ตอนที่ 32
" เด็กใหม่ "
“ ไอรักโว้ย เดินๆ อย่าเหม่อสิวะ นี่มันกลางถนนนะมึง ” ผมหันไปมองคนพูดทันทีที่ได้ยินเสียงมันโวยวาย แล้วก็เพิ่งจะตระหนักได้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังรอสัญญาณไฟสำหรับคนเดินตรงกลางสี่แยก และรูปคนตัวสีเขียวบนสัญญาณกำลังเดินเหมือนบอกกับผมยิกๆ ว่า ‘มึงก็เดินซักทีสิโว้ย เดี๋ยวกูก็เปลี่ยนเป็นแดงซะหรอก’ อะไรประมาณนี้
“ เออๆ โทษๆ กูเหม่อไปหน่อย ” ไม่รู้เพราะมันไม่ทันใจหรือเปล่า ไอแสงเดินย้อนกลับมาดึงแขนผมเดินต่อเองเลย
“ มึงนี่นะ ต้องให้กูตามประกบตลอด ไม่งั้นโดนรถซิวไปแล้วเนี่ย ” แล้วมันก็บ่นๆๆ ส่วนผมก็ฟัง แต่เหมือนคนใจไม่อยู่กับตัวซักเท่าไหร่
ใช่แล้วครับ ตอนนี้ผมกำลังจะเดินทางไปโรงพยาบาลที่ไอคุณชายกำลังรักษาตัวอยู่ วันนี้ก็เป็นคนที่สามแล้วครับที่เขายังหลับไม่มีสติ แต่หมอก็บอกนะว่าคนไข้พ้นขีดอันตรายแล้ว อาจจะเป็นเพราะตอนเกิดเหตุเจ้าตัวเสียเลือดมากเกินไป จนเกือบจะช็อค ด้วยความโชคดี มาถึงหมอก่อนที่จะเกิดอะไรร้ายแรงไปซะก่อน แต่ถึงอย่างนั้นตอนนี้เขาก็ยังไม่ฟื้นเลย
“ ………………………. เฮ้ย นี่มึงฟังอยู่มั้ยเนี่ย ” คนลากแขนผมหยุดเดินแล้วหันมาถามผม
“ เออออออ ฟังอยู่ มึงก็เลิกบ่นหน่อยสิวะ กูหูชาแล้วเนี่ย ”
“ นี่กูหวังดีหรอกนะ เหอะ ” น่ะ สะบัดหน้าพรืดกลับไปแล้วลากแขนผมเดินอีกครั้ง
ไอแสงเพื่อนผมไปเป็นเพื่อนผมทุกครั้งที่มาเลย ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันไปเอาเวลามาจากไหนเยอะแยะมาอยู่กับผมก็ไม่รู้ ผมเคยบอกให้มันกลับไปทำงาน เพราะกิจการที่บ้านมันก็เยอะมากมายก่ายกอง แถมตอนนี้พ่อแม่มันก็เกษียณแล้วอีก ยิ่งทำให้มันไม่น่าจะปลีกตัวออกมาอยู่กับผมได้ แต่พอผมไล่มันให้กลับไป มันก็ตอบประมาณว่ามันมอบหมายงานให้คนหนึ่งแล้ว ซึ่งผมก็งงๆ ว่ามันไปหาคนมาจากไหนวะ เพราะเท่าที่จำได้มันมีพี่แค่คนเดียว แถมพี่มันตอนนี้ก็กำลังจะแต่งงาน ยิ่งไม่มีเวลาเข้าไปอีก และมันก็ค่อยไว้ใจให้ใครมาทำงานแทนมัน พอถามไปมันก็บ่ายเบี่ยงไม่ยอมตอบ ปากหนักเก่งเหลือเกิน ผมก็เลยเลยตามเลยละกัน
“ อ้าว คุณรัก สวัสดีค่ะ ” คุณเลขาคนเก่งของไอคุณชายนั่นเอง เพิ่งออกมาจากห้องไอคุณชาย
“ สวัสดีครับคุณเลขา มาเยี่ยมคุณเนตรเหรอครับ ”
“ อ้อ ใช่ค่ะ พอดีท่าประธานฝากให้เอาของมาให้ด้วยน่ะค่ะ เลยถือโอกาสมาเยี่ยมซะเลย แล้วนี่ไปไงมาไงคะนี่ ”
