ตอนที่ 19
" ก็…ไม่มีอะไร แค่อยากมาเฉยๆ "
“ นี่ สรุปแล้วมึงเป็นอะไรของมึงวะ เดินตากฝนมาอย่างกับพระเอกซีรี่ย์ตอนอกหัก ” ไอแสงเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับไดร์เป่าผม หลังจากผมจัดการกับตัวเองในห้องน้ำเสร็จ เจ้าตัวเดินเข้ามานั่งบนโซฟาใกล้ๆ กับผม แถมไม่นั่งเปล่า ยังมาหรี่ตาเค้นคำตอบจากผมอีก นี่ตกลงจะปลอบใจกันจริงๆ หรือเปล่าเนี่ย
“ ฮื่อ ไม่มีอะไรมากหรอก ทะเลาะกับคนรู้จักมานิดหน่อย ” ผมตัดสินใจตอบเลี่ยงๆ ไป แสร้งฉกไดร์เป่าผมในมือมันมาเสียบปลั๊กแล้วเปิดเป่าผม ไม่อยากให้มันมาขุดคุ้ย ถ้าใครจำกันได้ว่ามันเป็นแชมป์นักขุดคุ้ยแห่งปี
“ หืม ไม่นิดละม้างง หงอยเป็นหมาซะขนาดนี้ ” คนพูดคงยังทำหน้าที่ขุดต่อไป ซึ่งผมคาดว่าหากมันยังไม่ได้คำตอบภายในวันนี้ ชีวิตผมคงไม่พบความสุขอีกเลย ผมจึงปิดไดร์เป่าผม วางลงกับโซฟา
“ คือ…. ” ผมพยายามเรียบเรียงคำพูดในหัว แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนจริงๆ
“ คือ? ”
“ คือกูอ่ะนะ รู้จักคนคนหนึ่ง แล้วแบบก็สนิทกันนิดหน่อย แต่ก็น้อยกว่ามึง ”
“ โอ้ย ถ้ามีใครมาสนิทกับมึงมากกว่ากูสิ กูจะไปอันเชิญคนคนนั้นมาชนเหล้ากับกูเลย ”
“ ไอห่า มึงหาว่ากูไม่มีคนคบเหรอ ”
“ อ้าว ก็เรื่องจริงไหมล่ะ ทุกวันนี้มึงเที่ยวกับใครนอกจากกูไหมล่ะ ” จู่ๆ ใบหน้าของไอคนที่ผมเพิ่งมีเรื่อง (ฝ่ายเดียว) เมื่อไม่กี่ชั่วโมงมานี้ ก็โผล่ขึ้นมาในความคิดผม ทำให้ผมเริ่มรู้สึกปั่นป่วนอีกครั้ง จึงรีบสะบัดออกจากหัวไป
“ เงียบไป แสดงว่ามีซัมธิงรองใช่ไหมเนี่ย ” อยู่ๆ ไอแสงก็ยื่นหน้าเข้ามาจ้องหน้าผม ราวกับจะสแกนใบหน้าผมว่ามีริ้วรอยหรือเปล่ายังไงอย่างนั้น
“ เฮ้ย ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ มึงจะฟังไหมเนี่ย ขัดกูจริง ” คนต้องการฟังจึงเอนตัวกลับไปที่เดิน แล้วทำท่านั่งฟังอย่างตั้งใจ
“ แล้วกูอ่ะแบบอยู่กับเขาก็เกือบทุกวัน มึงอย่าคิดลึก คือกูมีความจำเป็นต้องอยู่กับเขา ” ผมรีบพูดอธิบายเมื่อไอแสงทำท่าตกใจซะจนโอเวอร์
“ กูก็ยังไม่ได้ว่าอะไรซักหน่อย มึงร้อนตัวนะเนี่ย ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็หัวเราะออกมาก ไอห่า มันใช่เวลาขำไหมเนี่ย ช่วยดูอารมณ์กูด้วย!
