

“เออมึงก็ไปผ่อนคลายกับพวกกูด้วยดิ” โทนยกแขนสะกิด

“ไม่เอา”

“โธ่ ไรวะ”

“มีสาวในใจอยู่แล้วหรือเปล่าครับคุณผู้หมวดชลัน” ได้ทีเหนือก็อดชี้หน้าล้อไม่ได้

“เสือก”

“ไอห่านี่”

หนุ่ม ๆ ทั้งเจ็ดคนเดินเข้าร้านอาหารไปก็มีแต่คนมอง บ้างก็กระซิบกระซาบ แต่ทุกคนล้วนชื่นชมทั้งนั้น

“ดีจริงที่กูมาอยู่ตรงนี้ด้วย” เหนือเท้าเอวหัวเราะ

ชลันไม่ได้สนใจเพื่อนอย่างไอเหนือแล้วไปนั่งข้างศศิแทน ส่วนทั้งสามคุณชายก็นั่งอยู่ตรงข้าม ทุกคนสั่งอาหารที่ตัวเองชอบคนละไม่กี่อย่าง นอกนั้นก็เป็นศศิที่แนะนำให้ สั่งได้ไม่นานอาหารก็มาวางเกือบหมด

“พี่ปราชญ์ พี่กรณ์ผมแนะนำจอแหร้ง นี่คืออาหารพื้นเมืองของพังงาเลยนะครับ” ศศิเขยิบถ้วยไปใกล้ทั้งสามคุณชาย น้ำกะทิสีอ่อนมีเนื้อกุ้งตัวใหญ่หลายตัว กลิ่นหอมโชยเข้าจมูก

“น่าทานมากเลย” ชายกรณ์ยิ้มก่อนจะตักขึ้นมาชิมแล้วก็อร่อยไม่ต่างจากที่คิดเลย

ศศิยิ้มอย่างดีใจที่ทั้งสามคนดูชอบอาหารใต้ บางอย่างก็เผ็ดมากแต่คนที่ชอบเผ็ด ๆ น่าจะเป็นพี่ปราชญ์ที่ดูสนอกสนใจอาหารเผ็ด ๆ เป็นพิเศษ ศศิเลยโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง

“แล้วบ่ายนี้ไปไหนกันดี” ชายกรณ์ถามขึ้น

“เล่นน้ำสิครับ”

“หื้อ?” ชายกรณ์ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองที่น้องชายพูดออกมา

“มาถึงทะเลแล้วก็ต้องเล่นน้ำ ส่วนเรื่องเที่ยวค่อยไปวันอื่น”

“อยากเล่นล่ะสิ” ปราชญ์หยอกล้อ

“อยากแข่งว่ายน้ำกับเหนือและต้นสนครับ พอดีเคยคุยกันว่าใครแพ้ต้องตามใจคนชนะ”

เหนือถึงกับสำลักน้ำ “สมัยไหนวะนะ”

“ยังไม่ลืมอีกเหรอวะ” ชลันขมวดคิ้ว

“ตั้งแต่ปีสองเลยใช่ไหม” ศศิถามขึ้น

“เออ ๆ ใช่ ไอธันว่ายน้ำเก่งกว่าใครไอเหนือกับไอต้นสนแม่งก็แพ้ตลอด” โทนพูดพลางหัวเราะ

“ต้นสนน่ะหรือว่ายน้ำแพ้ธัน” ชายกรณ์ถามอย่างตกใจ

“พี่กรณ์พูดเหมือนผมดูอ่อนปวกเปียกเลยนะครับ”

“ไม่ใช่... ก็พี่...” อิตธิกรณ์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อน้องคนเล็กพูดมาอย่างนั้น

“ถ้าให้เดาถ้าแข่งกันห้าคน พี่ว่าศศิกับโทนชนะ” ปภารัชพูดขึ้นแล้วนั่นก็ทำให้ทุกคนพยักหน้าทันที

“ใช่เลยครับพี่ปราชญ์ ผมถึงไม่ให้มันสองคนลงมาแข่งด้วยไง” เหนือว่า

“เสียดาย ถ้าแข่งอีกรอบกูน่าจะสั่งให้มึงเลี้ยงข้าวกูสักสามเดือน” โทนส่ายหน้า คำตอบที่ได้รับจากปากเหนือแบบไม่มีเสียงคือพ่อมึง...

“ว่าแต่ทำไมศศิมาประจำที่นี่ล่ะ” ปภารัชถามขึ้น

“ที่จริงบ้านนี้เป็นบ้านเก่าของพ่อผมน่ะครับ ก็เลยมาที่นี่เพราะจะได้ไม่ต้องเสียค่าพักเพิ่มอีก” ศศิว่าอย่างคนประหยัด

“ที่จริงพี่ก็อยากมีบ้านสักหลังอยู่ใกล้ทะเลนะ กำลังวางแผนในอนาคตอยู่เหมือนกันว่าอาจจะย้ายมาอยู่ทางใต้” ปราชญ์พูดเพียงเท่านั้นน้องทั้งสามคนถึงกับตกใจ

“ทำไมล่ะครับ” ชายกรณ์ท้วงขึ้นส่วนชายธันทำหน้าหงุดหงิดไปเสียแล้ว ส่วนอีกคนที่ไม่คิดว่าจะสนใจนั้นกำลังดูตกใจไม่แพ้กัน

“ใจเย็น แค่คิดไว้น่ะไม่รู้จะได้ซื้อที่ไหม”

“เพราะอะไรหรือครับถึงคิดจะย้าย” ชายกรณ์ถาม

“อากาศมันดีน่ะ พี่ชอบกลิ่นไอเกลือด้วย”

“ไม่ใช่เพราะใครหรอกนะครับ” ชายธันพูดเสียงเรียบแล้วมองหน้าเพื่อน ต้นสนเห็นอย่างนั้นก็หันหนี ความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามาอีก

“คิดอะไรน่ะ พอเลย... อาจจะซื้อไว้เวลามาเที่ยวใต้ก็ได้” ปราชญ์รีบปรามน้อง ๆ

“บ้านนี้เขาติดพี่ชายกันจังเลยนะครับ” โทนว่าพลางหัวเราะเล็กน้อย

“ติดมาตั้งแต่เด็กแล้ว” ปภารัชว่าทุกคนจึงหัวเราะออกมา ชายกรณ์รีบแก้ตัวทันที ส่วนอีกสองคนได้แต่นั่งเงียบ

ศศิกะพริบตาปริบ ๆ ไม่รู้ว่าใครสังเกตเห็นอีกไหมแต่เขาสังเกตเพื่อนสองคนนี้อยู่ว่ามีอะไรแปลก ๆ มีเรื่องอะไรกันหรือไงนะ

พอกินข้าวกันเรียบร้อยศศิก็พาเดินทัวร์ไปทั่วเพื่อจะได้ย่อยกันก่อนจะไปเล่นน้ำ แวะนู่นแวะนี่กันเพลินทีเดียวเชียว

“พวกมึงทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า” หลังจากมาเดินดูของกันศศิก็เอ่ยถามเพื่อนทั้งสองคนอย่างต้นสนกับธันที่เดินอยู่ด้วยกัน

“เปล่าหนิ” ธันเอ่ยตอบแทน

“แน่หรือ”

“ไม่ได้ทะเลาะกันจริง ๆ” ต้นสนว่า

“เออ ๆ เชื่อก็เชื่อ แต่มึงนี่ก็ติดพี่ปราชญ์เหมือนกันนะ ตอนเขาบอกจะย้ายมาใต้มึงก็ตกใจไปกับเขาด้วย ฮ่า ๆ” ศศิหัวเราะชอบใจก่อนจะเดินไปหาคุณชายทั้งสองโดยไม่รู้เลยว่าทิ้งระเบิดไว้กับเพื่อนตัวเอง

ชลันสบถเสียงเบา ผันไปมองเพื่อนข้างกายที่มองอยู่ก่อนแล้วจึงเลิกคิ้วถาม “อะไร”

“นายคิดยังไงกับพี่ปราชญ์”

คนถูกถามเบิกตาเล็กน้อย ใจเต้นระรัว “ถามอะไรวะ”

“ตกใจอะไร ดูแปลก ๆ นะถามแค่นี้เอง”

“นายน่ะถามฉันแปลก ๆ”

“แปลกยังไง นายคิดไปไหนไกลอย่างนั้นหรือ ก็แค่ถามเรื่องที่พี่ปราชญ์บอกจะย้ายมาทะเล นายคิดยังไง”

คนร้อนตัวไปก่อนไข้ถึงกับหน้าหมอง “ไม่รู้”

“เกี่ยวกับนายด้วยหรือเปล่านะ” ธันทำเป็นคิด

แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำให้ต้นสนเงียบไปเหมือนกัน

“เรามาตกลงอะไรกันดีไหม”

ต้นสนขมวดคิ้วเมื่อเพื่อนพูดอย่างนั้น “อะไร”

“วันนี้ถ้านายแข่งว่ายน้ำชนะ ฉันจะบอกเรื่องเกี่ยวกับคนรักของพี่ปราชญ์ให้ฟัง”

คำเสนอนั้นทำต้นสนเบิกตา “หมายความว่าไง คนรักของพี่ปราชญ์ทำไมอย่างนั้นหรือ”

“ถ้านายชนะฉันจะบอก” ธันยิ้มบาง แม้ต่อให้ชนะหรือแพ้เขาก็บอกอยู่ดี ก็แค่อยากรู้ว่าเพื่อนเขาจะมีท่าทียังไงก็เท่านั้น

“ได้”

“อืม ตามนั้น”

“อ้อ” ธันรีบหันกลับ “แต่ถ้าฉันชนะ นายต้องบอกความจริงกับฉัน”

“ความจริงหรือ? ความจริงอะไร”

“รอฉันถามแล้วกัน” พูดเพียงเท่านั้นชายธันก็เดินออกไปร่วมวงกับพวกเหนือและโทนที่กำลังดูพวกของเครื่องใช้ที่คนละแวกนี้ทำกับมือ

ปล่อยให้ต้นสนยืนคิดอยู่คนเดียว
 

 


เฝ้าคำนึง


 


“พร้อมยัง ๆ!” โทนตะโกนบอกเพื่อนทั้งสามคนที่กำลังวอร์มร่างกาย โดยมีเหนือกับธันที่อยู่ซ้ายขวา ต้นสนอยู่ตรงกลาง ห่างจากฝั่งอยู่ประมาณแปดสิบเมตรได้ ตรงนั้นมีแพลอยน้ำที่ชาวบ้านทำเอาไว้ละเล่นกัน ให้ว่ายแข่งประมาณหกสิบเมตร มีไม้ยาวปักไว้ให้ก่อนถึงฝั่ง

“อย่าลืมนะ” ต้นสนกระซิบธันที่อยู่ฝั่งซ้ายตนเอง

“ไม่ลืมหรอก”

“หนึ่ง! สอง! เริ่ม!!” สิ้นเสียงของโทน ทั้งสามคนก็กระโดดลงน้ำอย่างทันที ชายธันว่ายตีขึ้นมาห่างเล็กน้อยตามด้วยต้นสนและเหนือ

ปภารัชที่นั่งอยู่กับศศิและชายกรณ์ต่างตะโกนเรียกชื่อ มุมปากบางคลี่ยิ้มอย่างสนุกสนาน แม้ใจจะเชียร์ทั้งสามคน แต่ดวงตากลับจดจ้องแต่เพียงต้นสนที่ดูจริงจังเอามาก ๆ กับการแข่งครั้งนี้

“เฮ้ย ๆ ไอต้นสนมันนำแล้วโว้ย” โทนตะโกนเสียงดัง

ต้นสนขึ้นนำได้ไม่เท่าไรก็ต้องตีคู่มากับชายธันที่ว่ายขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เหนืออยู่ไม่ห่างมากแต่ก็พอจะรู้ชะตาเลยหยุดตรงนั้นแล้วโวยวายอยู่คนเดียว

“ไอเหนือ! มึงยอมเร็วไปแล้ว!” โทนหัวเราะชอบใจ

“แม่ง! เหนื่อยฉิบหาย!” ไม่ว่าเปล่ายังนอนตัวหงายลอยอยู่ในทะเล

โทนได้แต่ส่ายหัวแล้วรีบดูว่าใครจะมาถึงไม้ยาวที่ปักไว้ก่อน ทั้งคู่ผลัดกันนำผลัดกันตามก่อนจะเป็นชายธันที่ว่ายเข้าไปแตะไม้ได้ก่อน

“โธ่เว้ย!” ต้นสนกำหมัดชกกับผิวน้ำจนกระเพื่อมดูหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด และนั่นก็ทำให้ชายธันได้แต่ถอนหายใจอย่างระอา

“ใจเย็น ๆ แค่แข่งเล่น ๆ” โทนรีบปลอบเพื่อน

ศศิวิ่งเอาผ้าไปให้เหนือที่กำลังลอยกลับมาตามคลื่น ก่อนจะถูกเพื่อนดึงลงไปจนหน้าคะมำโทนเลยเข้าไปร่วมวงด้วย ส่วนชายกรณ์ก็ยื่นผ้าให้น้องชายที่เดินกลับมาที่โต๊ะนั่ง ปภารัชหันซ้ายหันขวาก่อนจะหยิบผ้าอีกผืนลุกออกไปให้ใครบางคนที่ดูจะหงุดหงิดเสียเต็มประดา

“ผ้าครับ”

ต้นสนหันมอง ความหงุดหงิดเริ่มบรรเทา แต่ก็ยังเจ็บใจที่ไม่ชนะ “ขอบคุณครับ”

ร่างกายที่ปกปิดด้วยเพียงกางเกงสามส่วนธรรมดาจึงเผยกล้ามเนื้อที่พอดีกับตัว น้ำเกาะตามบ่าตามแขนล่ำ ทุกครั้งที่ยกแขนเช็ดหน้าเส้นเลือดนั้นจะเด่นอยู่ในสายตา ผมสีเข้มที่เปียกลู่ถูกขยี้จนฟูฟ่อง

คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ใบหน้าที่แสนจะดุนั้นกำลังหลับตาพริ้ม มือหนาขยี้เส้นผมจนปราชญ์อยากจะจับแขนปราม ทว่า เพียงดวงตาสีนิลเปิดขึ้น คนที่เอาแต่มองเลยจำใจถอยห่าง เม็ดน้ำไหลร่วงจากผมผ่านเปลือกตา ทำคนมองหายใจติดขัดเล็กน้อย

“คือพี่...” แต่ก่อนที่จะพูดอะไรกันมากกว่านี้ชายธันที่มองอยู่นานรีบเดินเข้ามาหา

“ไปคุยกับฉันเลยแล้วกัน คนแพ้ต้องทำตาม”

“เออ” ต้นสนตอบรับแล้วเดินออกไปก่อน

“นี่ ไปคุยอะไรกันจนทำให้ต้นสนต้องจริงจังขนาดนั้นน่ะ หื้อ”

ชายธันถอนหายใจ “พี่ชายใหญ่เป็นห่วงต้นสนมากไปหรือเปล่าครับ”

“พี่แค่—”

“เอาเป็นว่าไม่ใช่เรื่องร้ายแรงหรอกครับ ไว้ใจได้”

ปภารัชก็อยากจะพูดว่าเพราะเป็นชายธันน่ะสิถึงไว้ใจไม่ได้...