“ ผมกับนี่ ไอแสงครับ จำได้ใช่มั้ยครับ ” อีกฝ่ายยิ้มกว้างมาให้แทนคำตอบ “ มาเยี่ยมคุณเนตรเหมือนกันครับ ว่าจะถามอาการคุณหมอด้วย ” คุณเลขาทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกอะไรได้
“ ดิฉันลืมบอกไป ท่านประธานท่านฝากถามมาด้วยค่ะว่าคุณรักสะดวกจะมาเฝ้าหรือเปล่า เพราะตอนนี้ท่านกับครอบครัวกำลังวุ่นวายกับคดีความน่ะค่ะ ถ้าคุณรักเฝ้าได้ ท่านก็วางใจค่ะ ”
“ ได้เลยครับ ผมว่าจะถามอยู่พอดี ”
“ ดีเลยค่ะ ถ้าอย่างงั้นดิฉันจะเรียนกับท่านให้ทราบเลยนะคะ ว่าแต่คุณรักขาดเหลืออะไรบอกดิฉันได้เลยนะคะ ท่านประธานบอกไม่ต้องเกรงใจเลยค่ะ ” ผมยิ้มให้นิดหนึ่งก่อนตอบปฏิเสธ หลังจากนั้นเราก็พูดคุยกันนิดหน่อย ส่วนใหญ่จะเป็นไอแสงมากกว่าที่จะพูด เสนอหน้าทุกๆ ห้าวินาที แหม เจอหน้าคนสวยหน่อย หน้าบานเป็นกระด้ง
“ งั้นดิฉันไม่รบกวนเวลาแล้วนะคะ ถ้ามีอะไรติดต่อดิฉันได้ตลอดเลยนะคะ ”
“ ได้เลยครับ เดินดีๆ นะคร้าบ ” คุณเลขายิ้มแล้วผงกหัวให้เล็กน้อยแล้วเดินออกไป ผมหันไปมองไอคนที่ยิ้มจนปากจะฉีกไปถึงหูด้วยความเอือมระอา ก่อนที่ความหมั่นไส้จะเอาชนะความอดทนผมได้ ยกมือขึ้นไปผลักหัวไอคนเจ้าชู้แบบที่ไม่ค่อยออมแรงซักเท่าไหร่
“ โอ้ย ไอรัก มึงผลักหัวกูทำไมเนี่ย ” มันหันมามองค้อน พลางลูบหัวตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง
“ กูหมั่นไส้โว้ย มึงจะกระลิ่มกระเหลี่ยใส่ใครช่วยดูอายุหน่อย คุณเลขาเขาจะเป็นแม่มึงได้อยู่แล้วนะ ไอห่า ”
“แหม กูก็ไม่ได้อะไรขนาดนั้นมั้ยล่ะ ก็เห็นเขาน่ารักดี เขาก็เอ็นดูกู โธ้ มึงคิดอะไร ” ปากบอกแบบนั้นแต่หน้านี่ไม่ได้แสดงตามนั้นเลยครับคุณเพื่อน
“ เออๆ เดี๋ยวคืนนี้กูจะนอนนี่นะ มึงจะเอาไง ”
“ เอาไงอะไรล่ะ ถึงเวลาสวีทของเพื่อน กูก็ต้องปลีกตัวเองออกมาสิครับ ”
“ สวีทอะไรของมึงล่ะ เขาฟื้นมาให้กูสวีทใส่หรือไง ไอนี่ ” ผมขี้เกียจเถียงกับมัน เลยหันไปวางของลงบนโต๊ะที่ตั้งอยู่อีกฝั่งของห้อง ที่กั้นด้วยกำแพงแบ่งโซนเป็นอีกโซนนั่งเล่น และโซนครัว ใช่ครับ ฟังไม่ผิด นี่คือห้องพักฟื้นคนไข้ล่ะครับ ย้ำอีกทีว่าเป็นห้องวีวีไอพีเลยก็ว่าได้ (วีไอพีมันยังน้อยเกินไป) ห้องนี่ใหญ่ว่าห้องนอนที่บ้านผมซักอีก คุณเลขาของไอคุณชายเป็นคนประสานงานกับทางโรงพยาบาลเพื่อให้เจ้าตัวได้พักฟื้นในห้องที่ดีที่สุดห้องหนึ่งของโรงพยาบาล ซึ่งคืนละเท่าไหร่ผมก็ไม่กล้าถาม แต่ผมว่ามันคงแพงกว่าค่าครองชีพของผมไปหลายเท่า