“ แล้วเขาก็แบบชอบทำให้กูผิดหวัง อย่างเช่นไม่สนใจกู แบบยังไงอ่ะ กูก็พูดไม่ถูก ”
“ เดี๋ยวๆ ทำไมกูได้กลิ่นทะแม่งๆ ลอยมา ”
“ ทะแม่งอะไรของมึง ”
“ ทะแม่งว่า เพื่อนกูกำลังตกหลุมรักเขายังไงล่ะจ๊ะ ” ไอแสงทำเสียงกรุ้มกริ่มหยอกล้อ
“ เฮ้ย! ไอบ้า กูจะไปตกหลุมรักเขาได้ไง ” ผมจึงโวยวายกลบความจริงที่อยู่ในใจ ผมกลัวเพื่อนจับได้ แล้วความลับมันจะถูกเปิดเผยน่ะสิ ไม่น่าเลยกูให้ตาย ไม่น่าเล่าเลย
“ แน่ะๆ มีพิรุธ บอกมาเถอะน่า กูไม่กินหัวมึงหรอก ถ้ามึงจะปันใจให้คนอื่น ”
“ ปันใจอะไรของมึง ฮึ่ย! กูไม่เล่าแล้ว หมดอารมณ์ ” ผมพูดสะบัดแล้วเอาไดร์ที่นอนแอ้งแม้งอยู่ขึ้นมาเป่าผมต่อ
“ เฮ้ย เดี๋ยวดิ เล่าต่อๆ กูไม่ล้อแล้วๆ ” ไอแสงแย่งไดร์ที่อยู่ในมือผมออกไปแล้วโยนไปไกลจากมือผม ผมจึงมองแรงใส่มัน จนแพ้สายตาเว้าวอนของมัน เลยจำใจเล่าต่อไป
“ ก็คือเขาชอบทำให้กูผิดหวังใช่มะ แต่ก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก จนล่าสุดกูเพิ่งมารู้ว่าเขามีแฟนเก่าที่เคยรักกันมาก แล้วทีนี้แฟนเก่าคนนั้นกำลังจะแต่งงานกับคนอื่น ”
“ อ่าฮะๆ ”
“ แล้วแบบเขาก็เหมือนมองข้ามกูไปเลย แบบเอาแต่ไปสนใจคนนั้น แล้วยังมาบังคับให้กูไปงานแต่งกับเขา แล้วมึงรู้อะไรไหม ” ผมหายใจเฮือกใหญ่ หลังจากที่เล่าเรื่องแบบมาราธอนจนไม่ได้หยุดหายใจ โดยมีไอแสงที่ฟังเหมือนลุ้นว่าผมจะหมดลมตอนไหนแบบนั้น
“ เขาลากกูเข้าไปในร้านที่โคตรหรู แล้วบังคับให้กูซื้อเสื้อที่ดูดีๆ เพื่อจะเอาไปใส่ในงานแต่ง เพราะไม่อยากอับอายที่กูต้องไปงานแต่งกับเขาด้วย ” ยิ่งพูดในใจก็ยิ่งขมขื่น ได้แต่ยิ้มหยันกับตัวเอง
“ อย่าบอกว่าเขาให้มึงจ่ายเงินเองนะ ” ผมพยักหน้าช้าๆ เมื่อได้ยินไอแสงถาม มันเลยด่าเหี้ยแบบไม่มีเสียง ประมาณว่าตกใจที่ได้ยินเรื่องแบบนี้
“ มึงรู้ไหมว่ากูรูดบัตรแบบทั้งเดือนกูรูดไม่ได้แล้ว ” ยิ่งมันได้ยินแบบนี้ก็ยิ่งตาโตเข้าไปใหญ่ จากที่เศร้า กลายเป็นผมจะขำกับท่าทางโอเวอร์ของมันแทน
“ เหี้ยมึง ถึงกูจะรวยขนาดไหน กูก็ไม่บังคับให้คนอื่นซื้ออะไรที่แพงขนาดนี้นะเว้ย ”
“ อืม นั่นแหละ กูเลยแบบรู้สึกแย่ที่เขาดูถูกกู กูเลยรีบออกจากห้างแล้วตรงมาหามึงเนี่ย ”
“ ไม่น่าสภาพมึงถึงอุบาทว์ขนาดนั้น ”
“ ไอห่า เดี๊ยะๆ ฟังอย่างเดียวไม่ต้องวิจารณ์ ” ผมพูดอย่างไม่สบอารมณ์
“ แล้วมึงจะใส่ไปงานแต่งไหม ”
“ ใส่ดิ กูซื้อมาขนาดนี้ กูจะใส่ตั้งแต่หกโมงเช้ายันเที่ยงคืนเลยคอยดู ”
“ กูว่าแล้ว ”
“ ว่าอะไรของมึง ” ผมถามด้วยความสงสัย เหมือนมันไปรู้อะไรมา
“ ก็ญาติกูอ่ะดิ แดนอ่ะ มึงจำได้ปะ ”
“ จำได้ดิ แล้วเกี่ยวอะไรกับเขาวะ ” ตั้งแต่คุยแชทกับคุณแดเนียลวันนั้น ก็ไม่ได้คุยอีกเลย เหมือนเขาน่าจะงานยุ่งหรืออะไรซักอย่างเนี่ย หลังๆ มานี่เลยเริ่มหายไป
“ ก็เขาอ่ะดิ แชทมาหากูบอกให้คอยดูมึงหน่อยเหมือนเขารู้อะไรซักอย่าง แต่เขาไม่ยอมเล่า ทั้งๆ ที่กูเค้นแทบตาย ” ขืนเล่าสิ มันได้ถ่อมาถามผมตั้งแต่วันนั้นแน่ๆ
“ ก็…นั่นแหละ พอดีเขาทักมาถามทุกข์สุกดิบ เลยเล่าให้เขาฟัง ” ผมตอบอ้อมแอ้ม
“ มึงไม่ยอมบอกกูแต่ยอมเล่าให้ญาติกูฟังเนี่ยนะ ” นั่นไง ผมว่าแล้วมีผิด มันต้องโวยวายแน่ๆ ทำไมซื้อหวยไม่แทงถูกแบบนี้ล่ะครับ!