เมื่อธันเดินออกมาพ้นสายตาคนอื่นแล้วต้นสนก็ถามทันที “มีอะไรจะถามก็ว่ามา”

“หงุดหงิดอะไรขนาดนั้น อยากรู้เรื่องคนรักพี่ปราชญ์มากเลยหรือไง”

ชลันพรูลมหายใจ “ช่างมันเถอะ นายอยากถามอะไรก็ว่ามา”

ธันไม่มากความอะไรจึงเอ่ยถามตามจริงที่อยากถาม “นายคิดยังไงกับพี่ปราชญ์”

“ฉันบอกแล้วว่าไม่รู้ ถ้าเกิดว่าเขาจะย้ายมาฉันก็คงห้ามไม่ได้—“

“ไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น” ชายธันคิ้วมุ่น ใบหน้านั้นจริงจังอย่างเห็นได้ชัด “นายชอบพี่ปราชญ์หรือ”

คนถูกถามถึงกับนิ่งไปทันตา “ชอบอะไร ทำไมถามอย่างนั้น”

“ต้นสน” ธันเรียกเสียงเรียบ “ตอบให้ตรงคำถามด้วย ฉันว่านายน่าจะเข้าใจในสิ่งที่ฉันจะถามนะ”

ชลันกัดฟันกรอด มือหนากำหมัดแน่นจนปวดไปหมด รู้สึกอึดอัดกับสถานการณ์นี้จนปากแทบไม่ขยับ

“ไม่บอกไม่เป็นไรนะ แต่ฉันจะบอกว่าเมื่อหลายวันก่อนฉันไปได้ยินนายคุยโทรศัพท์กับลุงสิงห์และลุงไฟ” ชายธันถอนหายใจ “ฉันไม่ได้จะแอบฟังหรอกนะ แต่พอดีได้ยินอะไรที่ไม่ควรได้ยินเข้าน่ะ”

“ฉัน...” ต้นสนยกมือกุมขมับ ใบหน้าถอดสี ก่อนจะนั่งลงยอง ๆ พร้อมกับไหล่ที่สั่นกระเพื่อมจนคนมองถึงกับตกใจ

“ต้นสน...”

“ขอโทษ..” น้ำเสียงนั้นทั้งสั่นแลดูเจ็บปวด

“จะขอโทษทำไม”

“ขอโทษ... ขอโทษที่ฉันคิดไม่ซื่อกับพี่ชายนาย ทั้ง ๆ ที่นายเป็นเพื่อนฉันแท้ ๆ แล้วก็ที่ฉันทำนิสัยแย่ ๆ ใส่พี่ปราชญ์ไป มันเพราะความไร้เหตุผลของตัวฉันเอง ขอร้องนะธันอย่าบอกพี่ปราชญ์เลยนะ” ดวงตาของต้นสนเริ่มแดงก่ำ นี่คงเป็นอีกครั้งในรอบหลายปีที่เขาร้องไห้อย่างหนักมาต่อเนื่อง ครั้งสมัยเด็กก็เพราะเรื่องพี่ปราชญ์ ตอนนี้ก็เรื่องพี่ปราชญ์อีกแล้ว

“นายไม่จำเป็นต้องขอโทษฉัน คนที่ควรขอโทษคือพี่ปราชญ์” ธันเอ่ยเสียงเบาเมื่อเห็นเพื่อนไม่พูดอะไรจึงตบหลังเป็นการปลอบ “ฉันเข้าใจนายแล้วต้นสนว่าทำไมนายถึงเป็นอย่างนี้ ฉันไม่ได้โกรธไม่ได้เกลียดอะไรนายเลย ฉันเข้าใจมันดี...”

นอกจากเสียงสะอึกสะอื้นแล้วต้นสนก็ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้อีก คงเพราะกลัวความลับที่เปิดเผยมานี้ กลัวว่าเพื่อนจะมองหน้ากันไม่ติดเพราะเขาดันไปชอบพี่ชายตนเองและกลัวว่าหากธันเอาไปบอกพี่ปราชญ์ มันจะยิ่งหนักเข้าไปอีก

ทั้งคู่นั่งกันอยู่ตรงนี้นานจนฟ้าเริ่มมืด ต้นสนหยุดร้องไปแล้วแต่ตายังคงแดง อีกคนที่นั่งข้างกายนั้นมองออกไปทางทะเลกว้างสุดลูกหูลูกตา ท้องฟ้าเป็นสีส้ม เสียงคลื่น เสียงลมลอยเข้าหูอยู่ตลอด

“นายทำให้ฉันไม่อยากพูดถึงเรื่องนั้นเลย” ธันเอ่ยขึ้น ว่าจะให้บทเรียนกลับสงสารขึ้นมาเสียอย่างนั้น อย่างน้อยคนข้าง ๆ นี่ก็เพื่อนล่ะนะ เพื่อนที่ยอมรับในตัวเขา เพื่อนที่เปิดใจให้ เพื่อนที่คอยเตือนสติแม้ว่าเขาจะทำนิสัยแย่ใส่มาโดยตลอด ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคนที่ทำให้เขามาอยู่จุดนี้ได้ก็คือต้นสน

“เรื่องอะไร” ชลันถามแม้ตาจะมองแต่ทะเลด้านหน้า “เรื่องคนรักของพี่ปราชญ์เหรอ... ไม่ต้องก็ได้นะ ถึงอยากจะรู้แต่ถ้านายพูดขึ้นมาฉันก็คงทนรับฟังไม่ได้อยู่ดี”

“เฮ้อ” กลายเป็นฝ่ายธันที่พูดอะไรไม่ออกบ้าง

“วันนี้ฉันจะคุยกับพี่ปราชญ์ ฉันจะโกหกว่าสิ่งที่ฉันเป็นนั้นเพราะน้อยใจว่าทำไมพี่ปราชญ์จำฉันไม่ได้ก็เท่านั้น ฉันจะกลับไปเป็นน้องชายที่ขี้เล่น เป็นน้องชายที่ไม่ได้คิดอะไรกับพี่ปราชญ์ กลับไปเป็นต้นสนคนเดิมที่เป็นเพียงแค่น้องชายเท่านั้น” เสียงของต้นสนแหบไปบ้างเพราะผ่านการร้องไห้มา ถึงอย่างนั้นก็ดูเจ็บปวดเป็นอย่างมากในเวลาที่เอื้อนเอ่ยในแต่ละคำออกมา

ชายธันมองสีหน้าด้านข้างของเพื่อน เห็นน้ำสีใสไหลลงมาทั้ง ๆ ที่ใบหน้านั้นเหม่อลอยเหมือนไม่รู้ว่าตัวเองน้ำตาไหลอยู่

“ขอโทษนะที่ไปย้ำเตือนบาดแผลในใจของนาย”

“ไม่เป็นไร มันก็ดีแล้วเพราะอย่างน้อยฉันก็ดีใจที่นายไม่ได้เกลียดฉัน”

ธันถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไรไม่รู้ของวัน หันมองไปทางท้องทะเล “ต้นสน”

“ว่า”

“ที่จริงแล้ว...” เหมือนมีอะไรมาจุกในลำคอ ได้แต่คิดว่าถ้าเกิดพูดออกไปแล้ว ต้นสนจะรู้สึกผิดมากกว่าเดิมหรือเปล่า

ชลันหันมองเพื่อนเมื่อเห็นสีหน้าหนักใจเลยตบเข่าเบา ๆ “บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร ถ้าจะพูดเรื่องคุณภวัตนั่นก็... ไม่ต้องพูดหรอก สองคนนี้คงรักกันมากสินะ หรือที่พี่ปราชญ์บอกจะย้ายมาทะเลเพราะจะมากับคุณภวัตหรือเปล่า” ปากยิ้มทว่าดวงตาคลอด้วยน้ำ

ยิ้มทั้งน้ำตาเป็นอย่างไรก็เพิ่งจะรู้วันนี้

“ฟังฉันนะ” ธันมองเพื่อนอย่างจริงจังก่อนจะยกมือขึ้นจับบ่า “พี่ปราชญ์น่ะ...”

 

 

“เลิกกับคุณภวัตแล้ว”





จบบทที่ ๑๓

----------------------------------------------------------------------

​​ขอโทษนะคะที่ไม่ได้อัพนานเลยเพราะติดขัดอะไรหลายอย่าง

ถ้าใครสงสัยเรื่องรูปที่พี่ปราชญ์ถ่ายกับต้นสนในวัยแบเบาะว่ามีตอนไหน

ตอนนั้นเป็นตอนพิเศษของเรื่องพ่ายโลกันตร์นะคะ บอกไว้สำหรับใครที่ไม่ได้อ่านเรื่องนั้นมาก่อน

ยังไงก็อย่าเพิ่งทิ้งกันไปไหนน้าาา ❤


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑๓
« ตอบ #49 เมื่อ: 31-07-2020 23:03:21 »





ออฟไลน์ weedear

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4
Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑๓
«ตอบ #50 เมื่อ02-08-2020 02:03:46 »

ไม่น่าหลงมาอ่านเลยยยย
รู้ไหมว่าอ่านตอนยังแต่งไม่จบมัน้คางขนาดไหน

ค่างตรงไหนไม่ค้างมาค้างตรงที่ต้นสนรู้
แล้วว่าพี่ปราชเต้าเป็นโสดแล้วว

โอ้แม้เจ้าชั้นจะหลับลงได้อย่างไร5555

รีบมาต่อเลยน้าาารออนู่จ้าาาา

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑๔
«ตอบ #51 เมื่อ10-08-2020 12:14:10 »


บทที่ ๑๔

ดวงดาวแห่งความหวัง


 

ตอนนี้มืดค่ำมากแล้วทุกคนพากันไปดื่มแถวบ้านใกล้ ๆ นี้ เห็นว่าทางผู้ใหญ่เขาชวน ยกเว้นปราชญ์และต้นสนที่ไม่ได้ไปด้วย และทั้งคู่กำลังนั่งอยู่กลางบ้านเงียบ ๆ ต้นสนบอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วยเลยคิดว่าคุยกันเสร็จแล้วจะตามไปทีหลัง

“ตกลงมีเรื่องอะไรจะคุยกับพี่หรือต้นสน” ปภารัชหันมาถามคนข้างกายที่นั่งเงียบมานานแล้วตั้งแต่คนอื่น ๆ ออกไป

พอตั้งสติได้แล้วต้นสนก็หันเข้าหาอีกคนและยกมือไหว้ทันที “ผมขอโทษครับ”

“เดี๋ยวสิ ขอโทษพี่ทำไม” ปราชญ์รีบประคองมือนั้นไว้อย่างงุนงง

“ผมรู้ตัวว่าที่ผ่านมาผมทำนิสัยแย่ ๆ อะไรใส่พี่ปราชญ์ไปบ้าง ผมขอยอมรับผิดและมันเป็นสิ่งที่ไม่น่าให้อภัย เพราะผมที่ไม่ยอมคุยกับพี่ปราชญ์ให้รู้เรื่องจนเราต้องมาเป็นกันอย่างนี้ สิ่งที่ผมทำนั้นมันทำให้พี่ปราชญ์เสียใจมากแค่ไหน ผมรู้ดี ผมขอโทษจริง ๆ ครับ” มือหนาไม่ยอมละออกนอกจากพนมไว้อย่างนั้นและก้มหัวไหว้

ปราชญ์เห็นอย่างนั้นจึงคลี่ยิ้มบางจับมือของน้องวางบนตักตนเอง “ไม่เป็นไร พี่ไม่ถือโทษโกรธอะไรหรอกนะ อีกอย่าง... พี่เป็นคนผิดไม่ใช่หรือ”

“ไม่ใช่!” ต้นสนรีบค้านก่อนจะมีสีหน้าอ่อนลง “พี่ปราชญ์ไม่ได้ผิดเลยสักนิด... ผมผิดเอง...” ต้นสนไม่ได้จะรีบบอกความจริง เพราะยังไม่มั่นใจ ถ้าถามว่าอยากจะเปิดเผยความรู้สึกไหม ก็คงต้องบอกว่าอยาก... เขาอยากจะเปลี่ยนตัวเองใหม่ แน่นอนว่าจะต้องน้อมรับสิ่งที่ผิดไปด้วย ไม่มีทางที่จะลืมความผิดนี้แม้เขาอยากจะเข้าหาพี่ปราชญ์ ที่ไม่ใช่แบบพี่น้องก็ตาม...

 

‘ฉันไม่รู้หรอกนะว่าพี่ปราชญ์คิดอย่างไรกับนาย แต่ถ้านายอยากจะเดินหน้าต่อ นายก็ต้องทำให้มั่นใจว่ามีหวังแล้วจริง ๆ’

‘ไม่ห้ามฉันหรือ’

‘ห้ามทำไมล่ะ จะได้พิสูจน์ไปด้วยเลย เพราะฉันคิดว่าพี่ปราชญ์ใส่ใจนายมากเกินไป ถ้าไม่ได้ห่วงในฐานะพี่ชาย นายก็อาจจะมีหวัง’

‘นายเปลี่ยนไปมากจริง ๆ นะธัน’

‘งั้นหรือ... พอโตขึ้นมาแล้วย้อนนึกถึงสมัยเด็ก พี่ปราชญ์ดีกับฉันเสมอ เตือนฉันหากทำไม่ดี ให้อภัยหากฉันยอมรับผิด วันที่ไปแถววังหลังแล้วพวกเด็กช่างตีกัน พี่ปราชญ์เข้ามาบังให้ฉัน เป็นพี่ชายที่พร้อมจะเสียสละตัวเอง ทั้ง ๆ ที่พวกนั้นมีปืน มีระเบิดที่อาจจะโดนลูกหลงเมื่อไรก็ได้ แต่พี่ปราชญ์ก็ยังห่วงฉันคนแรก เพราะอย่างนั้น... ถ้าเกิดครั้งนี้พี่ปราชญ์รักใครขึ้นมา ฉันก็ไม่อยากห้ามอีกแล้ว’

‘แล้วฉันก็รู้ ว่าหากนายกับพี่ปราชญ์คบกันแล้ว นายจะต้องเป็นคนรักที่ดีอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นไม่ห้ามน่ะดีแล้ว แต่ก็ไม่ได้ช่วยนะ นายควรทำด้วยตัวเอง’

‘อืม ฉันจะทำด้วยตัวเอง’


 

ชลันจุดยิ้มบางที่เพื่อนเขาพูดขึ้นมาอย่างนั้น พูดไปถึงเรื่องรักยังไม่รู้เลยว่ามีหวังหรือเปล่า แต่ถึงอย่างนั้นก็รู้สึกดีที่มีเพื่อนอยู่ข้างกาย เขาคาดหวัง ทว่า ก็ไม่ได้อยากจะทำให้มันรวดเร็วหรือต้องรักนะถึงจะยอมรับ... เขายอมรับได้หากพี่ปราชญ์ไม่ได้รักเขาจริง ๆ ยอมรับและถอยออกไปเอง

“ผมมีเรื่องที่บอกไม่ได้ตอนนี้ แต่ภายภาคหน้าอาจจะพูดได้หากตอนนั้นสมควรพูดนะครับ” เมื่อเห็นคนตรงหน้าไม่เข้าใจจึงปล่อยไว้อย่างนั้นแล้วพูดเรื่องอื่นต่อ “เรื่องที่พี่ปราชญ์กลับมาผมน้อยใจที่พี่ปราชญ์จำผมไม่ได้”

“โธ่” ปราชญ์ถอนหายใจพลางยกมือเกลี่ยแก้ม “พี่ขอโทษครับ เราโตขึ้นมากขนาดนี้ พี่ไม่เคยเห็นรูปต้นสนตอนโตเลยด้วยซ้ำ ก็เลยจำไม่ได้”

ต้นสนไม่ได้โกรธ ตอนนั้นน้อยใจจริงแต่มันก็เกี่ยวกับที่ตนเองไม่ได้ตอบจดหมายและไม่เคยส่งรูปไปให้ดู รวมถึงพ่วงเรื่องอื่นด้วย “ผมเองก็น้อยใจเกินตัว วันที่ไม่ได้ส่งจดหมายไปนั้น เป็นเพราะผมน้อยใจเรื่องพี่ปราชญ์มีคนรักแล้ว”

ปภารัชเบิกตาเล็กน้อย “ทำไมล่ะ”

“ผมแค่รู้สึก หวง คนที่เปรียบเสมือนพี่ชายของผมน่ะครับ” ดวงตาสีนิลสบเข้ากับอีกฝ่าย สะท้อนความรู้สึกออกมา ที่ต่างจากสิ่งที่พูด หวงพี่ชายหรือ? เปล่าเลย หวงคนที่เขารักต่างหาก

คนถูกจดจ้องหลบตาไปครู่มือผละออกจากแก้มสากมาวางบนตักอย่างเดิม “หวงพี่ชายหรือ...”