“ แล้วประมาณบ่ายๆ กูก็กลับออฟฟิศละ ไปทำงานต่อ งามท่วมหัวละตอนนี้ ” ไอแสงพูดพลางเปิดฝาขวดน้ำเปล่ายกขึ้นมาดื่ม
“ อ้าว ไหนบอกมึงมีคนช่วยแล้วไม่ใช่เหรอ ”
“ ก็มี แต่แม่งไม่ได้เรื่องเลยไอห่า หน้าเอ๋อๆ ตลอดเวลา มองมันไปกูก็ขัดใจชิบเป๋ง ” ผมขมวดคิ้ว แปลกใจกับคำธิบายของมัน คำว่า ‘มัน’ คงหมายถึงเป็นผู้ชาย นั่นมันโตหรือยังวะนั่น
“ แล้วมึงจะจ้างมาทำไมวะ ”
“ ก็….มันติดหนี้กูนิดหน่อยว่ะ เลยเอาตัวมันมาใช้งานแก้ขัด ”
“ หา? อะไรยังไง ไหนเล่ามาดิ๊ มันไปทำอะไรมึง ”
“ ก็แบบว่า มันบังเอิญขี่จักรยานแล้วไม่ดูตาม้าตาเรือ มาเฉี่ยวรถกูที่จอดอยู่เฉยๆ มึงคิดดูดิ คนเรามันต้องเอ๋อขนาดไหนอ่ะ ” ผมฟังแล้วจินตนาการภาพตาม จักรยานชนกับรถโคตรหรูของมัน ดูไม่จืดจริงๆ ว่ะ
“ แล้วแม่งก็ดันไม่มีเงินมาจ่ายชดใช้กู ”
“ แต่มึงก็มีประกันไม่ใช่เหรอวะ ไม่เห็นต้องไปเอาอะไรกับเขาเลยนี่หว่า มึงก็บอกประกันไปว่าเฉี่ยวกับกำแพงก็จบละ รวยๆ ตามฉบับของมึงอ่ะ ”
“ ก็แม่ง…น่าหมั่นไส้นี่หว่า คนอะไรเอ๋อชิบหาย หน้าแหยน้ำตาคลอเบ้าเลยตอนกูเดินออกมาดูรถ ถ้าเป็นคนอื่นไม่ใช่กูคงหลอกมันไปถึงไหนต่อไปแล้ว ” มันเล่าไปทำหน้ารำคานไป “ แล้วแบบกูก็หงุดหงิดอยู่ตอนนั้น มันก็พูดตะกุกตะกักอะไรของมันก็ไม่รู้ กูรำคานเลยดึงแม่งมาทำงานเลยละกัน ” เออแหะ มึงรับสมัครพนักงานด้วยวิธีนี้เหรอวะเนี่ยเพื่อนกู
“ ละเขาเรียนจบละเหรอ มึงถึงลากมาทำงานได้เนี่ย ”
“ จบแล้ว มันกำลังหางานพอดี ”
“ เอองั้นก็ดีแหละ พอมันเป็นงานแล้วมึงจะได้สบายขึ้น ”
“ กูกลัวว่ากูคงปวดหัวหนักกว่าเดิมน่ะสิวะ ”
“ อะไรของมึงวะเนี่ย มึงก็ปล่อยๆ เขาไปจะได้สบายหัว ไปแกล้งเขาทำไมล่ะวะ ” ผมทำหน้าเอือมก่อนจะหันไปจัดแจงที่นอนของตัวเองคืนนี้ เป็นโซฟาข้างๆ เตียงของคนไข้ตามปกตินั่นแหละ แต่ดูของที่นี่มันจะนุ่มกว่าปกติแฮะ ดูจากการเด้งดึ๋งเวลาผมตบโซฟา ดูท่าน่าจะหลับสบายกว่าเตียงนอนที่บ้านด้วยล่ะมั้งเนี่ย
“ ก็แบบ…เออออ นั่นแหละ แก้ขัดไปก่อน มันก็ดูไว้ใจได้อยู่ ” มันตอบแล้วหลบสายตาเสมองแก้วน้ำบนโต๊ะกินข้าว ดูท่าทางมันมีพิรุธนะเนี่ย ผมหรี่ตามองมัน
“ อะไรของมึง มองกูแบบนั้นหมายความว่ายังไงวะ ” ผมไม่ตอบ แต่ยักไหล่ให้มันแทน ผมเดินไปที่เตียงคนไข้ซึ่งตอนนี้มีร่างสูงสมส่วนของไอคุณชายนอนหลับตาพริ้มอยู่ ไม่ยอมฟื้นซักที แต่สีหน้าดูดีกว่าวันที่ผ่านๆ มา ผมจึงเบาใจขึ้นกว่าเดิมเพราะอาการไม่ได้มีอะไรดูน่าจะร้ายแรง ห่วงก็แต่ว่าเมื่อไหร่จะฟื้นขึ้นมาก็เท่านั้น หลับนานไปละนะ ไอคุณชายวุ่นวาย