“ โหย ก็ตอนนั้นกูยังไม่มั่นใจอะไรซักอย่างเลย พอคุยกับเขาแล้วเพิ่งจะรู้อาการของตัวเอง ”
“ แสดงว่ามึงยอมรับแล้วใช่มะ ว่ามึงกำลังชอบใครอยู่ ” ผมชะงักกึก เมื่อได้ยินเพื่อนผมถาม
“ ก็ ไม่รู้ว่ะมึง กูเหนื่อยใจอ่ะ ” ผมก้มหน้าเอามือมาประสานกันวางที่หน้าขา ในหัวคิดแต่ภาพที่ผมอยู่กับไอตัวปัญหาแต่ละฉากๆ จนมาถึงล่าสุดที่ผมเพิ่งจะทะเลาะ (ฝ่ายเดียว) กับเขามาเนี่ย
“ เฮ้อ มึงนะมึง ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยมีแฟนซะเมื่อไหร่ ทำไมถึงคิดอะไรมากมายขนาดนั้น ” ไอแสงเอื้อมมือมาตบไหล่ผมเบาๆ แล้วเขยิบเข้ามาใกล้ๆ ผมไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่นิ่งอยู่ในท่านั้น
“ กูว่านะ มึงอย่าเพิ่งคิดมาก จริงๆ แล้วเขาอาจจะคิดอะไรกับมึงก็ได้ แต่มึงอาจจะไม่รู้ เรื่องของแฟนเก่าก็ของแฟนเก่าเขาปะวะ มึงคือตอนปัจจุบัน แล้วจะเป็นอนาคตหรือไม่ก็ต้องดูที่การตัดสินใจของมึงว่ะ ”
“ กูไม่คิดว่าเขาจะชอบกูว่ะมึง เหมือนทุกวันนี้มันเป็นแค่หน้าที่อ่ะ ที่ทำให้เขากับกูต้องมาเจอกัน ”
“ ทำไมคิดแบบนั้นวะ ” คนถามถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
“ สถานะกูกับเขามันต่างกันนะมึง กูก็ดูสิกูไม่มีอะไรที่จะไปยืนอยู่ข้างเขาได้เลยอ่ะ แถมแบบเขามีหน้ามีตาในสังคม กูก็เหมือนถูกบังอยู่ในเงาตลอดเวลา ไม่มีใครรู้จัก ” ผมยกมือลูบหน้าด้วยความหดหู่ใจ
“ เดี๋ยวสิมึง คนมันจะรักกันอ่ะ มันไม่ได้ดูแค่สถานะหรอกนะมึง มึงต้องดูความรู้สึกเขากับมึงด้วย คนเราแค่รวยอย่างเดียวแต่อยู่กันไม่รอดก็เยอะแยะถมไป ” ไอแสงพูดด้วยเสียงอ่อนใจ
“ แต่แบบกูก็ไม่กล้าเอาตัวเองไปยืนอยู่ขางเขาได้ขนาดนั้นว่ะ แบบ เฮ้อ ไม่รู้สิมึง กูยิ่งทียิ่งสับสน แรกๆ กูก็มีความสุขนะเว้ย แต่แบบไปๆ มาๆ กูเริ่มกลัว ”
“ กูเข้าใจ แต่มึงไม่ได้ทำอะไรร้ายแรงถึงขั้นที่แบบสังคมจะไม่ให้อภัยเลยที่หว่า ”
‘ เรื่องที่เราทั้งคู่เป็นชายด้วยกันนี่สังคมพอจะให้อภัยได้ไหมเนี่ย ’ “ นี่สรุปแล้วคือมึงแค่กลัวว่ามึงจะไม่มีค่าพอจะไปยืนข้างเขาได้ใช่ไหมเนี่ย ”
“ เฮ้อ มันก็หลายเรื่องว่ะ กูเริ่มระแวงใจตัวเอง ” ผมเอนตัวลงไปนอนที่พักแขนข้างตัว แล้วเอามือก่ายหน้าผาก
“ มึงอ่ะ ทีเรื่องแบบนี้มากลัว ทีตอนจีบหญิงไม่เห็นจะกลัวอะไรเลย ” ไอแสงเตะขาผมด้วยความหมั่นไส้
