บทที่ ๗
เกลียด?
ปี ๒๕๑๔
พระนคร, ประเทศไทยผู้คนในวังต่างวิ่งวุ่นกันหมดโดยเฉพาะในครัวที่หม่อมย่าสร้อยเข้ามาดูด้วยตัวเองเลยทีเดียว ส่วนหม่อมแหวนก็เป็นลูกมืออยู่ข้าง ๆ สมพงษ์ออกไปรอรับคุณชายใหญ่ของวังที่จะกลับมาถึงอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
“ตาใหญ่เขาชอบผัดพริกแกง ต้องทำเยอะ ๆ เลยนะ” หม่อมย่าสร้อยพูดเพียงเท่านั้นคนใช้ในครัวก็ตอบรับกันทันที
“แกงสายบัวด้วยค่ะคุณแม่”
“เอ้อใช่ ไปเด็ดบัวมาหรือยังเจ้าแตง”
“ไปเดี๋ยวนี้แหละค่ะ” แตงรีบลุกออกไปพร้อมตะกร้า
“ทำอะไรให้มันเสร็จ ๆ สิ เดี๋ยวทำไม่ทันชายใหญ่กลับมาพอดี” หม่อมย่าคิ้วมุ่นก่อนจะไปปรุงอาหารเพิ่ม
“นี่ถ้าชายกรณ์กับชายเล็กไม่ติดงานนะคะ คงวิ่งไปรับพี่ชายคนโตทันที”
“นั่นสิ เด็ก ๆ ก็โตกันหมดแล้ว เจอกันช่วงเย็นและวันหยุดเท่านั้น บางทีก็ไปทั้งท่านชายและแหวนที่ก็มีงานเหมือนกัน แม่อยู่บ้านนะเหงาแย่”
“โธ่คุณแม่คะ เดี๋ยวแหวนอยู่เป็นเพื่อนก็ได้ งานของแหวนไม่มากเท่าใด” ในครัวต่างครึกครื้น ผ่านไปไม่นานท่านชายกับชายเล็กก็กลับจากทำงาน ส่วนชายกรณ์ก็กลับตามมาติด ๆ
“หอมจังเลย หิวแล้วสิ” ชายกรณ์ลูบท้องยังอยู่ในชุดทหารเต็มยศ ใบหน้าประดับรอยยิ้ม
“ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าสิครับ อีกเดี๋ยวพี่ชายใหญ่ก็จะกลับมาแล้ว” ชายเล็กที่ทำธุระของตัวเองเสร็จเรียบร้อยเดินลงบันไดมาบอกพี่คนกลาง
“จริงด้วย เดี๋ยวพี่มานะ” ชายกรณ์ตบบ่าน้องชายแล้วรีบขึ้นห้อง
ชายเล็กจึงเดินไปในห้องนั่งเล่น เห็นเด็จพ่อนั่งอ่านหนังสืออยู่พอดี
“อ่าวชายเล็ก ชายกรณ์กลับมาหรือยัง”
“กลับมาแล้วครับ กำลังอาบน้ำอยู่”
ท่านชายนนท์คลี่ยิ้ม “จะได้เจอลูกชายพร้อมหน้าพร้อมตาสามคนเสียที”
ชายเล็กพยักหน้าแล้วเอาหนังสือมาอ่านบ้าง ผ่านไปครู่ชายกรณ์ก็ลงมาร่วมวง ยังคงพูดคุยเยอะเป็นพิเศษ
“คุณชายใหญ่กลับมาแล้วค่ะ” คนใช้สาวที่ได้ยินเสียงรถหน้าวังตะโกนบอก ทุกคนจึงรีบออกมาต้อนรับ มีคนใช้บางส่วนจัดโต๊ะกับข้าว
คนใช้สาวเดินไปเปิดประตูให้ชายใหญ่ ก่อนที่ร่างสูงเพรียวจะก้าวขาออกมา มือเรียวกระชับเสื้อสูทสีครีมและติดกระดุมเข้าด้วยกัน แว่นตาทรงกลมขอบทองเด่นสะดุดตา ใบหน้าของชายปราชญ์ไม่ได้ดูแตกต่างจากเมื่อตอนยี่สิบสักเท่าใดเลย ที่ต่างคงเป็นส่วนสูงที่เพิ่มขึ้นและความสุขุมของผู้ใหญ่
ปราชญ์จุดยิ้มบางก้มหัวขอบคุณสาวใช้และเดินเข้าไปในวัง ทุกย่างก้าวย่ำอย่างพอดีไม่ช้าและไม่เร็วจนเกินไป
“เด็จพ่อ หม่อมย่า คุณน้า” เรียกชื่อผู้ใหญ่แต่ละท่านและก้มสวัสดี ก่อนที่จะตกใจเมื่อชายกรณ์เข้ามากอด
“คิดถึงพี่ชายใหญ่จังเลยครับ” ชายกรณ์ยิ้มกว้างยังคงกอดไม่ปล่อย
“เพิ่งโทรทางไกลหาไม่ใช่หรือ”
“แต่ก็ยังคิดถึงอยู่ดีครับ”
ปราชญ์ยิ้มขำแล้วตบบ่าน้องก่อนจะหันไปกอดชายเล็ก
“ยินดีต้อนรัยกลับนะครับ”
“ขอบใจนะ” ปราชญ์ตบหลังน้องแล้วผละออกไปหาหม่อมย่าสร้อยที่อ้าแขนรอทันที
“โตขนาดนี้แล้วหรือหลานย่า คิดถึงเสียจริง”
“ผมก็คิดถึงหม่อมย่าครับ”