มันน่าแปลกที่ผมยังจำเรื่องราวของคนตรงหน้านี่ไม่ได้ซักที ทั้งๆ ที่มันก็ผ่านมาซักพักแล้ว ไม่เชิงว่าจำไม่ได้ แต่บางครั้งมันเหมือนมีภาพเหตุการณ์ที่ทีผมกับเขาผุดขึ้นมาในหัว แต่ผมจำไม่ได้ว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เรื่องราวเป็นยังไง แต่แค่รู้ว่ากำลังทำอะไรในตอนนั้นก็แค่นั้น ไม่ได้ว่าจำได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น และเกิดอะไรต่อหลังจากนั้น เหมือนสมองผมกำลังค่อยๆ ฟื้นหรือเปล่าผมก็ไม่แน่ใจ แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปในตัวผมที่ผมรู้สึกได้เลยก็คือ ผมเริ่มปล่อยวางกับมันไปแล้ว ผมรู้สึกแค่ยิ่งไปกดดันมันก็ยิ่งไม่มีอะไรดีขึ้นเลยซักนิด หลังจากที่ผมค่อนข้างสนิทกับไอคุณชายมากขึ้น ผมกลับรู้สึกมีความสุขมากกว่าจะไปนั่งเร่งรีบให้ตัวเองจำได้
ไม่รู้สิ ผมก็แค่รู้สึก…มีความสุขกับปัจจุบัน มีความสุขกับชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้
แต่ถามว่าผมอยากจะจำได้มั้ย ผมก็อยากจำได้อยู่แล้ว แต่แค่ผมไม่ได้รีบอะไรกับมันแล้วล่ะ เรื่อยๆ ตามสไตล์ละกัน อยากจะจำได้เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นแหละครับ
“ เออ ไอรัก แล้วนี่มึงจำเรื่องของคุณเนตรเขาได้ยังวะ ”
“ เฮ้อ ก็ยังเลยว่ะ แค่แบบมีบางทีกูก็เห็นภาพในหัวอ่ะ แต่นึกไม่ออกว่ามันเกิดเมื่อไหร่ ”
“ มึงมีจิตสัมผัสหรือไงวะ มีภาพขึ้นในหัวด้วยเนี่ย ” พูดแล้วมันก็ขำเล็กน้อย
“ บ้าบออะไรล่ะมึง ”
“ เออๆ ช่างเถอะ แค่มึงไม่เครียดก็พอแล้ว ”
“ ฮื่อ กูก็ยังเครียดๆ นั่นแหละ ” ผมยักไหล่ “ แต่ช่างเหอะ กูก็ขี้เกียจด่าตัวเองให้อารมณ์เสียละ ”
คุยกันสักพัก เสียงมือถือไอแสงก็ดังขึ้น ผมเห็นมันยกขึ้นมาดูหน้าจอแล้วทำหน้าเหมือนรำคาญ แต่ก็รับสาย นานๆ ทีจะเห็นมันอารมณ์นี้นะเนี่ย เพราะนอกจากผมแล้วมันก็หน้าระรื่นกับคนโน้นคนนี้ไปเรื่อย
“ มึงนี่ เอ๋อเป็นอย่างเดียวหรือไงเนี่ย ก็บอกแล้วไงว่าให้โทรไปหาเขาเลย ไม่ต้องส่งอีเมลล์ไป….ก็เออน่ะสิเพิ่งจะตื่นรู้เบิกบานหรือไง…..เออ ช่างมันเถอะ อย่าให้พลาดนะโว้ย ” มันบ่นกับปลายสายไปชุดใหญ่ แล้วสักพักมันก็วางสาย ไอแสงยกนิ้วขึ้นมากดๆ ตรงขมับ ท่าทางหมดอาลัยตายอยาก
“ เป็นไรวะ เด็กนั่นโทรมาเหรอ ”