“ กูเล่าให้มึงฟังหมดแล้วนะ ”
“ เอาเป็นว่า คิดง่ายๆ นะมึง ถ้ามึงชอบเขา แล้วเกิดความรู้สึกที่ว่ามีความสุข อยากอยู่ข้างกายเขา อยากปกป้องเขา กูแนะนำให้มึงทำตามหัวใจตัวเอง เพราะท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าเขาจะชอบมึงหรือไม่ อย่างน้อยมึงก็ได้ลอง ” ไอแสงนั่งหันตัวมาทางผม แล้วยกขาขึ้นมาขัดสมาธิ “ แต่ถ้ามึงชอบเขาแล้วมึงมีแต่ความทุกข์ใจ ไม่มีความสุข หมดอาลัยตายอยาก กูว่ามึงก็ตัดใจเถอะ มันไม่ดีหรอก ”
“ ถ้าทำได้ง่ายอย่างที่มึงพูดก็ดีดิ ” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ นี่ไอแสงมันยังไม่รู้นะว่าต้นเหตุที่ทำให้ผมตกอยู่ในสภาพแบบนี้เป็นใคร ถ้ามันรู้นะ มีหวังคงโดนมันเฉ่งอย่างแรง ดีนะว่าพรุ่งนี้เป็นวันหยุด ผมจึงไม่ต้องไปเจอหน้าไอคุณชายด้วยความรู้สึกที่ยังปั่นป่วนอยู่ บางทีให้ผมได้หยุดพักผ่อน คิดทบทวนอะไรหลายๆ อย่าง เผื่อจะทำให้อะไรๆ ดีขึ้นมาได้บ้าง
ผมตื่นมาตอนเช้าด้วยอารมณ์ที่สดชื่นขึ้นเล็กน้อย หันหน้าไปอีกข้างก็เจอกับไอแสงที่หันหน้าเข้ามาเกือบชิดหน้าผมพอดี จึงทำให้ผมสะดุ้งตัวเด้งขึ้นมานั่ง ก่อนจะเตะตัวมันเบาๆ ให้มันเขยิบไป
หนอย ยึดเตียงจนกูจะตกเตียงอยู่แล้วไอห่า
ผมจึงลุกออกจากเตียง เปิดประตูออกจากห้อง เดินลงไปห้องครัวเพื่อจะหาน้ำกิน วันนี้สงสัยที่บ้านของไอแสงน่าจะไม่อยู่บ้าน เพราะตั้งแต่เมื่อวานแล้วที่จอดรถไม่มีรถจอดอยู่ซักคัน นอกจากรถของไอแสงมันที่ใช้ประจำ (รถคันอื่นอยู่ในโรงรถ รวยขนาดไหนถามใจดู) วันนี้ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง ที่จอดรถก็ยังคงว่างเปล่าอยู่ ไม่น่า ทำไมมันถึงไม่กลัวว่าใครจะเห็นสภาพผมเมื่อวาน
หลังจากกินน้ำเสร็จ ผมก็เดินออกไปยังทิศทางสวนหลังบ้านของมันเพื่อไปรับลมซะหน่อย ผมชอบสวนของบ้านไอแสงมาก เพราะมันร่มรื่น มีร่มเงาจากต้นไม้น้อยใหญ่อยู่เต็มไปหมด ทำให้อากาศไม่ร้อน และมีลมที่พัดมาเอื่อยๆ อยู่ตลอดเวลา ทำให้เวลามาเดินที่นี่มีไร สงบใจทุกที จนอยากจะมาอยู่เองเลย ผมเดินลงไปนั่งบนม้านั่งไม้ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ที่ชอบมานั่งประจำเวลามาบ้านมัน มือล้วงหยิบมือถือในกระเป๋ากางเกง แต่พบแต่ความว่างเปล่า ผมจึงนึกขึ้นได้ว่าวางชาร์ตไว้อยู่บนโต๊ะในห้องนอนไอแสง จึงได้แต่นั่งสูดอากาศดีๆ ไปเฉยๆ