“ไปที่โต๊ะทานข้าวกัน ย่าทำของอร่อย ๆ ไว้ให้ชายใหญ่เพียบเลย”
“ขอบคุณมากนะครับ”
“จ้ะ”
“ไงลูกชาย” ท่านชายนนท์เดินมาโอบไหล่ที่ลูกชายสูงกว่าตนแล้ว
“เด็จพ่อเป็นยังไงบ้างครับ”
“สบายดี ยังวิ่งจับผู้ร้ายได้อยู่”
พอได้ยินอย่างนั้นสองพ่อลูกก็หัวเราะ “เดี๋ยวก็จะเกษียณแล้ว คงน่าเสียดายที่ตำรวจเก่ง ๆ ขนาดนี้เกษียณไป”
“พูดแบบนี้ พ่อได้ขออยู่ต่อพอดี”
ปราชญ์หัวเราะจนตาหยีก่อนจะหันไปก้มหัวให้น้าแหวน “คุณน้าอย่าลืมห้ามคนข้าง ๆ ไว้ด้วยนะครับ”
“ได้เลย ทำเก่งไปอย่างนั้นแหละ วิ่งทันชายเล็กหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“อ่าวคุณ”
ทุกคนต่างหัวเราะออกมา พอเข้าห้องครัวท่านชายนนท์ก็นั่งหัวโต๊ะเช่นเดิมฝั่งซ้ายมือก็มีหม่อมสร้อยและหม่อมแหวน ส่วนฝั่งขวาเป็นชายใหญ่ตามด้วยชายกรณ์และชายเล็ก
“ชายใหญ่ไปเรียนสิบปีใช่ไหม” ย่าสร้อยถาม
“สิบห้าปีครับหม่อมย่า”
“นานเหมือนกันนะ ชายเล็กกลับมาก่อนใครเลย”
“ชายกรณ์ไปเรียนสิบเอ็ดปี ส่วนชายเล็กไปเรียนหกปีและกลับมาต่อที่โรงเรียนนายร้อยที่ไทย” หม่อมแหวนอธิบาย
“นานขนาดนี้มีใครแล้วหรือยังชายใหญ่” หม่อมย่าเปิดประเด็นนี้ขึ้นทั้งโต๊ะก็เงียบขึ้นมา
ชายกรณ์กับชายเล็กติดเรียนและงานจนแทบไม่ได้คุยเรื่องนี้เลย สองพี่น้องมองหน้ากันก่อนจะหันไปมองพี่คนโตที่ยังคงจุดยิ้มบางไม่ได้มีท่าทีใดใด
“ยังเลยครับ”
“อายุขนาดนี้แล้ว น่าจะออกเรือนได้แล้วนะลูก” หม่อมสร้อยเสริมทำให้ชายกรณ์กับชายเล็กได้แต่นั่งกลืนน้ำลายกันสองคน
ต่างจากคนพี่ที่ยังคงรักษาอารมณ์วางมาดได้อย่างปกติดี “ผมยังไม่คิดเรื่องนั้นเลยครับคุณน้า”
“แต่ก็ต้องรีบหานะ ไม่ว่าชายใหญ่จะรักจะชอบใครไม่ต้องปิดบังนะ ย่ารับได้”
“ขอบคุณครับ ไว้ถ้าผมเจอแล้วผมจะรีบบอกทันทีครับ”
ย่าสร้อยและแหวนพยักหน้า ก่อนจะไปจบที่ชายกรณ์ต่อ “ชายกรณ์ปีหน้าก็จะสามสิบแล้ว มีบ้างไหม”
ชายกรณ์ยิ้มแหย “อยู่แต่กับกองทัพ ไม่มีเวลาไปหาหรอกครับคุณย่า”
“เจ้าเด็กคนนี้นะ ส่วนชายเล็กยี่สิบสองแล้วก็รีบหา ๆ ไว้ก่อนเลย เดี๋ยวจะเหมือนพวกพี่ ๆ เขาที่อายุป่านนี้แล้วยังไม่มีกันเลย เดี๋ยวจะแก่ไม่ทันมีลูกกันหมด”
คุณชายทั้งสามทำเพียงยิ้มบาง
“จะมีใครก็ขอให้ดีกับเขา ให้เกียรติและดูแลให้ดี” ท่านชายนนท์พูดขึ้นทั้งสามจึงตอบรับพร้อมกัน
ทั้งครอบครัวพูดคุยกันเยอะกว่าทุกวัน กับข้าวก็พร่องลงเรื่อย ๆ ชายใหญ่ทานเยอะกว่าใครเพราะบ่นว่าคิดถึงอาหารไทย หม่อมย่าก็ปลื้มใจ
ทุกคนจึงไปอยู่ในห้องนั่งเล่น ปราชญ์เลยเตรียมของที่ซื้อจากอังกฤษและอิตาลีมาฝากทุก ๆ คน
“สโคนและชาจากอังกฤษครับ” เขายื่นให้คุณย่าและคุณน้า
“น่าทานมากเลย สรไปจัดเป็นของหวานหน่อย”
“ได้ค่ะ” นมสรรีบรับไปจัดเตรียมให้เพื่อแก้ของคาว
ปราชญ์ยื่นหนังสือวรรณกรรมอีกสองสามเล่มให้ชายเล็กเพราะชอบอ่านหนังสือไม่ต่างกัน ส่วนชายกรณ์ก็รับเอาแผ่นเสียงที่ขึ้นชื่อที่อิตาลีไปเพื่อเปิดเวลาอยู่ในกรม
ของเด็จพ่อก็เป็นวรรณกรรมและจิปาถะอีกเล็กน้อย รวมถึงให้ของมากมายกับคนใช้ในวังทุกคน
“แล้วนั่นของใครหรือชายใหญ่” ท่านชายนนท์ถามถึงของอีกสี่ห้าอย่างที่ถูกวางไว้