“ กูอยากจะบ้าวันละสามเวลาหลังมื้ออาหาร ” เห็นท่าทางมันแบบนี้ก็ทำให้ผมอดขำไม่ได้ ที่ผ่านมามีแต่ผมที่บ่นมัน แต่พอมาตอนนี้เหมือนมันรับกรรมทั้งหมดที่ทำกับผมไว้อ่ะนะ
“ ทำไม มันทำอะไรให้วะ ”
“ ก็แม่งมันอ่ะ พี่ที่ออฟฟิศบอกมันแล้วว่าให้โทรหาลูกค้าเจ้านี้ไปเลย เพราะเขาไม่ค่อยตอบอีเมลล์ ไม่ค่อยว่างเช็คอ่ะประมาณนั้น แต่มึงดู มันเสือกไปส่งอีเมลล์หาเขา แล้วทีนี้เขาก็โทรมาด่าพี่เขาอ่ะดิ ว่าทำไมขอราคานานเป็นชาติ ”
“ แล้วพี่เขาก็ด่ามันอ่ะนะ ”
“ เออ แม่งโทรมาบอกว่ามันโดนเขาด่า เสียงเหมือนจะร้องไห้ ชาติที่แล้วมันทำบุญด้วยน้ำตาหรือไงวะ ” ผมหัวเราะออกมาทันที่มันพูดจบ
“ ก็น้องเขายังใหม่ มึงนี่ก็ดุจริง แต่ฟังๆ ไปมึงนี่ก็เหมือนพ่อเลยนะ เหมือนมีลูกให้โทรมาฟ้อง ”
“ พ่องมึงสิ กูอยากจะบ้า ”
“ มึงก็ไล่เขาออกไปก็สิ้นเรื่อง ปวดหัวขนาดนี้มึงจะเก็บไว้อีกทำไมวะ ”
“ ก็แม่งไม่มีเงินมาใช้กู กูก็ต้องใช้แรงงานมันสิ ” มันพูดพลางเอามือถือขึ้นมากดอีก แล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ บทจะเปลี่ยนอารมณ์แม่งก็เปลี่ยนเลยทันที กูตามไม่ทันจริงๆ สงสัยผู้หญิงไลน์มาอีกล่ะสิ กิ๊กคนที่เท่าไหร่ของมันแล้วล่ะเนี่ย
“ ทำอย่างกับในละครน้ำเน่า ระวังสุดท้ายจะไปลงเอยกับมันล่ะ ”
“ หึ อย่างกูนี่ต้องสวย เอ็กซ์ สะบึมอารมณ์เท่านั้น ไอเด็กเวรที่แบนอย่างกับโดนสิบล้อทับ กูไม่เอาหรอกโว้ย ” ฟังสเป็คมันแล้วกลับมาเป็นผมที่ต้องกุมขมับแทน
“ กูเริ่มสงสารน้องเขาแล้วจริงๆ ว่ะ ”
“ อย่าไปสงสารมันเลย เดี๋ยวพอมันชดใช้จนหมด กูจะรีบถีบออกไปเลยทันที ”
“ เออ กูจะคอยดู ”
หลังจากที่ไอแสงลีลาอยู่พักใหญ่ สุดท้ายมันก็งัดตัวเองกลับไปได้ในที่สุด (อิดออกมานานเพราะเริ่มขี้เกียจ) ผมจึงนั่งๆ นอนๆ อยู่ในห้อง มีบ้างที่พยาบาลเข้ามาเพื่อตรวจอาการของคุณเนตร แต่ส่วนใหญ่ห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงแค่เสียงรายการจากในโทรทัศน์คลอๆ ก็เท่านั้น ถามว่าสบายหูไหม มันก็สบายหูนะ เพราะมันเงียบจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นแล้วผมก็แอบเหงา เพราะที่ผ่านมาตัวเองไม่เคยรู้สึกว่าอยู่คนเดียวขนาดนี้มาก่อน ถึงแม้ว่าร่างของไอคุณชายจะนอนแผ่อยู่บนเตียงคนไข้เลยก็ตาม
ผมเข้าใจความรู้สึกแล้วล่ะ ว่าตอนที่ตัวเองฟื้นมาหลังจากที่ประสบอุบัติเหตุ ไอคุณชายทรมานขนาดไหน แล้วไหนจะความจำเสื่อมอีก เลยกลายเป็นว่าตอนนี้ผมรู้ซึ้งมากเลยทีเดียว