จริงๆ แล้วก็เป็นอย่างที่คุณแดเนียลพูดนะ ถ้าผมรู้ตัวว่าตัวเองกำลังเป็นอย่างที่เขาพูด ให้รีบตัดใจก่อนที่จะถลำลึกลงไป เพราะผมวาดอนาคตของตัวเองไม่ออกเลยถ้าตัดสินใจชอบเขาต่อไป แต่ตราบใดที่ผมยังต้องอยู่กับเขาตลอดเวลาแบบนี้ มันยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่เลยที่จะตัดใจ หรือนี่จะเป็นเพราะความใกล้ชิดที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ ให้ตาย
ความรักนี่มันน่ากลัวจริงๆ บทจะมาก็มาไม่ทันตั้งตัว บทจะทำให้มีความสุขก็อย่างกับล่องลอยอยู่บนสรวงสวรรค์ แต่บทจะทำให้เจ็บปวดก็เจ็บปวดเจียนจะตาย สรุปแล้วมันก็มีทั้งด้านดีและด้านไม่ดีทั้งนั้น
นี่ผมกำลังพรรณนาถึงความรักหรือนี่ โอ้ มาย ก็อด
ผมที่สอบวิชาภาษาไทยเกือบตกตลอด กำลังพรรณนาถึงความรัก ผมส่ายหน้าให้กับตัวเองเบาๆ มึงนี่ท่าจะหนักแล้วไอรักเอ้ย!
“ โหย ไอห่า กูก็นึกว่ามึงเศร้าจนโดดน้ำตายไปแล้วนะเนี่ย หาตั้งนาน ” ไอแสงในชุดนอนเดินงัวเงียมานั่งข้างๆ
“ ยังเว้ย อย่างกูไม่คิดฆ่าตัวตายง่ายๆ หรอก เดี๋ยวผู้หญิงทั้งโลกร่ำไห้ กูสงสาร ” ผมพูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ ยิ้มออกมาอย่างสบายใจ
“ มีกูอยู่ทั้งคน ไม่มีใครร่ำไห้ให้มึงหรอก โธ่ ”
“ หลงตัวเองยิ่งกว่ากูก็มึงนี่เองครับเพื่อน ” ผมแซวมันนิดหน่อย ก่อนจะถอนหายใจยาวๆ “ กูว่าเดี๋ยวกูจะกลับแล้วล่ะ แม่กูไลน์มาหาเมื่อวานเนี่ย บอกว่าให้กลับไปหาบ้าง ไหนๆ ก็วันหยุด ”
“ เออก็จริง ตั้งแต่มึงได้งานนี่ไม่ได้กลับเลยปะวะ ”
“ ใช่ดิ กูมีเวลาที่ไหนอ่ะ งานยุ่งชิบหาย ” ยุ่งของผมนี่ก็คือต้องตัวติดกับไอคุณชายนั่นตลอดเวลานั่นแหละ
“ ไปๆ เดี๋ยวกูพาไปส่ง กูก็อยากกลับไปกินข้าวฝีมือพี่สาวมึงอยู่พอดี อิอิ ” คนนั่งข้างผมหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ บ่งบอกถึงความคิดที่ไม่ดีอยู่ในหัว ไว้ใจไม่ได้จริงๆ เลยไอห่า
“ หึ นั่นพี่กู เดี๊ยะๆ ตบหัวยุบ ” ไอแสงเบนตัวหลบทันทีที่ผมยกมือหมายจะตบหัวมันอย่างที่พูดจริงๆ
“ โหย ไรอ่ะ กูก็แค่หยอกเล่น หวงพี่ซะจริง ” เพื่อนผมร้องโวยวาย แล้วลุกขึ้นยืน “ไปๆ รีบไปอาบน้ำแต่งตัว วันนี้กระผมจะทำหน้าเป็นสารถีให้คุณมึงเอง”