“อ่อ อันนี้ของทางบ้านพี่เฟื้องน่ะครับ”
“อย่างนั้นหรือ เอาไปให้เลยไหม พ่อเองก็ยังไม่ได้บอกเจ้าเฟื้องเลยว่าชายใหญ่กลับมาแล้ว”
ปราชญ์ชั่งใจเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้น “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมมานะครับ กลัวจะค่ำซะก่อน”
พอเด็จพ่อพยักหน้าปราชญ์ก็เดินออกจากห้องพร้อมของในมือ ปากบางจุดยิ้มเมื่อนึกถึงใครบางคนที่ไม่ได้เจอกันสิบห้าปี
แม้ว่าจะไม่มีจดหมายมาให้เลย แต่พอชายเล็กบอกว่าได้เป็นเพื่อนสนิทกับต้นสนก็อดดีใจกับทั้งคู่ไม่ได้
“พี่ชายใหญ่ครับ” ชายเล็กรีบวิ่งออกมา ปราชญ์ขมวดคิ้ว
“มีอะไรหรือ”
“คือ...” ชายเล็กทำหน้าเครียด คล้ายมีอะไรในใจ
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
“ผมไปด้วยครับ”
ได้ยินอย่างนั้นคนพี่ก็หัวเราะเล็กน้อย “พี่ไปคนเดียวได้ แค่ไปให้ของเท่านั้น”
“ก็ได้ครับ”
ปราชญ์ยิ้มบาง “เป็นห่วงพี่หรือ”
ชายเล็กหลุบตาลงและพยักหน้าแทนการตอบ
“ไม่ต้องห่วงนะ พี่ยังไม่ถามต้นสนตอนนี้หรอก บอกแล้วว่าแค่เอาของไปให้”
“ครับ”
เมื่อปราชญ์เห็นว่าน้องไม่เป็นไรแล้วจึงเดินเลี่ยงไปทางข้างวัง ข้ามสะพานที่คุ้นตาไปอีกฝั่ง ทุกอย่างยังเหมือนเดิมแต่ดูเหมือนว่าไร่นากับไร่ต้นตาลรวมถึงโรงสีของพี่เฟื้องจะใหญ่โตขึ้นมาก เรียกได้ว่าที่นี่มีหมู่บ้านขึ้นมาอีกหมู่บ้านหนึ่งเลยก็ว่าได้ ข้างล่างเรือนไม้แห่งนี้ดูจะเติมต่อจนกลายเป็นบ้านสองชั้น
ปราชญ์ก็ลืมถามเลยว่าคนครอบครัวนี้อยู่ด้านบนหรือข้างล่างกัน เลยได้แต่ยืนด้อม ๆ มอง ๆ ข้างหน้า
“หือ มาหาใครคะ” เสียงใสของเด็กสาวคนหนึ่งถามก่อนที่เธอจะเดินลงมาจากบนชั้นสอง
ปราชญ์เอียงหัวเล็กน้อย คนนี้ใครกันใช่คนงานหรือเปล่า “คือผมชื่อปราชญ์ครับ อยากจะถามว่าพี่เฟื้องอยู่ไหมครับ”
เด็กสาวนิ่งไปตั้งแต่ตอนแนะนำตัว เธอตกตะลึงจนคนมองทำตัวไม่ถูก “พี่ปราชญ์...”
คำเรียกนี้ทำปราชญ์อดสงสัยไม่ได้ก่อนจะนึกออกและลองเชิงถาม “ฟ้าใส.. ใช่ไหม”
เด็กสาวยิ้มกว้างพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ใช่ค่ะ”
“โห ไม่เจอกันนาน โตเป็นสาวแล้วนะ”
“พี่ปราชญ์จำฟ้าใสได้ด้วยเหรอคะ” เพราะเธอไม่เคยไปเล่นกับพี่ปราชญ์เลย มีแต่พี่ปราชญ์มาเล่นที่บ้าน แต่ก็ยังคงไม่ได้เล่นด้วยบ่อยเท่าพี่ต้นสนอยู่ดี
“จำได้สิคะ”
ฟ้าใสอดแก้มแดงไม่ได้ เพราะเสียงทุ้มนุ่มนี้ “ดีใจจังเลย ถ้าอย่างนั้นขึ้นมาก่อนเลยค่ะ พ่อเฟื้องไปดูโรงสีอยู่ ส่วนแม่ต้นอ้ออยู่อีกบ้านหนึ่งดูและคุณย่ากับคุณตาอยู่ค่ะ พี่ต้นสนไปช่วยคนงานตามประสาคนไม่มีอะไรทำหลังกลับจากงาน”
พอได้ยินชื่อใครหัวใจก็เต้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ “ไม่เป็นไรค่ะ พี่แค่เอาของมาให้ไว้ฝากบอกพี่เฟื้องและพี่ต้นอ้อให้ด้วย ของนี่ก็ให้พวกท่าน และของฟ้าใสกับต้นสนก็มีนะ ส่งตรงจากอังกฤษและอิตาลีเลย”
“โหย ขอบคุณนะคะ” ฟ้าใสยกมือไหว้และรับของไป
“ไว้พรุ่งนี้หรืออาจจะเป็นวันมะรืนพี่จะมาหาอีกทีนะ”