ผมนั่งเหม่อมองไอคุณชายไปพลางฟังเสียงเพลงจากในโทรทัศน์ไป จะว่าไปผมก็ไม่เคยเห็นใบหน้าตอนหลับของเจ้าตัวเลยสักครั้ง หรือเมื่อก่อนผมเคยวะ จู่ๆ ภาพเหตุการณ์ก็ผุดขึ้นในหัวผมราวกับเปิดสวิตช์อัตโนมัติ ผมนิ่วหน้าเล็กน้อย เมื่อความเจ็บเสียดเกิดขึ้นทันทีที่ผมนึกภาพในหัวตัวเอง ผมเห็นภาพตัวเองนอนอยู่ที่ห้องห้องหนึ่ง มืดสนิท คงเป็นเวลากลางคืน แล้วก็เห็นไอคุณชายก็นอนอยู่ข้างๆ ผมตกใจตื่นแล้วก็ทำอะไรซักอย่างให้ไอคุณชายเจ็บ น่าจะล้มหรือเปล่า พยายามเพ่งไปกับมัน แต่เหมือนผมยิ่งโฟกัส ภาพความทรงจำก็ยิ่งเลือน จนสุดท้ายมันก็หายไป เหมือนความฝันเลย ตอนนี้คือหัวผมแบล้งโดยสมบูรณ์
สงสัยว่าผมกับไปคุณชายเคยอยู่ด้วยกันแบบที่ไอแสงพูดจริงๆ
เฮ้อ พูดไปมันก็แอบอึดอัดใจตัวเองนิดหนึ่ง คือเท่าที่ผมจำได้เกี่ยวกับตัวเอง ไม่รู้สึกเลยว่าตัวเองจะชอบผู้ชายได้ แถมที่บ้านก็ยังไม่รู้ด้วย ที่จะรู้ก็คือเพื่อนผมไอแสง คุณแดน แล้วก็ตัวไอคุณชายก็เท่านั้น เท่ากับว่าคนรู้น้อยมาก เลยทำให้มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ ไหนจะครอบครัวของไอคุณชายนี่อีก ยิ่งใหญ่ขนาดนี้แล้วพวกเขาจะยอมรับได้เหรอวะถามจริง
ผมนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่นาน จนเพิ่งรู้ตัวเองว่านั่งเหม่อไปนานมาก ก็ตอนถึงเวลาตรวจของคุณพยาบาลเนี่ยแหละ ผมจึงลุกออกไปเพื่อจะล้างหน้าเรียกความสดชื่นให้ตัวเอง แล้วคิดว่าจะลงไปหาอะไรลงท้องซักหน่อย ชักจะเริ่มหิว
พอผมออกมาจากห้องน้ำ คุณพยาบาลก็ตรวจเสร็จออกไปกันหมดแล้ว ผมจึงเดินเข้าไปเพื่อจะไปหยิบกระเป๋าตัง คุ้ยๆ กระเป๋าอยู่นานก็หาไม่เจอ จำได้ว่าหยิบมาด้วยหน่า คุ้ยไปคุ้ยมาก็นึกขึ้นได้ว่า ตายห่า กูเผลอฝากไว้กับไอแสง ตอนที่ควักออกมาจ่ายค่าของ แล้วขี้เกียจเก็บใส่กระเป๋าเป้ตัวเอง เลยฝากไอแสงยัดใส่กระเป๋ากางเกงมัน กะว่าถึงห้องแล้วค่อยเอาคืน
แล้วดูสิ สุดท้ายกูก็ลืม
ผมนึกขัดใจตัวเอง ทำไมถึงขี้ลืมแบบนี้วะ สมองเสื่อมไม่พอยังถดถอยอีกหรือนี่
ผมนั่งหน้านิ่วกว่าเดิม คนเป็นนิ่วยังหน้านิ่วน้อยกว่าผมล่ะเอาจริง เลยได้แต่นั่งจุ้มปุกอยู่ที่เดิม เพิ่มเติมเลยเลื้อยลงนอนเลยละกัน คนหล่อขัดใจ ตังก็ไม่มี ว่าแล้วก็ยกมือถือกดโทรไปหาไอแสงเพื่อนยากด่ามันซักหน่อยละกัน
“ โหล ว่าไงเพื่อน จากกันแปปเดียวก็คิดถึงกูละเหรอ ” ดูประโยคแรกที่มันพูดทักทาย ผมหน้าเบ้ทันที