“ ม๊าคร้าบบ ผมกลับมาแล้ว ” ไอแสงตะโกนขึ้นมา เมื่อเปิดประตูเข้ามาข้างในบ้าน
“ นี่สรุปแล้วกูหรือมึงที่เป็นลูกของบ้านนี้ฮ้ะ ไอห่า ” ผมตบหัวมันเบาๆ ดังเพลี้ย มันหันมาทำหน้าหงิกใส่ แถมบ่นพึมพำอะไรผมก็ขี้เกียจฟัง แต่ก็เดี๋ยวเดียวนั้นแหละ ก็กลับไปดี๊ด๊าเหมือนเดิม เมื่อเห็นคุณนายแม่เดินนวยนาด กรี๊ดกร๊าด ประหนึ่งเห็นดารามาเยือนบ้าน
“ ว้าย! ตายแล้ว! ลูกมา ” แล้วคุณแม่ผู้บังเกิดเกล้าก็เดินเข้าไปสวมกอดไอเพื่อนที่ซึ่งบัดนี้กลายเป็นลูกรักแทนผมไปซะแล้ว ทั้งคู่ยืนกระหนุงกระหนิง ทำให้ผมทำหน้าเบื่อหน่ายเมื่อเห็นไอห่าแสงหันมายิ้มแฉ่งให้ น่าเอาส้นยัดหน้ามันซะจริงๆ
“ ม๊าครับ ลูกม๊ายืนอยู่นี่ครับ ” ผมจึงอดไม่ได้ที่จะทวงสิทธิ์ความเป็นลูก (อันน้อยนิด) ของตัวเองบ้าง
“ อุ้ยตาย! ม๊าลืมไปแล้วนะเนี่ยว่ามีลูกชาย ” แอคติ้งเนียนได้โล่ก็เห็นจะมีแต่คุณแม่ผมเท่านั้นแหละครับ
“ เอาที่สบายใจเลยฮะม๊า ผมหิวจะตายแล้วเนี่ย ทำอะไรให้กินหน่อยสิ ” ผมเดินถือของเข้าไปในบ้าน แล้วหย่อนตัวลงบนโซฟาที่ผมคุ้นเคย
“ จ๊ะ คุณชาย กลับมาไม่มีถามไถ่อะไรเลยนะยะ จะกินอยู่อย่างเดียว ” คนเป็นแม่บ่นกระปอดกระแปดเดินผ่านผมไป โดยมีแสงไอเพื่อนเฮงซวยเดินประจบไปตลอดทาง
“ เอ้อ ลืมบอกไป เมื่อกี้มีเพื่อนแกมานะ ม๊าเลยให้เขารออยู่ห้องรับแขกของป๊าแก ”
“ เพื่อนไหนอ่ะม๊า ” ผมถามอย่างสงสัย เพื่อนที่ไหนวะ เพื่อนที่มีก็ยืนหัวโด่อยู่ในบ้านนี่ (เพื่อนน้อยก็แบบนี้แหละ กระซิกๆ)
“ เห็นบอกว่าชื่อเนตรๆ อะไรนี่ล่ะ หล่อน่าดูเชียว ไอดีเห็นมันก็กระดี๊กระด๊าใหญ่ ” (ดีคือพี่สาวผมเองครับ) พอได้ยินชื่อเท่านั้นแหละ ผมนั่งนิ่งไม่ขยับ แต่ตาแทบถลนออกจากเบ้าตา และช็อกคาโซฟาเลยทีเดียว ไอแสงหันขวับมาหาผมอย่างสงสัยใคร่รู้ ชี้ชัดเลยว่าให้ตายมันต้องรู้เรื่องทั้งหมด ตายห่าแล้วตู ข้าศึกบุกถึงบ้าน!
“ เอ่อ ผมขอออกไปข้างก่อนได้ไหมฮะ ” ผมทำทีเป็นลุกขึ้นจะเดินออกไปจากบ้านที่เพิ่งจะเข้ามาได้ไม่ถึงสิบนาทีดี วินาทีนี้คือต้องออกไปให้พ้นๆ จากบ้านหลังนี้ (ที่มีไอคุณชายอยู่)
“ นั่น พูดถึงก็มาพอดี เนตรจ๊ะ ไอรักลูกชายม๊ามันกลับมาแล้วจ้า ” เอ่อ สาบานว่าน้ำเสียงของประโยคก่อนหน้ากับประโยคนี้ออกมาจากปากคนคนเดียวกัน เจอคนหน้าตาดีหน่อยนี่ถึงกับเสียงสองเลยนะ!