“ครับ” ต้นสนตอบเสียงเบาแล้วขอวิสาสะกอบกุมใบหน้าอีกฝ่ายให้จ้องมาที่ตน “ผมหวงพี่ปราชญ์”

ดวงใจของปราชญ์เต้นแรงมันดังก้องอยู่ในหู พอ ๆ กับคำว่าหวงที่พ่นออกมาจากปากของคนตรงหน้า สายตาที่จดจ้องกันมันช่างดูลุ่มลึกและมีนัยบางอย่างที่ปราชญ์ไม่สามารถอธิบายได้ มือของต้นสนที่ทาบแก้มเขานั้นร้อนขึ้นมา

“หวงในฐานะน้องชายหรือ”

ต้นสนไม่ได้ตอบคำถามนั้น ตนผละมือออกแล้วกุมมืออีกฝ่ายแทน “มันคงไร้เหตุผลมากและผมคิดว่าการที่ผมทำตัวหมางเมิน ไม่สนใจ แบบนั้นมันไม่สมควรจริง ๆ ผมไม่ได้ขอให้พี่ปราชญ์ยกโทษให้ผมแต่ขอร้องอย่างหนึ่ง... ให้ผมได้ชดใช้ความผิดด้วยเถอะครับ”

“ไม่ถึงกับต้องทำอย่างนั้นก็ได้”

“ไม่ได้ครับ ต่อไปนี้ให้ผมได้ดูแลพี่ปราชญ์เถอะนะครับ”

ดูแลหรือ... คำมันออกจะแปลก ๆ ไปหน่อย ปราชญ์ทำตัวไม่ถูก ใบหน้าเห่อร้อนขึ้นมาคงเพราะแดดร้อนแน่ ๆ เลย “ก็ได้”

แต่ตอนนี้มันหัวค่ำแล้วนี่นะ...

“ขอบคุณนะครับ” ต้นสนยิ้มกว้างเป็นยิ้มที่ออกมาจากใจจริง จนคนมองอดยิ้มตามไม่ได้ รอยยิ้มที่ปราชญ์อยากเห็นมาโดยตลอด

“ยิ้มให้พี่สักทีนะ” ไม่ว่าเปล่ายังยกมือกุมแก้มทั้งสองข้าง “พี่อยากเห็นต้นสนยิ้มให้พี่มานานแล้วนะรู้ไหม”

พอได้ยินอย่างนั้นต้นสนก็รู้สึกผิด “ขอโทษครับ”

“ตอนนี้พี่โล่งใจแล้ว ขอบคุณที่บอกความจริงกับพี่นะ ตอนนี้รู้สึกโล่งอย่างบอกไม่ถูกเลย”

ดวงตาเรียวหยีลง “ผมก็โล่งใจครับ ดีใจที่ตัวเองสำนึกผิดและมาขอโทษพี่ปราชญ์”

“ฮึ เจ้าเด็กน้อย” เพราะความมันเขี้ยวเลยหยิกแก้มไปทีแต่ก็ไม่แรงมากนัก แต่ไอคนโดนดันร้องโอดโอยเหมือนเจ็บเสียเต็มประดา

“เจ็บ ๆ โอ๊ยยย เจ็บจังเลย”

ปราชญ์ขมวดคิ้วพลางหัวเราะ “หยิกไม่ได้แรงเลย”

“แรงจะตาย เนี่ย ๆ ดูสิแก้มแดงหมด” ต้นสนชี้แก้มให้ดู

คนพี่ส่ายหัวแต่ก็ยอมยื่นหน้าเข้าไปใกล้แล้วเป่าลมใส่แก้ม “เพี้ยง หายแล้ว”

ต้นสนนิ่งค้างไปทันตา ลมอุ่นยังตราตรึงอยู่ที่ข้างแก้ม ถึงจะเป็นเพียงแค่ลมปากไม่ได้แตะแนบเนื้อแต่นั่นก็ทำเขาไปต่อไม่ถูก คราวนี้แก้มแดงของจริงละว้าไอต้นสนเอ๊ย

พอรู้ว่าตัวเองทำอะไรไปปราชญ์จึงตกใจไม่แพ้กัน ใบหูร้อนขึ้นมา “สงสัยนึกถึงสมัยเด็ก พี่มักจะเป่าแผลให้ต้นสนนี่เนอะ”

ชลันพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะยิ้มออกมา “ดีแล้วครับ มันทำให้รู้ว่าตอนนี้เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมกันได้แล้ว”

“นั่นสินะ” ปราชญ์คลี่ยิ้ม “พี่กอดได้ไหม”

“ได้ครับ” ตอบรับทันทีไม่นึกใดใดทั้งสิ้น

ปราชญ์จึงสวมกอดน้องเอาคางเกยบนไหล่พร้อมตบหลังปุ ๆ “พี่ดีใจนะที่เรากลับมาคุยกันได้แล้ว แล้วก็ดีใจที่ได้พบกันอีก พี่คิดถึงต้นสนมากเลยนะ”

“ผมก็คิดถึงพี่ปราชญ์ครับ อ้อ... ยินดีต้อนรับกลับนะครับ”

“ฮ่า ๆ ไม่ลืมเสียด้วย”

“ขอโทษนะครับที่หลายวันผ่านมาพูดจาแย่ ๆ ใส่ตลอดเลย”

เขาผละกอดทันที “เด็กดี เลิกขอโทษพี่ได้แล้วครับ”

“แต่—”

“ต้นสนบอกเองว่าจะไถ่โทษโดยการ...ดูแล เพราะฉะนั้นเลิกขอโทษพี่ได้แล้ว”

“เข้าใจแล้วครับ”

“งั้นเราไปหาคนอื่น ๆ กันเถอะ ป่านนี้คงรอกันนานแล้ว”

ต้นสนพยักหน้าและลุกออกไปกับคนข้างกายเมื่อพูดคุยไขข้อข้องใจกันแล้วเรียบร้อย ทั้งคู่เดินคุยกันไปเรื่อย ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสจนคนที่มองอยู่ถึงกับตกใจ

“ไปดีกันเมื่อไรน่ะ” ชายกรณ์กระซิบน้องชาย

“ก็คงจะคุยก่อนจะออกมาหาเราน่ะครับ”

ชายกรณ์พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ แต่นั่นก็ดีแล้ว

“พี่ปราชญ์ ไอ้ต้นสนมาเร็ว ๆ” ศศิกวักมือเรียก พอทั้งคู่เข้าร่วมวงก็แนะนำผู้ใหญ่ให้

ปราชญ์นั่งข้างกับต้นสนที่คอยถามว่าดื่มได้ไหม ดื่มไหวหรือเปล่าด้วยความเป็นห่วง

“พอได้ครับ แต่คงดื่มไม่มาก”

ชลันพยักหน้าแล้วจัดการให้เสร็จสรรพโดยที่ปราชญ์ไม่ต้องขยับตัวเลยสักนิด ชายธันไม่รู้จะขำหรือหมั่นไส้เพื่อนก่อนดี ร้องไห้ฟูมฟายอยู่คนเดียว ตัดพ้อเรื่องคนรักเขา พอรู้แล้วเปลี่ยนไปทันตา นึกแล้วก็ส่ายหน้าพลางยิ้มไปด้วย

“ใครมีเมียแล้วบ้าง” เหนือที่เมากริ่ม ๆ ตะโกนถามกลางวงเลยโดนศศิโบกหัวไปที

“ถามห่าอะไรของมึง”

“ถามจริง ๆ” เหนือว่าแต่ก็ไม่มีใครเปิดเผยตัวมันเลยร้องเฮเสียงดัง “ดีแล้ว เพราะว่า... เห็นสาว ๆ เชิญชวนทางสายตามาจากร้านนู้น” ชี้ไปทางบาร์ใกล้ ๆ ที่สาวนับสามสี่คนมองมาทางนี้ “จะได้ไม่ต้องมาพะวงว่าใครแอบหนีเมียมา ฮ่า ๆ”

ทุกคนต่างส่ายหัวแต่ก็นั่นแหละ... โทนเข้าร่วมวงเลยทันที

“ไปเร็วครับพี่ปราชญ์ พี่กรณ์” เหนือชวนทั้งสอง แต่ดูว่าชายกรณ์จะสนใจเหมือนกัน

“ป้องกันด้วยนะ” ปราชญ์เตือนน้องทั้งหลายทุกคนก็ตอบรับทันที “ที่ไทยนี่มีถุงยางอนามัยหรือยัง”

“มีแล้วนะครับ เมื่อปีที่แล้วก็ได้มีนโยบายควบคุมจำนวนประชากรเลยมีอนามัย คลินิกรวมถึงโรงพยาบาลต่าง ๆ ที่แจกจ่ายถุงยาง และเริ่มดำเนินเรื่องผลิตยาคุมกำเนิดที่ไทยแล้ว” ศศิตอบให้แทน

“อืม ดีแล้ว เพราะถ้าแค่อยากปลดปล่อยอารมณ์ก็ไม่ควรไปฝากอย่างอื่นใส่ผู้หญิง เพราะไม่ใช่แค่คนที่ถูกกระทำจะต้องคุมเองแต่คนที่ทำก็ควรมีความรับผิดชอบ”

“เข้าใจแล้วครับ” สามหน่อต่างตอบรับ ศศิเลยบอกว่ามีถุงยางขายอยู่ที่บาร์เหมือนกัน ทั้งสามเลยเดินออกไปด้วยกัน

“พี่ชายกรณ์น่าจะเครียดสะสมนะครับถึงออกไปด้วย” ชายธันมองพี่คนกลางที่เดินออกไปกับเพื่อนตนเอง

“นั่นสิ ไม่รู้ว่าเครียดอะไร จะเป็นเรื่องงานหรือเปล่านะ” ปราชญ์ขมวดคิ้วก่อนจะกลับมาสนใจคนที่ยังอยู่ตรงนี้ต่อ “แล้วสามคนเราไม่ออกไปด้วยเหรอ”

“พรุ่งนี้ต้องพาทัวร์ผมเลยดื่มก็พอ”

“ไม่เป็นไรนะ แค่มาพักอยู่ด้วยก็เกรงใจจะแย่แล้ว”

“ผมไม่ค่อยสนอยู่แล้วครับพี่ปราชญ์ คือพอดี... มีสาวถูกใจอยู่แล้ว” ศศิป้องปากพลางชี้ไปทางลูกของผู้ใหญ่ที่แกชวนมาดื่ม แต่ตอนนี้แกเข้านอนไปแล้ว ส่วนลูกสาวกำลังนั่งทำงานตัวเองอยู่ใต้ถุนบ้าน ตรงที่พวกเรานั่งนั้นห่างออกมาเยอะเลยไม่ห่วงว่าจะกวนบ้านนั้น

“ไม่เห็นบอกเลยนะไอศศิ” ต้นสนว่าพลางยิ้ม

“โธ่ ของแบบนี้เขารอบอกตอนได้คบแล้วเว้ย”

ชายธันส่ายหน้า “แน่หรือ มัวแต่มองเขาอยู่ตรงนี้ไม่เห็นไปพูดไปคุยเลย”

“เอ้า ไม่คุยกันวันนี้ก็ไม่ได้แปลว่าวันอื่นไม่ได้คุยหรือเปล่าวะ” ศศิว่าพลางกระดกเหล้า ส่วนเพื่อนทั้งสองต่างโห่ใส่แล้ว “ว่าแต่พวกมึงสองคนเถอะ ไม่สนหรือไง”

“ฉันไม่สนอยู่แล้ว” ชายธันยักไหล่

“กู...” ต้นสนอ้ำอึ้ง ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี “กูมีคนที่กูชอบแล้วเหมือนกัน”

ศศิตบเข่าฉาด “บร๊ะ! ใครวะ”

“ไม่บอกหรอกเว้ย” ชลันดื่มเหล้าเป็นการหลีกหนี

“ใช่เพื่อนของฟ้าใสหรือเปล่า” เสียงหนึ่งถามขึ้นต้นสนรีบหันมองคนข้างกายทันที ไม่รู้ว่าพี่ปราชญ์คิดอย่างไรเพราะเดาสีหน้าไม่ออก มันก็เหมือนถามอย่างปกติดี แต่ถึงอย่างนั้นพี่ปราชญ์ก็รู้เรื่องของเขากับเพียงขวัญ

“ไม่ใช่ครับ ผมเห็นเธอเป็นน้องสาวคนหนึ่งแล้วเราก็คุยกันเรื่องนี้นานแล้วด้วย” ต้นสนตอบพลางยิ้ม

“งั้นหรือแล้วใครล่ะที่ต้นสนชอบ”

สายตาของคนถูกถามล่อกแล่กไปมา ไอศศิก็จ้องจนจะแดกหัวเขาอยู่แล้ว ธันมันก็แอบขำเขาที่พูดไม่ออก “เอ่อ...” ต้นสนคิ้วมุ่นทำหน้านึกไปด้วย ไม่ได้บอกแต่เกริ่นให้รู้ตัวจะดีหรือเปล่านะ... แต่มันก็ดูรีบเกินไปอีก

“ถ้าไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร—” ยังไม่ทันที่ปราชญ์จะพูดจบต้นสนก็โพล่งออกมาทันที

“ผมชอบพี่...” ต้นสนรีบตอบอย่างตกใจก่อนจะเอามือปิดปากตัวเอง

“พี่? เขาอายุมากกว่ามึงเหรอ” ศศิขมวดคิ้ว

ต้นสนกลืนน้ำลาย “เออ... เขาอายุมากกว่า ตอบแค่นี้นะ”

“โห่ไรวะ” ศศิส่ายหน้าแต่ก็ไม่คาดคั้นอีกก่อนจะเปลี่ยนไปเรื่องอื่นแทน “ไอต้นสนไปซื้อกับแกล้มกัน”

“เอ้า มึงไม่ไปเองอะ”

“โธ่ไอห่า น้ำใจน่ะ กูถือมาคนเดียวไหวมั้ง”

ได้ยินอย่างนั้นต้นสนก็หัวเราะ “เออ ๆ พี่ปราชญ์เอาอะไรไหมครับ”

“ไม่เอาครับ”

“ไม่ถามฉันบ้างเหรอ”

ต้นสนเงยหน้ามองใครอีกคนก่อนจะแกล้งทำเป็นยักไหล่แต่ก็บอกเดี๋ยวซื้อของมาให้แล้วก็เดินออกไป ชายธันเลยส่ายหัวใส่อีกระลอก ที่ตรงนี้เลยอยู่กันเพียงแค่สองคนพี่น้อง

สบโอกาสสงสัยที่ปราชญ์อยากรู้เรื่องของต้นสนขึ้นมาพอดี “ชายธันรู้หรือเปล่าว่าคนที่ต้นสนชอบคือใคร”

คนถูกถามขมวดคิ้ว “พี่ชายใหญ่จะอยากรู้ไปทำไมหรือครับ”

ปราชญ์ถอนหายใจ “ก็ไม่มีอะไรหรอก”

“ไม่ลองถามดูล่ะครับ”

“กลัวจะหาว่ายุ่งเรื่องส่วนตัวน่ะสิ”

“พี่ชายใหญ่ดูสนใจเรื่องนี้มากเลยนะครับ” ชายธันหรี่ตา

“เหรอ... พี่ดูเป็นคนอย่างนั้นหรือ”

“แล้วพี่ชายใหญ่คิดว่าต้นสนจะชอบใครหรือครับ คนที่อายุมากกว่าคนนั้นพี่ชายใหญ่คิดว่าเป็นใคร”

ปภารัชเม้มปาก ก่อนจะนึกถึงใครคนหนึ่งที่ต้นสนเขียนจดหมายเล่าชื่อนี้ให้ฟังอยู่บ่อย ๆ “คนชื่อแก้วหรือเปล่านะ”

“แก้ว?”