“ จ๊ะ คิดถึงมากกก คิดถึงกระเป๋าตังกูในกระเป๋ากางเกงมึงมากกกก”
“ อุ้ย เออว่ะ กูก็ลืม นี่ก็ยังอยู่ในกระเป๋ากางเกงกูอยู่เลย ”“ ไอคนกากกกก ”
“ โทษๆ ฮ่าๆ เดี๋ยวให้คนเอาไปคืนให้นะมึง รอแปปนึง ”“ เออๆ เร็วๆ นะมึง กูหิวอยากกินขนม ”
“ เชๆ เลยฮะเพื่อน ปรู้ดเดียวกระเป๋าจะไปอยู่ตรงหน้ามึงทันที ” ปรู้ดเดียวอะไรของมันวะ แล้วมันก็วางสายไป นึกแปลกใจว่ามันจะให้ใครเอามาให้กันวะ สงสัยคงเรียกลีแมนมั้ง
ผมละความสนใจอยากมือถือ ถอดรองเท้าแล้วกำลังจะแผ่นอนลงไปบนโซฟาที่ขอย้ำอีกทีว่านุ่มมากอีกครั้ง แต่แล้วตัวเองก็รู้สึกทะแม่ง เหมือนไม่ได้อยู่คนเดียว แต่เออจะอยู่คนเดียวได้ไง ไอคุณชายก็นอนอยู่ข้างๆ นี่หว่า ผมสะบัดหัวแล้วล้มตัวลงไปนอน
ผมกดเปลี่ยนช่องไปมาได้สักพัก ก็ยังไม่หายรู้สึกแปลกๆ เลยหันกลับไปมองไอคุณชาย แต่รายนั้นก็ไม่มีการตอบสนองอะไร เลยเริ่มที่จะขนลุกขึ้นมาหน่อยๆ นี่มันกลางวันอยู่นะโว้ย ช่วยรบกวนอย่าเพิ่งทำกูหลอนได้ไหม กูยังต้องนอนเฝ้าไอคุณชายนะวันนี้ คนยิ่งกลัวๆ อยู่ ฮือ
ผมค่อยๆ เอื้อมมือไปดึงผ้าห่มอันหนานุ่มมาห่อหุ้มตัวเอง ที่ใช้คำว่าห่อหุ้มคือห่อหุ้มจริงๆ นะ ห่อตั้งหัวจรดเท้าเหลือเพียงแต่ลูกกะตา เพราะยังต้องใช้มองอยู่ เผื่อมีอะไรโผล่มาจะได้ซ่อนตัวทัน (ผีน่าจะหาไม่เจอ) เมื่อเซทตัวและรู้สึกว่าตัวเองปลอดภัยมากพอแล้ว เลยค่อยผ่อนคลายตัวเอง และด้วยความที่แอร์เย็นฉ่ำ การได้นอนบนที่นอนนุ่มๆ ดั่งปุยฝ้ายนี้ก็ทำให้ผมเคลิ้ม หนังตาหย่อน ขณะที่กำลังจะหลับไปแล้วนั้น ผมก็ได้ยินเสียงกุกกักๆ มาจากทางหน้าประตู เลยสะดุ้งตื่นมาอีกครั้งพร้อมกับผ้าห่มที่เป็นปราการด่านชั้นหน้า ผมลุกขึ้นแล้วแอบมองไปทางประตูโดยมีกำแพงบังตัวผมอยู่
แต่พอโผล่หัวออกไปดู ก็ไม่เห็นมีอะไร ผมเลยรีบล้มตัวลงนอนแล้วคลุมโปงทันที ปลอบใจตัวเองว่าเสียงอาจจะมาจากห้องข้างๆ แล้วพยายามหลับตาให้ลืมทุกสิ่งอย่างไปซะ หายใจเข้าหนอ หายใจออกหนอ แต่แล้วการตั้งจิตสมาธิก็ไม่เป็นผล เมื่อผมได้ยินเสียงแว่วมาจากข้างๆ อีกครั้ง
“ พะ พี่ครับ ” เท่านั้นแหละ บทสวดทุกอย่างที่เคยเรียนมาตั้งแต่สมัยประถมมาหมดเลยครับ
“ ธัมโม พุทโธ สังโฆ เกเหกสวดาหกดรน่หำสด่ำนยดบยำดน ”
เท่านั้นยังไม่พอ ไอผีบ้าที่ไหนไม่รู้ยังมาจับขาผมเบาๆ แล้วเขย่าอีก ฮือออออ ปล่อยโผ้มมมม
ผมหดขาอย่างรวดเร็วแล้วตั้งสมาธิท่องบทสวดแบบฉบับของผมอีกครั้ง ทั้งที่ในใจร่ำไห้อย่างเหลืออด กูว่ากูก็ไม่ได้เป็นคนจิตอ่อนขนาดนั้นนะ กระซิกๆ