ไอคุณชายเดินมาด้วยท่าทีนอบน้อมเมื่อเห็นว่าคุณแม่ผมหันไปพูดคุยด้วย ก่อนที่สายตาจะเบนมาทางผมช้าๆ ซึ่งมันก็ทำให้เหงื่อในร่างกายของผมพร้อมใจกันผุดออกมาราวกับมีไฟมาลนอยู่ใกล้ๆ ตัว เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวานผุดขึ้นมาในหัวผมเป็นฉากราวกับภาพยนตร์ในโรงหนัง ผมได้แต่ยืนตัวเกร็งอยู่ที่เดิม ไม่กล้าขยับไปไหนทั้งสิ้น พ่วงด้วยไอแสงที่ยืนงงๆ มองไปทางนั้นทีมองมาทางผมที
“ เอ่อ คุณมาทำอะไรที่นี่ครับ ” ผมถามเสียงสั่นๆ เมื่อคุณแม่เดินเข้าห้องครัวไป ไอคุณชายเดินเข้ามาหาผมด้วยท่าทางที่ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร แต่มึงรู้ไหม กูทุกข์สุดๆ แล้วโว้ย ไม่ได้ดูสถานการณ์เลย ไอคุณชายบ้า
“ ก็…ไม่มีอะไร แค่อยากมาเฉยๆ ” อีกฝ่ายตอบหน้าตาย ผมจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำตอบ
“ ขออนุญาตขัดนะครับท่านทั้งสอง ผมขอถามได้ไหมว่าคุณคือใครครับ ” ไอแสงได้ทียิงคำถาม มันคงอัดอั้นอยากรู้แล้วสิ ท่าทางเหมือนคนกำลังสอบสวนผู้ร้าย แต่จริงๆ คือไม่มีอะไรนอกจากความอยากเสือกเฉยๆ ของมัน
“ เพื่อนกู มึงรู้ไว้แค่นี้แหละ ” ผมจึงตอบส่งๆ ไป ไม่อยากให้มันรู้ไปมากกว่านี้ เดี๋ยวความแตก ซวยกันตายห่าล่ะคราวนี้
“ กูถามคุณคนนั้น ไม่ใช่มึงไอรัก ” ว่าแล้วก็หันหน้าไปถามด้วยความเป็นมิตร ต่างกันกับที่คุยกับผม ทำไมคนใกล้ชิดผมถึงสองมาตรฐานกันได้ขนาดนี้
“ เป็นคนรู้จักของเขา ” มันก็เป็นคำตอบที่ไม่ได้เพิ่มข้อมูลใดๆ ทั้งสิ้นเลยจริงๆ
“ คนรู้จักแบบประมาณไหนเหรอครับ ขอถามได้ไหมฮะ ” แต่ก็ไม่มีอะไรทำให้ไอแสงคนนี้ย่อท้อได้ทั้งนั้น ไอคุณชายยืนเงียบไป ผมรู้สึกว่าบรรยากาศเริ่มเย็นยะเยือกจึงพยายามดึงไอสองคนนี้ให้ออกห่าง
“ เป็นเจ้านาย ” ไอแสงเบิกตากว้างทันทีที่ได้ยินสิ่งที่ไอคุณชายพูด หันมาทางผมอย่างตกใจ ผมจึงกลืนน้ำลายเอือก รู้ถึงความหายนะนับต่อจากนี้ไปเบาๆ
“ ละ แล้วมาทำอะไรที่บ้านของรักล่ะครับ ” ประโยคเริ่มนุ่มนวลขึ้นเมื่อรู้ถึงสถานะของฝ่ายตรงข้าม
“ พอดีเขาเข้าใจผมผิดนิดหน่อย ผมจึงอยากมาชี้แจง ” คราวนี้ผมถึงกับเขาอ่อนเกือบทรงตัวไม่อยู่ไปชั่วพริบตาหนึ่ง ไม่คิดว่าไอคุณชายจะกล้าพูดขนาดนี้ แล้วเพื่อนผมมันจะเข้าใจผิดไปกันใหญ่ไหมเนี่ย เรื่องเข้าใจผิดแบบไหนกันที่เจ้านายต้องมาด้วยตัวเองแบบนี้ ผมนี่แทบอยากจะร้องไห้ ไอแสงผู้ที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก จึงหันมาทางผม ทันใดนั้นมันก็จับมือลากผมออกไปอีกมุมหนึ่งของห้อง แล้วกระซิบถามผมเบาๆ