“ได้เลยค่ะ จะบอกพ่อกับแม่ไว้ให้ พวกท่านต้องดีใจมากเลยที่พี่ปราชญ์กลับมาแล้วโดยเฉพาะพี่ต้นสน ถึงฟ้าใสจะยังเด็กแต่จำได้ว่าพี่ต้นสนติดพี่ปราชญ์มาก”
ปราชญ์ทำเพียงยิ้มบาง ก็หวังว่าจะได้คุยกับต้นสนเหมือนกัน อยากเห็นว่าจะดีใจไหมที่พี่คนนี้กลับมาแล้ว “ถ้าอย่างนั้น พี่ขอตัวก่อนนะคะ”
“ค่ะ ขอบคุณสำหรับของฝากนะคะ”
ชายหนุ่มพยักหน้าหันมองด้านหลังที่เป็นบ้านคนงาน ก็อดจะมองหาคนที่อยากเจอไม่ได้ แต่ก็คงไม่พบ เขาไม่เคยเห็นรูปตอนโตของต้นสนเลย ไม่รู้ว่าเปลี่ยนไปขนาดไหนแล้ว เคยขอชายเล็กให้ส่งรูปมาให้ดูบ้าง แต่ก็ไม่เคยได้เสียที
ถ้าเจอกันจะถามให้ได้เลยว่าทำไมถึงไม่ตอบจดหมาย
เฝ้าคำนึง
เช้าของอีกวันมาถึงปราชญ์ต้องไปทำเรื่องเข้าบรรจุเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย เพราะได้ให้ชายกรณ์จัดการเรื่องสมัครไว้แล้ว รอกลับมายื่นเรื่องทีเดียว
“จะไปแล้วหรือ”
“ครับเด็จพ่อ”
“ถ้าตอนเที่ยงอยากทานอะไร ไปทานร้านก๋วยเตี๋ยวที่เยาวราชได้นะ ร้านป้าเช้ง จำได้ไหม”
ปราชญ์พยักหน้า “จำได้ครับ ว่าแล้วก็อยากทานเลย”
“มาทานด้วยกันได้นะ มีแต่คนรู้จักทั้งนั้น”
“ได้ครับ ไว้ผมจะไป ตอนเที่ยงใช่ไหมครับ”
ท่านชายนนท์พยักหน้าก่อนจะขึ้นรถไปกับชายเล็กที่เป็นคนขับ เพราะทำงานที่กรมพระนครเหมือนกัน
“หวังว่าจะได้เข้านะครับ อาจารย์” ชายกรณ์โบกมือและขึ้นรถของตัวเอง
“ขับรถดี ๆ นะ” ปราชญ์บอกน้องก่อนที่ตนจะขับรถของตัวเองบ้าง
มาถึงมหาลัยก็ทำอะไรนานพอควร ปราชญ์ยกนาฬิกาขึ้นดูทันทีหลังจากเสร็จทุกอย่าง
“จะทันไหมนะ” ได้แต่บ่นออกมา รีบก้าวเท้าอย่างรวดเร็วจนเกือบวิ่ง เพราะเป็นเวลาเที่ยงมาได้สักพักแล้ว
ขับรถมาถึงเยาวราชก็เกือบสามสิบนาที ปราชญ์พับเสื้อสูทอย่างดีและเอาไว้ในรถแทน ตอนนี้จึงมีเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวกับเสื้อกั๊กสีน้ำตาลเท่านั้น
“นั่นไงมาแล้ว” ท่านชายนนท์มองลูกชายที่รีบเดินเข้ามา
“ขอโทษนะครับที่ให้รอ”
“ไม่เป็นไรนั่งสิ”
“ครับ” ปราชญ์นั่งลงใกล้กับน้องชายที่มาด้วย ถัดจากชายเล็กไปไม่รู้ว่าคือใคร แต่ดูยังหนุ่ม น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับชายเล็ก ปราชญ์มองค้างไปสักพัก เพราะถูกดวงตาเรียวเล็กนั้นจับจ้อง ใบหน้าคมดุนั้นทำให้ปราชญ์เผลอกลั้นหายใจโดยไม่รู้สาเหตุ
“นี่อธิบดีกล้า”
“โธ่ท่านชาย ผมยังเป็นรองอยู่เลยครับ” อดีตหมวดกล้าตอนนี้เป็นท่านรองพูดเสียงเบา ปราชญ์ยกมือสวัสดีท่าน
“แล้วนี่คืออธิบดีอิฐ”
“สวัสดีครับ”
“หน้าคล้ายคุณปิ่นเลยนะ” อธิบดีอิฐว่า
ปราชญ์จึงคลี่ยิ้มผงกหัวเป็นการตอบรับ
“เหมือนแม่ทุกอย่างเลยเด็กคนนี้น่ะ นิสัยก็คล้ายเคียง ใจดีแต่เวลาโกรธนะน่ากลัว เป็นงานบ้านยิ่งกว่าสาวใช้บางคนในวังเสียอีก แล้วก็ยังเป็นอาจารย์เหมือนแม่เขาล่ะ” ท่านชายนนท์พูดพลางยิ้ม พลันใจก็อุ่นซ่านยามคิดถึงภรรยาเก่า
“ผมไม่เคยโกรธเลยนะครับ เด็จพ่อก็ทูลเกินจริง”
“ไม่เกินไปหรอก ถามชายเล็กสิ ยอมพี่เขาตลอด”
ชายเล็กพยักหน้าปราชญ์จึงคลี่ยิ้มออกมา
“พี่เป็นอย่างนั้นหรือ”