“ พี่ครับ หนะ นี่ผมมาเอาของมาให้ เอ่อ ” ไอตัวข้างนอกยังคงพูดขึ้นมาอีกครั้ง ผมหลับตาปี๋คลุมโปงไปแล้ว เพราะฉะนั้นผมจะไม่เห็นอะไรทั้งนั้น แต่เอ๊ะ ประโยคที่ไอตัวอะไรไม่รู้พูดขึ้นมา ทำให้ผมรู้แจ้งว่า…
พรึบ
ผมเลิกผ้าห่มออกจากใบหน้าอย่างรวดเร็ว แล้วมองไปทางต้นเสียง ก็พบกับผี เอ้ย ชายคนหนึ่ง น่าจะอายุน้อยกว่าผม ตัวขาวจั๊ว หน้าตาหงิมๆ (คือนิยามแบบคนน่าจะขี้กลัว) ตัวไม่สูงมาก น่าจะสูงน้อยกว่าผมนิดหนึ่ง แต่ตัวบางๆ น่าจะลมพัดตัวก็ปลิวได้เลย ยืนตัวลีบยื่นสิ่งของที่ผมแสนจะคุ้นตาเหลือเกินมาให้ กระเป๋าตังผมนั่นเองครับ
“ คะ คือคุณแสงให้ผมเอาของมาให้พี่น่ะครับ ” พูดเสียงเจี๋ยมเจี๊ยมประหนึ่งผมเป็นนายท่านมาจากที่ไหนซักแห่ง เด็กคนนี้น่าจะเป็นไอเด็กคนที่มีเรื่องกับไอแสงแน่นอน
“ เอ้อ ขอบคุณนะ แล้วนี่มายังไง ” ผมลุกขึ้นนั่งแล้วเอื้อมไปหยิบกระเป๋าตังตัวเองมาจากมือขาวๆ คู่นั้น
“ ผมขี่จักรยานมาครับ ”
“ ไอคันที่ชนอ่ะนะ ” ด้วยความปากไวของผมเลยโพล่งถามออกไป เลยนึกอยากตีปากตัวเองเมื่อเห็นคนตัวขาวหน้าผมนี่หน้าเจื่อนลงไปถนัดตาเลย แถมตายังเริ่มแดงๆ นี่อีก
“ เอ้ย พี่ขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจจะว่าเลย แค่ถามเฉยๆ ” ผมยกมือไม้ขึ้นโบกปฏิเสธกันพัลวัน ส่วนไอเด็กนี่ก็ยกมือขึ้นป้ายตาเบาๆ
“ ไม่เป็นไรครับ มะ มันก็เป็นความผิดผมเอง ” คนพูดสั่นเครือเล็กน้อย
“ ไม่เป็นไรหรอก ไอแสง เอ้ย คุณแสงเป็นเพื่อนพี่ ไอที่พูดกระโชกโฮกฮากแบบนั้น เชื่อเถอะมันไม่ได้เป็นคนไม่ดีอะไรขนาดนั้น ” แต่แค่เลวในสายตากูเท่านั้นเอง
“ ครับ งั้นผม…ขอตัวก่อนนะครับ ” ว่าแล้วก็ค้อมตัวให้ผมเล็กน้อย แล้วรีบเดินออกไปจากห้องทันที ผมมองตามไปด้วยสายตาที่เวทนานิดๆ พลางคิดในใจ
โถ เด็กน้อย
ไม่รู้ซะแล้วว่าไอแสงเวลาโมโหจริงๆ แล้วเลวร้ายขนาดไหน
โปรดติดตามตอนต่อไปนุ้งงงงงง เด็กของเสี่ยแสง (รึเปล่าน้า) 555555
ช่วงนี้ต้องขอโทษรีดเดอร์ทุกคนด้วยน้า ที่ไรท์มาอัพช้ามากๆ
เพราะงานยุ่งมาก ปัญหาเยอะแยะบานตไทเต็มไปหมด
กว่าจะเสร็จก็พลังหมด หัวสมองแบลงค์ไปเป็นที่เรียบร้อย
เลยแบบไม่มีอารมณ์มานั่งอัพนิยายที่ดองจนอร่อยแล้วเลย 55555
ยังไงก็ไม่หายไปเเน่นอนน้า อัพจนจบเเน่นอนค่ะ ชัวร์!
อย่าหายไปไหนกันน้าา ไรท์คิดถึงง
รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ ไรท์เป็นห่วงงง 