“ มึงตอบมา เรื่องเข้าใจผิดอะไรถึงต้องซีเรียสกันขนาดนี้ ” นั่นไง ผมพูดผิดที่ไหน ผมจึงถอนหายใจเบาๆ
“ ไม่มีอะไรหรอกมึง คิดมาก เขาคงแค่อยากมาอธิบายเรื่องงานมากกว่า ”
“ เรื่องงานก็ไม่จำเป็นต้องมาด้วยตัวเองแบบนี้มั้ง โทรมาก็ได้นี่ ” เพื่อนผมคาดคั้นคำตอบ ผมอยากจะร้องไห้จริงๆ นะเนี่ย ไม่ได้ล้อเล่น ใครใช้ให้ไอแสงเกิดความรู้สึกสงสัยกัน
“ แล้วทำไมมึงไม่ไปถามเขาเอาเองเล่า ”
“ กูไม่กล้านี่หว่า ก็มึงดูท่าทางเขาสิ เหมือนกับถ้ากูถามอีกประโยคเดียว เขาจะเผากูจากสายตาเขาได้แบบนั้นแหละ ” คนอย่างไอแสงกลัวเป็นด้วยเว้ย ผมก็เพิ่งยักจะรู้
“ งั้นกูก็ตอบมึงได้แค่นี้แหละ เพราะกูก็ไม่รู้โว้ย ”
“ มึงอย่างุบงิบดิว้า เดี๋ยวนี้หัดมีความลับกับเพื่อนเหรอ ”
“ โอ้ย งุบงิบบ้าบออะไร ก็กูบอกว่ากูไม่รู้ ถ้าอยากรู้ก็ไปถามเองสิ ” ผมยกแขนขึ้นกอดอก หน้าหงิกขั้นสุด ทำไมช่วงนี้อะไรๆ มันปะดังปะเดมากันจังเลยวะ
“ เฮ้ย อย่าบอกนะว่าเรื่องเมื่อวาน... ”
ก่อนที่ไอแสงจะถามอะไรต่อ อยู่ๆ มือที่สามอย่างไอคุณชายที่เดินมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ดึงแขนของผมให้ออกจากวงสนทนา แล้วก็ลากไปทางหน้าประตู ผมกับไปแสงที่ต่างก็ทำหน้าเหลอหลามองกันและกัน ก่อนที่หน้ามันจะถูกบังด้วยประตูที่ไอคุณชายช่วยสงเคราะห์ปิดให้ กว่าผมจะตั้งสติได้ ตัวเองก็มาอยู่ในรถของอีกฝ่ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
กูยังไม่ได้แดกข้าวเลยโว้ยยย
อาเมน….
โปรดติดตามตอนต่อไปง่อววววววว คุณท่านเนตรมาง้อแล้วค่ะแม๊
ว่าแต่คุณพี่จะท่าเยอะไปไหนคะ
สวัสดีปีใหม่น้าทุกคนเฮ่ลโล่วววว ยังมีใครอ่านอยู่ม้ายยย

ปีที่แล้วหนักหน่วงกันมามากมาย ลากยาวมาถึงปีนี้ที่ไม่รู้มันจะจบลงเมื่อไหร่
ก็ขอให้ทุกๆคนสู้ๆนะคะ รวมถึงไรท์เองก็ด้วยค่ะ (ปลอบใจตัวเอง ว่าชั้นมาไกลเกินย้อนไปปป)
ให้กำลังใจกันและกัน ดูแลสุขภาพตัวเองคือสำคัญที่สุด
ขอให้พวกเราทุกคนผ่านพ้นช่วงเวลาอันยากลำบากนี้ไปให้ได้ค่ะ
ไรท์เชื่อว่าคนที่อดทนและรู้หน้าที่ตัวเอง สุดท้ายแล้วจะได้รับสิ่งดีๆที่รอคอยอยู่ในภายภาคหน้าค่ะ
ยังไงก็เป็นกำลังใจให้น้า ถ้าเหนื่อยก็พัก แล้วมาอ่านนิยายของไรท์เพื่อคลายเครียดได้นะคะ อิอิ
ไรท์จะพยายามมาอัพให้บ่อยขึ้นค่ะ (ฮือ)
รักและเป็นห่วง
เจ้าหมีวุ่นวายเอง
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ปล. อย่าลอกงานเขียนน้า เพราะกว่าจะคิดพล็อตขึ้นมาได้ หัวแทบระเบิดเป็นโกโกครั้นช์บดละเอียด
เพราะฉะนั้นสงสารหนูโด้ยข่า