“แต่ก่อนที่ต้นสนเขียนจดหมายส่งมาให้ มักจะมีชื่อคนชื่อแก้วมาด้วยน่ะ คงจะสำคัญกับต้นสนเหมือนกัน”

ชายธันพยักหน้าพลางลูบคาง “ก็น่าจะเป็นไปได้นะครับ อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ต้นสนยังเด็ก คงรับรู้อะไรมาเยอะเหมือนกัน”

“นั่นสินะ” ปราชญ์ยิ้มฝืนพลางหลุบตาลง มันอาจจะดูไม่ดีแต่เขากำลังรู้สึกอิจฉา... ที่ตนเองไม่ได้ยืนอยู่จุดนั้นข้างต้นสน

และนั่นก็ทำให้ชายธันสังเกตพฤติกรรมของพี่ชายตนเองได้ว่ามันแปลก ๆ ก็ไม่อยากจะคิดเข้าข้างเพื่อนหรอกนะ แต่ดูพี่เขาในตอนนี้สิ...

ใบหน้านั้นที่ดูเศร้าลงน่ะ จะให้คิดเป็นอย่างอื่นได้หรือ

“พี่ชายใหญ่ดูไม่ค่อยจะดีใจเลยนะครับที่ต้นสนมีคนที่ชอบแล้ว”

ปภารัชเบิกตาก่อนจะรีบส่ายหน้า “เปล่าเลย พี่แค่...” แค่อะไรล่ะแม้แต่คนพูดก็ยังไม่รู้เลยว่าจะพูดอะไร เขาก็ดีใจ... หรือเปล่านะ ถ้าดีใจด้วยคงจะไม่คิดมากอะไรอย่างนี้ เขาคงหวง ที่หวงไม่ใช่เพราะฐานะพี่น้องอย่างที่ต้นสนเคยนึกหวงเขากับภวัต

เพราะเขาทั้งหึงและหวงเด็กคนนี้

ชายธันก็ตกใจไม่น้อยที่มีแววว่าพี่ของตนจะคิดไปไกลอื่น นี่อย่าบอกนะว่าต่างคนต่างชื่นชอบกันและกันแต่ดันเข้าใจผิดว่าชอบคนอื่น ต้นสนคิดว่าพี่ปราชญ์ยังคบกับคุณภวัตส่วนพี่ปราชญ์ก็คิดว่าต้นสนชอบคนอื่นและคงไม่มีวันจะเป็นตัวเองอย่างนั้นหรือ...

คิดได้อย่างนั้นชายธันก็นวดขมับทันที ไม่แปลกเลยที่เป็นกันอย่างนี้ ก็คิดเองเออเองกันเก่งเพียงนี้

สองคนนี้นี่มันยังไงนะ

และชายธันก็ไม่คิดว่าตนเองจะมารับรู้อะไรอย่างนี้คนเดียว เปลี่ยนเป็นต้นสนมานั่งตรงนี้ได้ไหมนะ จะได้คุยกันให้จบเสียเลย

“เฮ้อ” ถอนหายใจไปทีและนั่นก็ทำปราชญ์สะดุ้งเล็กน้อย “พี่ชายใหญ่ครับ... ผมถามจริง ๆ นะ”

ปภารัชหน้าเสียอย่างเห็นได้ชัด ชายธันเลยถอนหายใจอีกรอบถึงจะถามต่อ “พี่ปราชญ์รู้สึกอย่างไรกับต้นสน”

“พี่...”

“พี่ชายใหญ่” ชายธันวางมือบนบ่าพี่ชาย “ไม่เป็นไรครับ ผมรับได้”

ปราชญ์พยักหน้าแต่ถึงอย่างนั้นก็อ้ำอึ้งไม่สามารถพูดออกมาได้ แต่นั่นก็ทำให้ชายธันรู้โดยไม่ต้องพูดได้แล้ว

“ไม่เป็นไรครับ ถ้าไม่อยากพูดผมก็ไม่ว่าหรอก” ว่าแล้วก็ตบหลังมือพี่ชายเบา ๆ “ไม่ต้องกลัวหรอกนะ ผมอยู่ข้างพี่ชายใหญ่เสมอ ไม่ว่าพี่ชายใหญ่จะรักหรือชอบใครขอแค่คนนั้นดีกับพี่ผมก็ไม่ห่วงอะไรแล้ว”

“สมกับเป็นชายธันเลยนะ ที่มองคนเก่ง” ว่าแล้วก็ถอนหายใจ “ไม่ต้องพูดก็รู้แล้วใช่ไหม”

“ครับ ผมรู้แล้ว” ชายธันพยักหน้าพร้อมยิ้ม บอกแล้วว่าจะไม่ช่วย ถือว่าต้นสนมีโอกาสแล้วจริง ๆ ต่อไปนี้ก็อยู่ที่ต้นสนแล้วล่ะว่าจะทำอย่างไรต่อ “พี่ชายใหญ่”

“หื้อ?”

“คนที่ต้นสนชอบน่ะไม่ใช่คนชื่อแก้วหรอกนะ” ชายธันยิ้มบาง “บอกได้แค่ว่าคนคนนั้นเป็นผู้ชาย”

ปราชญ์ตกใจไม่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็หมองลงอีกรอบ “คุณแก้วเองก็เป็นผู้ชาย”

“หรือครับ แต่ก็ไม่ใช่คนชื่อแก้วหรอกนะ”

“ชายธันพูดเหมือนรู้เลย”

“รู้สิครับ ต้นสนบอกผมเอง”

“อย่างนั้นหรือ”

เห็นอย่างนั้นชายธันก็ส่ายหน้าที่พี่ตนเองไม่ได้คิดว่าต้นสนชอบตัวเองเลยสักนิด เศษเสี้ยวความหวังก็ไม่มีเลยงั้นหรือ ขนาดบอกใบ้ขนาดนี้ว่าเป็นผู้ชายก็ยังไม่คิดว่าเป็นตัวเองอีก เห็นเพื่อนคิดเองเก่งแล้ว พี่ปราชญ์ใช่ย่อยเสียที่ไหน

จะไม่ช่วยเพราะเป็นเรื่องของคนสองคนแต่จะช่วยก็เพราะแบบนี้ล่ะหนา

“พี่ปราชญ์”

“ว่าไง”

“ผมไม่ได้เรียกครับ แค่บอกชื่อ”

ปภารัชถึงกับขมวดคิ้ว “บอกชื่ออะไร แล้วบอกชื่อของพี่ทำไมกันน่ะ”

“ก่อนหน้านี้เราพูดถึงเรื่องอะไรล่ะครับ”

“คนที่ต้นสนชอบ”

“ครับ ผมก็แค่พูดชื่อเพราะผมรู้” ชายธันว่าอย่างนั้นก่อนจะดื่มอีกแก้วพลันเห็นรถมอเตอร์ไซค์ขี่เข้ามาพร้อมเพื่อนอีกสองคน “ผมเหนียวตัวแล้ว ยังไงก็ขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะครับ ฝากบอกพวกมันด้วย”

“เดี๋ยวสิชายธัน” ปราชญ์รีบเรียกน้อง ใจเขาเต้นระรัว ไม่คาดคิดและก็ไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองเลย...

“อ่าว ธันไปไหนหรือครับ” ศศิถามถึงเพื่อน

“ไปอาบน้ำน่ะ เดี๋ยวก็คงมา” ปภารัชตอบเสียงเบา ก่อนจะกลั้นหายใจตอนที่ใครบางคนนั่งลงข้างกาย

“ผมซื้อขนมมาฝาก” ต้นสนคลี่ถุงออก

ปราชญ์ไม่รู้จะตอบอะไรเพราะตอนนี้รู้สึกร้อน ๆ อย่างบอกไม่ถูก ไม่กล้ามองหน้าต้นสนเลยด้วยซ้ำ

“เดี๋ยวขอแวะไปคุยกับน้องเขาก่อน” ศศิว่าแล้วเดินไปทางใต้ถุนบ้านใกล้ ๆ

“แหม ก็ว่าซื้ออะไรมาซะเยอะ” ต้นสนขำเพื่อนก่อนจะแกะกับแกล้มมากินพลางมองคนข้างกายที่เงียบและไม่ขยับเขยื้อนเลย “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

ในตอนที่ต้นสนก้มหน้ามามอง ตาจึงอดสบกันไม่ได้ ปภารัชหายใจติดขัด “เปล่าครับ”

“แน่หรือครับ” ต้นสนขมวดคิ้วแล้ววางมืออิงหน้าผากจนปราชญ์สะดุ้งนิ่งค้างไปอย่างนั้น “ตัวร้อน ๆ นะครับ งั้นเลิกดื่มแล้วไปอาบน้ำนอนไหมครับ เดี๋ยวผมถามศศิว่ายาอยู่ไหนจะเอามาให้”

ที่ตัวร้อนมันไม่ใช่เพราะไม่สบายหรอก... ปราชญ์คิดในใจแต่นั่นก็ทำตนเองเสียอาการได้แต่พยักหน้าตอบรับอย่างเดียว

“เดี๋ยวผมไปส่ง รอผมนะเดี๋ยวผมถามไอศศิก่อน”

แม้แต่เสียงที่จะเอื้อนเอ่ยก็ไม่มี ปราชญ์เลยได้แต่นั่งอ้าปากพะงาบ ๆ ปล่อยให้ต้นสนจัดการ

“ไปครับ เดี๋ยวไปส่งแล้วจะเอายาให้” ต้นสนคลี่ยิ้ม

ปราชญ์ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมน้องแล้วเดินออกไปพร้อมกัน ดวงใจเขายังเต้นไม่หายเลย

“ดาวสวยเสียจริง” ชลันเงยหน้ามอง ก่อนจะหันมองคนข้างกาย “พี่ปราชญ์ว่าดาวสวยไหมครับ”

ปภารัชหลบสายโดยการผันมองท้องฟ้าแทน “อือ สวยดี”

“นานแล้วนะที่ไม่ได้มามองดาวอย่างนี้” ต้นสนยิ้มกว้าง “ดีใจนะครับที่คนดูดาวข้างผมเป็นพี่ปราชญ์”

หากบอกว่าดวงจันทร์ในตอนนี้คือพระอาทิตย์ ปราชญ์ก็จะเชื่อทันที ต้องขอบคุณที่ระหว่างทางนี้ไม่มีแสงไฟจึงทำให้ต้นสนไม่เห็นว่าใบหน้าของเขาแดงขนาดไหน เสียงคลื่นทะเลที่ซัดเข้าฝั่งพร้อมกับเสียงลมทำให้บรรยากาศมันราวกับกำลังยืนเคียงข้างคู่รักที่เดินอยู่บนผืนทราย ทำไมปราชญ์ไม่สังเกตนะว่าคำพูดแปลก ๆ นั้นมันมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่

ตอนนี้ก็หมายความว่าต้นสนกำลังจีบเขาอยู่สินะ

“ต้นสน” ปราชญ์หยุดเดินแล้วยืนหันหน้าเข้าหา อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

“ครับ?”

“พี่ก็ดีใจที่คนยืนดูดาวข้างพี่เป็นต้นสน” ปภารัชสบเข้ากับดวงตาของอีกฝ่าย แสงจันทร์ยังพอช่วยให้เห็นหน้าบ้าง ยิ่งพอมายืนอยู่อย่างนี้ก็ต้องบอกว่าต่างคนต่างเห็นใบหน้ากันชัดเจน

ชลันกัดปากกลั้นยิ้ม เกาแก้มแก้เขิน “หรือครับ”

ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรกันมากกว่านั้นนอกจากยืนมองหน้ากัน พอมาคิดดูแล้ว... เขาเคยจะจูบต้นสนนี่นะ เขาดันคิดไปเองว่าต้นสนคงไม่ชอบหรือรังเกียจกัน พอมาตอนนี้กลับอดคิดไม่ได้ว่าตอนนั้นต้นสนก็คงกำลังรู้สึกผิดต่อคนรักเก่าของเขาและหักห้ามใจอยู่ก็เป็นได้

ว่าแต่ต้นสนรู้หรือยังว่าเขากับภวัตเลิกกันแล้ว...

“นี่ต้นสน”

“ครับ”

“คือพี่ไม่ได้บอกเลย เรื่องคนรักเก่าพี่...”

ต้นสนพอจะรู้ว่าพูดอะไรก็ยิ้มบาง “ธันบอกผมแล้วล่ะครับ แล้วก็เล่าให้ฟังหมดแล้วว่าเป็นเพราะอะไรทำไมถึงเลิกกัน”

ปราชญ์นึกถึงน้องชายก็ได้แต่ยิ้มกับตัวเอง นี่ชายธันรู้ขนาดไหนกันนะ หรือรู้มานานแล้วหรือเปล่า ถ้าอย่างนั้นที่บอกใบ้เขาเรื่องคนที่ต้นสนชอบเพราะกำลังช่วยพวกเขาอยู่อย่างนั้นหรือ

ปิดบังอะไรชายธันไม่ได้จริง ๆ เลยนะ

“ถ้าอย่างนั้นก็รู้แล้วใช่ไหมว่าตอนนี้พี่ไม่มีใคร”

ต้นสนนึกแล้วพยักหน้า “ครับ รู้แล้ว”

“อืม” ปราชญ์พยักหน้าพลางกลั้นยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าน้องที่ไม่ได้เอะใจอะไรเลยสักอย่าง “พี่ว่าดวงใจพี่ก็ว่างอยู่นะ กำลังรอใครมาได้ไป” ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ต้นสนก็เข้ามาอยู่เต็มหัวใจแล้ว...