“ทุกครั้งที่ผมดื้อนั่นแหละครับ”
“พี่ดุนิดเดียวเอง ไม่ได้โกรธเสียหน่อย”
“ก็เหมือนกันนั่นแหละ” ท่านชายนนท์ว่าก่อนจะผายมือทางอีกคนที่ยังไม่ได้แนะนำ “ส่วนนั่น—”
“
ผมหมวดชลันครับ” เสียงทุ้มขัดขึ้นก่อนที่หมวดชลันจะผงกหัวขอโทษผู้ใหญ่ที่พูดแทรก
“ทำตัวดี ๆ หน่อย” รองกล้าอดจะเตือนไม่ได้
“ขอโทษครับ”
“ไม่เป็นไรหรอก” ท่านชายนนท์พอจะเข้าใจเมื่อเห็นชายเล็กส่งสายตามา
ปราชญ์อดไม่ได้ที่จะอึดอัดขึ้นมา หมวดชลันดูเหมือนไม่ค่อยยากจะพูดคุยกับเขาสักเท่าใด
“เป็นเพื่อนกับชายเล็กน่ะ”
ปราชญ์พยักหน้าและหันไปยิ้มให้ตามมารยาท “ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
หมวดชลันทำเพียงผงกหัว ใบหน้ายังคงเรียบนิ่งและก้มหน้ากินก๋วยเตี๋ยวต่อ
“แล้วเรื่องที่มหาลัยเป็นอย่างไรบ้างล่ะ”
“คงได้ไปเริ่มสอนวันมะรืนน่ะครับ”
“อืม ดีแล้ว ไว้จัดงานพรุ่งนี้เลยนะ”
ปราชญ์ขมวดคิ้วทันที “งานอะไรหรือครับ”
“ก็งานต้อนรับกลับมาของชายใหญ่ไง”
“โธ่ เด็จพ่อครับ”
“เอาหน่า จะได้จัดให้กับน้องด้วยไง”
“ผมจัดไปแล้วไม่ใช่หรือครับ” ชายธันว่าก่อนจะเม้มปากเมื่อเผลอผิดประเด็น “จริงด้วยครับ จัดต้อนรับสามคนเลยก็ดี”
ปราชญ์อดจะส่ายหัวให้กับสองพ่อลูกคู่นี้ไม่ได้ “เอาเถอะครับ ผมยังไงก็ได้”
“ดีเลยนะครับ ผมจะได้เอาของต้อนรับมาให้”
“ไม่เป็นไรครับท่านรอง”
“นั่นสิ ผมก็ว่าจะเตรียมไว้ให้เหมือนกัน”
ปราชญ์เกรงใจพวกท่านแต่คงห้ามผู้ใหญ่ไม่ได้
เมื่อถึงเวลาที่ต้องไปทำงาน ท่านชายนนท์ก็นั่งรถด้านหลังพร้อมกับท่านรองและอธิบดีอิฐ ส่วนหมวดชลันขับและชายเล็กนั่งข้างคนขับ
“ชายใหญ่กลับไปบอกที่บ้านไว้เลยนะเรื่องจัดงาน”
“ได้ครับ” ปราชญ์พยักหน้าก่อนจะยืนรอให้รถคันนี้ออกไปก่อน สายตาก็ผันไปมองหมวดชลัน คนแอบมองตกใจไม่น้อยเมื่ออีกฝ่ายก็หันมองเช่นกัน ดวงตาทั้งสองสบกันอยู่อย่างนั้นแล้วก็เป็นหมวดชลันที่หันไปมองถนนทำหน้าที่ขับรถแทน
ถึงเพิ่งจะเคยเจอกัน แต่ปราชญ์คิดว่าผู้ชายคนนี้คงมีอะไรในใจ จะเกี่ยวกับเขาหรือเปล่าก็ไม่อยากจะใส่สีตีความไปเอง ไว้รอถามชายเล็กเสียดีกว่า
เฝ้าคำนึง
ตลอดทั้งวันปราชญ์ได้ออกไปชมในเมืองว่ามีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง บางที่ก็ต่อเติมมากขึ้นและมีของขายเยอะทีเดียว ซื้อของน่ากินมาเยอะเพราะคิดถึงขนมที่ไทย เขาเอาไปให้ป้าสรเพื่อแจกจ่ายคนใช้ เพราะปราชญ์คงทานคนเดียวไม่หมด
จนเย็นแล้วก็ได้ยินเสียงรถขับเข้ามา เด็จพ่อไปพักที่ห้องส่วนชายธันก็ขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่เพียงครู่น้องก็เดินลงมา
“จะไปไหนหรือชายธัน”
“ไปสอนหนังสือเด็กน่ะครับ”
“หื้อ เด็กที่ไหน” ปราชญ์วางหนังสือลงแล้วลุกไปหาน้อง
“เด็กคนงานที่ไร่น้าเฟื้องครับ พอดีว่ามีเด็กบางคนที่ไม่มีเงินไปเรียนเลยเรียนที่วัด ผมเลยว่าจะไปช่วยสอนเพิ่มเติม”
ปราชญ์ยิ้มขึ้นมาทันที “พี่ไปด้วยสิ พี่อาจจะสอนภาษาอังกฤษให้เด็ก ๆ ได้”
ชายธันนิ่งไปครู่คล้ายคิดอะไรก่อนจะพยักหน้า “ได้ครับ”