ชลันเบิกตา ลุกลี้ลุกลนอย่างเห็นได้ชัด “ผม ๆ... คือผม”

ปภารัชก้มหน้าขำก่อนจะเงยหน้าทำเป็นไม่รู้อะไร “เฮ้อ ง่วงแล้วด้วย บอกพี่มาก็ได้นะว่ายาอยู่ไหนพี่จะได้ไปเอา ส่วนต้นสนก็ไปดื่มต่อเถอะ”

ต้นสนกะพริบตา ประมวลผลไม่ทัน “อ้อครับ เอ่อ...อยู่ในลิ้นชักห้องมันน่ะครับ”

“ขอบคุณครับ แล้วก็อย่าดื่มหนักมากนะเดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นไม่ไหว” ปราชญ์ยิ้มตาหยีแล้วเดินออกไปปล่อยให้ต้นสนยืนขบคิดอยู่คนเดียว

“ครับ” ต้นสนตอบเสียงเบาแม้อีกฝ่ายจะเดินออกไปไกลแล้ว ยืนนิ่งพร้อมกับเสียงลมที่พัดหวิว

หัวใจยังว่าง กำลังรอใครมาได้ไปอย่างนั้นหรือ....

ชลันกลืนน้ำลายก่อนจะเผยยิ้มออกมา เขานี่ล่ะจะทำให้ได้มาเอง




จบบทที่ ๑๔

------------------------------------------------------------------------------------------

ปี ๒๕๑๔ ได้มีนโยบายควบคุมประชากรขึ้นมาจริงๆค่ะ แล้วก็อีกเรื่องคือยังมีคำผิด เนื้อหาไม่โอเคบางส่วนถ้าว่างๆจะมาแก้ให้นะคะ


ออฟไลน์ weedear

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4
Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑๔
«ตอบ #52 เมื่อ10-08-2020 13:28:16 »

น่ารักกันจังเลยน้าาา

ออฟไลน์ ปาลี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑๔
«ตอบ #53 เมื่อ28-08-2020 20:45:09 »

ตามมาจากเรื่องที่แล้ว  ชอบปราชญ์กับต้นสนในตอนเด็กมาก คิดว่าเหมาะที่จะเป็นคู่นี้ แต่พอโตเริ่มไม่ชอบปราชญ์แล้ว เหมือนความรู้สึกตอนเด็กไม่มีจริง แถมเรื่องที่หมดรักภวัตได้ง่าย ๆ แล้วก็ทิ้งอีก โลเลมาก สงสารภวัต ไม่อยากให้ปราชญ์คู่กับต้นสนเลย ต้นสนคู่กับธัน ยังจะดีกว่า ตอนนี้คือไม่ชอบปราชญ์แบบจริงจัง

ออฟไลน์ weedear

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4
Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑๔
«ตอบ #54 เมื่อ29-08-2020 22:41:43 »

รีบมาต่อได้แล้วน้าาาา

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑๔
«ตอบ #55 เมื่อ15-09-2020 20:28:20 »

รวดเดียวจบ ตามด้วยคน

ออฟไลน์ weedear

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4
Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑๔
«ตอบ #56 เมื่อ04-10-2020 13:21:29 »

 :mew1:

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0

บทที่ ๑๕

บรรยากาศแสนหวาน

 

 

เช้าของวันใหม่มาถึง ปราชญ์และชายธันตื่นก่อนใครเพราะเข้านอนเร็ว ตามด้วยต้นสนและศศิ ทั้งสี่เลยพากันไปทำบุญก่อนจะกลับมาปลุกคนที่เหลือให้อาบน้ำอาบท่า เห็นว่าออกเรือไม่ได้เลยอดไปภูเก็ต ศศิเลยจะพาเข้าเที่ยวภายในพังงาแทน

“หิวหรือยังครับ” ต้นสนถามคนข้างกายที่เพิ่งจะกรวดน้ำใส่ต้นไม้เสร็จ

“เริ่มหิวแล้วแต่รอคนอื่น ๆ ก่อน”

“หิวก็ไปทานก่อนก็ได้นะครับ เดี๋ยวผมไปด้วย”

ปราชญ์นึกคิดก่อนจะส่ายหน้า “ไม่ได้หรอก มาด้วยกันแล้วก็ต้องทานด้วยกันสิ”

คนชักชวนก็ไม่ยื้ออะไรมากไปกว่านี้ จะให้บอกว่าอยากทานอาหารเช้าด้วยกันแค่สองคนอย่างนั้นหรือ… เขายังไม่มีความกล้ามากขนาดนั้น

“เสร็จกันหมดหรือยัง” ชายธันเดินออกมาถามเพราะพี่กรณ์แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว

“เออ ๆ” เหนือตะโกนพลางเดินออกมาพร้อมกับหวีผมไปด้วย

“แต่งหล่อเชียวมึง” โทนที่เดินออกมาตามทักเพื่อนข้างกาย

“แน่น๊อน เออใช่... สาว ๆ เมื่อคืนจะมาเที่ยวด้วยนะ”

“อ่าว ไม่บอกตั้งแต่แรก” ศศิบ่นเพื่อน

“ก็เมานี่หว่าเลยไม่ได้บอก”

“แหมมึงนะมึง” ศศิส่ายหน้าแต่ก็ได้โอกาสชวนหญิงในใจได้เหมือนกัน

กลายเป็นว่าตอนนี้ทุกคนมีคู่หมดยกเว้นชายธัน ต้นสนและปราชญ์ ทั้งสามคนเลยเดินตามหลังคนอื่น ๆ แทนและตอนนี้กำลังแวะทานอาหารเช้ากัน

“ผมไม่มีคู่อยู่คนเดียวสินะ” ชายธันพูดขึ้นเมื่อตรงนี้ไม่มีใครนอกจากพี่ปราชญ์

“พูดอะไรน่ะ ก็อยู่กับพี่ไง”

“หรือครับ”

ปภารัชหลบตาน้องที่รู้ทัน

“เฮ้อ นึกว่าวันแห่งความรักเสียอีก”

“เดี๋ยวเถอะชายธัน เดี๋ยวนี้หยอกล้อเก่งนะ”

“ก็ได้พี่ชายใหญ่มาทั้งนั้น”

ปราชญ์ได้แต่ส่ายหน้าพลางยิ้มที่น้องเขาพูดเก่งเหลือเกิน

“อากาศร้อน ๆ แบบนี้ สวมหมวกไหมครับ” ต้นสนที่เพิ่งหายออกไปคนเดียวกลับมาพร้อมหมวกหนึ่งใบ

“ไปซื้อมาหรือ” ปราชญ์รับมาแต่ยังไม่ใส่เพราะอยู่ในร่ม

“ใช่ครับ ผมกลัวพี่ปราชญ์ร้อน”

ได้ยินอย่างนั้นปราชญ์ก็ชื่นใจ อบอุ่นไปทั่วอก “ขอบคุณนะครับ”

ต้นสนยิ้มจนตาหยี “ยินดีครับ”

เป็นอีกวันที่ชายธันส่ายหัวคนเดียว ตนไม่มีคู่นั่นก็คงจะพูดถูกแล้วจริง ๆ

พอทานข้าวเช้ากันเสร็จเรียบร้อย ก็ต่างคนต่างเอารถไปกันกลุ่มละคัน ศศิไปกับรถของเหนือที่เอามาด้วย พร้อมโทน ส่วนอีกคันของทางคุณชายก็ไปด้วยกันเหมือนเดิม เปลี่ยนแค่ชายกรณ์ขับส่วนคุณผู้หญิงนั่งข้างคนขับ คนด้านหลังก็เป็นชายธันกับต้นสนที่ประกบปราชญ์ซ้ายขวา

“ว่าแต่คุณชายกรณ์หายเครียดหรือยังคะ เห็นเมื่อคืนบอกเครียดอะไรหลายอย่าง” หญิงสาวถามขึ้นในระหว่างทางทำให้คนที่นั่งข้างหลังต่างตกใจ

ชายกรณ์ขมวดคิ้วเหลือบตาผ่านกระจกหลังมองพี่คนโตและน้องชายก่อนจะหันไปตอบหญิงสาวข้างกาย “ไว้เราค่อยคุยนะครับ”

เธอพอจะเข้าใจจึงบอกขอโทษเสียงเบาแล้วนั่งเงียบไปตลอดทาง จวบจนมาถึงที่แรกเป็นถ้ำที่มีพระอยู่ด้านในเป็นวัดสุวรรณคูหา ทุกคนเดินเป็นกลุ่มแต่ก็อยู่กันเป็นคู่ยกเว้นปราชญ์ ต้นสนและธันที่เดินตามหลัง

“เรื่องพี่ชายกรณ์” ชายธันเปรยขึ้น

“กลับวังเมื่อไรค่อยถามดีกว่า พี่คิดว่าชายกรณ์คงยังไม่อยากพูดตอนนี้” ปราชญ์บอกน้อง

“ครับ” ธันพยักหน้า อดจะส่งสายตาเป็นห่วงให้พี่คนกลางไม่ได้

“นี่คือถ้ำสุวรรณคูหาครับ คนที่นี่เรียกว่าวัดถ้ำกัน” ศศิเปรยให้ฟัง

“สวยมากเลย” ปราชญ์มองรอบ ๆ พร้อมกับไหว้พระนอน ก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไป ทั้งสามคนที่ไม่มีคู่จึงพากันไหว้พระ เห็นว่ามีอีกหลายถ้ำอยู่เหมือนกันในที่เดียว

“มีศิลาจารึกด้วยหรือ” ชายธันเอ่ยบอกเมื่อเดินมาพบเข้า

“เป็นอักษรไทยโบราณสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น จารึกไว้เมื่อปีสองสี่ศูนย์หนึ่ง...” ต้นสนอ่านข้อความอธิบายที่ติดไว้พลางนึกว่าปี 2401 ตอนนั้นห่างจากตอนนี้กี่ปีกัน “ร้อยกว่าปีเลยหรือ”

“ร้อยสิบสามปีได้” ธันว่าต่อ

“ใช่ ๆ” ต้นสนพยักหน้า

ปราชญ์คิดว่านี่คงเป็นครั้งแรกเลยที่ได้เข้าถ้ำ มันดูสวยงามแต่ก็น่าอึดอัด เหมือนจะหายใจได้ไม่เต็มที่ ถึงอย่างนั้นก็ยอมรับว่าในถ้ำนี้สวยจริง ๆ เพราะมัวแต่ยืนมองนู่นมองนี่ ฉไหนหันมาอีกที่ชายธันก็หายไปเสียแล้ว หลงเหลือไว้เพียงต้นสนที่กำลังยืนอ่านประวัติความเป็นมาอยู่

“ชายธันล่ะ” ปราชญ์เอ่ยถามเมื่อหันไปทางไหนก็ไม่พบ

ต้นสนเองก็เพิ่งจะสังเกตจึงยืดตัวขึ้นมองซ้ายมองขวา “ผมก็ไม่เห็นเหมือนกันครับ เมื่อกี้ยังยืนอยู่ด้วยกันอยู่เลย”

พี่คนโตที่นึกห่วงน้องกลัวหลงจึงจะเดินไปหา ต้นสนเห็นอย่างนั้นเลยว่าจะไปหาด้วยอีกทางแต่กลับพบกับเพื่อนที่ยืนหลบมุมข้างถ้ำแล้วดึงแขนให้เข้าไป

“อ้าวธัน! ตกใจหมด”

ชายธันมองหาพี่ตนก่อนจะตบบ่าเพื่อน “เดี๋ยวฉันจะไปเดินกับพี่ชายกรณ์ ส่วนนายก็ไปเดินกับพี่ชายใหญ่เสียเถอะ”

“อะไรของนาย” ต้นสนขมวดคิ้วก่อนจะเบิกตา “นี่นายตั้งใจจะให้ฉันเดินกับพี่ปราชญ์แค่สองคนหรือ”

“แล้วไม่ดีหรือไง” ว่าพลางกอดอก

“ก็... ก็ดี... แต่ว่าเรา—”

“เลิกพูดแล้วไปได้แล้วไป ฝากดูแลพี่ฉันด้วยล่ะ”

“เดี๋ยวสิ!” ต้นสนยื้อเพื่อนไม่ไหวเจ้าตัวก็เดินหายไปอีกทาง ชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจ ทว่า กลับอมยิ้มขึ้นมาคนเดียวเมื่อนึกได้ว่าตอนนี้อยู่ด้วยกันเพียงสองคนแล้ว

“ต้นสน เจอชายธันหรือยัง”

คนถูกทักถึงกับสะดุ้งก่อนจะหันไปยิ้มแหย “คือธันบอกว่าจะไปเดินกับพี่กรณ์น่ะครับ”

ปราชญ์คิ้วมุ่นแต่พอรู้ทันความคิดน้องชายจากเป็นห่วงก็กลายเป็นเพลียใจแทน “งั้นหรือ... ถ้าอย่างนั้นเราก็ไปกันเถอะ”

ต้นสนเปลี่ยนเป็นยิ้มตาหยีพร้อมกับเดินไปหา “ครับ”

ทั้งคู่พากันเดินไปตามทางที่บอกเอาไว้ แบ่งปันเรื่องพูด แบ่งปันความคิด รอยยิ้มประดับบนใบหน้าไม่มีท่าทีว่าจะหุบลง ดวงตาสีนิลสบกันเวลาพูดคุยดูลึกซึ้งกว่าวันวาน ไหล่ที่แนบชิดจนรู้สึกอุณหภูมิของกันและกัน มือเผลอปัดป่ายเล็กน้อย ระหว่างทางคล้ายดั่งมีดอกไม้ล่วงโรย ในถ้ำที่ว่าอึดอัดมืดมัวกลับสดใสทันตา

“ไอ้คนนำทางกลับไม่มาเล่าว่าแต่ละที่มีอะไรบ้าง เฮ้อ” พูดถึงเพื่อนอย่างศศิก็ได้แต่ส่ายหัว

“อย่าไปว่าเพื่อนเลย ให้ไปกับคนในดวงใจเขาน่ะดีแล้ว”

ต้นสนนึกตามก็ขำเสียงเบา “มาด้วยกันแต่แยกกันเป็นคู่อย่างกับคู่รักเลยนะครับ”

พลันบรรยากาศรอบข้างคล้ายชะงัก สองหนุ่มพากันหยุดเดินโดยมิได้นัดหมาย ต้นสนที่เพิ่งจะรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไปก็ทุบหน้าผากตัวเองไปที หันมองอีกฝ่ายที่ดูน่าจะตกใจเหมือนกัน แต่กลับไม่พูดอะไรนอกจากเดินต่อไปยังถ้ำอื่น ๆ

“ที่นี่ชื่อถ้ำแก้ว มีหินงอก หินย้อยด้วยหรือ” ต้นสนอ่านป้ายอย่างกับก่อนหน้านี้ไม่ได้พูดอะไรออกไปให้คนข้างตัวตกใจ

“สวยเสียจริง” ปราชญ์ชมไม่หยุดปาก เพียงเข้าไปชมดูก็ลืมสิ่งที่ต้นสนพูดไปชั่วขณะและนั่นก็ดีสำหรับต้นสน

พาชมทั่วกันจนพอใจแล้วก็ได้เวลาลงไปยังด้านล่าง

“ทางนี้มันชันพี่ปราชญ์จับมือผมได้นะครับ” ไม่ว่าเปล่ายังเดินลงไปเล็กน้อยแล้วยื่นมือขึ้นไปหา

ปราชญ์ยิ้ม พยักหน้าเป็นการขอบคุณแล้ววางมือลงบนมือของอีกฝ่ายเพื่อเดินลงทางชัน พอมองอย่างนี้แล้วก็นึกถึงสมัยเด็ก ทุกครั้งปราชญ์จะช่วยให้น้องพ้นภัยต่าง ๆ มือเล็ก ๆ ที่ทาบลงบนมือเขานั้นยังดูน่าทะนุถนอมเสมอ แต่พอโตขึ้นมามือนี้กลับใหญ่ขึ้นและกลายเป็นฝ่ายดูแลเขาเสียเอง

คนอายุมากกว่าได้แต่หัวเราะกับตัวเอง เด็กน้อยที่ชอบวิ่งมากอด วิ่งมาชูแขนให้อุ้มในวันนั้นพอมาวันนี้กลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ปราชญ์ยอมรับว่าช่วงวัยเด็กเขาเห็นต้นสนเพียงน้องชายคนหนึ่งจริง ๆ ไม่เคยมองไปทางอื่นใดเลย แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตั้งแต่เมื่อไรถึงได้รู้สึกดีและโหยหาถึงเด็กคนนี้

อาจจะเป็นมาตั้งแต่กลับไทยหรือเปล่านะ แต่เวลาก็น้อยเกินกว่าจะเป็นอย่างนี้ได้...

“พี่ปราชญ์มีอะไรหรือเปล่าครับ” ต้นสนที่เห็นอีกฝ่ายนิ่งไปและเอาแต่มองมือของพวกเราที่จับกันอยู่ เลยคิดไปเองว่าอาจจะอึดอัดหรือเปล่า “ขอโทษนะครับ” ต้นสนก้มหัวแล้วจะผละมือออกแต่ก็ถูกจับไว้อีกครั้ง

ปราชญ์เงยหน้ามองน้อง เมื่อคิดอะไรหลาย ๆ อย่างในหัว “พี่คิดว่า ถ้าพี่ไม่ได้ไปอังกฤษตั้งแต่แรกก็คงจะดี”

“ทำไมหรือครับ”

“บางทีเราสองคนอาจจะไม่ต้องมาผิดใจกัน”

ต้นสนนิ่งไปเสียบ้างก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา “เรากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้หรอกครับพี่ปราชญ์ แต่เราเลือกจะเดินทางอื่นได้หากเคยเดินทางที่ผิดพลาดมาก่อน ก็เหมือนกับผมที่เคยทำนิสัยแย่ ๆ ใส่พี่ปราชญ์ไปและผมคิดว่ามันไม่ควรเสียเลยเพราะพี่ปราชญ์ก็ไม่ได้รู้เรื่องด้วย ตอนนี้ผมเลยอยากจะไถ่โทษและจะเป็นคนที่พี่ปราชญ์ยินดีจะฝากชีวิตให้ผมได้ดูแล”

ปราชญ์นึกทึ่ง แต่ก็ไม่แปลกใจเพราะต้นสนเป็นคนที่มีความคิดที่ดีมาตลอด แม้จะมีพลาดบ้างแต่ก็ยอมรับและแก้ไข แต่ถึงอย่างนั้น... ที่บอกให้ฝากชีวิตให้เจ้าตัวดูแล มันออกจะเกินตัวของน้องชายคนหนึ่งที่อยากจะไถ่โทษหรือเปล่านะ

แต่พอนึกอีกทีว่าต้นสนนั้นรู้สึกอย่างไรปราชญ์ก็ได้แต่ใจเต้นคนเดียวแล้วหลบตาน้องที่จ้องมองมาอย่างมีนัย

“ขอบคุณครับที่ดีกับพี่ขนาดนี้”

ต้นสนที่ยังคงไม่รู้อะไรเลยยิ้มกว้างกระชับมือเบา ๆ และใช้นิ้วโป้งเกลี่ยอย่างเผลอไผล “ผมพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อพี่ปราชญ์อยู่แล้วครับ”

หากตรงนี้ไม่ใช่ถ้ำแต่เป็นด้านนอกต้นสนก็คงจะเห็นใบหูที่แดงขึ้นมา ปราชญ์รู้สึกร้อน ๆ ตรงหูและคงไม่ต้องหาสาเหตุใด ได้แต่โทษตัวเองที่โตขนาดนี้ยังมารู้สึกใจเต้นแรงและเขินอายกลับคำพูดของคนที่ชอบอย่างนี้

“พี่ชายใหญ่” เสียงของน้องชายที่เอ่ยเรียกทำให้ทั้งสองต้องปล่อยมือออกจากกันฉับพลัน

“ชายกรณ์” ปราชญ์ยิ้มให้น้อง “เดินทั่วแล้วหรือ”

ชายกรณ์ไม่ได้ทำสีหน้าใดใดนอกจากมองทั้งคู่สลับกันไปมา คิ้วที่ขมวดเข้าหากันแน่นทำให้ปราชญ์รู้สึกใจเสียอยู่บ้าง

“เราจะไปที่อื่นกันต่อ”

“อ่อ ได้สิ”

“พี่ชายใหญ่มากับผมหน่อย” เมื่อชายกรณ์สั่งเสียงแข็งก็ทำให้รู้ว่าอาจจะทำให้ไม่พอใจเข้าเสียแล้ว ชายธันที่ได้ยินบทสนทนาจึงรีบเข้ามาดูพร้อมกับหญิงสาวอีกคนที่พี่ชายกรณ์ฝากให้เขาดูแลก่อนเพราะจะมาตามพี่ปราชญ์ให้

“มีอะไรกันครับ”

“ชายเล็ก” ชายกรณ์เรียกน้องทันที

ธันที่เพิ่งจะได้พบกับดวงตาที่ดูนิ่งเรียบของพี่คนกลางกับน้ำเสียงที่แตกต่างจากพี่ชายกรณ์ที่ร่าเริงเสมอจึงอดจะหวาดหวั่นไม่ได้ “ครับพี่ชายกรณ์”

“พี่จะไปกับพี่ชายใหญ่ ฝากดูแลคุณผู้หญิงเธอด้วย”

“แต่ว่า”

“เข้าใจไหม”

ชายธันได้แต่จำยอม “ครับ”

เมื่อไม่มีอะไรต้องพูดอีกชายกรณ์ก็จับข้อมือพี่ชายคนโตให้เดินออกไปด้วยกันทันที

“ทำไมคุณชายกรณ์ดูโกรธขนาดนั้นหรือคะ”

ชายธันหันมองหญิงสาว “ไม่มีอะไรหรอกครับแล้วก็ขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้การเที่ยวของคุณไม่สนุกเลย”

“ไม่เป็นไรเลยค่ะ” เธอส่ายมือ ก่อนที่คนอื่นจะเดินมาสมทบชายธันเลยฝากเธอให้ไปกับเพื่อน ๆ ของเธอแทน

“พี่กรณ์จะรู้เรื่องฉันหรือเปล่า” ต้นสนเองก็ตกใจไม่ต่างกัน ไม่คิดว่าจะมีคนมาเห็น ทั้งยังเห็นว่าจับมือกันด้วย บางที… อาจจะได้ยินที่เราคุยกันก็เป็นได้

“คงรู้แล้ว อาจจะคุยกับพี่ปราชญ์อยู่”

“นายไม่ได้บอกพี่กรณ์ใช่ไหม”

ชายธันส่ายหัว “ไม่ได้บอกอะไรเลย”

ต้นสนถอนหายใจมองตามทางที่ทั้งคู่เดินหายออกไป ก็ได้แต่หวังว่าไม่ให้พี่กรณ์โกรธอะไรพี่ปราชญ์มากนักเลย...

 

 

เฝ้าคำนึง

 



“ชายกรณ์ปล่อยพี่ได้แล้ว ชายกรณ์!”

ทหารหนุ่มยอมปล่อยข้อแขนอีกฝ่ายเมื่อเดินออกมาด้านนอกแล้ว ใบหน้าเคร่งขรึมเริ่มแสดงออกว่าโกรธ “เล่าให้ผมฟังเดี๋ยวนี้”

ปราชญ์ขมวดคิ้ว “เรื่องอะไรชายกรณ์ ทำไมไม่คุยกันดี ๆ”

“พี่กับต้นสน ตั้งแต่เมื่อไร”

ปราชญ์ถอนหายใจทันทีพอเห็นว่าเป็นเรื่องเดียวกับที่คิด “เพิ่งจะได้พูดคุยไม่กี่วันนี้เอง แต่ยังไม่ได้คุยกันให้ได้รู้ความเท่าใดเลย”

“ชายเล็กรู้ใช่ไหม”

“ใช่ น้องรู้”

“รู้มานานหรือยัง”

“ก็... ไม่รู้สิ แต่น้องคงรู้นานแล้ว”

ชายกรณ์นิ่งไปกรามที่ขบฟันนั้นชัดจนแม้แต่มองภายนอกก็ดูออก “พี่ปรึกษากับชายเล็กมาตลอดใช่ไหมเรื่องนี้”

“ใช่” ปราชญ์ไม่เข้าใจว่าน้องถามทำไมแต่ก็ตอบตามจริงทุกอย่าง

“แล้วผมล่ะ” ชายกรณ์ชี้ตัวเอง “เอาผมไปอยู่ตรงไหน ทำไมไม่มีใครบอกผมเรื่องนี้เลย”

ปราชญ์ตกใจจนพูดไม่ออกเห็นดวงตาของน้องเริ่มแดงก่ำทำให้รู้สึกผิดยิ่งกว่าเดิม ความขุ่นเคืองที่น้องมาทำโมโหใส่เริ่มลดลงในทันตา “พี่ขอโทษ”

ชายกรณ์ผันหน้าหนีเห็นใบหน้าที่รู้สึกผิดของพี่ตนเองก็ทำให้ความโกรธมันลดฮวบทำให้สติกลับคืน มือหนานวดขมับตัวเองที่ปวดขึ้นมา “ผมก็ขอโทษ ผมเครียดหลายอย่างเลยพาลไปหมด”

ปราชญ์มีสีหน้าอ่อนลงเดินเข้าไปโอบน้องก่อนจะเดินไปด้านหน้าเห็นน้ำตาที่ร่วงลงมาเลยใจเสียรีบเช็ดน้ำตาแล้วกอดน้องทันที “ชายกรณ์...”

ชายกรณ์ไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำใดออกไปได้นอกจากน้ำตาที่พรั่งพรูออกมา ไม่อาจพูดได้ว่าอิจฉาและน้อยใจมาตลอดตั้งแต่สมัยเด็กแล้ว สามคนนั้นที่เล่นด้วยกัน ต้นสนติดพี่ปราชญ์ ชายธันก็ติดพี่ปราชญ์ ส่วนพี่ปราชญ์ก็ดูแลทั้งคู่อย่างดิบดี เขานึกน้อยใจว่าทำไมเขาไม่อยู่ตรงนั้นบ้าง เขาอยากเล่น อยากให้พี่ปราชญ์คอยปลอบ อยากให้น้อง ๆ มาติดเขาบ้าง มันอาจจะดูไร้เหตุผล แต่ทุกครั้งเขากลับรู้สึกเหมือนเป็นคนนอก ในเวลาที่ชายธันโมโหหรือทำตัวแย่ เขาเตือนชายธันแทบไม่ฟังเขาเลยแต่พอพี่ปราชญ์เตือนเพียงนิดน้องกลับน้อมรับฟัง

แม้แต่เรื่องสำคัญที่ต้นสนคนที่เปรียบเสมือนน้องชายเขาอีกคนกับพี่ชายของเขามีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งต่อกัน เขากลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย คนที่รู้กลับเป็นคนที่เคยทะเลาะกับต้นสนอย่างชายธัน

เขารู้ว่าเขาเกิดมาทั้ง ๆ ที่เสด็จพ่อกับแม่ไม่ได้รักกัน เกิดจากความผิดพลาด ส่วนพี่ปราชญ์เกิดจากคนรักเก่าที่เสด็จพ่อรักมากและน้องที่เกิดมาพร้อมกับครอบครัวที่ปรองดองรักใคร่กันแล้ว พ่อรักพี่ปราชญ์มากและแม่ก็รักน้องมาก

แล้วเขาเล่า... เขาอยู่ตรงจุดไหน

“พี่ขอโทษนะ” ปราชญ์ลูบผมน้อง “พี่ขอโทษจริง ๆ”

กว่าจะรู้ตัวว่าลืมสังเกตใครไปมันก็แทบสายไปเสียแล้ว ปราชญ์นึกโทษตัวเองที่ไม่ยอมดูน้องดี ๆ ไม่อาจรู้ได้เลยว่าภายใต้ใบหน้าที่ยิ้มแย้มเสมอและคอยปลอบผู้อื่นอย่างชายกรณ์จะมีความทุกข์ในจิตใจขนาดนี้

ใช้เวลาไม่นานนักชายกรณ์ก็สงบลงผ้าเช็ดหน้าที่ปราชญ์เตรียมมาเสมอหยิบขึ้นมาเช็ดหน้าน้องชายอย่างไม่นึกรังเกียจ “ดีขึ้นไหม”

ชายกรณ์พยักหน้า “ดีขึ้นแล้วครับ”

“ถ้ากลับไปบ้านศศิแล้วเล่าให้พี่ฟังได้ไหม” ปราชญ์เกลี่ยแก้มน้องพลางยิ้ม “ส่วนพี่จะเล่าเรื่องพี่ให้ฟังด้วย”

ชายกรณ์พยักหน้า “ครับ แต่เรื่องของผมไว้เรากลับวังกันก่อนได้ไหมครับ”

ปราชญ์ไม่คาดคั้นให้น้องอึดอัด “ได้สิ”

เห็นอย่างนั้นทหารหนุ่มก็ได้แต่ส่ายหัวกับตัวเอง “เฮ้อ เป็นทหารแท้ ๆ ดันแสดงความอ่อนแอออกมาอย่างนี้ ใช้ไม่ได้เลย”

“คนเราจะร้องไห้บ้างมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกไม่ใช่หรือ ต่อให้อายุมาก ทำงานอะไร มันกำหนดด้วยหรือไงว่าห้ามร้องไห้” ปากก็พูดไปมือก็สางผมให้น้องที่ดูยุ่งเล็กน้อย “เลิกคิดมากได้แล้ว อยากร้องก็ร้องออกมาเลย ไม่ต้องสนว่าใครจะพูดยังไง อ่อนแอบ้างมันก็ไม่เป็นไร”

ยิ่งได้ยินคำปลอบโยนที่แสนจริงใจชายกรณ์ดันรู้สึกผิดขึ้นมาเสียเอง “ผมแค่คิดว่าผมโตแล้ว ผมอายุก็เท่านี้แล้วยังจะมาทำตัวแบบนี้ มันดูไม่ได้น่ะครับ”