“หรือเราจะดูแลเรื่องเงินระหว่างเรียนดีไหมชายธัน” ปราชญ์เปิดปากถามทันทีเมื่อเดินออกมากับน้อง
“ผมก็เคยคิดครับ แต่ว่าที่บ้านเขาเกรงใจไม่ขอรับไว้ หวังว่าจะให้ลูกโตมาทำงานเลย”
“แบบนั้นก็ไม่ใช่เรื่องดีนะ เรียนรู้บ้างประดับสมองไว้”
“เคยพูดแล้วครับ แต่ก็ไม่เอากัน”
ปราชญ์ถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยเขาเท่าที่ช่วยได้แล้วกัน เด็ก ๆ จะได้มีความรู้ติดตัว”
ทั้งสองเดินมาจนถึงไร่ ปราชญ์อดมองขึ้นไปบนบ้านของพี่เฟื้องไม่ได้ และชายธันคงรู้ดีจึงเอ่ยบอก
“อยากเจอต้นสนหรือครับ”
“ก็อยากนะ แต่ไม่รู้จะอยู่หรือเปล่า”
ชายธันมองไปบนบ้าน “ไม่อยู่หรอกครับ”
“ชายธันรู้ได้ยังไง”
“เดี๋ยวพี่ชายใหญ่ก็รู้ครับ” ชายธันว่าเพียงเท่านั้นก็เดินนำไปที่สอนเด็กก่อนใคร ตลอดทางเดินก็มีแต่คนทักทายชายธัน
เขาเห็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนขึ้นทำให้อดปลื้มใจไม่ได้ น้องชายเขาโตขึ้นแล้วสินะ
“พี่ธัน” เด็กเล็กนับหกคนตะโกนเสียงดังเมื่อเห็นอาจารย์จำเป็นเข้าบ้านแห่งหนึ่งที่ไว้สำหรับสอนเด็ก
ปราชญ์ยิ้มอย่างเอ็นดู เด็ก ๆ ดูรักชายธันมาก สิบห้าปีที่ไม่อยู่ที่ไทย ชายธันพัฒนานิสัยไปเยอะเลย นี่สินะความรู้สึกที่พ่อแม่เห็นลูกตนเองเติบโตขึ้น
เปรยยิ้มได้ไม่นานก็ต้องชะงักเมื่อหันไปเห็นใครบางคนที่เพิ่งเดินเข้ามา ดูอีกฝ่ายจะตกใจเหมือนกันที่เห็นเขา เป็นหมวดชลันที่เจอกันเมื่อตอนกลางวัน จะว่าไปแล้วก็ลืมถามชายธันเรื่องของคนคนนี้เลยว่าไม่ชอบอะไรเขาหรือเปล่า
“เด็ก ๆ พี่จะแนะนำให้รู้จักนะ พี่คนนี้ชื่อปราชญ์จะมาสอนหนังสือให้พวกเรา”
“จริงเหรอ” เด็กสาวคนหนึ่งเงยหน้าถาม
“จริงค่ะ จะมาสอนภาษาที่สองให้”
“อะไรคือภาษาที่สองหรือครับ”
ปราชญ์ยิ้มบางก้มตัวเล็กน้อยแล้วยกมือวางบนกลุ่มผมนุ่ม “ภาษาอังกฤษครับ ไว้ติดตัวเผื่อได้ทำงานกับคนต่างชาติ”
“โห” เด็ก ๆ ตาโตกันหมด
“เรียน ๆ อยากเรียนครับ” พอเด็กคนนึงตะโกนบอกทุกคนก็กระโดดโหยง ๆ พร้อมเพรียงลืมพี่ธันไปชั่วครู่เมื่อเจออาจารย์คนใหม่
“เดี๋ยวไว้วันหลังพี่จะซื้อหนังสือมาให้นะครับ อยากได้กันไหม”
“อยากได้ครับ/ค่ะ”
ปราชญ์รู้สึกอบอุ่นเมื่อเห็นเด็กเล็กน่ารักน่าเอ็นดูอย่างนี้ คิดถึงสมัยก่อนเลยนะ ที่มีเด็ก ๆ สามคนวิ่งห้อมล้อม
“ฉันลืมบอกไปว่าพี่ปราชญ์จะมาร่วมสอนด้วย” ชายธันบอกกับเพื่อนสนิทที่คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น
“ทำไมไม่คุยกันก่อน” น้ำเสียงแข็งกร้าวนั้นทำเอาปราชญ์ที่นั่งเล่นกับเด็ก ๆ อดจะเงยหน้ามองไม่ได้
“ขอโทษด้วย แต่มันก็ดีไม่ใช่หรือที่มีคนมาช่วยเพิ่ม พี่ปราชญ์ก็จบทางด้านครูมาคงช่วยอะไรได้เยอะ”
หมวดชลันยังคงดูคุกรุ่น “แต่ก็ต้องคุยกับฉันก่อน”
ปราชญ์เห็นท่าไม่ดีจึงบอกเด็ก ๆ ว่าให้ไปนั่งรอที่โต๊ะกันก่อน “ผมต้องขอโทษจริง ๆ ครับ ที่ไม่ได้มาขออนุญาตก่อน แต่ผมอยากสอนเด็ก ๆ อยากให้ความรู้พวกเขา”
หมวดชลันหันมอง “คุณก็มีงานของคุณแล้ว ไม่ต้องลำบากหรอกครับ”
คนมีน้ำใจถึงกับเสียความรู้สึกที่ถูกพูดอย่างนี้ใส่ “ผมไม่ลำบากเลย และผมก็เต็มใจมากที่จะมาสอน หากว่าหมวดชลันมีปัญหาอะไรกับผม ควรจะคุยกันตรง ๆ ไม่ใช่มาทำแบบนี้ นอกจากจะไม่ได้อะไรแล้ว คุณยังเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องเรียนของเด็ก ๆ”
บรรยากาศรอบกายเริ่มตึงเครียดเรื่อย ๆ ชายธันถอนหายใจแล้วหันมองเพื่อน “นายควรจะมีเหตุผลมากกว่านี้นะ”
หมวดชลันมองเพื่อนก่อนจะจำยอม “ก็ได้ครับ ผมก็แค่ห่วงว่าคุณคงจะไม่มีเวลาว่างมาก”
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ถ้าผมไม่ว่างผมจะมาบอก” ปราชญ์ยิ้มบางแต่ดวงตากลับไม่ยิ้ม ใช้ดวงตาฟาดฟันกันแทน เขาไม่ใช่คนใจเย็นขนาดนั้นและหากใครเอาเรื่องส่วนตัวมารวมกับคนอื่นก็ยิ่งไม่ชอบ ถ้าจะไม่ให้มาสอนเด็กเพราะเกลียดกันหรือเพราะอย่างอื่นก็ตาม ดูเป็นคนไม่มีความคิดเอาซะเลย
“ครับ ถ้าอย่างนั้นก็หวังว่าจะสอนได้ดีนะครับ” หมวดชลันเปรยยิ้มบ้าง แต่เป็นยิ้มที่เย้ยหยัน
“รับรองครับ”
ชายธันมองทั้งคู่สลับกันก็ได้แต่กุมขมับ แล้วรีบพาพี่ชายตนไปสอนเด็ก ๆ และทำความรู้จักเพื่อหยุดการปะทะคารมนี้
หมวดชลันนั่งอยู่ด้านหลังเอาแต่มองการสอนของผู้มาใหม่ ชายธันไปนั่งโต๊ะของผู้สอนเพื่อเตรียมหนังสือการสอนของตัวเอง
“ใครท่องเอบีซีได้พี่จะให้ขนมเป็นรางวัล จะท่องช้าท่องเร็วก็ได้ทุกคน ถ้าใครพร้อมก็บอกพี่ได้นะ ไม่ต้องรีบและไม่ต้องกลัวว่าจะจำไม่ทันเพื่อนนะครับ ถ้าใครได้แล้วก็ช่วยเพื่อนด้วยนะ”
“เย้” ทุกคนดีใจเพราะเวลาเรียนไม่มีของตอบแทนเลย
“ดีจังมีครูเป็นพี่ปราชญ์ได้ของเป็นขนมด้วย” เด็กคนหนึ่งพูดขึ้นทุกคนจึงพยักหน้าและก็อยากจะท่องได้เร็ว ๆ เพื่อจะได้ขนม
ปราชญ์ยิ้มเอ็นดูเมื่อเด็ก ๆ มุ่งมั่นเริ่มพากันท่อง ก่อนจะเงยหน้ามองคนด้านหลังสุดที่มองเขาไม่หยุด แล้วก็เห็นว่าอีกฝ่ายหลบตาทันทีที่สบกัน
“
พี่ต้นสน!” และเสียงเรียกนั้นก็ทำปราชญ์ตกใจทันที ทางหน้าเข้าบ้านเป็นฟ้าใสที่เดินเข้ามา ก้อนเนื้อในอกเต้นระรัว เพื่อจะหาว่าใครกันคือต้นสนแล้วสายตาของฟ้าใสที่มองไปทางหลังห้องทำให้ปราชญ์แทบกลั้นหายใจ “พี่ลืมเอาหนังสือมาด้วย เดี๋ยวก็ได้อดสอนเด็กพอดี... อ้าว พี่ปราชญ์ก็มาสอนหรือคะ”
ปราชญ์ไม่รู้จะตอบอะไร ดวงตาเขาสั่นระริก มองคนด้านหลังที่เคยยิ้มเย้ยหยัน มองคนที่เคยจ้องเขาคล้ายไม่ชอบ จะกลายเป็นคนเดียวกับคนที่เขาอยากพบ
“คงไม่ต้องบอกแล้วใช่ไหมคะ ว่านี่คือพี่ต้นสน”
หมวดชลันที่ว่าหรือต้นสนดูหน้าเสียไป เด็กคนนั้นไม่กล้ามองหน้าเขาอีก
“หรือครับ หมวดชลันคือต้นสนเองหรือ” ปราชญ์ยิ้มบางแม้ดวงตาคลอเล็กน้อยและคงไม่มีสังเกตเห็น “พี่ก็เพิ่งจะรู้เหมือนกันครับ ว่าหมวดชลันเป็นใคร”
“อ่าวพี่ต้นสนไม่ได้บอกพี่ปราชญ์หรือ” ฟ้าใสหันถามพี่ชาย
“กลับบ้านไปได้แล้ว”
“เอ้า อะไรของพี่เนี่ย”
ปราชญ์คล้ายถูกทุบหน้า ถ้าจะบอกว่าไม่รู้ว่าเขาคือใครก็คงจะไม่ใช่ในเมื่อแนะนำตัวไปตั้งแต่พบกันที่ร้านก๋วยเตี๋ยวแล้ว ที่พูดชื่อขัดเด็จพ่อเพราะไม่อยากให้เขารู้ด้วยใช่หรือเปล่าว่าตัวเองเป็นใคร เขาอาจจะผิดที่จำต้นสนไม่ได้เพราะเปลี่ยนไปมาก ตัวสูงขึ้น ใบหน้าคมเข้มนั้นทั้งเรียบนิ่งและเย็นชา มันต่างจากตอนเด็กที่ร่าเริงเสมอ แต่ทำไมถึงทำเหมือนไม่รู้จักกัน ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าเขาคือใคร ทำไมทำเหมือนไม่ชอบหน้ากันอย่างนี้
รอบคอยังคงมีสร้อยถักสีดำ ปราชญ์คงไม่สังเกตหรอกเพราะต้นสนเก็บสร้อยไว้ในเสื้อคอกลมสีขาวนั่น แต่พอรู้ว่าเป็นใครแล้วยังคงเห็นรอบคอยังคงใส่สร้อยที่เขาให้ มันก็มั่นใจไปอีกเปลาะ
ทั้งดีใจและเสียใจ
ต้นสนลุกออกไปเมื่อทนความอึดอัดไม่ได้ ปราชญ์ไม่รู้ว่าทำไมถึงปวดหนึบตรงอกจนอยากจะร้องไห้ออกมา
“กลับวังก่อนไหมครับ”
“ทำไมไม่บอกพี่” ปราชญ์หันมองน้อง “เพราะอะไร”
“ผมขอโทษ”
ปราชญ์หลับตาเพื่อเก็บความเจ็บปวดไว้ ถึงจะมีเรื่องเกิดขึ้นแต่เขาก็ไม่ชอบทิ้งคนอื่น เขายังสอนเด็ก ๆ ต่อจนจบ
ชายธันต้องอยู่สอนต่อ ปราชญ์จึงขอตัวกลับก่อนเพราะคงอยู่ต่อไม่ไหว
เดินกลับทางเดิมก็ต้องผ่านบ้านพี่เฟื้อง ไม่แปลกที่จะเจอใคร ปราชญ์ชะงักเท้าเมื่อเห็นคนที่เพิ่งเดินหนีมายืนอยู่หน้าบ้าน ต้นสนหันมองเพียงครู่และตั้งท่าจะเดินขึ้นไป ปราชญ์จึงพูดขึ้น
“ไม่เจอกันตั้งนาน เย็นชาขึ้นนะ”
ต้นสนนิ่งไปทันที
“ไม่ตอบจดหมาย กลับมาเจอก็ทำเหมือนไม่อยากพบหน้า ไม่อยากคุย มันเพราะอะไร” ขณะที่พูดดวงใจก็บีบรัดจนแทบหายใจไม่คล่อง มันปวด อึดอัดจนไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นขนาดนี้ “ต้นสนเกลียดพี่แล้วหรือ”
เพียงเท่านั้นหยดน้ำสีใสก็ล่วงผล็อยลงอย่างห้ามไม่ได้อีกต่อไป
ต้นสนหันมามองดวงตาเบิกกว้างเมื่อเห็นคนตรงหน้าร้องไห้
“พี่ไปทำอะไรให้ต้นสนโกรธหรือ บอกพี่หน่อยได้ไหม”
หมวดชลันผันหน้าหนี “ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมไม่ได้โกรธอะไรคุณชาย”
คุณชายหรือ... ห่างเหินขนาดนี้ จะให้คิดอย่างอื่นได้อย่างไร
“ได้ครับ พี่จะเชื่อ” ปราชญ์พยักหน้าและเช็ดน้ำตาตัวเอง “ต้นสนคงไม่ดีใจที่พี่กลับมา”
ไม่ต้องถามอะไรอีกแล้วในเมื่ออีกฝ่ายออกอาการต่อต้านเขาขนาดนี้ ยิ่งถามยิ่งคาดคั้นมันจะได้อะไรขึ้นมา เพราะต้นสนไม่อยากคุยกับเขา
“ยินดีที่ได้พบต้นสนอีกนะ ถึงพี่จะบอกว่าคิดถึงต้นสนมากแค่ไหนแต่ต้นสนก็คงไม่รับหรอก” ปราชญ์มองอีกฝ่ายที่ไม่แม้จะมองมา “โตขึ้นแล้ว ได้เป็นตำรวจอย่างที่อยากเป็น ดีใจด้วยนะ”
ต้นสนเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็เงียบไป ปราชญ์ยืนรอหวังว่าคนตรงหน้าจะพูดอะไรกับเขาบ้าง แต่ก็ไม่มีเลยจึงคิดได้ว่าอยู่ตรงนี้ไปก็ทำให้ต้นสนอึดอัดเปล่า ๆ
“ถ้าอย่างนั้นพี่ขอตัวนะ ขอโทษที่มากวน สวนเด็ก ๆ พี่ยังมาสอนเหมือนเดิม อาจจะเจอกันบ้างแต่จะพยายามไม่มาให้เห็นหน้า”
คำพูดนั้นเหมือนเข็มที่ทิ่มแทง ต้นสนกัดฟันกรอด พี่ปราชญ์เดินกลับไปแล้วปล่อยให้ต้นสนนั่งลงกับขั้นบันไดกุมหน้าผากตัวเองอยู่คนเดียว
จบบทที่ ๗
------------------------------------------------------------------------------------
ตายแล้วมีแต่คนเชียร์ต้นสนกับชายธัน55555555
พี่ปราชญ์ร้องไห้แล้วววว ร้องจริง ร้องหยกๆเมื่อกี้เลย