“แล้วคนที่โตแล้วจะร้องไห้ไม่ได้เลยหรือ แบบนั้นมันออกจะเก็บกดเกินไปหรือเปล่า”

ชายกรณ์ถอนหายใจอีกระลอกแล้วเอาผ้ามาเช็ดเอง “ผมขอโทษนะครับ อุตส่าห์มาเที่ยวพักผ่อนแท้ ๆ ดันเอาเรื่องเครียดมาให้”

“เอาเป็นว่าต่างคนต่างขอโทษก็ให้มันแล้วไป อย่าคิดมากเลยนะ ยังไงชายกรณ์ก็เป็นน้องชายของพี่และพี่ก็รักชายกรณ์มาก ๆ พี่พร้อมจะรับฟังทุกเรื่อง สำหรับน้องชายของพี่มันไม่ใช่เรื่องเครียดเลย เราเป็นพี่น้องกันก็ต้องช่วยเหลือกันอยู่แล้ว”

ทหารหนุ่มยิ้มขึ้นได้ รู้สึกอบอุ่นทั่วอก “ขอบคุณนะครับ แต่ผมบอกไว้ก่อนเลยนะว่าความคิดผมนั้นแย่จริง ๆ”

“โธ่ พอเลย จะแย่ไม่แย่พี่ไม่สนใจหรอก พี่รู้ว่าชายกรณ์มีเหตุผลของชายกรณ์เอง”

ชายกรณ์ยิ้มบางความรู้สึกผิดเริ่มกัดกิน “ผมแย่เสียจริงที่คิดน้อยใจทุกคน”

“พี่ต่างหากที่ควรขอโทษ น้องชายเป็นถึงขนาดนี้แต่พี่ดันไม่รับรู้”

“คนหนึ่งไม่พูดคนหนึ่งไม่รู้จริง ๆ มันก็ยากที่จะเข้าใจกัน ตอนนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองพาลไปจริง ๆ ผมควรจะสงบสติตัวเองเสียหน่อย อารมณ์ชั่ววูบอย่างนี้ผมไม่ชอบเสียเลย”

“ไม่เป็นไรนะ” ปราชญ์บีบบ่าเบา ๆ “ถ้าอย่างนั้นเราไปกันเถอะ คนอื่นน่าจะรอกันที่รถแล้ว” เมื่อเห็นน้องพยักหน้าจึงรอให้อีกฝ่ายดูเรียบร้อยก่อนถึงจะเดินออกไปหาคนอื่น ๆ


*มีต่อ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-10-2020 20:37:39 โดย IMYean. »

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
*ต่อจากด้านบน



“พี่ชายกรณ์” เมื่อเห็นใครชายธันก็รีบเดินมาหาทันที

“พี่ขอโทษนะ”

ชายธันพยักหน้า “ไม่เป็นไรครับ”

“แล้วก็ต้นสน”

ต้นสนสะดุ้งจนไหล่สั่น ใบหน้าดูตื่นตกใจจนชายกรณ์อยากจะหัวเราะออกมาแต่ก็ต้องหยุดไว้แล้วแกล้งทำหน้าขรึม “เดี๋ยวเล่าให้พี่ฟังด้วย”

“ครับ?”

“เรื่องของทั้งสองคนไง” ชายกรณ์ชี้ไปมายิ่งทำให้ต้นสนเบิกตายิ่งกว่าเดิม

“คือผม...” ตำรวจหนุ่มได้แต่อึกอักทำอะไรไม่ถูก แต่ชายกรณ์ก็ไม่ถามอะไรมากกว่านั้นแล้วอาสาขับรถเองเพื่อไปอีกที่แล้วจากนั้นก็จะพากันกลับบ้านศศิ

ทริปวันนี้อาจมีเรื่องเล็กน้อยแต่พอพูดคุยกันก็ไม่ได้แย่จนกร่อย ชายกรณ์แกล้งมาเดินร่วมวงระหว่างปราชญ์และต้นสนเป็นบางช่วง จนปราชญ์ต้องแยกออกไปเดินสองคนกับชายธันแทน

และแล้วการท่องเที่ยวทั้งวันก็จบลง พระอาทิตย์เริ่มตกดิน หญิงสาวที่กลายเป็นคนรักของศศิไปแล้วจากการขอกันกลางลานทางเดิน อาสาทำกับข้าวให้ทาน ส่วนหญิงสาวคู่ของโทนกับเหนือก็พากันไปช่วยคนรักของศศิแทน

แต่เพราะบ้านศศินั้นไม่มีของสดจึงพากันซื้อก่อนกลับมาทำที่บ้าน ส่วนพวกอุปกรณ์ในครัวบางอย่างที่ศศิไม่มี หญิงสาวก็ไปเอาที่บ้านเธอมาแทน

ระหว่างรอปราชญ์ก็ออกไปเดินเล่นที่ชายหาดกับชายกรณ์และชายธันพร้อมกับเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังว่าเป็นมายังไง และชายกรณ์ก็อดจะเป็นเหมือนชายธันตอนรู้แรก ๆ ไม่ได้ คิดเช่นเดียวกันว่าสองคนนี้คิดมากเก่งพอ ๆ กันเลย

“เฮ้อ นั่นก็หมายความว่าตอนนี้มีเพียงต้นสนที่ไม่รู้ว่าพี่ชายใหญ่รู้เรื่องทั้งหมดแล้วใช่ไหมครับ”

ปราชญ์พยักหน้าเป็นการตอบ

“เห็นดูคิดดีตลอดเวลา แต่จริง ๆ ต้นสนก็คิดลบใช่ย่อยนะครับ” ชายธันเอ่ยบอก

“นั่นสิ” ชายกรณ์คิ้วมุ่น “แต่ว่า ผมไม่คิดว่าพี่ชายใหญ่ก็มีใจให้ต้นสน ผมอยากรู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรหรือครับ”

ปราชญ์มองท้องฟ้าที่ครึ้มลงเรื่อย ๆ “พี่ไม่รู้ พี่คิดว่าอาจจะตั้งแต่กลับไทย แต่มันก็ใช้เวลาน้อยเกินไปที่พี่จะรู้สึกขนาดนี้”

“หรือเป็นแค่ความเผลอไผลชั่วขณะ” ชายธันกอดอกคิด

“พี่ชายใหญ่ยังคงห่วงคุณภวัตไม่ใช่หรือครับ แล้วต้นสน…” ชายกรณ์มีสีหน้าหนักใจ

“พี่รู้ว่าพี่เหมือนคนสองใจ ลังเล และดูเป็นคนไม่รู้จักความรักแต่พี่ไม่ได้รักภวัตแล้วจริง ๆ และพี่ก็ยังไม่ได้เล่าความจริงในตอนที่เริ่มคบกัน…” ปราชญ์นึกถึงตอนที่เราคบกันแรก ๆ ก็ทำให้สะท้อนในอก

“ยังมีเรื่องที่เราไม่รู้อีกหรือครับ?” ชายธันเค้นถามทันที

ปราชญ์หันมองน้องพร้อมกับเล่าให้ฟังทุกอย่าง “ตอนที่เริ่มคบกันนั้น เราต่างชอบแค่เรื่องsexและสบายใจที่จะพูดคุยปรึกษากัน แต่คิดว่าดันเพราะรักเลยยอมคบ พี่ใช้คำว่าลองคบกับภวัต เราทั้งคู่ไม่ได้รักกันตั้งแต่แรก พอพี่รู้ว่าภวัตไปมีอะไรกับคนอื่นพี่ถึงได้เข้าใจคำว่าเสียใจจากคนรัก”

“มีคนอื่น!” ชายกรณ์เบิกตา

“ทำไมไม่เล่าให้ผมฟังตั้งแต่ตอนนั้น” น้องคนเล็กโมโหขึ้นมาจนปราชญ์ต้องจับแขนปราม

“พี่เองก็ไม่ได้ซื่อสัตย์เพราะพี่ไม่ได้รู้สึกรัก ภวัตจะไปหาคนอื่นมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”

“แต่ว่าคบกันแล้วยังมีคนอื่นแบบนี้มันก็แย่มากเลยนะครับ” ชายกรณ์ว่า

“ช่างมันเถอะนะ ยังไงตอนนั้นก็เหมือนกับคนสองคนที่ไม่รู้จักความรักลองมาคบกันดู มันก็คงมีแย่ในบางเวลา” ปราชญ์พรูลมหายใจ “แต่พี่ยอมรับนะว่าหลังจากที่คุยกับภวัตเรื่องที่ภวัตมีคนอื่น ภวัตเริ่มหยุด เราลองอยู่ด้วยกัน ไม่รู้ว่านานเท่าใดแต่เราเริ่มรู้สึกพิเศษต่อกันมากกว่าเดิม ตอนที่พี่ชวนภวัตไปหาชายกรณ์กับชายธัน ตอนนั้นคือตอนที่เราต่างพูดบอกรักกันได้เต็มปากแล้ว”

“พอรู้ความจริงในส่วนลึกผมก็พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่ชายใหญ่ถึงยอมปล่อยมือ”

ปราชญ์ยิ้มให้น้องคนกลาง “พี่เองก็ไม่ได้ดี เพราะหากว่าภวัตรักพี่ขึ้นมาในตอนนั้น พี่คงจะรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตที่ไปทดลองกับใจของคน เพียงเพราะเด็กคนหนึ่งที่ไม่รู้จักความรัก”

“จะว่าไปลองนับดูแล้วพี่ชายใหญ่อายุยี่สิบกว่าเองนี่ครับ”

ปราชญ์พยักหน้า “ก็ยังเด็กอยู่” หันไปตอบชายกรณ์เสร็จก็หันมองน้องคนเล็กที่ไม่พูดไม่จาใดใดเลย “ชายธัน ปล่อยให้มันผ่านไปตามกาลเวลาเสียเถอะนะ”

“ผมแค่ไม่เข้าใจ ผมอุตส่าห์คาดหวังและยอมรับในตัวคุณภวัตแล้ว ขนาดรู้ว่าเลิกเพราะเหตุผลอะไร ผมก็เห็นใจเขา แต่พอมารู้ว่าเรื่องทั้งหมดเป็นยังไง ผมก็ไม่สามารถมองคุณภวัตได้เหมือนเดิมอีกแล้ว”

“ถ้าอย่างนั้นพี่เองก็คงน่าผิดหวังเหมือนกัน เพราะพี่บอกแล้วว่าตอนแรกเราทั้งสองไม่ได้รักกัน พี่ไม่ได้มองว่าใครผิด พี่มองแค่ว่าเราเริ่มจับมือกันผิดเวลาไปเสียหน่อยก็เท่านั้น”

ชายธันขมวดคิ้วก่อนจะหันหน้าหนีเพื่อสงบอารมณ์

“แล้วทำไมพี่ชายใหญ่ถึงได้ห่วงและรู้สึกผิดขนาดนี้ล่ะครับ หากว่าก่อนหน้านี้มีเรื่องอะไรในใจกันมาก่อน”

“พอเริ่มโตขึ้น เราก็ต่างเข้าอกเข้าใจกัน ภวัตดีกับพี่เสมอมา สอนทุกอย่างให้พี่ ถือว่าเป็นรักแรกเลยก็ว่าได้ ทว่า พอรักแรกมันจบลงแล้ว พี่ก็ห่วงในฐานะคนที่เคยดูแลและช่วยเหลือกันมาก่อน ที่พี่รู้สึกผิดมันก็เพราะว่าพี่นั้นหมดรักแต่ยังคงคบกับภวัตต่อ เริ่มแรกภวัตทำร้ายพี่ด้วยการนอกใจ พอจะถึงจุดจบพี่กลับทำร้ายเขาด้วยการไม่รักแต่ยังคงคบต่อหลอกเขาว่ารัก” ปราชญ์หลับตาลงและลืมขึ้นใหม่ “ชีวิตคู่ของเราเหมือนคู่กรรมมากกว่าคู่แท้เสียอีก”

“ความรักที่ว่าต้องใช้กฎเกณฑ์อะไรตัดสินหรือครับ ใครกันจะเข้าใจความรักได้จนบรรลุ”

ปราชญ์ส่ายหน้า “พี่ก็ไม่รู้ พี่แค่รู้สึกว่าพี่อยากใช้ชีวิตอยู่กับคนนั้น อยากเดินไปด้วยกันเรื่อย ๆ ไม่หวือหวา ไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป อยู่เหมือนเพื่อน เหมือนพี่น้อง เหมือนครอบครัว สุขบ้างทุกข์บ้าง”

“สิ่งที่พี่ชายใหญ่คิด พี่ชายใหญ่อยากจะเป็นอย่างนั้นกับต้นสนหรือเปล่า” ชายธันที่เงียบไปนานถามขึ้นมา

ปราชญ์คลี่ยิ้ม “อยากสิและพี่ก็อยากคุยเรื่องนี้กับต้นสนด้วย ไม่อยากจะปกปิดอะไรอีก ต่างคนต่างรับรู้และดำเนินไปด้วยกันมันคงจะดีกว่าต่างคนต่างไม่รู้เหมือนดั่งก่อนหน้านี้”

ชายธันถอนหายใจแล้วหันกลับไปมองทางบ้านศศิที่เพื่อนอย่างต้นสนกำลังก่อไฟในเตาอยู่ “ถึงพี่ชายใหญ่จะเป็นพี่ชายผม แต่ต้นสนเองก็เพื่อนผมเหมือนกัน ผมคงไม่ต้องมาเห็นว่าเพื่อนของผมจะต้องตรอมใจคนเดียวเพียงเพราะพี่ชายใหญ่หมดรักหรอกนะครับ”

ได้ยินอย่างนั้นชายกรณ์ก็หัวเราะทันที “นี่ใช่เจ้าดื้อชายเล็กที่ชอบทะเลาะกับต้นสนบ่อย ๆ เมื่อสมัยเด็กหรือเปล่าเนี่ย”

“พอเลยครับพี่ชายกรณ์” ชายธันหัวเราะเล็กน้อย “ผมเองก็จะไปพูดกับต้นสนเรื่องนี้เหมือนกัน หากมันทำพี่ชายใหญ่เสียใจผมก็ไม่ไว้หน้า”

กรณ์โอบไหล่น้องพลางส่ายหัว “ขู่สองคนเลยนะ ถ้าเกิดเสียใจพร้อมกันขึ้นมาจะจัดการใครก่อนล่ะทีนี้”

ชายธันคิดตามก็คิ้วมุ่นทันที “นั่นสิ…” พี่ทั้งสองต่างหัวเราะออกมาเมื่อน้องชายเริ่มทำหน้าบึ้งตึงโดยไม่รู้ตัว

“เอาเถอะ อย่างน้อยก็ดีแล้วที่ทั้งสองคนรู้สึกต่อกัน แล้ว… พี่ชายใหญ่จะคุยกับต้นสนตอนไหนหรือครับ”

ปราชญ์ลูบคาง “ไม่คืนนี้ก็คงกลับพระนครก่อนแล้วถึงจะพูด”

“พูดคืนนี้เลยก็ได้นะครับ”

“จะดีหรือ”

“ดีสิครับ อย่างน้อยก็ให้รับรู้กันไว้ก่อนก็ดี”

ปราชญ์พยักหน้า แต่จะคุยตอนไหนเขาเองก็ตัดสินไว้ในใจแล้วเหมือนกัน

เพียงไม่นานกับข้าวก็เสร็จเรียบร้อยเลยพากันยกกับข้าวมาทานกันหน้าบ้าน พูดคุยไปทั่วและวนมาหยอกล้อคู่ใหม่ปลามันอย่างศศิและคนรัก จนเริ่มเมาแล้วศศิจึงพาคนรักไปส่งบ้านส่วนพวกถ้วยจานจะให้พวกผู้ชายล้างกันเอง แต่ว่าคู่นอนของชายกรณ์ขอตัวกลับบ้านส่วนเพื่อนของเธอทั้งสองยังคงอยู่ที่นี่

“คุณชายทั้งสามเชิญนอนที่ห้องผมได้เลยนะครับ คืนนี้พวกมันคงจะยึดห้องไปแล้ว”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวให้พี่ปราชญ์นอนข้างนอกกับต้นสนไป” ชายธันบอก

“เฮ้ย ไม่ได้สิ ยิ่งไม่ได้เลย จะปล่อยให้แขกนอนข้างนอกได้ยังไงล่ะ”

ปราชญ์ทราบดีว่าน้องขี้เกรงใจจึงผงกหัวให้น้องชายสองคนเป็นอันรู้กัน เพราะชายธันเปิดมาขนาดนี้ก็คงจะอยากให้พวกเขาอยู่ด้วยกัน น้องเขานี่ร้ายเสียจริง...

“ไป ๆ พี่ง่วงแล้วศศิ ปล่อยพวกเขาไปเถอะ” ชายกรณ์ยกแขนพาดคอคนข้างกายทันทีเมื่อเห็นว่ายังคงเกรงอกเกรงใจไม่เลิก

“นั่นสิ ไปนอนกันเถอะ” ชายธันตามน้ำดึงตัวเพื่อนให้เดินเข้าห้องไปด้วยกันแม้จะได้ยินเสียงศศิโวยวายให้วุ่นก็ตาม

พอเหลือตรงห้องรับแขกเพียงสองคนปราชญ์ที่ทำท่าจะลงไปนอนพื้นก็ถูกต้นสนห้ามไว้อย่างร้อนรน “จะทำอะไรครับพี่ปราชญ์!”

“ก็จะนอนไงครับ”

“ไม่ได้ครับ พี่ปราชญ์นอนบนโซฟาเลยครับ”

“พี่ว่าต้นสนนอนเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เที่ยวเสร็จก็คงได้พักนิดเดียวเพราะต้นสนต้องขับรถอีก”

ต้นสนคิ้วมุ่นก่อนจะดื้อดึงลงไปนอนเสียเองจนปราชญ์ยกเท้าหลบแทบไม่ทัน “ต้นสน! ดื้อเสียจริง”

“ถ้าไม่ทำอย่างนี้ พี่ปราชญ์ก็ดื้อจะนอนให้ได้เหมือนกันนั่นแหละครับ”

ถูกเด็กยอกย้อนปราชญ์ถึงกับนิ่งอึ้งไป ก่อนจะอมยิ้มน้อย ๆ ยอมถอดแว่นมาวางบนโต๊ะแล้วนอนบนโซฟาแทน ภายในห้องนี้มืดสลัว แสงจันทร์ช่วยบ้างเล็กน้อย ลมเย็น ๆ และกลิ่นไอเกลือของทะเลพัดเข้าทางหน้าต่างทำให้อากาศตอนกลางคืนหนาวเหน็บจนต้องห่มผ้าให้แน่นหนา มุ้งสีขาวถูกกางออกโดยต้นสนที่ลุกไปทำให้ก่อนจะกลับมานอนที่เดิม

“พี่ปราชญ์ครับ”

คนที่กำลังเคลิ้มกะพริบตาเล็กน้อยเมื่อถูกเรียก “ครับ ว่าไง”

“ผมถามได้ไหมครับว่าพี่กรณ์เป็นอะไร”

ปราชญ์ขยี้ตานอนหันข้างแล้วก้มมองน้อง “ชายกรณ์รู้อะไรบางอย่างน่ะ”

ต้นสนเหลือบมองอย่างสงสัยแม้ใจจะหวั่น “เรื่องอะไรหรือครับ”

คนบนโซฟาคลี่ยิ้มบางยกหัวมาเท้ามือ “ต้นสนคิดว่าเรื่องอะไร”

“ผม...” ต้นสนอึกอักไปมาหลบสายตาอีกฝ่ายแล้วทำเป็นมองนกมองต้นไม้ที่ไม่มีนกและไม่มีต้นไม้ “ผมไม่รู้...”

คนฟังเลิกคิ้ว “รู้แต่ไม่กล้าคิดไปเองหรือเปล่า”

คนในพื้นถึงกับหันขวับจนคอแทบเคล็ด “หมายถึงอะไรหรือครับ”

“เฮ้อ” ปราชญ์ถอนหายใจแล้วมองผ่านหน้าต่างไปตรงดวงจันทร์ที่สาดส่อง ได้แต่คิดว่าจะค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป หรือเดินหน้าให้มันสุดเลยดีนะ “ต้นสน” ปากบางเอ่ยออกมาแม้ดวงตาจะยังจดจ้องแสงสีเงินด้านนอกอยู่

“ต้นสนคิดอย่างไรกับพี่”

พอได้ยินคำถามนั้นดวงใจของเด็กหนุ่มก็เต้นแรง “อะไรนะครับ?”

“ต้นสน” ปราชญ์ก้มมองอย่างเดิมด้วยใบหน้าจริงจัง “พี่ชอบต้นสน”

ต้นสนกระเด้งตัวขึ้นทันที ดวงตาเบิกโตจนคนมองหัวเราะออกมา “ตกใจหรือ”

“พี่... พี่ปราชญ์ เดี๋ยวนะครับ”

คนเป็นพี่ถอนหายใจลุกขึ้นนั่งบ้างพร้อมกับวางมือลงบนบ่าน้อง “ใจเย็น ๆ นะ ค่อย ๆ คิด”

ต้นสนก้มลงพรูลมหายใจพลางคิดตามอาการตื่นตระหนกเริ่มหายไปแต่แทนมาด้วยความเขินอายแทน “พี่ปราชญ์พูดจริงหรือครับ”

“หื้อ เรื่องที่ชอบต้นสนน่ะหรือ” ปราชญ์ยิ้ม “ใช่สิครับ”

“เมื่อไรครับ ทำไมผมไม่รู้”

“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตั้งแต่เมื่อไร รู้อีกทีก็ชอบเสียแล้ว”

ต้นสนเพิ่งจะเข้าใจความเขินก็ตรงนี้ ใจเต้นแรงจนแทบระเบิดออกมา “เรื่องจริงหรือนี่”

เมื่อเห็นว่าน้องเอาแต่ก้มหน้าพูดกระซิบกับตัวเองจึงยีหัวด้วยความเอ็นดู “ไม่รู้ว่ามันจะรวดเร็วไปหรือเปล่า แต่พี่ก็อยากบอกให้รับรู้ไว้ เพราะพี่เองก็ไม่อยากจะรับรู้อะไรคนเดียวแล้วปล่อยให้ต้นสนคิดมากไปเอง”

“รู้? นี่อย่าบอกนะครับว่ารู้แล้วว่าผมรู้สึกยังไง”

ปราชญ์พยักหน้า “ชายธันเล่าให้พี่ฟังหมดแล้ว”

ต้นสนถึงกับคอตก “โธ่เอ้ย”

“รู้สึกไม่ดีหรือ พี่ขอโทษนะ”

“เปล่าครับ เปล่า” ต้นสนรีบเงยหน้าโบกไม้โบกมือ “ผมแค่คิดว่าจะรอไถ่โทษไปเรื่อย ๆ และดูแลไปเรื่อย ๆ ไม่อยากเร่งรีบเพราะยังมีความผิดอยู่”

“เฮ้อ เด็กหนอเด็ก” ปราชญ์ส่ายหน้าแล้วลูบผมน้อง “เราลองหยุดคิดสักพักแล้วมาเปิดใจคุยกันดีไหม”

ต้นสนเม้มปากก่อนจะพยักหน้า “ครับ”

“พี่จะบอกว่าพี่ไม่ติดใจอะไรกับเรื่องที่มันผ่านมาแล้ว พี่รู้ว่าต้นสนคงเจ็บปวดมามากและคงไม่มีเหตุผลอะไรที่พี่จะปล่อยให้ต้นสนเอาแต่คิดว่าพี่ไม่ได้รู้สึกอะไรอีกแล้ว พี่อยากพูดในสิ่งที่อยากพูด อยากบอกในสิ่งที่คิด อยากปรับความเข้าใจกันตรง ๆ ถอยเรื่องความคิดคนละก้าวและเดินหน้ามาพูดคุยกันจะดีกว่า”

“นั่นสิครับ ผมเองก็อยากพูดอะไรมากมาย แต่ไม่กล้าพูด”

“ถ้าอย่างนั้นลองพูดในสิ่งที่ตัวเองรู้สึกออกมาก่อนสิ”

ต้นสนพยักหน้าก่อนจะนั่งหันหน้าเข้าหา เงยหน้าตามมือบางที่ประคองใบหน้าเขาให้เงยขึ้นมองกันอยู่ “ผมชอบพี่ปราชญ์นะครับ”

ความรู้สึกที่อัดอั้นมานานถูกบอกกับเจ้าของในวันนี้ ต้นสนรู้สึกโล่งไปทั้งอก ยิ่งเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายก็ยิ่งอุ่นใจ รู้สึกดีกว่าเก็บเอาไว้คนเดียวเป็นไหน ๆ

“พี่ก็ชอบต้นสนนะ” ปราชญ์ยิ้มก่อนจะก้มลงเอาหน้าผากแนบกับอีกฝ่าย ดวงตาทั้งสองที่สบกันยิ่งมีความหมายยิ่งกว่าเดิม จุมพิตต่อหน้าพระจันทร์ให้เป็นสักขีพยาน ความวาบหวามที่บางเบาและหอมหวานเคลื่อนเข้าหากันไปตามอารมณ์ แขนขาวโอบรอบคอคนบนพื้น ก่อนที่ต้นสนจะค่อย ๆ ลุกขึ้นนอนทาบไปกับโซฟาโดยที่ปากของทั้งคู่ยังคงแนบสนิทกันไม่ปล่อย

ผละออกมามองหน้ากันจากนั้นก็ทำอย่างเดิม ปราชญ์เอียงคอให้จูบอย่างถนัดยิ่งขึ้น จากนุ่มนวลเปลี่ยนเป็นไฟโหม ลิ้นร้อนต่างกวัดเกี่ยว และต้นสนก็แพ้ให้กับคนใต้ล่างที่ชำนาญยิ่งกว่าตน

“ค่อย ๆ นะ หายใจเข้าลึก ๆ” ปราชญ์ลูบแก้มน้องที่ผละออกไปกอบโกยอากาศ

ต้นสนที่ทำอะไรที่ดูน่าอายเลยก้มไปซุกกับคออีกฝ่าย “ผม…”

ปราชญ์ยิ้มพลางส่ายหัวโอบกอดแล้วลูบหลังเบา ๆ ให้คลายกังวล “ไม่เป็นไรต้นสน ไม่จำเป็นต้องคิดมาก” ไม่ว่าเปล่าปากบางก็เคลื่อนไปจูบใบหูของคนด้านบน

“ไม่คิดเลยว่าจะมีวันนี้”

“ยิ่งกว่าฝันใช่ไหม”

“ครับ” ต้นสนตอบเสียงอู้อี้

“พี่ก็คิดอย่างนั้น มันยิ่งกว่าฝันเสียอีก”

ต้นสนผละออกมาไล่มองใบหน้าอีกฝ่ายอย่างห่วงแหน มือหนายกขึ้นเกลี่ยพวงแก้มและก้มลงไปจูบเพียงชั่ววิถึงจะละออก “ดีใจนะครับที่พี่ปราชญ์ยอมรับผม”

“พี่ก็ดีใจที่ต้นสนยอมรับในตัวพี่” ทั้งคู่คลี่ยิ้มให้กัน แต่ก่อนจะทำอะไรมากกว่านั้นเสียงหยาบโลนภายในห้องอีกฝั่งก็ดังขึ้น เป็นเสียงชายหญิงสลับกัน และคงจะมากกว่าหนึ่งคู่

ต้นสนชะโงกหน้าขึ้นมองทางห้องนอนของเพื่อนทั้งสองอย่างเหนือและโทนก่อนจะส่ายหน้า “เสียงดังจังไอ้พวกนี้”

ปราชญ์หัวเราะ “ปล่อยเพื่อนไปเถอะ”

“มันไม่เกรงใจคนอื่นเลยนี่ครับ ทำอะไรไม่เบาเสียงเลย”

“ไม่เป็นไร เราก็มานอนกันเถอะนะ” ปราชญ์ว่าแล้วเขยิบให้ต้นสนลงมานอนด้วย

“ไม่อึดอัดหรือครับ”

“พี่อยากนอนกอดเรา” ปราชญ์ยิ้มบางเมื่อต้นสนนอนติดกับพนักพิงโซฟาแล้วเลยขออนุญาตนอนซุกกับอกหนา

ต้นสนที่นิ่งไปกับคำพูดนั้นกลับตัวแข็งอีกรอบเมื่อเส้นผมอีกฝ่ายปัดผ่านจมูก และคิดว่าพี่ปราชญ์คงรู้เลยลูบหลังให้หายเกร็ง ต้นสนถึงจะดีขึ้นแล้วยอมนอนกอดอีกฝ่ายแทน







จบบทที่ ๑๕

-------------------------------------------------------------------

ขอโทษนะค้าบบบที่หายไปนานเลยยย เพราะว่าอยู่ในจุดที่สมองตันมากๆ

นอกจากเรื่องธุระส่วนตัวแล้วยังมีเรื่องการเมือง "ถ้าการเมืองดีนักเขียนจะแต่งนิยายออก" นั่นเองค่าาา

ขอให้ทุกคนสู้เพื่อประชาธิปไตย และขออภัยหากต้องเขียนนิยายล่าช้า

แล้วก็มีอะไรจะสารภาพบาป ว่าจะไม่บอกแล้วแต่บอกดีกว่า จริงๆแล้วเราวางเนื้อเรื่องตอนแรกไว้คือพี่ปราชญ์ไม่ได้มีแฟน55555555555555555555555555555555555555555555555555555555

แต่แต่งไปแต่งมาภวัตมายังไงไม่รู้ // ฟาดหน้าตัวเองสักที

แค่บอกไว้เฉยๆค่ะว่าพล็อตก่อนแต่งคือต้นสนแค่งอนพี่ปราชญ์ที่กลับมาแล้วจำต้นสนไม่ได้เท่านั้น แต่ดันให้พี่ปราชญ์มีแฟนเฉย 55555

อยากสารภาพออกมาเพราะอัดอั้นมากจริงๆ คือพอเรื่องมาถึงจุดนี้จะรีไรท์กลับไปอย่างเดิมก็ไม่ไหวแล้ว ผูกปมซะขนาดนี้ ฮืออออออ


ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑๕
«ตอบ #59 เมื่อ25-10-2020 13:07:01 »

 :pig4:
 :3123:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด