พิมพ์หน้านี้ - เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 39!!! (29/6/65)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: เจ้าหมีวุ่นวาย ที่ 17-04-2020 18:51:41

หัวข้อ: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 39!!! (29/6/65)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหมีวุ่นวาย ที่ 17-04-2020 18:51:41
**************************************************************************************

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


*****************************************************************************************





เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด



เคราะห์กรรม…ก็เหมือนอาการท้องเสีย


บทจะมาก็ไม่เคยจะให้เวลาเตรียมใจ


ถ้าไม่วิ่งพุ่งเข้าชน (ห้องน้ำ) ก็ต้องต้านไว้จนนาทีสุดท้าย


แต่ในที่สุดแล้ว จะมีซักกี่คนที่จะต้านทานมันไหว


ไม่รู้ว่าเบื้องบนรู้เห็นเป็นใจหรืออย่างไร ทำให้ผมคนดีคนนี้ต้องประสบพบเจออะไรแบบนี้!


ไหนจะตกงาน เงินในบัญชีก็ร่อยหรอไปทุกวัน ครบสูตรนางเอกเกาหลีซะจริง เดินเข้าป่าซะเลยดีไหม

 
เอ๊ะ แต่ผมไม่ใช่ผู้หญิงนี่นา เรียกนางเอกก็ไม่ได้

 
ในขณะที่กำลังซดดราม่าหางานอยู่นั้น ก็มี ‘งาน’ เข้ามางานหนึ่ง ผลตอบแทนชวนน้ำลายไหลเหลือเกิน


แต่แปลก จากที่พยายามหามาอย่างยากเย็นก็ไม่ได้ แต่งานนี้กลับได้อย่างง่ายดาย

 
ถ้าเป็นอย่างนี้ ก็ขอให้งานนี้เปลี่ยนชีวิตผมคนนี้ให้ดียิ่งๆขึ้นไปด้วยเถอะ!





-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


เรื่องแรกของข้าพเจ้าเลยค้าบบบบบ มีอะไรติชมก็สามารถคอมเมนท์ได้เลยน้า   :hao3:

หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 19-04-2020 23:48:00
 :pig2:
 :3123: :L2: :L1:
รออ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด **อัพเดต ตอน 1**
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหมีวุ่นวาย ที่ 22-04-2020 11:29:16
ตอนที่ 1
" ความถูกต้องก็ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของโลกใบนี้ "




ถึง คุณ ณรัก ธรพรสกุล

            คุณถูกปลดออกจากตำแหน่งเลขานุการบริษัท xxx เนื่องจากคุณได้ทำร้ายร่างกายท่านประธานจนเกือบสาหัส และทั้งนี้ด้วยความเมตตาของท่านประธาน ทำให้คุณพ้นข้อหาทั้งหมดดังกล่าวโดยไม่ต้องเสียค่าสินไหมใดๆทั้งสิ้น  ตั้งแต่บัดนี้ไปทางบริษัทจะถือว่าคุณไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอีกต่อไป  และขอให้คุณโชคดีกับงานใหม่ของคุณ

                                                                             ด้วยความปรารถนาดี

                                                                                      บริษัท xxx


 

 

 

 

ไอเฮงซวยยยยยยยยยย

ทำร้ายร่างกายเหรอ เฮอะ ถ้าไม่ใช่ไอ้เกย์มักมากนั่นมาลวนลามผมก่อน ผมจะทำแบบนี้ไหม!



“ หงุดหงิดจังโว้ย! ” ผมตะโกนอย่างอัดอั้นตันใจ หลังเปิดอ่านจดหมายจากบริษัทซึ่งจ่าหน้าซองมาถึงผม เป็นธรรมดาใช่ไหมล่ะ ที่คนหน้าตาดี พ่วงด้วยโปรไฟล์ดีอย่าง ‘ณรัก ธนพรสกุล’ จะเป็นที่ชื่นชอบของคนในบริษัท สูงยาวเข่าดี ผิวขาว ดวงตาเรียวคมแบบฉบับคนจีนแท้ที่รุ่นอากง อาม่านั่งเรือสำเภามาเยือนประเทศไทย แถมหัวดี เข้าสังคมเก่ง มาทำงานไม่เท่าไหร่ก็เต้าไต่ เอ้ย ไต่เต้าไปถึงตำแหน่งเลขาประธาน แทนเลขาสาวคนเก่าที่โดนปลด เพราะดันไปอ้อเราะต่อกระซิกกับท่านประธานมากเกินงาม



ก็ไม่ค่อยสะใจเท่าไหร่หรอกนะครับ

 

เพราะอะไรผมถึงสะใจน่ะเหรอ ก็เพราะอดีตเลขาคนดีคนนี้เนี่ยคงเหม็นหน้าผมมานานแล้วล่ะครับ จริงๆผมเป็นคนดีนะ ผมไม่เคยมีปัญหากับใคร เพราะใครๆก็หลงผมทั้งนั้น

 

มันเป็นความจริงครับ ผมไม่ได้หลงตัวเองซักนิด

 

ผมก็ไม่เข้าใจอารมณ์ผู้หญิงเขาซักเท่าไหร่หรอก ผมเป็นผู้ชาย เข้ามาทำงานได้ไม่ถึงปีในตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการ ทำงานด้วยความตั้งใจอย่างสุดความสามารถของผม และเลขาสาวคนนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นหัวหน้าผมเองครับ เธอเป็นเลขานุการของท่านประธาน แต่ไม่รู้ทำไมถึงไม่เคยทำงานด้วยกันอย่างสันติซักที ทั้งๆที่ผมเป็นผู้ชาย!

 

และหล่อด้วย! (เสียงแปดล้านเดซิเบล)

 

อยู่ดีๆ วันหนึ่งสาวเจ้าก็มาใส่ความว่าผมเป็นเกย์ ใช้ร่างกายเข้าหาท่านประธาน

 

โอ้โฮ ผมก็ขึ้นสิครับ

 

เป็นผู้ชายแท้เรียกได้ว่าแมนทั้งแท่งมาตั้งแต่หมาเลียถึงรูก้น เรียกได้ว่ามีเสน่ห์ดึงดูดหญิงสาวมากมายให้เข้ามาหลงหัวปรักหัวปรำได้มาตั้งนมตั้งนาน และภาคภูมิใจในความแมนของผมอย่างมากที่สุด แต่แล้วมีคนมาดูถูกความแมนของผมนี้ ผมรับไม่ได้นะครับจะบอกให้ แต่ถามว่าผมเอาคืนอะไรหรือเปล่า ก็ไม่ครับ ใช้ความสามารถของผมพิสูจน์ดีกว่า เพราะคนฉลาดเขาใช้วิธีนี้กัน (หึ)

 

เพราะฉะนั้นฟ้าคงเป็นใจให้ความตั้งใจของผมนั้นสัมฤทธิ์ผล หลังจากที่เธอโดนไล่ออก ผมก็ทำงานอย่างมีความสุขมากขึ้น บอกแล้ว หัวเราะทีหลังดังกว่านะครับ!

 

ไม่มีอะไรฉุดความรุ่งเรืองของผมได้แล้วขณะนั้น เมื่อตำแหน่งใหม่ที่ได้รับนั้น เป็นโอกาสที่ดีในวงการเลขาเลยก็ว่าได้ ชื่อเสียงของผมในบริษัทแผ่ขยายไปไกล ใครๆก็เรียกผมว่า ‘คุณเลขาสายโหด’ เพราะไม่ว่าจะงานใด ยากง่ายขนาดไหนก็ตาม ผมก็สามารถฟันฝ่ามันไปได้หมด ชนิดที่เรียกได้ว่าทุ่มหมดตัวเพื่อให้งานฉลุย ประหนึ่งบริษัทนั้นเป็นชีวิตของผมเลยก็ว่าได้ ทำให้ประธานไว้ใจและชมเชยผมอย่างไม่ขาดสาย

 

แต่หลังจากนั้นไม่นาน ความรุ่งโรจน์ของผมพลันหายวับไปกับตา

 



‘ คุณณรักครับ เชิญคุณที่ห้องผมหน่อยครับ ’

เสียงประธานสั่งผ่านโทรศัพท์โอเปอเรเตอร์บนโต๊ะเลขา ทำให้ชายหนุ่มแปลกใจนิดหน่อย เพราะตามปกติแล้วนั้นประธานจะไม่ค่อยจะเรียกในเวลาเย็นๆเลิกงานแล้วแบบนี้

 

ชายหนุ่มรีบลุกขึ้นเต็มความสูงและเดินเปิดประตูเข้าไปด้วยท่าทีมั่นใจตามปกติ เมื่อเข้าไปแล้วก็พบกับท่านประธานที่ไม่ได้มองมาทางเขา เจ้าตัวยืนหันหลังให้และมองออกไปยังตึกสูงค่ำฟ้าหลายตึกท่ามกลางบรรยากาศอึมครึมและฝนตกปรอยๆภายนอกหน้าต่างบานใหญ่ซึ่งอยู่ข้างหลังโต๊ะทำงานของเขา แผ่นหลังเหยียดตรงแข็งแรงของเขาทำให้รู้สึกถึงความหนักแน่น



และเมื่อประธานรับรู้ถึงการมีตัวตนของชายหนุ่ม ท่านประธานหันมาช้าๆด้วยท่าทีผ่อนคลาย และสายตาที่เป็นประกายแปลกๆเพ่งตรงมาที่เขา แต่ไม่รู้ทำไมเขารู้สึกถึงความไม่ปกติ และอาการขนลุกเบาๆนี้ด้วย แต่ทำใจดีสู้เสื้อยิ้มสุภาพไปให้อย่างรู้กาลเทศะ

 

‘ ทำไมยืนทำตัวเกร็งอย่างนั้นล่ะครับคุณ ณรัก เดินเข้ามานั่งตรงนี้ก่อนสิครับ ผมมีอะไรจะพูดด้วย ’



เขายืนนิ่งซักพักหนึ่ง จึงเดินไปที่มุมรับแขกซึ่งอยู่ทางด้านซ้ายมือของโต๊ะทำงาน นั่งลงช้าๆด้วยท่าทีระมัดระวัง ชายหนุ่มเริ่มระแวงในบรรยากาศแปลกประหลาด ไม่ใช่ว่าเขาคิดไปเอง เพราะท่าทีของท่านประธานเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด และยิ่งในเวลาเลิกงานแบบนี้ด้วยแล้ว ข้างนอกห้องประธานคงไม่มีใครอยู่แล้วแน่นอน หากเกิดอะไรขึ้นมาคงไม่ดีแน่

 

ท่านประธานเดินมานั่งข้างๆไม่ใกล้ไม่ไกลนักพร้อมหันหน้ามาทางเขา ยิ้มอย่างมีเลศนัย

 

‘ คุณรู้ไหมว่าคนภายนอกเขามองคุณอย่างไร ’ ชายหนุ่มเอ่ยถาม



‘ เพอร์เฟคครับ ’ เลขาหนุ่มตอบแบบมั่นใจ พร้อมกับเหลือบมองชายหนุ่มอย่างไม่ไว้ใจ

 

คนตั้งคำถามหัวเราะเบาๆ

 

‘  ไม่ผิดครับ ขนาดผมเองยังเคยอิจฉาในความเพอร์เฟคของคุณเลย  แต่ทำไมนะ ผมถึงคิดว่าไม่อยากให้คุณเป็นแค่เลขาของผมซะแล้ว ทั้งที่คุณทำงานดีขนาดนี้ ’  ร่างของชายหนุ่มค่อยๆเขยิบมาใกล้ๆเลขาหนุ่ม พร้อมยกมือขึ้นปัดปอยผมบนหน้าผากเขาเบาๆ พร้อมกระซิบไปที่หูด้วยน้ำเสียงหวาบหวาน



‘  ยอมผมสิ แล้วผมจะให้คุณเป็นมากกว่าเลขา ’  มือของชายหนุ่มลูบไล้เบาๆที่ต้นขาผ่านกางเกงแสล็คเข้ารูป

 

ขณะที่เขากำลังตื่นตกใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของประธานอยู่นั้น ชายหนุ่มก็สบโอกาสผลักเขาลงไปนอนบนโซฟาอย่างรวดเร็ว และใช้มือข้างหนึ่งอุดปากเขาไว้ และอีกข้างหนึ่งรวบมือทั้งสองข้างรั้งไว้เหนือศรีษะ ยื่นหน้าเข้าไปที่ซอกคอและกระซิบเบาๆอีกครั้ง

 

‘  หรือจริงๆแล้วคุณก็คงอยากเป็นมากกว่าเลขาเหมือนกันล่ะครับคุณณรัก ’

 

สิ้นเสียงของชายหนุ่ม ทำให้เลขาหนุ่มได้สติ และรู้สึกเหมือนมีอะไรขาดพรึงที่หัว พร้อมกับอารมณ์คลุกครุ่นที่ค่อยพุ่งปรี้ด ลำตัวเหยียดเกร็ง สายตาที่เริ่มเปลี่ยนไปของเขา ทำให้ประธานหนุ่มชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ยังไม่ทันจะตั้งตัว ขาของเขาก็กระแทกไปที่กลางลำตัวของประธานหนุ่มอย่างแรง พร้อมกับถีบลำตัวตกลงไปข้างโซฟา

 

‘  หึ เป็นมากกว่าเลขา พูดมาได้นะครับไอ้ท่านประธาน ผมทำงานด้วยความตั้งใจ ผมขอย้ำอีกทีนะครับ ผมเป็นชายแท้ และผมอยู่บนมาตลอดครับ ’  ไม่พูดอย่างเดียว ยังกระทืบหลายๆทีไปที่ลำตัวของชายหนุ่มอีกด้วย และไม่นานเป็นไปอย่างที่คาด ชายหนุ่มเกือบจะสลบเหมือดไป  เลขาหนุ่มก้มลงไปใกล้ๆพร้อมกับพูดว่า



‘  คุณรู้หรือเปล่าว่าความสามารถอีกอย่างหนึ่งของผมที่ฉันไม่เคยจะแพร่งพรายให้ใครรู้น่ะคืออะไรครับ… ’

 

พลั้ว!

 

'  นี่ไงล่ะ! ’


 



และคำประกาศิตนั่นก็คือต้นตอของความหายนะของผมที่ทำให้ชีวิตผมชิบหายวายวอดมาจนถึงขนาดนี้ ใครจะไปคาดคิดกันล่ะว่าหน้าตาหล่อลากขนาดท่านประธาน ลึกๆแล้วจะเป็นเกย์และหื่นกามไปได้ คนเราที่มันมองแต่หน้าไม่ได้จริงๆ มันไม่ใช่ความผิดของผมซักหน่อย ผมทำไปก็ป้องกันตัวทั้งนั้น หน็อย เห็นผมตัวเล็กกว่าอย่างนั้นสินะครับ

 

แต่ความถูกต้องก็ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของโลกใบนี้ เมื่อผมได้รับ ‘จดหมายเชิญออก’ ส่งตรงมาจากบริษัท เป็นจดหมายลับเฉพาะที่ไม่ว่าใครก็เปิดอ่านไม่ได้ เพราะมันจ่าหน้าซองถึงผมนั่นเอง เนื้อความก็อย่างที่ผมเปิดไปแล้วข้างต้นนั่นแหละ หึ กลัวความจะแตกเอาน่ะสิ ไอประธานเกย์เอ้ย!

 

“ เฮ้อ “ ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ หลังนึกถึงปัญหาต่างๆที่จะตามมา เพราะตอนนี้ผมตกงานเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับทุกท่าน

 

นั่นแหละ ชีวิตอันรุ่งโรจน์ของผมพลันหายวับไปกับตา และเพิ่งจะรับรู้ว่าการที่หัวเราะทีหลังแล้วมาร้องไห้ในท้ายที่สุดมันบัดซบยิ่งกว่าซะอีก





โปรดติดตามตอนต่อไป....


เล่นใหญ่ไปอีก นังน้องรักตู 555555
เรื่องแรกเลยค้าบบบ ฝากติดตามด้วยน่ะจ้า   :hao7:

หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด >>ตอน 1 มาละฮะ<<
เริ่มหัวข้อโดย: MayuYume ที่ 22-04-2020 13:46:02
สนุกกกกกนายเอกสู้คน เกาะรอตอนต่อไปค่ะ :hao7:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 2!!!
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหมีวุ่นวาย ที่ 29-04-2020 14:11:32
ตอนที่ 2
" แสง อาทิตย์ ชายเถื่อน "




 

“ ลูกรัก ม๊าไม่อยากจะพูดอะไรมากมายให้เวิ่นเว้อนะ แต่แค่อยากจะถามอะไรรักซักหน่อย นี่ป๊าเขาก็รู้เรื่องแล้วนะ ยังฝากม๊ามาบอกเลยว่าสมน้ำหน้า ”



“ ม๊ารีบๆพูดมาเถอะครับ แบบนี้เขาเรียกเวิ่นเว้อครับม๊า ” ผมตอบอย่างเบื่อหน่าย




ตั้งแต่เข้ามาทำงานที่อดีตบริษัทที่เพิ่งจะเขี่ยผมออก ผมก็ย้ายไปอยู่คอนโดขนาดปานกลางของพ่อผมที่ซื้อทิ้งไว้นานแล้ว พ่อของผมปล่อยเช่าให้คนคนหนึ่ง ซึ่งจังหวะที่สัญญาเช่าครบกำหนดพอดี และคนเช่าไม่ต้องการต่อสัญญา ห้องนี้จึงตกเป็นของผมไปโดยปริยาย ผมจึงสิงสถิตที่ห้องนี้มาตั้งแต่นั้น

 

เห็นผมเพอร์เฟคขนาดนี้ แต่ผมค่อนข้างหัวโบราณหน่อยๆตรงที่คบกับใครก็จะคบคนคนนั้นคนเดียว ไม่แลเหลียวคนอื่นใด



แต่เมื่อเลิกเมื่อไหร่ก็หาคนอื่นต่อไปครับ ชีวิตเราต้องใช้ให้สุด ฮ่าๆ

 

และด้วยความที่วาดฝันไว้ว่าอยากจะมีห้องส่วนตัว ทำงานที่ตนรัก และทุ่มเทกับจนได้เลื่อนตำแหน่งสูงๆ มีคนรักที่เพียบพร้อม คบกันสักพักแล้วผมก็จะขอเธอแต่งงาน งานแต่งของเราไม่จำเป็นต้องเลิศหรูอะไรมาก แต่ก็อบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุข อบอุ่น เสียงหัวเราะ และคำอวยพร พอเก็บเงินได้ซักระยะหนึ่งก็จะจัดทริปโรแมนติกกับคนรัก เลี้ยงหมาน้อยตัวเล็กๆ และลูกชาย 2 คน

 

นั่นแหละครับ ด้วยความที่โลกสวย ทุกอย่างจึงหยุดชะงักตั้งแต่ได้รับจดหมายถูกเชิญออกนั่นแล้วล่ะ


 

“ ม๊าแค่อยากจะถามว่า รักจะทำยังไงต่อไปเท่านั้นเอง ทำไมต้องทำเสียงเบื่อม๊าด้วย ม๊าน้อยใจนะ! ”  นั่นไงครับ ถ้าถามว่าผมเหมือนใคร ก็คงจะเป็นแม่นี่แหละ เจ้าบทบาท ถ้าถูกส่งเข้าชิงรางวัลออสก้าคงตีกันตายบนเวที



“ ผมก็คงต้องหางานต่อไปครับม๊า รักไม่อยากหล่ออยู่เฉยๆนานๆ เดี๋ยวความหล่อมันบูด หมดมู้ดแล้วจะไม่ดี ”



“ กลับมาทำที่บ้านสิลูกรัก ป๊ากับม๊าอยากจะเกษียณเต็มแก่อยู่แล้ว อยากเที่ยวรอบโลกบ้าง เบื่อเมืองหลวง ”




พ่อแม่ของผมประกอบกิจการส่วนตัวครับ ท่านทำธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องไหว้พระ จำพวกธูป เทียน กระดาษเงินกระดาษทอง แผ่นแปะผนังรูปอาแปะอากงทั้งหลายแหล่ เครื่องสังฆทาน และหลายสิ่งหลายอย่างมากมาย ซึ่งกิจการค่อนข้างใหญ่เลยทีเดียว เพราะส่วนใหญ่ขายส่งอย่างเดียว บอกแล้วว่าครอบครัวผมนั้นจีนจ๋ามากเลยทีเดียว ซึ่งคนสมัยใหม่ที่ไม่ได้เข้าวัดเข้าวาอะไรมากมายอย่างผมนั้นไม่แปลกที่จะไม่ค่อยจะรู้เรื่องอะไรเท่าไหร่ ผมจึงปฏิเสธพ่อกับแม่แล้วมุ่งหน้าตามหาทางของตัวเอง และสุดท้ายก็มาจบอยู่ ณ ที่ตรงนี้




“ ผมยังอยากทำงานที่ตัวเองชอบอยู่ครับม๊า แล้วเรื่องห้องนี่เดี๋ยวผมขออยู่ไปสักพักก่อนนะ ช่วงนี้อาจจะไม่ได้กลับบ้าน ต้องเร่งสมัครงานก่อน ”



“ โธ่ ลูกรัก ม๊าฟังแล้วอนาถใจจัง แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตามป๊ากับม๊าก็รักลูกนะ ถ้าขาดเหลืออะไรรีบบอกป๊ากับม๊าเลยนะ ”



“ ครับม๊า ม๊าไม่ต้องเป็นกังวลอะไรนะ เก่งอย่างผมเนี่ยแปปเดียวเท่านั้นแหละ… ”



“ เดี๋ยวก็จะคลานกลับมาหาป๊ากับม๊าใช่มั้ย ”

 

ครับ ย้ำอีกที นั่นแม่ผมล่ะครับ

 

 

 




“ โธ่ ไอรักเอ้ย มึงนี่มันซวยจริงๆเลยว่ะ โดนไล่ออกช่วงที่ส่วนใหญ่เขาปิดรับสมัครไปแล้วอ่ะนะ ” ทำไมมีแต่คนซ้ำเติมจริงเลยวุ้ย



“ เออ นี่กูก็เซ็งเนี่ย หล่อวัวตายควายล้มอย่างกูยังต้องมาลำบากขนาดนี้เหรอ ”



“ จ้ะ พ่อคนหล่ออาบยาพิษ หลงตัวเองให้มันสุดนะมึง จะไม่มีแดกอยู่แล้วเนี่ย แล้วจะทำยังไงต่อไป สมัครงานช่วงนี้ก็ยากหน่อยนะ มันเลยช่วงมาสักพักแล้ว ”

 


คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามผมนี่คือไอ้ ‘อาทิตย์’ หรือ ‘แสง’ เพื่อนผมเองครับ เป็นเพื่อนที่คบมาตั้งแต่สมัยมัธยม ซึ่งผมสนิทกับมันมากที่สุด และก็ยังติดต่อกันมาถึงจวบจนทุกวันนี้ ส่วนเพื่อนคนอื่นๆก็กระจัดกระจายไป นานๆจะมีติดต่อกันที ไอ้แสงคนนี้มันรวยครับ ที่บ้านมันประกอบกิจการตั้งแต่เมล็ดพืชยันเรือยอร์ช เรียกได้ว่าอะไรที่ทำเงินได้ที่บ้านมันทำหมดครับ เหลืออย่างเดียวที่ที่บ้านไม่แตะเลยคือสิ่งอบายมุขทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หลังจากมันเรียนจบก็ต้องกลับไปดูแลกิจการที่บ้านต่อทันที เพราะพ่อแม่พี่น้องดูไม่ทัน อะไรจะรวยขนาดนั้นละครับพี่น้องง 



จริงๆแล้วมันเป็นคนจริงใจที่ใช้เงินเก่งครับ ที่ผมเปรียบเทียบแบบนี้เพราะมันเป็นคนจริงใจสำหรับผมจริงๆ มันด่าผมอย่างจริงใจ และตบหัวผมอย่างจริงใจเช่นเดียวกัน ไม่ว่ามันจะทำอะไรที่เกี่ยวกับการประทุษร้ายผมล้วนจริงใจหมดเลยครับ เรื่องใช้เงินคือมันสามารถจ่ายเงินเพื่อสิ่งของต่างๆได้ราวกับมันมีเครื่องผลิตเงินในตัว คือใจป้ำล่ะว่าง่ายๆ

 

แต่เห็นอย่างนั้นแล้วมันยังโสดนะครับ ครั้งหนึ่งมันเคยบอกผมว่ามันเจ็บกับการที่โดนคนอื่นหลอกเพราะเงิน เพราะในมหาวิทยาลัยใครๆก็ย่อมรู้กิตติมศักดิ์ของมัน เพราะเงินสบทบให้กับมหาวิทยาลัยเกือบครึ่งมาจากพ่อแม่มัน โอ้ รู้สึกใหญ่ใจสะท้านฟ้า และเมื่อทุกคนรู้ความจริงในข้อนี้ ต่างก็เข้าหามันอย่างมีจุดประสงค์ทั้งนั้น ทั้งเพื่อนทั้งผู้หญิง และยังมีผู้ชายด้วยนะจะบอกให้ เพราะเพื่อนผมคนนี้มันมีเสน่ห์ครับ สูง หุ่นดีเพราะออกกำลัง ผิวไม่ขาวมาก และตาคม แถมยังมีลุคเถื่อนๆทั้งๆที่ท่าทางมันออกจะสุภาพกับคนทั่วไป แต่กับผมนั้น ไม่นับครับ (เฮ้อ)

 

ครั้งหนึ่งมันเคยบ่นระบายความในใจกับผมเรื่องแฟนที่เพิ่งเลิกกันหมาดๆของมัน

 



‘ แม่งงงงงง ไอเชี่ยรักกก มึงงง กูเพิ่ง เอิ๊ก เลิกกับแฟน ’  ไอแสงร้องโวยวายหลังจากที่ยกเหล้าขึ้นกรอกปากเป็นแก้วที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้



‘ อ้าว ไหงงั้นล่ะเพื่อนแสง มึงออกจะเพอร์เฟคหาได้มีผู้ใดเปรียบขนาดนี้ แถมรวยชิบหาย ไหนบอกกูใครทำกับแสงอาทิตย์ผู้เจิดจ้าอย่างมึงได้ ’



‘ มึงเป็นเพื่อน เอิ๊ก ที่ดีมากสำหรับกู กูซาบซึ้งมาก มึงจะไปเอาเรื่องกับเขาให้กูใช่ไหมม ’



‘  ป่าว กูจะไปเสียบต่อ ฮ่าๆๆๆๆ ’  ผมหลบฝ่ามือของมันเมื่อมันเงื้อมือหมายจะผลักหัวผม



‘ ไอเลวววววววว เอิ๊ก ’



‘ แล้วทำไมเขาบอกเลิกมึงวะห้ะ เพิ่งจะคบกันไม่ใช่เรอะ  ’  จู่ๆไอแสงก็นิ่งไป จากนั้นมันก็หันหน้ามาทางผม และเข้าประชิดตัวผมทันที จนผมตกใจ



‘ อะ อะไรของมึง ผีเข้าหรือเปล่าเนี่ย กูกลัวผีนะโฟ้ยย ออกไปห่างๆเดี๋ยวนี้ ’



‘ มึงว่าปกติภายนอกกูดูเป็นคนยังไง ’



‘ ภายนอกก็เถื่อนดีนะ แต่พอเข้ามาคุยจริงๆมึงก็สุภาพออก เทคแคร์ ยกเว้นเมื่อสนิทกันแล้วอย่างกูเป็นต้น ’



‘ คือกูน่ะ เอิ้ก โดนบอกเลิกเพราะอะไรรู้ปะ ’  ผมเงียบและมองหน้ามันเพื่อตั้งใจฟัง



‘ น้องพิ้งค์เขาบอกว่ากูอ่ะ สุภาพไป เพราะสเปคที่เขาปิ๊งกูจากตอนแรกๆที่เห็นก็คือกูดูเถื่อน เขาบอกเขาไม่ชินกับตัวตนกูที่ดูสุภาพ ’  พอมันพูดจบ ผมก็สตั๊นไปพักหนึ่ง



‘ พรืด ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ ’  ผมกลั้นขำไม่ไหว หัวเราะออกมาดังจนกลบเสียงร้องเพลงบนเวทีเลยทีเดียว ไอแสงทำหน้าหงิกเมื่อเห็นผมหัวเราะ ก่อนมันที่จะซดเหล้าหมดแก้ว



‘ กูไม่ตลกนะโว้ยย ไอสัดรัก กูคิดว่ากูจะจริงจังกับน้องเขาเนี่ย เพราะเขาดูไม่สนเงินของกูเลย แต่สุดท้ายนี่มันคืออะไรรรร ฮือออ ’  มันพูดพร้อมกับน้ำตาไหลพราก และฟุบหน้าลงไปกับโต๊ะ



‘  ใจเย็นเว้ยมึง ใครใช้ให้ภายนอกมึงดูเถื่อนขนาดนั้นล่ะวะ มันก็แก้อะไรไม่ได้อ่ะเพื่อน มันต้องทำใจเว้ย ’  ผมตบบ่ามันเพื่อให้กำลังใจ แต่จู่ๆมันก็เงยหน้าพรวดขึ้นมาจนผมตกใจอีกครั้ง



‘ กูตัดสินใจแล้วไอรัก ’



‘ อะไรของมึงครับคุณเพื่อน มึงทำกูตกใจสองรอบแล้วไอห่า ’



‘ กูจะเถื่อนให้แม่งเห็นเอง!!! ’




                                                             

และหลังจากนั้นท่าทีสุภาพมันก็หายไป กลายเป็นความเถื่อนที่เหมือนกับภายนอกของมัน แต่อย่าถามถึงผมเลยครับ เมื่อก่อนมันห่ามกับผมขนาดไหน ตอนนี้ก็แอดวานซ์ไปเท่าตัวเลยครับ ไอเถื่อนน้อยกลอยใจ



“ ไม่รู้ว่ะ ก็คงต้องหางานต่อไปอ่ะมึง ป๊าม๊ากูนี่ตื้อกูให้กลับไปทำที่บ้านอยู่เนี่ย เซ็ง ” ผมถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ทำไมชีวิตผมต้องมาพบเจออะไรแบบนี้ด้วย



“ และยังไงมึงก็ไม่มาทำกับที่บ้านกูอยู่แล้ว เพราะงั้นก็รีบหางานเลยเพื่อน ”  ไอแสงเคยชักชวนให้ผมไปเป็นผู้ช่วยมัน  ว่าง่ายๆก็เป็นขี้ข้ามันนั่นแหละ แต่ผมเกรงใจที่บ้านมัน เพราะพ่อมันจะให้เงินเดือนผมสูงมากกกกก ซึ่งผมกลัวคนอื่นจะหาว่าเด็กเส้นยักษ์ (เส้นใหญ่มันน้อยไป) เลยปฏิเสธเสียงสั่นๆไปทั้งที่ใจมันเอนเอียงไปกับเงินเดือนนั้นแล้ว



“ เออ แล้วเห็นมึงเล่าว่าญาติมึงจะบินมาจากฮ่องกงไม่ใช่เหรอวะ ”



“ พรุ่งนี้มึง นี่กูต้องไปรับเขาด้วยเนี่ย ที่บ้านไม่มีใครยอมไปเลย กูเลยต้องเลื่อนนัดน้องมุก เขาโวยวายใหญ่ หาว่ากูไปมีกิ๊ก ” ตามที่ผมเล่าแหละครับ มันให้คำสัตย์สัญญาว่าจะเปลี่ยนตัวเองให้เถื่อนให้สมกับลุคภายนอกของมัน เลยเป็นอย่างที่เห็นนั่นแหละ ควงสาวเป็นว่าเล่น แถมแต่ละคนก็ระดับไฮโซทั้งนั้น ผมนี่โคตรอิจฉามันเลย เลยทำได้แต่ส่งสายตาลุกวาวเมื่อได้เห็นมันควงสาวมาให้ผมยลโฉม




“ สมน้ำหน้า ไอสัด มึงเคยด่ากูไว้สมัยเรียน เป็นไงล่ะ ควงสาวเด็ดกว่ากูอีก โธ่ กูอิจฉา ”



“ ช่วยไม่ได้นะครับเพื่อน แต่พอมาดูๆแล้ว กูก็เหี้ยจริงๆว่ะ เมื่อวันก่อนกูยังคุยกับน้องมัทอยู่เลย หลังจากคืนนั้นกูก็เปลี่ยนคนคุยเฉยเลย เหี้ยเอ้ย นี่ถ้ากูไม่ได้สาบานไปเมื่อวันนั้น กูคงต่อยตัวเองไปแล้วเนี่ย ”



“ เพื่อนครับ คนจะเหี้ยก็ต้องเหี้ยให้สุดครับ เคยได้ยินไหมที่ว่าเต็มที่ให้สุดกับชีวิต ”



“ ถึงกูจะเหี้ย แต่ก็เหี้ยเพราะความจำเป็น แต่มึงนี่คงเหี้ยโดยสันดานเลยใช่ไหม เลยมีคติประจำใจแบบนี้ ”



“ ไอเวร!!! ”





โปรดติดตามตอนต่อไป....



เปิดตัวชายเถื่อนของเรื่องค่ะ!

สองคนนี้เค้าซี้กัน ปึกๆเลย เดี๋ยวต่อจะไปจะได้เห็นคุณแสงคนเถื่อนคนนี้เสนอหน้ามาได้ทั้งเรื่องเลย

ไม่เหงาแน่นวลลล

แล้วก็ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่เข้ามาอ่านกันนะจ้า
  :hao5:



หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 2!!!
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 29-04-2020 17:53:40
 :m22:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด >>>อัพเดต ตอน 3 (06/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหมีวุ่นวาย ที่ 06-05-2020 17:36:30
ตอนที่ 3
" ชีวิตนั้นมันเกินจริงกว่าในหนังซะอีก "

 

 

 

“ ท่านประธานคะ ทางผู้กำกับสน. เขาฝากมาบอกว่าเขาจะพยายามสุดความสามารถที่จะตามตัวคนร้ายให้ได้ค่ะ ขอให้ท่านวางใจค่ะ ”

 

ท่านประธาน หรือ คุณผาภูมิ โอฬารวิจิตรรัศมิ์ เจ้าของบริษัท โอฬาร กรุ๊ป จำกัด ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าจำพวกไวน์และเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ส่งออกไปทั่วเอเชีย และกำลังวางแผนจะทำการขยายตลาดไปยังยุโรปต่อไปในภายภาคหน้า

 

บริษัทนี้เดิมก่อตั้งมาตั้งแต่สมัยปู่ของเขา ในขณะนั้นยังเป็นเพียงบริษัทเล็กๆซึ่งมีพนักงานไม่ถึง 20 คน ปู่ของเขายังมีพื้นที่ไร่ขนาดพอเหมาะที่ตั้งชื่อเดียวกับนามสกุลของเขา ‘โอฬารวิจิตรรัศมิ์’ และพอมาถึงรุ่นพ่อของเขาก็ใช้ความสามารถที่มีขยายบริษัท รวมถึงไร่ให้ใหญ่โตมายังทุกวันนี้ได้ เขาซึ่งเป็นรุ่นที่สามก็มาสานต่อให้รุ่งเรืองต่อไป และจนมาถึง ณ ตอนนี้ รุ่นที่สี่ รุ่นลูกของเขา ที่กำลังจะก้าวผ่านอุปสรรคทั้งหลาย ขึ้นรับตำแหน่งต่อจากเขา

 

และวันนี้ควรจะเป็นวันที่เขาจะภาคภูมิใจมากที่สุดที่ได้เห็นลูกของเขาเข้ามาบริหารกิจการต่อจากเขา

 

หากไม่เกิดเรื่องร้ายขึ้นซะก่อน

 

“ บ้าจริง! ” เขาสบถขึ้นอย่างหัวเสียเมื่อนึกถึงเรื่องที่เขาได้รับเรื่องเมื่อเช้า ว่ามีการลอบทำร้ายลูกของเขาในขณะที่กำลังจะเดินทางมาที่บริษัท เขาได้ล่วงหน้ามาก่อนเพราะอยากจะมาจัดการอะไรให้เรียบร้อยก่อนจะได้เกษียณอย่างเต็มตัว

 

ลูกเขาบาดเจ็บสาหัสจากการโดนรถซึ่งไม่รู้ที่มาพุ่งเข้าชนอย่างแรงขณะที่ลูกเขากำลังจะขับรถข้ามแยก สภาพรถยับเยินจนไม่อยากจะคาดเดาว่าคนข้างในจะเป็นอย่างไร ประจวบกับช่วงที่เกิดเหตุ บริเวณละแวกนั้นไม่มีคนอยู่จึงทำให้ตามหารถปริศนาคันนั้นได้ยากยิ่ง

 

ราวกับว่า ‘มัน’ เตรียมการมาอย่างดี

 

บุญดีที่ว่าหลังจากเกิดเหตุมีรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างขับผ่านมาและเห็นพอดี จึงช่วยเรียกรถพยาบาลมาได้อย่างทันท่วงที เขาซึ่งได้รับเรื่องขณะนั้นอยู่ที่บริษัท ก็รีบรุดไปยังโรงพยาบาลทันที และด้วยความสามารถของหมอ ตอนนี้อาการลูกเขาพ้นขีดอันตรายแล้ว กำลังพักรักษาอยู่ที่โรงพยาบาล

 

ตอนนี้เขาไม่มีหลักฐานใดๆเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จนกว่าจะได้รับข่าวจากผู้กำกับสน.ที่เขารู้จักสนิทสนม

 

“ ฝากบอกเขาว่าขอบคุณมาก “



“ รับทราบค่ะ ท่านประธานมีอะไรอีกไหมคะ ถ้าไม่มีเดี๋ยวดาจะได้รีบประสานงานกับทางผู้กำกับให้ค่ะ ส่วนเรื่องลูกของท่าน ดาเสียใจด้วยนะคะ ทางนี้ดาจะช่วยอย่างเต็มที่ค่ะ ท่านไม่ต้องกังวล ” ดา หรือดาราลักษณ์ เป็นเลขามาตั้งแต่รุ่นพ่อของเขา ตอนนี้แม้อายุจะล่วงเข้าเลขสี่ปลายๆแล้ว แต่ร่างกายก็ยังกระฉับกระเฉงว่องไว เนื่องจากเป็นคนชอบออกกำลังกาย และนอกจากนี้ยังเป็นคนที่เขาไว้ใจที่สุดในบริษัท เนื่องจากที่ผ่านมาไม่เคยมีงานไหนที่เขามอบหมายให้ทำแล้วไม่จัดการเรียบร้อยเลย หญิงสาวเก็บเรียบทุกรายละเอียด และรอบคอบยิ่งกว่าตัวเขาเสียอีก



“ ขอบคุณมากนะดา เรื่องทางนี้หากมีอะไรที่ดาพอจะทำได้ ผมก็ฝากด้วย แต่ถ้าเป็นเรื่องเร่งด่วน ติดต่อผมได้ทันที ”



“ แล้วท่านจะทำอย่างไรต่อไปคะ เพราะดูท่าแล้วการขึ้นรับตำแหน่งของ คุณเนตร เกรงว่าจะมีปัญหาแล้วล่ะค่ะ ”

 

เหมือนเดจาวู ตั้งแต่สมัยพ่อของเขา ทำไมคนอย่างเขาที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมายจะเดาไม่ออกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจุดประสงค์คืออะไร เกิดเรื่องในช่วงเวลาแบบนี้ ย่อมเป็นที่แน่นอนแล้วว่าสาเหตุคงจะหนีไม่พ้นเรื่องตำแหน่งอันสูงสุดของบริษัทที่ซึ่งขยายยิ่งใหญ่และมั่นคง มีรากฐานอันแข็งแกร่งด้วยหยาดเหงื่อและเรี่ยวแรงของตระกูลเขา จนถึงตอนนี้สร้างกำไรในแต่ละไตรมาศและในแต่ละปีได้เป็นกอบเป็นกำ จน ’ใครบางคน’ เกิดกิเลสละโมบโลภมาก ไม่รู้จักพออยากจะชุบมือเปิดในช่วงรอยต่อของตำแหน่งแบบนี้

 

‘ใครบางคน’ ที่เขาเองก็กำลังสงสัยว่าจะเป็นคนอยู่เบื้องหลังการตายของพ่อเขา!

 

 

 



ณ โรงพยาบาล

 
(เนตร)

เปลือกตาขาวขยับเล็กน้อยหลังปิดนิ่งสนิทมาเป็นเวลานาน ค่อยๆเปิดขึ้นทีละน้อย เผยให้เห็นดวงตาอันหวานฉ่ำสีนิลที่กำลังปรับให้เห็นทัศนียภาพเบื้องหน้าให้ชัดเจนยิ่งขึ้น และต้องหรี่ลงเมื่อต้องกับแสงจ้าจากดวงไฟในห้องพักฟื้น เขาพยายามเปล่งเสียงแหบแห้งออกมาจากลำคอ เมื่อมองไปยังรอบข้างแล้วไม่เห็นใคร

 

ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่

 

ความระบมไปทั่วร่างกายทำให้เขาต้องเบ้ปากออกมา หัวสมองพยายามนึกย้อนเหตุการณ์สุดท้ายก่อนที่เขาจะวูบหมดสติไป

 

‘ ครับแม่ ผมกำลังออกครับ พ่อออกไปถึงเรียบร้อยก่อนผมอีก เห็นบอกจะว่าจะไปจัดการอะไรซักอย่างก่อน เลยให้ลุงชัยขับไปให้ครับ ’



‘ แม่รู้แล้วล่ะลูก เดินทางดีๆ  เดี๋ยวแม่จะอาหารเย็นไว้ให้นะ วันนี้ตานันท์จะกลับมาเหมือนกัน เห็นว่าคิดถึงลูกมาก จะกลับมาฉลองที่ลูกกำลังจะเป็นท่านประธาน ’  เสียงของแม่ดังมาตามสาย ขบขำเล็กน้อยเมื่อพูดถึงน้องชาย



‘ ไอนันท์มันก็ทำเวอร์ไปอย่างนั้นแหละแม่ มันจะมาจริงๆหรือเปล่าเถอะ ’



‘ น้องบอกจะกลับนะ บอกว่ามหา’ลัยปิดเทอมพอดี เลยจะกลับมาอยู่บ้านเลย ’  เขาฟังแม่พูดผ่านทางหูฟังไร้สายขณะกำลังเลี้ยวรถออกจากซอย มุ่งไปข้ามแยกข้างหน้า



‘ โอเคครับแม่ เดี๋ยวผมขอขับรถก่อนนะครับ กลัวจะไปสาย ’



‘ จ้า แม่รออยู่ที่บ้านนะ ’



‘ ครับแม่ เจอกันครับ ’


 

เสี้ยววินาทีนั้นเองที่เขาวางสายแม่ ยังไม่ทันที่เขาจะขับรถข้ามแยก เขารู้สึกเหมือนรถตัวเองถูกกระแทกด้วยอะไรซักอย่างที่พุ่งเข้ามาอย่างรุนแรง จนรถกระเด็นไปไกลหลายตลบ เศษกระจกที่แตกจากแรงกระแทกกระจายอยู่รอบด้าน สภาพตัวเขาเป็นอย่างไรเขาก็ไม่ทันที่จะคาดคิด และหลังจากนั้นภาพข้างหน้าก็มืดมิด สติพลันวูบไป ภาพสุดท้ายที่เขาจำติดตาคือ

 

รถเก๋งสีดำไม่ติดป้ายทะเบียนที่ขับเบี่ยงรถของเขา และขับออกไปอย่างรวดเร็ว

 

และหลังจากนั้นเขาก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย

 

 

“ ตาเนตร! ” น้ำเสียงตกใจปลุกเขาขึ้นจากภวังค์ ซึ่งดังมาทางประตูที่เปิดเมื่อไหร่เขาก็ไม่ทันรู้ตัว ก่อนที่มารดาของเขาจะรีบรุดเดินเข้ามายังเตียง พร้อมน้องชายของเขา



“ เป็นอย่างไรบ้างลูก เจ็บตรงไหนหรือเปล่า แม่แทบหัวใจวายตอนรู้เรื่องที่ลูกโดนรถชน ” แม่เขาพูดเสียงสั่นๆ ยื่นมือมาลูบหน้าลูบตาเขาอย่างคนเสียขวัญ



“ พี่เขาไม่เป็นไรแล้วฮะแม่ เมื่อกี้หมอเพิ่งบอกว่าอีกไม่นานก็ฟื้น นี่ก็ฟื้นแล้ว เดี๋ยวเดียวก็มีแรงมาเตะผมเหมือนเดิมแล้ว ”  น้องชายเขา หรือ นันท์พูดขึ้นเพื่อพยายามปลอบใจแม่ไม่ให้เครียดจนเป็นลมล้มพับไปอีกคน



“ ตานันท์นี่ก็ เห็นพี่เขากำลังเจ็บอยู่ไหม เดี๋ยวแม่ตีตายเลย ”



“ ผมไม่เป็นไรแล้วฮะแม่ แค่เจ็บตามตัวนิดหน่อย แล้วผมหมดสติไปกี่วัน ” เขาเปล่งเสียงอันแหบแห้งพูดตัดบท ก่อนที่แม่เขาจะล้มพับไปจริงๆ



“ สามวันเต็มๆเลยจ้ะ ตอนแรกหมอเขาคาดไว้ว่าอาจจะหนึ่งอาทิตย์เป็นอย่างมาก ”



“ พี่เนตรก็อึดเหมือนกันนะ พี่ต้องดูสภาพรถซะก่อน ไม่น่าจะคาดคิดได้ว่าฟื้นรวดเร็วขนาดนี้ สงสัยมีของดีนะเนี่ย ” เจ้าตัวเดินมานั่งที่เตียง พลางหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกง และกดอะไรอยู่สักพักก่อนที่จะยื่นหน้าจอมาให้เขาดู

 

ในความรู้สึกของเขาในห้วงระยะเวลาสุดท้ายก่อนจะหมดสติไป บนถนนที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี รถเก๋งสัญชาติยุโรปสีดำมันปลาบพลิกคว่ำหงายท้อง  เศษกระจกแตกกระจายอยู่ตามพื้นถนน รอยครูดบนถนนถูกลากยาวไปหลายเมตรจากจุดที่เกิดเหตุ พร้อมกันนั้นประตูด้านที่นั่งข้างคนขับยังถูกอัดบี้จนยุบ แสดงให้เห็นว่าทิศทางที่ถูกชนต้องมาจากด้านนั้น เขาไม่อยากจะนึกเลยว่าหากชนจากฝั่งคนขับ สภาพเขาจะเป็นอย่างไร

 

สภาพแทบไม่เหลือชิ้นดีอย่างที่น้องเขาว่าจริงๆ

 

“ ยังบุญดีนะลูกว่ามีมอเตอร์ไซด์รับจ้างผ่านมาแถวนั้นพอดี ไม่อย่างนั้นแม่คงหัวใจวายจริงๆ นี่พ่อคงจัดการให้ของตอบแทนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถือว่าเขามีบุญคุณต่อเรา ”



“ แล้วเรื่องรับตำแหน่งล่ะครับแม่ ” เมื่อเขาพูดจบ คนเป็นแม่ชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนจะมองหน้าน้องชายเขา หลังจากนั้นก็ถอนหายใจเฮือกออกมา



“ พ่อกับแม่แล้วก็น้องปรึกษากันแล้ว ว่าคงต้องให้เลื่อนไปก่อนอย่างไม่มีกำหนด เพราะตอนนี้คณะกรรมการที่บริษัทวุ่นวายกันมาก ต้องรอให้ลูกพักฟื้นให้หายดีก่อน แถมยังต้องสืบสาวหาต้นตอของเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ด้วย เพราะฉะนั้นช่วงเวลาแบบนี้มันเสี่ยงนักหากต้องดำเนินการต่อ ”



“ ผมจะไม่มีทางให้มันเกิดขึ้นอีกแน่ครับแม่ ผมสัญญา ต่อจากนี้ไปผมจะระมัดระวังให้มากขึ้น ” แม่เอื้อมมือมาจับมือเขาแล้วลูบเบาๆ



“ เดี๋ยวนันท์จะช่วยดูอีกแรงหนึ่งเองแม่ ช่วงนี้นันท์จะกลับมาอยู่ที่บ้าน เพราะปิดเทอมพอดีเลย ”



“ ดีแล้วจ้ะ มาช่วยๆกันดูแล ตอนนี้เราไว้ใจใครไม่ได้มากนัก คนที่พ่อกับแม่ไว้ใจที่สุดก็คงจะมีแต่ลูกๆนี่แหละ ” เขาจับมือแม่แน่นเพื่อให้แม่วางใจ หากแต่ในใจก็กังวลกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อจากวันนี้ เขาเดาไม่ถูกเลยว่าใครกันที่สามารถวางแผนแบบนี้ขึ้นมาได้ คงต้องใจเหี้ยมพอที่จะสั่งปลิดชีวิตคนๆหนึ่งได้อย่างง่ายดาย โดยไม่สะทกสะท้านใจใดๆเลย เขาคิดว่าเรื่องแบบนี้มันจะมีอยู่ในแค่หนัง แต่พอมาเกิดกับตัวเองจริงๆถึงได้รู้ว่า

 

ชีวิตนั้นมันเกินจริงกว่าในหนังซะอีก



ละเขาจะทำอย่างไรต่อไปดี เพื่อให้พ่อแม่ และน้องชายของเขาอยู่อย่างปลอดภัย







โปรดติดตามตอนต่อไป....



เบิกตัวคุณเนตร รัววววววว!!! ตึ่ง โป๊ะ!

เจอกันพุธหน้าจ้า
  o18

หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด >>> อัพเดต ตอน 3 (06/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 06-05-2020 23:32:26
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด #เนตรรัก >>> อัพเดต ตอน 4 (14/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหมีวุ่นวาย ที่ 14-05-2020 11:47:53
ตอนที่ 4
" นี่อย่าบอกว่าเธอไม่รู้อะไรเลยน่ะ "

 

 

 

“ สวัสดีครับ ผมชื่อณรัก ธนาสุนธรารักษ์ อย่าถามนะครับว่าชื่อผมแปลว่าอะไร เพราะผมยังไม่รู้เลยครับ ”



“ เอ่อ คุณน้องคะ พี่ยังไม่ได้ถามอะไรเลยค่ะ พี่แค่อยากจะทราบว่าคุณน้องมีประสบการณ์ทำงานอะไรมาบ้างคะ ”  ผมยิ้มตอบอย่างละเหี่ยใจ ผมมาสัมภาษณ์งานเป็นรอบที่ล้านแล้วมั้งครับ ไม่ว่าผมจะเตรียมตัวมาดีขนาดไหน แต่สุดท้ายแล้วผลตอบรับที่ได้กลับเงียบฉี่ จนเสียงแมลงหวี่ยังดังซะกว่า จนผมที่มั่นใจว่าตัวเองโปรไฟล์ดีในตอนแรกนั้น เริ่มสั่นคลอนเบาๆ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผมตอบคำถามห่วยแตกหรือผมหล่อเกินไปจนโดนหมั่นไส้ (ก็ยังจะหลงตัวเองจนวินาทีสุดท้าย)

 

ผมเดินออกจากบริษัทที่ผมมาสัมภาษณ์ด้วยความทดท้อใจ จนอยากจะร้องเพลงใจสู้หรือเปล่าดังๆเพื่อปลอบใจอันแห้งเหี่ยวของตัวเอง ผมก้มลงมองร่างตัวเองในชุดสูท ผูกไทด์ แล้วคิดในใจว่ากูซื้อมาราคาค่อนข้างแพงขนาดนี้เพื่อการนี้โดยเฉพาะ ช่วยเกรงใจเงินกูบ้าง ไอกรรมการ!

 

ระหว่างที่ผมตีโพยตีพายอยู่กับชุดอันน่าภาคภูมิใจอยู่นั้น เสียงมือถือผมก็ดัง ผมหยิบออกมาดูว่าใครโทรมาในเวลาที่ผมกำลังซวยแบบนี้

 

แสงอาทิตย์

 

คนซวยๆก็ต้องมาพร้อมกับเรื่องซวยๆ เป็นธรรมดาของโลกสินะ

 

“ ฮัลหละ… ”



“ ไอรักเพื่อนร้ากกกก ”  ผมยังไม่ทันจะพูดจบ เสียงดังแสบแก้วหูดังขึ้นมาขัดก่อนที่ผมจะพูดจบประโยค ผมรีบยกมือถือออกห่างจากหูเป็นการด่วน



“ ไอเพื่อนห่า กูยังพูดไม่ทันจบเลย ตะโกนขึ้นมาเพื่อ ”



“ มึงง มึงอยู่แห่งหนใด ช่วยกูด้วย  ” ไอแสงร้องครวญครางโหยหวนเหมือนคนกำลังถูกลากขึ้นเขียงโดนเชือด



“ กูเพิ่งสัมภาษณ์เสร็จอ่ะ แถวxxx ”



 “ มึงมาหากูหน่อยได้มั้ยวะ #%&*()-@... ”  พูดกับผมเสร็จอยู่ๆมันก็พูดภาษาเอเลี่ยนขึ้นมาซะอย่างนั้น มันอยู่กับใครวะเนี่ยย เพื่อนกูโกอินเตอร์ขนาดนี้เลยเรอะ



“ เฮ้ย ไอแสง มึงช่วยพูดเป็นภาษาคนหน่อยโว้ย กูฟังไม่รู้เรื่อง ”



“ เออ โทษๆ คือมึงจำญาติกูที่บอกจะมาไทยได้ไหมวะ ”



“ เออ จำได้ ทำไมวะ ”



“ มึงกูกราบขอร้อง มึงช่วยมาอยู่เป็นเพื่อนกับญาติกูก่อนได้ปะวะ คืองี้นะ น้องมุกเขาไม่ยอมท่าเดียวเลย เขาคิดว่ากูจะมีกิ๊ก นี่ก็กำลังจะบุกมาหากูละเนี่ย กูจะบ้า ”  ฟังมันอธิบายละอยากจะเอาเท้ายันหน้ามันจริงๆ เหตุผลมันบ้าบอคอแตกมาก

 

“ แล้วให้กูไปทำอะไรว้า กูพูดภาษาเอเลี่ยนไม่เป็นนะมึง ”



“ เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นกังวลไป ญาติกูคนนี้เขาพูดจีนกลางได้เหมือนกัน มึงก็คุยกับเขาเป็นภาษาจีนแล้วกันนะ ”  ใช่ครับ ผมพูดภาษาจีนกลางได้ถือว่าคล่องเลยแหละ เพราะด้วยความที่ที่บ้านผมนั้นเป็นคนจีนที่นั่งเรือสำเภาแดงข้ามประเทศกันมาเลยทีเดียว (สมัยอาม่าอากงนะครับ สมัยผมคงต้องนั่งเครื่องบิน)



อาม่าอากงหิ้วพ่อผมที่ตอนนั้นอายุแค่แบเบาะมาอยู่ที่ไทยจากนั้นก็ใช้ชีวิตที่ไทยมาโดยตลอด แต่อย่างนั้นแล้วก็ยังไปพบรักกับแม่ผมที่เป็นคนจีนด้วยกันอีก ครอบครัวผมถึงเป็นจีนแท้ยันเบอร์กระดูกขนาดนี้ ซึ่งไม่มีเชื้อไทยเลยซักนิดเดียว จึงทำให้ที่บ้านผมเขาพูดภาษาจีนกันเป็นชีวิตประจำวันครับ ภาษาไทยบ้างภาษาจีนบ้างแล้วแต่อารมณ์ของคุณๆทั้งหลาย ผมกับพี่สาวผมเลยพลอยซึมซับไปในตัว และก็โดนพ่อแม่จับยัดเรียนภาษาจีนตั้งแต่เด็กๆ ทำให้ระดับภาษาจีนของผมกับพี่สาวก้าวหน้าไปไกล เรียกได้ว่าสื่อสารได้อย่างคล่องแคล่วเลย

 

“ เตรียมแผนมาอย่างดีแล้วสิมึงเนี่ย เฮอะ ”



“ กูกราบล่ะ ขอร้องเลย ช่วยกูหน่อยเถอะ แค่วันนี้วันเดียวมึง เดี๋ยวเขาก็กลับแล้ว ”



“ เออๆ ก็ได้ เลี้ยงหนังกูทั้งเดือนเลยด้วย ”



“ โอ้ย ทั้งปีก็ย่อมได้เลยครับเพื่อน ที่นั่งวีไอพีเลยอ่ะมึงอ่ะ กูยอม รีบๆมาได้แล้ว ตอนนี้กูกับเขาอยู่ที่สนามบิน กูกำลังจะพาเขากลับไปบ้านกู ”



“ แล้วที่บ้านมึงไม่มีใครอยู่เลยเหรอวะ ”



“ พ่อกับแม่กูอยู่ๆวันนี้ก็มาบอกว่าจองทริปล่องใต้ไว้ ลืมไปว่าญาติจะมา แคนเซิลไม่ได้ด้วย กูล่ะงงใจเลย ส่วนพี่กูก็ทำงาน นี่ก็จะฆ่ากูอยู่แล้วเนี่ย ไม่ว่าจะทางไหนกูก็ดูจะต้องตาย ”



“ แล้วเขาจะไม่อารมณ์เสียเหรอวะ อยู่ๆญาติตัวเองไม่มีใครว่างซักคน ”



“ เนี่ยกูก็เกรงใจเขาอยู่เหมือนกัน เพราะงั้นมึงคือเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุด นะรักจ๋า ” มันทำเสียงออดอ้อนที่น่าสยดสยองทำให้ผมนึกถึงหนังเรื่องชัคกี้



“ ไอห่ามึงนี่ นี่ขนาดกูยังไม่ทันจะเข้าทำงานกับมึงเลยนะ ใช้กูเยี่ยงเบ๊ มึงเลี้ยงเหล้ากับเลี้ยงหนังกูทั้งเดือนด้วย ”



“ เออออ มึงจะเอาอะไรอีกมั้ย กูยอมเลย แต่ตอนนี้ต้องรีบแล้ว ก่อนที่กูจะกลายเป็นวิญญาณซะก่อน ”



“ ไอคนรวยตายห่า เห็นกับความเป็นเพื่อนของเรามาเกือบห้าปี…”



“ ไม่ต้องเวิ่น มึงรีบมาาาาา ”  และผมก็โดนตัดสายโดยที่ยังพูดไม่จบอีกครั้ง ไอเพื่อนเวรครับ ไอเพื่อนเวร! ผมจึงได้แต่ยอมรับชะตากรรมของตัวเองอย่างช่วยไม่ได้ เอาเถอะ ก็ยังดีกว่าเดินแกร่วกลับคอนโดแบบนี้

 

 







ผมใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงในการพาตัวเองฟันฝ่ารถติดซึ่งเป็นปัญหาระดับชาติที่แก้ไม่หายของเมืองหลวงที่ผมอาศัยอยู่นี้ ขนาดอยู่ในรถแอร์เย็นๆ ยังทำให้ผมร้อนรุ่มได้ด้วยการจราจร เหนื่อยใจแสนสาหัส



ผมขับรถเข้ามาในบริเวณบ้านขนาดใหญ่โตมโหฬารของไอแสงที่ผมแสนจะคุ้นเคย เพราะเมื่อก่อนมาบ่อยมาก ด้วยข้ออ้างที่ว่าขี้เกียจกลับบ้านนั่นเองครับ เมื่อจอดรถเสร็จผมจึงเดินเข้าไปในตัวบ้าน มองหาไอตัวปัญหาที่ทำให้ผมปวดหัวในวันนี้

 

ภายในห้องโถงนอกจากจะเห็นไอแสงที่เดินเป็นหนูติดจั่นแล้ว ก็ยังปรากฏชายร่างสูงผิวขาวอีกคนที่ผมไม่เคยเห็นหน้า น่าจะเป็นญาติของมันละมั้ง ผมเดินเข้าไปในห้อง เมื่อไอแสงเห็นผม มันก็ทำหน้าประมาณว่าผมไปกอบกู้ชีวิตมันมายังไงยังงั้น



“ ไอรัก ในที่สุดมึงก็มา กูซาบซึ้งใจมาก ” มันเกิดเข้ามากอดผมเต็มรัก เล่นทำเอาผมจุกไปพักหนึ่ง ก่อนที่ตัวมันจะหันไปพูดอะไรกับญาติมันซักอย่าง



“ นี่ญาติกู ชื่อ แดเนียล หว่อง มึงเรียกเขาแดเนียลก็ได้ ”



“ เอ่อ สวัสดีครับ ” ผมยกมือขึ้นมาไหว้ตามความเคยชิน แต่ญาติมันคนนี้คงไม่ชิน เพราะพอเจ้าตัวเห็นผมยกมือไหว้ ก็ทำท่างงๆพร้อมกับหันไปหาไอแสง



“ มึงนี่มารยาทงามจริงๆ ไอรัก ญาติกูเขาไม่รู้โว้ยว่าไหว้คืออะไร ” เพื่อนผมหัวเราะ หันไปอธิบายให้ญาติมันฟัง หลังจากนั้นญาติมันก็ทำหน้าเหมือนเข้าใจ ส่งยิ้มให้ผม และยกมือรับไหว้ซึ่งผมเห็นว่ามันสวยกว่าผมที่เป็นเจ้าของประเทศซะอีก



“ เอาล่ะ กูไปแล้วนะเพื่อน แต่ก่อนจะไป มาให้กูจุ๊บที ” ว่าแล้วมันก็เอาเหม่งผมไปประทับรอยน้ำลายมันเรียบร้อย ผมมองมันอย่างเอือมๆ มันก็ยักไหล่ยิ้มร่าอย่างไม่แคร์สิ่งสารพัดใดๆ ก่อนที่จะบ๊ายบายงามๆแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ผมยืนทำหน้าเบื่อโลก กับญาติมันที่ยืนอมยิ้มอยู่

 





“ นายชื่อรักใช่ไหม ” ญาติไอแสงหรือคุณแดเนียลถามขึ้นมาก่อนที่ผมจะเดินผละไป



“ ใช่ครับ ผมเรียกคุณว่า เอ่อ แดเนียลได้ใช่ไหมครับ ”



“ ได้สิ ตามสบายเลย นายไม่ต้องสุภาพกับฉันมากก็ได้ ฉันไม่ได้แก่ขนาดนั้นซะหน่อย ” อีกฝ่ายขำเบาๆที่เห็นผมเกร็งๆ  เพราะเพิ่งเจอกันครั้งแรก



“ ผมก็แค่เห็นว่าคุณเป็นญาติผู้ใหญ่ของเพื่อนผม ก็เลย… ”



“ นี่อย่าบอกว่าแสงมันไม่ได้บอกอะไรเธอเลยน่ะ ” คุณแดเนียลรีบยกมือห้าม และถามผมด้วยท่าทางตกใจ



“ บอก? บอกเรื่องอะไรครับ มันแค่ให้ผมมาอยู่กับคุณแค่วันเดียวเท่านั้นเอง ”



เมื่อผมพูดจบ คนที่ถามกลับกลั้นยิ้มและส่ายหน้าเบาๆด้วยท่าทางที่ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองโง่จริงๆ แต่ผมก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป เพราะความหมั่นไส้ปนความรู้สึกหงุดหงิดที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นภายในใจ ไอแสงนะแสง แม่งรายละเอียดอะไรมึงก็ไม่บอกกูเลย ไอเพื่อนบ้า แล้วนี่ผมจะพาเขาไปไหนดีล่ะเนี่ย



“ นายรู้จักร้านกาแฟแถวนี้ที่บรรยากาศดีๆบ้างไหม พอดีฉันอยากหาที่เงียบๆเขียนบทความของฉันน่ะ ” หืมม เป็นนักเขียนเองเหรอเนี่ย



“ ผมมีที่ประจำเหมือนกันครับ แต่ไม่รู้ว่าจะถูกใจคุณหรือเปล่า ” ผมพูดพลางเปิดรูปจากมือถือที่เคยถ่ายเอาไว้เมื่อไม่นานมานี้ให้อีกฝ่ายดู แต่พอผมเงยหน้าขึ้นมาก็ต้องชะงัก เพราะใบหน้าของเขาอยู่ใกล้กับผมมาก ขนาดที่ว่าขยับนิดเดียวริมฝีปากของเขาคงโดนตรงที่เดียวกับที่ไอแสงประทับรอยจูบ (อันน่ารังเกียจ) ของมันเอาไว้

 

คุณแดเนียลเห็นผมตกใจเลยเอาหน้าออกห่าง แต่ก็ปิดสีหน้ากรุ้มกริ่มของตัวเองไม่มิด นี่เขาแกล้งผมหรือเปล่าเนี่ย ผมทำหน้าบึ้งเล็กน้อยก่อนจะยื่นมือถือออกไปห่างๆให้เขาดูรูป



“ อืม ก็ไม่เลวนะ แค่เสียงไม่ดัง คนไม่พลุกพล่านก็พอแล้ว ”



“ งั้นคุณเตรียมตัวเลยครับ เดี๋ยวผมพาไปเลยละกัน คุณจะได้รีบทำงาน ” คุณแดเนียลพยักหน้าแล้วหันไปเครื่องมือที่ใช้ทำงาน ผมจึงเดินไปที่รถของผมสตาร์ทเครื่องรอ

 



ระหว่างที่ผมรอคุณแดเนียล ผมโทรไปบอกแม่ไว้ว่าวันนี้คงจะกลับดึกหน่อย เพราะวันนี้เป็นวันศุกร์ด้วย ไม่แน่ใจว่าการจราจรของเมืองอันศิวิไลนี้จะเป็นเช่นไร เมื่อคนกระหน่ำขับรถกลับบ้านอย่างกับฝูงนกรีบบินกลับรัง

 

จะว่าไป ไอคุณแดเนียลของไอแสงนี้ ถ้ามองในมุมมองของชายแท้อย่างผมนี้ก็ถือว่าหน้าตาดีเลยทีเดียว ความขาวตามแบบฉบับเชื้อสายคนฮ่องกง รูปร่างสูงสมส่วนเหมือนคนออกกำลังกายเป็นประจำ ไหนจะการแต่งตัวที่มีคลาส ยิ่งออร่าความรวยที่ดูจะพุ่งทิ่มตาคนรอบตัวด้วยแล้ว ความแมนผมที่ผมแสนจะภาคภูมิใจนี้ตกรันเวย์ไปเลยทีเดียว ยอมรับแหละว่าผมอิจฉา โลกนี้ไม่เคยมีความสมดุลเลยจริง!

 

“ โทษทีนะ ปล่อยนายรอนานเลย ” ผมนั่งกุมขมับด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจชาติกำเนิดที่ท่วมท้นอยู่ภายใน ทำเอาคนที่เพิ่งมาทีหลังเลิกคิ้วเล็กน้อยที่เห็นสภาพผม ผมท่องสะกดจิตสะกดใจ เพราะเขานั้นไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร  รีบสะบัดหัวไล่อาการบ้าบอนี้ออกไป และนำรถออกสู่ถนนเพื่อมุ่งไปยังคาเฟ่ร้านประจำ

 








“ อ้าวรัก วันนี้หยุดงานเหรอถึงมาได้ ”  พี่ ‘อุ่น’ ซึ่งชื่อจริงชื่ออบอุ่น ทักทายผมเมื่อเห็นผมเข้ามาในร้าน

 

พี่อุ่นเป็นหญิงที่อายุมากกว่าผมห้าปี และเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ผมสนิทด้วย เพราะผมมันเป็นคนไม่มีเพื่อนคบ มีคบอยู่คนเดียวก็ไอแสงนั่นแหละ ผมก็สงสัยนะว่าทำไมตัวเองถึงไม่มีเพื่อน ทั้งๆที่อัธยาศัยผมก็ไม่ได้แย่ แค่ชอบทำหน้าบึ้งเท่านั้นเอง (เท่านั้นเองนะ)

 

คาเฟ่ของพี่อุ่นนี้เป็นร้านที่ผมชอบมากมาตั้งแต่สมัยเรียนมหา’ลัยแล้วครับ ทำเลที่อาจจะอยู่ลึกไปหน่อยสำหรับคนที่ไม่มีรถเป็นของตัวเอง เพราะต้องนั่งรถมาหลายต่อถึงจะหาเจอ แต่ด้วยทำเลที่อยู่ลึกเนี่ยแหละ ทำให้บรรยากาศนั้นเงียบสงบ มีแต่เสียงเพลงที่เปิดคลอเบาๆ และกลิ่นกาแฟที่อบอวลไปทั่วร้าน คนที่มาจึงสัมผัสได้ถึงความผ่อนคลายและความปลอดโปร่ง เหมือนกับไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงเลยทีเดียว

 

นอกจากบรรยากาศแล้ว รสชาติของเครื่องดื่มที่นี่ก็ไม่เป็นรองใครเลย เพราะพี่อุ่นนั้นเป็นถึงบาริสต้าที่เคยเข้าแข่งขันในหลายรายการ แล้วคว้ารางวัลมาหลายรางวัลเช่นกัน เจ้าตัวเคยถูกทาบทามจากหลายที่ให้ไปร่วมงาน แต่เพราะไม่อยากไปเป็นลูกน้องใคร จึงมาเปิดกิจการร้านของตัวเอง เลยกลายเป็นร้านคาเฟ่นี้ที่ยอดฮิตสำหรับนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นเองด้วย

 

ผมชอบมาที่ร้านนี้เพื่อมาอ่านหนังสือ หรือไม่ก็มาเจอไอแสงเพื่อนผม มันจึงเป็นอีกคนที่เป็นเจ้าประจำของที่นี่ พอจบเรียนจบจึงค่อยๆห่างๆไปเพราะไม่มีเวลามาได้บ่อยๆ แต่อย่างนั้นแล้วเดือนนึงก็ต้องมีครั้งหรือสองครั้งเป็นอย่างต่ำ ไม่อย่างนั้นคนติดคาเฟอีนอย่างผมคงลงแดงตาย

 

“ ผมลาออกจากงานแล้วครับพี่ ” ผมเท้าศอกลงบนเคาท์เตอร์ที่พี่อุ่นยืนรับออเดอร์อยู่ ถอนหายใจด้วยความปลงตก



“ อ้าว! เดี๋ยวๆ ทำไมอยู่ๆลาออกอ่ะ ”



“ เรื่องมันยาวแล้วกัน เดี๋ยวถ้ามีเวลาค่อยเล่าให้ฟังนะ ”



“ เออๆ ว่าแต่… ” เจ้าตัวยื่นหน้าเข้ากระซิบกับผม “ คนข้างหลังนายเป็นใครอ่ะ โครตหล่อเลย ” ท่าทางกระริกกระรี้ของพี่อุ่นทำให้ผมทำหน้าเอือมระอาเบาๆ หมดกันกับสิ่งที่ผมยอพี่เขาไปเมื่อกี้



“ เขาเป็นญาติของไอแสง ชื่อแดเนียล เป็นคนฮ่องกง ” ผมหันไปแนะนำตัวพี่อุ่นให้กับร่างสูงด้านหลัง เขายกมือขึ้นมาไหว้ทันทีที่ผมแนะนำ ทำเอาผมกับพี่อุ่นตกใจ แต่ฝ่ายหลังกลับหัวเราะชอบใจ ก่อนจะยกมือขึ้นโบกเบาๆเป็นเชิงรับไหว้



“ ทำดีๆ หน้าตาดีมีมารยาทแบบนี้พี่ชอบ อิอิ ” คุณแดเนียลยิ้มให้นิดนึงทั้งๆที่ตัวเองก็ฟังไม่ออก แต่อย่างนั้นแล้วก็ยังโคตรหล่อ ผมจึงรีบพูดขัดหญิงสาวก่อนที่ผมจะขนลุกไปมากกว่านี้



“ พอๆๆ ผมพาเขามาทำงาน ไม่ใช่มาให้พี่ป้อยอด้วยนะ ผมเอาเหมือนเดิมอ่ะ ” ผมยื่นเมนูให้ร่างสูง ระหว่างรอ ผมจึงเดินผละมาเล่นกับ ‘คุณหญิง’ แมวพันธุ์เปอร์เซีย ขนสีส้มอ่อนๆของพี่อุ่นที่เลี้ยงเอาไว้เป็นลูกรักเลยทีเดียว เพราะไม่ว่าจะไปไหน ก็ต้องหนีบแมวตัวนี้ไปด้วย และมันก็กลายเป็นสัตว์ตัวโปรดของผมด้วยเช่นกัน



“ นายจะนั่งตรงไหนอ่ะ ” คุณแดเนียลเดินมาตรงที่ผมเล่นกับคุณหญิงอยู่



“ ตรงด้านในละกัน คุณจะได้มีสมาธิ เขียนงานได้ ” เจ้าตัวพยักหน้า เดินตามผมไปตรงโซนด้านในติดหน้าต่าง ภายนอกหน้าต่างเป็นสวนขนาดย่อมที่พี่อุ่นเป็นคนลงมือจัดเอง ปลูกเอง ออกแบบเองเลย ดูร่มรื่นและสบายตา ผมยังนึกอิจฉาพี่เขาเลย ดูเป็นคนมีพรสวรรค์ในเรื่องพวกนี้

 



“ พี่อุ่นน่ารักดีนะ ” ร่างสูงตรงหน้าพูดขึ้นมาขณะที่กำลังเอาแทปเล็ตขึ้นมาตั้งบนโต๊ะเพื่อจะพิมพ์งาน



“ จีบไหมล่ะ อย่างคุณจีบซะอย่างอ่ะ ผู้หญิงระทวยอยู่แล้ว ” ผมแซวกลับเล่นๆ เพราะคิดว่าเจ้าตัวคงไม่สนใจ



“ หึ นี่สรุปนายแสงมันไม่ได้บอกนายจริงๆใช่ไหมเนี่ย ”



“ บอกอะไรล่ะ คุณก็บอกมาซะทีสิ ” ผมพูดอย่างไม่สบอารมณ์ จะอมพะนำอะไรนักหนาวุ้ย



เจ้าตัวเลิกคิ้วนิดหนึ่งซึ่งมันก็พอที่จะทำให้ผมหน้าหงิกได้ ผมกำลังจะเปิดปากบ่นออกไป อีกฝ่ายกลับพูดขัดขึ้นมาก่อน



“ ฉันไม่สนผู้หญิงหรอกนะ ”



“ ก็แล้วไงล่ะ… ” ผมปากไวรีบตอบออกไป แต่พอมาฉุกคิดอีกที



“ เดี๋ยวๆ คุณว่าไงนะ ” ผมเบิกตากว้าง สีหน้าตกใจจนคนนั่งตรงข้ามหัวเราะกับท่าทีของผม



“ ฉันบอกว่าฉันไม่สนใจผู้หญิงไง ”



“ มะ หมายความว่า… ” ไม่ต้องรอให้ผมพูดจบ อีกฝ่ายก็อธิบายให้ผมอึ้งตัวแข็งอีกครั้ง



“ ใช่ ฉันชอบผู้ชาย ”





โปรดติดตามตอนต่อไป....


คนแมนๆเค้าคุยกันแบบนี้ฮะ
ตรงๆ พุ่งให้สุดแล้วสอยซะ 55555


เจอกันพุธหน้าค้าบ  :katai5:

หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด #เนตรรัก >>> อัพเดต ตอน 4 (14/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 14-05-2020 14:24:17
สนุกดี  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด #เนตรรัก >>> อัพเดต ตอน 4 (14/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 14-05-2020 17:46:46
 :a5:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด #เนตรรัก >>> อัพเดต ตอน 4 (14/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: snoopyme ที่ 15-05-2020 09:53:18
ใครจะเป็นพระเอกน้า
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด #เนตรรัก >>> อัพเดต ตอน 4 (14/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 15-05-2020 10:29:08
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด #เนตรรัก >>> อัพเดต ตอน 5 (20/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหมีวุ่นวาย ที่ 21-05-2020 09:48:39
ตอนที่ 5
" คุณช่วยไปตามหาคนคนหนึ่งให้ผมที "




“ นี่คือภาพจากกล้องวงจรปิดทั้ง 2 ด้านนะครับ เราตรวจสอบพบว่ารถคันที่ชนคุณเนตร เป็นรถเก๋งสีดำคันหนึ่งยี่ห้อ xxx ไม่ติดป้ายทะเบียน ฟิล์มดำทึบ พอชนรถของคุณเนตรในจุดที่เกิดเหตุเสร็จก็ขับเบี่ยงออกไปเลยครับ ”



ภายในห้องทำงาน รูปภาพจำนวนหนึ่งถูกยื่นมาถึงมือคุณผาภูมิ เขาหยิบมาพินิจครู่หนึ่ง รู้สึกปวดใจเมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ที่ลูกชายเขาถูกชนบาดเจ็บสาหัส เหตุการณ์ที่อยู่ในภาพนั้น เป็นไปตามคำอธิบายจากคนของผู้กำกับสน.ผู้ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทเขาทุกอย่าง แต่กระนั้นแล้วเขาก็ไม่อยากจะให้พลาดไปซักจุดเดียว พยายามหาร่องรอยอะไรที่มากกว่านี้ เพื่อจะนำไปสู่ข้อมูลที่กว้างขึ้น เพื่อที่จะตามตัวคนร้ายได้ง่ายขึ้น



“ ผมมาตรวจสอบดูแล้วครับคุณผาภูมิ ยี่ห้อรถในภาพนั้น ผมว่าเหมือนเป็นรถเก๋งทั่วไปนะครับ แต่พอมาดูจริงๆ เหมือนเป็นรถที่ถูกดัดแปลงมาอีกทีครับ ผมได้ให้ผู้เชี่ยวชายลองตรวจสอบดูแล้ว ดูจากป้ายยี่ห้อและสรีระของรถ เขาบอกว่าทั้งข้างหน้าและข้างหลังมันไม่เหมือนกัน เหมือนคนจงใจหลอกให้เราสับสน ”



“ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ มันจะทำให้ตรวจสอบง่ายขึ้นไหมครับ ”



“ อาจจะง่ายขึ้นครับ เพราะตามปกติทั่วไปคงไม่มีใครประกอบรถแบบนี้ เหมือนเอาชิ้นส่วนของรถข้างหน้า กับ ข้างหลังมาประกบกัน เป็นคนละยี่ห้อ ไม่แน่ใจว่าอู่ไหนรับทำ หรืออาจจะทำขึ้นมาเอง แต่คาดว่าน่าจะตามตัวไม่ยากครับ ต้องตรวจสอบกับกล้องวงจรปิดตัวอื่นๆ ตามทางที่คนร้ายขับผ่านครับ และผมได้ตรวจสอบกับทางพยานผู้เห็นเหตุการณ์แล้วครับ ”



“ มอเตอร์ไซด์คันนั้นน่ะสินะครับ ”



“ ใช่ครับ ผมเอาภาพจากกล้องวงจรปิดให้เขาดู เขาบอกว่าไม่เคยเห็นรถคันนี้มาก่อน แต่เหมือนช่วงเวลานั้นเขาคับคล้ายคับคลาเหมือนจะเห็นรถคันนี้ขับผ่านอู่มอเตอร์ไซด์ของเขา ก่อนที่เขาจะรับผู้โดยสารคนหนึ่งและขับผ่านไปเจอจุดเกิดเหตุพอดี เขาบอกได้แค่ช่วงที่เห็นรถคันนี้ขับผ่านอู่เขาไป เหมือนคนขับลดกระจกลงมาครึ่งหนึ่ง ทำให้เขาเห็นคนอยู่ข้างในครับ ”



“ แล้วเขาจำได้ไหมว่าใบหน้าเป็นอย่างไร ” เขารีบถามด้วยความหวังที่จะรู้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคนร้าย



“ เขาบอกว่าจำได้แค่เพียงบางส่วนครับ ตอนแรกเขาเห็นแค่ด้านข้างของใบหน้าคนร้าย ใส่แว่นกันแดดสีดำ ผมสั้นซอยรองทรง ”



ตำรวจหนุ่มคลายมือที่ประสานกันที่ตัก และนำรูปภาพภาพหนึ่งออกจากกระเป๋าเอกสาร เป็นรูปในเหตุการณ์ที่เห็นรูปพรรณสัณฐานคนร้ายจากไกลๆ ยื่นมาให้เขาดู



“ และมีแวบหนึ่งที่คนขับถอดแว่นแล้วหันมาทางเขาเหมือนจะเลี้ยวเข้ามาถามอะไรซักอย่างแต่ก็เปลี่ยนใจ เลยทำให้เขาเห็นว่า คิ้วด้านซ้ายของคนร้ายเหมือนมีแผลยาวๆ รอยหนึ่ง และมีรอยสักรูปอะไรซักอย่างอยู่ตรงนั้นด้วยครับ เขาบอกว่าตอนนั้นเหมือนมีอะไรดลใจให้เค้าจดจ้องใบหน้านั้นไว้ แต่เป็นเพราะจากระยะที่เห็นมันไกล จึงจำได้แค่บางส่วนครับ ”



“ มีอะไรดลใจอย่างนั้นเหรอครับ ”



“ ใช่ครับคุณผาภูมิ เขาบอกว่าไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แต่เท่าที่ได้ข้อมูลมาก็เป็นหลักฐานเพิ่มเติมที่พอจะเป็นรูปเป็นร่างอยู่ครับ แต่เดี๋ยวได้ข้อมูลจากหลักฐานเพิ่มเติมยังไง จะรีบมาแจ้งให้คุณผาภูมิทราบนะครับ ”



“ ขอบคุณมากนะครับ ผมฝากด้วยนะครับ ฝากขอบคุณคุณชัชวาลด้วยนะครับ ”  คุณชัชวาล หรือพันตำรวจโท ชัชวาล สันติชุติการณ์ ผู้กำกับของสถานีตำรวจ ผู้เป็นเพื่อนสนิทของเขา ซึ่งเป็นคนดูแลคดีของครอบครัวเขาตั้งแต่เกิดเรื่อง



“ ยินดีครับ ผมขอตัวก่อนนะครับ ” นายตำรวจลุกขึ้น เดินไปที่ประตุ โดยที่มีเลขาของเขาเปิดประตูไว้รอส่งอยู่แล้ว เมื่อร่างของชายเครื่องแบบพ้นจากสายตา เขาจึงนั่งดูรูปจากกล้องวงจรปิดอีกรอบ และครุ่นคิดบางสิ่ง



“ ดลใจอย่างนั้นเหรอ หรือว่า… ” ความคิดหนึ่งแวบขึ้นมาในความคิดของเขา สายตาเลื่อนไปที่กรอบรูปบนโต๊ะ



“ คุณพ่อ กำลังช่วยหลานเนตรอยู่ใช่ไหมครับ ” นิ้วมือสัมผัสที่รูปของพ่อตนเองเบาๆ



“ ถ้าใช่ คุณพ่อช่วยผมตามหาคนร้ายด้วยนะครับ ผมจะต้องตามหาให้เจอ และปกป้องครอบครัวของผมให้ได้ ผมจะไม่ให้เหตุการณ์มันซ้ำรอยอีกแล้ว ” เขาให้สัญญากับตัวเอง ความรู้สึกเศร้าเสียใจในเรื่องราวที่ผ่านมาเป็นตัวตอกย้ำให้ยิ่งต้องรีบเร่งค้นหาความจริงของเรื่องนี้ และจบมันให้ได้ เขาเอื้อมมือไปกดโทรศัพท์บนโต๊ะทันที



“ คุณดา เข้ามาในห้องหน่อยครับ ”  ไม่นานนัก เลขาเขาก็เข้ามา



“ มีอะไรหรือเปล่าคะท่าน ”



“ ผมมีบางอย่างให้คุณทำ คุณช่วยไปตามหาคนคนหนึ่งให้ผมที ”











“ ไอเพื่อนเวร มึงจะกลับมาได้ยัง ”



“ เดี๋ยวกลับแล้วๆ โห่มึงนี่ รีบจริงเลย กูเพิ่งจะเคลียร์กับน้องเขาเสร็จเนี่ย ”   ไอแสงรีบโวยวายใหญ่เมื่อผมตามตัวมัน ไอเวรนี่ก็จริง ญาติของใครกันแน่วะ



ส่วนคุณแดเนียลนั้น ตั้งแต่กลับมาจากร้านคาเฟ่นั่นก็ครองห้องนั่งเล่นนั่งเปิดแลปท็อปทำงานต่อ และกลายเป็นห้องส่วนตัวเขาไปโดยปริยาย ซึ่งผมเลยต้องระเห็จออกมาอยู่ที่ห้องโถงแทนเพราะไม่อยากไปกวนสมาธิเขา จึงได้แต่เปิดแอพ ไถมือถือไปเรื่อย เบื่อแทบขาดใจ



“ หึ มึงกับกูต้องมีเรื่องเคลียร์กันยาวนะเพื่อนรัก ” พอคิดถึงเหตุการณ์เมื่อตอนบ่ายแล้ว ผมก็ฉุนหนัก ไม่ใช่ว่าผมรังเกียจกับความจริงที่เขาเป็น แต่โกรธที่ไอแสงไม่ได้บอกอะไรเลย! ให้ผมผจญกับตัวอันตรายต่อร่างกายผมอยู่ตั้งนมนาน แค่ตอนที่เขาเกือบจะแต๊ะอั๋งผมแล้ว ก็ยิ่งฉุนหนักขึ้นไปอีก



“ เคลียร์อะไรของมึงวะ ละนี่ทำเสียงน่ากลัวสยดสยองขนาดนี้ด้วยวะ ”  ไอแสงทำเสียงหวาดๆ ผมกลัวเสียงตัวเองจะไปเข้าหูคนในห้อง จึงเดินออกมานอกชายคาบ้าน และนั่งพิงตรงระเบียงบันไดหน้าบ้าน



“ ไม่ต้องมาพูดเลยมึงอ่ะ ทำไมมึงไม่บอกอะไรกูเลยวะ ว่าญาติของมึงคนนี้เขา เอ่อ นั่นอ่ะ ” พูดไปก็อายไป เกิดมาไม่เคยมาใกล้ชิดกับเกย์ขนาดนี้มาก่อน บอกตรงๆ ว่าทำตัวไม่ถูก



พอไอแสงฟังจบก็ร้องอ๋อยาวๆ



“ กูก็ไม่เห็นมันจะเป็นปัญหาอะไรเลยนี่นา มึงก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้ว ญาติกูเขาก็มีคนควงอยู่แล้ว ก็วินวินทั้งคู่ ”



“ วิน -'องมึงสิ เพื่อนมึงเกือบจะถูกแต๊ะอั๋งอยู่ละ ” ผมพูดเสียงสะบัด



“ เอาน่ามึง เขาก็ไม่ได้ทำอะไรมึงจริงๆ นี่หว่า แล้วอีกอย่างนะ ญาติกูคนนี้เขาสุภาพพอที่จะไม่ลวนลามใครก่อนนะเฟ้ย อย่าทำตัวสะดีดสะดิ้งเลยมึงเนี่ย ”



“ โห ไอเลว นี่เพื่อนมึงนะโว้ย ช่วยหัดเกรงใจกันหน่อย ”



“ เออนั่นแหละ เดี๋ยวกูกลับไปค่อยคุยกันต่อ กูไปลาน้องเขาก่อน ”



“ เออ แล้วรีบกลับมาได้แล้ว! ” ผมตัดสายมัน บรรยากาศเงียบสงบของตัวบ้าน ไมได้ทำให้อารมณ์ผมสงบขึ้นเลย ยิ่งไอแสงทำเหมือนไม่ได้เดือดร้อนอะไร ผมก็ยิ่งหงุดหงิด นี่ถ้ามันอยู่ใกล้ๆ ผมตอนนี้นะ พ่อจับกระทืบให้กลับบ้านไม่ถูกเลย (เดี๋ยวนี่ก็บ้านมันนะ)



ผมเสยผมลวกๆ อย่างขัดใจ จริงๆ แล้วเรื่องนี้มันก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรนั่นแหละ ถ้าผมไม่ได้เคยมีอดีตกับมันเสียก่อน จริงๆ แล้วการที่ผมถูกผู้ชายลวนลามนี้ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกนะ ในอดีตผมก็เคยถูกกระทำแบบนี้มาก่อนหลายต่อหลายครั้ง แต่อาจจะไม่ได้ร้ายแรงเท่าครั้งล่าสุดนี้ แต่ผมไม่เคยบอกที่บ้านหรือใครๆ เลย แม้กระทั่งไอแสง



เพราะผมรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องเสียหายที่ไม่ควรจะให้ใครรู้เลยจริงๆ



เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะผมอายน่ะสิ!



ผู้ชายบ้าที่ไหนจะโดนคนอื่นลวนลามแบบนี้ได้บ่อยๆ กัน ผมมั่นใจนะว่าผมไม่ได้หน้าหวานหรือตัวอ้อนแอ้นอย่างที่พวกเขาชอบกัน รูปร่างผมถึงจะไม่ได้สูงชะรูด แต่ก็ไม่ได้เตี้ยขนาดที่โดนพาดไหล่ได้สบายๆ ซะหน่อย หน้าตาก็ออกจะคมคายขนาดนี้ ไม่ว่าจะมองยังไงผมก็ควรจะต้องถูกหญิงลวนลาม ไม่ใช่ผู้ชายด้วยกัน!



พอเกิดเรื่องทำนองนี้บ่อยๆ เข้า ผมจึงแอบพ่อแม่ไปเรียนศิลปะการป้องกันตัว เพื่อความปลอดภัยของร่างกายตัวเองในอนาคต ซึ่งตอนนี้ก็สามารถใช้มันได้อย่างคล่องแคล่ว ดูจากเคสล่าสุดของผมสิ หึ คิดแล้วก็น่าจะหักคอมันซักที (บีบมือดังกร๊อบ)



แต่ก็ถือว่าคุณแดเนียลก็เป็นคนจริงเหมือนกัน ยอมรับหน้าตาเฉยเลยว่าตัวเองเป็น ไม่เหมือนคนส่วนใหญ่ที่ต้องคอยผิดบังตัวเพื่อไม่ให้ดูแปลกแยกกับคนอื่นปกติอื่นในสังคม ผมก็รู้สึกว่ามันเป็นค่านิยมที่ผิดเหมือนกัน คนปกติในความหมายในด้านสรีระทางร่างกายของผมคือสติรับรู้เต็มร้อย ไม่มีอาการทางประสาทหรือจิตฟั่นเฟือนใดๆ



แต่ก็อย่างว่าแหละ สังคมเป็นตัวตั้งตัวตีในการตัดสินคนคนหนึ่งได้อย่างร้ายกาจอยู่แล้ว




“ นายมานั่งทำอะไรตรงนี้เนี่ย อยากถ่ายเลือดเหรอ ถึงมานั่งให้อาหารยุงแบบนี้ ” เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยขึ้นขัดความคิดของผม ผมหันหน้าไปหาคนที่อยู่ในความคิดของผมเมื่อกี้



“ ผมมาคุยโทรศัพท์ครับ เห็นคุณทำงานอยู่เลยออกมาคุยข้างนอก ”



“ นายก็เกรงใจเกินไป ฉันเขียนเสร็จแล้วล่ะ จริงๆ แล้วนายไม่ต้องมานั่งเบื่ออยู่กับฉันก็ได้นะ ฉันอยู่คนเดียวได้ ” รู้ด้วยว่าผมเบื่อ สงสัยท่าทางผมคงออกมากเกินไปสินะ



“ ไม่เป็นไรหรอกครับ ไหนผมก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ถึงกลับบ้านไปก็คงนั่งเบื่อแบบนี้เหมือนกัน ”



อีกฝ่ายทำเสียงอืมในลำคอ พยักหน้าเบาๆ



“ ไปนั่งข้างในเถอะ ตรงนี้ร้อนออก ” ร่างสูงพูดจบก็เดินเข้าไปข้างใน ไม่ได้ตรงไปที่ห้องเดิม แต่ผลุบหายไปยังโซนครัวที่อยู่ทางด้านหลังแทน ผมจึงเดินตามเข้าไป



“ นายทำอาหารเป็นไหม ” คนถามพูดขณะที่เปิดตู้เย็นดูของที่แช่อยู่ หยิบจับของสดออกจากตู้เย็น



“ ทำได้ครับ แต่ไม่รับประกันรสชาตินะครับ ”



“ อย่างงั้นเขาเรียกทำได้เรอะ ” อีกฝ่ายพูดแกมขำ ส่วนผมที่โดนกระทบเริ่มขมวดคิ้วเบาๆ พูดกระแทกกระทั้น



“ นั่นแหละครับ ”



“ แสนงอนจริงนะนายเนี่ย ฉันแค่ล้อเล่นนิดเดียวเอง เอ้า มาทำให้หน่อย ฉันหยิบของออกมาให้แล้ว นายก็ดูเอาละกันว่าจะทำอะไรได้บ้าง ” ผมเดินเข้าไปดูวัตถุดิบที่เจ้าตัวหยิบมาวาง อืม ผัดผักรวมน่าจะได้อยู่ แล้วก็อะไรอีกดีนะ ต้มจืดหมูสับเหรอ ก็น่าจะโอเค ไข่เจียวผัดมะเขือเทศอีกอย่างแล้วกัน ผมเลือกเมนูแต่ละอย่างด้วยความปลอดภัยต่อกระเพาะของคุณแดเนียล เพราะเป็นคนฮ่องกงน่าจะกินเผ็ดมากไม่ได้ ถึงจะกินได้แต่ผมก็ทำอาหารนอกเหนือจากนี้ไม่เป็นแล้วครับ ประทานโทษที



ระหว่างที่ผมหยิบโน่นจับนี่ด้วยความเคยชิน ก็อย่างที่บอกครับผมมาบ้านหลังนี้ตั้งแต่เราเริ่มสนิทกัน จนเกือบจะกลายเป็นบ้านหลังที่สองได้แล้ว จริงๆ แล้วที่นี่ก็มีแม่บ้านประจำนะ แต่รู้สึกเหมือนไอแสงจะเคยบ่นว่าลากลับบ้านไปดูแลแม่ที่ป่วยอยู่สองสามวัน มันกับพี่สาวมันเลยต้องผลัดกันทำงานบ้าน พอวันนี้ที่ผมมาจึงไม่แปลกใจที่จะเห็นจานชามยังไม่ได้ล้างที่กองพะเนินตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ในห้องครัว ช่างเถอะเดี๋ยวช่วยมันล้างหน่อยละกัน



คุณแดเนียลผู้ที่ยังไม่ได้ออกไปไหน ก็ยังยืนพิงเคาท์เตอร์ด้านหลังผมเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไรขึ้นมา แต่ผมกลับรู้สึกอึดอัดนิดหน่อย เพราะความรู้สึกที่ถูกจ้องมองนี่มันทำให้ผมไม่ค่อยจะมีสมาธิซักเท่าไหร่



“ นายรู้จักกับแสงนานแล้วเหรอ ”  อยู่ๆ คนที่ยืนมองเงียบๆ มาตลอดก็เอ่ยถามขึ้น



“ ก็รู้จักมากตั้งแต่มัธยมอ่ะครับ ” ผมก้มลงไปหยิบจานชามในตู้ขึ้นมาวาง เทอาหารที่เพิ่งทำเสร็จ ก่อนจะยกไปไว้บนเคาท์เตอร์ตรงกลางห้องครัว



“ ฉันรู้สึกเดี๋ยวนี้มันเปลี่ยนไปยังไงชอบกล เมื่อก่อนดูออกจะสุภาพ ปกติมันจะไม่มีปัญหาเรื่องผู้หญิงเลยนะเนี่ย ” เห็นไหม ผมไม่ได้พูดเล่นนะครับ ไอแสงมันเถื่อนขึ้นจริงๆ ขนาดญาติที่ไม่ได้เจอมันมาตั้งนานยังรู้สึกถึงรังสีความเหี้ยของมันเลย พอได้ยินแบบนี้ผมเลยหลุดหัวเราะ แล้วจึงเล่าต้นกำเนิดความเหี้ยของไอแสงให้คุณแดเนียลฟัง



“ เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหละครับ ”



“ มีแบบนี้ด้วยเหรอ ” อีกฝ่ายที่ดูจะอึ้งๆ ปนขำๆ ไม่แปลกหรอกที่จะมีปฏิกิริยาแบบนี้ เพราะขนาดผมแรกๆ ยังรับไม่ค่อยได้เลย



“ จริงๆ ผมก็คิดว่ามันพูดเล่นด้วยซ้ำไป แต่พอมันดูเสมอต้นเสมอปลายมาตลอด ก็แอบคิดไม่ได้ว่าจริงๆ แล้วสันดานมันอาจจะเป็นแบบนี้ ” คุณแดเนียลหัวเราะก๊าก ทำเอาผมหัวเราะไปด้วย



บรรยากาศเกร็งๆ ก่อนหน้ามันเริ่มจะหายไปโดยไม่รู้ตัว กลายเป็นความสนิทสนมที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย อันที่จริงคุณแดเนียลก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนักหรอก เพียงแต่ว่าผมแค่ไม่ชอบสายตาวิบวับของเจ้าตัวเวลามองมา มันทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ยังไงชอบกล เหมือนมันสามารถมองทะลุเสื้อผ้าผมได้ยังไงยังงั้น



เมื่อกับข้าวทั้งสามอย่างถูกยกออกไปวางไว้ที่โต๊ะกินข้าวข้างนอก คุณแดเนียลก็เอาแต่ดมกลิ่มหอมของแต่ละอย่าง เหมือนเด็กเลยแฮะ ผมแอบอมยิ้มเล็กน้อย แต่พอถูกเจ้าตัวจับได้ ผมก็รีบหุบยิ้มทันควัน ก็ยังมิวายส่งสายตาลิ่วล้อมาให้อีก ฮึ่ย เกลียดสายตาคู่นั้นจริง!



“ โอ้ว หอมจังเลยครับท่าน ทำอะไรกินกันเหรอ ” น้ำเสียงแบบนี้ ไม่ผิดครับ ไอเพื่อนรักเพื่อนเวรของผมเอง มันเดินมาดูกับข้าวจานนั้นทีจานนี้ทีด้วยความสนอกสนใจ และหันไปพูดภาษาเอเลี่ยนใส่ญาติมันต่อ ก่อนญาติมันจะชี้มาที่ผม แล้วพูดอะไรซักอย่างที่ผมก็ฟังไม่เข้าใจ ก็เงี้ยแหละครับ คนโง่ภาษาอังกฤษอย่างผมต้องทำใจ



“ หืม มึงทำกับข้าวเหรอวะ อารมณ์ไหนเนี่ย ” ไอแสงเดินมาพาดแขนที่ไหล่ผม ขณะที่ผมกำลังเก็บถ้วยชามทั้งหลายที่ตั้งสูงเป็นคอนโดเอามาล้าง



“ อารมณ์ญาติมึงหิวไงไอห่า ญาติใครกันแน่วะเนี่ย ”



“ เอาน่ามึง อย่างอนเลย เดี๋ยวกูเลี้ยงเหล้าเลี้ยงหนังไงจ๊ะ ” เจ้าตัวเอาหน้ามาถูไถที่ไหล่ผม อิ๊ววววว ขนลุกขนพอง



“ กูรังเกียจ ออกไปเลย ”



“ โห ไรวะ แรงง่ะ เจ็บหัวใจ ”  โอ้ย เพื่อนกู สมงสมองไปหมดละ



“ เออมึงๆ กูถามหน่อย ” ผมพูดกระซิบกับคนข้างตัว กระดิกนิ้วให้มันเอาหูมาใกล้ๆ “ ทำไมมึงถึงรู้ได้วะว่าเขาเป็นเกย์ เขาบอกมึงเหรอวะ ”



“ มึงจะกระซิบทำห่าอะไรเนี่ย เขาฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่องหรอกนะ ”



“ เออน่า กูเกรงใจ เล่นนินทากันใกล้ขนาดนี้ ”



“ ตอนแรกเขาไม่ได้บอกหรอก แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งกูไปเที่ยวที่ฮ่องกงแล้วแวะไปเยี่ยม กูบังเอิญเห็นเขาแอบจูบกับผู้ชายในบ้านเข้า กูล่ะตกใจชิบหายตอนแรก แต่ก็ไม่ได้อะไรเลยทำเนียนไป พอเขารู้ก็เลยมายอมรับกับกูทีหลัง แล้วก็บอกว่าครอบครัวเขารู้แล้วด้วย ” ไอแสงเล่าด้วยน้ำเสียงปกติเหมือนคนพูดเรื่องดินฟ้าอากาศยังไงยังงั้น ผมจึงเล่าเหตุการณ์เมื่อตอยบ่ายให้มันฟังบ้าง



“ แล้วเขาก็มาบอกกับกูง่ายๆ เนี่ยแหละมึง กูแบบแอบอึ้ง ”



“ เขาคงอยากให้มึงสบายใจมั้ง ” เจ้าตัวพูด ไหวไหล่เล็กน้อย



“ เอาเถอะๆ เขาจะเป็นอะไรมันก็สิทธิ์ของเขา เออมึง แล้วเขาจะกลับวันไหนวะ ” ผมปิดก๊อกน้ำหลังจากวางจานใบสุดท้ายลงบนกระแกรงสะเด็ดน้ำ เช็ดมือกับผ้าแห้งสะอาดที่แขวนไว้ตรงผนัง



“ พรุ่งนี้อ่ะ เขามาแปปเดียวเอง อย่างที่บอกอ่ะ มาเยี่ยมพวกกูเสร็จก็กลับเลย ” ไอแสงรอผมทำอะไรเสร็จจึงเดินออกไปด้านนอกพร้อมกัน คุณแดเนียลนั่งกินไป เล่นมือถือไป พวกผมจึงนั่งลงบนเก้าอี้ว่าง



ไอแสงชวนญาติมันคุยนู่นนี่ไปเรื่อย ผมจึงนั่งฟัง (ทั้งที่ไม่รู้เรื่อง) อย่างเดียวด้วยความที่ไม่อยากกวนชั่วโมงสนทนาของมัน แต่อยู่ๆ เสียงมือถือผมก็ดังขึ้น ผมจึงเดินเลี่ยงออกมารับโทรศัพท์ที่ห้องโถง



“ สวัสดีครับ ณรัก พูดครับ ” ผมกรอกเสียงลงไปตามความเคยชินเมื่อตอนที่อยู่ที่ทำงาน



“ สวัสดีค่ะคุณ ณรัก ดิฉันโทรจากบริษัท โอฬาร กรุ๊ป นะคะ ”




หืมม เดี๋ยวนะ ถ้าเขาจำไม่ผิดเขาเคยสมัครงานกับบริษัทนี้ไปด้วยนี่นา! หรือว่าจะโทรมานัดสัมภาษณ์




“ ครับ มีอะไรให้รับใช้ครับ ” ผมตอบเสียงปลายสายอย่างตื่นเต้น



“ ดิฉันเห็นใบสมัครของคุณที่เคยมาสมัครไว้เมื่ออาทิตย์ก่อนน่ะค่ะ แล้วรู้สึกสนใจในประวัติของคุณ ไม่ทราบว่าตอนนี้คุณมีงานประจำแล้วหรือยังคะ ”



“ ยังเลยครับ ผมพร้อมเข้าทำงานเลยครับหากคุณสนใจ ”



“ ใจเย็นค่ะคุณณรัก เดี๋ยวเราคงต้องนัดให้คุณมาลองคุยกับเราก่อนนะคะ คุณสะดวกวันไหนคะ ”  เสียงหญิงสาวปลายสายขบขันเล็กน้อยเมื่อได้ยินผมทำเสียงขยันขันแข็ง แน่นอนสิ บริษัทใหญ่โตขนาดนี้ เป็นใครก็อยากร่วมงานด้วย



“ ผมได้ทุกวันเลยครับ พรุ่งนี้เช้าก็ได้เลยครับ ”



 “ โอเคค่ะคุณณรัก ดิฉันนัดไว้เป็นพรุ่งนี้เก้าโมงเช้านะคะ ถ้ามาถึงบริษัทแล้วติดต่อประชาสัมพันธ์ด้านล่างว่าคุณดาราลักษณ์นัดติดต่อสัมภาษณ์ได้เลยค่ะ ”   



“ ได้เลยครับ ขอบคุณมากนะครับ ”



ผมจะได้งานทำแล้วครับท่านนนน



ถึงแม้ว่ายังไม่ได้สัมภาษณ์ก็เถอะ แต่ผมก็ดีใจมาก ผมอยากทำงานที่บริษัทนี้มานานแล้ว แต่ดันไปได้งานซะก่อน ก็เลยต้องเลือกงานนั้นไว้ก่อน ไม่ใช่บริษัทที่ไหนไกลหรอก ก็ไอบริษัทที่ผมเพิ่งมีคดีไปด้วยน่ะสิ ให้ตายไม่น่าเลย รู้งี้ผมคงอดทนรอบริษัทนี้ไปแล้ว และผมก็คงมีชีวิตดีๆ ไปแล้ว ไม่ตกต่ำจนถึงทุกวันนี้หรอก



ผมฮัมเสียงเพลงในลำคอ เดินเข้าไปในห้องกินข้าวที่ไอแสงกับญาติของมันนั่งอยู่ พวกเขาหันมามอง เลิกคิ้วเล็กน้อย คงอยากจะถามผมประมาณว่ามีอะไรหรือเปล่า ผมจึงส่ายหัวพร้อมเดินเข้าไปนั่งเก้าอี้ตัวเดิม คนมันอารมณ์ดีเว้ย ไม่เคยเห็นเรอะ



ผมนั่งใช้นิ้วเลื่อนหน้าจอไปเรื่อยๆ ดูสถานการณ์ในโลกออนไลน์ไปเรื่อย ก่อนที่สายตาจะไปสะดุดกับข่าวหนึ่ง



ทายาทบริษัทพันล้าน ประสบเหตุอาการสาหัส ตำรวจคาดปองร้ายหมายตำแหน่ง



หืม นั่นมันบริษัทที่ผมจะไปสัมภาษณ์อยู่พรุ่งนี้นี่นา นี่มันข่าวจริงหรือข่าวปลอมกันแน่ เกิดเหตุร้ายแรงขนาดนี้แล้วที่บริษัทไม่วุ่นวายตายเลยเหรอนั่น ว่าแต่หน้าตาของทายาทอะไรนั่นผมก็ไม่เคยเห็น เขาไม่เคยออกสื่อเลยสักครั้ง ยิ่งทำตัวลึกลับมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้หลายคนโดยเฉพาะนักข่าวยิ่งอยากขุดคุ้ยเรื่องราว แต่ความเป็นส่วนตัวของเขานั้นก็ไม่เคยมีใครล่วงล้ำได้ซักคน บางคนก็บอกว่าเขาเพิ่งกลับจากเมืองนอก บางคนก็ว่าเขาขี้โรค ร่างกายอ่อนแอ ก็เลยกลายเป็นว่าไม่ว่าจะข่าวไหนก็ดูคลุมเครือไปซะหมด



ขณะที่ผมกำลังนั่งจมอยู่กับข่าวนั้นเอง



“ ทำอะไรอยู่ ” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยข้างหูผมเบาๆ ทำให้ผมตกใจสะดุ้งเอนตัวไปข้างหน้าอัตโนมัติ มือกุมหูข้างที่ถูกแนบเนื้อเมื่อกี้ ตัวหันเอี้ยวกลับมามองตัวต้นเหตุที่ยืนยิ้มทำเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ว่าตัวเองทำอะไรผิด



“ อย่ามาพูดใกล้ๆ แบบนี้สิครับ! ” ผมพูดอย่างไม่พอใจ ความกระดากเริ่มลามตามใบหน้า มองหาไอแสง แต่ก็ไม่พบเจ้าตัว หายไปไหนแล้วเนี่ย



“ ไอแสงไปห้องน้ำ ” เหมือนอีกฝ่ายจะรู้ว่าผมหาอะไร จึงเอ่ยตอบแล้วเดินไปเก็บจานชามที่กินจนเกลี้ยงไปเก็บที่อ่างล้างจาน



“ เดี๋ยวผมล้างเองครับ คุณไปพักผ่อนเถอะ ” ผมเดินตามเข้ามา ผลักคนร่างสูงออกไปเบาๆ



“ เมื่อกี้นายไปคุยกับใครอ่ะ เห็นกลับเข้ามายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ” คุณแดเนียลถามขณะยืนมองอยู่ข้างๆ ผม



“ พอดีบริษัทที่ผมเคยสมัครทิ้งไว้ เขาโทรมาให้ผมเข้าไปสัมภาษณ์พรุ่งนี้ครับ ผมเลยดีใจ เพราะอยากทำงานที่นี่ ”



“ โชคดีแล้วกันนะ ”



“ ขอบคุณครับ เอ่อ แล้วพรุ่งนี้คุณกลับไฟลท์ที่โมงครับ ”



“ ทำไม จะไปส่งเหรอ ” เจ้าตัวถามยิ้มๆ ด้วยเสียงเย้าแหย่




“ผมบอกตอนไหนครับว่าจะไป” ผมหันไปตอบด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่า ‘อย่าถามอะไรโง่ๆ นะเจ้าบ้า’



“ ใจร้ายจริงเลย ฉันกลับไฟลท์ดึกเลย ประมาณสามทุ่ม ”



“ ไอแสงไปส่งใช่ไหมครับ ”



“ ถ้าเปลี่ยนเป็นนายไปส่งจะดีมากกว่า ” ผมกรอกตาในความขี้ตื้อของอีกฝ่าย ไหนจะสีหน้าออดอ้อนนั้นทำให้ผมขนลุกเกลียวเบาๆ ท่าทางแบบนี้เหมือนกับไอแสงยังไงชอบกล ไม่น่าถึงเป็นญาติกันได้ เมื่อเห็นสีหน้าเว้าวอนของอีกฝ่าย ผมจึงถอนหายใจเบาๆ



“ ก็ได้ครับ ถ้าผมว่างนะ ” พอผมตอบรับ เจ้าตัวจึงยิ้มร่าด้วยความชอบใจ จะเข้ามากอด ผมจึงรีบเบี่ยงไหล่หลบเล็กน้อย และทำหน้าดุใส่ คุณแดเนียลจึงเอนตัวกลับไป แต่ก็ยังไม่วายส่งยิ้มพิมพ์ใจมาให้





โปรดติดตามตอนต่อไป....


คุณแดเนียลลลลลล ขี้แต๊ะอั๋ง 55555



ครั้งนี้มาช้าไป 1 วันถ้วน ประทานโทษเป็นอย่างสูงค่ะ

เจอกันพุธหน้าเหมือนเดิมค้าบ

 :hao3:

หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด #เนตรรัก >>> อัพเดต ตอน 5 (20/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 21-05-2020 12:26:42
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด #เนตรรัก >>> อัพเดต ตอน 5 (20/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 21-05-2020 21:10:08
เกือบเนียนได้แล้วเชียว
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด #เนตรรัก >>> อัพเดต ตอน 5 (20/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 21-05-2020 22:45:26
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด #เนตรรัก >>> อัพเดต ตอน 5 (20/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 21-05-2020 23:47:44
 :L2:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด #เนตรรัก >>> อัพเดต ตอน 6 (27/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหมีวุ่นวาย ที่ 27-05-2020 16:49:30
ตอนที่ 6
" ฉันก็รู้ว่าเธอจะไม่มีวันทรยศหักหลังแน่นอน "



 (เนตร)

“ แม่ครับ ผมเดินเองได้ครับ ไม่ต้องพยุงขนาดนี้หรอก เดี๋ยวแม่จะเหนื่อยเปล่าๆ ” เนตรเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นว่าคนเป็นแม่เดินพยุงจนแทบอุ้มเขาเพื่อเข้าไปในบ้าน ทั้งๆที่ตัวของชายหนุ่มสูงใหญ่จนบังร่างของเธอจนมิด



“ ก็แม่กลัวนี่นา ลูกยังไม่หายสนิทเลยก็ดื้อจะกลับบ้าน แม่ขอห้ามเลยนะ อย่าเพิ่งไปทำงาน รอให้หายสนิทก่อนแล้วถึงแม่จะปล่อย ” หญิงสูงวัยยื่นคำขาด ก่อนที่จะเรียกคนขับรถมาช่วยขนของลงไป เธอพาร่างสูงค่อยๆเดินขึ้นบันไดเพื่อเข้าไปในตัวบ้าน และทันทีที่เปิดประตูนั้น
 


ปุ้ง ปุ้ง



“ เซอร์ไพรส์ครับพี่เนตร! วู้วๆ ” เสียงพลุดังขึ้นภายในห้องโถง  พร้อมกับร่างของน้องชายที่ยืนยิ้มแฉ่งอยู่หน้าประตู  ป้าย ‘ยินดีต้อนรับที่ชายสุดหล่อ’ แต่งแต้มสีสันมากมายที่แขวนห้อยกับโคมไฟสีนวลระโย้ระย้าขนาดใหญ่กลางห้อง



“ ตานันท์ แม่ตกใจหมด โธ่ ”



“ ก็ผมอยากเซอร์ไพรส์นี่นา พี่เนตรไปนอนโรง’บาลตั้งหลายวัน บ้านเงียบลงไปตั้งเยอะ ”



“ อย่างกะแกอยู่บ้านบ่อยๆงั้นแหละ ” คนเป็นพี่เอ่ยด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ สีหน้าดีใจจนปิดไม่มิด ครอบครัวเขาก็เป็นแบบนี้แหละ ถึงจะห่างหายกันไปบ้าง ไม่ได้คุยด้วยกันทุกวัน แต่ก็อบอุ่นทุกครั้งเมื่อเห็นหน้าเห็นตากัน น้องชายเขานั้นเป็นคนที่ตลก เฮฮา น้อยนักที่จะเศร้า ด้วยว่าเป็นคนที่สบายๆ ง่ายๆ แต่จะติดอยู่ที่ค่อนข้างเอาแต่ใจนิดๆตามประสาลูกชายคนเล็กโดนตามใจตั้งแต่เด็ก แต่ถึงอย่างนั้นแล้วเขาก็ไม่เคยนึกเสียใจที่มีนันท์เป็นน้องชาย



“ คุณหนูกลับมาแล้ว!  โถ่ ขวัญเอ๋ยขวัญมานะลูก ” เสียงหญิงวัยกลางคนเอ่ยอย่างดีอกดีใจ รีบเดินเข้ามากอดเขาเบาๆ
 

ป้า ‘อุ่น’ เป็นป้าแม่บ้านที่ทำงานกับครอบครัวเขามาตั้งแต่เขาเด็กๆ ดูแลเขากับนันท์มากับมือ เพราะสมัยก่อนช่วงที่เกิดเรื่องกับปู่ของเขา ทั้งพ่อและแม่รวมถึงบริษัทวุ่นวายกันมาก ปู่เขาประสบอุบัติเหตุและจากไปอย่างกะทันหัน ไม่มีใครนึกเอะใจกันมาก่อน และคดีก็ปิดไปอย่างน่าสงสัย ทั้งที่ครอบครัวเขาเองก็ไม่เคยมีศัตรูคู่ปรปักษ์กันมาก่อน หรืออาจะมีแต่ก็มั่นใจได้ว่าไม่คิดร้ายถึงขั้นเอาชีวิตแน่นอน ทำให้พ่อของเขาสงสัยว่าอาจจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่ยังสืบหาไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นแล้วเรื่องราวก็ค่อยๆเลือนไป เพราะไม่มีหลักฐานใดๆสืบตัวถึงผู้ต้องสงสัยได้เลย
 

ตั้งแต่เหตุการณ์นั้นก็ผ่านมานานนับสิบปี ป้าอุ่นคนนี้ก็ช่วยดูแลพวกเขาพี่น้อง เปรียบเสมือนลูกของเธอเอง เพราะเธออยู่ตัวคนเดียว ไม่มีลูก ความสัมพันธ์ของป้าอุ่นกับครอบครัวเขาจึงแน่นแฟ้นเปรียบเสมือนคนในครอบครัว
 


“ ผมไม่เป็นไรแล้วครับป้า ผมก็คิดถึงป้าเหมือนกันครับ ” เขากอดตอบป้าอุ่น และพากันเดินเข้าไปในตัวบ้าน แม่กับป้าอุ่นพยุงตัวเขาไปนั่งบนโซฟารับแขก ซึ่งมีป้าย ‘ยินดีต้อนรับที่ชายสุดหล่อ’ ห้อยอยู่ข้างบนโคมไฟ



“ คุณหนูเนตรต้องพักผ่อนนะคะ ป้าไม่ยอมให้คุณหนูทำงานทั้งที่ร่างกายเป็นแบบนี้แน่ๆ ”



“ ครับป้า ร่างกายผมแบบนี้ทำไม่ไหวหรอกครับ แค่ยืนนิดหน่อยก็เหนื่อยแล้ว ” เขาพูดติดตลกเล็กน้อย ร่างกายเขาตอนนี้ถือว่าดีขึ้นมาก สามารถลุกขึ้นยืนได้ ใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่อย่าเร็วเกินไป เพราะจะเหนื่อยง่ายและอาจจะวูบได้



“ เดี๋ยวช่วงนี้ให้ตานันท์ไปช่วยพ่อไปก่อนนะลูก ลูกก็พักผ่อนไป ถือว่าพักร้อนแล้วกัน ”

“ โธ่ แม่ นี่ผมก็เพิ่งปิดเทอม ผมก็อยากพักร้อนเหมือนกันนะฮะ ” คนถูกสั่งร้องโวยวายเมื่อแม่เขาเอ่ยจบ

“ แม่ให้ค่าขนมด้วย เอาไหม ”



“ เดี๋ยวผมจะช่วยอย่างเต็มที่เลยครับ แม่ไม่ต้องเป็นห่วง ทุกอย่างจะเนี๊ยบเป็นพิเศษยิ่งกว่าพี่เนตรเลย ขอซักครึ่งแสนละกันนะฮะ ”



“ มะเหงกแน่ะ! “
 


เสียงหัวเราะอย่างมีความสุขดังขึ้นภายในบ้านท่ามกลางเหตุการณ์ร้ายๆที่เพิ่งผ่านพ้นไป เขาหัวเราะทั้งที่ภายในใจกังวลเหลือเกิน เขายังไม่แน่ใจเท่าไหร่นักว่าจากนี้ไปอะไรจะเกิดขึ้น เขาก็เพียงแต่ภาวนาขอให้นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่จะเกิดเหตุร้ายๆกับครอบครัวเขา แต่ลึกๆในใจเขาก็คิดว่าบางทีนี่อาจจะเป็นแค่จุดเริ่มต้น
 


จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ต่อไปที่อาจจะร้ายแรงกว่าที่คาดก็เป็นได้…
 
 
 
 


“ พี่เนตร ถามจริงๆนะ พี่เคยไปเหยียบหางใครเขาหรือเปล่า ” นันน์ถามขึ้นขณะที่กำลังพยุงเขาขึ้นเตียงนอน



“ พี่ก็เพิ่งจะกลับมาไทย วันๆทำแต่งาน จะมีเวลาไหนไปหาหางมาเหยียบกัน ”



“ อ้าว เผื่ออาจจะทำไปแล้วไม่รู้ตัวอะไรแบบนี้ แบบแอบไปกุ๊กกิ๊กกับใครแล้วเขามีเจ้าของอยู่แล้วอะไรแบบนี้ ”



“ ถ้าจะมีพี่คงเปิดตัวไปนานแล้วล่ะ ตอนนี้โสดสนิทแถมเดี้ยงแบบนี้ คงจะไม่มีไปอีกนาน ”



จริงๆแล้วเขาเป็นคนเนื้อหอมพอสมควร เพราะตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ ไม่ว่าจะไฮสคูลหรือมหาวิทยาลัยที่ต่างประเทศ ก็มีคนคุยตลอด แต่ถ้าจะให้ถึงขั้นคบหากันเลยก็มีน้อยมาก ซึ่งเขาไม่ได้ต้องการจะปักหลักกับใครเป็นพิเศษ เพราะเขาไม่ชอบไปวุ่นวายกับใครมากนัก แล้วก็ไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายกับเขาด้วยเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงครองตัวโสดอยู่มาตลอด จนกระทั่งเจอกับคนคนหนึ่ง
 


‘วรรณ’
แฟนคนแรกของเขา
 


การคบกันครั้งนั้นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่างตัวผม โดยที่ผมไม่รู้ตัวเลย แต่แล้วก็มีเหตุให้เลิกรากันไป ผมจึงกลับมาโสดสนิทอีกครั้ง 
 


“ อิอิ ผมมีเพื่อนเจ๋งๆเต็มเลยฮะ ทั้งหญิงและชาย โปรไฟล์ดี เอาไหมฮะ คิดราคาถูกๆ ” คนยื่นข้อเสนอทำหน้าทะเล้นล้อเลียนตามสไตล์



“ พูดดีๆ ขายเพื่อนกินเหรอเดี๋ยวนี้ พี่จะให้แม่ตัดเงินเดือนแก ”



“ โหย พี่อ่ะ! คนอุตส่าห์หวังดี เห็นโสดมานาน ” คนร้องโวยทำหน้ามุ่ยทันทีหลังจากได้ฟังพี่ชายขู่



“ ว่าแต่คนอื่น ตัวเองก็โสดเหมือนกันไม่ใช่เหรอไง ”



“ ผมกำลังอยู่ในวัยสร้างเนื้อสร้างตัวฮะ รีบเรียนให้จบรีบไปหาสาว “



“ สาวจะหนีเข้าให้น่ะสิ ” เขาพูดแหย่น้องด้วยเสียงขบขัน ก่อนจะนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้



“ เออใช่ เดี๋ยวพรุ่งนี้แกไปช่วยพ่อดีกว่านะ ไม่ต้องมาเฝ้าพี่หรอก พี่พอช่วยตัวเองได้บ้างแล้ว นี่ก็หายดีขึ้นเยอะ ยังพอมีแรงอยู่บ้าง ”



“ เอางั้นเหรอพี่ ”



“ อืม พ่อคงหัววุ่นน่าดู ต้องมาตามเรื่องคดี แถมเรื่องบริษัท ตอนนี้พี่ก็ดันมาเป็นสภาพแบบนี้อีก ”



“ โอเคฮะ เดี๋ยวผมไปช่วยพ่อเอง ”



“ พี่ไม่อยากทิ้งไว้นาน ไม่รู้ก็พวกมันจะกลับมาอีกเมื่อไหร่ เพราะเราไม่รู้เบาะแสที่แน่ชัดเลยว่าเป็นใคร ”



“ ผมก็เป็นห่วงเรื่องนี้เหมือนกัน พี่วางใจเถอะ เดี๋ยวผมจะช่วยสุดความสามารถ ”



“ ขอบใจมากนันท์ แล้วก็ระวังตัวด้วยนะ ” เขาตบบ่าน้องชายเบาๆ







(ณรัก)


และแล้วผมก็มาถึงบริษัทที่เรียกผมไปสัมภาษณ์เมื่อวานจนได้ รู้สึกตื่นเต้นชะมัด ความใหญ่โตโอ่อ่าของที่นี่ทำให้ผมรู้สึกโดนกดดันยังไงชอบกล แต่กระนั้นแล้วอะไรก็หยุดผมไม่ได้แล้วครับ ผมจะต้องได้งานนี้ให้ได้! (เพื่อเงินในบัญชีที่งอกเงย!)

 

“ สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าติดต่อเรื่องอะไรคะ ” เสียงหวานจ๋อยของประชาสัมพันธ์ทำให้ผมเคลิ้มไปพักหนึ่ง (ดึงสติโว้ยไอรัก)



“ เอ่อ ผมชื่อณรักครับ มาติดต่อคุณดาราลักษณ์ครับ ”



“ สักครู่นะคะ ” แล้วเจ้าของเสียงอันหวานจ๋อยนั้นก็หันไปกดโทรศัพท์ คุยเรียบร้อยเสร็จศัพท์ก็หันกลับมายิ้มหวานเจี๊ยบให้พร้อมกับผายมือไปยังทางลิฟต์ให้ผมขึ้นไปชั้น 20 ได้เลย คนอะไรเสียงหวานแล้วยังจะหน้าหวานยิ้มหวานอีก โอ้ย อยากกัด ขอเบอร์ซะเลยดีมั้ย (เก็บอาการโว้ยยย ไอห่ารัก)
 


เมื่อสามัญสำนึกด่าผมให้ดึงสติกลับมา ผมก็เดินไปทางลิฟต์ แต่ก็ยังมิวายหันไปยิ้มหวานให้กับสาวประชาสัมพันธ์อีกที ผมกดลิฟต์ขึ้นไปยังชั้น 20 ตามที่ตาหวานบอกไว้ (ตั้งชื่อเขาเรียบร้อยครับ) ระหว่างที่ประตูลิฟต์กำลังจะปิดนั้น ก็ปรากฏมือขาวๆแทรกเข้ามาระหว่างประตูลิฟต์ ทำให้เซ็นเซอร์ทำงาน ประตูลิฟต์เปิดพร้อมกับร่างสูงกว่าผมนิดหน่อยเดินเข้ามา ผงกหัวให้เป็นเชิงขอโทษ



ระหว่างที่ลิฟต์ขึ้นไล่ลำดับชั้นไปเรื่อยๆ ผมก็แอบสังเกตร่างสูงที่เดินเข้ามาทีหลังตามประสาคนช่างสังเกต ผิวขาว ใบหน้าที่กำลังก้มลงดูมือถือทำให้ผมมองไม่ชัด แต่ก็พอมองออกว่าหล่อพอสมควร คงจะเจ้าชู้ด้วยใช่มั้ยเนี่ย และกว่าที่ผมจะรู้ตัวว่าจ้องเขามากเกินไปก็ตอนที่เขาเงยหน้าขึ้นมามองผมเป็นเชิงถามว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่านั่นแหละ

 

“ ไม่มีอะไรครับ แหะๆ พอดีหน้าคุ้นๆนึกว่าคนรู้จัก ” ผมยกมือเกาหัวอย่างอดไม่ได้ อายจังวุ้ย แมนทั้งแท่งแต่มาจ้องผู้ชายตาเป็นมันแบบเนี่ย มันใช่มั้ยไอรัก! (สามัญสำนึกหรือแม่ผมกันแน่ครับ บ่นจังเว้ยเฮ้ย) ผมก็ละความสนใจจากร่างสูงข้างผม มามองตัวเลขบนหน้าปัดแทน และก็เห็นว่าเขาไม่ได้กดตัวเลขชั้น มีแต่เป็นปุ่มตัวเลขที่ผมกดไปอยู่ปุ่มเดียว สงสัยมาชั้นเดียวกันล่ะมั้ง หรือว่าจะเป็นคนที่มาสัมภาษณ์อีกคนหนึ่ง
 


ช่างมันเถอะ งานนี้ต้องโดนผมแน่นอน!

 

เมื่อลิฟต์เปิด คนข้างตัวผมก็เดินออกไปก่อน ผมเดินตามออกมาพบว่าชั้นนี้เงียบมาก เพราะไม่มีพนักงานซักคนเลย ร่างสูงเมื่อกี้ก็หายไปไหนแล้วไม่รู้ คนหรือวิญญาณวะ หายตัวเร็วชิบหาย  จะมีก็แต่พี่เบิ้มใส่สูทหน้านิ่งที่ยืนอยู่หน้าห้องๆหนึ่ง แต่ความอลังการของชั้นนี้ก็ทำให้ผมขนลุกวาบเบาๆ เพราะดูท่าแล้วทุกอย่างบนชั้นนี้น่าจะแพงกว่าบ้านผมอีกล่ะมั้งครับ
 


“ คุณณรักใช่ไหมคะ ” ก่อนที่ความคิดผมจะพุ่งไปไกล ชื่อของผมก็ถูกเรียกโดยหญิงสาววัยกลางคนคนหนึ่งที่เปิดประตูออกมาจากห้องทางซ้ายถัดไปไม่ไกลจากจุดที่ผมยืน



“ ใช่ครับ คุณดาราลักษณ์หรือเปล่าครับ ”



“ ใช่ค่ะ เชิญทางนี้เลยค่ะคุณณรัก ” ผมเดินตามทางที่เรียกไป ยกมือไหว้คุณเลขา เดินผ่านพี่เบิ้มใส่สูทเข้าไปในห้อง



ความโอ่อ่าอลังการในห้องไม่ต่างจากภายนอกมากนัก จนผมอดสังเกตรอบห้องห้องไม่ได้ แต่สายตาพลันไปสะดุดกับชายคนหนึ่งยืนหันหลังให้ผม หันหน้าออกไปทางหน้าต่างบานใหญ่ที่อยู่หลังโต๊ะทำงานของเขา รูปร่างสมส่วนดูแข็งแรง แค่มองจากข้างหลังยังให้ความรู้สึกน่าเกรงขาม



ผมยืนอยู่สักพักจนคุณเลขาสาวเชิญผมนั่งลงที่โซฟาที่อยู่มุมหนึ่งของห้อง และตัวเองก็นั่งลงบนโซฟาอีกฝั่งหนึ่ง ชายคนนั้นยังคงยืนอยู่ที่เดิม ไม่นานนักจึงหันกลับมา ผมเริ่มรู้สึกกดดันหน่อยๆกับสายตาที่ถูกจ้องมองมา เขาเดินมาและนั่งลงด้วยบนโซฟาซึ่งอยู่ทางหัวโต๊ะ ผมรีบยกมือไหว้ก่อนที่เขาจะเริ่มเปิดประเด็น
 


“ เธอชื่อณรักใช่มั้ย ” เสียงทุ้มหนักแน่นเอ่ยถามผม



“ ใช่ครับ ”



“ ฉันจะไม่พูดอ้อมค้อมนะ ฉันให้คุณดาราลักษณ์ไปสืบประวัติเธอมาเนื่องจากเธอเคยเป็นลูกศิษย์อาจารย์ที่ฉันเคารพนับถือท่านหนึ่ง ” ผมหันไปมองคุณเลขาพร้อมกับความแปลกใจที่ว่าเขาไปรู้ได้อย่างไร เพราะผมไม่เคยกรอกลงในประวัติ และไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้กับใครมาก่อน



“ ดิฉันติดต่อไปหาอาจารย์ค่ะ ต้องการคนที่มาเป็นผู้ดูแล คุณเนตร ระหว่างที่กำลังรักษาตัวอยู่ และอาจารย์ก็แนะนำคุณณรักมาน่ะค่ะ เขาบอกว่าคุณเป็นลูกศิษย์ที่เขาไว้ใจที่สุด แล้วบังเอิญมากเลยค่ะ ดันเป็นคุณณรักที่เคยส่งประวัติเข้ามาสมัครงานกับเราเมื่อปีที่แล้ว ” แต่คุณก็ไม่เลือกผมสินะ ฮือ

 

อาจารย์ที่คุณเลขากำลังพูดถึงคืออาจารย์จากสถาบันต่อสู้หลายแขนงที่ผมเคยแอบพ่อแม่ไปเรียน ด้วยความคับแค้นของผม (จากการโดนผู้ชายลวนลาม) จึงไปสมัครสถาบันต่อสู้ที่หนึ่งแถวบ้าน ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าที่นี่เป็นยังไง ตอนนั้นรู้แต่เพียงแค่ว่า ‘กูจะต้องแข็งแกร่งให้ได้’ และ ‘กูจะต้องเป็นฝ่ายลวมลามบ้าง’  (เดี๊ยว!)  อะไรประมาณนี้ มันก็จะจริงจังระดับหนึ่ง
 


ด้วยความบังเอิญอีก ตอนนั้นครูฝึกทุกคนที่สถาบันไม่ว่างทั้งหมด เจ้าของสถาบันซึ่งตอนนั้นผมก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นเจ้าของ เขาเป็นลุงคนหนึ่ง ดูท่าทางขึงขัง และดุมาก จึงต้องมาสอนผมด้วยตัวเอง ตอนหลังผมก็เพิ่งมารู้ว่าที่เขารับสอนในตอนนั้นทั้งๆที่เขาจะปฏิเสธก็ได้ เป็นเพราะว่าเขารู้สึกถึงความมุ่งมั่นในตัวผม (ให้อารมณ์เหมือนในการ์ตูนอะนิเมที่ว่ามีเปลวไฟลุกโชนรอบกายผมน่ะนะ) เขาสนใจในตัวผม จึงรับสอนด้วยตัวเขาเอง หลังจากวันนั้นชีวิตผมก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้า



เท้าอาจารย์นี่ล่ะ ฮ่าๆ โดนถีบตั้งไม่รู้กี่รอบ
 


เมื่อเห็นผมไม่ได้พูดอะไรออกมา คุณเลขาจึงอธิบายต่อ



“ คุณเนตรที่ดิฉันพูดถึงคือคุณเนตรนภิศ ทายาทของโอฬารวิจิตรรัศมิ์ค่ะ เป็นลูกชายของคุณผาภูมิ โอฬารวิจิตรรัศมิ์ ซึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าคุณณรักค่ะ ”
 


เดี๊ยวว อะไรนะ! หมายความว่าคนตรงหน้าผมคือท่านประธานของบริษัทนี้น่ะเหรอ!
 


ผมทำหน้าเหวอ ไม่รู้ว่าน่าเกลียดแค่ไหน แต่ที่รู้ๆคือคุณเลขาเอามือปิดปาก หันไปด้านข้างเล็กน้อย เหมือนจะกลั้นยิ้มไม่อยู่ คุณท่านประธานตรงหน้าผมก็ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย

 

“ เอ่อ ขอโทษด้วยครับ ผมคงแสดงท่าทีตกใจเกินไปหน่อย ”



“ ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจ เธอคงงงล่ะสิว่าฉันเรียกเธอมาทำอะไร ” ใช่เลยครับคุณท่านประธาน ผมตอบรับในใจเงียบๆ



“ ฉันไม่รู้ว่าเธอได้ทราบข่าวไหม ที่ลูกชายฉันโดนลอบทำร้ายอาการสาหัส ” ผมย่นหน้าเล็กน้อย พลางนึกถึงข่าวเมื่อวานที่บังเอิญอ่านเจอ ก่อนจะพยักหน้า



“ ผมทราบครับ เห็นข่าวมาเหมือนกันครับ เสียใจด้วยนะครับ ”



“ ขอบใจมาก ถ้าเธอทราบข่าวแล้ว ฉันก็จะไม่อธิบายแล้ว ฉันอยากให้เธอคอยดูแลลูกชายฉันที ฉันไม่รู้ว่าคนร้ายมันจะกลับมาทำร้ายอีกหรือเปล่า ลำพังตัวฉันกับครอบครัวเองไม่เป็นไรเพราะมีคนคอยคุ้มกันอยู่แล้ว ”  พี่เบิ้มใส่สูทหน้านิ่งคนนั้นเองสินะ  “ แต่ลูกชายฉันเขาเพิ่งจะเข้ามารับตำแหน่ง จึงทำให้ถูกปองร้ายได้ง่าย ตอนนี้เขาพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน แต่อีกไม่นานถ้าร่างกายเขาหายดี คงไม่พ้นต้องเข้ามาทำงาน ฉันจึงจำเป็นต้องจ้างเธอมาดูแลลูกชายฉันหน่อย ว่าง่ายๆก็คือบอดี้การ์ดนั่นแหละ ”
 


ภาพในหัวผมคือ ผมใส่สูทสีดำผูกไทด์สีดำ ใส่แว่นกันแดดสีดำ ใส่หูฟังเล็กๆที่หูข้างหนึ่ง มีปืนเหน็บเอว เคี้ยวหมากฝรั่ง และรถหรูหราดูโก้ โอ้ว นี่มันในหนังหรือเปล่าวะเนี่ย ขอโทษทีนะครับถ้าผมจะดูหนังสายลับมากเกินไป
 


“ ฉันไม่ได้บังคับนะ ถามความสมัครใจของเธอก่อน เพราะถ้าฉันจ้างแล้ว คือหมายถึงจ้างระยะยาวจนกว่าเรื่องทุกอย่างจะเรียบร้อย ถ้าติดเรื่องเงิน…”



“ เรื่องเงินไม่เป็นปัญหาครับผม แต่ผมคงต้องกลับไปคิดก่อนนะครับ เพราะเรื่องแบบนี้มันดูออกจะเหนือความคาดหมายไปหน่อยครับ ” ผมไม่รอให้เขาพูดจบก็แทรกขึ้นซะก่อน ฮือ บอดี้การ์ด เกิดมาไม่เคยคิดว่ามันจะมีจริงๆนะเนี่ย



“ ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจ เอาเป็นว่าฉันให้เวลาเธอถึงพรุ่งนี้แล้วกัน รีบให้คำตอบฉัน เพราะเรื่องนี้จะรอไม่ได้ ”



“ ได้ครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะเดินทางมาที่นี่เพื่อให้คำตอบนะครับ ” ท่านประธานพนักหน้าเชิงตอบรับ ก่อนจะเงียบไปพักหนึ่ง



“ ฉันอยากให้เธอรับข้อเสนอนะ ไม่รู้สิ ฉันถูกชะตากับเธอ คงเป็นแบบที่อาจารย์บอก และอีกอย่าง ”



“ … ”



“ เธอดูไว้ใจได้ และฉันก็รู้ว่าเธอจะไม่มีวันทรยศหักหลังแน่นอน ”





โปรดติดตามตอนต่อไป....


เดี๋ยวเราคงจะได้เห็นนายเอกของเราใส่สูท ผูกไทด์ ยืนเก๊กหน้าเข้มๆกันค่ะ 555555

เจอกันพุธหน้าเหมือนเดิมจ้า


หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด #เนตรรัก >>> อัพเดต ตอน 6 (27/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 27-05-2020 21:05:51
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด #เนตรรัก >>> อัพเดต ตอน 7 (05/06/63)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหมีวุ่นวาย ที่ 05-06-2020 16:42:54
ตอนที่ 7
" ก็เดี๋ยวจะไม่ได้เจอกันแล้ว "





ผมรู้สึกเหมือนแบกโลกไว้ทั้งใบ



อ่านไม่ผิดหรอกครับ ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ การที่ไปเป็นบอดี้การ์ดให้คนๆ หนึ่งนี่มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยนะเว้ย!



‘ เธอดูไว้ใจได้ และฉันก็รู้ว่าเธอจะไม่มีวันทรยศหักหลังแน่นอน ’



อั๊กก ยิ่งรู้สึกหนักเข้าไปอีก

ฮือ จะบ้าตาย



ผมเดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อยหลังจากที่ไปคุยธุระกับท่านประธานมา เดินแบบไม่รู้จุดมุ่งหมาย ไม่รู้ทิศทาง ขาก็เดินไป หัวสมองก็คิดไป รู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งกลับมาจากสนามสงครามที่ไหนซักที่หนึ่งบนโลก ความคิดที่ว่า ‘กูจะต้องได้งานให้ได้!’ มันหายไปไหนแล้วไม่รู้ ตอนนี้มีแต่ประโยคว่า ‘จะทำได้มั้ย ทำได้รึเปล่า’ จังหวะสามช่าแบบนี้ในหัวซ้ำไปซ้ำมา คุณเนตรนภิศนี่หน้าตาเป็นอย่างไร นิสัยใจคอเป็นอย่างไรผมก็ไม่รู้ ตอนนี้รู้แต่เดี้ยงอยู่ รู้แค่นี้จริงๆ



จากพนักงานออฟฟิศกำลังจะกลายเป็นบอดี้การ์ด ผมนี่จินตนาการภาพตัวเองไม่ออกเลยจริงๆ



ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดเบอร์โทรหาคนคนหนึ่ง



“ฮัลโหล ม๊าครับ”



“ ว้าย ลูกโทรมา ป๊าๆ ลูกโทรมา! ” เสียงแม่ผมวี๊ดว้ายแสดงความดีอดดีใจเป็นอย่างมากที่ผมโทรไปหา อะไรจะดีใจขนาดนั้นนะแม่ผม



“ ม๊า หูผมจะแตก ไม่ต้องดีใจขนาดนั้นก็ได้ฮะ ”



“ ไม่ให้ดีใจได้ยังไงล่ะ นานๆ ทีลูกจะโทรมา ถ้าม๊าไม่โทรไปลูกก็ไม่โทรหรอกใช่มั้ยล่ะ ชีวิตม๊านี่มันรันทดซะจริง มีลูกชายกับเขาก็เหมือนไม่มี ”  โดนหนึ่งดอก “ แล้วนี่ลูกเป็นอะไรหรือเปล่า ถึงโทรมา หรือว่า… ”



“ ผมไม่ได้จะกลับไปทำงานที่บ้านหรอกนะม๊า ”  ผมชิงพูดตัดบทก่อนที่แม่ผมจะมโนไปมากกว่านี้



“ โธ่ ลูกอ่ะ! ไม่รักม๊าเลย ”



“ ผมแค่จะโทรมาปรึกษาม๊าว่า คือ ม๊าฟังดีๆ นะ ”



“ ดูมีลับลมคมในจัง ลูกไปแอบทำใครเขาท้องหรือเปล่า บอกมานะ! ”



“ โอ้ย ม๊า ผมยังไม่ทันพูดเลย ผมจะปรึกษาว่า ถ้ามีคนอยากให้ผมไปเป็นบอดี้การ์ดให้เขา ม๊าจะว่ายังไง ”



“ อะไรนะ!!! ”  คราวนี้ไม่ใช่แค่เสียงแม่ เสียงพ่อผมก็ผสมมาด้วย สงสัยแม่เปิดสปีกเกอร์แน่เลยเนี่ย



“ ฟังไม่ผิดหรอกฮะ ตามนั้นเลย ”



“ นี่ละ ลูกหางานไม่ได้ถึงขนาดที่ต้องไปเป็นบอดี้การ์ดเขาเลยเหรอลูก! เดี๋ยวสิป๊า ปิดลำโพงทำไมเนี่ย แล้วจะเอามือถือไหน! ”



เสียงแม่โวยวายมาตามสาย ก่อนที่จะค่อยเบาลงๆ เหลือแต่เพียงเสียงกุกกักสักพัก ผมนึกว่าพ่อผมวางสายแล้ว กำลังจะเอามือถือออกจากหู พ่อก็พูดมาซะก่อน



“ นี่รัก ฟังป๊านะ ”



“ครับ ผมฟังอยู่ครับป๊า”



“ ป๊าไม่ห้ามหรอกนะถ้าจะทำ เพราะป๊ารู้ว่าเราก็มีฝีมือในด้านนี้อยู่เหมือนกัน แต่ป๊าเป็นห่วง ม๊าก็เหมือนกัน ยิ่งม๊าด้วยแล้ว คงจะค้านหนักเลย ”



นั่นแหละ เป็นสิ่งที่ผมหนักใจ เพราะแม่ผมนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นคนขี้กังวลที่สุดในโลก วัดจากดัชนีประมวลผลในริ้วรอยบนใบหน้า ทุกอย่างถ้าไม่ได้รับการอนุมัติจากแม่ผมแล้วนั้น ถือว่าสุ่มเสี่ยงต่อชีวิตทั้งหมด



ตอนที่พ่อแม่ผมมารู้ว่าผมแอบไปเรียนต่อสู้ แม่ผมนี่ว่าใหญ่เลยครับ เขากลัวผมจะเจ็บตัว เพราะระหว่างที่เรียนผมมีแผลเป็นของฝากจากอาจารย์กลับมาทุกวันเลยครับ บางวันนี่ปวดเคล็ดขัดยอกไปทั้งตัว แม่ผมถึงสงสัยว่าผมไปทำอะไร พอรู้เท่านั้นแหละครับ ถึงกับเอายันต์อะไรไม่รู้มาติดหน้าห้องผม เผื่อจะไล่สิ่งไม่ดีๆ (น่าจะหมายถึงความคิดผมมากว่านะครับ) ให้ออกจากตัวผมไป พ่อผมถึงกับหัวเราะกรามค้าง เลยโดนแม่ผมเล่นงานไปเรียบร้อยเสร็จศัพท์ กว่าผมจะอธิบายกึ่งอ้อนวอนขอเรียนต่อได้ ผมนี่แทบกราบเท้าแม่วันละร้อยรอบ



“ ผมรู้ฮะป๊า แต่ที่ผมไปฟังคุณภูผาอธิบายมาแล้ว คือลูกชายเขาโดนรถชน บาดเจ็บสาหัส แถมเพิ่งจะมาเป็นตอนที่จะมารับตำแหน่งซะด้วย เขาเลยกลัวมากกว่าจะโดนทำร้ายอีก ”



“ ลูกว่าใครอธิบายให้ฟังนะ ”



“ คุณผาภูมิฮะป๊า ตระกูลโอฬารวิจิตรรัศมิ์ รู้จักหรือเปล่า ”



“ ไอหยา! ลูกไปทำงานให้ไอนั่นเลยเรอะ ”



“ ใช่ ทำไมเหรอฮะป๊า ทำไมเรียกเขาซะเหมือนรู้จักกันเลย ” ผมถามอย่างสงสัย



“ เปล่า ไม่มีอะไรๆ ป๊าแค่ตกใจเฉยๆ เห็นตามข่าวอยู่เหมือนกัน ไม่คิดว่าลูกตัวเองจะไปทำงานให้คนใหญ่คนโตขนาดนั้น ”



“ เขาให้เวลาผมตัดสินใจแค่คืนนี้เอง พรุ่งนี้ผมต้องให้คำตอบเขาแล้ว ” ผมถอนหายใจอย่างอัดอั้น



“ ป๊าให้ลูกตัดสินใจเองแล้วกัน ทำได้หรือไม่ได้ก็มีแต่ตัวลูกเองที่รู้ดีที่สุด ถ้ากลัวเรื่องม๊าจะโวยวายบ้านแตกละก็ เดี๋ยวป๊าจัดการเอง ”



ผมคุยเรื่องสารสุกดิบทั่วไปกับพ่ออยู่พักใหญ่ ก่อนจะวางสายพ่อยังมิวายกำชับผมว่าไม่ต้องห่วงเรื่องแม่ แต่ที่แน่ๆ คือตัวผมเองก็กังวลเหมือนกันว่าผมจะทำได้ตลอดรอดฝั่งหรือเปล่า ผมเรียนมาแต่ทฤษฎี ยังไม่เคยพบเจอเหตุการณ์ปฏิบัติจริงๆ เลยซักที ถึงจะเรียนมาครบสูตรตามที่อาจารย์สอนทุกอย่าง แต่ก็ยังไม่มั่นใจอยู่ดี เห้อ ปวดหัวซะจริง หางานว่ายากแล้ว ต้องมาตัดสินใจว่าจะรับดีหรือไม่รับดีนี่มันยากยิ่งกว่าอีก แถมช่วงนี้ก็ไม่มีบริษัทที่ไหนติดต่อมาอีกแล้วด้วย เหมือนกับรู้จังหวะซะจริงๆ เลย



ผมเดินเปื่อยมาใกล้ๆ จะถึงรถไฟฟ้าเพื่อกลับบ้าน ระหว่างที่กำลังจะขึ้นสายตาก็เหลือบไปเห็นร่างสูงคุ้นตา



เฮ้ย นั่นมันไอคุณแดเนียลนี่หว่า! มาทำอะไรแถวนี้วะเนี่ย ตายห่า หลบก่อนๆ



ผมรีบจ้ำอ้าวหลบขึ้นบันไดรถไฟฟ้า พอดีกับที่คุณเขาหันมาป๊ะสายตากับผมพอดี ทำให้ขาผมหยุดชะงักอัตโนมัติ รอยยิ้มกว้างทรงเสน่ห์ถูกส่งพุ่งตรงมายังผม ความขนลุกขนพองลามขึ้นมาจากแขนถึงหัวผม เป็นสัญญาณเหมือนเตือนว่าความซวยกำลังมาเยือน



ฮือ ชีวิต



เมื่อเขาเห็นผมแล้ว ผมได้แต่ยืนอยู่เฉยๆ เพราะผมรู้ว่าถึงหลบไปก็คงไม่พ้นไอขายาวๆ นั่นอยู่ดี ร่างสูงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม



“ เอ่อ คุณหว่องมาทำอะไรแถวนี้ครับ ” ผมเรียกนามสกุลเขาแทนการเรียกชื่อ ดูเป็นทางการขึ้นมาทันที



“ เรียกซะเต็มยศเชียว ว่าแต่นายมาทำอะไรที่นี่ ”



“ ผมมาสัมภาษณ์งานครับ ” อีกฝ่ายหืออือในลำคอ ก่อนที่ผมจะตั้งตัว แขนของผมก็ถูกเขาดึงลากไปอีกทางหนึ่ง ผมตกใจขัดขืน แต่ก็ไม่สามารถดึงแขนตัวเองออกจากมือของเขาได้ มือหรือคีมวะ แน่นจริง!



ผมถูกไอมือปลาหมึกตรงหน้าลากไปโดยไม่มีหยุดเลย ขาที่เริ่มเมื่อยเพราะเดินมาสักพัก



“ คุณจะพาผมไปไหนเนี่ยครับ ”



“ เออน่า มากับฉันแปปนึง ” คุณแดเนียลตอบพลางเปิดมือถือขึ้นมากดอะไรๆ สักพัก ก่อนสีหน้าพึงพอใจจะปรากฏบนหน้า นี่ขนาดผมเห็นแค่ด้านข้างยังสามารถบรรยายสีหน้าได้ขนาดนี้ ก็เพราะเจ้าตัวเล่นยิ้มกว้างขนาดนี้น่ะสิ ช่วยดูกูข้างหลังด้วยครับ หอบแล้วโว้ย!



“ อ้ะ ถึงแล้ว ” ผมยืนหยุดหอบเล็กน้อย เมื่อโดนลากมาถึงที่หมาย สถานที่ด้านหน้าผมนั้นมีผู้คนมากมาย ทั้งต่างชาติทั้งคนไทย บ้างก็นั่งรอ บ้างก็ต่อแถวที่เคาท์เตอร์ด้านหนึ่ง บ้างก็ยืนกดอะไรซักอย่างบนตู้ที่เรียงรายกันอยู่สี่ห้าตู้ บ้างก็ยืนต่อแถวซื้อน้ำซื้อป็อปคอร์น



ใช่แล้วครับ นายนี่มันมาผมมาที่โรงหนัง



“ คุณก็บอกผมดีๆ สิครับว่าจะมาโรงหนัง ไม่เห็นต้องลากมาขนาดนี้เลย ” ผมส่งสายตาขุ่นไปให้อีกฝ่ายที่ยืนทำหน้าระรื่น แถมยังไม่รู้ร้อนรู้หนาวว่าคนอื่นเขาเหนื่อยขนาดไหน ร้อนก็ร้อน



“ ก็ถ้าบอกดีๆ นายจะตามมาไหมล่ะ เห็นทำหน้าอย่างกับเห็นผีตอนเห็นฉันขนาดนั้น ”



“ กะ ก็มัน เอ่อ ตกใจ ” ผมอึกอักตอบไป ใครมันจะไปบอกล่ะว่าตั้งแต่รู้ความจริงผมก็อึดอัดใจมาตลอด ด้วยความที่มีอดีตที่ไม่มีนัก มันทำให้ผมระแวงตลอดเวลา ถึงแม้ว่าจะไปร่ำเรียนต่อสู้มาเก่งกาจขนาดไหนก็ตาม



“ เห็นไหมล่ะ เพราะงั้นอย่ามาโทษฉัน นายทำตัวเองต่างหากล่ะ ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็ลากผมไปอีกเช่นเดิม จัดการจองตั๋วให้ผมเสร็จสรรพโดยไม่มีการผมเลยว่าผมอยากดูหรือเปล่า แต่ผมก็อยากนั่นแหละ เพราะแอบเห็นตอนที่เขาจองเป็นเรื่องที่ผมอยากดูอยู่พอดี ผมจึงไม่ได้หืออืออะไร ดูฟรี ช่างมันละกัน



“ นายเอาป็อปคอร์นรสอะไร ” คุณแดเนียลหันมาถามผม ขณะที่ต่อแถวมาถึงหน้าเคาท์เตอร์



“ อะไรก็ได้ครับ ชีสก็ดี ” ผมตอบไป หูแว่วได้ยินเสียงขบขำจากร่างสูงข้างหน้า ผมทำหน้ามุ่ยอัตโนมัติ พอซื้อเสร็จเราก็พากันเข้าไปในโรงหนัง ว่าให้ถูกคือมือขวาเขายังคงลากผมอยู่แม้ว่าเจ้าตัวจะถือของพะรุงพะรังก็ตาม กลัวผมหนีหายหรือไงกัน





ผมยังตื่นตะลึงกับตอนจบที่หักมุมอย่างไม่น่าเชื่อ ส่วนไอคุณแดเนียลที่เป็นตัวตั้งตัวตีในการดูหนังครั้งนี้ก็มัวแต่คุยโทรศัพท์ตั้งแต่ออกจากโรงหนัง ผมยืนรออยู่ข้างหน้า หัวก็ยังนึกถึงหนังที่เพิ่งดูมา ถึงแม้หนังจะมีเอ็นเครดิตตั้งสองครั้งทำให้ผมต้องรอดูก็ตาม คนอินกับหนังจะเข้าใจอารมณ์แบบนี้นะครับ



ร่างสูงที่ยังยืนคุยโทรศัพท์ด้วยหน้าตาแอบเคร่งเครียดนิดๆ เด่นมากท่ามกลางผู้คนรายล้อมไปมา อาจจะเป็นเพราะความสูงของเจ้าตัวที่ออกจะเกินมาตรฐานไปนิดสำหรับคนเอเชีย รูปร่างสมส่วนคงอาจจะเป็นเพราะออกกำลังกายด้วยหรือเปล่าผมก็ไม่แน่ใจ จริงๆ แล้วหน้าตาเขาไม่ได้ถือว่าหล่อเหลามาก มีก็แต่ตาชั้นเดียวที่ติดออกจะคมขรึมนั่นที่มีเสน่ห์เวลามันเปล่งประกายเมื่อมองมาสบตา แต่ดูโดยรวมแล้วก็คือดูดีนั่นแหละ



ผมยืนมองเงียบๆ ด้วยความที่ชอบสังเกต ทำไมทุกคนที่รายล้อมผมมันดูดีกันไปหมดเลยฟระ ฮึ่ย อารมณ์เสีย



“โทษที พอดีสายเข้าเลยคุยนานเลย ” คนที่ผมเพิ่งจะชมเดินเข้ามาหา สีหน้าเกรงอกเกรงใจ ทีตอนลากผมมายังไม่เห็นเป็นงี้มั่งเลย



“ ไม่เป็นไรครับ อันที่จริงถ้าคุณยุ่งก็ไม่เห็นต้องลากผมมานี่เลยก็ได้นะครับ ”



“ ก็เดี๋ยวจะไม่ได้เจอแล้ว ”



“ อะไรนะครับ ” เจ้าตัวพึมพำเบาๆ ทำให้ผมไม่ได้ยิน จึงเงยมองใบหน้าคมนั้นเพื่อย้ำถามอีกครั้ง



“ ก็ฉันไม่มีเพื่อนดูนี่นา ไอแสงก็หายหัวไปหาแฟน มันบอกว่าเดี๋ยวรีบกลับมา ฉันจึงมาเดินเล่นจนเจอนายเข้า ” เจ้าตัวพูดพลางยักไหล่ ทำให้ผมคิดว่ามันคงเป็นความผิดของผมที่ไปโผล่ตรงนั้นเอง



“ ไอแสงมันก็เป็นเงี้ยแหละครับ คุณควรจะชิน ”



“ สรุปแล้วนายจะไปส่งฉันใช่ไหม ” อยู่ๆ คุณแดเนียลก็เปลี่ยนเรื่อง ทำเอาผมที่เดินอยู่ชะงักกึก ผมหันมามองร่างสูงข้างตัว แล้วคิดในใจว่าทำไมมันถึงช่างขยันโยนปัญหามาให้ผมจังวะ! ผมถอนหายใจเบาๆ



“ ไปก็ไปครับ แต่ไอแสงต้องขับพาผมไปนะครับ เพราะผมขี้เกียจขับรถไป ”



“ ได้เลย เดี๋ยวฉันบอกมันให้ รับรองไปรับถึงบ้าน ” มันได้ด่าผมเข้าให้ด้วยน่ะสิ ให้ตายเถอะ แต่ถามว่าผมทำอะไรได้มั้ย



“ ครับๆ ” ก็ทำอะไรไม่ได้ไง แล้วก็ได้แต่ละเหี่ยใจเบาๆ















“ ไอรัก ”



“ หือ ”



“ มึงว่าไอคุณญาติกูเนี่ย แปลกๆ กับมึงหรือเปล่าวะ ” ไอแสงเพื่อนผมถามขึ้นขณะที่เรากำลังอยู่ในรถมุ่งหน้าไปสนามบิน ซึ่งมีไอคุณแดเนียลกอดอกไขว่ห้างเป็นคุณชายอยู่ข้างหลัง



“ ทำไมถามอะไรแบบนั้นวะ ”



“ ไม่รู้ว่ะ กูแค่รู้สึกทะแม่งๆ แปลกๆ เนี่ย ตั้งแต่กูขับออกจากบ้านมาเขาก็เอาแต่จ้องมึงเนี่ย ”



ด้วยความอยากรู้อยากเห็นของผม ผมจึงหันกลับไปมอง ก็เจอกับสายตาเป็นประกายที่จ้องมาก่อนอยู่แล้ว แถมจ้องไม่หลบด้วย ผมก็เลยสะดุ้งไปนิดหนึ่ง (นิดหนึ่งจริงๆ นะ) หันกลับมาก็มาเจอสายตาอีเพื่อนทรพีนี่จ้องอยู่อีก มึงไม่ต้องข่งไม่ต้องขับรถหรือไง ไอบ้าเอ้ย



“ เห็นแมะ ใช่อย่างที่กูพูดหรือเปล่า ”



“ กูจะไปรู้ญาติมึงเหรอ กูก็ถูกเขาเล่นตั้งแต่เจอแล้วเนี่ย ”



“ หึๆ มึงไปอ่อยเขาไว้หรือเปล่าล่ะ โอ้ย ” ผมหันขวับไปตบหัวมันทีนึง แก้หมั่นไส้ คิดมาได้ไงผมไปอ่อย แมนทั้งแท่งแบบผมเนี่ยนะ เฮอะ ไม่อยากจะเซดให้ปวดเฮด



“ เจ็บนะโว้ยไอเวร ”



“ เออ ตีให้เจ็บไง ขับรถไปไม่ต้องเวิ่นเว้อ ”



“ กูก็แค่สงสัยได้มั้ยล่ะ ทีเมื่อก่อนแม่งไม่เห็นจะสนใจมึงขนาดนี้เลย ”



“ เมื่อก่อนอะไร ” ผมหันขวับไปถามด้วยความสงสัย ผมเคยเจอคุณแดเนียลนี่มาก่อนเหรอวะ



“ เอ้า จำไม่ได้เหรอวะ สมองปลาทองเปล่าวะมึงเนี่ย ”



“ ลีลา รีบๆ เล่ามาดิ๊เฮ้ย ”



“ ก็เมื่อก่อนตอนมัธยมไง จำได้มั้ย ที่ว่ากูเคยพามึงมาแนะนำให้ญาติกูเนี่ย เรายังเคยไปเที่ยวเล่นด้วยกันอยู่เลย ” คำพูดของมันทำให้ผมต้องรำลึกนึกย้อนกลับไปตอนช่วงมัธยม





‘ ไอรัก นี่ญาติกู ที่เล่าให้ฟังอ่ะ ’



‘ ไฮ ’ ญาติของไอแสงเอ่ยทักทายผมด้วยความเป็นมิตร ผมยิ้มให้เล็กน้อย



‘ มึงพูดอังกฤษไม่ได้ มึงก็พูดจีนกับเขาแล้วกัน เขาพูดได้ทั้งสองภาษาเลย ’



‘ ได้ๆ แล้วนี่เขามาอยู่ถาวรเลยเหรอ ’



‘ ไม่หรอก แค่มาเที่ยวเฉยๆ อาทิตย์เดียวเอง ’



ผมหันไปทางอีกคนที่ความสูงเกินกว่ามาตรฐานเด็กในวัยเขา หน้าตาเขายิ้มแย้มเป็นมิตร ผมมองอยู่สักพัก ก่อนที่เสียงของเพื่อนผมจะพูดตัดบทขึ้นมา



‘ นั่นแหละ ต่อจากนี้ไปกูคงต้องชวนเขาไปเที่ยวกับเราบ่อยๆ นะเว้ย ’



‘ เฮ้ย ไม่มีปัญหาเลยเว้ย กูสบายๆ อยู่แล้ว ’



‘ เออลืมบอกไป เขาชื่อเล่นชื่อ แดน นะ ’





‘แดน’

ผมนั่งนิ่งทวนชื่อนี้ไปมาในหัว ก่อนที่ใบหน้าของเด็กชายคนคนหนึ่งที่เคยจับหน้าจับหัวผมไปทั่วตอนเจอกัน จะปรากฏขึ้นในความคิด



“ เฮ้ย นี่แดนเหรอ! ” ผมร้องขึ้นอย่างตกใจ หลังจากที่นึกจำความหลังได้แล้ว



“ เออ นั่นแหละ นั่นชื่อเล่นเขา ชื่อจริงชื่อ แดเนียล หว่อง ตอนนั้นเขาใช้ชื่อเล่นเฉยๆ ไง มึงเลยคงไม่คุ้น ”



“ เชี่ยย พูดจริงเปล่าเนี่ย ”



“ จริงดิ ไม่งั้นมึงลองถามเขาได้เลย ” ผมเลยหันไปหาไอแดน หรือคุณแดเนียลในปัจจุบันอีกครั้ง



“ เอ่อ คุณคือแดนเหรอครับ ”



“ จำได้แล้วเหรอ ” น้ำเสียงเย้าแหย่เล็กน้อย ผมจึงเริ่มไม่สบอารมณ์ขึ้นมาเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาตั้งแต่เจอเขาเมื่อวันก่อน เจ้าตัวก็แสดงไหลลื่นจนผมคิดว่าเพิ่งจะเจอกันครั้งแรก มันน่าเบิ๊ดกระโหลกนั่นซักทีมั้ยล่ะนั่น



“ แล้วทำไมคุณถึงไม่บอกผมล่ะ ปล่อยให้ผมโง่อยู่ตั้งนาน ”



“ ก็ซื่อบื้อเองทำไมล่ะ ” เออ ไม่เถียงแล้วก็ได้ วุ้ย หมดอารมณ์



“ ฉันล้อเล่นน่า ทำเป็นจริงจังไปได้ ก็ฉันเห็นนายจำฉันไม่ได้ เหมือนไอแสงมันก็ไม่ได้บอกนายเลย ฉันก็เลยเลยตามเลย เผื่อนายจะจำได้เอง ” เรื่องโยนขี้เป็นเรื่องถนัดของคุณเขาสินะ



“ ครับๆ ผมมันซื่อบื้อเองครับ ” แต่เจ้าตัวก็เพียงแค่ยักไหล่ บ่งบอกว่ายอมรับสินะ โว้ย!



“ ปกติเธอเล่นอะไร ”



“ ครับ? ”



“ หูตึงเหรอไง ”



“ โว้ย แล้วคุณหมายถึงเล่นอะไรล่ะ ” คุณแดเนียลหัวเราะเมื่อแหย่ผมให้อารมณ์ขึ้นได้



“ โซเชียลน่ะ ”



“ ปกติผมเล่นทั่วล่ะครับ คุณเล่นอะไรล่ะ ” คุณเจ้าไม่พูดพร่ำทำเพลง จัดการคว้ามือถือจากมือผมไปกดนู่นกดนี่ พอผมรู้ตัวอีกทีมันก็แอดผมเป็นเพื่อนเรียบร้อย โดยที่ผมยังไม่ทันตั้งตัว แถมพอคืนมือถือผมเสร็จยังยิ้มหน้าระรื่นให้อีก ตอนนี้เราก็มีช่องทางการติดต่อกันแล้ว ผมก็ไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกับเขาอยู่ดีนั่นแหละ แต่ช่างเถอะ มีไว้ก็ไม่เสียหาย โดยมีไอแสงทำหน้าทำตาลิ่วล้อไปตลอดทาง



เราสามคนมาถึงสนามบินใกล้ๆ เวลาที่คุณแดเนียลจะเช็คอิน ผมกับไอแสงปล่อยให้เขาเข้าไปทำธุระอะไรของเขา เราก็ยืนรออยู่ข้างนอก สักพักเขาเดินออกมายืนอยู่หน้าผม ทำท่าทางเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ไอแสงก็พูดล่ำลาเขาตามปกติ กอดกันเบาๆ ตามประสาคนสนิท ทำท่าจะเนียนเข้ามากอดผมอีกคน ผมรีบยกมือห้าม กับผมไม่สนิทนี่อย่าลามปามนะครับจะบอกให้ ไอแสงหยิบมือถือขึ้นมารับสายแฟนมันที่โทรเข้ามา ผมกับเขาก็เลยต้องเผชิญหน้ากันสองคนอีกแล้วล่ะครับ



“ ทักมาด้วยนะ ” เป็นคุณแดเนียลที่ทำลายบรรยากาศแปลกๆ นี้ก่อน



“ เอ่อ จะให้ผมคุยอะไรล่ะครับ ”



“ ทักมาก็พอ ”



“ ได้ครับๆ เดี๋ยวผมจะทักไปนะครับ ” เขาไม่ได้พูดอะไร แต่ยื่นมือมายีหัวผมเบาๆ อมยิ้มที่มุมปาก



“ เฮ้ย อย่ายุ่งกับหัวผมน่า ยุ่งหมดแล้วเนี่ย ”



“ ปกติเคยไม่ยุ่งด้วยเหรอ ”



“ นั่นเขาเรียกว่าเซ็ตครับ สไตล์วัยรุ่นน่ะ เข้าใจไหมครับ ”



“ อ้อเหรอ นึกว่าทรงตื่นนอนเฉพาะของนายซะอีก ”  ไอ้กวนตีนนนนนน



“ อะแฮ่มๆ ขออนุญาตขัดจังหวะฟุตฟิตฟอไฟนะครับ ” ไอแสงพูดแทรกขึ้นมา ทำให้ผมตกใจต้องยืนออกห่างจากไอหมี



“ จังหวะอะไรของมึงวะไอแสง แฟนมึงไม่ว่างคุยด้วยเหรอ ถึงมีเวลามาล้อคนอื่น ”



“ แหม ก็เห็นหวานหยดย้อยเหมือนโลกนี้มีแค่สองคนขนาดนี้ กูก็อิจฉาเบาๆ ”



ผมชูนิ้วกลางแทนคำตอบ แต่อยู่ๆ ญาติของแสงก็ยื่นมือมาตีมือผมดังเพลี้ย เล่นทำเอาผมกับไอแสงตกใจ แต่ฝ่ายหลังนั้นดูจะมีความสุขมาก เพราะหัวเราะไม่หยุด ผมเลยได้แต่ส่งสายตาขุ่นเคืองออกไปให้คนตี โดยที่พูดอะไรไม่ได้ (อีกตามเคย)



ตอนนี้ภารกิจส่งคนสำคัญระดับชาติขึ้นเครื่องก็เสร็จไปเป็นที่เรียบร้อย จากนี้ไป ผมคงจะได้กลับไปมีชีวิตที่เป็นสุขเหมือนเดิมแล้วสินะ (หรือเปล่า)



ฮือ ชีวิต



โปรดติดตามตอนต่อไป....


งุ้ยยยย ครั้งนี้ช้าไป 2 วัน ไอ แอ โซ ซอรี่ มากมากเลยนะฮะ

ที่ช้าคือมีคนยืมคอมไป เก๊าไม่ผิดน้า อย่าว่าเก๊าาา



เจอกันพุธหน้าเหมือนเดิมจ้า
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด #เนตรรัก >>> อัพเดต ตอน 7 (05/06/63)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 05-06-2020 22:35:57
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด #เนตรรัก >>> อัพเดต ตอน 8 (10/06/63)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหมีวุ่นวาย ที่ 10-06-2020 16:07:18
ตอนที่ 8
" ผมชื่อ แดเนียล หว่อง "




ผมเป็นคนฮ่องกงแต่กำเนิด



ตั้งแต่จำความได้ผมก็เห็นหน้าค่าตาไอแสง ญาติน้องของผมตั้งแต่เด็กแล้วล่ะ เพราะบ้านเราค่อนข้างที่จะสนิทกันมากกว่าญาติคนอื่นๆ ที่จะนานๆ ทีจะติดต่อมา และเวลาจะติดต่อมาแต่ละครั้งต้องมีเรื่องมาให้ปวดหัวตลอดๆ พ่อผมจึงไม่ค่อยยุ่งกับญาติคนอื่นๆ ซักเท่าไหร่ แต่กับบ้านไอแสงนั้นสนิทมาก ถึงจะเป็นญาติห่างๆ แต่ต่างฝ่ายต่างก็ช่วยเหลือกันมาตลอด ผมกับไอแสงจึงได้เห็นหน้ากันบ่อยเพราะบ้านเราไปมาหาสู่กันปีละครั้งสองครั้งไม่เคยขาด



และนอกจากครอบครัวและเพื่อนสนิทผมแล้วมันก็ดันรู้ด้วยว่าความจริงแล้ว ผมน่ะไม่ชอบผู้หญิง



จริงๆ แล้วผมก็ไม่ค่อยอยากให้ใครรู้เยอะหรอกเรื่องแบบนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะไอแสงบังเอิญมาเห็นช็อตเด็ดของผมกับ (อดีต) แฟนตอนนั้นเข้า ผมก็คงไม่ต้องอธิบายให้มันฟัง เฮ้อ ลำบากใจจริงๆ



แต่มันก็ไม่ได้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านกับสิ่งที่ผมเป็นแต่อย่างใด ซ้ำมันยังดูสนใจด้วยซ้ำ มันบอกกับผมว่ารอบข้างมันไม่เคยมีใครเป็น (หรืออาจจะเป็นแต่มันไม่รู้) เลยถามนู่นถามนี่ยกใหญ่ แต่พอผมบอกประโยคเดียวว่าให้มันลอง มันส่ายหน้าจนผมกลัวว่าคอมันจะหลุด





ปีนั้นเป็นปีที่ประเทศไทยร้อนมาก (ปกติมันก็ร้อนทุกปีนั่นแหละ) ผมเดินทางมาหาไอแสงตามเคย เพราะเป็นช่วงที่โรงเรียนปิดเทอม และผมกะว่าจะพักอยู่เที่ยวกับมันซักหนึ่งอาทิตย์ จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่ว่าผมอยากเที่ยวหรอก แต่ผมหนีพ่อมาต่างหาก ผมเบื่อที่จะทะเลาะกับพ่อเรื่องแม่เลี้ยงเลยหนีมาซะเลย



ไอแสงรู้เหตุผลเลยด่าผมซะยกใหญ่ ดึงดันจะโทรหาพ่อผม แต่ผมก็ขอร้องนานมากกว่ามันจะยอมวางมือ แต่ก็ยังไม่วายให้ผมรีบติดต่อไปบอกพ่อผม



แต่ถามว่าผมทำไหม ก็ไม่ (จนถึงตอนนี้มันยังไม่รู้เรื่องเลย)



เราเที่ยวเล่นกันตามปกติ แต่ปีนั้นกลับพิเศษกว่าปีอื่นๆ ผมได้รู้จักกับเพื่อนใหม่ของไอแสงที่มันย้ำนักหนาว่าจะพามาอวด ผมก็ได้แต่หมั่นไส้กับท่าทีของมัน แต่ก็อดตื่นเต้นที่จะได้รู้จัก ก็ผมไม่รู้จักใครที่ไทยนอกจากครอบครัวของไอแสงเลยนี่นา



พอผมได้เจอจริงๆ ผมก็พบว่า…



มันน่ารักมากกก ตัวเล็กๆ หน้าขาวๆ แต่ไม่ถึงกับขาวมาก หน้าตาดูออกไปทางตี๋ๆ ความน่ารักของมันก็ไม่ได้ว่าหน้าตาจิ้มลิ้ม ตาโตๆ ปากแดงๆ อะไรเทือกๆ นั้น แต่ไม่รู้สิ พอผมจริงๆ ผมกลับรู้สึกแบบนั้นไปแล้ว



ผมถึงกับอดใจไม่ไหวลูบหน้าลูบตาเขาไปยกใหญ่ จนเจ้าตัวตกใจเผลอต่อยหน้าผม ไอแสงที่ยืนอยู่ข้างๆ รีบมาห้ามแถบไม่ทัน แต่ผมก็ไม่ได้โกรธอะไรมันหรอกนะ ก็คงจะเอ็นดูนิดๆ ด้วยความที่มันอายุน้อยกว่า (แต่หมัดมันก็หนักจริงๆ ขัดกับรูปร่างเลย)



วันนั้นไอแสงถึงกับมาขู่ฟ่อบอกกับผมว่าอย่าแตะต้องเพื่อนมันเป็นอันขาด โถ เด็กน้อย



มันชื่อ รัก ครับ ตอนที่มันแนะนำชื่อมันกับผมเป็นภาษาจีน (เพื่อนของมันคนนี้พูดอังกฤษไม่ได้ ต้องพูดจีนกันผมอย่างเดียว) ผมถึงกับขำเพราะเหมือนมันกำลังบอกรักผมซะเหลือเกิน



แต่ถึงแม้ว่าแรกเจอจะไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ แต่เขาก็เป็นคนเข้ากับคนง่าย กับผมเขาอาจจะไม่ค่อยเล่นด้วย แต่ด้วยความดี (ด้าน) ของผมที่ตื้อเข้าหาบ่อยๆ เล่นจนเขาค่อยๆ ชินและยอมคุยกับผมอย่างสนิทใจขึ้น



ตั้งแต่นั้นมาเราสามคมก็เที่ยวเล่นกันบ่อยๆ เฮฮากันไปจนผมเริ่มที่จะติดเขาแทนไปโดยไม่รู้ตัว



วันนั้นตอนก่อนนอน ผมจำได้ว่าแสงมาเล่าให้ผมฟังว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งมาจีบ มาเพ้อมาเล่าให้ฟังซะเว่อวังว่าสวยอย่างนั้นดีอย่างนี้ ผมก็ได้แต่ฟังแล้วก็เออออไป คิดว่าถ้าญาติผมชอบเขาก็โอเค



วันรุ่งขึ้นผมไปรอเขาที่โรงเรียนตอนหลังเลิกเรียนตามปกติ เพื่อจะกลับบ้านด้วยกัน แต่รู้สึกนานผิดปกติจึงเดินเข้าไปตามหาข้างใน ขณะที่เดินผ่านตรงสวนหลังโรงเรียน ผมเหมือนได้ยินเสียงคนเอะอะโวยวาย เลยลองไปดู



ปรากฏว่าตรงหน้าผมคือคนที่ผมตามหาอยู่นั่นแหละ แต่ที่ผมตกใจคือมันกำลังโดนกลุ่มเด็กชายน่าจะโตกว่าหรือเปล่าไม่แน่ใจรุมกระทืบอยู่ ผมกำลังจะวิ่งเข้าไปห้าม แต่สายตาดันเหลือบไปเห็นคนคนหนึ่งที่แอบอยู่หลังเสาซะก่อน



เพื่อนของไอแสงนั่นเอง ยืนทำตาแดงๆ เหมือนพยายามจะกลั้นสะอื้น ดูน่าสงสารกว่าไอแสงซะอีก ยืมมองมันสักพัก ในใจก็รู้สึกโหวงๆ แบบบอกไม่ถูก อยู่ๆ มันก็ลุกลี้ลุกลนรีบเดินกึ่งวิ่งเข้าไปในตัวอาคาร น่าจะไปตามครู ผมจึงรีบเข้าไปช่วยแสง สะบักสะบอมอยู่พอสมควรกว่าจะช่วยออกมาได้



พอครูมาเห็นก็ตกอกตกใจใหญ่ ถามอาการและสาเหตุของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็ได้ความว่าเพื่อนผมไปจีบหญิงที่เป็นแฟนของหนึ่งในเด็กชายพวกนั้น แต่พอไปๆ มาๆ ก็กลายเป็นว่าฝ่ายหญิงเป็นคนยอมรับเองว่าไปจีบก่อน เรื่องเลยกลายเป็นว่าญาติผมถูกกระทืบฟรีๆ เพราะสุดท้ายแล้วไม่ได้อะไรเลย นอกจากเจ็บตัวและเจ็บใจ



พอจบเรื่อง เพื่อนของแสงที่ยังตาแดงๆ อยู่นั้นรีบเข้ามาช่วยพยุงไอแสง แต่เหมือนไม่เห็นผม ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะอาการผมเบากว่าไอแสงเยอะ ผมเลยเดินตามมันเงียบๆ ทั้งที่ภาพที่มันยืนกลั้นน้ำตายังอยู่ในหัวของผม กลับมาถึงบ้านก็โดนพ่อแม่แสงโวยวายใหญ่ แต่เรื่องก็จบไปด้วยดี หลังจากนั้นไอแสงก็กลับมาร่าเริงเหมือนเดิม เพื่อนของแสงคนนั้นก็ยังมาเที่ยวเล่นกับเราเหมือนเดิม หลังจากที่มันรู้ว่าผมเป็นคนไปช่วยแสง มันก็ชื่นชมผมใหญ่จนผมแอบเขินหน่อยๆ ผมอดไม่ได้ที่จะคิดว่าท่าทางที่มันชื่นชมผมนั้น…น่ารัก



และจากนั้นผมก็เริ่มสนิทกับรักมากขึ้นไปอีก รู้ตัวอีกทีผมก็เผลอไผลกับมันไปซะแล้ว



แต่โชคร้ายที่มันถึงเวลาที่ผมต้องกลับเสียก่อน



ผมเสียดายมากที่ผมกับรักกำลังจะสนิทกันแท้ๆ แต่สุดท้ายก็ต้องหยุดไว้ พอกลับไปถึงบรรยากาศเดิมๆ ที่แสนจะน่าเบื่อ ผมก็แปลกใจที่ผมกลับคิดถึงรักมากกว่าที่ผมจะคิดถึงไอแสงด้วยซ้ำ ผมกับแสงยังติดต่อกันเรื่อยๆ และทุกครั้งผมก็อยากจะถามถึงเพื่อนของมัน แต่ก็ไม่กล้า ได้แต่ฟังที่มันเล่ามาเอง และก็เก็บความคิดถึงเอาไว้



เผื่อสักวันจะได้กลับไปเจอมันอีกครั้ง



และหลังจากนั้นที่บ้านผมก็เกิดเรื่องวุ่นวายมากมายก่ายกอง จนถึงขี้เกียจจะไปจำ ผมจึงไม่ได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมไปแสงไปนานเลยทีเดียว





จนเวลาผ่านมาเป็นสิบปี นานมากในความรู้สึก แม้ความคิดถึงจะเจือจางลงไปมาก แต่ความทรงจำทุกๆ อย่างยังคงชัดอยู่ในใจของผม ผมได้กลับมาเยือนประเทศไทยอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้กลับมาตั้งแต่มัธยม หลายๆ สิ่งเปลี่ยนไป ไม่เว้นแม้แต่เพื่อนของแสง....รัก คงจะจำผมไม่ได้แล้วล่ะมั้ง



ผมได้กลับมาอยู่บ้านของแสงอีกครั้งหลังจากที่ไปทำธุระเสร็จ ครั้งนี้ผมมากระทันหันเพราะไม่ได้เตรียมการมาล่วงหน้า แถมต้องรีบกลับไปเคลียร์บทความให้เสร็จก่อนจะถึงเดดไลน์ส่งต้นฉบับอีก แสงบอกว่าติดธุระ (เรื่องสาวๆ ของมันนั่นแหละ) จึงให้คนอื่นมาดูแลผมแทนไปพลางๆ ก่อน ผมก็ไม่ได้เดือดร้อนใจอะไร แค่คิดว่าจะพักผ่อนซักวันสองวันก็จะกลับฮ่องกงแล้ว และระหว่างที่ผมนั่งมองไอแสงเดินจ้าละหวั่นในห้องโทรเคลียร์กับสาวด้วยความละเหี่ยใจ



แต่แล้วอยู่ๆ คนที่อยู่ในความทรงจำของผมมาตลอดก็ปรากฏตรงหน้าผมอีกครั้ง



‘สวัสดีครับ’



ตึก ตึก



ความสั่นไหวใจในนี่มันอะไรกันนะ







โปรดติดตามตอนต่อไป....


ความในใจของขุ่นพี่แดเนียลข่า

คนแมนๆ เขาก็มีมุมใจเต้นสั่นไหวอยู่นะเออ



เจอกันพุธหน้าเหมือนเดิมจ้า

 :katai2-1:

หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด #เนตรรัก >>> อัพเดต ตอน 8 (10/06/63)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 10-06-2020 22:28:27
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด #เนตรรัก >>> อัพเดต ตอน 9 (22/06/63)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหมีวุ่นวาย ที่ 22-06-2020 14:52:56
ตอนที่ 11
" เข้ามาทำอะไรในห้องฉัน "






และแล้วก็ถึงวันที่จะเปลี่ยนชีวิตผมไปตลอดกาล ใช่ครับ ภายในวันนี้ผมต้องให้คำตอบกับคุณผาภูมิซึ่งก็คือประธานบริษัท โอฬาร กรุ๊ป หรืออีกอย่างหนึ่งก็คือคุณพ่อของ 'คุณเนตร' ซึ่งผมก็ยังไม่เคยเห็นน่าค่าตาเลยซักที เมื่อคืนผมก็คิดสมองแทบแตกไปทั้งคืนจนนอนไม่หลับ คุณแดเนียลก็ไมรู้ว่าเหนื่อยบ้างหรือเปล่านั้น เอาแต่ทักมาจนผมไม่ได้นอนอีก ไม่รู้จะอะไรนักหนา วันนี้ถ้าจะมีคนทักว่าผมเป็นผีดิบก็คงต้องกล้ำกลืนฝืนทนยอมรับมัน



ผมเอาแต่จดจ้องมือถือบนโต๊ะอยู่นานสองนาน ถ้ามันมีชีวิตคงท้องโย้ไปแล้วแหละ เอาจริงๆ ผมยังตัดสินใจไม่ได้เลยให้ตาย งานอื่นก็ไม่มีติดต่อมาเลยซักงาน เมื่อวานระหว่างทางกลับบ้าน ผมก็เล่าเรื่องนี้ให้ไอแสงฟัง มันก็หัวเราะเอิ้กอ้าก บอกว่าผมขี้โม้ แต่ผมทำหน้าจริงจังจนมันเริ่มเครียดกับผมไปด้วย มันได้แต่บอกว่าให้ผมคิดดีๆ ถ้าจะรับ มันก็จะช่วยผมเท่าที่ช่วยได้ แต่ย้ำกับผมว่าอย่าขาดการติดต่อก็พอ ให้ทักมันไปทุกวัน ถ้าเป็นอะไรไปมันก็ได้ตีเนียนไปขอเป็นลูกอีกคนพ่อแม่ผมแทนผมเอง ดูมันสิ ไอเพื่อนเวร



“ เฮ้อ ” ผมถอนหายใจยาวเอนนอนลงไปบนโซฟา คิดจนหัวจะแตกอยู่แล้ว





ปิ๊งป่อง ปิ๊งป่อง





ใครมากดออดตอนนี้วะ คนกำลังเครียดอยู่เนี่ย

ผมเดินไปมองตรงช่องรูแมว แต่ก็ไม่เห็นใคร จึงเปิดประตูออกไป



“ สวัสดีครับ คุณณรักใช่ไหม ” อยู่ๆ ชายร่างสูงคนหนึ่งก็โผล่จากที่ไหนไม่รู้เข้ามาประชิดตัวผม โผล่มาแบบนี้กูตกใจหมด โธ่ แต่เอ๊ะ พอมามองหน้าแล้วหน้าคุ้นๆ แฮะ



“ เอ่อ เรารู้จักหรือครับ ”



“ ไม่รู้จักหรอกฮะ แต่เราเกี่ยวข้องกัน ถ้าไม่เป็นการรบกวน ขอผมเข้าไปหน่อยได้หรือเปล่า ”



“ เชิญเลยครับ ” และนี่กูก็ง่ายไปไหมวะเนี่ยเฮ้ย



ร่างสูงเดินเข้าไปในห้องโดยที่มีผมเดินตามอยู่ห่างๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะนั่งผลุบลงที่โซฟาด้านหนึ่งของห้อง ผมเดินเข้าไปในห้องครัวเพื่อหาน้ำหาท่าให้แขกกิตติมศักดิ์ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเป็นใครคนดีคนนี้



“ ขอบคุณฮะ ” เจ้าตัวเอ่ยขอบคุณเบาๆ กับผมเมื่อผมนำน้ำไปให้



“ เอ่อ คือ สรุปแล้วคุณมีธุระอะไรกับผมหรือครับ ”



“ พูดแบบกันเองกับผมก็ได้ ผมอายุน้อยกว่าพี่อีก ”



“ งั้นกูไม่เกรงใจละนะ ”



“ แบบนี้ก็คงจะเกินไปนะฮะ ” อืมมม เรื่องเยอะจังแฮะ



“ งั้นก็พูดปกติเถอะครับ ”



“ ก็ได้ฮะ คืองี้นะ เมื่อวานพี่ไปตึกโอฬารกรุ๊ปมาใช่ไหม จำผมได้ไหมที่ว่าพี่เอาแต่จ้องผมในลิฟต์อ่ะ ”



เดี๋ยวววนะ จำได้แล้ว นี่มันไอหน้าหล่อที่ทำให้ผมมองจนตามอดไหม้ด้วยความอิจฉานี่หว่า ก็ว่าทำไมหน้าคุ้นๆ โลกกลมจังเลยเว้ยเฮ้ย แล้วมันรู้จักผมได้ไงเนี่ย



“ จำได้แล้วๆ แล้วคุณรู้จักผมเหรอครับ ”



“ ก็ไม่รู้จักหรอกฮะ อย่างที่บอกเราเกี่ยวข้องกัน พี่ชายผม พี่เนตรน่ะแหละ พ่อผมวานให้พี่ดูแลพี่ผมใช่ไหมฮะ ”



“ เฮ้ย! นี่อย่าบอกนะว่า… ”



“ ใช่แล้ว ผมนันท์ครับ ชื่อนันท์นภัส เป็นน้องชายพี่เนตร ” โอ้ มาย ก็อด นี่มันปาร์ตี้ครอบครัวสุขสันต์เหรอไงว้า เมื่อวานเจอพ่อ วันนี้เจอลูกคนเล็ก เหลือแต่แม่กับไอตัวปัญหาใช่ไหมเนี่ย



“ แล้วนี่มาที่นี่ พ่อคุณรู้หรือเปล่าครับ ”



“ ไม่รู้ฮะ ผมแอบสืบที่อยู่ที่มาจากคุณเลขา ”



“ แล้วคุณมีอะไรกับผมหรือเปล่า ”



“ มีแน่นอน ผมอยากจะมาขอร้องให้พี่รับงานนี้เถอะ ”



“ ทำไมล่ะครับ คุณไว้ใจผมเหรอ เราไม่เคยรู้จักกันเลยนะครับ ”



“ บ้านผมตอนนี้กำลังเดือดร้อนมากฮะ ซึ่งพ่อกับแม่ผมก็หวาดระแวงตลอดเวลา กลัวว่าไอเลวนั่นจะกลับมาทำร้ายครอบครัวผมอีกรอบ ลำพังตัวผมน่ะยังไม่เท่าไหร่ ” คนพูดทำหน้านิ่งคิ้วขมวด มือข้างหนึ่งกำแน่น " แต่พี่ผมน่ะ เขาเป็นคนที่พ่อตั้งความหวังไว้มาก ผมคิดว่าถ้าเป็นแบบนี้ ต่อไปจะต้องลำบากแน่ๆ ”



“ จริงๆ แล้วผมเข้าใจนะครับ แต่ผมแค่ไม่มั่นใจ การที่จะไปคุ้มกันคนคนหนึ่งที่สำคัญขนาดนี้ มันไม่ง่ายเลยนะครับ ”



“ นั่นมันก็จริงแหละ แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ผมยังอยากจะขอร้องจริงๆ ให้พี่รับงานนี้เถอะฮะ ” เจ้าตัวไม่พูดเปล่า ยังเอื้อมมือมาจับแขนผมเบาๆ ท่าทางจะเป็นห่วงพี่ชายมากจริงๆ แต่ก็อย่างว่าแหละ ถ้าเกิดขึ้นกับคนรอบตัวผม ผมก็คงรู้สึกเหมือนกัน



“ ผมไม่รับปากนะครับว่าจะทำหน้าที่ได้ดีขนาดไหน ” ผมนิ่งคิดไปพักหนึ่ง ในหัวมีความคิดตีกันยุ่งเหยิงเยอะแยะไปหมด ก่อนจะถอนหายใจ ปลงตก “ เฮ้อ แต่ผมจะรับแล้วกันนะครับ ”



พอผมรับปากเสร็จ ไอเด็กนี่มันก็ชูมือร้องเยสซะเสียงดัง ทำให้ผมที่ตกใจเสียงร้องมันอยู่หลุดขำไม่ได้ มันก็ยิ้มเขินๆ เหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าหลุดออกไป เด็กหนอเด็ก



“ ถ้าอย่างงั้นเดียวผมรีบกลับไปบอกพ่อกับพี่เนตรทันทีเลย ผมขอบคุณพี่อีกทีนะฮะ ” ผมรีบรับไหว้แทบไม่ทัน ฮือ ไม่รู้กันบ้างหรือไง มึงอยู่สูงกว่าตูอีก พูดแล้วเศร้า



“ อ้อ แต่พี่ไม่ต้องห่วงนะฮะ พ่อกับพี่เนตรถึงจะหน้าดุก็จริง แต่ใจดีมากก ”



“ เอาเถอะครับๆ ผมไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นหรอกนะครับ ”











หลังจากที่ผมได้ให้คำตอบกับน้องชายของตัวปัญหาไป วันรุ่งขึ้นก็งานงอกเลยครับ ตอนเช้าผมกำลังจะออกจากคอนโดไปร้านสะดวกซื้อเพื่อตุนเสบียง ระหว่างที่ผมกำลังจะเดินลงบันไดหน้าคอนโด จู่ๆ ก็มีรถหรูยี่ห้อดัง (ที่ชาตินี้ผมก็ไม่รู้จะมีปัญญาซื้อหรือเปล่า) มาจอดเทียบท่าเลยครับ ไอผมก็ตกใจสิ นึกว่าจะมีใครมาลักพาตัวหรือเปล่า เหมือนในหนังอย่างนั้นอ่ะครับ แต่พอเห็นคนที่เดินลงมาแล้ว ต่อมรับรู้ของผมก็รู้ได้ทันทีเลยว่าต้องเกี่ยวกับไอตัวปัญหาแน่นอน เพราะคนที่ยิ้มแป้นลงมาจากรถนั่นไม่ใช่ใคร คุณเลขาคนดีนั่นเองครับ



เธอบอกว่าคุณภูผาวานให้เธอมารับตัวผมไปแนะนำตัวกับลูกชายเพื่อเตรียมตัวจะมาทำงานในอีกสองวันที่จะถึง รีบไปไหมครับคุณ หมดมู้ดไปซื้อของเลย แต่ถามว่าผมแย้งอะไรได้มั้ย ก็ไม่ (ชีวิตนี้กูเคยจะปฏิเสธใครได้บ้างไหม)



และตอนนี้ผมก็มายืนอยู่ตรงหน้าบ้าน ไม่สิ อภิมหาคฤหาสน์เลยดีกว่า ถ้าจะใหญ่โตขนาดนี้ ผมอ้าปากร้องว้าวตั้งแต่ทางเข้าแล้วครับ จะมีที่ไหนในกรุงเทพฯ ที่จะมีทางเข้าอย่างกับพระราชวังแวร์ซาย ไม่มี! อย่างกับพาผมมาทัศนศึกษาวิชาชีวิตคนรวยยังไงอย่างนั้น คุณเลขาจัดการพาผมเข้าไปรอในห้องรับแขก ก่อนที่ตนเองจะผลุบหายไปไหนไม่รู้ ปล่อยให้ผมนั่งหัวโด่ด้วยความรู้สึกทึ่งในตัวบ้าน คนที่สร้างบ้านหลังนี้จะต้องเป็นคนเดียวกับที่สร้างพระราชวังแวร์ซายแน่ๆ



“ หนูชื่ออะไรจ๊ะ ” เสียงนุ่มนวลใจดีของหญิงวัยกลางคนปลุกผมจากภวังค์วิมาน



“ ชื่อรักครับ ณรัก ”



“ ชื่อน่ารักจังเลยพ่อหนุ่ม ว่าแต่มาหาใครหรือคะ ” อ้าว สรุปแล้วคุณเลขาพาผมมาทำอะไรที่นี่กันแน่เนี่ย



“ คือ...คุณดาราลักษณ์พาผมมาแนะนำตัวกับคุณเนตรครับ ”



“ อ้อ หนูนั่นเอง น้าได้ยินมาบ้างแล้วล่ะ ตาเนตรอยู่ด้านบนแน่ะ แล้วคุณเลขาไปไหนซะล่ะ ”



“ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ เธอพาผมมานั่งตรงนี้แล้วก็หายไปไหนไม่รู้ครับ ” หญิงวัยกลางคนซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเป็นใครยืนมองผมสักพัก เงียบงันไม่ได้พูดอะไร ผมจึงเอ่ยถามชวนคุยเพื่อขจัดความเงียบตามนิสัยของผม



“ ว่าแต่คุณเป็นใครเหรอครับ ”



“ อ้อ น้าลืมแนะนำตัวไปสินะ ” เธอหัวเราะคิกคัก “ น้าเป็นแม่ของตาเนตรน่ะ ” นั่น ตัวละครตัวเกือบสุดท้ายได้เปิดเผยตัวตนออกมาแล้ว ที่เหลือก็คงเหลือแต่ไอตัวปัญหาสินะ ผมยกมือไหว้



“ หนูจะขึ้นไปหาตาเนตรใช่ไหมจ๊ะ ”



“ ใช่ครับ ”



“ งั้นตามน้าขึ้นมาเลยจ๊ะ เดี๋ยวน้าพาไปเองดีกว่า ” แม่ของคุณเนตรพูดพลางเดินออกจากห้องรับแขกไป ผมจึงเดินตามไป ไม่เร่งรีบ สายตาสำรวจไปรอบบ้าน มองขึ้นไปตามบันไดทางขึ้นสู่ชั้นสอง ชั้นนี้แบ่งออกเป็นปีกซ้ายกับปีกขวา ตามที่ผมเห็นน่าจะมีห้องไม่ต่ำกว่าห้าห้อง (รวมๆ แล้วเท่ากับบ้านตูทั้งบ้าน)



ผมเดินตามคุณน้ามายังห้องสุดท้ายทางด้านปีขวา หยุดเคาะประตูเบาๆ ก่อนจะเปิดประตูเข้าไป ผมหยุดรออยู่ข้างนอกตามมารยาท ที่ว่าห้องนอนเป็นห้องส่วนตัวของเจ้าของห้อง ไม่ควรเข้าไปก่อนที่จะได้รับอนุญาต ใครไม่ถือไม่รู้แหละ ผมถือละกัน



คุณน้าเดินเข้าไป ผมมองไม่เห็นว่าด้านในเป็นยังไง เพราะจากบริเวณประตูที่ผมยืนอยู่นั้น ผมเห็นแค่ทางเดินกว้างประมาณสามช่วงตัวคนยาวไปจนถึงหน้าต่างบานใหญ่ด้านใน ร่างวัยกลางคนเดินหายเข้าไปทางด้านขวา คงจะไม่เห็นผมล่ะมั้ง เลยเดินกลับมาแล้วกวักมือเรียกผม ผมถือว่านี่คือคำอนุญาต จึงเดินตามเข้าไป



จากหน้าต่างบานใหญ่ไปทางด้านขวามือ ก็เห็นเป็นห้องกว้างโล่งที่แบ่งเป็นสัดส่วน ห้องน้ำในตัว โต๊ะทำงาน ชั้นวางของเก๋กู๊ด ตู้หนังสือที่เต็มไปด้วยหนังสือมากมายและเตียงนอนคิงไซส์ที่ผมสามารถจินตนาการได้ว่าคงนอนได้เป็นสิบคนเลยทีเดียว ดูแล้วก็เหมือนห้องนอนทั่วไป แต่ที่มันไม่ทั่วไปเลยอาจจะเป็นกลิ่นอายความไฮโซของห้อง ส่วนผมที่มันไม่ไฮโซพอก็ได้แต่มองด้วยความอิจเบาๆ



“ เอ๊ะ ตาเนตรไปไหนแล้วล่ะ น้ายังเห็นอยู่เลยตอนก่อนลงไปข้างล่าง ” คุณน้าบ่นพึมพำเบาๆ พอให้ผมได้ยิน



“ อยู่ในห้องน้ำหรือเปล่าครับ ”



“ อืม น้าก็ไม่แน่ใจนะ ”



ก๊อก ก๊อก



“ คุณผู้หญิงคะ มีแขกมาพบท่านค่ะ ” เสียงสาวใช้ดังมาทางหน้าประตูห้อง



“ อ๊ะ จริงสิ น้านัดเพื่อนเอาไว้ งั้นเดี๋ยวหนูนั่งรอในห้องได้เลยนะจ๊ะ ตาเนตรน่าจะไม่ได้ไปไหน เดี๋ยวก็มาจ๊ะ ”



“ เอ่อ ได้ครับ ” ผมยกมือไหว้ลา เจ้าตัวรับไหว้ ยิ้มให้ผม จากนั้นก็เดินออกไป และแล้วก็เหลือตูคนเดียวในห้อง ไอตัวปัญหามันหายไปไหนวะ ผมที่ไม่รู้จะไปสถิตอยู่ตรงไหนก็ยืนเคว้งอยู่กลางห้อง





ผมเดินสำรวจห้องไปเรื่อย ไล่จากตู้หนังสือ หนังสือบริหารต่างๆ จนไปถึงหนังสือการ์ตูนที่ผมก็เคยอ่าน หืมม ไอนี่มันอ่านด้วยเหรอเนี่ย แสดงว่ารสนิยมผมก็พอๆ กับมันใช่ไหม โต๊ะทำงานก็เรียบๆ สะอาด มีอุปกรณ์จำเป็นแค่ไม่กี่อย่าง มีกรอบรูปสีเงิน ข้างในเป็นรูปของครอบครัว น่าจะเป็นคนที่ระเบียบน่าดู มองเถิบไปอีกก็เป็นหน้าต่างบานใหญ่ที่ผมเห็นตั้งแต่หน้าประตู มองออกไปก็เห็นเป็นสวนย่อมด้านหลัง มีต้นไม้ดอกไม้หลายชนิด พื้นหญ้าเขียวชอุ่ม ดูร่มรื่น อยากจะไปนอนเล่นตรงนั้นจังเลยน่า



เฮ้อ ช่างเป็นบ้านที่ดีอะไรอย่างนี้ (เอาหัวโขกหน้าต่างเบาๆ)



ผมดับความอิจที่บังเกิดในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า หันกลับมาเพื่อหาที่สิงสถิตซักที ก่อนที่สายตาจะป๊ะกับอะไรขาวๆ ตรงหน้า มีหยดน้ำเกาะอยู่ประปราย และจุดสองจุดสีชมพูทางด้านซ้ายและขวา ใช่แล้ว มันคือหน้าอกคน! ขาวด้วย! ผมพยายามกลืนน้ำลายด้วยความยากลำบาก ไล่สายตาขึ้นไปช้าๆ ผ่านลำคอขาวผ่อง คาง ริมฝีปากหยักได้รูป จมูกโด่งสวย และ…



ดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นที่ตรึงสะกดสายตาผม



ผมจ้องใบหน้าที่น่าหลงใหลนั้นอยู่นาน จนร่างขาววิ๊งตรงหน้าเลิกคิ้ว ผมสะดุ้งตัวเบาๆ สติสตังที่ไม่ค่อยจะมีกลับเข้าร่าง ถอยหลังกรูด ฮือ ติดหน้าต่าง



“ เฮ้ยย คุณเป็นใคร มายืนเปลือยให้ผมดูทำไม! ”



“ ฉันว่าฉันน่าจะถามนายมากกว่านะ มาทำอะไรในห้องฉัน ”



“ คุณ…คือเนตรนภิศใช่มั้ย ” คนตรงหน้าผมเลิกคิ้วอีกครั้ง เชิงถามว่ารู้จักเขาได้ยังไง



“ คือ เอ่อ ผมชื่อ ณรักครับ พอดีพ่อคุณให้ผมมาดูแลคุณครับ ” เสียงถอนหายใจเบาๆ พลางบ่นพึมพำอะไรที่ผมก็ไม่ค่อยจะได้ยิน ด้วยความที่ยังตกใจ ผมจึงค่อยๆเขยิบช้าๆให้ตัวเองหลุดออกจากพื้นที่อันตราย (ต่อใจ) ตรงนี้ คนบ้าอะไรหน้าขาวชะมัด ไหนจะปากแดงๆนั่นอีก ฮือ



“ เดี๋ยว ” ผมสะดุ้งอีกครั้ง ก่อนจะหันไปหาไอตัวขาวช้าๆ



“ พ่อฉันจ้างนายมางั้นเหรอ ”



“ ใช่ครับ ”



“ แล้วทำไมนายถึงรับ หึ เงินดีล่ะสิ ”



“ เดี๋ยวคุณ ผมก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้นนะครับ ผมถูกขอร้องมาต่างหากล่ะ ” ผมพูดเสียงหงุดหงิด



“ ฉันไม่ได้ต้องการให้ใครมาดูแลหรอกนะ ”



“ ผมไม่รู้ครับ คุณพ่อของคุณจ้างผมมา แล้วผมก็รับงานนี้ไปแล้วด้วยครับ ” ไอตัวขาวทำหน้าตึง บรรยากาศเย็นยะเยือกนี่มันอะไรกัน ผมรู้สึกขนลุกเบาๆเมื่อเห็นรังสีสายตาที่มันสาดมา เจ้าตัวจ้องผมนิ่ง เอื้อมมือมาทาบหน้าต่างข้างหลังผม ก่อนที่จะก้มตัวลงมาใกล้ ใกล้จนผมจะขาดใจ โอ้ นี่มันในละครยุคไหนกัน



“ ว้าย บัดสีบัดเถลิง คุณหนูทำอะไรกันคะ! ” ผมลืมตาพรึบ มองลอดผ่านร่างไอตัวขาวไปยังร่างหญิงสาวท้วมที่ชะงักอยู่ตรงหน้าห้อง หน้าตาตกใจ ผมคงคิดว่าหน้าหน้าตาผมก็ไม่ต่างกัน รีบผลักร่างขาวข้างหน้าออกไป



“ โอ้ย ” ผมตกใจหันกลับไปมอง เห็นไอตัวขาวกุมไหล่ สีหน้าเหยเก ผมรีบเอามือออก สังเกตดีๆจึงเห็นรอยช้ำจุดเล็กใหญ่กระจายอยู่ตามแผ่นหลังและตรงแขน ทั้งที่ตอนแรกไม่เห็นเลย



“ คุณหนูเป็นอะไรหรือเปล่าคะ ” ร่างท้วมรุดเข้ามาอย่างตกใจ รีบเข้ามาดูอาการ ผมรู้สึกผิดจึงค่อยๆพยุงเจ้าขาวนี่ไปที่เตียงช้าๆ เจ้าตัวไม่ได้มีท่าทีต่อต้านอะไร สงสัยจะเจ็บจริง



“ ผมไม่เป็นไรครับป้าอุ่น แค่เมื่อกี้มันปวดแปลบนิดหน่อยครับ ”



“ โธ่คุณหนู เจ็บก็บอกเจ็บสิคะ ถึงแผลจะหายดีแล้ว แต่มันก็ยังมีอาการฟกช้ำนะคะ ”



“ คือ...ผมขอโทษที่ทำให้เจ็บตัวนะครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ ” ผมเอ่ยปากด้วยท่าทีเจี๋ยมเจี้ยม เมื่อเห็นป้าอุ่นที่นายนั่นเรียก นำยาหม่องตรงหัวเตียงมานวดบริเวณไหล่ที่เริ่มระบมช้ำจากความตกใจของผมล้วนๆเลยครับ เพิ่งจะเห็นแผลชัดๆก็ตอนนี้แหละ



“ รู้ตัวก็ดี มาดูแลฉันแท้ๆ ยังทำให้ฉันเจ็บตัว ”



“ เอ๊ะ ก็บอกว่าผมไม่ได้ตั้งใจไง ”



“ เอาล่ะค่ะๆ ทะเลาะกันเป็นเด็กไปได้ ” ป้าอุ่นนวดแผลเสร็จแล้ว หันมาห้ามทัพ “ หนูชื่ออะไรจ๊ะ ” ผมรู้สึกเหมือนเดจาวูยังไงชอบกล



“ ผมชื่อรักครับ ชื่อจริงชื่อณรัก ”



“ งั้นเดี๋ยวให้คุณหนูแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อน หนูไปรอกับป้าข้างล่างนะจ๊ะ ส่วนคุณหนูเสร็จแล้วก็ลงมานะคะ ” ไอตัวขาวงืมงำด้วยความขัดใจ แต่ก็ไม่ได้แย้งอะไร ป้าแตะแขนผมเบาๆเป็นเชิงบอกให้ตามไป



เมื่อถึงชั้นล่างร่างท้วมก็นำผมให้ไปยังห้องรับแขกห้องเดิมที่ผมนั่งรอคุณดาราลักษณ์ แล้วจะให้ผมขึ้นไปเห็นคนเปลือยเล่นทำไมเล่าเนี่ย ตอนผมมาถึงห้องรับแขก ก็เห็นคุณดาราลักษณ์นั่งรออยู่ก่อนแล้ว เจ้าตัวเอ่ยถามว่าผมไปไหนมาพร้อมขอโทษที่ปล่อยให้ผมรอนาน เธอออกไปคุยธุระทางโทรศัพท์กับท่านประธานเรื่องที่พาผมมาที่บ้านคุณเนตร กลับมาไม่เห็นผมจึงตกใจนึกว่าผมหนีไปแล้ว ผมจึงเล่าให้ฟัง ก่อนที่จะขำนิดๆเมื่อเห็นผมฉุนเฉียว



“ คุณเนตรเธอก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ คุณรัก ไม่ค่อยไว้ใจคนแปลกหน้าเท่าไหร่ ถ้าคุณอยู่กับเขาไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็เข้าใจเองแหลค่ะ ”



“ แล้วเขาจะเข้าใจกับผมด้วยมั้ยครับ เฮ้อ จะไปรอดมั้ยเนี่ย ” ผมถอดถอนใจเบาๆ เมื่อเห็นเค้าลางถึงความยากลำบากที่กำลังจะเกิด



“ ถ้าลำบากใจมากนักก็ไม่ต้องรับก็ได้นะ ฉันไม่ได้ต้องการ ” ร่างสูงโปร่งยืนอยู่ตรงหน้าประตู มองเขานิดหนึ่งก่อนจะเบือนหน้าหนี หันไปยกมือไหว้คุณเลขา มีมารยงมารยาทกับเขาด้วยแฮะ เดินเข้ามานั่งลงตรงข้ามผม ไขว่ห้าง กอดอก มาถึงก็เต๊ะท่าเชียวนะไอคุณชาย



“ ผมก็ไม่ได้ลำบากใจ ถ้าคุณให้ความร่วมมือ ผมก็จะสบายขึ้นครับ ”  ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ตอบอะไร แสสายตาไปยังคุณเลขาที่นั่งยิ้มอยู่ข้างๆผม



“ ดิฉันเชื่อว่าคุณรักนี่แหละค่ะ เหมาะสมสุดแล้วค่ะ ” คนพูดยิ้มๆ



“ คุณเลขารู้ได้ไงครับ ยังไม่ทันจะเริ่มงานก็ประทุษร้ายผมแล้วนี่เหรอครับ ” เออ ย้ำเข้าไปไอคุณชาย เมื่อเห็นผมมองตาขวาง เขาก็ทำแค่ยักไหล่ บ่งบอกถึงความไม่แยแสใดๆทั้งสิ้น อยากตื้บหน้าคนจังโว้ย



“ คนคนนี้เป็นคนที่ท่านประธานวานให้ดิฉันไปตามหาเลยนะคะ เพราะฉะนั้นท่านคงคิดมาดีแล้วค่ะคุณเนตร ” คุณเลขาพยายามอธิบาย แต่ถึงอย่างนั้นแล้ว สีหน้าของไอคุณชายก็ไม่มีท่าทีจะดีขึ้น เหมือนพูดหูซ้ายทะลุหูขวา ผมก็ได้แต่ทำหน้าละเหี่ยใจในชีวิตตัวเองเบาๆ ต่อจากนี้ไป เกรงว่าจะไม่ใช้นายนี่หรอกที่จะอันตราย ผมเองนี่แหละที่จะเอาตัวไม่รอด โอ้ย หล่อน้อยอยากจะโวยวายยย











“ คุณรักคะ ไม่เป็นไรนะคะ คุณเนตรเธอก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ ” เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ที่มีคนพยายามจะปลอบใจผมด้วยประโยคแบบนี้ มาพูดกับผมก็ไม่มีอะไรดีหรอกครับ ไปพูดกับไปคุณชายตัวปัญหาโน้น ผมละสายตาจากวิวนอกกระจกรถหันมาฟังสิ่งที่คุณเลขาพูด



“ ไม่เป็นไรหรอกครับ สงสัยเขายังไม่ชินกับผมน่ะครับ ” ตั้งแต่เขากับคุณเลขาออกมาจากบ้านมาจนถึงอยู่ในรถ ผมยังคงขมวดคิ้วทำหน้าตายู่ยี่ จนคุณเลขาสังเกตได้ถึงความเครียดที่มันครุกครุ่นอยู่ในหัว ถ้าในร่างผมเป็นเปลวไฟ คงจะปะทุออกมาได้ในไม่ช้านี้ ภาพในหัวของผมยังเต็มไปด้วยท่าทีจองหองของไอคุณชายที่มีต่อผม พอนึกถึงทีไรแล้วเหมือนขาผมเกิดกระตุกอยู่ตลอดเวลา ผมต้องยับยั้งชั่งใจขนาดไหนที่จะควบคุมไม่ให้มันออกแรงไปตื้บไอหน้าขาวนั่น



“ เท่าที่ดิฉันเห็นคุณเนตรมา ก็ไม่ค่อยเห็นเขามีท่าทีแบบนี้นะคะ ก็เลยอดจะแปลกใจไม่ได้น่ะค่ะ ”



“ ปกติแล้วเขาเป็นยังไงเหรอครับ ”



“ คุณเนตรเธอเป็นคนเงียบๆค่ะ ไม่ค่อยจะโวยวายเท่าไหร่ แต่ดิฉันก็ไม่ใช่คนในบ้าน ก็คงไม่ค่อยได้เห็นหรอกค่ะ ”



“ เหรอครับ ดูไม่ออกเลยนะครับ ” ผมหัวเราะแหยๆ เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเผชิญมา



“ เธอเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศได้ไม่นานค่ะ คงยังต้องปรับตัวหลายๆอย่างเลย ” เห็นผมทำหน้าตาสงสัย หญิงสาวจึงอธิบายต่อ “ คุณเนตรไปเรียนปริญญาโทที่ต่างประเทศมาค่ะ เพิ่งจะจบมาหมาดๆเลย เดือนที่แล้วท่านประธานกับครอบครัวเพิ่งจะไปงานรับปริญญาของเธอมาเองค่ะ ”



“ แต่เขาอายุมากกว่าผมตั้งสามสี่ปี ทำไมเพิ่งจะจบโทล่ะครับ ”



“ คุณเนตรเธอขอท่านประธานออกไปหางานข้างนอกทำน่ะค่ะ เธอบอกไว้ว่าขอเวลาซักปีสองปีค่อยกลับไปทำอย่างที่ท่านประธานขอไว้ ” หืมม ไม่ยักคิดว่าไอคุณชายจะมีมุมแบบนี้กับเขาด้วย คิดว่าคงรักชีวิตสบายๆตามประสาลูกคนร่ำคนรวยคนอื่นๆ



“ ในสายตาของดิฉัน ลูกชายของท่านประธานคนนี้เป็นคนจริงจังค่ะ ทำอะไรแล้วจะต้องทำให้สำเร็งลุล่วง ดิฉันติดตามท่านประธานมาก็หลายปี เห็นเธอตั้งแต่ยังวัยรุ่น “ คนพูดยิ้มๆระคนเอ็นดูเมื่อเล่าถึงไอคุณชาย “ ขนาดตอนที่ขอท่านประธานไปทำงานข้างนอก ยังมุ่งมั่นจนไม่มีใครจะห้ามเขาได้เลยล่ะค่ะ พอคิดๆแล้วก็อดจะปลื้มแทนท่านประธานไม่ได้นะคะ ”



“ ที่คุณเลขาเล่ามา ผมเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกันครับ เอาจริงๆไม่รู้ไอคุณชาย เอ้ย คุณเนตรเขาไม่ชอบผมหรือเปล่าก็ไม่รู้ รู้สึกเหม็นหน้าผมชอบกล ” ผมได้แต่ถอดถอนใจเบาๆ ความประทับใจครั้งแรกดูท่าจะล่มซะแล้ว



“ ดิฉันว่าไม่หรอกค่ะ ถ้าเขาไม่ชอบหน้าคุณจริงๆ เขาคงเมินคุณแต่แรกแล้วล่ะค่ะ ”



“ ผมก็หวังว่าการรับงานของผมครั้งนี้ จะผ่านไปอย่างราบรื่นนะครับ ”



“ ไม่มีอะไรแน่นอนหรอกค่ะคุณรัก เรากำหนดอนาคตไม่ได้ แต่ดิฉันเชื่อว่าหากเราแน่วแน่กับสิ่งที่เราเลือกแล้ว ผลลัพธ์ที่ดีย่อมตามมาอย่างแน่นอนค่ะ ” คุณเลขามองเขาอย่างเชื่อมั่น “ ดิฉันเองก็เชื่อมั่นในตัวคุณรักนะคะ เพราะฉะนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็ขอให้คุณรักเต็มที่กับมันก็พอค่ะ ”



อะไรทำให้ทุกๆคนเชื่อมั่นใจตัวผมขนาดนี้กันนะ








โปรดติดตามตอนต่อไป....


ฮืออออ มารับโทษค่ะ

ยอมรับผิดเลย เพราะลืมจริงๆ ว่าต้องอัพตั้งแต่วันพุธ

เพิ่งนึกออกเมื่อวาน เลยตาเหลือกเลยทีนี้ 55555

ขอโทษน้าาา

 :katai1:

หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด #เนตรรัก >>> อัพเดต ตอน 9 (22/06/63)
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 22-06-2020 15:27:06
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด #เนตรรัก >>> อัพเดต ตอน 9 (22/06/63)
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 24-06-2020 22:25:31
ตามมม
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด #เนตรรัก >>> อัพเดต ตอน 10 (1/07/63)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหมีวุ่นวาย ที่ 01-07-2020 13:59:22
ตอนที่ 10
" ระวัง "







“ หลบไปซิ ทำไมนายต้องมาเฝ้าฉันตลอดเวลาเนี่ย จะต้องตามไปถึงห้องน้ำเลยไหม ” เจ้าของห้องพูดด้วยน้ำเสียงรำคาญ เดินเข้าไปในห้องน้ำปิดประตูดังปัง ถามว่าผมสะทกสะท้านไหม ก็ไม่ครับ เผอิญว่าผมเคยเป็นพนักงานดีเด่นมาอ่ะนะครับ ขอโทษที



ผมเข้ามาทำงานเต็มตัวที่กับไอคุณชายเจ้าปัญหา (นับวันชื่อเรียกมันยิ่งยาวเรื่อยๆ) ก็เกือบจะอาทิตย์หนึ่งแล้วครับ ทุกๆ วันก็จะดำเนินไปอย่างปกติ ตั้งแต่มาปลุกไอตัวขาวนี่ ยืนรอระหว่างที่เขากินข้าวเช้า ขับรถไปส่งที่ทำงาน ตอนแรกคุณภูผากับคุณนายก็ไม่ยอมให้มาหรอก แต่ด้วยความมุ่งมั่น หรือความดื้อรั้นหรือเปล่าผมก็เริ่มจะแยกไม่ออกของเจ้าตัว ด้วยเหตุผลที่ว่า ‘ร่างกายเขาหายดีแล้ว’ และ ‘ไม่อยากนั่งๆ นอนๆ อยู่ที่บ้าน’ ก็ทำให้ทุกคนต้องยอมอย่างเสียไม่ได้



นอกจากนี้ไอคุณชายยังขอร้องพ่อกับแม่เพื่อมาอยู่คอนโดของเขาที่ใกล้กับบริษัท โดยเหตุผลที่ว่ามันใกล้กว่า และปลอดภัยกว่าที่บ้านที่อยู่ใกล้กว่าและทางเปลี่ยวกว่าที่บ้าน จะมีใครปฏิเสธได้อีกเหรอครับ มาขนาดนี้แล้ว



และหลังจากที่ผมมาทำงานได้ไม่นานนั้น ไอคุณชายดึงดันที่จะมาทำงานให้ได้ ระหว่างที่เขาทำงานในห้อง ผมก็นั่งรออยู่ข้างนอก คุณเลขาจึงได้จัดโต๊ะทำงานไว้ด้านนอกห้อง เพื่อให้ผมได้นั่งทำงานเล็กๆ น้อยๆ ที่ผมพอจะช่วยเขาได้



ตอนนี้กลายเป็นว่าผมทำงานควบไปอยู่สองตำแหน่งครับ คือบอดี้การ์ดและอีกอย่างหนึ่งคือ



เลขานั่นเองครับ



แต่นแตนน!



ตำแหน่งเดิมของผมเริ่มกลับมาให้ผมได้ทำอีกครั้งแล้ว ก็ยังรู้สึกดีกว่าตอนที่รู้ว่าต้องมาเป็นบอดี้การ์ดนั้นแหละครับ ท่านประธานบังคับให้ลูกชายเขาสอนงานทั่วไปที่พอจะให้ผมช่วยได้ให้ผม เพราะฉะนั้นบางวันเขาจึงโยนงานมาให้ผมทำพอเป็นพิธีอย่างเสียไม่ได้



รู้สึกปลื้มปริ่มเบาๆ อย่างน้อยผมก็ยังพอมีคุณค่าอยู่บ้าง



พอเลิกงาน ถ้าเขาไม่มีงานสังสรรค์หรือต้องไปเจอเพื่อนที่ไหน ผมก็ขับรถไปส่งเขาที่บ้าน หลังจากนั้นก็คือเวลาเลิกงานของผมแล้วครับ จริงๆ แล้วก็ไม่ค่อยมีผิดเพี้ยนไปจากนี้หรอกครับ เพราะเจ้าตัวก็ไม่ได้มีเพื่อนมากมาย อาทิตย์ที่ผ่านมาเพื่อนที่ผมเห็นเขาติดต่อด้วยก็มีแค่ไม่กี่คน สงสัยนิสัยแย่จนไม่มีใครคบล่ะมั้ง (ได้ยินเสียงจามมาจากด้านหลังเบาะผมเบาๆ)



วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่ผมต้องไปส่งไอคุณชายตัวขาวนี่ที่บริษัทตามปกติ ผมขับไปจอดรถที่ใต้ตึกจอดรถของบริษัทหลังจากที่ส่งเขาที่หน้าตึกไปเรียบร้อยแล้ว ผมก็ออกจากรถ ล็อครถเสร็จ ก็เดินผิวปากขึ้นอาคาร ผมมองดูตัวเลขบนหน้าปัดของลิฟต์ที่ไล่ตัวเลขไปช้าๆ ลิฟต์ตัวนี้มีทุกชั้นตั้งแต่ชั้นล่างสุดไปจนถึงชั้นผู้บริหาร ลิฟต์ปกติจะไม่มีตัวเลขของชั้นผู้บริหาร และก็ไม่มีคนอยู่ในลิฟต์ตัวที่ผมอยู่นี้เพราะมันเป็นลิฟต์ของระดับผู้บริหาร



ว่าง่ายๆ คือเป็นลิฟต์ระดับพรีเมี่ยมที่เหล่าพนักงานธรรมดาๆ ขึ้นไม่ได้นั่นเองครับ รู้สึกถึงความแบ่งชั้นวรรณะเบาๆ



ผมคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย อยู่ๆ ลิฟต์ก็ไปจอดที่ชั้นชั้นหนึ่งที่ผมไม่คุ้นมาก่อน จึงอดไม่ได้ที่จะระแวดระวังไว้ก่อน เหมือนที่คุณเลขาพูดเอาไว้ พอลิฟต์เปิดก็มีคนสองคนที่ผมไม่คุ้นหน้าคุ้นตาอีกเช่นกันสวมชุดสูทเดินเข้ามา พวกเขามองดูผมแวบหนึ่งก่อนจะยืนหันหลังให้ ผมที่ยืนอยู่ตรงมุมในสุดของลิฟต์จึงต้องคอยมองพวกเขาไว้อย่างคนที่มีสติตื่นตัวตลอดเวลา และเพิ่งมาสังเกตว่าเราไปชั้นเดียวกัน มันแปลกๆ จนผมรู้สึกถึงบรรยากาศที่ไม่ค่อยจะดีนัก ทั้งๆ ที่พวกเขาเองก็ไม่ได้ทำอะไรคุกคามผม



พอลิฟต์เปิด ผมรอพวกเขาออกไปแล้วจึงเดินตาม ผมมองพวกเขาเดินเข้าไปทางอีกฝากหนึ่งของทางปกติที่ผมเดินแล้วก็อดจะสงสัยไม่ได้ว่าพวกเขาเป็นใคร ผมไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน ผมเดินเข้าไปในห้องไอคุณชายเพื่อตรวจความเรียบร้อยตามปกติ



“ อึไม่ออกหรือยังไง ทำไมทำหน้าเป็นตูดขนาดนั้น ”



“ ผมจะถือว่าเป็นคำทักทายแล้วกันนะครับ ”



“ หึ ” ไอคุณชายหน้าวอกหัวเราะในลำคอเบาๆ ก้มหน้ากลับไปทำงานของตัวเองต่อ นี่หรือคนที่ปกติจะเงียบๆ ไม่ค่อยโวยวายอะไร เห็นหน้านิ่งๆ แบบนี้ แต่กวนประสาทชะมัด



“ คุณเนตรครับ ”



“ ว่าไง อึไม่ออกจริงๆ ใช่มั้ย ”



“ ไม่ใช่โว้ย! เอ้ย ครับ! ลำไส้ผมปกติดี ขอบคุณที่เป็นห่วงนะครับ ” ผมอดไม่ได้ที่จะหลุดโวยวายเบาๆ และพูดต่อ “คือเมื่อกี้ตอนที่ผมขึ้นลิฟต์มาผมเจอคนแปลกหน้าสองคนขึ้นมาชั้นนี้เหมือนกันครับ แต่เดินไปอีกฝากหนึ่ง เขาคือใครหรือครับ” คนฟังชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนที่จะนิ้วจะกลับมารัวกดบนแป้นคีย์บอร์ดเหมือนเดิม



“ คนรู้จักพ่อฉันเอง เป็นหนึ่งในคณะบริหารเหมือนกัน แต่ไม่ค่อยได้เข้าบริษัทซักเท่าไหร่ เพราะเป็นแค่ผู้ถือหุ้นใหญ่ธรรมดา ไม่ได้มีบทบาทอะไรในบริษัท ” ผมอือออในลำคอ ก่อนที่จะเลิกสนใจเรื่องของพวกเขา



“ แล้ววันนี้มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่าครับ ”



“ ยังไม่มี เดี๋ยวมีแล้วจะเรียกเอง ” จะไล่ผมออกจากห้องก็บอกกันดีๆ ก็ได้วะ



ผมเดินออกมาจากห้องแล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะประจำของตัวเอง เปิดอีเมลล์ของบริษัทที่ไอคุณชายเปิดให้ผมไว้เผื่อจะโยนงานอะไรให้ทำ ผมเห็นเมลล์ที่เพิ่งส่งเข้ามา แต่ไม่ระบุหัวข้อ ผมกดเข้าไปดู แต่ก็ว่างเปล่า ไม่มีข้อความอะไรเลยในหน้านี้ ก็เลยคิดว่าคงส่งผิด กดปิดไป และนั่งเปิดนู่นเปิดนี่ดูไปเรื่อย สักพักผมก็ได้ยินเสียงคนเดินใกล้เข้ามา พอเงยหัวขึ้นไปมองก็เห็นเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตา



“ อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณรัก ” คุณเลขาคนดีคนเดิมนั่นเอง



“ สวัสดีครับคุณเลขา มีอะไรให้ผมรับใช้ครับ ”



“ ดิฉันไม่กล้าใช้คนของคุณเนตรหรอกค่ะ ” เจ้าตัวขำคิกคักเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าเหวอผม คนของไอคุณชาย ฟังแล้วจั๊กจี้ชะมัด “ พอดีดิฉันเอาเอกสารมาให้คุณเนตรค่ะ ขอตัวเข้าไปในห้องก่อนนะคะ ” ผมพยักหน้าแล้วยิ้มให้ ก่อนที่ร่างของคุณเลขาจะหายผลุบเข้าไปในห้อง เป็นคนที่กระฉับกระเฉงดีจังแฮะ



ผมนั่งอยู่ที่เดิมจนถึงเวลาพักกลางวัน อยู่ๆ ไอคุณชายหน้านิ่งก็เดินก้าวออกมา เหลือบมองมาทางผมแวบหนึ่ง ผมลุกขึ้นยืนอย่างรู้หน้าที่



“ ไปทานข้าวเหรอครับ ”



“ อืม ”











ผมกับไอคุณชายหน้าขาว (และชื่อก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามอารมณ์ครับ อย่าแปลกใจ) เดินมาร้านอาหารทั่วไปแถวบริษัท ไม่น่าเชื่อว่าสำอางขนาดนี้ จะมานั่งร้านแบบนี้ได้ด้วย แปลกใจจริงๆ บริษัทแห่งนี้ตั้งอยู่ในกลางย่านธุรกิจ ตอนพักเที่ยงจึงเป็นธรรมดาที่พนักงานกินเงินเดือนทั้งหลายจะเดินกันอย่างขวักไขว่ ประหนึ่งเป็นห้าแยกชิบูย่าที่โตเกียวกันเลยทีเดียว



ผมเดินตามหลังร่างสูงตรงหน้าไปเรื่อยๆ เบียดเสียดกับคนมากมายจนเกือบจะกลืนหายไปกับฝูงชน แต่ร่างสูงของไอคุณชายกลับเด่นชัดท่ามกลางคนมากมาย ส่วนผมที่ความสูงระดับทั่วไป เอ่อ ก็ไม่ได้น่าเกลียดมากอ่ะนะครับ เดินค่อนข้างลำบากเพราะต้องพยายามฝ่าความแออัดนี้รีบตามไป เริ่มรู้สึกไม่มั่นใจถึงการเป็นบอดี้การ์ดของผมเบาๆ



เจ้าตัวไม่ได้เดินเลี้ยวเข้าร้านอะไรเลย แต่กลับเดินไปเรื่อยๆ ตามทางจนผู้คนเริ่มเบาบาง ผมจึงเดินหายใจโล่งปอดมากขึ้น ว่าแต่เขาจะเดินไปถึงไหนกันวะเนี่ย ผมเดินมองซ้ายมองขวาเพื่อสอดส่องความผิดปกติ



“ โอ้ย ” อยู่ไอร่างสูงก็หยุดชะงัก ทำให้ผมที่มัวแต่มองไปรอบๆ ไม่ทันตั้งตัวจึงชนเข้าอย่างจัง



“ นายทำร้ายร่างกายฉันสองรอบละนะ นี่มาเป็นบอดี้การ์ดจริงๆ หรือเปล่าเนี่ย ” เจ้าตัวหันมา ผมลูบหน้าผากเบาๆ ตูเจ็บนะว้อย ฮือ ไม่มีการขอโทษซักคำเลย



“ ขอโทษครับ พอดีผมมัวแต่ดูลาดเลา ไม่ทันมอง ” ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้พูดอะไร นอกจากทำเสียงหึในลำคอ แวบหนึ่งที่สายตาผมมองไปยังด้านหลังของอีกฝ่าย มอเตอร์ไซด์คันหนึ่งพุ่งตรงมาทางเราด้วยความเร็วและไม่มีท่าทีจะเบรค ผมเบิกตาอย่างตกใจ



“ ระวัง!!! ”



ก่อนที่มอเตอร์ไซด์คันดังกล่าวจะเฉี่ยวชน ผมรีบคว้าตัวไอคุณชายหลบไปให้พ้นระยะ เสียงวี้ดว้ายของคนรอบตัวที่เห็นเหตุการณ์ดังขึ้น รีบวิ่งมาดูผมและร่างสูงข้างตัวที่เพิ่งพ้นความซวยไป เพียงไม่กี่วินาทีที่คนขับมอเตอร์ไซด์ทำทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ขับหนีไปอีกทางหนึ่ง ผมมองตามไปจนมันหายลับไปจากสายตา



“ เป็นอะไรหรือเปล่าคะคุณ ” เสียงคนหนึ่งในกลุ่มคนเห็นเหตุการณ์ถามผมอย่างตกใจ ผมได้สติ ละสายตาจากมอเตอร์ไซด์หันมามองตามตัวไอคุณชาย เมื่อเห็นว่าไม่มีบาดแผลอะไรจึงโล่งใจ ผมส่ายหน้าให้ฝ่ายนั้นก่อนจะเอ่ยขอบคุณ



“ นายบาดเจ็บ ”



“ ฮ้ะ ตรงไหน ” ผมรีบมองหาแผลตามที่บอก จนคนพูดคงเอือมระอา เอื้อมมามาจับแขนผมให้ดู



“ อ้อ ตรงข้อศอกเอง คงเฉี่ยวมาโดนน่ะ ไม่เป็นไรหรอก คุณรีบลุกขึ้นดีกว่า ” ผมลุกขึ้นและดึงตัวอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นตาม แต่แล้วก็เจ็บแปลบตรงแผล คงเป็นผลจากการเหยียดแขน ผมเบ้ปากเล็กน้อย



“ เจ็บแล้วยังทำเก่งอีก รีบๆ ตามมา ”















“ โอ้ยยย แสบๆ เบาๆ หน่อยสิ ”



“ พูดมาก ทาเองเลยไหม ” ตอนนี้ผมอยู่ในห้องทำงานของไอตัวปัญหาเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ มือกลางวันของวันนี้คงเป็นอะไรที่ผมเข็ดไปตลอดกาลถ้าไอคนที่กำลังทำแผลให้อยู่นี่ยังทำตัวติสท์แตกเดินทอดน่องไม่รู้ร้อนรู้หนาวอีก เพียงเพราะแค่อยากออกมาเดินดูอะไรนิดหน่อย คำว่านิดหน่อยของเขาคงจะไม่นิดหน่อยถ้าเกิดแบบนี้ขึ้น เจ็บตัวฟรีเลย ฮ่วย!



คุณเลขารับทราบเรื่องในวันนี้ก็รีบเข้ามาหาในห้อง ถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง และจะขอตัวไปรายงานให้ท่านประธานฟัง แต่โดนไอคุณชายห้ามซะก่อน เพราะไม่อยากให้พ่อเป็นห่วง จึงรับปากกับหญิงสาวว่าจะระวังตัวมากขึ้น แต่ยังไงก็จะขอไปแจ้งความไว้ก่อน และยังมิวายกำชับผมและไอคุณชายให้ระวังตัวอีกครั้ง โดยเฉพาะผมที่เจ็บตัว ถึงจะไม่หนักหนาสาหัสก็ตาม แต่ก็ให้ระวังตัวให้มากขึ้น อย่าประมาทโดยเด็ดขาด



“ นี่สรุปแล้วพ่อฉันจ้างนายมาให้ดูแลฉันหรือให้จ้างนายมาให้ฉันปวดหัวเล่นกันแน่ ” คนพูดบ่นเบาๆ ระหว่างที่กำลังพันแผลให้ผม ผมไม่ได้ตอบอะไร แต่ทำหน้ามุ่ยแทนคำตอบแทน เมื่อทำแผลเสร็จไอคุณชายก็กดสั่งอาหารเข้ามาทานในห้องแทน



“ ขอบคุณครับ ” ผมเอ่ยเบาๆ ลุกขึ้นเพื่อจะเอาอุปกรณ์ไปเก็บ



“ อยู่นิ่งๆ เดี๋ยวฉันทำเอง ” เจ้าตัวเดินมาหยิบของ เห็นผมทำหน้าปลื้มปิติ “ ไม่ต้องมาทำเป็นซาบซึ้ง ขนลุกชะมัด ฉันแค่ไม่ชอบเป็นหนี้บุญคุณใคร ”



ชีวิต!











“ ฮ่าๆ แล้วเขาก็พูดแบบนี้อ่ะนะ โอ้ย ขำ กูเริ่มจะชอบไอคุณชายอะไรของมึงนี่ละ ”



ไอแสงเพื่อนรักผมหัวเราะท้องแข็งเมื่อผมเล่าเรื่องเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดให้มันฟัง วันนี้เป็นวันหยุดผมครับ ผมจึงนัดเพื่อนผมเพื่อมาพบปะด้วยความคิดถึงเบาๆ อยากถีบยอดหน้ามันจริงๆ เลย หลังจากเกิดเหตุการณ์วันนั้น ไอคุณชายก็ไม่ไปวอกแวกที่ไหนเลย อยู่ภายใต้ความดูแลของผมอย่างดี รู้สึกได้ถึงการปกป้องที่แท้ทรู เจ้าตัวคงกลัวที่จะเกิดเหตุแหละมั้ง หรือไม่ก็ขี้เกียจมานั่งทำแผล คงจะเป็นอย่างหลังซะมากกว่า ดูจากสันดาน เอ้ย นิสัย



“ มึงนี่ ขำจนลิ้นไก่จะหลุดกระเด็นมาโดนหน้ากูอยู่แล้ว เรื่องคอขาดบาดตายนะโฟ้ย มานั่งขำอยู่ได้ ”



“ แต่คอมึงก็ยังอยู่ดีนี่หว่า ”



“ เดี๋ยวปั๊ดถีบ ” อีกฝ่ายรีบหลบเมื่อเห็นผมยกขาทำท่าจะจะไปถีบมัน



“ เออๆ โทษๆ ก็มันขำนี่หว่า ใครจะไปรู้ว่าไอคุณชายมันจะมีมุมนี้ด้วย ปกติเก็บตัวจะตาย บอกใครใครก็สนใจทั้งนั้น ”



ก็จริงอย่างที่อีกฝ่ายพูด ปกติไม่ค่อยมีสื่อไหนที่สามารถเข้าไปทำข่าวหรือสัมภาษณ์ เพราะจากที่คุณเลขาบอก เจ้าตัวต้องการความเป็นส่วนตัว ไม่ชอบให้ใครมายุ่มย่าม ติดจะรำคาญ จึงทำให้เวลาไปไหนมาไหนไม่ได้เป็นจุดสนใจมากนัก (ถ้าไม่นับหน้าตาน่ะนะ) ไม่ชอบให้ใครมาตามติดชีวิต จึงสงสัยว่าเวลาเข้าสังคมนี่จะเป็นยังไง ถ้าไม่ชอบสุงสิงกับใครขนาดนี้



กว่าหลายอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมได้เข้าไปอยู่ในวงจรชีวิตของไอคุณชาย จริงๆ แล้วก็เป็นการใช้ชีวิตที่ปกติธรรมดา ไม่ได้มีอะไรพิเศษเหมือนกิจกรรมอย่างที่พวกลูกคนรวยเขาจะทำกัน ไม่มีแม้กระทั่งเข้าผับ อาจจะมีบ้างที่เจ้าตัวจะแวะเข้าบาร์เพื่อพบปะเพื่อนฝูง (ซึ่งก็แน่นอนผมต้องปลอมตัวทำทีไปเป็นลูกค้าในนั้น เพื่อไม่ให้เพื่อนๆ เขารู้) ไม่ชอบออกกำลังกายหนักๆ แต่ชอบว่ายน้ำ ไม่ชอบอาหารข้างนอก ชอบทานอาหารที่ป้าอุ่นทำ รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ จุกจิกที่มากจากการสังเกตของผมเอง ทำให้ผมรับรู้ได้ว่าไอคุณชายไม่ได้ติดหรูอะไรมากมายนัก



และจนป่านนี้ก็ยังตามตัวคนร้ายที่ขับมอเตอร์ไซด์คนนั้นไม่ได้ คุณเลขาบอกว่าคาดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับคนร้ายที่เคยทำร้ายไอคุณชายมาก่อนหน้านี้ และมั่นใจว่ามันต้องมีคนเบื้องหลังที่หนุนอยู่ เพราะเราไม่สามารถตามรอยได้ในทันที เหมือนมีคนคอยขวางกั้นตลอด ผมพยายามนึกสิ่งที่ผมเห็นในวันนั้น และพยายามทำตัวเป็นพยานที่ดี แต่ก็ไม่ได้คืบหน้าอะไรมากมายเพราะมันไม่ได้ติดป้ายทะเบียน ทำให้ผมนึกแค้นใจมาก ตัวเองอยู่ในเหตุการณ์แท้ๆ แต่ช่วยอะไรไม่ได้มาก



ผมเคยเจอคุณท่านประธานอยู่ไม่กี่ครั้ง และทุกครั้งที่เจอจะต้องพูดคุยกันเรื่องนี้ทุกครั้ง เขาได้แต่ฝากฝังให้ผมช่วยดูแลไอตัวปัญหา เพราะตอนนี้ทางตำรวจกำลังช่วยสืบหาอยู่ พวกเขากันไม่ให้ทางเราเข้าไปยุ่งมาก กลัวว่าจะเกิดอันตราย จึงให้คอยฟังความคืบหน้าแทน ตอนนี้ทุกคนกำลังยุ่งอยู่กับเรื่องบริษัท ไม่เว้นแม่แต่น้องชายของไอตัวปัญหาที่ตอนนี้เปิดเทอมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงต้องกลับไปเรียนต่อ



ถึงแม้ตอนนี้เจ้าตัวจะสามารถเข้าไปทำงานได้แล้ว แต่ทุกคนก็คอยกำชับไม่ให้ทำงานเยอะเกินไป กลัวจะเกิดผลกระทบกับร่างกายที่ยังไม่ได้หายดีมากมายนัก แต่ปัญหารุมเร้าขนาดนี้ ก็กลัวว่าร่ายกายของท่านประธานจะไม่ไหวเอาเหมือนกัน



“ กูไปอ่านข่าวมานะมึง เขาบอกว่าอาจจะเกี่ยวกับเรื่องตำแหน่ง เพราะประจวบเหมาะเจาะในช่วงที่ไอคุณชายจะรับตำแหน่งพอดีเลย ”



“ กูก็ไม่รู้ว่ะมึง เขาเข้ามาทำร้ายไอคุณชายเป็นครั้งที่สองแล้ว ดีนะที่กูช่วยได้ทัน ”



“ แต่มึงดันมาเจ็บตัวแทน บอดี้การ์ดสมชื่อจริงๆ เอาตัวเข้าแลก อีกฝ่ายก็หล่อเหลาซะด้วย ”  ไอแสงทำเสียงกรุ้มกริ่ม แซวผม ทำหน้าลิ่วล้อ



“ บ้านพ่อมึง ถ้ากูไม่ทำงั้น แล้วเขาจะจ้างกูมาทำห่าไรล่ะ ”



“ กูก็แค่ล้อเล่นโว้ย ทำจริงจังไปได้ แต่กูไปได้ยินพ่อกูคุยกับเพื่อนๆ เขามามึง ”



“ พ่อมึงเขารู้จักครอบครัวนี้ด้วยเหรอ ” ผมเอียงหน้าถามอย่างสงสัย



“ โอ้ย มึงก็รู้ครอบครัวนี้ใครไม่รู้จักมั่ง บริษัทใหญ่ขนาดนั้น ”



“ เออว่ะ กูลืมๆ แล้วเขาคุยกันว่าไง ”



“ เขาบอกว่าเหมือนอาจจะเป็นการจัดฉาก จริงๆ แล้วอาจจะไม่ได้เกี่ยวกับตำแหน่งก็ได้เว้ย ”



“ หืมม แล้วไม่งั้นจะเกี่ยวกับอะไรวะ ”



“ อาจจะเป็นเรื่องของรุ่นก่อนๆ ที่เราไม่เคยรู้เลยก็ได้ ”



“ จริงเหรอวะมึง ”



“ กูก็ไม่รู้นะว่าทำไมเขาถึงสงสัยกันแบบนี้ แต่มันต้องไม่ธรรมดาแน่นอนกูคอนเฟิร์ม ”



เจ้าตัวพูดด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมอย่างกับมีสายสืบอยู่ในบ้าน อะไรที่ไอนี่มันไม่รู้ถือว่าไม่มีอยู่ในโลกครับ แปลว่ามันเสือกทุกเรื่องนั่นเอง หูตาอย่างกับสับปะรด 3 ลูกรวมกัน



“ เอาเถอะๆ กูก็ไม่รู้จะช่วยยังไง ก็ได้แต่คอยดูคุณหนูของเขานั่นแหละ ”



“ เฮ้ยมึง พูดถึงไอคุณชายนั่น กูถามอะไรหน่อยดิวะ ” นั่นไง หูกระดิกอย่างนี้ ต่อมเผือกของมันทำงานแล้วล่ะ มันส่งสัญญาณมือให้ผมเงี่ยหูเข้าไปใกล้ๆ “ เขาเป็นเปล่าวะมึง ”



“ เป็นอะไรวะมึง ” เมื่อเห็นผมไม่เก็ทคำถามมัน จึงจิ๊จ๊ะขัดใจเบาๆ ก่อนจะพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำอีกครั้ง



“ เป็นเกย์ไงมึง ”



“ เฮ้ย! ” ผมอุทานตกใจอย่างดังจนคนในร้านหันมามอง มันตบหัวเบาๆ บอกผมให้ผมเงียบปาก



“ มึงนี่ตกใจอย่างกับเจอแบล็กพิงค์ เบาๆ สิเฮ้ย ”  เจอแบล็กพิงค์กูร้องเบากว่านี้อีก ไอ้ฟาย!



“ แล้วอยู่ๆ มึงมาถามอะไรแบบนี้ละวะ ขนลุกชิบหาย กูยังต้องทำงานกับเขาต่อนะโว้ย ” ไอแสงหัวเราะชอบใจกับท่าทางขนลุกขนพองของผม



“ อ้าว ก็กูสงสัยอ่ะ ท่าทางสำอางขนาดนั้น มึงขลุกอยู่กับเขาทั้งวัน ก็น่าจะดูออกนี่นา ”



“ ขลุกอะไร พูดดีๆ กูทำงานไอห่า ” ผมทำตาขวางหน้าหงิกกว่าเดิม



“ เออนั่นแหละ สรุปแล้วเป็นเปล่าวะ ”



“ ไม่รู้โว้ยยย ”







โปรดติดตามตอนต่อไป....



คุณแสงงงงงง ไม่เอานะลูกกกกกก 55555555


เจอกันพุธหน้าค้าบ

 :hao6:


หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด #เนตรรัก >>> อัพเดต ตอน 10 (1/07/63)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 01-07-2020 21:58:22
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด #เนตรรัก >>> อัพเดต ตอน 11 (15/07/63)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหมีวุ่นวาย ที่ 15-07-2020 09:47:35
ตอนที่ 11
" พิสูจน์ความเป็นชาย! "






คำถามของไอแสงในวันนั้น ทำให้ผมมาทำงานอย่างหวาดระแวง ทำไมคนรอบตัวผมถึงเป็นกันแบบนี้! นี่ผมต้องกลัวว่าจะถูกทำมิดีมิร้ายในซักวันด้วยมั้ย (แม้ว่าหน้าตาอย่างผมนี่คงไม่ได้อยู่ในสายตาไอคุณชาย) ถึงจะหน้าหล่อขนาดไหน แต่นิสัยห่ามขนาดนั้น มันก็ต้องกลัวบ้างอะไรบ้าง กลัวตัวผมเองจะพุ่งเข้าไปจับกด เอ้ย ไม่ใช่สิ ไอรัก ไอบ้า!



“ นายเป็นอะไร ท่าทางลอกแลก ” ผมสะดุ้งกับคนถามที่โผล่มาทางด้านหลังไม่ให้สุ่มให้เสียง หันหลังขวับ



“ มะ ไม่เป็นไรครับ ” ไอคุณชายจ้องผมเขม็งอย่างสงสัย แต่ไม่ได้พูดอะไร จึงเดินผ่านตัวผมไปยังห้องครัว ผมเป่าปากฟู่โล่งใจเมื่อรอดพ้นจากสายตาคู่นั้น ไอแสงนะไอแสง ไม่น่าเลย



ผมอดที่จะแอบเหล่ตามองไปยังร่างสูงไม่ได้ รูปร่างสูงเพรียว ผิวขาวชมพู ปากแดง ขนตางี้อย่างงอนเลย โอ้ยยยย ทำให้ผมคอแห้งผาด กลืนน้ำลายเอื้อก โอ้ นี่มันสเป็กชายโฉดชัดๆ ถ้าไม่ติดที่ว่าเกิดมาเป็นผู้ชาย ผมว่าผมคงไม่รีรอที่จะพุ่งเข้าไปทำความรู้จักเลยครับ แต่นี่ดันเกิดมาเป็นชาย แท้หรือไม่ก็ไม่รู้ คลุมเครือดีแท้ แต่ไม่เคยเห็นเขากุ๊กกิ๊กกับใคร ไอแสงแม่งมั่วแน่ๆ



“ นาย! ฉันเรียกหลายรอบแล้วไม่ได้ยินหรือยังไง หูตึงเรอะ ออกรถได้แล้ว ” ไอคุณชายตวาดเสียงดัง ทำให้ผมสะดุ้งเบาๆ และรับรู้ผมคงนั่งเหม่ออยู่ในรถอยู่นานเมื่ออีกฝ่ายเข้ามาในรถแล้ว



“ ขอโทษครับ ”



“ ช่วงนี้นายเป็นอะไร ถ้าไม่อยากมาทำก็บอกดีๆ ไม่ใช่มาทำท่าทำทางแบบนี้ ” ผมยิ้มแหยให้ ใครจะไปกล้าบอกว่าเพราะกูระแวงว่ามึงเป็นเกย์ครับแบบนี้เรอะ



“ พูดมาดีๆ หรือจะให้ฉันบังคับให้พูด ” น้ำเสียงเริ่มเข้มขึ้นตามอารมณ์ที่บ่งบอกได้ว่าเจ้าตัวเริ่มจะไม่พอใจ



“ ผมไม่เป็นไรครับ แค่ช่วงนี้มีเรื่องต้องคิดนิดหน่อยครับ ”



“ บอกมาว่าเรื่องอะไร ไม่งั้นเงินเดือนนายเดือนนี้ฉันจะหักให้หมด ”



“ เฮ้ย! คุณจะหักผมไม่ได้นะครับ ” ผมร้องโวยวายเมื่ออีกฝ่ายขู่ขึ้นมา จะมาหักทำได้ไง แค่นี้ผมก็ไม่พอใช้แล้วครับ ฮือ ไหนจะค่ากินค่าใช้ ค่าผ่อนรถอีก ฮือ เดี๋ยวตูไม่มีมาโปะแล้วจะทำยังไง ผมคิดสภาพตัวเองต้องถูกลากกลับไปทำงานที่บ้านแล้วก็ขนลุกเบาๆ ไม่อ๊าว ไม่เอา ผมจะถูกหักเงินเดือนเดือนนี้ไม่ได้เด็ดขาด



เจ้าตัวพิงเบาะยักไหล่เชิงบอกว่าถ้าไม่ยอมบอกก็ช่วยไม่ได้ เสก้มลงไปมองเอกสารในมือ ท่าทางสบายๆ แบบนี้ช่างกดดันผมนักแล ฮือ กูจะบอกยังไงให้ไม่โดนไล่ออกซึ่งคงหนักว่าโดนหักเงินเดือนอีก



“ ว่าไง จะบอกไม่บอก ”



“ คือ เอ่อ ” เมื่อสบสายตาของไอคุณชายจ้องที่มองมานิ่งๆ นั้น ก็ทำให้ผมรู้สึกเสียวสันคอซะจริง



โอ้ย! ช่างมันแล้ว ถามมันให้รู้ๆ กันไปเลยละกันเว้ย



“ คุณเป็นเกย์หรือเปล่าครับ! ” ผมกลั้นหายใจพูดรัวจบประโยค หลับตาแน่น ในใจก็ท่องนะโมเวอร์ชั่นจีนไปห้าสิบจบได้แล้ว



สิ่งที่ได้ยินคือความเงียบที่ชวนให้รู้สึกเยือกเย็นเบาๆ ผมได้ยินเสียงเปิดปิดประตูรถ ผมรีบลืมตาแล้วหันไปมองข้างหลัง เขาหายไปแล้ว! หรือไอคุณชายมันโกรธแล้วรีบไปฟ้องท่านประธาน ฮืออ แบบนั้นก็ยิ่งไม่ได้นะ ผมปลดเข็มขัดออกกำลังจะเปิดประตูออกไปตามไอคุณชาย อยู่ๆ ประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับก็ถูกเปิด เอ่อ เรียกว่ากระชากดีกว่า ไอคุณชายเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือความทะมึนตึงบนหน้าก้าวขึ้นมานั่งข้างๆ ผม ก่อนจะกระชากประตูปิดปัง แล้วหันมามองผมเขม็ง



“ เมื่อกี้นายพูดอะไรออกมานะ ”



“ กะ ก็คุณบอกเองว่าให้ผมบอก ผมก็เลย ”



“ แล้วใครหน้าไหนมันจะไปรู้ว่านายจะเป็นบ้าเพราะเรื่องฉันกันล่ะ ”



“ ผมขอโทษครับ ” ผมก้มหน้ารับผิด น้ำตาตกใน เพิ่งมารู้สึกจริงก็คราวนี้เอง เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไปนาน รู้สึกแปลกใจจึงเงยหน้าขึ้นมาดู



เอื้อกกก หน้าของไอคุณชายอยู่ใกล้แค่คืบ สายตาผมไปปะทะพอดีกับริมฝีปากหยักแดงสวยที่ผมมักจะเผลอมองประจำ และไม่รู้ทำไมผมถึงอยากจะมองให้มากกว่านี้ เลื่อนสายตาขึ้นไปพบกับดวงตาสวยคู่นั้น ความรู้สึกที่ว่ามีผีเสื้อเป็นพันตัวบินอยู่ในท้องแบบในละครน้ำเน่าที่ผมเคยด่าประจำมันเป็นยังไงก็เพิ่งมารู้ดีวันนี้ หัวใจเต้นแรงอย่างควบคุมไม่ได้นี่ก็เหมือนกัน ราวกับมีแรงดึงดูดแปลกๆ ให้มองผมอยู่อย่างนั้น



หัวใจชายโฉดอย่างผมต้องมาเสียเชิงชายก็ในวันนี้หรือเนี่ย



และก่อนที่อะไรอะไรมันจะเกินเลย จิตสำนึกของชายชาติแท้จึงตบหน้าผมอย่างแรงเพื่อกลับมาสู่ความปกติ



“ เชี่ยยย เอ้ย ขอโทษครับ ผมตกใจ ” ผมกระเด้งไปข้างหลังชิดติดหน้าต่างอัตโนมัติ ใบหน้าไอคุณชายยังอยู่ที่เดิม และไอสายตาวิบวับนั่นอีก ชวนให้ผมกระดากอายซะจริง



“ หึ ดูสิตอนนี้ใครกันแน่ที่เป็น ”



“ ผมไม่ได้เป็น! ”



“ แต่จ้องฉันเป็นมันเนี่ยนะ หึ ” ไอคุณชายเลิกคิ้วเยาะเย้ย หัวเราะในลำคอ



“ ใครใช้ให้คุณหน้าสวยขนาดนี้ล่ะ ” ผมบ่นงึมงำกับตัวเองเบาๆ โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้ยิน



สับสนตัวเองโว้ย!













หลังจากเรื่องวันนั้นผ่านพ้นไป ทุกอย่างก็กลับสู่ความปกติเหมือนเดิม เคยโดนโขกสับยังไงก็ยังเหมือนเดิม เคยโดนด่าทออย่างไรก็ยังคงเดิม ไอคุณชายมันดีกับผมได้แค่วันสองวันเท่านั้นแหละ เพียงเพราะผมช่วยชีวิตมันไว้ และก็ได้แผลกลับมา แต่พอแผลสนามกันเรียบสนิทราวกับใช้สมูธเอฟเสร็จปุ๊ป เหมือนความดีของผมคงสมานปิดไปด้วยกันกับแผลอ่ะครับ



ไอคนชอบลูบหัวแล้วตบหลัง! (มันมีไหมสำนวนนี้)



แต่ถึงอย่างนั้นแล้วสิ่งที่เพิ่มเติมคือสายตาวิบวับของมันตั้งแต่วันนั้น มันยังคงอยู่และไม่หายไปไหน ผมก็ไม่รู้มันไปแอบใส่บิ๊กอายหรือเปล่า ตามันวับๆ แวมๆ ชวนให้รู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ผิดปกติ อย่างเช่น



วันหนึ่งตอนที่เขากำลังจะเข้าไปในห้องนอนเพื่อปลุกมันตอนเช้าตามปกติ ปลุกด้วยเสียง 3 ครั้ง และสะกิดอีก 2 ครั้ง (คนบ้าอะไรจะตื่นยังต้องมีแพทเทิน) แต่ครั้งนี้ยังไม่ทันจะสะกิด ไอคุณชายนี่มันก็ตื่นเองครับ โอ้ ครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่มันตื่นเร็วก่อนกำหนด แต่มันตื่นแล้วก็ยังไม่ยอมลุกไปไหน พลิกตัวกลับมาด้านผมและนอนตะแคง ตั้งศอกเอามือยันหัวเอาไว้ และส่งสายตาชวนให้หนาวๆ ร้อนๆ นั่นมายังผม



ภาพตรงหน้าผมประหนึ่งผมดูหนังเอวีมีสาวสวยทำท่ายั่วยวนอยู่ตรงหน้า แต่เป็นเวอร์ชั่นผู้ชาย ไหนจะผิวขาวๆ นั่นอีก ผมรู้แต่ว่าตัวเองยืนตัวร้อนอยู่ซักพัก ก่อนที่ไอคุณชายนี่มันจะหัวเราะหึครั้งหนึ่ง แล้วลุกขึ้นเดินไปห้องน้ำ ผมนี่หน้าแดงเลยครับ ไม่ใช่เขินนะครับ



แต่กูอับอายโว้ย!



มีที่ไหนผมมายืนหน้าแดงให้กับผู้ชายแบบนี้ เสียเชิงชายหมด ดูก็รู้ว่าไอคุณชายนี่มันแกล้งกันชัดๆ ฮึ่ย!



และนี่ก็เป็นเหตุการณ์ตัวอย่างที่ผมเอามาเล่าให้ฟัง ผมว่าตัวเองชักจะแปลกๆ ขึ้นทุกวัน ไม่ได้การละ ผมต้องทำให้ตัวกลับกลายเป็นปกติโดยเร็วไว



วันนี้วันหยุดผม ผมจะชวนไอแสงไปพิสูจน์ความเป็นชาย ฮะฮ้า!







ณ ร้านบาร์ไม่บาร์

เวลาสี่ทุ่มตรง



“ ไอห่ามึง นี่เดี๋ยวนี้มึงเปลี่ยนแนวละเหรอวะ ” ไอแสงถามผมด้วยเสียงกรึ่มๆ พอควร หลังจากที่หมดไปหลายแก้ว เราพากันมาชนเหล้ากันที่ร้านนี้ซึ่งเป็นร้านประจำของผมกับไอแสงมาตั้งแต่วัยละอ่อนเมื่อตอนที่มีเพื่อนกลุ่มใหญ่ จนตอนนี้เหลือกันแค่สองคน ไม่รู้เพราะมันหายไปไหนกันหมด หรือเพื่อนไม่คบก็ไม่รู้ ที่นี่บรรยากาศดีมาก เสียงเพลงคลอเบาๆ ทำให้ผมและแสงผ่อนคลายทุกครั้งที่มา และเหตุผลสำคัญที่ผมมาในวันนี้คือ มาอ่อยสาวนั่นเองครับ



“ ก็กูบอกละไงวะ ไอคุณชายนั่นมันแกล้งกู แม่ง อะไรก็ไม่รู้ ” ผมตอบด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ แต่ก็ยังยิ้มโปรยเสน่ห์พร้อมกับชูแก้วไปยังสาวโต๊ะเยื้องๆ กัน เงี้ยแหละคนมันหล่อ



“ แต่ก็แปลก ก็มึงเล่าให้กูฟังว่าเขาไม่ชอบขี้หน้ามึงไม่ใช่เหรอวะ อยู่ๆ ทำไมเป็นงี้ไปได้ ”



“ ไม่รู้โว้ย เลิกพูดเรื่องไอคุณชายนี่ดีกว่า เหมือนสาวจะติดกูละว่ะ ” ผมพูดพลางบุ้ยหน้าไปยังโต๊ะนั้น หญิงสาวคนหนึ่งนั่งหันหน้ามาทางผมด้วยท่าทางอายๆ



“ แหม่ เพื่อนครับ เร็วเชียวนะครับ แล้วงี้มึงเอาคุณชายของมึงไปไว้ไหนล่ะครับ ”



“ ไม่ไว้ไหนทั้งนั้น ไอห่านี่ เดี๋ยวตีนพุ่ง ”



“ ดุจังวุ้ย ไปหาหญิงมึงเลยไป กูจะไปหายอดหญิงของกูละ ” ไอแสงลุกไปหาหญิงที่มันไปอ่อยไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แม่งอย่างไวจริงๆ ไม่รู้มันเอาน้องมุกของมันไปไว้ไหนเหมือนกัน เห็นมันยิ้มร่าเข้าหาสาวแบบนี้ก็ทำให้ผมส่ายหน้ากับความห่ามของมันจริงๆ ไอแสงอาทิตย์ผู้สุภาพเรียบร้อยไปซุกอยู่ตรงไหนของสันดาน



ผมนั่งจิบๆ เบียร์อยู่ที่โต๊ะ เมื่อกี้ที่ว่าจะอ่อยสาว ผมก็พูดไปงั้นแหละครับ ผมเป็นสุภาพบุรุษพอควร ไม่อยากให้คนเขาคิดว่าผมเจ้าชู้ขี้อ่อย (เหรอ) ได้แต่ยิ้มๆ ให้แต่ก็ไม่ได้รุกจีบ สักพักหญิงสาวที่ผมยิ้มให้เมื่อครู่เดินมานั่งตรงข้ามที่เดิมไอแสงนั่งอยู่



โอ้แม่เจ้า เธอรุกครับโว้ย



เห็นท่าทางเหนียมอายแบบนี้ เป็นแบบนี้ไปได้ แต่ผมก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรครับ ก็พูดคุยไปเรื่อย เธอก็เป็นคนคุยสนุกดีครับ คุยกันสักพักผมก็ขอตัวไปห้องน้ำ กินเบียร์ทีไรปวดไวทุกทีสิน่า



หลังจากปลดปล่อยความทุกข์เสร็จ ระหว่างที่ผมเดินกลับไปที่โต๊ะ ผมก็มองหาไอแสง ไม่รู้มันเดินหายไปไหนแล้ว ไอเพื่อนทรพี ได้หญิงแล้วถีบเพื่อนทิ้งเลย ด้วยความที่ทางเดินหน้าห้องน้ำมันมืดๆ สลัวมีเพียงไฟสีส้มเล็กๆ ส่องทางอยู่นิดหน่อย ผมมัวแต่เดินมองหาเพื่อนจนไม่ได้มองข้างหน้า จึงทำให้ผมไปเดินชนคนคนหนึ่งเข้า



“ ขอโทษครับ พอดีผมไม่ได้มองทาง เป็นอะไรมั้ยครับ ”



“ จีบหญิงเป็นกับเค้าด้วยเหรอ ” อื้มมม กูว่ากูน่าจะหูฝาดนะ ทำไมเสียงมันคุ้นๆ สงสัยผมจะหลอนไปเอง ผมไม่ได้พูดอะไรกลับ ผมเห็นร่างสูงข้างหน้าไม่ชัดเพราะด้วยความที่มันมืด เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้เป็นอะไรมากมาย จึงเบี่ยงหลบจะเดินผ่านไป



“ วันนี้วันหยุด นอกเวลาทำงานก็เลยไม่รู้จักกันเลยงั้นสิ ”



คราวนี้ผมยื่นหน้าเข้าไปมองใกล้ๆ เมื่อสายตาเริ่มชินกับความมืด ดวงตาหวานวิบวับที่ผมคุ้นเคยทำให้ผมอ้าปากค้าง



“ คะ คุณเนตร ”



“ ใช่น่ะสิ ตานายนี่บอดหรือไง อยู่ตรงหน้าแค่นี้กลับมองไม่เห็น ”



“ ก็มันมืดนี่ครับ ” ร่างสูงตรงหน้าไม่พูดอะไร แต่กลับจับแขนผมดึงให้ผมเดินไปทางเดิมที่ผมออกมา เมื่อเดินไปที่โต๊ะ ไม่เห็นหญิงสาวคนนั้นแล้ว ยังไม่ทันรู้เบอร์เลย โธ่ ไอคุณชายมานั่งที่โต๊ะกับผมแทน แล้วยกมือสั่งเครื่องดื่ม



“ นายมากับใคร ”



“ กับเพื่อนครับ ” ผมนั่งลอกแลกหาไอห่าแสงที่มันอันตธานหายไปไหนไม่รู้ แม่ง เห็นผู้หญิงดีกว่าเพื่อน ไอเพื่อนเลวว



“ แล้วเพื่อนนายหายไปไหนละล่ะ ”



“ ผมก็ไม่รู้ครับ เดินไปหาเป้าหมายแล้วหายไปเลย ”



“ เป้าหมาย? ”



“ เอ่อ คือผมหมายถึงผู้หญิงที่มันปิ๊งน่ะครับ ” ผมหัวเราะแหย ยกมือเกาหัวเบาแก้เก้อเบาๆ อยากจะร้องไห้ วันนี้เป็นวันหยุดแท้ๆ ดันต้องมาเจอเจ้าตัวปัญหาที่ทำให้ผมสับสนนี่



“ หึ แล้วนายไม่มีเป้าหมายกับเค้าบ้างเหรอไง หรือหลุดไปแล้ว ”



“ ผมไม่นิยมมีเป้าหมายครับ จะจีบก็จีบเลย แมนๆ ” ผมยืดอกพลางพูดด้วยความภูมิใจในความแมนของตัวเอง



“ แล้วผู้หญิงเมื่อกี้ล่ะ ”



“ คุณเนตรเห็นด้วยเหรอครับ ”



“ ประเจิดประเจ้อขนาดนั้น เป็นใครใครก็เห็น ”



“ อยู่ๆ เขาก็มานั่งที่โต๊ะผม ผมเลยเลยตามเลย ” คนตรงข้ามผมมองผมราวกับรู้ทัน ทำให้ผมเริ่มลอกแลกเบาๆ มองมาขนาดนี้จะสิงตัวกูเลยไหมล่ะ โธ่



หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกัน พนักงานเดินมาเสิร์ฟเครื่องดื่มที่ไอคุณชายสั่ง ผมก็นั่งจิ้มมือถือ ส่งข้อความหาไอแสงว่ามันไปมุดหัวอยู่ที่ไหน และตอบแชทของไอคุณแดเนียลที่มันขยันส่งมาทุกวันทั้งๆ ที่บางครั้งผมก็ไม่ค่อยจะตอบเท่าไหร่ เมื่อจัดการกับมือถือตัวเองเสร็จ อยู่ๆ มือขาวๆ ของไอคุณชายยื่นมาตรงหน้า ผมมองด้วยความสงสัยว่าจะเอาอะไร อีกฝ่ายก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ฉกมือถือจากมือถือของผมไป ผมร้องโวยวายทั้งๆ ที่มือถือก็ไม่มีอะไรที่เป็นความลับ



รู้สึกถึงความเดจาวูมั้ยครับ



แม่ง ไอคุณชายบ้าบอ



เจ้าตัวเอาไปกดๆ อะไรก็ไม่รู้ ผมก็ดันไม่ได้ล็อคหน้าจอไว้ด้วย อีกฝ่ายก็เข้านู่นออกนี่ตามใจชอบเลย ผมทำหน้าบึ้งไม่สบอารมณ์อย่างหนัก สักพักคนตรงข้ามทำสีหน้าพึงพอใจเล็กน้อยๆ บ่งบอกให้รู้ว่าทำธุระของตัวเองกับมือถือของผมเสร็จแล้ว จึงยื่นมาคืน ผมรีบกระชากกลับคืนมาดู



โอ้โฮ ทั้งเบอร์ ทั้งไลน์ ทั้งเฟสบุ๊ค ทั้งอินสตราแกรม เรียบร้อยเลยครับ ว่องไวแท้



ผมส่งสายตาขุ่นไปให้เจ้าตัว อีกฝ่ายก็แค่ยักไหล่ หึ ได้จะเอาแบบนี้ใช่มั้ย ผมรีบกดเข้าไปในแอฟทั้งหลายที่ไอคุณชายเพิ่งเข้าไป



“ ลองลบสิ ดูซิเงินเดือนเดือนนี้นายจะได้รับไหม ” ผมชะงัก ก่อนจะวางมือถือบนโต๊ะอย่างหัวเสีย ฮึ่ยยยย หงุดหงิดโว้ย



“ แล้วคุณเนตรมาที่นี่ได้ยังไงครับ ” ผมเปลี่ยนเรื่อง เพื่อสงบสติอารมณ์ตัวเอง



“ เพื่อนนัด ”



“ แล้วไม่ต้องไปนั่งกับเพื่อนเหรอครับ ”



“ มันกลับไปแล้ว ”



“ อ้าว ”



“ อ้าวอะไร ก็มันกลับไปแล้วไง ”



“ แล้วคุณเนตรไม่กลับเหรอครับ ”



“ เผอิญเจอคนหน้าหม้อซะก่อนเลยยังไม่อยากกลับ ” เจ้าตัวพูดเสียงยียวน พลางกอดอกมองมายังผม นี่มันอย่างกับตำรวจนั่งจับผิดคนร้ายชัดๆ ก็ตัวต้นเหตุมันคือใครกันล่ะ ไอคุณชายบ้าบอ แล้วทำก็ต้องทำหน้าบึ้งเหมือนเดิมเพราะไอสายตาที่จ้องมานั่น มันจะจ้องไปถึงไหนกัน ตัวกูจะพรุนไปหมดแล้ว



“ นายจะกลับยัง ”



“ ผมต้องรอเพื่อนครับ ”



ร่างสูงพยักหน้าเข้าใจ อยู่ๆ มือถือผมดังขึ้น โอ้โฮ ตายยากแท้ กำลังพูดถึงอยู่เลย



“ ฮัลโหล มึงอยู่ไหนวะ ”



“ มึงๆ โทษที กูออกมาข้างนอกแล้ว ไปต่อกันอีกร้าน ”



“อ้าวว ไอเวรนี่ ทิ้งกูเลยนะ” ผมขึ้นเสียงกับคนในสาย พลางเหลือบมองไอคุณชาย แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายนั่งจิ้มมือถืออยู่จึงเลิกสนใจ



“ เออๆ นั่นแหละ แต่กูเช็คบิลโต๊ะเราไปแล้วนะ มึงจะกลับยังไง ไม่ได้เอารถมาด้วย ”  ตอนมาผมนั่งรถมากับไปแสง เพราะบ้านเรามาทางเดียวกัน เลยขับคันเดียวมาจะได้ประหยัดน้ำมันด้วย แต่ขากลับท่าทางจะถูกทิ้งให้เดียวดายแล้วล่ะครับ



“ ทำอย่างกับมึงจะมารับกูงั้นแหละ ไอห่า ”



“ เออ อย่าด่ากูๆ กูขอโทษ เดี๋ยวชดใช้ให้ ”  ไอแสงพูดติดขำ



“ เลี้ยงหนังกูทั้งปีเลย ”



“ โอ้ย ไอเพื่อนเวร ครั้งที่แล้วกูยังเลี้ยงมึงไม่ครบเลย มึงจะเอาอีกแล้วเรอะ ”  ปลายสายโวยวายหนักเมื่อผมยื่นข้อเสนอ



“ ล้อเล่นโว้ย เดี๋ยวกูกลับเอง ไม่เป็นไร เชิญอยู่กับยอดหญิงของมึงไปเถอะ ”



“ จุ๊ๆ อย่าโกรธเค้าน้าตัวเอง ”  น้ำเสียงอ้อนๆ ของมันแต่ทำไมผมฟังแล้วสยิวกิ้ว มันไปอ่อยเหยื่อด้วยเสียงแบบนี้ยังไงให้ติดวะ แม่ง ขนลุกชิบ



“ กูเปลี่ยนใจละ มึงเลี้ยงหนังทั้งปีท่าจะดี ”



“ เฮ้ยยย ใจเย็นๆ เพื่อนน ”  ผมหัวเราะก่อนจะตัดสายไป หันมาอีกที ก็เห็นไอคุณชายนั่งมองมาอยู่แล้ว ตายห่า เมื่อกี้กูคุยอะไรกับไปแสง ไอคนตรงหน้านี่มันได้ยินอะไรไปมั่งวะเนี่ย





“ นายจะกลับยังไง โดนเพื่อนทิ้งละนิ ” ทำไมต้องเน้นคำว่าทิ้งด้วยวะเนี่ย ตอกย้ำความนกจริงๆ



“ เดี๋ยวผมนั่งแท็กซี่กลับเองก็ได้ครับ ”



“ น่าสงสารจริงๆ ” เจ้าตัวส่ายหัวเบาๆ ผมกำลังจะเปิดปากบ่นไอคุณชายบ้านี่ แต่อีกฝ่ายก็พูดขึ้นมาซะก่อน



“ ไปสิ เดี๋ยวฉันไปส่ง ”



“ ฮ้ะ ”



“ มาฮ้ะอะไร ฉันบอกว่าจะไปส่งไง หูตึงจริง ”







ผมเดินตามร่างสูงตรงหน้าออกจากร้านด้วยความมึนๆ งงๆ วันนี้เจ้าตัวขับรถมาด้วยตัวเอง ก็แน่สิวันนี้วันหยุดผมนี่นา เมื่อเราทั้งสองอยู่บนรถก็ต่างคนต่างเงียบกริบ มีแต่เพียงเสียงเพลงเปิดคลอเบาๆ ที่พอจะช่วยทำให้บรรยากาศไม่อึดอัดเกินไปนัก ผมผินหน้ามองออกไปทางหน้าต่าง ผู้คนรถรามากมายไม่ได้ดึงความสนใจผมเลยเอาจริงๆ สิ่งที่เอาแต่ตามรังควาญจิตใจผมอยู่ช่วงนี้ก็มีแต่ท่าทีของไอคุณชายที่แปลกๆ ไป หรือตัวผมก็ไม่รู้ที่แปลกไปเอง ปกติแล้วถ้าผมนัดไอแสงมาอ่อยสาว ผมจะต้องมีความกระตือรือร้นมาก ต่างจากเมื่อครู่ที่ผมเฉยๆ เหมือนแค่พูดคุยธรรมดาแล้วก็จากกัน



อย่างที่บอกว่าผมมักชอบแอบมองเจ้าตัวบ่อยๆ ไม่รู้เพราะหน้าหวานเหมือนผู้หญิงหรือผมผิดเพศไปแล้ว หรือเพราะอยู่ใกล้ชิดกันเกินไปกันแน่ เห้อ ปวดประสาท ไม่นาน ความมึนเมาจากแอลกอฮอลและแอร์เย็นๆ ก็ทำให้ผมผลอยหลับไปอย่างง่ายดาย



ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ผมค่อยๆ รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา มองไปรอบๆ พบแต่ความมืด หัวสมองรำลึกได้ว่า ผมไปกินที่บาร์เจ้าประจำ เจอไอคุณชาย โดนเพื่อนเท และไอคุณชายเสนอตัวมาส่งที่บ้าน…



เฮือกก



ผมเบิกตากว้างรีบหันไปหาที่นั่งคนขับข้างตัวทันที ก็พบว่าเจ้าตัวกำลังมองมาอยู่แล้ว ผมมองออกไปข้างนอกกระจก เห็นประตูทางเข้าคอนโดอันคุ้นตาของตัวเองอยู่ข้างหน้า ไม่รู้ว่ามาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมรีบถอดเข็มขัดและหันไปขอบคุณอีกฝ่ายเบาๆ ก่อนจะเปิดประตูออกไป



“ เจอกันพรุ่งนี้นะ ” ผมชะงัก เมื่อได้ยินเสียงของไอคุณชายระหว่างกำลังจะก้าวขาออกไป



“ ครับ เจอกันพรุ่งนี้ ” ผมตอบเสียงเบาๆ รู้สึกปั่นป่วนภายใน



“ ถ้าพรุ่งนี้มาสายเพราะวันนี้ไปอ่อยสาวเพลิน นายโดนแน่ ” ผมหันขวับไปมองแรง แล้วรีบลุกออกไปจากตัวรถ ได้ยินเสียงหัวเราะตอนที่ผมจะปิดประตู



ผมเดินกระฟัดกระเฟียดขึ้นคอนโด เสียบคีย์การ์ดแล้วเดินเข้าไปในห้อง ทิ้งตัวลงอย่างแรงบนโซฟาจนแทบหัก พยายามนับหนึ่งถึงสิบเพื่อสงบจิตสงบใจ อีกนิดจะเข้ายูทูปเปิดคลิปบทสวนมนต์ละ นึกถึงเหตุการณ์เมื่อกี้แล้วอายชะมัด แม่งเอ้ย! คนบ้าอะไรขยันทำให้ใจเต้นจังวะ ผมสะบัดหัวพยายามจะปัดความคิดแย่ๆ นี้ออกจากหัว



กูไม่ยอมรับหรอกโว้ยยย



ผมรีบเดินเข้าไปอาบน้ำเพื่อทำให้หัวเย็นขึ้น ผมอาจจะห่างจากสาวมานานจึงทำให้ตัวเองผิดเพี้ยนขนาดนี้ ผมเคยมีแฟนนะไม่ใช่ไม่เคยมี แต่ตั้งแต่เลิกกันก็ตั้งแต่ตอนอยู่มหา’ ลัยแล้ว หลังจากนั้นก็มีคุยๆ บ้างประปราย แต่ไม่ได้ถึงขั้นจริงจังขนาดจะคบเป็นแฟน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผมเอ้อระเหยลอยชายไปเรื่อย มุ่งแต่ทำงานจนเรื่องความรักเหี่ยวเฉา



ผมเดินออกมาจากห้องน้ำ พุ่งตัวล้มนอนลงที่เตียงนอน ในหัวมีแต่เรื่องไอคุณชายนั่น ผมพยายามข่มตาหลับแทบตาย แต่ใบหน้าขาวๆ ของไอคุณชายนั่นกลับลอยแวบเข้ามาในหัวได้ตลอด ให้มันได้แบบนี้สิ ให้ตาย!







วันรุ่งขึ้นร่างกายผมก็เป็นไปตามธรรมชาติครับ ตาลอย ขอบตาดำคล้ำอย่างกับแรคคูน ผมนอนไม่หลับทั้งคืนเลย ทำให้วันนี้ผมอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ จนไอคุณชายทำหน้างง อย่างกับหญิงมีประจำเดือน ตั้งแต่เช้าผมทำหน้าบึ้งหน้าตึงตลอด จนโดนอีกฝ่ายบ่นเข้าให้ แต่ผมก็ยังไม่วายทำท่ามึนตึงใส่ เพราะอาการนอนไม่พอหรือเป็นเพราะอย่างอื่นก็ไม่รู้ ผมพยายามทำจิตทำใจให้มันสงบ พยายามดึงสติ แต่พอคิดว่าเดี๋ยวจะต้องเจอหน้าไอคุณชายผมก็รู้สึกปั่นป่วนไปหมด



“ เฮ้อ ” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะนั่งอยู่ที่โต๊ะประจำของตัวเอง ผมเคลียร์งานเสร็จเรียบร้อยได้สักพักแล้ว เหลือแค่รอเวลาไอคุณชายออกมา ผมเอนกายพิงเก้าอี้ หลับตาลงพักสายตาอย่างเหนื่อยล้า ตอนนี้ผมปวดหัวไปหมด ตอนนี้อาการอดหลับอดนอนกำลังเล่นงานผมแล้วแน่ๆ อาการเบลอๆ นี่ก็ทำให้ตอนแรกที่แค่อยากจะพักสายตา กลายเป็นว่าผมหลับไปโดยไม่รู้ตัว









อื้มมมม นุ่มสบายยย



ผมบิดขี้เกียดขจัดความเมื่อยล้าตามความเคยชิน เกือบจะหลับต่อแล้ว แต่ความรู้สึกตงิดๆ ทำให้ผมลืมตาขึ้นมา ผมลุกขึ้นมาช้าๆ นิ่วหน้านิดหน่อยเมื่อยอาการปวดหัวยังรุมเร้า ความเบลอยังคงอยู่ เพิ่มเติมคืออุณหภูมิตัวที่อุ่นๆ คล้ายจะเป็นไข้ ผมยกมือขึ้นนวดตรงขมับ



ที่นี่มันที่ไหนวะเนี่ย



ภายในห้องมืดสนิด เครื่องปรับอากาศส่งเสียงเบาๆ มีเพียงแสงไฟจากภายนอกที่ส่องลอดทางหน้าต่างมู่ลี่ ผมเกาหัวแกรกๆ ด้วยความงงงวย หันไปทางด้านซ้ายเห็นประตูอย่างเลือนลางซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นห้องน้ำอยู่ทางมุมหนึ่งของห้อง จึงเดินเข้าไปเพื่อจะล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นขึ้น



เมื่อเดินออกมาจากห้องน้ำ ผมก็รู้สึกดีขึ้นเมื่อได้ล้างหน้าล้างตาแปรงฟัน แปลกชะมัด เหมือนมีอุปกรณ์ครบครันพร้อมเลยนะเนี่ย แม้กระทั่งแปรงสีฟันใหม่เอี่ยมที่ยังไม่ถูกแกะออกจากกล่องก็วางอยู่ให้พร้อมใช้ ผมจึงถือวิสาสะใช้มันซะเลย ฮา



ผมพยายามหาสวิตซ์ไฟ แต่ด้วยความมืดผมจึงหาไม่เจอซักที มือควานหามือถือตามความเคยชิน แต่พบแต่ความว่างเปล่า มือถือผมหายไปไหนวะเฮ้ย ขณะที่ผมกำลังเป็นบ้าเป็นบอหามือถืออยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงขยับตัวเสียดสีกับผ้าปูบนเตียงนอน ผมหันขวับไปมอง แต่ความมืดก็ทำให้ผมรู้สึกเหมือนตาบอด มองไม่เห็นเลยโว้ยย ผมค่อยๆ เดินไปที่เตียงช้าๆ แต่เมื่อเดินไปถึงด้วยความที่ผมไม่ระวัง ทำให้ขาไปสะดุดขอบเตียง จึงล้มไปที่เตียงเต็มแรง



“ อึก ” เหมือนได้ยินเสียงคนร้องแฮะ มือผมดันไปโดนอะไรเข้าไม่รู้ รู้อย่างเดียวคืออุ่นๆ และลื่นๆ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะลุกขึ้นมาตั้งหลัก ไอตัวอุ่นๆ ลื่นๆ ที่ผมแตะไปโดนเมื่อกี้ก็ขยับ ผมสะดุ้งตกใจ พยายามทำตัวให้นิ่งที่สุด แต่สงสัยคงนิ่งเกินไป ตะคริวแดกเลยครับ!



“ โอ้ยยย ตะคริวๆๆๆ ” ผมพลิกตัวลงไปบนเตียง พยายามยืดขาออกไปให้มันตึง



ทันใดนั้น ห้องก็สว่างจ้าขึ้นมา ผมหยีตาเพราะด้วยความที่ยังไม่ชินกับแสง ผมยังไม่หยุดนวดขาข้างที่เป็นตะคริว และเมื่อสายตาโฟกัสไปยังที่ที่ผมคาดว่าน่าจะมีสวิตซ์ไฟ ดวงตาที่หยีอยู่ก็เบิกกว้างขึ้นมาจนแทบจะถลน



ไอ-คุณ-ชาย!



มาอยู่นี่ได้ไงวะเนี่ย!






โปรดติดตามตอนต่อไป....


ฮะๆๆๆๆๆ แค่กๆ เอ่อ พะ พอดีหนูมาเลทมากไปหน่อย

อย่าทำอะไรหนูเลยนะค้าา ไหว้เแล้ววว

 :o12:

หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด >>> อัพเดต ตอน 11 พิสูจน์ความเป็นชาย!! (15/07/63)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 15-07-2020 23:19:29
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด >>> อัพเดต ตอน 11 พิสูจน์ความเป็นชาย!! (15/07/63)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 16-07-2020 00:23:02
คุณชายหน้าวอกเป็นพระเอกเหรออ แล้วเดเนียลคู่ใครละเนี่ยะ
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด >>> อัพเดต ตอน 11 พิสูจน์ความเป็นชาย!! (15/07/63)
เริ่มหัวข้อโดย: Tassanee ที่ 18-07-2020 13:19:11
แอร๊ยยยยยยยยจจ
 :ling1: :z2:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด >>> อัพเดต ตอน 12 (29/07/63)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหมีวุ่นวาย ที่ 29-07-2020 12:03:55
ตอนที่ 12
" คนแมนแมนกับความป่วยของพวกเขา "





“ นายทำอะไรของนาย ฉันจุกไปหมดแล้วเนี่ย ” ร่างสูงร้องโอ้ย ชี้ร่องรอยแดงจางๆ ที่ต้นเหตุมาจากกระผมคนดีคนนี้ สีหน้าง่วงงุนและขุ่นเคืองชวนตีได้ทุกเมื่อ



“ ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ มันมองไม่เห็นอ่ะ ” ผมพูดเสียงอ่อย จ๋อยสนิท วันนึงผมต้องตกใจเพราะอีกฝ่ายกี่รอบเนี่ย แต่พอนึกขึ้นได้ว่าตัวเองมาโผล่อยู่ที่นี่ได้ยังไง ก็รีบถามต่อ


“ แล้วที่นี่มันที่ไหนกันครับ แล้วคุณมานอนอยู่เตียงเดียวกับผมได้ยังไง ”



“ ก็ใครใช้ให้นายหลับเป็นตายหน้าห้องฉันล่ะ นี่ฉันแบกนายเข้ามานอนก็บุญถมไปละ ยังมีหน้ามาทำร้ายฉันอีก ” อีกฝ่ายทำเสียงจิ๊จ๊ะเบาๆ เชิงขัดใจ ทิ้งตัวลงไปนั่งบนเตียงนอน เสยผมลวกๆ ผมมองอย่างเคลิบเคลิ้ม





ห่า เซ็กซี่ชิบหาย

ฮึ่ยยยยย เลิกคิด!





“ แบกเข้ามา? ” ผมพึมพำกับตัวเองเบาๆ “ อย่าบอกนะว่านี่เรายังอยู่ที่บริษัทเหรอครับ! ”



“ ก็ใช่น่ะสิ นี่เป็นห้องนอนของฉันเอง อยู่ในห้องทำงาน ” เจ้าตัวพูดพลางหาวไปด้วย “ ฉันจะนอนต่อแล้ว ง่วง นายช่วยปิดไฟด้วยนะ ”



“ เอ่อ ถ้าผมขอตัวกลับก่อนได้ไหมครับ ”



“ ตอนนี้? ตีหนึ่งเนี่ยนะ ”



“ ห้ะ ตีหนึ่ง! ” ผมรีบหันขวับไปมองนาฬิกาตั้งโต๊ะข้างเตียง เข็มนาฬิกาชี้เลขหนึ่งพอดิบพอดี “ นี่ผมนึกว่าสองสามทุ่ม ผมหลับไปนานขนาดนี้เลยเหรอ ”



“ ก็ใช่น่ะสิ แถมเรียกไม่ยอมตื่นด้วย ฉันก็กลัวว่านายจะตายไปแล้ว ”



“ พอดีเมื่อวานผมนอนไม่ค่อยหลับน่ะครับ ” ก็เพราะใครกันล่ะ! โธ่เว้ย แล้วเอาไงดีวะเนี่ย ถ้านอนต่อก็ต้องนอนกับไอคุณชายนี่ ไม่งั้นก็ไม่รู้จะนอนตรงไหน จะไปนอนโซฟาในห้องทำงานก็ดูน่าเกลียดอีก ผมยืนกระสับกระส่ายตัดสินใจไม่ได้ซักที



“ นายไม่สบายเหรอ ” อยู่ๆ อีกฝ่ายก็ถามขึ้น



“ ไม่ได้เป็นอะไรมากครับ แค่ปวดหัวนิดหน่อย ”



“ ก็ว่าอยู่ วันนี้นายอย่างกับซอมบี้ ” อีกฝ่ายตบที่เตียงเบาๆ แล้วพูด “ มานั่งนี่ ”



ผมทำท่าระแวดระแวงยืนอยู่กับที่ ไม่ยอมเดินไป แต่ไอคุณชายกลับส่งสายตาขมขู่บังคับให้ผมเดินไป เราเล่นเกมจ้องตากันอยู่อย่างนั้น จนในที่สุดอีกฝ่ายทนไม่ไหว ลุกขึ้นมาดึงมือผมให้ไปนั่งข้างๆ ผมนั่งแข็งเกร็ง กลัวว่าตะคริวเมื่อกี้จะกำเริบขึ้นมาอีกรอบ



“ ไม่ต้องกลัวขนาดนั้นก็ได้ ดูสารรูปนายซะก่อน พิศวาสยังไงให้ไหว ฉันก็เลือกเหมือนกันนะ ”



“ อย่ามาบูลลี่หน้าตาผมนะครับ ใครกลัว ผมเนี่ยนะกลัว ” กูสั่นสู้นะโว้ย เอาดิ!



“ หึ ตัวแข็งเป็นศิลาจารึกร้อยปีแล้วยังจะมาเถียงอีก ” เขาไม่พูดเปล่า เอาฝ่ามือขึ้นมาอังที่หน้าผากผม





ปุ๊งง (เสียงหม้อน้ำระเบิด)





ตอนนี้ตัวผมระเบิดไปหมดแล้วครับท่านน ฮืออ สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ารักคนนี้ขอตายดีกว่า เมื่อเห็นใบหน้าของไอคุณชายหน้าขาวนี่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ แถมมือยังจับนู่นลูบนี่ จนตัวผมเองเห่อร้อนไปหมด วูบวาบตามเนื้อตัวเลยครับ ฮืออ



“ น่าจะมีไข้นิดหน่อยนะ ยังปวดหัวอยู่ไหม ”



“ นิดหน่อยครับ ”



“ ในห้องนี้น่าจะมีกล่องปฐมพยาบาลอยู่ เดี๋ยวรอนี่นะ ฉันไปหาดูก่อน ” เมื่อไอคุณชายลุกเดินไป ผมรีบเอาผ้าห่มคลุมหัวตัวเองทันที อายชิบเป๋งเลยเว้ย เกิดมามีแต่หญิงดามใจ นี่เป็นครั้งแรกที่ดันแมนเหมือนกัน ถึงผมจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายชายแท้หรือเปล่าก็เถอะ เฮ้อ คนแมนกลุ้มใจ



หลังจากนั้นร่างสูงก็เดินกลับมาพร้อมยาสองเม็ดในมือและน้ำเปล่า เมื่อผมกินยาเรียบร้อย อีกฝ่ายทำหน้าพึงพอใจเล็กน้อย และหันหลังจะเดินไปปิดไฟ ผมรีบลุกขึ้นเพื่อจะจะหาที่ซุกหัวนอนของตัวเองในคืนนี้



“ นั่นจะไปไหน ”



“ ผม เอ่อ จะไปนอนที่โซฟาข้างนอกครับ ”



“ นอนตรงนี้แหละ จะไปนอนข้างนอกให้เปลืองแอร์เล่นทำไม ”



“ มันน่าจะไม่เหมาะสมนะครับ คุณก็เป็นเจ้านายผม ” ไอคุณชายได้ยินแล้วก็ทำหน้าอึ้งพักหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมา มันขำตรงไหนกันวะ ก็คนมันเกิดมามีมารยาทอ่ะเฮ้ย



“ ทั้งที่ตอนนอนเมื่อกี้นี่รัดฉันแน่นจนแทบจะปล้ำฉันอยู่แล้วเนี่ยนะ ”



“ ผมอ่ะนะ คุณละเมอหรือเปล่า ”



“ ฉันจะโกหกทำไมล่ะ เอะอะจะกอดฉันท่าเดียว ฉันนี่เปลืองตัวให้นายกอดฟรีขนาดนี้ ยังจะมาเถียงอีก ”  โอ้โฮ เปลืองตัวเลยเหรอ ไอคุณชายยย โอ้ยย ผมนี่ขึ้นครับ



“ ขอโทษละกันนะครับที่ทำให้เปลืองตัว จะกอดผมกลับไหมล่ะครับ จะได้เจ๊ากัน ”



“ ไม่เอา ไม่คุ้มหรอก นายนี่นอกจากจะชอบแต๊ะอั๋งแล้วยังขี้อ่อยอีก ”



“ ผมไปอ่อยอะไรคุณตอนไหนไม่ทราบ ”



“ ก็นี่ไง อ่อยอยู่ชัดๆ ” เจ้าตัวไม่รอให้ผมเปิดปากพูด เดินตรงไปที่เตียงแล้วยึดครองฟากหนึ่งของเตียงไป แล้วตบเตียงเป็นการบังคับให้ผมลงไปนอนเดี๋ยวนั้น ตัวผมที่ไม่มีตัวเลือกมากนักได้แต่ปลงตกในโชคชะตา เดินเกร็งๆ นั่งลงไปที่เตียง พอผมจะล้มตัวลงนอน



“ ไม่ปิดไฟหรือไง ฉันไม่เปิดไฟนอนนะ ” ฮึ่ยย อะไรๆ ก็สั่งไปหมด ไอคุณชายบ้าบอนี่ ผมลุกกระฟัดกระเฟียดเดินไปปิดไฟ ก่อนจะเดินกลับมาล้มตัวลงนอนบ้าง ผมกระเถิบไปจนสุดขอบเตียง นอนให้ห่างจากอีกฝ่ายมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ พยายามข่มตาให้หลับ



“ ถ้าต้องการหมอนข้างก็บอกนะ เดี๋ยวยอมเปลืองตัวให้อีก ” เสียงกระซิบเบาๆ ของไอคุณชายลอยเข้าหูผม ใครกันแน่ที่ขี้อ่อย



“ นอนเถอะครับ! ” อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆ ก่อนที่เสียงจะเงียบไป



เวลาผ่านไปสักพักลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอของคนที่นอนอีกฝากก็บอกให้รู้ว่าเจ้าตัวคงหลับไปแล้ว ผมพลิกตัวกลับไปกลับมาอย่างคนที่นอนไม่หลับ จนในที่สุดก็พลิกตัวหันกลับมาทางที่ไอคุณชายนอนอยู่ นั่งจ้องหน้าเขาอยู่อย่างนั้น จิตใจว้าวุ่น ยิ่งทำให้นอนไม่หลับไปกันใหญ่ ผมเริ่มมารู้สึกว่าระยะนี้หลายสิ่งหลายอย่างของคนตรงหน้าผมนั้นอยู่ในความสนใจของผมมากจนตัวผมตกใจ ไม่ว่าเขาจะทำอะไรล้วนอยู่ในสายตาผมตลอดเวลา



สับสนหัวใจ…













โครกกกก ครากกก



เสียงท้องใครวะ เสียงดังจริง คนกำลังจะนอน ผมพลิกตัวไปอีกด้านหนึ่ง



ตึกตึก ตึกตึก



ฮึ่ยยยยย รำคาญโว้ยย ผมลืมตาพรืบขึ้นมา เพื่อจะมองว่าต้นเสียงมันคืออะไร แต่เดี๋ยวนะ รู้สึกทะแม่งๆแปลกๆ



ทำไมกูถึงมานอนกอดไอคุณชายได้ล่ะวะเนี่ย! แถมยังเอาขาก่ายไปที่ตัวเขาอีก เวร ความติดหมอนข้างนี้ท่านได้แต่ใดมา เสียงท้องร้องนั่นคงเป็นของผมล่ะสิ แต่ไอเสียงหัวใจเต้นคงเป็นของเจ้าตัวที่นอนข้างๆ ผมนี่



ผมค่อยๆ เอาขาออกมาให้พ้นจากตัวอีกฝ่าย และแอบมองอีกตามสไตล์ โอ้ว ขาวแสบตาซะจริง คนบ้าอะไรขาวได้ขนาดนี้ ขนาดผมว่าผู้ที่มีเชื้อสายจีนอย่างผมนี่ขาวละนะ มาเจอคนตรงหน้าผมนี่แพ้เลย ขนตานี่งอนหนาได้รูปไม่ต้องพึ่งไอที่ผู้หญิงใช้ปัดขนตาอะไรนั่นอ่ะ ผมก็เรียกไม่ถูก ผมไล่สายตามองตั้งแต่คิ้วยันคาง เก็บทุกรายละเอียด ผมก็ไม่รู้ทำไปเพื่ออะไร รู้แต่ว่าปกติแล้วผมไม่ได้ใกล้ชิดขนาดที่มานั่งมองแบบนี้ได้บ่อยๆ เฮ้อ ประติมากรรมอันทรงคุณค่าของชาวเรา



ผมนอนชื่นชมอยู่นานพอสมควร มารู้สึกตัวก็ตอนที่แสงแดดทแยงตาผมแล้วนั่นเอง ผมมองไปนาฬิกา เห็นเลขเข็มชี้ตรงที่เลขแปด หืมมม เลขแปด เดี๋ยว! แปดโมงเช้าแล้วเหรอวะ ตายห่า ผมรีบปลุกคนที่นอนสบายอยู่ตรงหน้าตามแพทเทิน ก่อนที่ตัวเองจะรีบเข้าไปจัดการตัวในห้องน้ำอย่างรวดเร็วความไวแสง และปัญหาที่ตามมาคือ



กูจะใส่ชุดอะไรฟร้า



ผมเดินออกมาเห็นเจ้าตัวปัญหานั่งตาปรืออยู่บนเตียง ทำไมวันนี้ไอคุณชายดูเปื่อยจังวะ



“ คุณ เอ่อ พอจะมีเสื้อเชิ้ตให้ผมยืมหรือเปล่าครับ พอดีตัวเมื่อวานมันเหม็นแล้วครับ ” อีกฝ่ายไม่ได้ตอบอะไร นอกจากชี้ไปที่ตู้เสื้อผ้ามุมหนึ่งข้างๆ ห้องน้ำ ผมจึงถือวิสาสะเปิดตู้ เสื้อผ้ามีแขวนอยู่ไม่กี่ตัว เพราะเจ้าตัวคงอาจจะไม่ค่อยได้มานอนซักเท่าไหร่ แต่ผมก็ยังสัมผัสได้ถึงออร่าความแพงของเสื้อผ้าแล้วรู้สึกไม่อาจเอื้อม จึงเลือกเสื้อที่ดูแพงน้อยที่สุดในนั้นส่งๆ ออกมาตัวหนึ่ง



เมื่อผมแต่งตัวอะไรเสร็จอย่างรวดเร็ว ทุกกระบวนการเสร็จโดยไม่ถึงห้านาที (ความไวแสงยังคงแพ้เมื่อเจอความไวรัก ฮา) แต่ก็เห็นไอคุณชายยังนั่งอยู่ที่เดิม เพิ่มเติมคือหลับตาไปแล้ว! ไอนี่มันนั่งหลับได้เว้ยเฮ้ย



“ คุณๆ ทำไมไม่ไปอาบน้ำล่ะ มันแปดโมงกว่าแล้วนะครับ ” ยังคงเงียบ ผมจึงเอื้อมมือไปสะกิดเบาๆ เจ้าตัวลืมตาปรือขึ้นมามองที่ผม ป่วยหรือเปล่าวะ ผมเอื้อมมือไปแตะที่หน้าผากเบาๆ นั่น ตัวร้อนจริงๆ ด้วยแฮะ สงสัยติดจากผมแน่เลย ทำไมตอนที่เผลอนอนกอดมันผมถึงไม่รู้วะ



ผมจัดการประคองตัวคนป่วยให้ลงไปนอน ห่มผ้าให้เรียบร้อย เช็ดตัวลวกๆ เสร็จก็เดินออกไปแจ้งอาการป่วยกับคุณเลขาและท่านประธาน ก่อนจะเดินลงไปซื้อข้าวต้มข้างๆ บริษัท ขึ้นมาป้อนให้คนป่วยกิน แล้วก็ป้อนยาให้กินตามด้วยป้อนน้ำ จบกระบวนการทุกขั้นตอน



เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าเกิดเป็นบอดี้การ์ดต้องอดทน



ผมนั่งเคลียร์งานบางส่วนเท่าที่ผมทำได้ให้ไประหว่างเฝ้าไอคุณชายที่นอนเปื่อยอยู่บนเตียง ผมไม่ได้ทำอะไรมากมายหรอกครับ ทำได้แค่จัดเอกสารที่เร่งด่วนแยกกับกองธรรมดาเท่านั้นเอง และช่วยตรวจดูเอกสารที่รออนุมัติว่ามีเรื่องอะไรบ้าง แยกๆ ตามเรื่องไปแค่นั้นเองครับ พอไอคุณชายมาทำต่อจะได้รวดเร็วขึ้น ผมว่าจริงๆ แล้วไอคุณชายควรมีเลขาซักคนนะเนี่ย เผื่อจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระได้บ้าง จ้างผมสิ จ้างโผมมมมมม



มีพนักงานหลายฝ่ายเดินมายื่นเอกสาร หรือไม่ก็ต้องการจะคุยรายละเอียดเกี่ยวกับงานต่างๆ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าคืออะไร แต่เท่าที่แยกเอกสารให้เจ้าตัวมาก็พอจะเดาคร่าวๆ ได้ ก็เลยรับมาจัดการให้เท่าที่ตัวเองจะจัดการได้ นอกเหนือจากนั้นคือต้องแจ้งคุณๆทั้งหลายให้รอเจ้านายผมอีกทีละกันนะครับคุณ โชคดีที่วันนี้ไอคุณชายป่วยนั่นไม่มีเข้าประชุมหรือมีนัดข้างนอก ไม่อย่างนั้นผมก็ไม่รู้ว่าจะปลอมตัวเต๊ะท่ายังไงให้เหมือนน่ะนะ



นั่งก้มหน้าเคลียร์เอกสารไป รู้ตัวอีกทีก็เที่ยงแล้วครับ จึงเข้าไปดูอาการไอคุณชาย นี่ผมเพิ่งจะมาสังเกตเห็นประตูที่เข้ามาในห้องนอน มันกลืนไปกับสีห้องเลยครับ ก็ว่าแล้วว่าทำไมผมมาทำงานตั้งนานแล้วไม่เคยรู้เลยว่ามีห้องนอนอยู่ในนี้ด้วย พอเข้าไปถึงก็ไม่เห็นตัวไอคุณชายแล้ว หายไปไหนของเค้าวะ



“ คุณเนตร อยู่ไหมคร้าบ ” ผมร้องเรียกไอคุณชาย เดินหารอบห้อง ในห้องน้ำก็ไม่มีเสียงน้ำหรืออะไรเลย บนเตียงก็มีแต่ก้อนขะยุกๆ ของผ้าห่ม เดินรอบห้องแล้วก็ยังหาไม่เจอ ผมเริ่มใจไม่ดี เพราะเจ้าตัวยังป่วยอยู่ ไม่รู้ว่าตอนนี้อาการเป็นยังไงบ้าง แต่ถ้าเดินออกจากห้องผมก็ต้องเห็น เพราะผมนั่งเคลียร์งานที่โซฟาในห้องทำงานของไอคุณชายตลอดตั้งแต่เช้า เพราะฉะนั้นเจ้าตัวก็ต้องอยู่ในห้องนั่นแหละ



หรือจะอยู่ในห้องน้ำ



ผมเปิดประตูห้องน้ำเข้าไปชะโงกหน้าดู



ก็ไม่มีนี่นา แล้วตัวหายไปไหนกันเนี่ย



ผมเริ่มลนลาน จึงเดินหาทุกซอกทุกมุมในห้องนอนอีกครั้ง ตัวควายๆ อย่างไอคุณชายมันจะไปซุกอยู่ตรงไหนได้



ผมเดินตรงไปที่เตียง ตบๆ ลงไปที่ผ้าห่มที่ขะยุกๆ เป็นก้อนนั่น



“ ฮื่ออ เลิกตบ ” เดี๋ยวว เสียงไอคุณชาย ผมถือวิสาสะเลิกผ้าห่มขึ้นมา



ร่างควายๆ ของมันขดจนเป็นลำไส้ใหญ่เลยครับ โธ่!



“ คุณเนตรครับ ผมหาแทบตาย ตกใจหมดเลย ทำไมมาขดอยู่อย่างนี้ล่ะครับ! ” ผมค่อยๆ พยุงตัวอีกฝ่ายให้นอนดีๆ ไม่รู้นอนแบบนั้นมานานเท่าไหร่ เหน็บกินหมดเนี่ย ได้ยินอีกฝ่ายงึมงำๆ บ่นหนาว จึงเริ่มรู้สึกเหมือนกันว่าอุณหภูมิในห้องมันหนาวยะเยือกเกินไป จึงลุกไปปรับอุณหภูมิให้สูงขึ้น แล้วเดินกลับมาพลิกตัวร่างหนักๆ นี่ให้นอนดีๆ



ไอคุณชายไม่หือไม่อืออะไร ยอมให้ผมจัดแจงท่านอนแต่โดยดี พอเห็นสภาพเป็นแบบนี้ผมก็อดที่จะอ่อนใจไม่ได้ ปกติแล้วจะเจอแต่เวอร์ชั่นคุณชายมาดผู้ยิ่งใหญ่ แกล้งผมสารพัดให้ผมงานงอกแทบทุกวัน แต่ตอนนี้เหมือนเป็นคุณชายเวอร์ชั่นใสๆ ไม่มีพิษภัย ผมมองอย่างเผลอไผลอีกครั้ง



ผมถอนหายใจกับอาการของตัวเองที่ชักจะกำเริบขึ้นทุกวัน นี่แหละหนาที่เขาบอกว่าความรู้สึกคนเรามันช่างเข้าใจยากแท้ ผมนั่งปลงกับตัวเองซักพัก แล้วจึงลุกไปเตรียมอาหารและยาให้คนตรงหน้ากิน สลับตำแหน่งกันซะงั้น เมื่อวานผมยังป่วยอยู่เลย พอมาวันนี้ไอคุณชายกลับป่วยแทน นี่มันคนป่วย 2018 ซะจริงๆ







ก่อนที่ผมจะลงไปหาอะไรใส่กระเพาะตัวเองบ้าง ท่านประธานก็แวะมาหาผมเพื่อมาดูลูกชายตัวเองครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่เป็นอะไรมาก ก็ฝากฝังให้ผมช่วยดูแล แล้วก็เดินไปทำธุระของตัวเองต่อ ผมก็เห็นใจท่านนะ ถึงคราววัยที่ตัวเองจะเกษียณได้แล้ว แต่กลับต้องมาเจออะไรแบบนี้ ก็ต้องเหนื่อยกันต่อไป จนกว่าคดีนี้จะจบ



แต่ถ้าพูดถึงคดีนี้ ทำไมมันดูไร้ร่องรอยขนาดนี้ เหมือนกันว่าแผนถูกเตรียมมาอย่างดีจนไม่มีหลักฐานอะไรที่จะเอาผิดได้เลย ตั้งแต่เกิดเรื่องอุบัติเหตุขึ้นจนถึงทุกวันนี้นี่ก็ผ่านมาเดือนกว่าเกือบสองเดือนแล้ว หลักฐานล่าสุดที่คุณเลขามารายงานให้ไอคุณชายก็มีแต่รถกับคนขับที่ยังหาตัวไม่ได้ซักที ราวกับมันหายไปกับอากาศได้ยังไงยังงั้น ทางตำรวจก็ช่วยเต็มที่ แต่ก็ยังคืบหน้าไปได้ไม่ถึงไหน



แต่ทุกคนก็เหมือนจะปักใจเชื่อว่าเป็นเพราะตำแหน่ง และคนที่ท่าประธานสงสัยก็คือพวกคณะกรรมการที่เป็นหุ้นส่วนของบริษัทแห่งนี้ คลับคล้ายคลับคลาว่าผมเคยเห็นอยู่ครั้งหนึ่งที่ตึกนี้ แต่หลังจากนั้นก็ไม่เห็นอีกเลย แต่ไอคุณชายก็บอกอยู่ว่าเจ้าตัวไม่ค่อยได้เข้าบริษัท นานๆ ทีจะเห็นตัวซักครั้ง



ด้วยความที่ไม่มีหลักฐานจึงกล่าวหาลอยๆ ไม่ได้ หรือจะเป็นประเด็นของไอแสงที่เคยพูดว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของรุ่นที่แล้วที่ไม่เคยแพร่งพรายให้ใครรับรู้ นั่นก็อาจจะเป็นได้ เพราะเขาอาจจะมีเรื่องขัดแย้งกันทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทกันเกิดขึ้น



ผมนั่งครุ่นคิดคิ้วขมวดยับยู่ยี่ไปหมดก็ยังคิดไม่ออกว่าเหตุผลที่ก่อเหตุทั้งหมดนี้เป็นเพราะอะไร จากนั้นจึงเดินกลับบริษัท เพราะไม่อยากทิ้งไอคุณชายไว้คนเดียวนานๆ ระหว่างที่ผมเดินเหม่อคิดเรื่องคดี ก็ชนเข้ากับร่างสูงคนหนึ่งที่เดินสวนกันมาอย่างจัง



“ โอ๊ะ ขอโทษครับ ผมมองไม่ดูทาง เจ็บไหมครับ ” ผมรีบก้มหัวเล็กน้อยให้อีกฝ่ายเป็นเชิงขอโทษ



“ ไม่เป็นไรครับ คุณนั่นแหละเจ็บหรือเปล่า ชนซะแรงเลย ” ร่างสูงตรงหน้าหันมายิ้มให้ สายตาช่างคุ้นเคยเหมือนกับใครซักคนที่ผมเคยเห็น แต่ผมอาจจะคิดมากไปเอง เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไร ผมจึงเอ่ยขอตัวเบาๆ แล้วเดินจากมา



แต่ใครจะรู้ เมื่อผมเดินหันหลังไป ใบหน้าชายหนุ่มที่เปื้อนยิ้ม ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม สายตาเปลี่ยนไปเป็นเย็นชาอย่างรวดเร็ว และจ้องมองตรงมาอย่างหมายมั่นบางสิ่งบางอย่าง







โปรดติดตามตอนต่อไป....

เลทแล้วเลทเลย 5555555555

เลทมิเสื่อมคลาย

เลทจนต้องกราบกรานขออภัย


 :hao6:

หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 12 คนแมนแมนกับความป่วยของเขา (29/07/63)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 29-07-2020 22:10:39
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 12 คนแมนแมนกับความป่วยของเขา (29/07/63)
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 30-07-2020 00:38:48
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 13 ผมชื่อเนตรนภิศ (27/08/63)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหมีวุ่นวาย ที่ 27-08-2020 16:56:46
ตอนที่ 13
" ผมชื่อ เนตรนภิศ "



เนตรนภิศ พากย์
 
 

หน้าตาดี บุคลิกใช้ได้ แถมดูแล้วเป็นคนไว้ใจได้พอสมควร
 

เป็นความรู้สึกของเขาเมื่อได้เห็นหน้าเจ้านี่เป็นครั้งแรก ถามว่าเขารู้ได้ยังไงน่ะเหรอ พูดตรงๆก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะเพิ่งจะเคยเห็นมันเป็นครั้งแรก แต่แค่ความรู้สึกผมบอกอย่างงั้น อาจจะเป็นเพราะหน้าตาซื่อๆทึ่มๆของเจ้าตัวล่ะมั้ง
 

เขาอาบน้ำอยู่ แต่ก็ได้ยินเสียงแว่วๆเหมือนคนคุยกันจากข้างนอก พอเดินออกมาก็เห็นผู้ชายคนหนึ่ง ตัวเตี้ยกว่าหน่อย เดินสำรวจรอบห้องเขาไม่พอ ยังหยิบนู่นหยิบนี่ตามอำเภอใจอีก คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าของหรือไงกัน แต่เขาก็ไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกไป แต่ก็ยืนอยู่ตรงมุมที่สามารถบังตัวเขาได้ และมองไปยังคนบุกรุกนี่เงียบๆ อยู่ๆมันก็เอาหัวโขกหน้าต่าง เขาจึงเดินเข้าไปใกล้ๆเพื่อดูว่ามันเป็นอะไร
 

เขายอมรับว่าแอบตกใจเมื่อเห็นเจ้านี่หันมา มันมองเขาเหมือนกับไม่เคยเห็น ตาตี่ๆของมันเบิกกว้าง แถมมองปากเขาแล้วกลืนน้ำลายนั่นอีก ทะลึ่งชิบหาย ก่อนที่มันจะเลื่อนสายตามาสบตาเขาช้าๆ มองอยู่เนิ่นนานจนมันคิดว่าท้องได้มั้งนั่น เขาจึงเลิกคิ้วหน่อยๆด้วยความแปลกใจในความแปลกประหลาดของมัน ได้ผลแฮะ มันสะดุ้งเฮือกใหญ่ คนอะไรขี้ตกใจชะมัด
 

และพอรู้ว่ามันมาเพื่อมาดูแลเขา ใจเขาก็คัดค้านอย่างแรง หน้าอย่างเจ้านี่อ่ะนะ มาเพื่อเรียกปัญหามาใส่ซะมากกว่า ไม่ได้มีแววจะสู้ใครได้เลย แต่เป็นเพราะพ่อเขาเรียกมันมา จึงจำเป็นต้องยอมรับอย่างช่วยไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะญาติดีกับมันนะ ก็แค่ต่างคนต่างอยู่กันไปแล้วกัน
 

แต่ต่างคนต่างอยู่ยังไง ก็ไม่จำเป็นต้องมาทำหน้าที่ถึงในห้องนอนนะเว้ย! ทำตั้งแต่มาปลุกตอนเช้า เขาถามมันว่าเข้ามาได้ยังไง เพราะปกติเขาจะล็อคประตูก่อนนอนทุกครั้ง มันก็ทำลอยหน้าลอยตาบอกว่าพ่อเอากุญแจให้มันเก็บไว้ชุดหนึ่ง เผื่อเกิดอะไรขึ้นจะได้ช่วยไว้ได้ทัน ซึ่งเขาอาจจะต้องกลัวมันมากกว่าที่คนร้ายเสียอีก คนอะไรหื่นชะมัดยาก มาจ้องเขาตาเป็นมันอยู่ได้ พอตัวเองโดนจับได้ก็ทำเป็นเสมองทางอื่น หน้าไม่อายจริงๆ แอบลวนลามทางสายตาอีก คิดว่าเขาไม่รู้ตัวน่ะสิ หึ
 

บางทีเขาก็กวนตีนมันไปงั้น เพราะหมั่นไส้ไอพนักงานดีเด่นของพ่อ และปฏิกิริยาท่าทางของมันก็ทำให้เขาเพลินดีเหมือนกัน ท่าทางเหมือนจะสุขุมก็ไม่ใช่ เหมือนจะโก๊ะๆก็ไม่เชิง มันผสมปนเปกันจนบางทีเขานึกว่ามันแอ๊บเก๊กไปงั้น จริงๆแล้วอาจจะปัญญาอ่อนก็เป็นได้
 

เขากลับมาไปทำงานหลังจากที่หยุดพักไปเพราะบาดเจ็บ งานก็ไม่ได้กองท่วมเพราะมีน้องชายเขา หรือเจ้านันท์และเลขาพ่อช่วยๆกันจัดการไปแล้วบ้าง เขาจึงเข้ามาทำต่อท่ามกลางเสียงคัดค้านของที่บ้าน แต่เป็นเพราะว่าเขาพักมานานเกินไปแล้ว ร่างกายผมก็ฟื้นฟูจนเกือบจะหายดีแล้ว แค่มีบางบริเวณอาจจะขัดยอกนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหามากมาย
 

และด้วยความที่เขาไม่ชอบอยู่เฉยๆแบบไร้ประโยชน์ เลยตัดสินใจกลับไปทำงานดีกว่า แต่คราวนี้ก็ต้องพ่วงบอดี้การ์ดหน้าตี๋นี่ไปด้วย เปรียบเสมือนเงาตามตัว
 

จริงๆแล้วเจ้านี่มันก็ใช้ได้ งานเล็กๆน้อยๆที่มันพอจะช่วยได้มันก็ทำเสร็จเรียบร้อยและไวมาก อาจจะเป็นเพราะมันเคยทำงานเลขามาก่อน จึงมีสกิลในด้านนี้ เลขาของพ่อบอกมาอ่ะนะ แต่สำหรับเขาแล้ว มันก็ยังขวางหูขวางตาอยู่ดี สลัดมันไม่หลุดจนกว่าเขาจะกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยไร้สิ่งตามรังควาญ แม้กระทั่งวิญญาณก็คงหมดสิทธิ์ตามเขา
 


และแล้ววันนั้นก็เกิดเรื่องจนได้
 


เขารู้สึกเบื่อๆเลยเดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อย และก็ไม่รู้ว่าสองเท้ามันมาหยุดอยู่ที่ร้านนั้นได้ยังไง
 

ร้านที่ วรรณ ทำงานอยู่
 

เขาไม่รู้ว่าเธอยังทำงานอยู่ที่นั่นอยู่หรือเปล่า เพราะตั้งแต่เลิกกัน เราสองคนก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย จนกระทั่งเขาบินไปเรียนต่อที่เมืองนอก และได้ข่าวว่าเธอหมั้นหมายกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีฐานะพอสมควร ซึ่งเป็นคนคนเดียวกับที่เขาเคยเห็น เขาก็ไม่รู้ว่าไปรู้จักกันตอนไหน กว่าจะรู้เรื่องทั้งหมดก็วันนั้นเอง…
 


ภายนอกร้านฟ้าครึ้ม ฝนตกบางเบา แต่ก็บรรยากาศมืดมนพอที่จะทำให้ความรู้สึกเขาหม่นหมอง
 

‘ เนตรรู้ตัวมั้ยว่าเนตรไม่เคยมีเวลาให้วรรณเลย ’ เสียงสะอึกสะอื้นของวรรณ เสียดเข้าไปในหัวใจของเขา เขายืนมองเธอด้วยความเสียใจ และละสายจาไปมองมือของเธอที่ถูกชายอีกคนยืนจับอยู่อย่างแนบแน่นราวกับจะเยาะเย้ยเขา

‘ จนถึงตอนนี้ เนตรก็ยังเฉยชา วรรณถามจริงๆนะ เนตรเคยรักวรรณมั่งมั้ย ’ รักหรือ เขารักวรรณแน่นอนอยู่แล้ว แต่เพราะหน้าที่ที่เขาต้องแบกเอาไว้ ทำให้เขาไม่สามารถทำตามใจตัวได้มากนัก เขาเงียบ หลุบตาอย่างคนรู้สึกผิด ซึ่งในใจรู้ดีว่าคงกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว เพราะภาพเบื้องหน้าบ่งบอกเขาได้ชัดเจนว่าเธอคงเลือกแล้ว

‘ ในเมื่อเนตรยังจะเป็นแบบนี้ วรรณก็คงไม่มีทางเลือก เราสองคน…’ เธอหยุดสะอื้นอย่างยากลำบาก ก่อนจะมองเขา ไม่หลบสายตา ดวงตาคู่นั้นที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี ภาพความทรงจำมากมายหลั่งไหลอยู่ในหัวเขา แต่วันนี้ดวงตาคู่นี้จับจ้องมาที่เขา คงไม่มีความรู้สึกดีๆหลงเหลืออยู่แล้ว เธอกำลังจะพูดประโยคถัดไปที่เขาเองรู้ดีว่าคืออะไร

‘ ผมยังรักวรรณอยู่เสมอ แต่ถ้าความรักของผมทำให้วรรณเป็นแบบนี้ สิ่งที่ผมเห็นในวันนี้ มันคงชัดเจนแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดมันออกมา ’ เขาเปิดปากพูดเป็นประโยคแรก
 

หลังจากที่เห็นเธอกับชายคนนี้ยืนจูงมือกันอยู่หน้าร้าน ถึงแม้ฟ้าฝนจะไม่มีทีท่าว่าจะหยุด แต่สีหน้าของเธอสดใสมาก ซึ่งเขาไม่เคยเห็นสีหน้าของเธอแบบนี้มาตั้งแต่เราคบกันแรกๆ เขาเดินกางร่มมาที่ร้านเพราะต้องการจะเซอร์ไพรส์เธอ แต่กลายเป็นว่าเขาถูกเซอร์ไพรส์ซะเอง
 

เมื่อเธอหันมาเห็นเขา สีหน้าตกใจ รีบปล่อยมือที่กุมอยู่ แต่คงจะเป็นชายคนนี้ที่ไม่ยอม ในใจเขาเกิดข้อสรุปได้อย่างง่ายดาย
 

‘ วรรณไม่ผิดเลยที่จะทำแบบนี้ แต่เป็นผมที่ผิดเอง เพราะฉะนั้นสิ่งที่วรรณเลือกในวันนี้ ผมจะยอมรับและจะไม่โทษใครทั้งนั้น ’ เธอยืนร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนเด็ก โดยที่ชายข้างกายไม่ปล่อยมือเธอเลยซักวินาทีเดียว เขามองอีกฝ่ายพักหนึ่ง ซึ่งคนคนนั้นก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว แต่คงเป็นสายตาของที่สื่อออกมา อีกฝ่ายคงดูแลเธอได้ดีกว่าเขา

‘ ผมขอให้วรรณโชคดีนะ ’ เขาพูดได้เท่านี้และเป็นฝ่ายเดินออกมา เขาได้ยินเสียงชายคนนั้นปลอบวรรณอย่างอ่อนโยนไล่หลังมา เสียงวรรณที่ยังคงร้องไห้หนักไม่หยุด ก่อนที่จะเดินหายไปจากมุมตึก เขาตัดสินใจหันมามองอีกครั้ง และยิ้มบางๆกับภาพที่เห็น
 

เธอตัดสินใจถูกแล้วล่ะ
 

เขาเดินจากไปท่ามกลางสายฝนที่ตกแรงขึ้นราวกับจะกลบความเปียกชื้นบนหน้า
 

และกลบเสียงความเสียใจที่อัดแน่นอยู่ข้างใน…
 


เขาหยุดนิ่ง ความทรงจำหลั่งไหลมากมาย ก่อนที่จะรู้สึกถึงแรงกระแทกข้างหลังเบาๆ หันหลับมาเห็นบอดี้การ์ดตัวดียืนลูกหน้าผากตัวเอง สีหน้ามุ่ยมองผมค้อนๆ น่าแปลกที่ความรู้สึกเจ็บปวดยามที่หวนคิดถึงวันเก่าๆกลับเจือจางไปอย่างรวดเร็ว เขายอมรับว่าอารมณ์ดีทุกครั้งที่ได้แกล้งมัน
 

แต่ไม่ทันไร ตัวเขาก็ถูกเจ้านี่ผลักล้มไปด้านข้าง เหตุการณ์มันวุ่นวายอลหม่านไปหมด เสียงผู้คนร้องตกใจดังไปทั่ว เขาพยายามตั้งสติและหันไปมองตัวต้นเหตุที่ขับมอเตอร์ไซด์หนีไป ตามมาด้วยเจ้าบอดี้การ์ดที่ได้ลงสถานการณ์จริงซักทีที่ช่วยชีวิตเขาไว้อย่างหวุดหวิด สีหน้าซีดขาวและสายตาเป็นห่วงเป็นใยของมันกลับทำให้เขารู้สึกแปลกๆในใจ
 

เขาตกใจที่เห็นมันได้รับบาดเจ็บจึงรีบพามันกลับมาทำแผล ความรู้สึกหน่วงๆใจในที่มันคืออะไรกัน เขาคงบ้าไปแล้วที่รู้สึกแบบนี้ มองมันใกล้ๆ หน้าใสๆของมันทำให้เขาเผลอจ้องอยู่นาน อยู่ๆใจเต้นแรงอย่างไม่มีเหตุผล จนมันสะดุ้งเพราะแสบแผล เขาถึงรู้ตัวว่ากดสำลีแรงไป จึงรีบดึงสติกลับมาก่อนที่อะไรๆมันจะบ้าบอไปกันใหญ่ ก่นด่าตัวเองในใจ
 


เขา – ยัง – ปกติ – ดี - อยู่!



ไม่พอแค่นั้น คืนวันนั้นเขานัดเพื่อนออกมาเจอกันหลังจากที่ไม่ได้เจอมันสักพัก เพื่อนคนนี้เป็นเพื่อนสนิทเขาตั้งแต่สมัยเรียนมหา'ลัย เจอกันไปเจอกันมาอยู่ๆมันก็มาสนิทกันเฉย เพื่อนๆคนอื่นก็เจอกันบ้างประปราย แต่คนนี้จะเจอบ่อยที่สุด และเป็นคนเดียวที่รู้เรื่องราวระหว่างเขากับวรรณ คุยอัพเดตชีวิตกันไปเรื่อยจนถึงเวลาก็กลับ เพราะเพื่อนเขารีบกลับไปหาเมียที่เพิ่งคลอดลูก ก่อนกลับมันยังแอบถามเลยว่าเขายังไม่มีคุยกับใครอีกเหรอ หน้าตาก็ดี ฐานะก็ดี น่าจะหาคนไม่ยาก


แต่ก็นั่นแหละ คนมันไม่ใช่ต่อให้พยายามหายังไงมันก็ไม่ใช่ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องนึกถึงหน้าไอตี๋นั่นตอนเพื่อนเขาถามนะเว้ย ให้ตาย!


นั่นมันทำให้เขายิ่งฟุ้งซ่านเข้าไปใหญ่ ไอเพื่อนเขาก็ทำหน้าเหมือนรู้ทันอีก เขาเลยไล่กลับไปหาลูกหาเมียซะ จะได้เลิกวุ่นวายทำให้เขานั่งเป็นบ้าเนี่ย ส่วนตัวเองก็นั่งต่ออีกหน่อย


แต่ถ้าเขาตาไม่ฝาด หรือว่าเห็นภาพหลอนน่ะนะ เขารู้สึกว่าเหมือนเห็นไอตี๋นั่นนั่งอยู่โต๊ะหนึ่งซึ่งไม่ไกลจากโต๊ะเขาเท่าไหร่ แต่โต๊ะตรงโซนเขาเป็นโซนไพรเวต ส่วนใหญ่จะเป็นพวกคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัว จึงทำให้โซนโต๊ะภายนอกมองไม่เห็นข้างใน นั่นก็ทำให้ตอนนี้ เขากำลังจ้องไปที่โต๊ะของไอตัววุ่นวายในหัวใจ อะแฮ่ม ในชีวิตเขาอยู่ เห็นจากไกลคือหน้ามันกำลังกรึ่มๆได้ที่ แต่มันไม่ได้นั่งคนเดียว กลับกันก็มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ด้วย สรุปแล้วใครมอมใครกันแน่ล่ะนั่น


เขาเริ่มไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่ตอนที่เห็นว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังลูบมือ 'คนของเขา' อยู่ ผู้หญิงดีๆที่ไหนจะจับมือผู้ชายก่อนวะ แล้วแถมไอนั่นมันก็ยอมให้เขาจับอยู่นั่นแหละนะ ทำหน้ากะริกกะรื้อใหญ่ โดยที่ไม่รู้ตัวคือคิ้วเขาขมวดจนยุ่งไปหมด แล้วที่น่าตกใจคือ ทำไมเขาต้องมาอารมณ์เสียด้วยเนี่ย นั่งสงบสติกับตัวเองพักใหญ่ เลยเรียกพนักงานเช็คบิล ครั้งที่แล้วเพื่อนเขาเลี้ยง ครั้งนี้เขาเลยเลี้ยงเพื่อนกลับ แฟร์ๆดี ไม่เอาเปรียบกัน


เขาลุกออกจากโต๊ะ เลิกสนใจโต๊ะนั้นแล้วเดินไปห้องน้ำก่อนแล้วค่อยกลับ และตอนที่เขาออกจากห้องน้ำนั่นเอง ก็เห็นคนที่ทำให้เขาเป็นบ้าเดินเมาโซเซจะมาเข้าห้องน้ำ ด้วยสภาพแบบนี้ไม่รู้เลยว่าจะรอดไปถึงโต๊ะไหม เขาเลยยืนอยู่ที่เดิมเพื่อรอให้มันเดินเข้ามา โชคดีที่ตอนนั้นไม่มีใครอยู่บริเวณนั้น จึงทำให้ไอคนเมาเนี่ยมันเดินได้โดยไม่ชนใคร แถมเอาแต่เดินก้มหน้า เขาเลยส่ายหน้าด้วยความจนใจปนหมั่นไส้ ให้มันเดินผ่านตัวเขาเข้าห้องน้ำไปก่อน รอมันออกมากะว่าจะแกล้งชนมันนิดหน่อยตอนมันเดินออกมาถึงตัวเขา



และหน้ามันตอนที่เงยหน้ามองเขาก็เป็นอะไรที่ทำให้เขาอารมณ์ดีได้จริงๆ คนอะไรเหวอได้น่ารักขนาดนี้


เดี๋ยวนะ น่ารักเหรอ? เขากำลังคิดอะไรอยู่วะ


จากนั้นเขาก็จัดการดึงตัวตัวเล็กกว่ากลับไปที่โต๊ะของมัน โต๊ะว่างเปล่าไม่มีผู้หญิงคนนั้นอยู่แล้ว แต่ก็ดี ไปซะเถอะ อย่ามายุ่งกับคนเมาเลยไม่ดีหรอก นั่งแหย่มันไปสักพัก เพลินและสนุกดี สรุปแล้วต่อไปถ้าวันไหนรู้สึกอารมณ์ไม่ดีให้มาแหย่มันจะดีขึ้นพิลึก เป็นตัวบำบัดอารมณ์ชั้นดี และที่ตลกกว่านั้นคือ มันโดนเพื่อนทิ้งให้กลับเอง น่าสงสารซะจริง หญิงก็นก เพื่อนยังมานกใส่อีก


เขาเลยรีบเสนอตัวเองเพื่อจะไปส่งมันเอง ยังแปลกใจกับตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องทำขนาดนี้ ทั้งๆที่ปกติก็ให้กลับเองก็ได้ ผู้ชายมันไม่เป็นอะไรหรอก แต่พอคิดว่าเมาๆแบบนี้แล้วยังต้องกลับเอง มันทำให้เขารู้สึกอยากไปส่งมันเฉยๆ ก็ตามประสาเวลาเห็นคนลำบากก็อยากช่วยแหละมั้ง เขาก็คนดีพอที่จะไม่ปล่อยให่้คนเมาที่สติสะตังไม่มีกลับเองหรอก (นั่งปลอบใจตัวเอง) สุดท้ายแล้วก็ลากมันไปขึ้นรถของตัวเอง และก็ขับไปส่งมันจริงๆ


ถึงจะรู้สึกแปลกที่ต้องขับรถให้คนที่ปกติต้องขับรถให้เขา แต่เขาก็ไม่นึกเดือดร้อนอะไร กลับเบาใจซะอีก ขับไปได้สักพักเลยหันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆก็เห็นหลับคอพับไปเรียบร้อยแล้ว เขาส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ คออ่อนขนาดนี้เพื่อนมันปล่อยให้อยู่คนเดียวได้ยังไง ไม่กลัวอันตรายหรือไงกัน จนขับถึงคอนโดของเจ้าตัว ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่น และก็ไม่รู้วันนี้เขาอารมณ์ดีหรืออะไร นั่งรอคนบางคนตื่นเนี่ย แต่จะว่าไปดูไปดูมามันก็เพลินดี ตอนมันตื่นขึ้นมาแล้วตาลีตาเหลือกลงจากรถก็ตลกดี พลางคิดในใจ



อยากให้ถึงพรุ่งนี้เร็วๆ จะได้รอใครบางคนมาปลุกถึงที่นอน



โปรดติดตามตอนต่อไป....


เปิดกรุความในใจของคุณพี่เนตรรรรรร


 :hao6:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 13 ผมชื่อ "เนตรนภิศ" (27/08/63)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 27-08-2020 21:55:23
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 14!!! (09/09/63)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหมีวุ่นวาย ที่ 09-09-2020 13:10:18
ตอนที่ 14
" นอกจากครอบครัวแล้ว ก็มีแต่นายที่ฉันไว้ใจ "




ผมนั่งอยู่บนโซฟารับแขกในห้องของไอคุณชายจนถึงเวลาเลิกงาน จึงได้เห็นเจ้าตัวเดินออกมาจากห้องนอน สีหน้าค่อยยังชั่วขึ้นและรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น หลังจากได้อาบน้ำ ผมมองตามเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินมานั่งที่โต๊ะทำงาน ทำทีจะสะสางงานตรงหน้าให้เสร็จ คนที่เพิ่งจะหายป่วยเลิกคิ้วขึ้นเมื่อเห็นเอกสารที่ผมกองแยกลำดับความความสำคัญเอาไว้
 

“ นายเป็นคนทำทั้งหมดนี่เหรอ ”


“ ใช่ครับ ผมกลัวว่าเอกสารจะกองเยอะเกินไปจนคุณปวดหัว จึงแยกไว้ให้ครับ ” ผมเอ่ยตอบขณะที่กำลังเก็บลงกระเป๋าตัวเอง


“ ทำดีนี่ นายเคยเป็นเลขาใช่ไหม เห็นพี่ดาบอกมา ”


“ ใช่ครับ แต่ทำได้ไม่นานก็ต้องออก ”


“ ทำไมถึงออกล่ะ เห็นว่าบริษัทเก่าก็ดีนี่นา ใหญ่ด้วย ” ผมควรจะบอกถึงเหตุผลอันอุบาทว์ให้ไอคุณชายฟังดีมั้ย ว่าผมโดนประธานโรคจิตหวังจะหยิบยื่นโอกาสอันน่าสะอิดสะเอียนให้เพื่อแลกกับการฟันข้างหลังผมสักครั้ง ขนาดพ่อแม่ผมยังไม่อยากเล่าให้ฟังเลย ไอแสงเป็นคนเดียวที่รู้เรื่องนี้


“ มีปัญหานิดหน่อยครับ เลยออกมาน่าจะดีกว่า ” ผมตอบเลี่ยงไป เพราะไม่อยากพูดถึง


“ อ้อเหรอ ไม่ใช่ว่าเกือบโดนจับกดเหรอเลยออก ” ผมหันหน้าขวับมามองคนพูด อ้าปากค้าง ทำไมมันรู้วะเฮ้ย รู้ได้ยังไง!


“ สงสัยล่ะสิฉันรู้ได้ยังไง ” เจ้าตัวพูดด้วยน้ำเสียงกระหยิ่มใจ เมื่อเห็นสีหน้าช็อคโลกของผม


“ ความลับ หึๆ ” ว่าแล้วก็นั่งก้มหน้าเคลียร์กองงานตรงหน้า สีหน้าดูพออกพอใจที่แกล้งผมได้ น่าจะป่วยๆไปต่อให้มันรู้แล้วรู้รอด พอหายแล้วนิสัยเสียเดิมๆก็กลับคืนมา ไอบ้าเอ้ย!


“ ก็ไม่อยากรู้นักหรอก ว่าแต่แล้วนี่เลิกงานแล้วนะครับ คุณจะกลับกี่โมง ”


“ เดี๋ยวฉันขอเคลียร์งานเร่งๆที่นายจัดไว้ก่อนนะ นายหิวยัง ถ้าหิวสั่งอะไรขึ้นมากินก็ได้ ” ไอคุณชายพูดไปนั่งก้มหน้าพลิกเอกสารบนโต๊ะไป


“ ผมยังไม่ค่อยหิวครับ รอส่งคุณกลับบ้านก่อนดีกว่า ”


“ ตามใจนะ ฉันขอเวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมง ” ผมพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ หลังนั่งพิงโซฟา หยิบมือถือขึ้นมาเช็คความเคลื่อนไหว เปิดแอพพลิเคชั่นสีเขียวยอดฮิตขึ้นมาเคลียร์แชทที่คั่งค้าง
 

แชทของไอแสง


แชทของที่บ้าน


แชทของเพื่อนทั้งหลาย


แชทของสาวๆที่เคยคุย (อุ้ย)


และตามเคย แชทของแดน
 

ด้วยความสงสารและเห็นใจ ผมเปิดตอบของคุณแดเนียลก่อนคนแรก หลังจากที่ค้างไปสองสามวัน ปกติผมเป็นคนขี้เกียจตอบมากถึงมากที่สุด จะมีก็ไอแสงนี่แหละที่ตอบบ่อยๆ เพราะมันตอบเร็วมาก และมีเรื่องอัพเดตตลอดเวลา ผมจึงกลายเป็นคนเพื่อนทิ้งเพราะไม่ติดต่อใครเลย อยู่กับไอแสงจนอีกนิดจะกลายเป็นผัวเมียกันละ (ฮา)


‘  เฮ้ ขอโทษนะ ผมไม่ได้ตอบซะนาน ’   ผมพิมพ์ส่งให้เขาก่อนจะกดออกไปตอบคนอื่น
 

อยู่ๆมือถือผมสั่น มีคนตอบแชทกลับ ผมจึงกดออกจากแชทหนึ่งเพื่อไปดู หูย คุณแดนเนียลตอบเร็วมาก แม่งสิงมือถืออยู่เหรอไงวะ

 
‘ ไม่เป็นไร ฉันชินแล้ว ’   รู้สึกเหมือนถูกด่ายังไงชอบกล ผมอมยิ้ม พิมพ์ตอบไปอย่างรวดเร็วแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ปกติจะดองไว้้อ่ะนะครับ


‘ นายเป็นไงบ้างช่วงนี้ ’


‘ สบายดีนะ งานเยอะนิดหน่อย แต่โดยรวมโอเค แล้วนายล่ะ ’


‘ เหมือนเดิมแหละ เออใช่ ผมได้งานใหม่แล้วนะ ’
 

เขาหายไปพักหนึ่ง แชทผมถึงขึ้นว่าอ่านแล้ว
 

‘ ถ้านายยุ่งอยู่ก็ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวค่อยคุยกันก็ได้ ’ ผมเกรงใจเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายงานยุ่งหรือเปล่า


‘ ฉันมีเวลาเสมอแหละถ้าเป็นนาย ’   หืมม นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นเพื่อนเก่า ผมนึกว่ามันจีบผมอยู่นะเนี่ย ผมจึงแซวมันไปขำๆ


‘ เขินจัง เดี๋ยวแฟนนายจะหึงเอานะ ’


‘ ฉันโสด ’


‘ ล้อผมเล่นปะเนี่ย หล่อๆอย่างนายเนี่ยนะยังโสดอยู่ ’


‘ ฉันจะโกหกเพื่อ? จีบนายได้ปะล่ะ ฮ่าๆ ’   เริ่มกวนนิดๆแล้วแฮะ ผมนั่งด่ามันในใจอยู่ มันก็พิมพ์กลับมาอีก ‘ ช่างเถอะ ยังไงฉันก็แสดงความยินดีด้วยนะ ที่ได้งานใหม่ ’


‘ แต๊งกิ้วมาก ผมเริ่มมาได้เกือบสองเดือนแล้ว ’


‘  ชื่อบริษัทอะไรล่ะ ’


‘ โอฬารกรุ๊ป นายเคยได้ยินปะ ’


‘  หืม คุ้นๆอยู่นะ ว่าแต่ตำแหน่งอะไรล่ะ ’  นั่นไง กูจะตอบยังไงดีไม่ให้มันขำท้องแตกวะเนี่ย จะบอกว่าเป็นบอดี้การ์ด ก็เห็นภาพมันมองตัวผมขึ้นลงช้าๆ พร้อมสายตาเหยียดหยันในศักยภาพของผมนั่น ชัดขึ้นมาในหัวทันทีราวกับจิตสัมผัสเลย


‘ เลขาครับ ’ เอาแบบนี้แล้วกัน ดูมีภูมิ


‘  อ้อ ทำดีๆแล้วกัน อย่าให้เขาเตะออกอีกล่ะ ’   ไอคุณแดน! กวนตีน!


‘ *สติกเก้อเป็ดหน้าเอือม* ’


‘ *สติกเก้อหัวเราะ* ’ ผมเบ้หน้าใส่แชทมัน ประหนึ่งว่ามันเห็น ก่อนจะไปตอบแชทอื่นที่เยอะมากมายก่ายกอง ตามประสาคนฮ็อต (แดก) ล้อเล่นครับ แชทร้างขนาดนี้ ก็มีแต่ไอแสงนี่แหละที่กระหน่ำทักมา
 

มือถือผมสั่น มีคนตอบแชทมาตอนที่ผมตอบแชทไอแสงเพื่อนผมอยู่ ผมคิดในใจว่าเดี๋ยวค่อยตอบ ก่อนที่เงาร่างหนึ่งค่อยๆบดบังแสงไฟ ผมเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว
 


เชี่ยยยยย



ผมตกใจจนตาแทบถลน ใบหน้าของไอคุณชายหน้าวอกอยู่ใกล้จนจมูกของเราแทบจะชนกัน ผมหยุดหายใจอัตโนมัติ นั่งตัวเกร็งไม่กล้าขยับตัว กลัวว่าถ้าขยับนิดหนึ่งอะไรๆมันจะชนกัน สายตาผมจ้องเข้าไปยังนัยตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้น ก่อนที่จะรู้สึกว่าตัวเองร้อนวูบวาบไปทั่วร่างกาย ความรู้สึกของปลากัดเวลามันจ้องตาอีกฝ่ายแล้วท้องคงเป็นแบบนี้ใช่ไหม ฮืออ หัวใจเกือบวาย
 

ส่วนร่างสูงตรงหน้าผมนั้น สีหน้ายังคงเรียบเฉย มีก็แต่สายตามันที่มองไปทั่วหน้าผมก่อนจะหยุดลงที่ริมฝีปากของผม บรรยากาศหวาบหวานนี่คืออะไร นี่มันเรื่องจริงนะไม่ใช่การ์ตูนสาวน้อย ไอดอกไม้ที่อยู่หลังใบหน้าของไอคุณชายผุดขึ้นมาเต็ม ออกไปซะ! (ผมเคยไปขโมยน้องสาวผมอ่านมา)
 

ผมหลับตาปี๋ เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำทีจะขยับใกล้เข้ามาอีก ลมหายใจแผ่วๆที่ผมสัมผัสได้ ในใจท่องนะโมเวอร์ชั้นจีนไปสิบจบแล้ว
 

“ หึ กลัวหรือไง ”  ผมลืมตาขึ้นข้างหนึ่งเพื่อแอบมอง แต่ก็ยังไม่วายเห็นเจ้าตัวยังยืนอยู่ที่เดิม ไม่ได้ผละตัวออกไป ฮือ ป๊าจ๋าม๊าจ๋า ตอนนี้รู้สึกรักป๊ากับม๊าจังเลย ต่อไปจะโทรหาบ่อยขึ้นนะครับ ผมได้แต่ร้องไห้ในใจ
 

“ เฮ้ย นาย…กลัวจนร้องไห้เลยเหรอ ” เสียงอีกฝ่ายดูตกใจ ก่อนจะผละตัวออกไป


“ ร้องอะไร ผมไม่ได้ร้อง… ” ผมเอามือลูบหน้า และตกใจเมื่อปลายนิ้วมือผมแตะโดนความชื้น กูจะร้องไห้ทำไมฟระ! โอ้ย ไอรัก ไอง่าว!
 

หมดกัน ความแมนโดยสมบูรณ์แบบของผม
 

ผมรีบดันร่างสูงออกไปเบาๆ ลุกเดินไปที่ห้องน้ำ พลางเช็ดน้ำตาให้แห้ง ปิดประตูให้สนิทแล้วนั่งยองปิดหน้าปิดตาตัวเองอย่างอับอายที่สุดในโลก อยู่ๆไปร้องไห้ให้เขาเห็นได้ยังไง การที่ร้องไห้ในใจ ไม่ได้หมายความว่าจะต้องร้องออกมานะเฟ้ย (ด่าตัวเอง) ยิ่งในหัวนึกถึงเหตุการณ์อันน่าหวาดเสียวเมือกี้แล้วยิ่งทำให้ผมแทบหยิกหน้าตัวเองให้เจ็บตายไปเลย
 

หลังจากที่กวักน้ำล้างหน้าล้างตาเป็นที่เรียบร้อย เรียกว่าแทบจะอาบหัวได้แล้วดีกว่า ผมก็เดินสะโหลสะเหลออกมาจากห้องน้ำ กวาดตามองหาไอตัวปัญหา แต่เมื่อเห็นว่าไม่มีใครจึงถอนใจด้วยความโล่งอก เดินเก็บของตั้งใจว่าจะไปรอที่รถเพื่อตั้งหลักก่อน ย่องไปทีละก้าวสองก้าว นี่กูจะย่องทำไมกัน
 

“ นั่นนายจะไปไหน ” เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยดังมาทางมุมห้องหนึ่งทำให้ผมสะดุ้งตกใจ ผมไม่กล้าหันไปสบตาจึงได้แต่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น


“ ฉันถามว่านายจะไปไหน ” เมื่อได้ยินเสียงเค้นถามอีกครั้งผมจึงตัดสินใจหันกลับมา สบตากับคนที่ทำให้ใจผมสับสนอีกครั้ง


“ ไปรอที่รถครับ ” ผมตอบเสียงแผ่ว ก้มหน้าลง
 

อีกฝ่ายเงียบไปเหมือนกับว่ากำลังใช้ความคิด ผมได้แต่ยืนตัวลีบอยู่ที่เดิม รอรับคำสั่งต่อไป แต่ก็ได้ยินแต่เสียงแอร์ที่ดังหึ่งเบาๆ และเสียงฝนที่ตกตั้งแต่ตอนไหนผมก็ไม่ทันได้รู้ตัว ความรู้สึกอึดอัดแปลกๆประท้วงอยู่ในใจ ผมไม่รู้และคาดเดาไม่ได้ว่าในใจของไอคุณชายคิดอะไรอยู่ แต่ที่รู้ๆเลยคือ เราสองคนต่างไม่ได้ชอบเพศเดียวกัน เป็นชายแท้ทั้งคู่ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมกำลังรู้สึกนั้นมันเป็นไปไม่ได้ ผมพร่ำบอกตัวเองมาตลอดว่าให้ใจแข็ง
 

แต่ลืมไปว่า หัวใจมันไม่เคยโกหก
 

ความคิดของเราต่างหากที่เป็นตัวกล่อมให้เราเชื่อในสิ่งบางสิ่งที่ตรงกันข้ามกับหัวใจ
 

เขาเป็นทายาทร้อยล้านพันล้าน เป็นคนมีหน้ามีตาในสังคม ส่วนผมเป็นคนพื้นเพกลางๆ ดูแล้วก็ไม่น่ามีส่วนไหนที่สามารถเข้ากันได้เลย
 

เดี๋ยวก่อนนะ นี่ผมกำลังคิดถึงความเป็นไปได้ของผมกับเขางั้นเหรอ อาการหนักแล้วไอรักเอ้ย!
 

ความอ่อนไหวในใจกำลังเหยียบผมให้จมดิน
 

ผมไม่รู้ว่าในห้องนั้นเงียบมานานขนาดไหน ผมยกมือทั้งสองขึ้นกุมหน้า เหมือนคนอยากจะร้องไห้ แต่ร้องไม่ออก
 

หลังจากนั้นผมก็ได้ยินเสียงคนถอนหายใจ ก่อนที่ผมจะรู้ตัว มืออุ่นของอีกคนก็ดึงมือผมออกจากใบหน้าช้าๆ สายตาผมต้องกลับไปเผชิญกับสิ่งที่ผมอยากจะหลีกหนีไปให้ไกลอีกครั้ง ใบหน้าของคนที่ผม….กำลังตกหลุมรัก ไม่อยากจะยอมรับเลยให้ตาย
 

“ นายไม่ได้ทำอะไรผิด คนที่ผิดคือฉันเอง เพราะฉะนั้นนายไม่จำเป็นต้องหงอยเป็นหมาโดนทิ้งขนาดนี้ ” ไอคนเขียน ลบประโยคข้างบนของผมเดี๋ยวนี้ ผมเปลี่ยนใจแล้ว ผมเกลียดมัน!


“ แต่นายฟังนะ สิ่งที่ฉันทำไปทั้งหมด ฉันมีสติครบถ้วนและรู้ตัว ” คนพูดเน้นย้ำประโยคหลังเป็นพิเศษ นี่ไอคุณชายกำลังบอกอะไรผมอยู่งั้นเหรอ


“ คุณ… ” ผมกำลังจะถาม แต่โดนคุณชายทำสัญญาณจุ๊ปากให้เงียบซะก่อน


“ ปล่อยตัวตามสบายเถอะ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ตอนนี้สิ่งที่ฉันต้องมุ่งมั่นก็คือเรื่องคดี ” ร่างสูงตรงหน้าผมลูบมือผมในอุ้งมือตัวเองเบาๆ ผมเหมือนคนสติลอยไปชั่วครู่หนึ่ง แต่แล้วสติของผมก็ถูกดึงเข้าร่าง ด้วยคำพูดของอีกฝ่าย
 

“ เพราะงั้น…ช่วยอยู่เคียงข้างฉันได้ไหม ”


“ … ”


“ นอกจากครอบครัวแล้ว ก็มีแต่นายที่ฉันไว้ใจ ”
 

โอย หัวใจ อย่าทำให้ผมตกหลุมลึกไปกว่านี้เลย






ผมเดินตามแรงดึงจากมือของร่างสูงตรงหน้า หน้าเห่อร้อนไปหมดเมื่อได้ฟังสิ่งที่เขาพูด บอกตามตรงนะ ถึงไม่มีคำว่ารักหลุดจากปากของไอคุณชาย ผมก็รู้สึกเหมือนตัวเองถูกสารภาพรักยังไงชอบกล


“ เดี๋ยววันนี้ฉันขับเอง นายนั่งเฉยๆเถอะ ” คนที่จูงมือผมมาตลอดทางหันมาพูดกับผมเมื่อถึงรถ


“ ขอบคุณครับ ”


“ ไม่ต้องขอบคุณหรอก ฉันกลัวไม่ถึงบ้านมากกว่า สติสตังดูท่าจะหล่นหายไปขนาดนี้ ”


“ คุณว่าผมอีกแล้วนะครับ! ” อีกฝ่ายหัวเราะชอบใจ แล้วรีบผลักหัวผมให้นั่งเข้าไปในรถ ปิดประตู จากนั้นก็อ้อมมานั่งฝั่งคนขับ
 

เสียงเพลงคลอเบาๆจากวิทยุช่องโปรดของผมเมื่อเจ้าตัวเอื้อมมากดปุ่ม เพิ่งรู้ว่าไปคุณชายก็ฟังเพลงแนวเดียวกับผมซะด้วย เห็นปกติไม่ค่อยจะเปิดเพลงเท่าไหร่ นึกว่าจะไม่มีอารมณ์สุนทรีย์ซะแล้ว
 

“ เมื่อกี้นายนั่งคุยไลน์กับใครอ่ะ เห็นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ” ไอคุณชายพูดขัดเพลงที่ผมกำลังอินเลย


“ ตอนไหนครับ ”


“ ก็ตอนที่ฉันไปยืนดูแล้วอยู่ๆนายก็เงยหน้าขึ้น แล้วเราก็เกือบ… ”


“ สต็อปครับ! ได้โปรดอย่าย้อน ” ผมรีบยกมือห้ามไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะทำให้ผมย้อนกลับไปนึกถึง ‘ เหตุการณ์ ’ นั้นอีกครั้ง


“ แหม แก้มแดงเชียว เขินเหรอไง ”


“ เขินบ้าบออะไรครับ ผมจะมาเขินกับผู้ชายทำไมกัน ”


“ หึๆ ก็เห็นอยู่ชัดๆ ” ยังไม่วายพูดลอยๆมาให้ผมได้ยินอีก ไอคุณชายบ้านี่ เดี๋ยวแม่ เอ้ย พ่อถีบตกรถ “ เอาเถอะๆ สรุปนายคุยกับใคร ”


“ เพื่อนครับ ” ผมตอบเสียงเหวี่ยง


“ เพื่อนคนที่ไปกับนายที่บาร์วันนั้นอ่ะเหรอ ”


“ คุณจำได้ด้วยเหรอครับ ”


“ ก็ฉันอยู่ในเหตุการณ์ที่คนบางคนโดนเพื่อนทิ้งหนีไปกับสาวน่ะสิ ” ว่าจบแล้วหัวเราะเสียงดัง แสดงให้เห็นถึงความจริงใจในความสะใจระดับร้อยเลยครับ ผมไม่ตอบ หันหน้าขวับเข้าหากระจก


“ เอาน่า ฉันก็แซวเล่น นายอย่าถือสาฉันเลย เวลาฉันให้ความสนใจใครก็เป็นงี้แหละ ” ผมรีบหันหน้าไปทางคนพูด สีหน้าตื่นตกใจ ความร้อนเริ่มคืบคลานขึ้นใบหน้าอีกแล้วครับท่าน นี่เตาอบเคลื่อนที่หรือเปล่า ขยันให้กูร้อนจังโวะ


“ คุณพูด...อะไรนะครับ ” ดูสิ ไปไม่ถูกเลยกู ชีวิต


“ ตามนั้นแหละ ถึงบ้านฉันแล้ว เข้าบ้านไปเอารถได้แล้วไป๊ รีบกลับบ้านนอน ”
 
 
ผมหลบหน้าอันร้อนๆของผมสุดฤทธิ์ ไม่ยอมให้ไอคุณชายนี่เห็นเป็นอันขาด รีบเดินเข้าโรงรถเพื่อไปเอารถของตัวเอง ส่วนไอบ้าที่ขยันทำให้ผมเขินนั่นนั้น ปล่อยมานนน หัวใจผมจะระเบิดแล้ว
 

ผมเข้าไปนั่งในตัวรถ ก่อนที่จะปิดประตู มืออันขาวผ่องเป็นยองใยแม้ในที่มืดก็รีบดึงประตูผมเอาไว้ เจ้าตัวเอาแขนเกยหลังคารถ ก้มหน้ามองผมที่อยู่ในรถเรียบร้อยแล้ว


“ กลับบ้านดีๆล่ะ เดี๋ยวฉันทักไปถามนะว่าถึงยัง ”


“ ไม่ต้องก็ได้ครับ ” ผมพูดพึมพำเบาๆ รีบก้มหน้าทำทีเป็นมองพวงมาลัย


“ หึ ”


“ ผมกลับก่อนนะครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ ” ผมพูดแล้วรีบดึงประตูที่อีกฝ่ายยึดเอาไว้เบาๆ แต่ก็ยังปิดไม่ได้ ผมกำลังจะเงยหน้าขึ้นไปบ่น


“ เวลานายเขินนี่… น่ารักดีนะ ”


แอคเเทคนี้ท่านได้แต่ใดมาาาาาาา!
 

ผมได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นดังกว่าเสียงหัวเราะของไอคุณชายที่หันหลังเดินกลับเข้าไปในตัวบ้านซะอีก
 

ฮือ ป๊าจ๋าม๊าจ๋า ผมอยากกลับบ้าน
 

ผมฟุบหน้าลงกับพวงมาลัย มือกุมที่หัวใจ
 

ไม่ไหวแล้วไอรักเอ้ย เอ็งตายแน่




โปรดติดตามตอนต่อไป....


คุณพี่รักรุกก่อนไม่รอแล้วนะคร้าบบ



มาถึงช่วง ตอบคอมเมนท์ค่ะท่าน!!!

เผอิญว่าไรท์ก็เพิ่งจะมาใช้เว็บไซต์นี้ครั้งแรก เลยไม่รู้ว่าเล่นอะไรยังไง เอาเป็นว่าเอาที่ไรท์สบายใจละกันเนอะ (ใครสบายใจกับเอ๊งงง) ก็ฉันจะตอบแบบเน้!

คุณ AkuaPink ขอบคุณน้าคะที่เข้ามาติดตามตั้งแต่ยังไม่อัพเรื่องเลยย แต่ไม่รู้หลังจากนั้นยังเข้ามาอ่านอยู่หรือหายไปแล้ว 55555
คุณ MayuYume เข้ามาเมนท์คนแรกเลยยยย ต้องขอบคุณจริงๆค่ะ ตอนนั้นไรท์ยังคิดอยู่เลยว่าจะมีใครเข้ามาอ่านมั้ยวะ ฮ่าๆ
คุณ cavalli เข้ามาส่งสติกเกอร์ให้ทุกครั้งเลยง่ะะ ดีใจมากก ขอบคุณเหมือนกันน้าที่เข้ามาอ่าน
คุณ blove ขอบคุณน้าที่ชมนิยายเรื่องแรกที่เซไปเซมากว่าจะได้ตอนนึงของไรท์ ซาบซึ้ง ฮืออออ
คุณ k2blove  ส่งสติกเกอร์ช็อคหมายความว่ายังไงค้าาา 555555
คุณ snoopyme  ให้เฉลยเลยมั้ยคะ อิอิ
คุณ nightsza  คุณเขาเนียนค่ะ ไม่รู้ว่าได้นิสัยจากใครมาอ่ะนะคะ (ไรท์ตีมึน 55555)
คุณ psychological ขอบคุณที่เข้ามาติดตามนิยายเรื่องแรกของไรท์น้าาา
คุณ GBlk ไรท์ขอขอบคุณค้าบบที่เข้ามาติดตาม มีอะไรติชมได้นะค้าาา
คุณ iceman555 แดเนียลรอคู่อยู่ค่ะ เชียร์ใครก็ชงเยอะๆนะคะ 555555
คุณ Tassanee แอร๊ยยยยยยยยยย จิกหมอนขาดดด (ไรท์ตื่นเต้นยิ่งกว่า)

ปล.ขอบคุณทุกทู๊กคนนนนนนนนน ที่เข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้นะค้าาา มีอะไรสามารถติชมได้เลยค่ะ ถ้าจะยิ่งดีแนะนำคนมาอ่านเยอะเยอะ ไรท์จะได้มีกำลังใจท่วมท้น จะได้ไม่ขี้เกียจ เอ้ย ไม่ลีลา เอ้ยยย ไม่รีรอที่จะอัพตอนต่อไปค่ะ 5555555

 :call:


หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 14!!! (09/09/63)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 09-09-2020 22:26:17
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 14!!! (09/09/63)
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 10-09-2020 08:20:25
คืบหน้าแร้ววว
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 14!!! (09/09/63)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 13-09-2020 13:15:51
มีเขิน มีชมกันแล้วงานนี้

ที่ส่งสติกเกอร์ช็อค เพราะแดเนียล ตอบตรงมากครับ เลยแอ็บเป็นรัก ตกใจแทนอ่ะ
 :m23: :m23: :m23:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 15!!! (01/10/63)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหมีวุ่นวาย ที่ 01-10-2020 10:47:33
ตอนที่ 15
" สนใจไหมล่ะ? "



และหลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นเป็นต้นมา ชีวิตผมก็ไม่เคยสัมผัสคำว่าสงบสุขเลยครับ คุณท่านประธานคุณภรรยาของท่านประธาน พวกท่านจะรู้บ้างไหมว่าลูกชายท่านกลายเป็นแบบนี้ไปซะแล้ว ผมกลับคอนโดทุกวันแทบไม่มีแรงเหลือให้ทำอะไร รวมทั้งเรื่องงานด้วย เพราะโดนไอบ้านั่นสั่งหัวหมุนทั้งวัน! ไอบ้าหน้าขาว (?)
 

บางวันก็ดีหน่อย ยอมให้ผมนั่งทำงานไปเงียบๆ แต่ก็ยังมิวายสั่งให้เข้าไปทำข้างในห้อง เพราะอยากเห็นหน้าเฉยๆ ถามว่าผมเขินไหม
 

เขินสิวะ!
 

จะมีอะไรไปมากกว่าการที่โดนจ้องหน้าทั้งวันจนไม่มีสมาธิ เกิดมาก็เคยแต่ไปแอ๊วคนอื่นเขา เนี่ย กรรมตามสนองมึงใช่ไหม เฉกเช่นเดียวกับวันนี้ ตัวผมก็นั่งอยู่ในห้องเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือคุณเลขาที่มาอธิบายโปรเจ็คใหม่ที่ทางบริษัทวางแผนจะขยายตลาด โดยที่ผลิตภัณฑ์จะเป็นตัวใหม่ที่กำลังจะทำการเปิดตัวในไทยก่อนเร็วๆนี้ ซึ่งจะเล็งไปที่ตลาดยุโรปเป็นจุดหลัก และอธิบายเงื่อนไขกฎเกณฑ์ต่างๆเกี่ยวกับกระบวนการการส่งออกที่บริษัทต้องกระทำตาม
 

ไอคุณชายมุ่งมั่นกับโปรเจ็คนี้มาก เพราะอยากให้เป็นการบุกเบิกที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่เข้ามาดำรงตำแหน่งในบริษัทนี้ ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้สืบทอดตำแหน่งประธานบริษัทอย่างเป็นทางการก็ตาม ผมต้องตามเขาไปดูกระบวนการผลิตที่โรงงาน พบปะคู่ค้า และพบบริษัทจัดอีเวนท์ต่างๆ รวมถึงพรีเซนเตอร์ที่บริษัทจะร่วมมือในอนาคตอันใกล้นี้ จริงๆแล้วงานต่างๆพวกนี้ให้ทางแผนกอื่นทำก็ได้ แต่ก็นะ ตามสไตล์คุณชายบ้างาน ต้องผ่านมือเขาก่อนเท่านั้น คนอื่นถึงจะรันงานต่อได้
 

ซึ่งเป็นที่มาว่าทำไมผมถึงกลับบ้านทีไรเป็นต้องสลบเหมือดทุกที
 

ส่วนไอคุณชายน่ะเหรอ สภาพก็ดีกว่าผมนิดหนึ่ง
 

ตอนนี้งานเปิดตัวสินค้าใหม่ก็ใกล้เข้ามาทุกที จึงทั้งยุ่งและทั้งวุ่นวาย ไม่ว่าจะเป็นท่านประธาน คุณเลขา หรือตัวไอคุณชายเองก็หัวหมุนกันไปหมด ผมได้ข่าวมาว่าท่านประธานจะร่วมงานนี้ด้วย ทั้งที่ปกติจะไม่ค่อยออกงานเท่าไหร่ อย่างที่บอกว่าบ้านนี้เขาเป็นพวกหวงเนื้อหวงตัวน่ะ สงสัยอยากจะร่วมเป็นสักขีพยานในความสำเร็จของลูกชายตัวเอง
 

ผมนั่งมองทั้งคู่คุยงานกันแล้วทำให้ผมนึกถึงตัวเองในตอนนี้ ถ้าผมมีบริษัทเป็นของตัวเองแบบนี้ (ที่ไม่ใช่กิจการขายของไหว้นะ) มีรากฐานใหญ่ขนาดนี้ ผมจะทำได้เหมือนกับไอคุณชายหรือเปล่านะ
 

การเป็นหัวเรือใหญ่ของบริษัทแบบนี้ บางคนหรือแม้กระทั่งตัวผมเองก็มองว่าเป็นงานสบาย ไม่ต้องทำอะไรก็มีคนอื่นทำให้หมด ก็แค่เซ็นเอกสาร เข้าร่วมประชุม ไปดูงานนิดหน่อย มีเวลาส่วนตัวเยอะแยะ แต่พอผมมาได้สัมผัสจริงๆ มันไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเลย งานของคนเหล่านี้คือการคิดต่อยอด การวางแผน การรับรู้ถึงปัญหาต่างๆที่มีผลกระทบต่อบริษัทและวิธีการแก้ไข และที่สำคัญเลยคือต้องเป็นคนที่จับพังงานำทางให้เรือลำใหญ่นี้ดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่น เป็นกัปตันของลูกเรือทุกคนๆ
 


ตุบ
 


“ เหนื่อยจัง ” เสียงคุณชายทำให้ผมเงยหน้าจากหน้าจอคอม มองไปทางโซฟาที่เจ้าตัวทิ้งตัวแผ่นอนลงไปหลังจากที่คุยงานกับคุณเลขาเสร็จเรียบร้อย


“ ก็ควรจะเหนื่อยล่ะครับ เล่นทำงานไม่หยุดตั้งแต่เช้าขนาดนี้ ”
 

เมื่อเห็นไอคุณชายเงียบไป ผมจึงตั้งสมาธิทำงานที่ค้างต่อ แต่อยู่ๆมือถือของผมก็ดังขึ้น ผมจึงหันไปหาไอคุณชายเพื่อขออนุญาตรับโทรศัพท์
 

อีกฝ่ายหลับไปซะแล้ว เฮ้อ สงสัยเหนื่อยจัด
 

ผมจึงเดินออกมารับข้างนอกห้อง ไม่ให้รบกวนเจ้าตัวที่กำลังหลับอยู่
 

“ ฮัลโหลม๊า ว่าไง ” ผมกรอกเสียงตอบปลายสายเบาๆ


“ ทำไมลูกเสียงเบา แอบใครคุยอยู่เหรอไง ”


“ ก็มันเวลางานนี่ฮะแม่ จะให้คุยโจ่งแจ้งขนาดนั้นผมก็โดนเฉ่งสิ ”


“ เออ ก็จริง แปปนึงนะ พ่อมีเรื่องจะคุยด้วย ป๊า! ” แล้วแม่ผมก็เปล่งพลังเสียงอันแรงกล้า จนผมต้องเอามือถือออกห่างจากหู อยู่บ้านนี้ต้องมีหูที่แข็งแรงเพื่อรับฟังเสียงแบบนี้ไปตลอดชีวิต ผมปลงตกกับตัวเอง


“ เอ้อ รักเหรอลูก ”


“ ใช่ฮะ ป๊ามีอะไรหรือเปล่า ” ผมแง้มประตูเล็กน้อย ชะโงกหัวเข้าไปดูว่าไอคุณชายตื่นหรือยัง แต่เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวยังนอนหลับตาอยู่บนโซฟา จึงปิดประตูเบาๆคุยกับพ่อต่อ


“ คือป๊าจะบอกว่า ไอห้องคอนโดxxx ที่ลูกอยู่ตอนนี้อ่ะ พอดีมีคนจะเช่าต่อ ”


“ อ้าว แล้วป๊าตอบตกลงไปแล้วเหรอ ”


“ ยังเลย เขามาถามเฉยๆ พ่อเลยจะถามลูกก่อนว่าจะเอายังไง ” ผมเกาหัวแกรกๆ ถ้าให้เขาอยู่ แล้วตัวเองจะไปอยู่ไหนล่ะเนี่ย ต้องหาที่พักใหม่อ่ะเหรอ ตอนนี้ห้องเช่าราคาเบาๆหายากจะตาย แถมคอนโดที่อยู่ตอนนี้ก็ห่างจากบริษัทนี้ไม่ไกลด้วย ทำเลทองมากๆ  แต่ถ้าไม่ให้เขาเช่าอยู่ ก็เสียดายเงินที่กำลังจะเข้ากระเป๋า โอ้ย ไม่ว่าทางไหนก็ต้องเลือก


“ แล้วพ่อปล่อยเขาเช่าเท่าไหร่อ่ะ ”


“ ก็ราวๆหมื่นสองหมื่นบาทนะ แล้วเขาจะทำสัญญาตั้งสามปี พ่อก็แอบเสียดายถ้าชวดไป แต่ไม่งั้นลูกก็ต้องหาที่อยู่ใหม่… ”  น้ำเสียงพ่ออ่อยๆด้วยความที่เสียดาย ถ้าจะพูดขนาดนี้ ก็คือผมต้องเป็นฝ่ายไปสินะ ฮือ เกิดมาเป็นคนแพ้ก็ต้องถอย


“ ก็…ไม่เป็นไรฮะ เดี๋ยวผมลองหาที่พักเอาก่อนละกัน แต่ถ้าเดือนนี้คงไม่ทัน เพราะนี่อีกสองอาทิตย์ก็ปลายเดือนละ ผมขอเดือนหน้าแล้วกันนะ ”


“ ได้เลย! ไม่มีปัญหา เดี๋ยวป๊าไปบอกเขาให้ ” แหม น้ำเสียงสดใสเชียวนะ นี่ผมตกหลุมพรางพ่อตัวเองหรือเปล่าเนี่ย


“ เอ้อ รัก แล้วตอนนี้งานเป็นยังไงบ้างล่ะ ”


“ ก็ดีนะฮะป๊า ตอนนี้ผมได้จับงานเลขานิดๆหน่อยๆด้วยแหละ ช่วยคุณเนตรได้พอสมควรเลยฮะ ” ผมลูบคอเบาๆด้วยความหวั่น ถ้าเรื่องที่ผมถูกมอเตอร์ไซด์เฉี่ยวเมื่อหลายวันก่อนหลุดไปถึงหูแม่ผมนะ ตายกันหมดนี่แน่นอน ถึงแม้จะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากมาย เกรงว่าอาคารแห่งนี้ก็คงกันไว้ไม่อยู่ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ให้คนรู้น้อยที่สุดไว้จะเป็นการดีมาก


 เอือก ผมลอบกลืนน้ำลายเบาๆด้วยความสะพรึง ผมยังอยากทำงานมีเงินเดือนอยู่นะ


“ ฮะพ่อ โห ระดับนี้แล้ว อะไรก็ไม่คณามือผมทั้งนั้นแหละ พ่อวางใจได้เลย ” ผมทำเสียงมั่นใจ ผิดกับเหงื่อที่มันกำลังผุดตามแนวหลัง


“ ไม่มีอะไรแล้วล่ะรัก อย่าลืมเรื่องห้องนะลูก ”


“ ได้เลยครับป๊า ผมจะระวังตัวให้มาก ” พ่อพูดมาสองสามประโยคแล้วก็วางสายไป
 

ผมถอนหายใจด้วยความปลง ทำไมอะไรๆมันต้องปะเดปะดังมาช่วงนี้ด้วยวะเนี่ย หรือปีนี้ชง มันก็ไม่ใช่นี่หว่า หรือโดนใครสาปส่งใส่ ผมก็มั่นใจว่าตัวเองหล่อจะเป็นคนดีพอจะไม่ทำร้ายใครก่อน หรือกูโดนพระเจ้าสาปแช่งที่เกิดมาหลงตัวเองเกินไป
 

เฮ้อ หล่อเกินก็เหนื่อยชีวิต
 

แล้วนี่ผมจะย้ายไปอยู่ไหนกันเนี่ย กลับบ้านก็ไกลจากที่นี่เกินไป เกรงว่าจะมาทำงานทีคงต้องตื่นแต่ตีสามมาอยู่เป็นเพื่อนคุณผี
 

ผมผลักประตูกลับเข้าไปในห้อง ไอคุณชายยังคงนอนแผ่หลาอยู่เหมือนเดิม สงสัยคงจะหนาวล่ะนั่น แอร์ก็จ่อขนาดนั้น ผมจึงเดินเข้าไปในห้องพักผ่อนเพื่อไปหยิบผ้าห่มผืนเล็กแล้วเดินกลับมาห่มให้เจ้าตัว
 

“ วรรณ…. ”
 

ผมชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ยินคนตรงหน้าละเมอออกมา วรรณ งั้นเหรอ วันอะไร วันหยุด? หรือนายนี่โหยหาวันหยุดกัน สงสัยทำงานจนเพี้ยนไปแล้ว ผมปัดเรื่องในหัวออกไป แล้วยืดตัวตรงเพื่อกลับไปนั่งโต๊ะตัวเอง พลางเช็คอีเมลล์ไปด้วย
 

หืม ใครส่งเมลล์มาอีกแล้ว ผมเปิดอีเมลล์ที่เพิ่งจะส่งมาล่าสุดเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา แต่กลับพบแต่ความว่างเปล่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเจออีเมลล์บ้าบออะไรแบบนี้ หรือจะเป็นสแปมวะเนี่ย คนส่งมันต้องว่างมากแน่ๆ เพราะจากที่ผมเช็คมันคืออีเมลล์ที่ส่งจากแอดเดรสเดียวกันหมดเลย ผมจึงปล่อยมันไว้อย่างนั้น เพราะขี้เกียจที่จะใส่ใจมัน
 

ระหว่างที่ไม่มีอะไรทำ ผมจึงเปิดหน้าเว็บลุงกุ๊กกู๋เพื่อค้นหาที่ซุกหัวนอนของตัวเอง เพราะเหลือเวลาแค่สองอาทิตย์ในการจัดการทุกอย่างรวมถึงย้ายสมบัติของตัวเองที่สุมกันอยู่ในห้อง ย้ำว่าสุมนะครับ เพราะมันรกมากจริงๆ
 

ผมหาไปได้สักพัก เห็นราคาที่สูงจนปวดหัวใจพวกนั้นแล้ว ก็ได้แต่ถอนใจ ที่อยู่อะไรทำไมมันถึงแพงขนาดนี้ฟระ สร้างห้องกันด้วยทองหรือไงกัน ห้องก็นิดเดียว แต่ราคาที่พุ่งขึ้นไปจักรวาลแล้ว บ้าเอ้ย! ถึงงานที่ผมทำอยู่ตอนนี้จะเงินดีพอที่จะเช่า แต่ผมก็เสียดายเงินเบาๆ เพราะแทนที่จะเอาไปใช้อย่างอื่นได้ แต่ดันต้องมาเสียให้ไอค่าห้องนี่
 

แต่ถ้ามึงไม่เอา มึงก็จะไม่มีที่ซุกหัวนอนนะเฮ้ย!
 

ผมนั่งเถียงกับตัวเองในใจ ตาก็จ้องหน้าจอ นิ้วก็คลิ้กตามเว็บไซด์นู่นนี่ ค้นหาต่อไป มีความแยกประสาทสูงมากเลยทีเดียว จนตัวเองจะประสาทตายอยู่แล้ว
 

“ นายจะย้ายที่อยู่เรอะ ” เสียงที่ดังขึ้นข้างบนหัวผม ทำให้ผมสะดุ้งตกใจ ผมหันหน้าขึ้นไปก็พบกับไอคนที่เผลอหลับบนโซฟาครู่ใหญ่ที่ผ่านมา ยืนค้ำหัวอยู่ด้านหลังผม


“ มาไม่ให้สุ้มให้เสียง ผมตกใจหมด โธ่ ”


“ นายนี่มันขี้ตกใจชะมัด ”


“ ก็คุณเล่นมาเงียบๆ ใครก็ตกใจกันทั้งนั้นแหละ ” ผมพูดเสียงสะบัดใส่ไอคนขี้แกล้ง ดูก็รู้ว่าแกล้งกันชัดๆ ไอคุณชายเจ้าปัญหาบ้าบอ (ชื่อเรียกยาวขึ้นได้อีก)


“ แล้วว่ายังไง จะย้ายคอนโดเหรอ ” อีกฝ่ายถามขึ้นมาอีกครั้ง แถมยังเอาหน้าเข้ามาใกล้ๆเพื่อดูหน้าจออีกต่างหาก ผมเลื่อนเก้าอี้หลบเล็กน้อยหลบไปให้ไอคุณชายได้ยื่นหน้ามาได้สะดวกขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่าเจ้าตัวก็ยังเขยิบมาใกล้ตัวผมเข้าไปอีก ผมหันไปมองแรง แต่ก็ไอคนขี้แกล้งก็ยังลอยหน้าลอยตาไม่รู้ร้อนรู้หนาว


“ ใช่ครับ ”


“ ย้ายทำไม เงินเยอะเหรอไง ” ผมมองแรงไปที่คนแขวะ เจ้าตัวก็หันกลับมาจ้องตาใส (ใสแจ๋วเลย) ใส่ผม ทำเหมือนตัวเองไม่ได้พูดให้คนอื่นอยากถีบยอดหน้าซะจริงๆ


“ ผมจำเป็นหรอก อย่างผมจะไปรวยล้นฟ้าเหมือนคุณได้ที่ไหนกันล่ะ ” เจ้าตัวไม่ได้พูดอะไร ยืดตัวตรง หน้าตานิ่งจ้องมองไปยังอพาร์ตเมนต์บางที่ที่ผมเปิดค้างไว้อยู่บนหน้าจอ และมาร์กเอาไว้ว่าโอเค ส่วนผมเมื่อเห็นว่าไอคุณชายไม่ได้ถามอะไรอีก ก็เลิกสนใจอีกฝ่าย เปิดค้นหาต่อไปเรื่อยๆเผื่อเจอที่ที่ถูกใจอีก
 

จริงๆแล้วผมก็ต้องทำใจยอมรับว่าอพาร์ตเมนท์ใจกลางกรุงขนาดนี้ แถมอยู่ในทำเลที่ดีขนาดนี้ ราคาก็ต้องสูงเป็นธรรมดาน่ะแหละ ถ้าสถานที่ไม่ดี ห่างไกลถนนหนทาง จะไปไหนทีก็ต้องเดินออกมาไกล หรือต้องขับรถออกมา แบบนั้นผมก็ไปอยู่บ้านซะจะยังดีกว่า (ยอมอยู่เป็นเพื่อนคุณผี) แถมบริษัทของไอคุณชายก็ตั้งเด่นหราอยู่ใจกลางเมืองขนาดนี้ ก็เงี้ยแหละ ชีวิตในเมือง ยังไม่มีเมีย เอ้ย ยังไม่มีมันนี่ก็ต้องดิ้นรนกันต่อไป
 

“ นายคิดว่าคอนโดฉันเป็นยังไง ” อยู่ๆไอคนที่นิ่งเงียบก็พูดขึ้นมา ทำเอาผมแปลกใจ


“ ก็ดีนะครับ สะดวกดี ใกล้ที่บริษัทมาก เดินมาบริษัทยังได้เลย ” ผมตอบตามที่รู้สึก ห้องของไอคุณชายกว้างอย่างกับอะไร นอนได้ตั้งเป็นสิบคน แถมเครื่องอำนวยความสะดวกอะไรก็มีครบ วิวก็ดี ที่สำคัญคือโคตรใกล้ ทำเลดีขนาดนี้ถ้าผมได้เป็นเจ้าของห้องซักห้องนะ ผมรักพระเจ้าตายเลย


“ ดีกว่าที่นายหาอยู่นี่ไหม ”


“ ดีกว่ามากเลยล่ะครับ ทำไมเหรอ จะขายให้ผมเหรอครับ ” ผมพูดติดตลก ถึงขายให้ผม ผมก็ไม่มีปัญญาจะไปซื้อต่อหรอกนะ ถึงแม้จะลดราคามือสองให้ก็ตาม


“ เปล่า แต่ฉันจะให้นายเช่าต่างหาก สนใจไหมล่ะ ”











“ ให้ตายเถอะ นี่มันห้องหรือป่าช้า ” ไอคุณชายพูด สีหน้าตกใจระคนทึ่งกับสภาพห้องตรงหน้า


“ แหะๆ เอ่อ ห้องครับห้อง นี่ห้องผมเอง ไม่ใช่ป่าช้าที่ไหน ” ผมเกาหัวแกรกด้วยความกระดากอาย ผมไม่เคยพาใครเข้ามาในห้องผมเลย เพราะความขี้เกียจเก็บห้องของผมนั่นแหละ วันไหนถ้ามีอารมณ์เก็บกวาด สภาพห้องก็จะดีขึ้นมาหน่อย แต่ถ้าสันหลังยาวเมื่อไหร่ก็อย่างที่เห็นนั่นแหละครับ
 

ไอคุณชายผินหน้ามามองผมด้วยสีหน้ายังคงเดิมอยู่ เพิ่มเติมคือผมสังเกตเห็นความลังเลในสายตาคู่นั้น

 
ไม่ได้นะเฮ้ย! ห้ามเปลี่ยนใจเด็ดขาด

 
“ คุณไม่ต้องกังวลนะครับ สภาพแบบนี้ไม่ได้เป็นบ่อยมาก แต่แค่ผม เอ่อ ยุ่งเกินไปก็เท่านั้น ” ผมรีบแก้ตัวไปขัดๆก่อนที่เขาจะเปลี่ยนใจจริงๆ น้ำตาตกในเป็นยังไง วันนี้ก็เพิ่งจะได้ลิ้มรส


“ ฉันบอกไว้ก่อนเลยนะ ว่าที่ฉันมาที่นี่วันนี้เพื่อมาให้นายขนของขึ้นรถเท่านั้น เพราะฉะนั้นนายต้องเก็บของให้เสร็จภายในวันนี้ ”


“ ฮ้ะ!! วันนี้เหรอครับ! ” ผมตกใจตะโกนเสียงดัง จะบ้าเหรอไง วันนี้ใครจะไปเสร็จกัน กว่าจะขนของกว่าจะเคลียร์ห้อง กว่าจะยกลงไปอีก โอ้ย หล่อจะบ้า!

 
แต่กระนั้นแล้ว เมื่อคนตรงหน้าเลิกคิ้ว ต้องการจะถามว่า ‘มีปัญหาเหรอไง’ คำว่า ‘ที่ซุกหัวนอน’ ก็ผุดขึ้นมาในหัวผมทันที ราวกับมีสปอตไลท์พุ่งตรงตรงมายังผม พร้อมกับเสียงหัวเราะเยาะเย้ยจากอีกฝ่ายดังลั่นก้องอยู่ในหัว

 
“ ดะ ได้ครับ ผมจะรีบเก็บให้เสร็จภายในวันนี้ครับ ” แต่ในใจน่ะเหรอ น้ำตาท่วมอกแล้ว


“ ดี แล้วฉันจะแวะมาใหม่ ถ้าไม่เสร็จภายในวันนี้ก็เชิญไปหาที่ซุกหัวนอนที่อื่นได้เลย ” ทำไมก่อนหน้านี้ยื่นข้อเสนอที่น่าเย้ายวนใจให้ผม แล้วมาวันนี้ถึงถีบหัวส่งผมได้ขนาดนี้ล่ะครับไอคุณชายบ้าบอ!

 
ผมจึงคอตกเดินเข้ามาในห้องตัวเอง หลังจากที่ไอคุณชายเดินออกไปแล้ว เมื่อเห็นสภาพในห้อง ผมก็นึกแล้วแหละว่าทำไมท่าทีไอคุณชายถึงขยาดขนาดนั้น ก็ในเมื่อห้องมันรกขนาดนี้ นี่ผมก็เพิ่งมาเห็นสภาพห้องตัวเองเต็มตาก็วันนี้แหละ ปกติเช้าก็รีบออกจากบ้าน ตกดึกก็กลับห้องมาด้วยความสภาพเหมือนซอมบี้อดกินเลือดมาเป็นปี ใครจะไปมีแรงมาจัดห้องกันวะ
 

ตั้งแต่เมื่อวันก่อนที่อยู่ๆคนดวงซวยในตอนนี้อย่างผมก็พบเจอแสงสว่างท่ามกลางความมืดมิดที่ไร้ความปราณี แล้วผมจะพรรณนาเพื่ออะไร เอาเป็นว่าไอคุณชายเสนอให้ผมเช่าห้องของเขาอยู่ชั่วคราว จนกว่าจะหาที่พักได้ใหม่ เพราะระยะเวลาที่จะย้ายออกนั้นมันกระชั้นชิดซะเหลือเกิน ผมจึงรีบตอบรับข้อเสนอโดยไม่ลังเลใดๆทั้งสิ้น

 
ความกังวลก่อนหน้านี้ที่ก่อเกิดในใจผม ผมก็ยังปัดมันทิ้งไปโดยไม่เสียเวลาฉุกคิดเลย เพราะที่ซุกหัวนอนและเรื่องปากท้องมันสำคัญกว่าเรื่องใดๆในโลก ปัจจัยสี่น่ะรู้จักไหมครับ

 
ผมเดินเข้ามาในห้องของตัวเอง แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าไม่ได้คุ้นเคยกับมันเลย ตัดสินใจว่าจะเริ่มตรงไหนก่อนดี ไม่ว่าจะตรงไหนก็ล้วนหนักใจทั้งนั้น เอาวะ ลุย!

 
กวาดตรงนี้ ปัดตรงนั้น ถูตรงนู้น ล้างตรงโน้น

 
ไม่รู้เวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าไหร่ ผมรู้สึกตัวอีกที ภายนอกหน้าต่างตอนนี้ก็มืดสนิทแล้ว ผมเหลียวมองภายในห้องที่ตัวเองเพิ่งจะลงแรง (เรียกได้ว่ามากที่สุดในชีวิตนี้แล้ว) ทำความสะอาดครั้งใหญ่ จนสะอาดเอี่ยมอ่องผุดผ่องเป็นยองใย ว่าง่ายๆก็คือขาวสะอาดตา หลังจากที่ไม่ได้ทำจนลืมไปแล้วว่าจริงๆแล้วห้องสีอะไร

 
ผมทรุดนั่งลงไปที่โซฟาในห้องอย่างหมดแรง เนื้อตัวเหนียวเหนอะนะอย่างแรง จนอยากจะอาบน้ำใหม่มันตรงนี้ซะจริงๆ ผมยกมือขึ้นมาดูนาฬิกาข้อมือ ทุ่มนึงแล้วเหรอเนี่ย เพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองไม่ได้กินข้าวตั้งแต่ตอนเที่ยง เพราะตอนนี้หิวจนเสียดท้องไปหมด ผมยกมือขึ้นกุมท้อง ทำไมมันปวดขนาดนี้วะเนี่ย

 
ผมพยายามฝืนลุกขึ้นเพื่อยกสัมภาระของผมทั้งหมดไปไว้หน้าห้อง เพื่อไอคุณชายมาถึงจะได้ไม่ต้องรอนาน แต่เดินไปยังไม่ถึงประตูห้อง ผมก็ต้องวางของทั้งหมดแล้วงอตัวลงไปนั่งยองๆ มือกุมท้อง

 
ผมควานหามือถือในกระเป๋ากางเกง แต่ก็พบว่ามันว่างเปล่า แม้แต่มือถือก็ยังจะทรยศผมเรอะ ตอนนี้ผมไม่มีกะจิตกะใจจะมานึกว่าตัวเองวางมือถือไว้ตรงไหน ปวดท้องจนจะตายแล้ว

 
ป๊าจ๋าม๊าจ๋า ผมปวดท้อง…

 
ผมพยายามจะคลานกลับไปที่โซฟา ช่างหัวของบ้าบอมันแล้ว เหงื่อผุดออกมามากมายจนแผ่นหลังชื้นไปหมด ทั้งๆที่แอร์ในห้องก็เย็นฉ่ำ พอกระเสือกกระสนกลับมาถึงโซฟาได้ ผมก็นอนแผ่ราบลงไป ตาพร่ามัวไปหมด ไม่รู้เพราะปวดมากหรือเพราะน้ำตากันแน่ ผมหลับตาลง พยายามข่มความเจ็บปวดอย่างยากลำบาก
 
 
“ เฮ้ๆ ” เสียงใครซักคนลอยมาจากที่ไกลๆ ผมได้ยินไม่ชัดเจน แต่ก็เป็นเสียงที่คุ้นหูมาก เสียงเรียกดังอยู่สองสามครั้ง แล้วก็เงียบไป

 
ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังลอยเคว้ง หูได้ยินแต่เสียงวิ้งๆ ท่ามกลางความมืดนั้นกลับเห็นกลับใบหน้าที่ออกจะคุ้นเคย แต่ก็พร่าเลือนเกินกว่าจะระบุได้ว่าเป็นใคร ใบหน้าผมถูกตบเบาๆพร้อมกับเสียงเรียกที่ดังขึ้นอีกครั้ง หลังจากนั้นก็รู้สึกถึงแรงดึง ก่อนที่สติผมจะดับวูบไป
 
 
 







“ ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้วครับ อาจจะเกิดเพราะทานข้าวไม่ตรงเวลา จึงทำให้อาการกำเริบ ”


“ อาการกำเริบ? เขาเป็นอะไรเหรอครับหมอ ”


“ ตัวคนไข้เป็นโรคกระเพาะครับ แต่ไม่ได้ร้ายแรงมาก อาการจะกำเริบก็ต่อเมื่อทานข้าวไม่ตรงเวลา หรือไม่ได้ทานเลย ประจวบกับถ้าทำงานหนักด้วย ก็จะเป็นแบบที่เห็นแหละครับ ”

 
ผมได้ยินเสียงสนทนาอยู่ไม่ไกลจากตัวผมมากนัก แต่อาการสะลึมสะลือก็ทำให้ผมได้ยินเพียงแต่เสียงพึมพำที่จับใจความไม่ได้ ผมพยายามลืมตา แต่แสงที่แยงตาทำให้ผมต้องหรี่ตาลง

 
“ ก็พยายามอย่าให้อาการกำเริบบ่อยมากเกินไปนะครับ เพราะมันจะส่งผลต่อกระเพาะครับ ”


“ ครับ ขอบคุณมากครับหมอ ”

 
เมื่อสายตาผมชินกับแสง ผมจึงลืมตาขึ้นมองไปรอบด้าน ก็เห็นสภาพห้องที่ไม่คุ้นเคย มองไปอีกด้านหนึ่งก็เห็นแผ่นหลังของชายคนหนึ่งที่กำลังยืนรินน้ำอยู่
 

เดี๋ยวนะ นี่ผมอยู่ที่ไหนกัน

 
ผมลืมตาตื่นเต็มที่เมื่อคำถามนั้นผุดขึ้นมาในหัว จำได้ว่าตัวเองเก็บของเสร็จ แล้วเกิดปวดท้องขึ้นมา และกะจะนอนพักแปปนึง แต่ลืมตาตื่นขึ้นมาก็มาโผล่อยู่นี่แล้ว

 
“ ตอนนี้นายอยู่โรง’บาล ” ชายคนที่ยืนหันหลังรินน้ำอยู่เมื่อกี้ก็คือไอคุณชายนั่นเอง เขาเดินเข้ามาพร้อมยื่นแก้วน้ำมาให้ผม ผมนั่งจูนสมองอยู่สักพัก ก็ได้ความว่าตัวเองอยู่โรงพยาบาลแล้วตอนนี้


“ นายโรคกระเพาะกำเริบ รู้ตัวบ้างไหมเนี่ย ทำหน้าบื้ออยู่ได้ ” อีกฝ่ายบ่นกระปอดกระแปด เดินไปนั่งที่โซฟาข้างเตียง นั่งกอดอกยกขาขึ้นไขว่ห้าง แม้แต่ในโรง’บาลก็ไม่เว้นที่จะเต๊ะท่าเนอะคนเรา แต่ผมไม่ได้พูดอะไรกลับไปนอกจากขมวดคิ้วเล็กน้อยกับโรคที่ผมเพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองเป็น


“ คุณเป็นคนพาผมมาที่นี่เหรอครับ ” ผมหันไปถามไอคุณชาย


“ นายคิดว่าไงล่ะ ” อีกฝ่ายทำน้ำเสียงยียวนกลับมา ทำให้ผมเดาได้ว่าต้องใช่แน่ๆ นี่ผมทำให้คนอื่นเขาลำบากอีกแล้วเหรอเนี่ย ฮือ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวซวยที่แผ่รังสีออกไปรอบข้างเป็นวงกว้าง ทำให้คนอื่นรับผลกระทบไปเป็นระยะๆ


“ ผม เอ่อ ขอโทษนะครับที่ทำให้เดือดร้อน ” ผมนั่งคอตก เอ่ยขอโทษอย่างรู้สึกผิด


“ รู้แล้วก็อย่าสร้างเรื่องให้มันเยอะสิ นี่ถ้าฉันไม่มาก่อนเวลาที่นัดไว้ นายคงปวดท้องตายเป็นวิญญาณเฝ้าห้องไปแล้วนั่นน่ะ ” คำพูดของอีกฝ่าย ทำให้ผมคิ้วกระตุก นี่ขนาดผมเป็นคนป่วยนะเนี่ย ทำไมปากคอเราะร้ายขนาดนี้! ผมนั่งทำหน้าจ๋อยแต่ในใจนั้นกำลังก่นด่าอยู่ สักพักก็ได้ยินเจ้าตัวถอนหายใจแรง และลุกเดินมาทางนี้


“ นายโตมาได้ยังไงเนี่ย ขนาดตัวเองเป็นโรคอะไรก็ยังไม่รู้เลย นี่รู้ตัวไหมว่าเป็นโรคกระเพาะ ”


“ ผมก็เพิ่งจะรู้ครับ เมื่อก่อนมันปวดก็จริง แต่ไม่ได้หนักขนาดครั้งนี้ ผมเลยไม่ได้เอะใจ ”


“ แล้วไม่เคยตรวจสุขภาพเลยหรือไง ”


“ เอ่อ ไม่ได้ตรวจมาสามสี่ปีแล้วครับ ” ผมเกาหัวกลบความเก้อกระดาก รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโดนผู้ใหญ่ดุยังไงชอบกล ว่าแต่พูดถึงเรื่องนี้ ตอนที่มาทำงานกับไอคุณชายนี่ เขาก็ไม่ได้ขอใบตรวจสุขภาพนี่หว่า


“ นายนี่มันไม่ใส่ใจตัวเองเลยจริงๆให้ตายเถอะ ” ไอคุณชายบ่นพึมพำ “ ถ้าจะมาดูแลคนอื่น ก็ต้องดูแลตัวเองให้ดีก่อน เข้าใจไหม ”


“ เข้าใจแล้วครับ ผมขอโทษอีกทีนะครับที่บกพร่องในหน้าที่ ” ผมนั่งก้มหน้าจนจะชิดกับหน้าอกอยู่แล้ว มือประสานอยู่ที่ตัก ได้แต่นั่งเจี๋ยมเจี้ยมรับฟังคำดุด่าจากอีกฝ่าย ครั้งก่อนก็เป็นไอคุณชายที่ช่วยดูแลตอนผมป่วย ยังจะมาเกิดเรื่องแบบนี้อีก ก็ยิ่งทำให้รู้สึกละอายใจมากขึ้นไปอีกเพราะสร้างเรื่องให้อีกฝ่ายมากมาย


“ ฉันเป็นห่วงนายหรอกนะ ” ผมรีบเงยหน้าขึ้นมามองทันทีที่เขาพูดจบ ก็เจอกับสายตาที่จ้องมองมาอยู่ก่อนแล้ว ความร้อนเริ่มลามไปทั่วใบหน้า ไอคุณชายเห็นผมนั่งอึ้งอยู่ ใบหน้าลดความเคร่งขรึมลง


“ ต่อไปนายต้องกินข้าวพร้อมฉัน ห้ามขาดแม้แต่มื้อเดียว “


“ เดี๋ยวนะครับ ” ผมเคลิ้มอยู่เดี๋ยวเดียวก็โดนลากกลับสู่วิถีความจริง


“ ห้ามแย้ง นี่เป็นคำสั่ง แล้วนายก็ต้องทำตาม ” เจ้าตัวกลับมาเป็นไอคุณชายบ้าบอเหมือนเดิมแล้ว ยืนกอดอกทำหน้าตาย บรรยากาศมุ้งมิ้งเมื่อกี้เหลือเพียงแค่เศษฝุ่นที่กระจายฟุ้งไปรอบตัว ทำไมเปลี่ยนไปเร็วถึงเพียงนี้ เป็นกิ้งก่าเหรอไง (กระซิกๆ)


“ แล้วผมจะกินพร้อมคุณได้ไง คุณเป็นเจ้านายผมนะครับ ”


“ ถ้านายขาดไปแม้แต่มื้อเดียว นั่นก็หมายความว่าฉันก็ต้องอดด้วย ”


“ เข้าใจ? ”


คำประกาศิตได้ถูกถ่ายทอดลงมาแล้ว...



โปรดติดตามตอนต่อไป....


ร่วมหอลงโรงงงงงงง เอร้ยยย XD

 :impress2:


หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 15!!! (01/10/63)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 02-10-2020 00:53:38
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 16!!! (26/10/63)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหมีวุ่นวาย ที่ 26-10-2020 10:13:31
ตอนที่ 16
" ลองดูก็ไม่เสียหาย "




“ นี่ห้องของนายนะ ส่วนข้างๆนั่นก็ห้องน้ำ นายใช้ได้ตามสบาย เพราะของฉันมีส่วนตัว ” ผมมองไปตามทางที่เจ้าของห้องชี้ไป ห้องของไอคุณชายเรียกว่า ใหญ่และสะดวกสบาย เรียบหรูตามสไตล์ ทำให้ผมไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามเพราะเกรงจะเกิดความเสียหายได้ ซึ่งก็ไม่ใช่อะไร กลัวโดนหักเงินนั่นเอง

 
ห้องที่เป็นของผมหมาดๆนั้นเป็นห้องนอนที่เล็กกว่าห้องของไอคุณชาย ซึ่งมีห้องน้ำอยู่ด้านนอก ไม่ใช่ด้านในเหมือนของเขา เวลาจะทำธุระที ก็ต้องเดินออกมาข้างนอก ขัดใจนิดหน่อย แต่มันก็ช่วยไม่ได้ เพราะไม่ได้อยู่ในฐานะที่สามารถเรื่องมากได้ เดี๋ยวจะโดนเตะส่งออกจากห้องไป

 
ผมยกสัมภาระที่ติดตัวมาเข้าไปในห้องนอน ไอคุณชายเดินเข้ามาแนะนำนู่นนี่นั่นอยู่ครู่หนึ่งก็ปล่อยให้ผมจัดการกับของของตัวเองไป

 
หลังจากที่ผมออกจากโรง’บาล ก็ดึกมากแล้ว ไอคุณชายซึ่งรับหน้าที่เป็นสารถีชั่วคราว (ถ้าเขาได้ยินคงไล่ผมออกแน่ๆ) พาผมกลับมายังคอนโด ผมก็เพิ่งมารับรู้ทีหลังเหมือนกันว่า เขาเป็นคนขนสัมภาระทุกอย่างของผมออกมา แถมยกถุงขยะถุงเบอเริ่มออกมาไว้ข้างนอกให้ด้วย ทำให้ผมรู้สึกผิดไปอีกระดับคูณร้อยเลย ผมจึงรับปากว่าผมจะช่วยทำความสะอาดห้องของเขาให้ด้วย จะได้ไม่รู้สึกเป็นภาระ

 
แต่ไอคุณชายดันบอกว่ากลัวผมมาตายในห้องซะก่อน จึงให้ผมรับหน้าคนทำอาหารเช้าพอ เพราะมีแม่บ้านมาทำความสะอาดประจำอยู่แล้ว
 

ผมจึงรับปากด้วยความยินดี อย่างน้อยก็ช่วยอะไรเขาได้บ้าง

 
ผมจัดแจงเอาของที่จำเป็นออกมาก่อน ของที่เหลือเดี๋ยวมีเวลาแล้วมาจัดอีกที เสร็จแล้วผมก็รีบเข้าไปอาบน้ำชำระร่างกาย ไม่รู้ว่าผมทนนอนไปได้ยังไง ตัวเหม็นเหงื่อขนาดนี้ แถมยังโดนไอคุณชายอุ้มมาอีก เขาไม่อ้วกแตกก็ดีแค่ไหนแล้วเนี่ย

 
พอได้อาบน้ำ ผมก็รู้สึกกระปี้กระเป่าขึ้นมาทันที ผมเดินออกมาจากห้องน้ำ ข้ามกองสัมภาระต่างๆที่วางไว้อยู่ ไปยังหน้าต่างบานใหญ่ที่อยู่ด้านในสุดของห้อง เลิกม่านขึ้นเล็กน้อย ความสูงของชั้นนี้ทำให้ผมมองเห็นแสงสว่างมาจากตึกอารามบ้านช่องได้ชัดเจน ผมยืนเหม่อมองอยู่สักพัก ในหัวคิดถึงภารกิจหน้าที่ต่างๆที่ได้รับ ระยะเวลาตั้งแต่เริ่มงานจนถึงตอนนี้ และความรู้สึกของผม

 
ถึงแม้หน้าที่ของผมจะมีเพียงแต่ปกป้องไอคุณชายจากอันตรายต่างๆ แต่ผมกลับอยากช่วยคลี่คลายปัญหาต่างๆที่เกิดด้วย เพื่อที่จะให้เขาปลอดภัยจากภัยที่มองไม่เห็นว่ามาจากทิศทางไหน

 
ความรู้เป็นห่วงลึกๆเริ่มแสดงอาการมากขึ้นเรื่อยๆ ผมไม่อยากเห็นเขาและครอบครัวถูกทำร้ายอีกแล้ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งสองครั้ง ผมไม่รู้ว่ามันเกี่ยวข้องกันอย่างไร แต่ก็รู้ได้ว่าเป้าหมายคือคนคนเดียวกัน ซึ่งก็คือคุณเนตร ผู้ที่กำลังจะสืบทอดตำแหน่งต่อจากท่านประธาน

 
ผมถอนหายใจหนักๆ เมื่อในใจคิดว่าถ้าหากเกิดเหตุขึ้นอีกครั้ง แล้วผมไม่สามารถปกป้องเขาได้ จะเป็นอย่างไร

 
ในใจก็พลันเกิดความรู้สึกหน่วงๆขึ้นมาทันที ผมถึงเพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองเป็นห่วงเขาขนาดไหน
 
 
 
 
“ คุณเนตรครับ อาหารเช้าพร้อมแล้วนะครับ ” ผมเคาะประตูปลุกคนข้างในที่ไม่รู้ว่าตื่นหรือยัง ครั้งนี้ที่ผมไม่ได้ถือสิทธิ์ผู้มีกุญแจสำรอง ไม่สามารถไขเข้าไปปลุกได้อย่างสบายใจ นั่นก็เป็นเพราะ…

 
ผมโดนมันยึดกลับแล้วครับ ฮือ

 
ผมไม่รู้ว่าตัวเองเอากุญแจไปวางไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ พอรู้ตัวอีกที ผมก็หากุญแจห้องของไอคุณชายไม่เจอแล้ว เหลือก็เพียงแต่กุญแจประตูใหญ่หน้าห้อง และที่ห้อยกุญแจลายจีนที่แม่ผมบังคับให้ห้อยไว้ (ดูความจีนของบ้านผมสิ)

 
พอไปถามไอตัวต้นเหตุ ก็เพียงแค่ยักไหล่ แล้วยังถามกลับมาอีกว่า ‘แล้วคิดว่าไง’ แถมทำหน้าตายใส่อีก นั่นก็ทำให้ผมรู้แล้วล่ะครับ ว่ามันหายไปไหน

 
วันนี้ผมจึงได้แต่เคาะประตูห้องเรียกเจ้าของห้อง ซึ่งผมต้องจ่ายค่าเช่าทุกเดือน เกรงว่าคนข้างในจะไม่ยอมตื่น (หลังๆมานี่เพิ่งจะสังเกตว่าเขาขี้เซามากครับ) ผมจึงเคาะย้ำไปอีกสามสี่ที จึงได้ยินเสียงเหมือนคนเดินเข้าห้องน้ำไป ผมจึงกลับมาทำความสะอาดนู่นนี่ เพื่อรอเวลาไอคุณชายเสด็จออกมา

 
ผมเอาถุงขยะที่เมื่อวานกองสุมกันไว้ในห้อง หลังจากที่จัดของไปได้ส่วนหนึ่ง เอาออกไปทิ้งตรงห้องขยะของคอนโด คิดไว้ว่าวันนี้จะต้องกลับมาจัดอีก ผมก็รู้สึกเหนื่อยขึ้นมาทันทีเลย เฮ้อ

 
“ ขอโทษนะครับ ” ผมหันไปตามทางที่ถูกเรียก ก็พบชายคนหนึ่งที่ถือถุงสีดำเหมือนจะมาทิ้งขยะเหมือนกัน จึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองยืนขวางห้องขยะอยู่ ผมหันไปเอ่ยขอโทษเบาๆ ยิ้มแหยๆ พร้อมกับหลบทางให้


“ เพิ่งมาอยู่เหรอครับ ไม่เคยเห็นหน้าเลย ” ชายแปลกหน้าถามขึ้น ทำให้ผมที่กำลังจะหันกลับไปเดินเข้าห้องตัวเองชะงัก จึงหันกลับมา


“ อ้อ ใช่ครับ ผมมาเช่าอยู่เฉยๆน่ะครับ ไม่ได้ซื้อไว้ ”


“ ถ้าอย่างนั้นก็ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ผมพักอยู่ห้องxxx นี่เอง ” ผมยื่นมือเข้าไปจับมือที่ยื่นมาก่อนเพื่อทักทายเพื่อนข้างห้องใหม่หมาดๆของผมคนนี้ จริงๆแล้วก็อาจจะเป็นเพื่อนข้างห้องคนเดียวที่มี เพราะทั้งชั้นมีแค่สองห้อง ให้ตาย ห้องจะใหญ่ไปไหน ราคาคงเอาเรื่องอยู่นะนั่นอ่ะ


เขาพูดคุยกับผมอยู่สองสามประโยคก่อนจะขอตัวกลับห้องของตัวเอง ผมจึงหันหลังจะเดินกลับบ้าง ก็ถูกเขาเรียกไว้อีกครั้ง


“ ลืมบอกไป ผมชื่อ นนท์ นะครับ ” ผมยังไม่ทันที่จะแนะนำตัวเองบ้าง เขายิ้มให้และเปิดประตูห้องเข้าไปซะก่อน

 
ผมยืนเกาหัวตัวเองแกรกๆ งงในความมาไวไปไวของเพื่อนบ้านใหม่

 
“ นายไปไหนมาเนี่ย ” พอเปิดประตูห้องเข้าไปก็พบกับความหงิกบนใบหน้าของไอคุณชาย ผมรีบปิดประตูรีบเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะ อาหารเช้าง่ายๆอย่างข้าวต้มหมูสับในชามของไอคุณชายพร่องไปเล็กน้อย น่าจะว่าคงทนหิวไม่ไหวหรือไม่ก็ขี้เกียจรอผม (น่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า อืม…)


“ พอดีเอาขยะไปทิ้งแล้วเจอเพื่อนบ้านน่ะครับ ”


“ เพื่อนบ้าน? ใคร ”


“ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน เขาบอกว่าพักอยู่ห้องข้างๆนี่เองครับ ”


“ อ้อเหรอ ฉันไม่ยักรู้มาก่อน ” ไอคุณชายพูดก่อนจะก้มลงกินต่ออย่างไม่ใส่ใจมากนัก

 
แหม อย่างกับตัวเองมีอัธยาศัยดีอย่างนั้นแหละ โธ่

 
ผมเข่นเขี้ยวในใจอย่างหมั่นไส้ คนบ้าอะไรอยู่มาตั้งนานแล้วยังไม่รู้จักเพื่อนข้างบ้านอีก ทั้งๆที่ทั้งชั้นก็มีอยู่สองห้อง ก็คือห้องนี้กับห้องของเพื่อนบ้านคนใหม่นั่นแหละ ว่าแต่เขาชื่ออะไรนะ เมื่อกี้เขาเพิ่งจะแนะนำตัวกับผมเอง ลืมไปแล้วเนี่ย แต่ก็ช่างเถอะ เดี๋ยวก็คงได้เจอกันใหม่แหละมั้ง

 
ผมและไอคุณชายจัดการมื้อเช้ากันเสร็จ ก็ออกจากบ้านไปบริษัทตามปกติ แต่เมื่อไปชั้นผู้บริหารถึงก็พบกับคุณเลขาที่มาแจ้งว่าท่านประธานเรียกพบตัวไอคุณชาย แต่ก็ไม่ได้บอกอะไรไปมากกว่านี้ ไอคุณชายจึงตรงไปที่ห้องประธานเลยโดยที่ไม่ได้แวะห้องของตัวเอง ผมจึงเข้าไปนั่งรออยู่ที่โต๊ะทำงาน เช็คอีเมลล์ และสำรวจความเรียบร้อยของห้องไปด้วย หลังจากนั้นก็ไปชงกาแฟให้เจ้าตัวตามปกติ

 
ผ่านครู่ใหญ่จึงปรากฏตัวของไอคุณชายที่เข้ามาด้วยสีหน้าบึ้งๆเล็กน้อย เจ้าตัวไม่ได้พูดอะไร เดินกลับไปนั่งที่โต๊ะ พร้อมกับเปิดเอกสารที่วางอยู่ตรงหน้าและเริ่มอ่าน ผมมองตามไปอย่างสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไร เพราะรู้ว่าคงอารมณ์บ่จอยมากๆ และผมก็ไม่อยากเป็นขยะรองรับอารมณ์ของคนตรงหน้า เดี๋ยวจะโดนฟาดงวงโดยไม่รู้ตัว จึงเลือกที่จะเงียบเอาไว้ และทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป

 
“ เอ่อ คุณ ผมถามอะไรหน่อยได้ไหม ” ผมเอ่ยถามอย่างกล้ากลัวๆ เพราะสีหน้า ‘หงิก’ ขอไอคุณชายทำให้บรรยากาศในห้องดูทะมึนเยือกเย็น ชวนให้รู้สึกหนาวๆร้อนๆยังไงชอบกล ไอคนหน้าหงิกทำเหมือนไม่ได้ยินที่ผมถาม นอกจากนั้นยังทำเหมือนผมเป็นธาตุอากาศขนาดย่อมที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น

 
“ อ่า โอเค คุณไม่อยากให้ผมถาม ” ผมพึมพำพอให้ตัวเองได้ยิน จากนั้นเราก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก นอกจากเสียงแป้นพิมพ์รัวๆที่ดับเบิ้ลรัวยิ่งกว่าเดิมของไอคุณชาย รัวอยากนี้ระวังแป้นพิมพ์มันกระเด้งหลุดให้นะครับ ผมก็นั่งเคลียร์งานที่ได้รับจากคุณเลขาเล็กๆน้อยๆตามปกติ จนกระทั่งอยู่ๆก็มีซองจดหมายสีหวานไถลมาตรงหน้า (อย่าเรียกว่าวางเลยน่ะ) ผมเงยหน้ามองคนส่งที่ยืนค้ำหัวด้วยความแปลกใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้คำตอบจากเจ้าตัว ผมจึงก้มหน้าลงไปเปิดอ่าน

 
หืมมม การ์ดเชิญงานแต่งงาน?

 
พิธีสมรสระหว่างนางสาววรรณกา ประสิทธิวงศ์ และ นายปรวีณ์ ฤทธิชัยสกุล

 
เอามาให้ผมทำไมกัน?

 
ผมเงยหน้าขึ้นไปมองอีกครั้งด้วยความงงงวยสุดขีด คนรู้จักเหรอก็ไม่ใช่ ไอคุณชายก้มลงมองผมด้วยความเอือม

 
“ ไปกับฉันด้วย วันนั้นเตรียมตัวให้พร้อมล่ะ ” เจ้าตัวอธิบายสั้นๆ สงสัยเป็นเพราะอารมณ์ไม่ดี จึงทำให้บรรยากาศวันนี้มันเซ็งๆชอบกล


“ เอ่อ ครับ ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็เดินออกจากห้องไป ทำให้ผมต้องรีบกระเด้งลุกออกจากที่นั่งแทบไม่ทัน เพราะพายุที่ชื่อเนตรนภิศกำลังพัดออกนอกสถานที่แล้วครับท่าน!

 
ผมเดินกึ่งวิ่งตามมาที่ลิฟต์ ไอคุณชายเดินเข้าไปพอดี ผมจึงรีบบึ่งกว่าเดิมแต่กระนั้นแล้ว…ก็ยังไม่วายเกือบโดนประตูลิฟต์หนีบเข้าให้ ส่วนเจ้าตัวน่ะเหรอ ก็คงความหน้าหงิกเหมือนเดิม เพราะก็ไม่มีการกดปุ่มเปิดประตูลิฟต์ให้ อาศัยระบบเซ็นเซอร์เอา ประตูจึงเปิดอีกครั้ง

 
ฮึ่ย ไอคุณชายบ้าบอ!

อะไรของเขาวะ อารมณ์เสียเองก็อย่ามาพาลเขาสิเว้ยเฮ้ย!

 
ผมก่นด่าอีกฝ่ายเสียงดังก้องในใจ ตอนนี้ผมก็เริ่มมีอารมณ์เหมือนกันแล้วเนี่ย ผมตามอารมณ์ของไอบ้านี่ไม่ถูกซะจริงเลย เมื่อเช้าก่อนจะมาบริษัท ยังปกติอยู่เลย แล้วไหงพอหลังจากนั้นไม่กี่นาที ถึงบูดได้ขนาดนี้ ผมเดินตามร่างสูงตรงหน้ามาเรื่อยๆจนเกือบจะถึงรถ อยู่ๆคนตรงหน้าผมก็หยุดกระทันหัน แต่บทเรียนนั้นผมเคยได้รับมาแล้ว หึ กูไม่หลงกลหรอกโฟ้ย! ผมจึงรีบหยุดทันที

 
“ อ้าว นึกว่าใคร เนตรนั่นเอง จะรีบไปไหนเหรอ ” น้ำเสียงของชายคนหนึ่งเอ่ยทัก ผมจึงหันไปมอง

 
หืม นั่นมันคนที่ไอคุณชายบอกว่าเป็นหุ้นส่วนนี่นา

 
“ ผมกำลังออกไปทำธุระข้างนอกครับ ” คนอ่อนวัยกว่าตอบน้ำเสียงเนิบ ขบกรามแน่น บ่งบอกถึงอารมณ์ที่ตึงเครียดได้เป็นอย่างดี


“ ได้รับการ์ดเชิญแล้วใช่ไหม ” คนฟังตัวเกร็งขึ้นทันทีเมื่ออีกฝ่ายพูดจบ


“ ได้รับแล้วครับ ”


“ อาขอบคุณมากนะที่ยังไม่ลืม วรรณ นี่เขายังถามซ้ำๆอยู่เลยว่าเนตรได้รับการ์ดเชิญหรือยัง ”


“ ครับ ฝากบอกเขาด้วยแล้วกันนะครับว่าผมไม่ลืม…ไม่มีทางลืม ” ประโยคหลังเอ่ยเสียงเบา ผมมองไอคุณชายที่ตอนนี้สีหน้าว่างเปล่า แต่ยืนกำมือแน่น แล้วก็นึกไปถึงวันที่เขานอนละเมอ ก็พูดชื่อนี้ออกมาเหมือนกัน แต่ตอนนั้นผมนึกว่าเขาละเมอมั่วๆเลยไม่ได้ใส่ใจ แต่นี่ยังมาได้ยินอีกครั้งจากปากของชายวัยกลางคนคนที่ยืนอยู่หน้าผมและไอคุณชายตอนนี้ และผมก็ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญแน่ๆ


วรรณ งั้นเหรอ ใครกัน….







(เนตร)

ผมว่าตัวเองจะทำใจได้พอที่จะลืมความเจ็บปวดในอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้ว แต่เมื่อมาถึงวันที่ผมคาดไว้ว่ามันจะเกิดขึ้นในซักวัน ผมก็รู้ตัวว่าตลอดมานั้นผมอาจจะหลอกตัวเอง
 

“ พ่อได้รับการ์ดเชิญมา ของลูกสาวหุ้นส่วนบริษัทเราน่ะ แกลองเอาไปดูสิ ” ผมรับมาดู แล้วก็ค้นพบว่าการ์ดเชิญที่พ่อว่านั้น เป็นของอดีตคนรักเก่าผมเอง
 

วรรณกา
 

ชื่อของคนคนหนึ่งที่ผมคงจะจำไม่ลืม
 

ผมตัวชาไปทั้งร่าง กระทั่งเดินกลับมาที่ห้องยังไงผมก็นึกไม่ออก ในหัวผมตอนนี้มีแต่ความทรงจำเมื่อสมัยเก่าวนเวียนอยู่ มันฉายภาพขึ้นมาเป็นฉากๆราวกับถูกเก็บไว้อย่างดีในซอกหลืบภายในใจที่ผมพยายามกดมันให้ลึกเพื่อที่จะลืม แต่พอมาในตอนนี้มันถูกดึงขึ้นมาเพื่อเตือนสติผมอยู่ว่า ผมยังคงไม่ลืม และก็ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไหน่ถึงจะลืม
 

ผมโหมทำงาน พยายามลืมทุกสิ่งทุกอย่าง พยายามไม่นึกไม่คิดถึงคนคนที่ผมเคยรักสุดหัวใจ  และอยากจะหลีกหนีไปไม่อยากไปร่วมงานนั้น ไม่อยากไปเป็นสักขีพยานในความล้มเหลวของตัวเอง ล้มเหลวทั้งกาย แล้วก็หัวใจ แต่แม้ว่าผมจะพยายามปฏิเสธขนาดไหน แต่ความจริงก็คือความจริง ถึงผมหนีตอนนี้ แต่ภายภาคหน้าก็อาจจะได้มาพบเจอกันอีก ไม่ว่าจะโอกาสไหนก็ตาม ดังนั้นเพื่อความสบายใจของอีกฝ่าย ผมคงต้องฝืนมันอีกซักครั้ง
 

ฝืนใจ…เหมือนตอนที่จากลากัน

 
แท้จริงแล้วอาจจะเป็นผมฝ่ายเดียวที่ยังยึดติดอยู่ ไม่ว่าตอนนี้เธอจะก้าวเดินได้ไกลแค่ไหน คงมีแต่ผมที่ยังย่ำอยู่ที่เดิม ที่ผ่านมาแม้ว่าจะพยายามลากเท้าให้ก้าวต่อไปขนาดไหนก็ตาม ก็คงเป็นธรรมดาที่ช่วงเวลาแห่งความสุขที่ถึงจะอยู่ได้ยาวนาน แต่ก็ไม่นานพอที่จะให้ครอบครอง หรือมันอาจจะไม่มีวันที่จะได้ครอบครองจริง
 

ไม่รู้ว่าผมนั่งเหม่อมานานขนาดไหน ที่สวนแห่งนี้เป็นสถานที่ที่ผมกับวรรณเจอกันครั้งแรก ก็อีกตามเคยอย่างที่ผมเคยบอก คงมีแต่ผมที่ยังยึดติด ที่ยังมาตรงที่เดิมๆ ผมถอนใจเบาๆ และตอนนั้นเองผมเพิ่งรู้สึกตัวว่าผมไม่ได้นั่งอยู่คนเดียวมาตั้งแต่ต้น มีบอดี้การ์ดนั่งเหม่ออยู่กับผมด้วยอีกคน

 
ผมนั่งมองอีกฝ่ายโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาเดินตามผมมาตั้งนาน แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงไม่รู้ตัวเลยกันนะ หรืออาจจะเป็นเพราะเรื่องในวันนี้มันทำให้ผมตกใจจนหัวสมองว่างเปล่าไปหมด ถึงกับทิ้งงานที่ยังทำคั่งค้างเอาไว้ แล้วเดินออกมาเพราะอึดอัดในใจจนต้องหาที่มาสงบจิตสงบใจ

 
จริงๆแล้ว ไม่ว่าผมจะสุข ทุกข์ หรือตกใจอะไร ก็มีเจ้านี่แหละที่อยู่กับผมตลอด อาจจะเป็นเพราะหน้าที่ หรือเพราะเงิน ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่บางทีมันทำให้ผมอุ่นใจว่ายังมีคนอยู่ข้างๆ ถึงแม้อาจจะไม่ได้ช่วยอะไรมากมาย แต่ก็แค่อยู่ข้างๆก็รู้สึกดีกว่ารับรู้เรื่องราวคนเดียวอยู่มากโข

 
ตั้งแต่ผมออกจากบ้านมาทำงาน หรือแม้กระทั่งไปเรียนต่อต่างประเทศ ผมก็ไม่ค่อยสุงสิงกับที่บ้านมากนัก จะมีก็แต่เจ้านันท์ที่บางทีมีเรื่องมาปรึกษาอยู่เรื่อยๆ แต่กับพ่อกับแม่นานๆทีจะติดต่อกลับไป ไม่ใช่ว่าห่างเหินหรืออะไร แต่อาจจะเป็นเพราะผมรู้สึกว่าผมไม่อยากให้เขารับรู้ปัญหาของผมก็เป็นได้ เพราะไม่อยากให้เขาต้องกังวลหรือเป็นห่วง แสดงให้เขาเห็นว่าผมอยู่ได้ ผมจึงเป็นคนเดียวในบ้านที่มีโลกส่วนตัวมากหน่อย แต่กับเจ้านันท์ที่เป็นคนร่าเริงขี้อ้อนเป็นทุนเดิม จึงสนิทสนมกับพ่อกับแม่มากกว่า

 
เพราะฉะนั้นเวลาผมมีปัญหาอะไร จึงชอบที่จะเก็บไว้คนเดียว แก้ปัญหาด้วยคนเดียวอยู่เรื่อย เพราะไม่ชินที่จะปรึกษาใคร และไม่ชินที่จะขอร้องให้ใครช่วย ด้วยความที่ผมเป็นแบบนี้ น้อยคนนักจึงจะรู้ว่าจริงๆแล้วผมก็อยากมีคนคอยร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน แม้กระทั่งอดีตคนรักของผมก็ตาม

 
แต่เมื่อนึกถึงคนที่นั่งอยู่ข้างๆผมตอนนี้ ในใจผมกลับอุ่นวาบขึ้นมา ก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน คงรับรู้ได้ว่ายังมีคนคอยยืนอยู่ข้างหลังคอยระวัง ยืนอยู่ข้างๆเพื่อแบ่งทุกข์ร่วมสุข จนถึงคอยอยู่ข้างหน้าเพื่อจูงผมออกไปจากสถานการณ์ที่เลวร้ายเหมือนตอนนี้ ผมไม่ได้สนใจรักร่วมเพศหรืออะไรเทือกๆนั้น แต่เรื่องราวแบบนี้มันก็อยู่ที่ใจเราไม่ใช่หรือ? ผมไม่เห็นถึงความเสียหายหรือความเดือดร้อนให้ใคร ไม่เห็นจำเป็นต้องอายใคร และต้องกลัวใครเลยด้วยซ้ำ
 

หรือผมควรจะกระชากโซ่ที่ตรึงขาผมไว้ ลืมอดีตที่ผ่านมา แล้วก้าวไปทีละก้าว มุ่งไปสู่ทางข้างหน้าที่ไม่รู้จะเป็นยังไง แต่ก็คงจะดีกว่าย่ำอยู่ที่เดิม

 
เอาสิ

 
ในใจผมให้คำตอบอย่างรวดเร็ว อย่างที่แทบไม่ต้องตัดสินใจอะไรเลย เหมือนมีลมอุ่นๆพัดพาความหดหู่ในใจให้ค่อยๆจางหายไป หัวสมองค่อยๆเบาลง ผมหันหน้ากลับมาและมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างกับคนปลงตกอะไรบางอย่าง มุมปากเกิดรอยยิ้มบางๆ


ลองเสี่ยงดูก็ไม่เสียหายนี่นะ


 
โปรดติดตามตอนต่อไป


เมื่อคุณเนตรเบิ่งเนตรเป็นที่เรียบร้อยค่ะ!

 :sad4:

หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 16!!! (26/10/63)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 26-10-2020 23:04:05
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 16!!! (26/10/63)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 28-10-2020 11:16:12
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 17!!! (23/11/63)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหมีวุ่นวาย ที่ 23-11-2020 14:04:50
ตอนที่ 17
" รู้สึกแปลกๆ อย่างเช่นอึดอัด? "





หลังจากที่ไอคุณชายมานั่งโง่ๆ อยู่ตรงนี้มาได้นานสองนาน แล้วก็มีผมแหละครับที่นั่งโง่ไปด้วย แถมไม่โง่พอที่จะนั่งเฉยๆ นะครับ นั่งสัปหงกด้วยเว้ย!



กู (โง่) ล้ำกว่าว่ะ



ไอคุณชายต้องสะกิดผม ผมถึงจะสะดุ้งตื่นเต็มตา ก็อากาศมันเย็นนี่นา นั่งใต้ร่มต้นไม้ ลมพัดเอื่อยๆ แถมวิวก็สบายตา ไอผมก็อดไม่ได้นี่ครับที่จะเคลิ้ม โธ่ แถมพอนั่ง (โง่) จนเสร็จแล้ว พอลืมตาขึ้นมา ก็เจอกับไอคุณชายที่นั่งเท้าคางมองมายังผมนิ่งๆ แต่สีหน้าเจ้าตัวกลับดีขึ้น ความหมองหม่นรอบตัวที่มีก่อนหน้านี้ได้หายไป ตอนนี้มีแค่ไอคุณชายคนเดิม ที่กวนประสาทเหมือนเดิม



“ รู้เปล่า เมื่อกี้ที่นายนั่งอู้งานอ่ะ... ”





“ ผมไม่ได้อู้งานนะ! มันก็แค่ เอ่อ เผลอไปแปปนึงเอง ” ผมรีบสวนคำพูดของไอชาย เถียงข้างๆ คูๆ ก่อนจะอึกอักหาข้อแก้ตัว ก็รู้ว่าผิด แต่มันห้ามเปลือกตาอันหนักอึ้งไม่ได้นี่นา ใครใช้ให้อีกฝ่ายมานั่งตรงที่ลมดีกันล่ะ





“ หึ นั่นแหละ นายเอนตัวมาทางฉัน จนจะล้มอยู่แล้ว ”





“ ใช่เหรอครับ คุณขี้โม้หรือเปล่า ผมไม่เคยสัปหงกถึงขั้นนั้นนะ ”





“ นั่น ยอมรับแล้วใช่ไหมว่าแอบอู้ ” น้ำเสียงยียวนกวนบาทา ยืดตัวขึ้นกอดอก ไขว่ห้าง เต๊ะท่าเป็นผู้ดีตีนขาว (ตัวขาวเกินไปน่ะ) มองนิ่งๆ มายังผม แต่ไอมุมปากที่ยกขึ้นยิ้มเยาะราวกับผู้ชนะนั่นคืออะไร!





“ เออๆ ผมยอมรับก็ได้ครับ ผมขอโทษ ” ผมต้องยอมรับอย่างไม่มีทางเลือก เพราะยังไงผมก็แอบหลับจริงๆ นั่นแหละ อีกฝ่ายก็หัวเราะชอบใจ เออ! ขอบใจ!





“ เออ ใช่ เมื่อกี้อยู่ๆ มีคนเข้ามาจะทักนาย บอกว่านายลืมของเอาไว้ แต่ฉันเห็นนายหลับอยู่เลยรับของมาแทนก่อน ”





“ หืม ผมเนี่ยนะ ลืมของเอาไว้ ” ผมถามย้อนกลับไปด้วยความฉงน ใครวะ แล้วผมไปลืมไว้ตอนไหนกัน ไอคุณชายล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกง แล้วดึงของบางอย่างออกมา





“ สร้อยข้อมือ? ” อีกฝ่ายยกสายสร้อยที่มีลักษณะเป็นสายโซ่ขึ้นเพื่อให้ผมเห็นชัดๆ ผมมองไปที่ข้อมือตัวเองก็พบว่าว่างเปล่า ไม่มีร่องรอยสร้อยที่ปกติจะชอบสวมไว้ติดตัว





“ เฮ้ย ใช่เลย ของผมเอง โอ้ย นี่ไม่รู้ตัวเลยนะเนี่ย ” ผมยื่นมือไปรับสร้อยคอในมือของไอคุณชายกลับมา พลิกซ้ายพลิกขวาดูเผื่อมีร่องรอยเสียหาย





“ ว่าแต่นายรู้จักเขาเหรอ ” ไอคุณชายถามต่อหลังจากที่คืนของให้ผม





“ ใครเหรอครับที่เอามาคืน ”





“ เป็นผู้ชายอ่ะ ตัวสูงๆ หน่อย ผิวไม่ขาวมาก ฉันก็ลืมถามชื่อ แต่เขาบอกว่ารู้จักนาย ” ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย พยายามนึกถึงคนที่รู้จักว่าใครมีเค้าโครงที่จะใช่ ทวนคำอธิบายนั้นในใจซ้ำไปซ้ำมา ก่อนที่เพื่อนบ้านที่เพิ่งรู้จักกันเมื่อเช้าจะปรากฏวาบขึ้นมาในหัว





“ อ้อ น่าจะเป็นคนข้างห้องใหม่ที่ผมเล่าให้ฟังหรือเปล่าครับ ”





“ คนข้างห้อง? ไม่เห็นคุ้นหน้าเลยตอนเจอ ” เจ้าของห้องนั่งคิ้วขมวด





“ ก็ที่ตอนที่ผมไปทิ้งขยะไงคุณ ที่คุณรอกินข้าวเช้านั่นน่ะ ”





“ แล้วเขารู้ได้ไงว่านายทำงานที่นี่ ” เออ นั่นสิ ผมก็สงสัย เพราะถ้าเขาไม่รู้จักไอคุณชายนี่ แล้วเขารู้ได้ไงว่าผมทำงานอยู่ที่นี่ เพราะเมื่อเช้าผมว่าผมไม่ได้บอกไปนะ ขนาดชื่อผมยังไม่ทันได้บอกเลย





“ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ หรือว่าเขาตามผมออกมา ”





“ ไม่รู้ ช่างเถอะ ของตัวเองได้คืนกลับมาก็ดีแล้ว ” ไอคุณชายพูดจบก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วหันมาลากแขนผมให้เดินตาม ผมตกใจมองอีกฝ่าย พยายามดึงแขนออกจากฝ่ามือขาวของอีกฝ่ายแต่ถึงอย่างนั้นแล้วก็ต้านแรงของอีกฝ่ายไม่ได้ ผมจึงได้แต่เดินตามด้วยสีหน้าที่เอือมสุดฤทธิ์











เดินมาสักพัก ก็ถึงร้านคาเฟ่น่ารักๆ ร้านหนึ่ง ที่ผมจำได้ว่าไอคุณชายเคยเดินมารอบหนึ่ง ตัวร้านถูกตกแต่งด้วยสไตล์เรือนขนมปังขิง ที่มีความผสมผสานระหว่างตะวันตกกับไทยได้อย่างลงตัว ประดับลวดลายฉลุไม้ ตัวร้านทาสีไข่ตัดกับหลังคาสีฟ้า ให้ความรู้สึกเหมือนย้อนยุคกลับไปในสมัยก่อน มีระเบียงยื่นออกมาเป็นรูปทรงหกเหลี่ยมข้างๆ ประตูทางเข้า ไม่ยักจะรู้ว่าอย่างไอคุณชายก็มีมุมแบบนี้ด้วย เข้าร้านมุ้งมิ้งขนาดนี้



คนตัวสูงที่เดินนำผมมาตลอดทางยืนนิ่งหน้าร้านพักหนึ่ง ค่อยๆ เอื้อมมือไปผลักกระตูร้านเบาๆ เสียงกระดิ่งที่ถูกกระทบเบาๆ เกิดเสียงให้รู้ว่ามีคนเข้าร้าน



ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศภายในกระทบตัวผมเบาๆ เสียงพนักงานเอ่ยต้อนรับและยิ้มให้เล็กน้อย ผมกับร่างสูงข้างหน้าเดินไปตรงบริเวณเคาท์เตอร์ที่รับออเดอร์ ไอคุณชายสั่งเครื่องดื่มก่อน แล้วจึงหันมามองผมเชิงถามว่าจะเอาอะไร นึกว่าจะไม่ถามกันแล้วซะอีก



ผมเลือกเมนูเครื่องดื่มพ่วงด้วยขนมหวานอีกอย่างหนึ่ง นิ้วจิ้มไปที่ขนมหวานก็ได้ยินคนข้างๆ กระแอมเบาๆ ผมจึงหันไปยักคิ้วให้กวนๆ แทน ฮ่าๆ พอสั่งเสร็จเราก็เดินไปนั่งที่โต๊ะมุมหนึ่งของร้าน ผมผินหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง เพิ่งจะเห็นว่าข้างนอกก็เป็นสวนเล็กๆ ที่ประดับประดาไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ เหมือนของร้านพี่อุ่นเลย แต่ร้านนี้จะให้กลิ่นอายที่เรียบหรูมากกว่า คงเหมาะกับพวกคุณหญิงคุณนายจะมานั่งเม้ามอยกัน



ผมกำลังอยู่ในห้วงอารมณ์สุนทรีย์อยู่สักพัก ไอคุณชายก็ยื่นเท้ามาเตะเท้าเบาๆ ผมละสายตาจากนอกหน้าต่าง มาให้ความสนใจกับคนที่นั่งตรงข้าม ก่อนจะถลึงตาให้ รองเท้าแพงนะโว้ย สกปรกหมด



“ คิดว่าตัวเองเป็นพระเอกเอ็มวีหรือไง นั่งอย่างกับถ่ายเอ็มวีอยู่อย่างนั้นแหละ ” ทำไมชีวิตผมถึงต้องมีมารผจญที่ชอบขัดความสุขชาวบ้านซะเหลือเกินนะ ผมจึงทำหน้าบึ้งตอบกลับไป นึกในใจ มีลูกน้องที่ไหนเขาทำท่าทางแบบนี้ใส่เจ้านายกันมั่งไหมเนี่ย



หลัวจากนั้นผมกับไอคุณชายก็พูดคุยสัพเพเหระเรื่อยเปื่อย (ส่วนใหญ่จะกวนตีนใส่กันซะมากกว่า) ระหว่างนั้นเครื่องดื่มและของหวานที่สั่งไว้ก็ถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะ ผมก็แปลกใจนิดหน่อยว่าทำไมถึงเล่าอะไรที่เป็นเรื่องส่วนตัวให้อีกฝ่ายฟังอยู่นานสองนาน ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้สนิทสนมกันไปมากกว่าเจ้านายกับลูกน้อง ถ้าเป็นไอแสงล่ะว่าไปอย่าง



สงสัยอาจจะเป็นเพราะสบายใจล่ะมั้ง



ผมปลอบใจตัวเอง ผมยกน้ำขึ้นมาดื่ม ของหวานหมดนานแล้วโดยฝีมือไอคนตรงหน้าผมนี่ ตอนแรกทำทีเป็นไม่ให้สั่ง ทีงี้ล่ะมาแย่งคนอื่นเขากิน แล้วก็ไม่ให้ผมสั่งเพิ่มด้วยนะ บอกแค่ว่าถ้าสั่งจะให้จ่ายเองให้หมดเลย โว้ย แพงขนาดนี้ผมก็ไม่อยากเสียเงินหรอกนะ น้ำแก้วหนึ่งก็ปาเข้าไปร้อยกว่าบาทแล้ว (คืองกนั่นเอง)



เสียงกระดิ่งดังขึ้นอีกครั้ง จริงๆ มันก็ดังอยู่ตลอดนั่นแหละ เพราะลูกค้าร้านนี้เข้าออกเยอะเหมือนกัน ตั้งแต่ที่ผมนั่งมาก็มากหน้าหลายตาสลับกันมาไม่ซ้ำหน้าเลย บางคนสั่งกลับบ้าน บางคนก็มานั่งในร้านเลย ทำให้ร้านดูคึกคักตลอด แต่ก็เป็นไปอย่างผู้ดีเขากินกัน ไม่มีการพูดเสียงดัง หรือหัวเราะเสียงดัง ไม่มีเลย แล้วยิ่งเสียงเพลงที่คลอเบาๆ ยังเป็นสไตล์แจ๊สอีก จึงทำให้ร้านนี้ดู ‘แพง’ ไปอีก



จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงที่คาดว่าน่าจะเป็นเจ้าของร้าน เพราะมีการถามไถ่พนักงานเล็กน้อย ก่อนจะเดินหายเข้าไปด้านใน ทำไมผมสังเกตขนาดนี้น่ะเหรอ ก็เพราะไอคนตรงข้ามผมมองตามชนิดที่ว่าไม่วางตาเลยน่ะสิ ผมจึงแอบๆ หันไปมองบ้าง แล้วก็เห็นอย่างที่ผมบอกไปน่ะครับ



คงจะสวยมากล่ะสิ ก็เป็นธรรมดาที่ผู้ชายจะชอบผู้หญิงสวยๆ ขนาดผมจะมองตามเลย แต่ความรู้สึกใจแฟบที่เป็นอยู่นี้คืออะไรกัน ผมขมวดคิ้วมุ่นไปหมด ห้ามความรู้สึกที่เหมือนจะ...



ผิดหวัง?



หืมม แล้วทำไมผมจะต้องผิดหวังด้วยวะ!



ผมหันกลับมามองไอคุณชายอีกครั้ง ก็พบว่าสายตาเขายังมองไปด้านที่ร่างบอบบางของหญิงสาวผู้นั้นผลุบหายเข้าไปอยู่อย่างนั้น ความรู้สึกผิดหวังเริ่มก่อขึ้นภายในใจมากขึ้น ผมเสยกน้ำขึ้นมาดูด ไล่สะบัดความคิดนี้ออกจากหัว แต่ก็ดูเปล่าประโยชน์ เพราะยิ่งปัดมันออกไปความรู้สึกก็ยิ่งเพิ่มขึ้นทุกที



ผมนั่งก้มหน้าน้อยๆ ทำทีเป็นมองมือถือ แต่ก็ยังแอบมองไอคุณชายเป็นระยะๆ ถอดถอนใจเบาๆ จนกระทั่งหญิงสาวเจ้าของร้านเดินออกมาพร้อมถาดขนมอีกครั้ง ผมมองไปยังกระจกหน้าต่างที่สะท้อนเงาของหญิงสาวไกลๆ เพราะไม่อยากหันกลับไปให้เขารู้ มือขาวเรียวถือที่คีบหยิบขนมสีสันหลากสีออกมาจัดเรียงอย่างสวยงาม คนตรงข้ามผมก็ยังคงมองต่อไป ผมเริ่มเกิดความรู้สึกที่อยากกลับขึ้นมาทันที ไม่อยากจะอยู่ต่อแล้ว จึงเอ่ยปากจะถามไอคุณชายเพื่อจะถาม



แต่เหมือนจะช้าไป อยู่ๆ คนที่นั่งนิ่งก็ลุกขึ้นยืนไม่ให้ทันตั้งตัว ผมมองตามร่างสูงที่เดินไปยังหน้าร้าน ก่นด่าในใจกับความหุนหันพลันแล่นของอีกฝ่าย และขณะที่ผมจะหยิบของส่วนตัวเพื่อเดินตามไป





“ เนตร ”


                 
               
เสียงอ่อนหวานแผ่วเบาของหญิงสาวดังเข้าโสตประสาทของผม ผมชะงัก หันกลับไปมองหญิงสาวคนนั้นอีกครั้งด้วยความแปลกใจ ทั้งสองคนที่ยืนเผชิญหน้ากันทำให้ผมรู้สึกเหมือนมีสายใยบางอย่างที่ผมคิดว่าเขาจะต้องรู้จักกันมาก่อนแน่นอน ผมกดอารมณ์หน่วงๆ ที่เกิดขึ้นในใจเมื่อกี้ลงไปให้ลึก เดินไปหาทั้งคู่ สีหน้าไม่แสดงความรู้สึกใดๆ





“ ใช่ ผมเอง ”  ไอคุณชายไม่แสดงความถึงอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากสายตาที่ทอดมองไปยังหญิงสาวตรงหน้า ซึ่งผมอาจจะคิดไปเองว่ายังอาลัย ในอกผมพลันเกิดความรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างที่ผมไม่ทันคาดคิด





“ เป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม แล้วกลับจากเมืองนอกตั้งแต่เมื่อไหร่ ”  หญิงสาวพยายามทำเสียงร่าเริง แต่คนนอกอย่างผมดูก็ดูออกว่าคงฝืนอยู่





“ ก็...เรื่อยๆ น่ะ กลับมาได้เกือบสี่เดือนแล้ว แล้ว วรรณ ล่ะเป็นยังไงบ้าง ”  หืม ‘วรรณ’ งั้นเหรอ ผมว่าผมคุ้นชื่อนี้มาก เพราะเคยได้ยินบังเอิญมาหลายครั้งหลายคราเหลือเกิน คือ...คนคนนี้เองน่ะเหรอ ผมมองไปที่หญิงสาวอย่างเหม่อลอย ในใจเริ่มรู้สึกหน่วงๆ หนักขึ้นอย่างบอกไม่ถูก





“ ก็สบายดีเหมือนเดิมแหละ ว่าแต่เนตรได้รับ... ”





“ ได้แล้ว ขอบคุณมากนะที่ยังไม่ลืมกัน ”  ร่างสูงข้างตัวผมรีบพูดตัดประโยคของอีกฝ่าย ผมเห็นเธออึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมา





“ จะลืมได้ไง ”  แล้วก็เดดแอร์ไปชั่วครู่ ระหว่างที่ทั้งสองคนยังไม่รู้จะหาประโยคอะไรมาคุยต่อ ผมก็เริ่มรู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออก กะว่าจะขอตัวออกไปรอข้างนอก เพื่อรับอากาศปลอดโปร่ง ไล่ความขุ่นมัวในใจออกไป





“ เออ แล้วนี่คือใครอ่ะเนตร เพื่อนเหรอ ”  และอยู่ๆ ผมที่ซึ่งเป็นธาตุอากาศมาโดยตลอดการสนทนา ก็ปรากฏอยู่ในสายตาของหญิงสาว ไอคุณชายหันมามองผมด้วยสายตาที่ผมอ่านไม่ออก แล้วหันกลับไปมองที่หญิงสาวตามเดิม ผมแสร้งยิ้ม ทั้งที่ในใจรู้สึกขมขื่น ความรู้สึกหน้าชื่นอกตรมเป็นยังไงก็เพิ่งรู้สึกจริงตอนนี้แหละ





“ อืม เพื่อนน่ะ ”  คำว่าเพื่อนสนิทที่ออกจากปากของไอคุณชาย ไม่ได้ทำให้ผมแปลกใจซะเท่าไหร่ ใครจะไปบอกกันล่ะว่าผมเป็นบอดี้การ์ด





“ อ๋อเหรอ เพิ่งรู้นะเนี่ย ว่าเนตรก็มีเพื่อนหน้าตาดีแบบนี้ด้วย ”





“ หา ผมเนี่ยนะครับ ”  ผมร้องเหวอออกไป เมื่อได้ยินคำชมของอีกฝ่าย เธอหัวเราะออกมาเบาๆ พอได้เห็นสีหน้าเหวอๆ ของผม





“ ขอโทษนะ พอดีฉันพูดตามที่เห็นน่ะ ”  เธอยิ้มให้เล็กน้อย  “ ว่าแต่ชื่ออะไรเหรอ ”





“ ชื่อ ณรัก ครับ เรียกผมรักก็ได้ ”





“ ขนาดชื่อยังน่ารักเลย ”  เธอพูดแล้วหัวเราะอีกครั้ง ผมจึงหัวเราะแห้งๆ ตาม





“ ฉันชื่อวรรณนะ เป็น… ”





“ แฟนเก่าฉันน่ะ ”  อยู่ๆ ไอคุณชายที่เงียบไปสักพักก็เปิดปากพูดออกมา หญิงสาวหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย แต่ก็ยังยิ้มให้ผม ผมมองบรรยากาศรอบๆ ตัวตอนนี้ ถ้ากรมอุตุนิยมวิทยามาตรวจสอบได้ คงพยากรณ์ออกมาว่า ‘มีหมอกหนาปกคลุมทั่วพื้นที่’ มันอึมครึมยังไงชอบกล





“ วรรณว่าเราอย่ามาคุยกันตรงนี้เลย ไปนั่งกันไหม ”





“ เดี๋ยวผมก็จะกลับแล้วล่ะ กะว่าจะมาแปปเดียว แต่เห็นวรรณซะก่อน ” ทำไมไม่รู้ผมถึงรู้สึกว่าเขากำลังโกหกอยู่กันนะ แค่เห็นหน้าตอนไอคุณชายตอนเห็นผู้หญิงคนนี้เดินเข้ามา แล้วพอได้มารู้จักกัน ก็เหมือนกับสิ่งที่ผมแปลกใจก็ได้รับคำตอบในทันที



มารอเจอนั่นแหละ



ผมยิ้มให้หญิงสาวเล็กน้อย ก่อนจะก้มหัวให้เป็นเชิงขอตัวออกมา พวกเขาคงมีอะไรพูดกันก่อนจาก ผมก็คงไม่อยากอยู่เป็นตัวขัดให้เสียอารมณ์ จึงเดินออกมานั่งรอที่ม้านั่งตรงระเบียง ลมพัดเบาๆ มากระทบตัวผมไม่ได้ทำให้ผมปลอดโปร่งขึ้นซักนิด ผมก้มลงมองมือตัวเอง ในหัวก็นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่ไอคุณชายนอกละเมอเป็นชื่อของคนนี้ขึ้นมา ผมอดคิดไม่ได้ว่าเขายังคงอาลัยอาวรณ์อยู่ ทำไมไม่รู้ความจริงเรื่องนี้มันทำให้ผมอึดอัดใจมาก



อยู่ๆ การ์ดแต่งงานสีหวานที่ผมเห็นเมื่อเช้า ก็ผุดขึ้นมาในหัว วรรณ ที่ว่านี้ไม่ใช่ว่าเป็นคนเดียวกับที่กำลังจะแต่งงานหรอกหรือ ผมนิ่งไป แล้วทำไมเขาถึงยังอาลัยอาวรณ์ล่ะ



ไม่ใช่ว่า…ยังรักอยู่เหรอ



มือผมประสานกันแน่น เมื่อผมได้คำตอบที่ผมว่าผมมั่นใจว่าใช่ ไอคุณชายยังรักหญิงสาวอยู่ ไม่อย่างนั้นตอนได้รับการ์ดแต่งงานนั้นเขาคงไม่อารมณ์เสียขนาดนี้หรอก ถึงขนาดออกมานั่งเหม่ออยู่นานสองนาน เพราะฉะนั้นเขาต้องยังรักอยู่แน่ๆ ทำไมผมถึงรู้สึกว่ามันคงมีอะไรมากกว่านั้นกันนะ



เสียงประตูดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่ร่างคนที่อยู่ในความคิดของผมจะเดินออกมา สีหน้าไม่บ่งบอกความรู้สึกอีกตามเคย ผมลุกขึ้นเดินเข้าไปหา คราวนี้เป็นผมที่เดินนำไปก่อน พอเข้ามาอยู่ในรถ บรรยากาศก็ตกอยู่ในความเงียบ ต่างคนก็ต่างคิดอะไรของตัวเองไป ถึงจะเป็นเรื่องเดียวกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีใครเปิดปากพูดออกมาก่อน



เมื่อกลับถึงห้องคอนโด ผมจึงเอ่ยขอตัวเบาๆ กับไอคุณชาย ก่อนที่จะเดินเข้าไปห้องนอนของตัวเองไป ส่วนเจ้าของห้องผมก็พยายามไม่หันไปมองหน้า ในใจผมตอนนี้มันตีรวนปรวนเปไปหมด บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไรใสตอนนี้ ใจหนึ่งก็ดีใจเมื่อรู้ว่าเขามีคนในใจแล้ว ตัวเองจะได้ตัดใจได้ซักที แต่อีกใจหนึ่งก็ผิดหวังเมื่อต้องรู้ความจริงว่าคนที่อยู่ในใจเขามาตลอดคือใคร ผมนั่งลงบนเตียง แล้วทึ้งหัวเบาๆ กับตัวเอง



เสียงไลน์ดังเตือนว่ามีคนกำลังทักแชทผมมา ผมหยิบมันขึ้นมาดู เผื่อว่าเป็นไอแสงทักมา แต่คนที่ทักมาหาผมในช่วงเวลานี้กลับเป็นไอคนที่ผมเมินมันตลอดมา





‘ หวัดดี ’  คุณแดเนียลนั่นเอง





‘ *สติกเกอร์เป็ดทรุดตัวลงกับพื้น* ’





‘ เป็นอะไรไป? ทำงานเหนื่อยเหรอ? ’





‘ เปล่าอ่ะ รู้สึกเหนื่อยใจนิดหน่อย ’ ผมล้มตัวลงนอนราบไปกับเตียง ยกมือถือขึ้นกด





‘ มีเรื่องอะไร ปรึกษาฉันได้นะ ’  ผมนิ่งไปพักหนึ่งหลังจากที่เห็นข้อความที่มันตอบมา





‘ เฮ้อ ฉันยังไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นอะไร ฉันจะไปปรึกษานายได้ยังไงล่ะ ฮ่าๆ ’




‘ นายไปเจออะไรมาล่ะวันนี้ ’   ผมนึกไปถึงเรื่องที่เพิ่งจะเกิดขึ้นหมาดๆ เมื่อตอนบ่าย แล้วชั่งใจว่าจะเล่าให้ฟังดีไหม ในตอนนี้คือผมต้องการที่จะระบายออก ทั้งๆ ที่ผมก็ไม่รู้ว่าจะระบายยังไงก็ตาม แต่ก็ตัดสินใจเล่าให้อีกฝ่ายไป





‘ วันนี้ฉันไปเจอเพื่อนมา ’





‘ อึฮึ ’





 ‘ฉันไม่ได้ว่าสนิทกับเพื่อนคนนี้มาก แต่ก็ตัวติดกันตลอด ’





‘ ไอแสง? ’





‘ ไม่ใช่ๆ จะเป็นใครก็ช่างเถอะ ’  ผมพิมพ์ต่อ  ‘ แล้วอยู่ๆ วันหนึ่งผมเพิ่งมารู้ว่ามันมีแฟนเก่าที่คงรักกันมาก เพราะตอนนี้มาเจอกันมันยังดูอาลัยเขาอยู่เลย ’





‘ นายตกใจเหรอที่รู้ ’




‘ มันไม่เชิงอ่ะ แต่แค่รู้ว่าแบบผิดหวัง แล้วก็… ’  อึดอัด ผมพิมพ์ค้างไว้ยังไม่กล้าส่ง แต่กลับเป็นคุณแดเนียลที่ตอบมาอย่างกับมาเห็นคำตอบผม





‘ นายก็เลยผิดหวังใช่ไหม รู้สึกแปลกๆ อย่างเช่นอึดอัด? ’ ผมรีบลบประโยคที่พิมพ์ค้างไว้ทันที





‘ เฮ้ย นายรู้ได้ไงอ่ะ ’  จากนั้นไอคุณแดเนียลก็เงียบไปพักหนึ่ง จนผมนึกว่ามันคงปิดไปแล้ว ผมกำลังกดออกจากแชทไป แล้วจะไปทักไอแสงต่อ แต่เหลือบไปเห็นข้อความมันตอบซะก่อน



‘ นายไม่รู้ตัวเลยจริงๆ เหรอ ’





‘ รู้ว่า? ’  ผมรีบพิมพ์กลับไป





‘ ฉันถามได้ไหมว่าเพื่อนผู้หญิงหรือผู้ชาย ’





‘ ผู้ชายน่ะ ’





‘ …’  สิ่งที่คุณแดเนียลตอบกลับมามีแต่จุดจุดจุดนี้ ผมจึงสงสัยว่ามันกำลังรู้อะไรแล้วหรือเปล่า ผมกำลังจะพิมพ์ถามว่าเขาเป็นอะไร แต่สายตาไปสะดุดกับประโยคที่อีกฝ่ายพิมพ์กลับมา ผมนิ่งทันทีราวกับถูกปิดสวิชต์ในร่างกาย เลือดลมในร่างกายเหมือนถูกแช่แข็ง ผมนอนนิ่งค้างอย่างนั้นไปหลายนาที ก่อนจะกระเด้งตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เสียงทักแชทรัวๆ จากใครก็ตามไม่ได้อยู่ในสาระบบผมแล้ว ตอนนี้สิ่งที่อยู่ในหัวผมมีอยู่อย่างเดียว



‘ นาย...กำลังชอบเขาเข้าให้แล้วล่ะ รู้ตัวหรือเปล่า ’



ประโยคที่ไอคุณแดเนียลพิมพ์มา…..





โปรดติดตามตอนต่อไป


น้อนนนนนนนนนน ไอต้าววววววววววว  :z3:




หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 17!!! (23/11/63)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 24-11-2020 21:35:21
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 17!!! (23/11/63)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 24-11-2020 23:10:48
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 18!!! (25/12/63)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหมีวุ่นวาย ที่ 25-12-2020 11:43:52
ตอนที่ 18
" ถ้านายยังไม่รีบตัดใจตั้งแต่ตอนนี้... "




 ‘ เฮ้ย บ้าเหรอ เขาเป็นผู้ชายนะ ฉันจะไปชอบเขาได้ยังไงกัน คุณมั่วแล้ว ’  หลังจากที่ผมนั่งอึ้งไปอยู่หลายนาที ขนาดคุณแดเนียลส่งสติกเกอร์ประโยคคำถามมาให้ ผมยังคงจ้องมองประโยคที่คุณแดเนียลพิมพ์มาก่อนหน้านี้ค้างไว้อยู่อย่างนั้น ผมรีบสะบัดหัวแล้วรีบพิมพ์ปฏิเสธลงไป





‘ ฉันไม่ได้ว่าจะกดดันนายหรืออะไรนะ แต่อาการของนายน่ะ มันกำลังเข้าขั้นแล้ว ’





‘ นายจะเริ่มรู้สึกแย่จนไม่อยากคุยกับเขา หรืออาจจะพาลไม่อยากเจอหน้าเขาเลย แถมตอนนี้นายคงกำลังหมดแรง หัวสมองตื้อ คิดอะไรไม่ออก นอกจากคิดถึงเรื่องของเขาใช่ไหม ’   โอ้ย จึก จึก จึก จึกๆๆๆๆ หัวใจผมพรุนไปหมดแล้ว ทำไมไอนี่มันทายถูกหมดเลยวะว่าผมรู้สึกยังไง อย่างกับมานั่งมองสภาพผมอยู่ตอนนี้ ทั้งๆ ที่อยู่ไกลกันตั้งหลายพันกิโลเมตร ผมรู้สึกแย่จนแทบอยากจะร้องไห้ออกมา แต่ร้องไม่ออก มันตื้อๆ ไปหมดอย่างที่มันว่าแหละ



‘ ทำไมนายรู้ดีขนาดนี้ เคยเป็นเหรอไง ’





‘ เคยเป็น พอมาตอนนี้ก็กำลังเป็นอยู่ ’   คำตอบของเขาทำให้ผมแปลกใจ โปรไฟล์ดีอย่างเขาเนี่ยนะ จะมีอาการแบบผมได้ด้วย





‘ ทำไมล่ะ? ’





‘ ถ้าไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไรนะ มันเรื่องส่วนตัวของนาย ’  ผมรีบพิมพ์ไปเผื่อคุณแดเนียลจะรู้สึกว่าผมยุ่งเรื่องของเขา





‘ จริงๆ แล้ว… ’   พิมพ์มาเท่านี้ แล้วเขาก็หยุดพิมพ์ไป





‘ จริงๆ แล้ว? ’  นี่คือคนที่เกรงใจว่าไม่อยากยุ่งเรื่องคนอื่นนะเนี่ย





‘ ฉันแอบรักคนคนหนึ่งมานานมาก ’   หา อย่างนายนี่อ่ะนะ ยังต้องแอบรักอีกเหรอ ผมอึ้งไปกับประโยคที่เขาเล่ามา ผมยังคงไม่ตอบอะไรเพื่อให้เขาเล่าไปก่อน เขาจะได้ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วผมชอบเสือกเรื่องชาวบ้าน




‘ ฉันเจอเขาตั้งแต่ยังฉันยังเรียนอยู่เลย แถมเจอได้แปปเดียวก็ต้องจากกันแล้ว ’


‘ ฉันก็ไม่รู้หรอกว่ามันเป็นแบบนี้ได้ยังไง รู้ตัวอีกทีฉันก็รู้สึกไปแล้ว ’ 


‘ ตอนนั้นฉันก็รู้สึกผิดหวังไปทีหนึ่งแล้ว ฉันก็มีคนคบไปเรื่อย แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครทำให้ฉันลืมเขาได้จริงๆ ’



‘ ตอนที่ฉันเกือบจะลืมเขาได้แล้ว แต่พอมาเจอกันอีกครั้ง ความพยายามของฉันก็เปล่าประโยชน์ไปทันที ’ 



‘ พอมาถึงตอนนี้ฉันก็เพิ่งมารู้ว่าเขากำลังชอบอยู่กับอีกคน ก็เลยอดที่จะรู้สึกผิดหวังอีกครั้งไม่ได้น่ะ ’  หืมมม นายนี่มันก็มีมุมที่รักฝังใจเหมือนกันนะเนี่ย จากที่ไอแสงเล่า ผมก็นึกว่าจะเปลี่ยนคู่ควงไปเรื่อยซะอีกๆ แต่ผู้ชายคนนั้นเป็นใครกัน ทำให้คนอย่างเขาหลงได้ขนาดนี้ ถ้าเป็นผมนี่คงจะรู้สึกภูมิใจ ที่ทำให้คนที่เจ้าชู้ (หรือเปล่า) มาหลงรักได้





‘ แล้วตอนนี้นายยังติดต่อเขาอยู่ไหม ’  ผมพิมพ์ถามหลังจากที่เขาพิมพ์เสร็จ





‘ ก็ติดต่อบ้าง ไม่ได้คุยกันบ่อยๆ หรอก ’ 





‘ ตอนนี้เรานี่อยู่ในสภาพเดียวกันเหรอเนี่ย ฮ่าๆ ’  ผมรีบทำเป็นพูดเล่นกลบเกลื่อน ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุยสัพเพเหระ แต่ในใจก็ยังคงคิดถึงสิ่งที่คุยกับไอคุณแดเนียล ความจริงที่อีกฝ่ายตอกย้ำให้ผมยอมรับ มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนโลกจะแตกในวันพรุ่งนี้ยังไงอย่างนั้น



ก่อนจะแยกย้าย คุณแดเนียลก็ส่งประโยคที่ทำให้ใจผมหายวาบ





‘ ฉันบอกนายได้เลยนะว่า ถ้านายยังไม่รีบตัดใจตั้งแต่ตอนนี้ อีกหน่อยนายจะลำบาก ’ 





‘ … ’





‘ เพราะจนถึงตอนนั้น ต่อให้นายอยากจะจากเขาขนาดไหน ก็คงสายไปแล้ว ’

















“ คุณเนตรครับ อาหารเช้าพร้อมแล้วนะครับ ” ผมเคาะประตูเรียกตามหน้าที่ปกติอย่างทุกวัน แต่วันนี้แปลกหน่อย ผมตื่นสายน่ะครับ เฮ้อ เศร้าใจ ผมเลยรีบตาลีตาเหลือกลุกขึ้นมาเพื่อทำกิจส่วนตัวอะไรเสร็จให้เรียบร้อย เตรียมข้าวปลาอาหาร ก่อนจะเดินมาปลุกคุณชายตื่นสายนี่แหละครับ นี่มันงานพ่อบ้านชัดๆ!



รออยู่นานก็ไม่ได้ยินเสียงอะไร ผมจึงเคาะอีกครั้ง แล้วเอาหูแนบติดกับประตู เพื่อฟังเสียงข้างใน แต่ฟังอยู่สักพักก็ไม่ได้ยินเสียงอะไร หรือไอคุณชายจะน็อคอีกแล้ววะเนี่ย ผมเคาะอีกครั้งเป็นการขออนุญาต แล้วก็เปิดประตูเข้าไปในห้องนอนของเจ้าตัว ที่ผมไม่เคยจะย่างก้าวเข้าไปเลยจริงๆ



ผมเดินเข้าตรงเตียงนอนที่คาดว่าน่าจะมีร่างของเจ้าของห้องนอนแผ่หลายอยู่ แต่ปรากฏว่า ว่างเปล่า เขาไปไหนของเขากันวะ ผมยืนเกาหัวแกรกๆ หันมองไปรอบห้องก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ อยู่ทั้งนั้น (นอกจากยุง) ผมเดินเข้าไปเปิดประตูห้องน้ำ ก็ว่างเปล่าเหมือนกัน มีเพียงอย่างหนึ่งที่ผมแน่ใจว่าเขายังไปออกไปบริษัทชัวร์ๆ คือ กุญแจรถคันเก่งของเจ้าตัวที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง



ผมกำลังใช้หัวตรึกตรองอย่างหนัก (อย่างกับจะไปสอบ) ว่าคนอย่างไอคุณชายนี่จะไปไหนได้ในเวลานี้ หรือว่าจะไปออกกำลังกาย? ก็ไม่น่าใช่ เพราะเขาชอบออกกำลังกายช่วงค่ำๆ หลังจากที่กลับมาจากบริษัทแล้ว หรือว่าจะไปซื้ออะไรกิน? อันนี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ เพราะสิ่งที่เป็นไปได้สำหรับเจ้าตัวก็คือ จิกหัวใช้ผมเยี่ยงทาสนั่นเอง ไม่น่าจะออกไปซื้อเอง



เฮ้อ คิดไม่ออกโว้ย เดี๋ยวก็คงกลับมาล่ะมั้ง



ผมจึงนั่งลงที่โต๊ะกินข้าว ก่อนจะพนมมือพูดขอโทษไอคุณชายในใจที่ถือวิสาสะลงมือจัดการอาหารของตัวเองก่อน นั่งเช็คไลน์ตัวเองไปด้วย นั่งกินไปสักพักซึ่งอาหารผมก็ใกล้จะหมด จึงได้ยินเสียงเซ็นเซอร์บัตรประตูดังขึ้น ตามด้วยเสียงประตูแง้มเบาๆ ก่อนจะปิดลง แล้วก็ปรากฏร่างของคนที่ผมกำลังตามหาอยู่นั่นเอง



“ นี่นายมากินก่อนฉันได้ยังไงกันเนี่ย ” คนที่เพิ่งมาใหม่ยืนหน้าหงิกอยู่ใกล้ๆ กับโต๊ะกินข้าว ผมจึงรีบกลืนข้าวที่เต็มปากลงไปก่อนที่จะสำลักข้าวเข้าหลอดลมตาย





“ ก็ผมหาคุณตั้งนาน ไม่รู้ว่าคุณไปไหนมา ก็เลยขอกินก่อนเพราะหิวมากๆ ” ผมพูดเน้นคำว่าหิวมากๆ อีกฝ่ายหรี่ตามองผม ไม่พูดอะไร แต่ก็ยอมนั่งฝั่งตรงข้ามผม ทำเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจ





“ แล้วคุณไปไหนมาครับ ”





“ ก็ไปทักทายไปห้องข้างๆ มาน่ะสิ ก็นายเคยด่าฉันไม่ใช่หรือไงว่าไม่มีความเป็นมิตรเลย เพื่อนข้างบ้านอยู่มาตั้งนานก็ไม่รู้จัก ” คราวนี้ผมสำลักข้าวจริงแล้วครับ ตบอกตัวเองเบาๆ มองไปยังฝ่ายตรงข้ามอย่างตกใจปนความรู้สึกทึ่ง คนอย่างไอคุณชายเนี่ยนะ จะถ่อไปถึงห้องข้างๆ เพื่อไปทักทาย โอ้ จีซัสไครส์!





“ นั่น ตกใจจนสำลักข้าวตายอย่ามาโทษกันละกัน อะไรจะตกใจขนาดนั้นฮะ แค่ไปทำความรู้จักกับเพื่อนข้างห้องแค่นี้ ”  ไอคุณชายกอดอก ส่งสายตาขุ่นมัวมายังผม หน้าหงิกเป็นตูดเป็ดเลยเชียว





“ ก็ผมตกใจจริงๆ นี่ครับ ท่านชายผู้ยิ่งใหญ่อย่างคุณนี่เข้าหาคนอื่นก่อนแบบนี้ได้ นี่ตกใจจริงๆนะครับไม่ได้พูดเล่น ” พร้อมทำท่าทางขนาดที่ว่ารางวัลออสก้ายังต้องพ่ายให้ผม





“ เดี๊ยะๆ ฉันยอมอ่อนให้หน่อย เดี๋ยวนี้กล้าปีนเกลียวกันได้เลยนะ ” เจ้าตัวบ่นอุบ เดินอ้อมมานั่งเก้าอี้ตรงข้ามผม





“ แต่ก็ดีแล้วครับ หัดไปทำความรู้จักซะบ้าง ก่อนที่จะไม่มีใคร…เอ่อ คบ ” ประโยคสุดท้ายถูกกลืนไปพร้อมกับข้าวในปาก เมื่อผมเงยหน้าขึ้นมาสบตาคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม ไอคุณชายนั่งทำหน้าเขม็ง จ้องมายังผมอย่างไม่สบอารมณ์ ผมหัวเราะแฮะๆ แก้เก้อ ก่อนจะหลุบตารีบจ้วงข้าวในจานใส่ปาก





“ แต่ก็แปลกนะ พอฉันไปทำความรู้จักกับเพื่อนบ้านของนายคนนี้ เขาพูดกับฉันเหมือนกับเราสนิทกันมาเป็นชาติ ”





“ ทำไมเหรอครับ ”





“ ไม่รู้เหมือนกัน แต่แบบมันแค่ไม่เหมือนคนเพิ่งรู้จักกันเลย ”





“ เขาอาจจะเห็นคุณมานานแล้ว แต่ไม่ได้เข้ามาคุยอะไรแบบนี้ก็ได้นะครับ ” คนตรงข้ามผมทำหน้าครุ่นคิด





“ จริงๆ แล้วฉันว่าคนที่ฉันเคยเห็นพักอยู่ห้องข้างๆ นี่ไม่ใช่คนนี้นะ ”





“ อ้าว แล้วเป็นใครล่ะครับ คุณรู้จักเหรอ ” ผมมองคนพูดอย่างแปลกใจ ถ้าเป็นอย่างที่ไอคุณชายพูดจริงๆ ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าคนที่ชื่อนนท์คนนี้น่าจะเพิ่งเข้ามาใหม่ล่ะสิ แล้วทำไมเขาทักผมราวกับเหมือนตัวเองอยู่มาตั้งนานแล้ว ไหนจะรู้ที่ทำงานของผมอีก ถึงกับเอาของมาคืนให้ แปลกๆ แฮะ





“ ฉันเคยเห็นอยู่สองสามครั้ง ตอนเดินออกมาจากห้อง แต่ว่าไม่น่าจะใช่คนนี้แน่นอน ”





“ หรือจะเป็นคนรู้จักของเขาหรือเปล่า ”





“ อาจจะอย่างนั้นล่ะมั้ง ช่างเขาเถอะ นายนี่กินเสร็จยังเนี่ย ชักช้าอืดอาด เดี๋ยวฉันไปทำงานสายนะ ” ผมรีบปัดเรื่องอยู่ในหัวออก แล้วรีบตักข้าวกิน จัดการอะไรทุกอย่างเสร็จ เราก็ได้ฤกษ์ออกไปบริษัท





“ อ้าว คุณเนตร คุณรัก สวัสดีค่ะ ” ผมกับไอคุณชายขึ้นลิฟต์มาก็เจอคุณเลขากำลังรอลิฟต์อยู่พอดี





“ สวัสดีครับ นี่จะไปไหนครับเนี่ย ” ผมเอ่ยทักคุณเลขา





“ อ๋อ พอดีวันนี้ทางบริษัทออแกไนซ์เขานัดคุยงานกับทางแผนกจัดอีเวนท์ค่ะ ดิฉันจะลงไปตรวจสอบซักหน่อยค่ะ เพราะงานเปิดตัวกำลังใกล้เข้ามาแล้ว ”





“ ผมลงไปดูด้วยได้ไหมครับ จะได้ดูภาพรวมไปด้วยเลย ” ไอคุณชายถาม





“ ได้สิคะ ดีเลย เผื่อคุณเนตรมีอะไรจะเพิ่มเติมก็บอกเขาได้โดยตรงเลยค่ะ ” เมื่อคุณเลขาเซย์เยส ผมจึงรีบเอาของสัมภารกทั้งหลายทั้งของเจ้านายและของตัวเองเข้าไปเก็บในห้อง โดยไม่ลืมหยิบสมุดบันทึกประจำตัวของตัวเองไปด้วย และรีบวิ่งไปยังลิฟต์



เมื่อเราลงมาถึงแผนกจัดอีเวนท์ ทุกคนก็กำลังจะเตรียมประชุมอยู่พอดี และเมื่อทุกคนรู้ว่าไอคุณชายจะเข้าร่วมประชุมแล้วด้วย ก็ยิ่งทำให้การเตรียมประชุมปกติ กลายเป็นสมรภูมิรบยังไงอย่างนั้น เพราะต่างคนต่างจัดนู่นจัดนี่มือไม่ประวิงกันเลยทีเดียว เหมือนถ้าหากลืมอะไรซักอย่าง อาจจะโดนเนรเทศออกจากห้องได้ ทั้งๆ ที่ไอคุณชายก็ไม่ได้แผ่รังสีกดดันออกมาแต่อย่างใด ผมมองไปรอบๆ ด้วยความทึ่งปนขำ เพราะรับรู้ถึงความเกร็งนิดหน่อยที่ลอยอยู่ในบรรยากาศโดยรอบ



ระหว่างรอให้ทางบริษัทออกาไนซ์มาถึง ผมจึงไปเตรียมกาแฟสูตรเฉพาะของไอคุณชายเพื่อเอาเข้าห้องประชุมด้วย และเมื่อชงเสร็จก็ยกออกจากห้อง แต่เสียงสนทนาของหญิงสาวครู่หนึ่งก็ลอยเข้าหู



“ แกๆ (กระซิบเสียงสูง) ลูกชายท่านประธานหล่อจังเลยอ้ะ! ” หญิงสาวคนแรกเปิดประเด็นด้วยการบรรยายความหล่อเหลาของเจ้านายของผม





“ ใช่มะแก ฮือ อยากได้ ” กาแฟในแก้วผมเกือบกระฉอดมาลวกมือผม เมื่อได้ยินหญิงสาวคนที่สองพูด ช่างไม่มียางอายกันซะจริงเลยนะ (มือกำแก้วกาแฟแน่น)





“ นี่ถ้าไม่ติดว่ามีลูกแล้วนะ ฉันก็รีบรุกให้ดูเลย ” ผมยิ้มอย่างละเหี่ยใจ หน้าไอคุณชายลอยขึ้นมาในหัวทันที ถ้าเขามาได้ยินนะ คงไล่ตะเพิดออกไปหมดแล้วเนี่ย ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ปลงในความรุกแรงของหญิงสาวทั้งสอง ก่อนจะหันตัวออกจากประตู แต่หูมันก็ทำงานดีซะเหลือเกิน





“ แต่ฉันได้ยินมาว่าเขาเคยมีแฟนมาก่อนไม่ใช่เหรอ ก่อนหน้านี้เขาลือกันให้แซด ” ผมชะงักกึกทันที





“ น่าจะใช่นะ เห็นว่าเป็นลูกสาวของเพื่อนท่านประธานที่ด้วยนิ ” ผมนิ่งอึ้งด้วยความตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน มือที่ถือแก้วกาแฟอยู่เกร็งขึ้นเล็กน้อย



ลูกสาวเพื่อนท่านประธาน…



“ ที่เป็นหุ้นส่วนของบริษัทเราน่ะเหรอ ”





“ น่าจะใช่นะ ฉันเคยเห็นเขาควงกันมาเมื่อหลายปีก่อน ”





“ แหม เธอล่ะก็ นี่รู้ลึกขนาดนี้ ตามสืบมานานเท่าไหร่เนี่ยฮ้ะ ”





“ ก็แหม ฉันเข้ามาทำงานก็ได้สักพักแล้วนะ เห็นมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ”





“ แต่ฝ่ายหญิงจะแต่งงานแล้วนิ ”





“ จริงเหรอ สงสัยจะเลิกกันจริงๆ แล้วมั้ง ”





“ น่าจะเลิกกันแล้วแหละ ไม่งั้นก็คงเดินควงกันมาแล้วแหละ ”





“ เฮ้อ เสียดายเนอะ ตอนฉันเห็นพวกเขาเดินด้วยกัน เหมาะสมอย่างกับอะไรดี ฉันเห็นแล้วยังรู้สึกปวดใจเลยอ่ะ ” ผมฟังอยู่นานเท่าไหร่ก็จำไม่ได้ ไม่รู้แม้กระทั่งหญิงสาวทั้งสองเดินออกไปจากห้องอีกฝั่งตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แต่ในหัวมีแต่ใบหน้าของคนที่ชื่อวรรณกับชายวัยกลางคนที่ผมเคยบังเอิญเห็นที่บริษัท ซึ่งตอนหลังมารู้ว่าเป็นหุ้นส่วนของบริษัท



เหมาะสมกันอย่างกับอะไรดี หึ



ผมหัวเราะในลำคอ และก้มมองตัวเอง คำเตือนของคุณแดเนียลผุดขึ้นมาในหัวแทบจะทันที เห็นทีผมคงต้องหักห้ามใจจริงๆ แล้วแหละมั้ง ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปก็คงเป็นผมที่เจ็บเองซะเปล่าๆ ถึงแม้ตอนนี้อาการจะยังไม่สาหัสขนาดนั้น แต่ถ้าผมยังไม่ระวังตัวเอง แล้วยังปล่อยให้ความรู้สึกมันงอกเงยต่อไปเรื่อยๆ ไม่อยากจะคิดเลย ให้ตาย ในใจเกิดความรู้หน่วงๆ ขึ้นมาอีกแล้ว คงจะเป็นคำเตือนจากหัวใจอีกแล้ว เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เพิ่งมารู้ตัวจริงๆ ก็เพิ่งเดี๋ยวนี้นี่เอง พร่ำบอกกับตัวเองว่า หน้าที่ก็ส่วนหน้าที่ ความรู้สึกก็ส่วนความรู้สึก ผมไม่ควรเอามันมาปะปนกันให้มันยุ่งเหยิง



ถ้าท่านประธานรู้ว่าผมเป็นแบบนี้ มีหวังคงไล่ตะเพิดออกจากไปให้ไกลแทบจะทันที



ผมเดินออกจากห้องชงกาแฟด้วยความเซื่องซึม สายตามองไปเห็นไอคุณชายที่ยืนเด่นเป็นสง่า คุยกับพนักงานคนหนึ่งซึ่งเป็นหัวหน้าของแผนก ได้แต่มองเขาด้วยความหดหู่ใจ หรือมันจะเป็นเพราะความเผลอไผลเพราะใกล้ชิดกัน สงสัยคงจะเป็นแบบนั้นล่ะมั้ง ถ้าคดีจบทุกอย่างเรียบร้อย ผมก็จะได้หลุดพ้นจากหน้าที่นี้ซักที แล้วกลับไปเป็นไอรัก ผู้ทรงเสน่ห์เหมือนเดิม



คิดถึงตรงนี้มันควรจะดีใจจนเนื้อเต้นสิ ไม่ใช่ใจแฟบแบบนี้ ฮ่วย!



“ ขอโทษนะครับ ” ผมที่ยืนคอตกพร่ำด่าตัวเองในใจอยู่ ถูกสะกิดทางด้านหลัง แต่เมื่อหันกลับไปมองแล้ว คนที่ยืนอยู่ทางด้านหลังของผมกลับทำให้ผมตกใจ



“ อ้าว! นาย… ”




อ่านต่อข้างล่าง
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 18!!! (25/12/63)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหมีวุ่นวาย ที่ 25-12-2020 11:48:45



“ เพื่อนข้างห้อง? ” ผมเอ่ยทักคนที่มาใหม่ด้วยความบังเอิญ



“ คุณรักนั่นเอง ” ตายห่า จำชื่อกูได้ด้วย แต่กูจำของมึงไม่ได้ว่ะเฮ้ย



“ เอ้อ นั่นแหละ แล้วนายมาทำอะไรที่นี่เนี่ย ” ผมเกาหัวแกรก รีบเปลี่ยนเรื่อง ก่อนที่จะถูกคนตรงข้ามจับได้ว่ากูจำชื่อมันไม่ได้



“ อ๋อ พอดีผมมีนัดมาคุยเรื่องงานอีเวนท์น่ะครับ คุณรักพอจะทราบไหมว่าคุณดลนทีอยู่ไหนเหรอครับ ผมติดต่อเขาไมได้เลย เขาบอกแค่ให้ขึ้นมาชั้นนี้ ” เดี๊ยวววววว นัดคุยเรื่องงานอีเวนท์ ตายห่าตายหอก ทำไมโลกมันกลมเยี่ยงนี้ เพิ่งได้รู้จักกันแค่ไม่กี่วัน ต่อมากลายเป็นคู่ค้ากันซะแล้ว

 

ผมยิ่งอึ้งด้วยความตกใจ ก่อนที่อีกฝ่ายจะทำสีหน้างุนงงเมื่อเห็นผมไม่ตอบ ผมจึงดึงสติตัวเองกลับมา แล้วมองหาหัวหน้าแผนกจัดอีเวนท์ที่เพื่อนข้างห้องกำลังตามหา แล้วนึกขึ้นได้ว่าเมื่อกี้เห็นยืนคุยอยู่กับไอคุณชายนี่นา แล้วหายไปไหนซะแล้วเนี่ย ผมมองหาจนหัวขวิด เดินเข้าไปหาในห้องประชุม



“ ผมไปแน่นอน ไม่ต้องเป็นห่วง แค่นี้ก่อนนะวรรณ ผมมีประชุมน่ะ ” เสียงคุ้นเคยดังขึ้นเมื่อผมเดินเข้าไปในห้องประชุม ถ้าไม่ยินไม่ผิด ผมได้ยินชื่อของหญิงสาวที่คอยบั่นทอนจิตใจผมมาตลอดช่วงนี้ด้วย ผมยืนนิ่งมองไปยังไอคุณชายที่ยืนหันหลังให้ ก่อนที่อีกฝ่ายจะหันกลับมาเห็นผม แวบหนึ่งที่ผมเห็นสีหน้าตกใจจากอีกฝ่าย แต่ก็แวบเดียวเท่านั้น ก็กลับมาหน้าเรียบเฉยเหมือนเดิม ผมจึงแสร้งทำทีเหมือนไม่ได้ยิน



“ คุณเนตรเห็นคุณดลนทีไหมครับ พอดีทางบริษัทออแกไนซ์เขามาแล้วน่ะครับ ”



“ อืมม เมื่อกี้เหมือนเห็นเขาเดินหายไปทางห้องเครื่องดื่มนะ ให้ทางนั้นเขาเข้ามาในนี้เลย แล้วนายก็ไปตามหัวหน้าแผนกกับคนที่เกี่ยวข้องเข้ามาด้วยแล้วกัน ” อีกฝ่ายเดินไปนั่งตรงหัวโต๊ะที่อยู่ตรงข้ามหน้าจอโปรเจคเตอร์ เปิดอ่านแฟ้มที่ทางแผนกเตรียมให้ ผมจึงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองถือกาแฟที่จะชงให้เจ้าตัวอยู่ แต่ตอนนี้มันก็อุ่นซะแล้วล่ะ ไม่อร่อยแล้ว ผมจึงเดินออกไปเพื่อจะไปชงใหม่ให้



“ นั่นนายจะยกไปไหน ” ไอคุณชายพูดขึ้น ทำให้ผมที่กำลังจะก้าวออกจากห้องไป หยุดชะงัก หันกลับมาอีกครั้ง



“ พอดีมันเย็นแล้ว ผมจะไปชงใหม่ให้ ”



“ ไม่ต้อง เอาแก้วนั้นมานั่นแหละ ” คนพูดวางแฟ้มในมือลงแล้วหันมาทางผม สายตากึ่งบังคับให้ผมเอาแก้วไปวาง ผมจึงแอบเบ้ปากเล็กน้อยพอให้อีกฝ่ายเห็น แล้วจึงเดินเอาแก้วไปวางให้ไอคุณชาย คนบ้าชอบสั่งเสียจริง!



“ นี่ครับ กาแฟเย็นชืดสูตรพิเศษจากผม ” ผมพูดจบก็เห็นใบหน้าที่เอือมระอาของอีกฝ่าย



“ ไปตามคนอื่นได้แล้วไป ” แหม พอพอใจแล้วก็รีบไล่กันเลยนะ โธ่ ไอคุณชายขี้เก๊ก ผมเดินเสียงตึงตังเล็กน้อย แล้วเดินออกไปตามทุกคนเข้าห้องประชุม

 

 

“ ทางผมก็ต้องจบการรายงานเพียงเท่านี้ครับ หากมีรายละเอียดปลีกย่อยเพิ่มเติม รบกวนส่งอีเมลล์มาได้เลยนะครับ ส่วนที่เล่มรายงานสรุปรายละเอียดครับ ” คุณนนท์ (ที่ผมเพิ่งได้ยินคนอื่นเรียกพอดี) อธิบายรายละเอียดอยู่ตรงหน้าโปรเจคเตอร์ ผมรู้สึกว่าเขาก็ทำงานเก่งและค่อนข้างใส่ใจรายละเอียดมาก เพราะจุดเล็กจุดน้อยนี่ไม่มีหลุดออกจากสายตาเขาเลย งานที่เขาเสนอมาก็อยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจ (วัดจากระดับสีหน้าของไอคุณชาย) จึงทำให้ความอคติเล็กน้อยในใจผม ค่อยๆหายไปทีละน้อย ส่วนไอคุณชายอ่ะเหรอ พอรู้ว่าคุนนท์เป็นเพื่อนข้างห้องที่ตัวเองเพิ่งจะไปทำความรู้จักด้วย ก็ยิ่งพอใจเข้าไปใหญ่ สงสัยเพราะจะได้โขกสับได้อย่างสบายใจละมั้งนะ

 

พอคุณนนท์ปิดการรายงานเรียบร้อย ทางหัวหน้าแผนกจึงพูดเกี่ยวกับรายละเอียดของงานต่างๆให้ไอคุณชายกับคุณเลขาฟัง ทั้งสองก็พิจารณาตามความเหมาะสม ปิดท้ายการประชุมที่ไอคุณชายบอกว่าจะติดต่อไปอีกครั้ง เพื่อคุยเรื่องการดำเนินงาน

 

พอที่ประชุมยุติเป็นที่เรียบร้อย ทุกคนในที่ประชุมก็เก็บข้าวของและเดินออกจากห้องไป เหลือก็แต่ไอคุณชายที่ยังนั่งเต๊ะท่าไขว้ห้าง และผมที่ไปไหนไม่ได้ถ้าอีกฝ่ายยังนั่งอยู่ที่เดิม ผมจึงนั่งเปิดแฟ้มรายงานประชุมขึ้นมาพลิกไปพลิกมาเพื่ออ่าน

 

“ นายว่า…. ” อยู่ๆไอคนที่นั่งไม่ยอมลุกก็พูดขึ้นมา แล้วทำท่าครุ่นคิดสงสัย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ



“ ว่า? ” ผมจึงถามย้ำ



“ เพื่อนข้างห้องนั่นน่ะ แปลกๆหรือเปล่า ” ผมหันไปมองคนถามด้วยความแปลกใจ ทำไมเขาจึงสงสัยอะไรแบบนี้



“ ทำไมล่ะครับ คุณสงสัยอะไร ”



“ ฉันว่ามันบังเอิญเกินไปน่ะสิ ก่อนหน้านั้นนายไปบังเอิญรู้จักก่อน ทั้งๆที่ฉันอยู่มาตั้งนานไม่เคยบังเอิญเจอ แถมยังเอาของมาคืนถูกที่อีก นายก็ไม่ได้บอกที่ทำงานกับเขา แล้วตอนนี้ยังจะมาเป็นคู่ค้ากันอีก ฉันก็เลยแปลกใจในความบังเอิญนี่ ” อีกฝ่ายทำให้ผมคิดตาม จริงๆแล้วผมก็รู้สึกเหมือนกันว่ามันบังเอิญเกินไป แต่ก็เขาจะมีแรงจูงใจอะไรให้ทำอย่างนั้นล่ะ ในเมื่อเขาก็ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับไอคุณชายนี่ แถมหน้าตาเขาก็ดูไม่ได้มีพิษมีภัยอะไร ซ้ำยังหน้าตาดีด้วย (ข้อหลังนี่คือเรื่องจริง)



“ ก็ไม่แปลกนะครับ คุณเคยได้ยินประโยคที่ว่าโลกมันกลมหรือเปล่าล่ะครับ ”



“ ฉันเคยได้ยิน แต่มันก็แปลกใจอยู่ดี ”



“ คุณกลัวอะไรอยู่เหรอครับ ”



“ ไม่ได้กลัว เพียงแต่แค่คิดสงสัยเท่านั้น แต่ช่างเถอะ ฉันคงจะคิดมากไป ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็ลุกขึ้น แล้วเดินออกไปข้างนอกห้อง ผมจึงเดินตามออกไป แต่ในหัวก็คิดถึงสิ่งที่เขาพูดเหมือนกัน ไม่ประมาทก็จะดีกว่า เห็นคงต้องระวังให้เขาซักหน่อยแล้ว

 

“ นายมีชุดไปงานแต่งหรือยัง ” ไอคุณชายถาม ขณะที่ผมกำลังขับรถพาเจ้าตัวกลับบ้าน



“ ก็คง มีมั้งครับ ต้องกลับไปหาก่อน ปกติผมมีแต่สูททำงานน่ะครับ ”



“ เพื่อนนายหรือคนรอบตัวนายไม่มีใครแต่งงานเลยเรอะ ”



“ แหม วัยผมมันก็อยู่ในช่วงสร้างเนื้อสร้างตัวไหมครับคุณชาย ” ผมจงใจเน้นหนักคำว่าคุณชายแรงๆ ให้เขารู้ว่าผมไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทอง ชิ



“ ถ้าฉันฟังไม่ผิด นายกำลังบอกฉันว่าวัยฉันมันแก่สินะ ”



“ เปล่าเลยครับ ใครจะไปกล้าว่าคุณเนตรกัน ” ผมทำเสียงสูงประชดประชัน



“ หึๆ ”  ไอคุณชายหัวเราะในลำคอ ไม่ได้โต้ตอบอะไร ผมเหลือบตามองกระจกหลัง ก็ปะกับสายตาของคนที่นั่งอยู่ข้างหลังที่มองมาก่อนอยู่แล้วพอดิบพอดี ดวงตาสวยที่ผมมองกี่ครั้งก็ไม่มีวันเบื่อ ผมเสหลบสายตามามองเบื้องหน้าก่อนจะขับไปเสยรถของคนอื่นซะก่อน ความร้อนลามไปทั่วใบหน้าช้า

 

เมื่อผมแสร้งทำเป็นให้ความสนใจกับถนนข้างหน้า ก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆจากทางด้านหลัง ทำให้ผมยิ่งเขินเข้าไปใหญ่ โอ้ย ไอบ้า!



“ เย็นนี้นายว่างไหม ” อยู่ๆไอคนที่ทำให้ผมเขินก็ถามขึ้นมา



“ ไม่ว่างครับ ” ผมตอบแทบจะทันทีที่อีกฝ่ายถามจบ



“ แสดงว่าว่าง ” ผมส่งสายตาขุ่นมัวขึ้นไปมองกระจกหลังทันที  ไม่รับรู้หรือไงว่าผมอยากกลับบ้าน



“ รู้ได้ไงว่าผมว่าง ”



“ ก็นายเล่นตอบโดยไม่นึกนิว่าตัวเองมีนัดอะไร ฉันก็เดาออกว่าน่าจะว่าง แต่แค่อยากทำตัวไม่ว่าง ” คำตอบของงไอคุณชายทำให้ผมหมดคำพูดไปทันที ทำไมมันรู้ทันแบบนี้ฟระ ผมก็นั่งฮึดฮัดขับรถไป ในใจก็บังเกิดความรู้สึกตื่นเต้น

 

ตื่นเต้น?

 

มึงจะตื่นเต้นทำไมว้า เขาไม่ได้นัดมึงไปเดตหรอกนะ โธ่!

 

“ แล้วทำไมครับ คุณจะให้ผมพาไปไหนเหรอ ผมบอกไว้ก่อน นอกเวลาทำงานผมคิดสองแรงนะครับ ”



“ แล้วถ้าฉันไม่ได้ให้นายมาทำงานล่ะ ” ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะขับไปตามเส้นทางที่ไอคุณชายบอก

 

 

 



“ ฉันให้นายมานี่เพื่อเลือกชุด ไม่ใช่ให้มาเดินตามฉัน ” คนพูดเอ่ยด้วยความเบื่อหน่าย เมื่อเห็นว่าผมเอาแต่เดินตามเขาต้อยๆ ไม่ได้มีความสนใจอะไรกับชุดมากมายละลานตาที่แขวนอยู่บนราว ในร้านยี่ห้อดังที่แต่เดิมผมได้แต่มอง แต่ไม่กล้าเข้า เนื่องจากกลัวโดนราคาฟาดหน้า แต่วันนี้คนที่ออกคำสั่งให้ผมขับมาที่ห้างไฮโซแบบนี้ กลับเดินเข้าอย่างสบายใจ ราวกับมีเงินให้ถลุงไปอีกสิบชาติ



“ ก็ราคามันแพงนี่ครับ ผมไม่มีปัญญาชดใช้คุณหรอกนะครับ ” ผมกระซิบเบากับเจ้าตัว แล้วก็ได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ



“ นายต้องแต่งชุดดีๆในงานแต่ง เพราะนายต้องไปในฐานะเลขาของฉัน ไม่ใช่บอดี้การ์ด เพราะฉะนั้นเลือกซะ เร็วๆ อย่าชักช้า ” แต่เมื่อเห็นผมยังนิ่งอยู่ จึงส่งสายตากดดันกึ่งบังคับมาให้ ผมกรอกตามองบนเบาๆ ฮึ่ยยยย เลือกก็เลือก ไม่สนใจราคงราคามันแล้วโว้ย!

 

ผมเดินเลือกทั่วร้านอย่างใจเย็น แต่ละแบบแต่ละสไตล์นี่ก็ทำให้ผมเลือกยากซะจริง ไม่รู้คนผลิตจะออกแบบมาทำไมเยอะแยะ คนมันเลือกไม่ถูกเนี่ย ผมเดินดูไปเรื่อยๆ โดยมีสายตาของไอคุณชายที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งในร้าน มองตามมาตลอด อย่างกับกลัวผมจะหนีออกจากร้านยังไงอย่างนั้น ยิ่งทำให้ลนลานเข้าไปกันใหญ่ ก่อนที่สายตาผมจะไปเห็นชุดสูทชุดหนึ่งที่แขวนอยู่แถวๆหน้ากระจกร้าน ผมเดินไปดูใกล้ๆ สูทสีน้ำเงินเข้มคล้ายๆสีกรมท่า ลักษณะเป็นสูทที่มีกระดุมสองแถว ตัวสูทแหวกด้านข้าง กระเป๋าซ้ายขวาล่างมีฝาปิด และมีกระเป๋าเจาะที่หน้าอกซ้ายไว้ใส่ผ้าเช็ดหน้า ข้างในสูทมีเสื้อกั๊กแบบกระดุมกลัด 2 เม็ดอีก 1 ชั้น

 

ผมหยิบสูทตัวดังกล่าวขึ้นมาทาบกับตัว แล้วมองไปทางกระจก ก็อดชื่นชมตัวเองเบาๆไม่ได้ คนอะไรเหมาะกับสูทเสียจริง จะว่าผมหลงตัวเองก็ไม่ผิดนะครับ เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว ผมหันตัวกลับมาก็เจอกับไอคุณชายที่เดินตรงมาทางนี้พอดี และหยุดตรงหน้าผม ตามองที่ตัวสูทที่ผมเลือก สีหน้าพออกพอใจเล็กน้อย

 

“ นายไปลองสิ อ่ะนี่เสื้อเชิ้ตกับคอกระต่าย ฉันว่าน่าจะเข้ากับนายดี เอาเข้าไปลองด้วย ” ไอบ้านี่มันไปเลือกเอาตอนไหนฟระ เห็นนั่งไขว้ห้างราวกับราชาอยู่ที่โซฟาอยู่เลย พออีกฝ่ายยัดของที่เขาไปเลือกมาใส่มือของผม พร้อมกับดันตัวผมที่ถือชุดที่ว่าเข้าไปในห้องลอง ผมจึงต้องเดินเข้าไปอย่างที่เลี่ยงไม่ได้



" เอ่อ ผมว่ามันเยอะเกินไปนะครับ เสื้อเชิ้ตที่บ้านผมมีเยอะ " ผมพยายามเกี่ยงให้อย่างถึงที่สุด เพราะเหลือบเห็นป้ายราคาของเสื้อเชิ้ตที่อีกฝ่ายเลือกให้ ผมถึงกับตาโต แต่อีกฝ่ายทำเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจ ผมจึงจำใจคว้าเสื้อพร้อมสูทเดินคอตกเข้าไปในห้องลอง



เฮ้อ ผมถอดเสื้อไปถอนหายใจไป ซื้อหมดนี่ผมคงต้องผ่อนไปอีกหลายเดือน นี่คือผมซื้อหรือไอบ้านั่นซื้อใส่กันแน่ บังคับกันจริง ก็รู้แหละว่าต้องดูดี แต่ราคาก็ไม่ต้องสูงเท่านี้ไหมล่ะ!

 

เมื่อสวมชุดทุกอย่างเสร็จก็ชื่นชมตัวเองหน้ากระจก(อย่างที่ทำบ่อยๆ)ทีหนึ่ง ก่อนจะออกไปให้ท่านชายยลโฉม บรึ๋ย ขนลุก อย่างกับเสี่ยพาหนูมาชอปปิ้ง

 

พอผมออกมาก็ชะเง้อคอหาไอคนชอบบงการคอแทบขวิด แต่ก็ไม่พบร่าง หายไปไหนซะแล้วเนี่ย ผมนี่ก็ไม่กล้าเดินออกไปพ้นจากห้องลองเกินรัศมี 10 เมตร ไม่ใช่เพราะอายนะ

 

แต่เพราะกลัวทำของเขาพัง กูไม่มีปัญญาชดใช้ ฮือ

 

" หืม ก็ดูดีนี่ " ขณะที่ผมกำลังตีอกตรมร่ำให้ในใจอยู่นั้น เสียงที่คุ้นหูก็ดังขึ้นข้างหลัง ผมจึงตกใจสะดุ้งหันหลังขวับทันที



" เฮ้ย คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงวะ เอ้ย ครับ "



" จริงๆแล้วฉันยืนอยู่ข้างๆประตูตลอด แต่นายดันตาถั่วมองไม่เห็นเอง " ไอคุณชายยืนกอดอธิบายให้ผมฟัง แล้วเดินเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น สอดส่องมองไปทั่วร่างกายผม สายตานั้นทำให้ผมรู้สึกร้อนๆยังไงชอบกล



" ก็โอเคนะ ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาหน่อย "



" อ้าว นี่คุณด่าผมว่าไม่ปกติเหรอ " ผมโวยวายทันที หลังจากได้ยินประโยคก่อนหน้า



" ก็แล้วแต่จะคิด อย่าพูดมากน่า รีบๆไปจ่ายตังเร็ว " ไอคุณชายน่าโมโหนี่เดินดึงมือผมที่กำลังจะเปิดปากโวยวายอีกครั้ง ทำให้ผมได้แต่ฮึดฮัด ไม่พอใจ บังอาจมาดูถูกรูปลักษณ์ของผม แหม ไอคนหล่อกว่า โถะ! (นี่ชมหรือด่า)

 

แต่พอมาถึงเคาท์เตอร์จ่ายเงิน ผมถึงกับด่าไม่เป็นเลย เมื่อเห็นยอดเงินรวมทั้งหมด โอ้ว มาย ก็อด! ผมเกือบเข่าทรุดลงไป ดีที่ว่ามือจับเคาท์เตอร์อยู่ ลำพังเดือนหนึ่งบัตรเครดิตผมมันจำกัดวงเงินไว้ที่เท่าไหร่เอง รูดอันนี้ไปเกรงว่าจะไม่สามารถใช้อะไรได้อีกเลยทั้งเดือน ผมจึงหันหน้าไปหาผู้ที่ผมจำเป็นต้องพึ่งพาในยามนี้อย่างไอคนที่ลากผมมาที่นี่เท่านั้น ทำสายเว้าวอนเต็มที่ แต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้เห็นใจผมเลย ยืนกดโทรศัพท์อยู่อย่างนั้น

 

ผมจึงจำใจยื่นมืออันสั่นระริกของผมส่งบัตรให้พนักงานอย่างสภาพน้ำตาคลอเบ้า ขนาดตอนเซ็นยังมืออ่อนแรงจนจับปากกาไม่อยู่เลย ฮือ ยิ่งได้ยินเสียงข้อความเตือนในมือถือว่าการจ่ายเงินสมบูรณ์แบบแล้ว ผมยิ่งแทบอยากจะร้องไห้

 

หลังจากผ่านเหตุการณ์ระทึกใจนั้นมา ผมก็เดินออกจากร้านด้วยร่างที่ไร้วิญญาณ สองถือถุงที่เมื่อกี้ได้คร่าชีวิตผมไปแล้ว



" เฮ้ นาย ตายหรือยังเนี่ย " ผมไม่ตอบ เพราะไม่มีแรงจะตอบจริงๆ ไม่รู้ด้วยว่าอีกฝ่ายตามมาตอนไหน ตอนผมชิ่งเดินออกจากร้าน โดยที่ไม่ได้เรียกเขาที่ยืนหันหลังกดมือถือ



" นาย " ผมทำเป็นหูทวนลมไม่ได้ยิน ตอนนี้ไม่มีกะจิตกะใจจะเฟรนด์ลี่ด้วยทั้งนั้น ผมจึงเดินนำลิ่ว ไม่สนใจว่าคนข้างหลังจะตามมาทันหรือเปล่า



" นาย! เดินรอกันหน่อยสิ จะรีบไปไหนเนี่ย " อีกฝ่ายรีบเดินมาคว้าไหล่ผมไว้ และดึงให้ผมหันหลังกลับไป ผมทำหน้าบึ้งนิดหน่อย แต่ก็ไม่กล้าพาลอารมณ์ใส่เขา



" นายเป็นอะไร ไหนบอกสิ ถ้าเรื่องเมื่อกี้ล่ะ เดี๋ยวฉันจ่ายให้ ไหนๆฉันก็เป็นคนลากนายเข้าไป " ยิ่งฟังประโยคแล้วก็ทำให้สติผมขาดผึงทันที ไม่กักเก็บอารมณ์คุกกรุ่นที่จวนจะปะทุนี่อีกต่อไป ตอนที่ผมหันไปขอความช่วยเหลือล่ะ ไม่สนใจ ทีงี้จะมาพูดว่าจะจ่ายให้!



" ผมรู้ว่าคุณไม่อยากขายหน้าในงาน ยิ่งเป็นงานแฟนเก่าคุณด้วย แต่ก็ถามผมซักคำไหมว่าผมอยากได้หรือเปล่าตอนเข้าไป คุณก็รู้ว่าผมไม่ได้รวยล้นฟ้ามีเงินใช้เป็นฟ่อนๆเหมือนแฟนเก่าคุณ ผมก็คนธรรมดาที่ต้องทำงานเเลกเงิน!  " ผมระบายความอัดอั้นในใจยาวรวดเดียว จนไอคุณชายยืนนิ่งตกใจจนพูดอะไรไม่ออก ผมจึงล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบกุญแจรถ ยัดใส่มืออีกฝ่าย แล้วเดินหนีไปทันที โดยที่ไม่รอให้อีกฝ่ายทักท้วงแต่อย่างใด

 

ผมเดินดุ่มๆออกมาที่หน้าห้าง โดยไม่สนใจว่าฝนจะตกหรือลมจะพัดแรงยังไง ไม่สนใจว่าเนื้อตัวโดนฝนจนตัวเปียกลู่ ในหัวคิดอย่างเดียวคือ ผมต้องออกไปให้พ้นจากที่ตรงนี้ให้เร็วที่สุด และไม่รู้ตัวแม้กระทั่งน้ำตาที่ไหลลงมาตามแก้ม จนโดนฝนกลบไปมากมายเท่าไหร่

 

ผมก็ไม่รู้ทำไมตัวเองต้องหัวเสียขนาดนี้ ทั้งๆที่ไอคุณชายบ้านั่นคงไม่ได้คิดอะไร ผมก็รู้ตัวดีไม่ควรเอาตัวเองไปเปรียบกับใคร ไม่ใช่ว่าผมดูถูกตัวเองหรืออะไร แต่เป็นเพราะผมรู้ตัวดีว่าตัวเองอยู่ตรงไหน ไม่ควรประมาณตัวเองไว้สูงเกินไป แต่อยู่ตอนนี้ผมกลับล้ำเส้นที่ตัวเองวางไว้ซะอย่างนั้น ทำให้ผมต้องมานั่งเสียใจซะเอง

 

อยู่ๆก็นึกถึงไอแสงเพื่อนผมขึ้นมา ผมจึงเรียกแท๊กซี่มุ่งหน้าไปบ้านมันแทนที่จะกลับบ้านตัวเอง ผมรู้แค่ตอนนี้ผมไม่อยากอยู่คนเดียวก็เท่านั้น แม่ง อย่างกับการ์ตูนสาวน้อยเล่มที่ผมเคยแอบไปจิ๊กน้องมาอ่านเลย เคยด่าไอนางเอกเอาไว้ว่าอ่อน แต่มาวันนี้ตัวเองกลับมาเป็นซะเอง ไองั่ง!

 

เมื่อแท็กซี่ขับถึงอาณาเขตคฤหาสน์บ้านไอรัก ลุงคนขับที่ใจดีรับผมขึ้นมา ถึงแม้ตอนแรกเขาจะกล้าๆกลัวๆก็ตาม ก็หยุดรถจอดหน้าบ้านมัน แล้วผมก็ยื่นเงินที่โดนฝนเปียกชุ่มให้เขาไป พร้อมกับยิ้มให้อย่างสำนึกในบุญคุณ จนตัวผมลงมายืนบนพื้นได้เต็มขาเท่านั้นแหละ หันไปอีกทีรถทั้งคันหายไปพร้อมกับสายลม ผมถอนใจเฮือกใหญ่ ปลงในความตกอับของตัวเองซะจริง

 

 

" เฮ้ย! ไอเชี่ยรัก มึงไปตากฝนที่ไหนมาวะเนี่ย " เสียงร้องโวยวายของไอแสงดังขึ้นเมื่อเห็นสภาพผม หลังจากที่ผมกดออดหน้าบ้านมัน ผมรู้ว่าเวลานี้มันน่าจะถึงบ้านแล้ว จึงไม่ได้โทรหามันก่อน



" เรื่องมันยาว " ด้วยความที่ผมไม่รู้จะตอบอะไร จึงได้แต่บอกเหตุผลไปเพีงเท่านี้ ทั้งปากและตัวที่สั่นกึกๆเพราะความหนาวทั้งจากความเปียกชื้นและแอร์ที่เย็นฉ่ำภายในรถเเท็กซี่คันเมื่อครู่ ซึ่งคนขับก็ไม่ได้เห็นใจผมเลยซักนิดเปิดเร่งแอร์ซะเหมือนเตรียมตัวจะไปอยู่กับหมีที่ขั้วโลกเหนือ


" เออ กูเชื่อ เข้ามาในบ้านก่อนเว้ย กูไม่อยากให้ข่าวพรุ่งนี้เช้าลงว่ามึงมานอนปอดบวมตายหน้าบ้านกู "



ไอเพื่อนห่า!


 

โปรดติดตามตอนต่อไป


ตัดใจก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึงงงงง

 :sad4:

หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 18!!! (25/12/63)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 25-12-2020 22:56:55
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 18!!! (25/12/63)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 25-12-2020 23:42:45
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 19!!! (11/1/64)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหมีวุ่นวาย ที่ 11-01-2021 15:20:46
ตอนที่ 19
" ก็…ไม่มีอะไร แค่อยากมาเฉยๆ "





“ นี่ สรุปแล้วมึงเป็นอะไรของมึงวะ เดินตากฝนมาอย่างกับพระเอกซีรี่ย์ตอนอกหัก ”  ไอแสงเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับไดร์เป่าผม หลังจากผมจัดการกับตัวเองในห้องน้ำเสร็จ เจ้าตัวเดินเข้ามานั่งบนโซฟาใกล้ๆ กับผม แถมไม่นั่งเปล่า ยังมาหรี่ตาเค้นคำตอบจากผมอีก นี่ตกลงจะปลอบใจกันจริงๆ หรือเปล่าเนี่ย





“ ฮื่อ ไม่มีอะไรมากหรอก ทะเลาะกับคนรู้จักมานิดหน่อย ”  ผมตัดสินใจตอบเลี่ยงๆ ไป แสร้งฉกไดร์เป่าผมในมือมันมาเสียบปลั๊กแล้วเปิดเป่าผม ไม่อยากให้มันมาขุดคุ้ย ถ้าใครจำกันได้ว่ามันเป็นแชมป์นักขุดคุ้ยแห่งปี





“ หืม ไม่นิดละม้างง หงอยเป็นหมาซะขนาดนี้ ”  คนพูดคงยังทำหน้าที่ขุดต่อไป ซึ่งผมคาดว่าหากมันยังไม่ได้คำตอบภายในวันนี้ ชีวิตผมคงไม่พบความสุขอีกเลย ผมจึงปิดไดร์เป่าผม วางลงกับโซฟา





“ คือ…. ”  ผมพยายามเรียบเรียงคำพูดในหัว แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนจริงๆ





“ คือ? ”





“ คือกูอ่ะนะ รู้จักคนคนหนึ่ง แล้วแบบก็สนิทกันนิดหน่อย แต่ก็น้อยกว่ามึง ”





“ โอ้ย ถ้ามีใครมาสนิทกับมึงมากกว่ากูสิ กูจะไปอันเชิญคนคนนั้นมาชนเหล้ากับกูเลย ”





“ ไอห่า มึงหาว่ากูไม่มีคนคบเหรอ ”





“ อ้าว ก็เรื่องจริงไหมล่ะ ทุกวันนี้มึงเที่ยวกับใครนอกจากกูไหมล่ะ ”  จู่ๆ ใบหน้าของไอคนที่ผมเพิ่งมีเรื่อง (ฝ่ายเดียว) เมื่อไม่กี่ชั่วโมงมานี้ ก็โผล่ขึ้นมาในความคิดผม ทำให้ผมเริ่มรู้สึกปั่นป่วนอีกครั้ง จึงรีบสะบัดออกจากหัวไป





“ เงียบไป แสดงว่ามีซัมธิงรองใช่ไหมเนี่ย ”  อยู่ๆ ไอแสงก็ยื่นหน้าเข้ามาจ้องหน้าผม ราวกับจะสแกนใบหน้าผมว่ามีริ้วรอยหรือเปล่ายังไงอย่างนั้น





“ เฮ้ย ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ มึงจะฟังไหมเนี่ย ขัดกูจริง ”  คนต้องการฟังจึงเอนตัวกลับไปที่เดิน แล้วทำท่านั่งฟังอย่างตั้งใจ





“ แล้วกูอ่ะแบบอยู่กับเขาก็เกือบทุกวัน มึงอย่าคิดลึก คือกูมีความจำเป็นต้องอยู่กับเขา ”  ผมรีบพูดอธิบายเมื่อไอแสงทำท่าตกใจซะจนโอเวอร์





“ กูก็ยังไม่ได้ว่าอะไรซักหน่อย มึงร้อนตัวนะเนี่ย ”  ว่าแล้วเจ้าตัวก็หัวเราะออกมาก ไอห่า มันใช่เวลาขำไหมเนี่ย ช่วยดูอารมณ์กูด้วย!





“ แล้วเขาก็แบบชอบทำให้กูผิดหวัง อย่างเช่นไม่สนใจกู แบบยังไงอ่ะ กูก็พูดไม่ถูก ”





“ เดี๋ยวๆ ทำไมกูได้กลิ่นทะแม่งๆ ลอยมา ”





“ ทะแม่งอะไรของมึง ”





“ ทะแม่งว่า เพื่อนกูกำลังตกหลุมรักเขายังไงล่ะจ๊ะ ”  ไอแสงทำเสียงกรุ้มกริ่มหยอกล้อ





“ เฮ้ย! ไอบ้า กูจะไปตกหลุมรักเขาได้ไง ”  ผมจึงโวยวายกลบความจริงที่อยู่ในใจ ผมกลัวเพื่อนจับได้ แล้วความลับมันจะถูกเปิดเผยน่ะสิ ไม่น่าเลยกูให้ตาย ไม่น่าเล่าเลย





“ แน่ะๆ มีพิรุธ บอกมาเถอะน่า กูไม่กินหัวมึงหรอก ถ้ามึงจะปันใจให้คนอื่น ”





“ ปันใจอะไรของมึง ฮึ่ย! กูไม่เล่าแล้ว หมดอารมณ์ ” ผมพูดสะบัดแล้วเอาไดร์ที่นอนแอ้งแม้งอยู่ขึ้นมาเป่าผมต่อ





“ เฮ้ย เดี๋ยวดิ เล่าต่อๆ กูไม่ล้อแล้วๆ ” ไอแสงแย่งไดร์ที่อยู่ในมือผมออกไปแล้วโยนไปไกลจากมือผม ผมจึงมองแรงใส่มัน จนแพ้สายตาเว้าวอนของมัน เลยจำใจเล่าต่อไป





“ ก็คือเขาชอบทำให้กูผิดหวังใช่มะ แต่ก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก จนล่าสุดกูเพิ่งมารู้ว่าเขามีแฟนเก่าที่เคยรักกันมาก แล้วทีนี้แฟนเก่าคนนั้นกำลังจะแต่งงานกับคนอื่น ”





“ อ่าฮะๆ ”





“ แล้วแบบเขาก็เหมือนมองข้ามกูไปเลย แบบเอาแต่ไปสนใจคนนั้น แล้วยังมาบังคับให้กูไปงานแต่งกับเขา แล้วมึงรู้อะไรไหม ” ผมหายใจเฮือกใหญ่ หลังจากที่เล่าเรื่องแบบมาราธอนจนไม่ได้หยุดหายใจ โดยมีไอแสงที่ฟังเหมือนลุ้นว่าผมจะหมดลมตอนไหนแบบนั้น





“ เขาลากกูเข้าไปในร้านที่โคตรหรู แล้วบังคับให้กูซื้อเสื้อที่ดูดีๆ เพื่อจะเอาไปใส่ในงานแต่ง เพราะไม่อยากอับอายที่กูต้องไปงานแต่งกับเขาด้วย ” ยิ่งพูดในใจก็ยิ่งขมขื่น ได้แต่ยิ้มหยันกับตัวเอง





“ อย่าบอกว่าเขาให้มึงจ่ายเงินเองนะ ” ผมพยักหน้าช้าๆ เมื่อได้ยินไอแสงถาม มันเลยด่าเหี้ยแบบไม่มีเสียง ประมาณว่าตกใจที่ได้ยินเรื่องแบบนี้





“ มึงรู้ไหมว่ากูรูดบัตรแบบทั้งเดือนกูรูดไม่ได้แล้ว ”  ยิ่งมันได้ยินแบบนี้ก็ยิ่งตาโตเข้าไปใหญ่ จากที่เศร้า กลายเป็นผมจะขำกับท่าทางโอเวอร์ของมันแทน





“ เหี้ยมึง ถึงกูจะรวยขนาดไหน กูก็ไม่บังคับให้คนอื่นซื้ออะไรที่แพงขนาดนี้นะเว้ย ”





“ อืม นั่นแหละ กูเลยแบบรู้สึกแย่ที่เขาดูถูกกู กูเลยรีบออกจากห้างแล้วตรงมาหามึงเนี่ย ”





“ ไม่น่าสภาพมึงถึงอุบาทว์ขนาดนั้น ”





“ ไอห่า เดี๊ยะๆ ฟังอย่างเดียวไม่ต้องวิจารณ์ ”  ผมพูดอย่างไม่สบอารมณ์





“ แล้วมึงจะใส่ไปงานแต่งไหม ”





“ ใส่ดิ กูซื้อมาขนาดนี้ กูจะใส่ตั้งแต่หกโมงเช้ายันเที่ยงคืนเลยคอยดู ”





“ กูว่าแล้ว ”





“ ว่าอะไรของมึง ”  ผมถามด้วยความสงสัย เหมือนมันไปรู้อะไรมา





“ ก็ญาติกูอ่ะดิ แดนอ่ะ มึงจำได้ปะ ”





“ จำได้ดิ แล้วเกี่ยวอะไรกับเขาวะ ”  ตั้งแต่คุยแชทกับคุณแดเนียลวันนั้น ก็ไม่ได้คุยอีกเลย เหมือนเขาน่าจะงานยุ่งหรืออะไรซักอย่างเนี่ย หลังๆ มานี่เลยเริ่มหายไป





“ ก็เขาอ่ะดิ แชทมาหากูบอกให้คอยดูมึงหน่อยเหมือนเขารู้อะไรซักอย่าง แต่เขาไม่ยอมเล่า ทั้งๆ ที่กูเค้นแทบตาย ” ขืนเล่าสิ มันได้ถ่อมาถามผมตั้งแต่วันนั้นแน่ๆ





“ ก็…นั่นแหละ พอดีเขาทักมาถามทุกข์สุกดิบ เลยเล่าให้เขาฟัง ” ผมตอบอ้อมแอ้ม





“ มึงไม่ยอมบอกกูแต่ยอมเล่าให้ญาติกูฟังเนี่ยนะ ” นั่นไง ผมว่าแล้วมีผิด มันต้องโวยวายแน่ๆ ทำไมซื้อหวยไม่แทงถูกแบบนี้ล่ะครับ!





“ โหย ก็ตอนนั้นกูยังไม่มั่นใจอะไรซักอย่างเลย พอคุยกับเขาแล้วเพิ่งจะรู้อาการของตัวเอง ”





“ แสดงว่ามึงยอมรับแล้วใช่มะ ว่ามึงกำลังชอบใครอยู่ ” ผมชะงักกึก เมื่อได้ยินเพื่อนผมถาม





“ ก็ ไม่รู้ว่ะมึง กูเหนื่อยใจอ่ะ ”  ผมก้มหน้าเอามือมาประสานกันวางที่หน้าขา ในหัวคิดแต่ภาพที่ผมอยู่กับไอตัวปัญหาแต่ละฉากๆ จนมาถึงล่าสุดที่ผมเพิ่งจะทะเลาะ (ฝ่ายเดียว) กับเขามาเนี่ย





“ เฮ้อ มึงนะมึง ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยมีแฟนซะเมื่อไหร่ ทำไมถึงคิดอะไรมากมายขนาดนั้น ” ไอแสงเอื้อมมือมาตบไหล่ผมเบาๆ แล้วเขยิบเข้ามาใกล้ๆ ผมไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่นิ่งอยู่ในท่านั้น





“ กูว่านะ มึงอย่าเพิ่งคิดมาก จริงๆ แล้วเขาอาจจะคิดอะไรกับมึงก็ได้ แต่มึงอาจจะไม่รู้ เรื่องของแฟนเก่าก็ของแฟนเก่าเขาปะวะ มึงคือตอนปัจจุบัน แล้วจะเป็นอนาคตหรือไม่ก็ต้องดูที่การตัดสินใจของมึงว่ะ ”





“ กูไม่คิดว่าเขาจะชอบกูว่ะมึง เหมือนทุกวันนี้มันเป็นแค่หน้าที่อ่ะ ที่ทำให้เขากับกูต้องมาเจอกัน ”





“ ทำไมคิดแบบนั้นวะ ”  คนถามถามขึ้นด้วยความแปลกใจ





“ สถานะกูกับเขามันต่างกันนะมึง กูก็ดูสิกูไม่มีอะไรที่จะไปยืนอยู่ข้างเขาได้เลยอ่ะ แถมแบบเขามีหน้ามีตาในสังคม กูก็เหมือนถูกบังอยู่ในเงาตลอดเวลา ไม่มีใครรู้จัก ” ผมยกมือลูบหน้าด้วยความหดหู่ใจ





“ เดี๋ยวสิมึง คนมันจะรักกันอ่ะ มันไม่ได้ดูแค่สถานะหรอกนะมึง มึงต้องดูความรู้สึกเขากับมึงด้วย คนเราแค่รวยอย่างเดียวแต่อยู่กันไม่รอดก็เยอะแยะถมไป ”  ไอแสงพูดด้วยเสียงอ่อนใจ





“ แต่แบบกูก็ไม่กล้าเอาตัวเองไปยืนอยู่ขางเขาได้ขนาดนั้นว่ะ แบบ เฮ้อ ไม่รู้สิมึง กูยิ่งทียิ่งสับสน แรกๆ กูก็มีความสุขนะเว้ย แต่แบบไปๆ มาๆ กูเริ่มกลัว ”





“ กูเข้าใจ แต่มึงไม่ได้ทำอะไรร้ายแรงถึงขั้นที่แบบสังคมจะไม่ให้อภัยเลยที่หว่า ”





‘ เรื่องที่เราทั้งคู่เป็นชายด้วยกันนี่สังคมพอจะให้อภัยได้ไหมเนี่ย ’





“ นี่สรุปแล้วคือมึงแค่กลัวว่ามึงจะไม่มีค่าพอจะไปยืนข้างเขาได้ใช่ไหมเนี่ย ”





“ เฮ้อ มันก็หลายเรื่องว่ะ กูเริ่มระแวงใจตัวเอง ”  ผมเอนตัวลงไปนอนที่พักแขนข้างตัว แล้วเอามือก่ายหน้าผาก





“ มึงอ่ะ ทีเรื่องแบบนี้มากลัว ทีตอนจีบหญิงไม่เห็นจะกลัวอะไรเลย ”  ไอแสงเตะขาผมด้วยความหมั่นไส้





“ กูเล่าให้มึงฟังหมดแล้วนะ ”





“ เอาเป็นว่า คิดง่ายๆ นะมึง ถ้ามึงชอบเขา แล้วเกิดความรู้สึกที่ว่ามีความสุข อยากอยู่ข้างกายเขา อยากปกป้องเขา กูแนะนำให้มึงทำตามหัวใจตัวเอง เพราะท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าเขาจะชอบมึงหรือไม่ อย่างน้อยมึงก็ได้ลอง ” ไอแสงนั่งหันตัวมาทางผม แล้วยกขาขึ้นมาขัดสมาธิ “ แต่ถ้ามึงชอบเขาแล้วมึงมีแต่ความทุกข์ใจ ไม่มีความสุข หมดอาลัยตายอยาก กูว่ามึงก็ตัดใจเถอะ มันไม่ดีหรอก ”





“ ถ้าทำได้ง่ายอย่างที่มึงพูดก็ดีดิ ” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ นี่ไอแสงมันยังไม่รู้นะว่าต้นเหตุที่ทำให้ผมตกอยู่ในสภาพแบบนี้เป็นใคร ถ้ามันรู้นะ มีหวังคงโดนมันเฉ่งอย่างแรง ดีนะว่าพรุ่งนี้เป็นวันหยุด ผมจึงไม่ต้องไปเจอหน้าไอคุณชายด้วยความรู้สึกที่ยังปั่นป่วนอยู่ บางทีให้ผมได้หยุดพักผ่อน คิดทบทวนอะไรหลายๆ อย่าง เผื่อจะทำให้อะไรๆ ดีขึ้นมาได้บ้าง











ผมตื่นมาตอนเช้าด้วยอารมณ์ที่สดชื่นขึ้นเล็กน้อย หันหน้าไปอีกข้างก็เจอกับไอแสงที่หันหน้าเข้ามาเกือบชิดหน้าผมพอดี จึงทำให้ผมสะดุ้งตัวเด้งขึ้นมานั่ง ก่อนจะเตะตัวมันเบาๆ ให้มันเขยิบไป



หนอย ยึดเตียงจนกูจะตกเตียงอยู่แล้วไอห่า



ผมจึงลุกออกจากเตียง เปิดประตูออกจากห้อง เดินลงไปห้องครัวเพื่อจะหาน้ำกิน วันนี้สงสัยที่บ้านของไอแสงน่าจะไม่อยู่บ้าน เพราะตั้งแต่เมื่อวานแล้วที่จอดรถไม่มีรถจอดอยู่ซักคัน นอกจากรถของไอแสงมันที่ใช้ประจำ (รถคันอื่นอยู่ในโรงรถ รวยขนาดไหนถามใจดู) วันนี้ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง ที่จอดรถก็ยังคงว่างเปล่าอยู่ ไม่น่า ทำไมมันถึงไม่กลัวว่าใครจะเห็นสภาพผมเมื่อวาน



หลังจากกินน้ำเสร็จ ผมก็เดินออกไปยังทิศทางสวนหลังบ้านของมันเพื่อไปรับลมซะหน่อย ผมชอบสวนของบ้านไอแสงมาก เพราะมันร่มรื่น มีร่มเงาจากต้นไม้น้อยใหญ่อยู่เต็มไปหมด ทำให้อากาศไม่ร้อน และมีลมที่พัดมาเอื่อยๆ อยู่ตลอดเวลา ทำให้เวลามาเดินที่นี่มีไร สงบใจทุกที จนอยากจะมาอยู่เองเลย ผมเดินลงไปนั่งบนม้านั่งไม้ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ที่ชอบมานั่งประจำเวลามาบ้านมัน มือล้วงหยิบมือถือในกระเป๋ากางเกง แต่พบแต่ความว่างเปล่า ผมจึงนึกขึ้นได้ว่าวางชาร์ตไว้อยู่บนโต๊ะในห้องนอนไอแสง จึงได้แต่นั่งสูดอากาศดีๆ ไปเฉยๆ



จริงๆ แล้วก็เป็นอย่างที่คุณแดเนียลพูดนะ ถ้าผมรู้ตัวว่าตัวเองกำลังเป็นอย่างที่เขาพูด ให้รีบตัดใจก่อนที่จะถลำลึกลงไป เพราะผมวาดอนาคตของตัวเองไม่ออกเลยถ้าตัดสินใจชอบเขาต่อไป แต่ตราบใดที่ผมยังต้องอยู่กับเขาตลอดเวลาแบบนี้ มันยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่เลยที่จะตัดใจ หรือนี่จะเป็นเพราะความใกล้ชิดที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ ให้ตาย



ความรักนี่มันน่ากลัวจริงๆ บทจะมาก็มาไม่ทันตั้งตัว บทจะทำให้มีความสุขก็อย่างกับล่องลอยอยู่บนสรวงสวรรค์ แต่บทจะทำให้เจ็บปวดก็เจ็บปวดเจียนจะตาย สรุปแล้วมันก็มีทั้งด้านดีและด้านไม่ดีทั้งนั้น



นี่ผมกำลังพรรณนาถึงความรักหรือนี่ โอ้ มาย ก็อด



ผมที่สอบวิชาภาษาไทยเกือบตกตลอด กำลังพรรณนาถึงความรัก ผมส่ายหน้าให้กับตัวเองเบาๆ มึงนี่ท่าจะหนักแล้วไอรักเอ้ย!



“ โหย ไอห่า กูก็นึกว่ามึงเศร้าจนโดดน้ำตายไปแล้วนะเนี่ย หาตั้งนาน ”  ไอแสงในชุดนอนเดินงัวเงียมานั่งข้างๆ





“ ยังเว้ย อย่างกูไม่คิดฆ่าตัวตายง่ายๆ หรอก เดี๋ยวผู้หญิงทั้งโลกร่ำไห้ กูสงสาร ” ผมพูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ ยิ้มออกมาอย่างสบายใจ





“ มีกูอยู่ทั้งคน ไม่มีใครร่ำไห้ให้มึงหรอก โธ่ ”





“ หลงตัวเองยิ่งกว่ากูก็มึงนี่เองครับเพื่อน ” ผมแซวมันนิดหน่อย ก่อนจะถอนหายใจยาวๆ “ กูว่าเดี๋ยวกูจะกลับแล้วล่ะ แม่กูไลน์มาหาเมื่อวานเนี่ย บอกว่าให้กลับไปหาบ้าง ไหนๆ ก็วันหยุด ”





“ เออก็จริง ตั้งแต่มึงได้งานนี่ไม่ได้กลับเลยปะวะ ”





“ ใช่ดิ กูมีเวลาที่ไหนอ่ะ งานยุ่งชิบหาย ” ยุ่งของผมนี่ก็คือต้องตัวติดกับไอคุณชายนั่นตลอดเวลานั่นแหละ





“ ไปๆ เดี๋ยวกูพาไปส่ง กูก็อยากกลับไปกินข้าวฝีมือพี่สาวมึงอยู่พอดี อิอิ ” คนนั่งข้างผมหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ บ่งบอกถึงความคิดที่ไม่ดีอยู่ในหัว ไว้ใจไม่ได้จริงๆ เลยไอห่า





“ หึ นั่นพี่กู เดี๊ยะๆ ตบหัวยุบ ”  ไอแสงเบนตัวหลบทันทีที่ผมยกมือหมายจะตบหัวมันอย่างที่พูดจริงๆ





“ โหย ไรอ่ะ กูก็แค่หยอกเล่น หวงพี่ซะจริง ”  เพื่อนผมร้องโวยวาย แล้วลุกขึ้นยืน “ไปๆ รีบไปอาบน้ำแต่งตัว วันนี้กระผมจะทำหน้าเป็นสารถีให้คุณมึงเอง”









“ ม๊าคร้าบบ ผมกลับมาแล้ว ”  ไอแสงตะโกนขึ้นมา เมื่อเปิดประตูเข้ามาข้างในบ้าน





“ นี่สรุปแล้วกูหรือมึงที่เป็นลูกของบ้านนี้ฮ้ะ ไอห่า ”  ผมตบหัวมันเบาๆ ดังเพลี้ย มันหันมาทำหน้าหงิกใส่ แถมบ่นพึมพำอะไรผมก็ขี้เกียจฟัง แต่ก็เดี๋ยวเดียวนั้นแหละ ก็กลับไปดี๊ด๊าเหมือนเดิม เมื่อเห็นคุณนายแม่เดินนวยนาด กรี๊ดกร๊าด ประหนึ่งเห็นดารามาเยือนบ้าน





“ ว้าย! ตายแล้ว! ลูกมา ” แล้วคุณแม่ผู้บังเกิดเกล้าก็เดินเข้าไปสวมกอดไอเพื่อนที่ซึ่งบัดนี้กลายเป็นลูกรักแทนผมไปซะแล้ว ทั้งคู่ยืนกระหนุงกระหนิง ทำให้ผมทำหน้าเบื่อหน่ายเมื่อเห็นไอห่าแสงหันมายิ้มแฉ่งให้ น่าเอาส้นยัดหน้ามันซะจริงๆ





“ ม๊าครับ ลูกม๊ายืนอยู่นี่ครับ ” ผมจึงอดไม่ได้ที่จะทวงสิทธิ์ความเป็นลูก (อันน้อยนิด) ของตัวเองบ้าง





“ อุ้ยตาย! ม๊าลืมไปแล้วนะเนี่ยว่ามีลูกชาย ”  แอคติ้งเนียนได้โล่ก็เห็นจะมีแต่คุณแม่ผมเท่านั้นแหละครับ





“ เอาที่สบายใจเลยฮะม๊า ผมหิวจะตายแล้วเนี่ย ทำอะไรให้กินหน่อยสิ ” ผมเดินถือของเข้าไปในบ้าน แล้วหย่อนตัวลงบนโซฟาที่ผมคุ้นเคย





“ จ๊ะ คุณชาย กลับมาไม่มีถามไถ่อะไรเลยนะยะ จะกินอยู่อย่างเดียว ” คนเป็นแม่บ่นกระปอดกระแปดเดินผ่านผมไป โดยมีแสงไอเพื่อนเฮงซวยเดินประจบไปตลอดทาง





“ เอ้อ ลืมบอกไป เมื่อกี้มีเพื่อนแกมานะ ม๊าเลยให้เขารออยู่ห้องรับแขกของป๊าแก ”





“ เพื่อนไหนอ่ะม๊า ” ผมถามอย่างสงสัย เพื่อนที่ไหนวะ เพื่อนที่มีก็ยืนหัวโด่อยู่ในบ้านนี่ (เพื่อนน้อยก็แบบนี้แหละ กระซิกๆ)





“ เห็นบอกว่าชื่อเนตรๆ อะไรนี่ล่ะ หล่อน่าดูเชียว ไอดีเห็นมันก็กระดี๊กระด๊าใหญ่ ” (ดีคือพี่สาวผมเองครับ) พอได้ยินชื่อเท่านั้นแหละ ผมนั่งนิ่งไม่ขยับ แต่ตาแทบถลนออกจากเบ้าตา และช็อกคาโซฟาเลยทีเดียว ไอแสงหันขวับมาหาผมอย่างสงสัยใคร่รู้ ชี้ชัดเลยว่าให้ตายมันต้องรู้เรื่องทั้งหมด ตายห่าแล้วตู ข้าศึกบุกถึงบ้าน!



“ เอ่อ ผมขอออกไปข้างก่อนได้ไหมฮะ ” ผมทำทีเป็นลุกขึ้นจะเดินออกไปจากบ้านที่เพิ่งจะเข้ามาได้ไม่ถึงสิบนาทีดี วินาทีนี้คือต้องออกไปให้พ้นๆ จากบ้านหลังนี้ (ที่มีไอคุณชายอยู่)



“  นั่น พูดถึงก็มาพอดี เนตรจ๊ะ ไอรักลูกชายม๊ามันกลับมาแล้วจ้า ” เอ่อ สาบานว่าน้ำเสียงของประโยคก่อนหน้ากับประโยคนี้ออกมาจากปากคนคนเดียวกัน เจอคนหน้าตาดีหน่อยนี่ถึงกับเสียงสองเลยนะ!



ไอคุณชายเดินมาด้วยท่าทีนอบน้อมเมื่อเห็นว่าคุณแม่ผมหันไปพูดคุยด้วย ก่อนที่สายตาจะเบนมาทางผมช้าๆ ซึ่งมันก็ทำให้เหงื่อในร่างกายของผมพร้อมใจกันผุดออกมาราวกับมีไฟมาลนอยู่ใกล้ๆ ตัว เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวานผุดขึ้นมาในหัวผมเป็นฉากราวกับภาพยนตร์ในโรงหนัง ผมได้แต่ยืนตัวเกร็งอยู่ที่เดิม ไม่กล้าขยับไปไหนทั้งสิ้น พ่วงด้วยไอแสงที่ยืนงงๆ มองไปทางนั้นทีมองมาทางผมที



“ เอ่อ คุณมาทำอะไรที่นี่ครับ ” ผมถามเสียงสั่นๆ เมื่อคุณแม่เดินเข้าห้องครัวไป ไอคุณชายเดินเข้ามาหาผมด้วยท่าทางที่ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร แต่มึงรู้ไหม กูทุกข์สุดๆ แล้วโว้ย ไม่ได้ดูสถานการณ์เลย ไอคุณชายบ้า





“ ก็…ไม่มีอะไร แค่อยากมาเฉยๆ ”  อีกฝ่ายตอบหน้าตาย ผมจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำตอบ





“ ขออนุญาตขัดนะครับท่านทั้งสอง ผมขอถามได้ไหมว่าคุณคือใครครับ ” ไอแสงได้ทียิงคำถาม มันคงอัดอั้นอยากรู้แล้วสิ ท่าทางเหมือนคนกำลังสอบสวนผู้ร้าย แต่จริงๆ คือไม่มีอะไรนอกจากความอยากเสือกเฉยๆ ของมัน





“ เพื่อนกู มึงรู้ไว้แค่นี้แหละ ” ผมจึงตอบส่งๆ ไป ไม่อยากให้มันรู้ไปมากกว่านี้ เดี๋ยวความแตก ซวยกันตายห่าล่ะคราวนี้





“ กูถามคุณคนนั้น ไม่ใช่มึงไอรัก ” ว่าแล้วก็หันหน้าไปถามด้วยความเป็นมิตร ต่างกันกับที่คุยกับผม ทำไมคนใกล้ชิดผมถึงสองมาตรฐานกันได้ขนาดนี้





“ เป็นคนรู้จักของเขา ” มันก็เป็นคำตอบที่ไม่ได้เพิ่มข้อมูลใดๆ ทั้งสิ้นเลยจริงๆ





“ คนรู้จักแบบประมาณไหนเหรอครับ ขอถามได้ไหมฮะ ” แต่ก็ไม่มีอะไรทำให้ไอแสงคนนี้ย่อท้อได้ทั้งนั้น ไอคุณชายยืนเงียบไป ผมรู้สึกว่าบรรยากาศเริ่มเย็นยะเยือกจึงพยายามดึงไอสองคนนี้ให้ออกห่าง





“ เป็นเจ้านาย ”  ไอแสงเบิกตากว้างทันทีที่ได้ยินสิ่งที่ไอคุณชายพูด หันมาทางผมอย่างตกใจ ผมจึงกลืนน้ำลายเอือก รู้ถึงความหายนะนับต่อจากนี้ไปเบาๆ





“ ละ แล้วมาทำอะไรที่บ้านของรักล่ะครับ ”  ประโยคเริ่มนุ่มนวลขึ้นเมื่อรู้ถึงสถานะของฝ่ายตรงข้าม





“ พอดีเขาเข้าใจผมผิดนิดหน่อย ผมจึงอยากมาชี้แจง ”  คราวนี้ผมถึงกับเขาอ่อนเกือบทรงตัวไม่อยู่ไปชั่วพริบตาหนึ่ง ไม่คิดว่าไอคุณชายจะกล้าพูดขนาดนี้ แล้วเพื่อนผมมันจะเข้าใจผิดไปกันใหญ่ไหมเนี่ย เรื่องเข้าใจผิดแบบไหนกันที่เจ้านายต้องมาด้วยตัวเองแบบนี้ ผมนี่แทบอยากจะร้องไห้ ไอแสงผู้ที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก จึงหันมาทางผม ทันใดนั้นมันก็จับมือลากผมออกไปอีกมุมหนึ่งของห้อง แล้วกระซิบถามผมเบาๆ





“ มึงตอบมา เรื่องเข้าใจผิดอะไรถึงต้องซีเรียสกันขนาดนี้ ”  นั่นไง ผมพูดผิดที่ไหน ผมจึงถอนหายใจเบาๆ





“ ไม่มีอะไรหรอกมึง คิดมาก เขาคงแค่อยากมาอธิบายเรื่องงานมากกว่า ”





“ เรื่องงานก็ไม่จำเป็นต้องมาด้วยตัวเองแบบนี้มั้ง โทรมาก็ได้นี่ ”  เพื่อนผมคาดคั้นคำตอบ ผมอยากจะร้องไห้จริงๆ นะเนี่ย ไม่ได้ล้อเล่น ใครใช้ให้ไอแสงเกิดความรู้สึกสงสัยกัน





“ แล้วทำไมมึงไม่ไปถามเขาเอาเองเล่า ”





“ กูไม่กล้านี่หว่า ก็มึงดูท่าทางเขาสิ เหมือนกับถ้ากูถามอีกประโยคเดียว เขาจะเผากูจากสายตาเขาได้แบบนั้นแหละ ” คนอย่างไอแสงกลัวเป็นด้วยเว้ย ผมก็เพิ่งยักจะรู้





“ งั้นกูก็ตอบมึงได้แค่นี้แหละ เพราะกูก็ไม่รู้โว้ย ”





“ มึงอย่างุบงิบดิว้า เดี๋ยวนี้หัดมีความลับกับเพื่อนเหรอ ”





“ โอ้ย งุบงิบบ้าบออะไร ก็กูบอกว่ากูไม่รู้ ถ้าอยากรู้ก็ไปถามเองสิ ” ผมยกแขนขึ้นกอดอก หน้าหงิกขั้นสุด ทำไมช่วงนี้อะไรๆ มันปะดังปะเดมากันจังเลยวะ





“ เฮ้ย อย่าบอกนะว่าเรื่องเมื่อวาน... ”





ก่อนที่ไอแสงจะถามอะไรต่อ อยู่ๆ มือที่สามอย่างไอคุณชายที่เดินมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ดึงแขนของผมให้ออกจากวงสนทนา แล้วก็ลากไปทางหน้าประตู ผมกับไปแสงที่ต่างก็ทำหน้าเหลอหลามองกันและกัน ก่อนที่หน้ามันจะถูกบังด้วยประตูที่ไอคุณชายช่วยสงเคราะห์ปิดให้ กว่าผมจะตั้งสติได้ ตัวเองก็มาอยู่ในรถของอีกฝ่ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว



กูยังไม่ได้แดกข้าวเลยโว้ยยย



อาเมน….







โปรดติดตามตอนต่อไป



ง่อววววววว คุณท่านเนตรมาง้อแล้วค่ะแม๊
ว่าแต่คุณพี่จะท่าเยอะไปไหนคะ
 :hao3:


สวัสดีปีใหม่น้าทุกคน
เฮ่ลโล่วววว ยังมีใครอ่านอยู่ม้ายยย  :sad11:
ปีที่แล้วหนักหน่วงกันมามากมาย ลากยาวมาถึงปีนี้ที่ไม่รู้มันจะจบลงเมื่อไหร่
ก็ขอให้ทุกๆคนสู้ๆนะคะ รวมถึงไรท์เองก็ด้วยค่ะ (ปลอบใจตัวเอง ว่าชั้นมาไกลเกินย้อนไปปป)
ให้กำลังใจกันและกัน ดูแลสุขภาพตัวเองคือสำคัญที่สุด
ขอให้พวกเราทุกคนผ่านพ้นช่วงเวลาอันยากลำบากนี้ไปให้ได้ค่ะ
ไรท์เชื่อว่าคนที่อดทนและรู้หน้าที่ตัวเอง สุดท้ายแล้วจะได้รับสิ่งดีๆที่รอคอยอยู่ในภายภาคหน้าค่ะ
ยังไงก็เป็นกำลังใจให้น้า ถ้าเหนื่อยก็พัก แล้วมาอ่านนิยายของไรท์เพื่อคลายเครียดได้นะคะ อิอิ
ไรท์จะพยายามมาอัพให้บ่อยขึ้นค่ะ (ฮือ)

รักและเป็นห่วง
เจ้าหมีวุ่นวายเอง


------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ปล. อย่าลอกงานเขียนน้า เพราะกว่าจะคิดพล็อตขึ้นมาได้ หัวแทบระเบิดเป็นโกโกครั้นช์บดละเอียด

เพราะฉะนั้นสงสารหนูโด้ยข่า

หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 19!!! (11/1/64)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 12-01-2021 00:29:22
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 19!!! (11/1/64)
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 20-01-2021 02:44:27
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 10!!! (20/1/64)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหมีวุ่นวาย ที่ 20-01-2021 09:26:34
ตอนที่ 20
" คู่รักแทนได้ปะ "




“ เมื่อวานนายไปไหนมา ไม่กลับห้อง ” เมื่อคนขับผู้ที่ซึ่งลากผมเข้ามาในรถ และตัวเองก็เข้ามานั่งฝั่งคนขับเป็นที่เรียบร้อย ก็ยิ่งกระสุน เอ้ย ยิงคำถามใส่ผมทันที โดยที่ไม่รอให้ผมได้หายคอหายใจเลย





“ ผมไปนอนบ้านเพื่อนมา ” ผมตอบทันทีเช่นกัน ในใจนึกกลัวว่าถ้าหากไม่ตอบคำถามใดๆ ก็ตามที่เจ้าตัวถามมา ก็โดนหิ้วไปฆ่าหมกป่าที่ไหนซักแห่งบนโลกใบนี้





“ เพื่อนคนที่อยู่กับนายเมื่อกี้น่ะเหรอ ”





“ ใช่ครับ ” ผมตอบอย่างหมดอาลัยตายอยาก สายตาเอาแต่มองผ่านกระจกรถ มองบ้านของผมที่ค่อยๆ ไกลออกไปเรื่อยๆ ด้วยหัวใจที่ห่อเหี่ยว





“ สรุปแล้ว… ”  ไอคุณชายหยุดพูดไปแค่นั้น ผมจึงทำใจหันกลับมามองว่าเขาจะถามอะไรต่อ แต่เห็นแค่เพียงเสี้ยวใบหน้าที่มองตรงไปยังถนนข้างหน้าอย่างเดียวของเจ้าตัว จึงทำให้ผมกล้าที่จะมองต่อไป หากเขาหันมาแล้วนั้น เกรงว่าผมคงหันกลับคอแทบบิดในทันที





“ คุณจะถามอะไรครับ ” ผมถามย้ำไปเมื่ออีกฝ่ายเงียบไปทั้งๆ ที่ถามค้างไว้อยู่





“ นายจะยอมตอบไหมล่ะ ” ถ้าให้ผมเดาแล้วคงเป็นเรื่องเมื่อวานเป็นแน่แท้ ผมจึงเป็นฝ่ายเงียบบ้าง เพราะไม่รู้จะตอบคำถามเขายังไง ในเมื่อตัวเองยังไม่รู้แน่ชัดถึงการกระทำของตัวเองเลยจริงๆ





“ ฉันไม่รู้นะว่านายเป็นอะไร แต่ถ้ามันเกี่ยวกับเรื่องวรรณแล้ว ฉันบอกได้เลยว่านายไม่ต้องกังวล เราทั้งสองต่างก็เป็นอดีตกันไปแล้ว ทั้งเขาและฉันก็ต่างมีเส้นทางเป็นของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องติดค้างอะไรกันอีก ” ผมได้แต่เงียบฟังที่ไอคุณชายพูดอย่างเดียว โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าในใจตัวเองค่อยๆ ผ่อนคลายขึ้นหลังจากที่ได้ฟัง



“ ตอนนี้ฉันบอกได้เลยว่าตัวเองกำลังเปิดใจอีกครั้งกับ ใครซักคน ซึ่งฉันก็ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าครั้งนี้ตัวเองจะต้องเจอกับอะไรบ้างในอนาคต แต่ฉันบอกได้อย่างเดียวคือ… ” ผมกลั้นใจไปพร้อมกับว่า ‘ใครซักคน’ ออกจากปากของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ความร้อนเริ่มแผ่คลุมใบหน้า ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่ได้รู้ว่าใครซักคนของเขานั้นคือใคร แต่ก็ทำให้ใจผมกระตุกได้ในทันที



เมื่อสัญญาณไฟข้างหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียว คนขับที่หันมองไปยังทางข้างหน้าตลอดก็หันมาทางผม



“ นายคือคนสำคัญของฉันนะ ”




















“ กินให้มันช้าๆ หน่อยไม่ได้หรือไง กลัวฉันแย่งกินเรอะ ” เสียงไอคุณชายบ่นกระปอดกระแปดเป็นระยะๆ ตั้งแต่อาหารที่สั่งถูกนำมาวางบนโต๊ะ ขณะนี้เราสองคนอยู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งแถวๆ บ้านผมนี่แหละ



ตั้งแต่เราสองคนจบบทสนทนาในรถมา จนถึงตอนนี้ผมยังไม่กล้ามองหน้าเขาเลย ให้ตายสิ ใครใช้ให้พูดประโยคหน้าอายนั้นออกมากันล่ะ ยิ่งคิดผมก็ยิ่งกินเร็วกว่าเดิม จนคนที่นั่งตรงข้ามผมทนไม่ไหวจึงบ่นออกมาเป็นชุดนั่นแหละ แต่ผมบอกตรงๆ ว่าไม่ยุติธรรมเลย ไอคนพูดมันไม่เห็นจะมีอาการอะไรเลย ขนาดตอนพูดจบยังทำหน้าตายิ่งได้อย่างนั้น พูดเสร็จหันกลับไปขับรถหน้าตาเฉย เคยไปประกวดคนหน้านิ่งแห่งปีไหมเนี่ย ในขณะที่ยังตัวแข็งอยู่อย่างนั้น ขนาดเดินออกจากรถยังสะดุดน่ะคิดดู



“ เฮ้อ นายนี่น้า คนอะไรเขินแล้วติงต๊องชะมัด ” เสียงไอคุณชายขัดความคิดของผม ผมจึงเงยหน้าขึ้นมองคนพูดเป็นครั้งแรกหลังจากที่ออกจากรถ เห็นมือขาวๆ เอื้อมมาหมายจะสัมผัสหน้า ผมจึงรีบหลับตาปี๋ ไม่กล้ามองอีก





“ กินจนปากเลอะแล้วเนี่ย นายเป็นเด็กหรือไง ” สัมผัสแผ่วเบาตรงบริเวณปาก ทำให้ผมลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็เห็นอีกฝ่ายมองมาก่อนแล้ว สายตาอ่อนโยนที่ทอดมองมานั่นทำให้สติผมกลับคืนมาทันที รีบผละหน้าออกจากมือขาวๆ แล้วเสก้มลงไปดูดน้ำจากแก้วที่วางอยู่ข้างตัว ผมได้ยินเสียงไอคุณชายหัวเราะในคอ จึงยิ่งทำให้ผมกระวนกระวายยิ่งกว่าเดิม





“ แล้วนี่เป็นใบ้กระทันหันเหรอ ตั้งแต่ฉันลากมานี่ไม่พูดอะไรเลย ”





“ แล้วจะให้ผมพูดอะไรล่ะครับ ” ผมพูดเสียงเบาตอบกลับไป แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่กล้ามองหน้าอยู่ดี





“ ปกตินายพูดมากจะตายไป ทีแบบนี้ล่ะเงียบเชียว เป็นอะไร เขินอยู่หรือไง ” คำพูดของเขาทำให้ผมหวนกลับนึกถึงเหตุการณ์ที่อยู่ในรถเมื่อไม่ถึงชั่วโมงที่ผ่านมา ใบหน้าเริ่มเห่อร้อนอีกครั้ง





“ ขะ เขินบ้าบออะไรกันครับ ผมก็แค่…เอ่อ ใครใช้ให้คุณพูดแบบนั้นออกมากันล่ะ ”





“ หึๆ แค่นี้เขินเชียว ถ้าฉันทำยิ่งกว่านี้ไม่ยิ่งเขินตายเลยหรือไง ” ผมสำลักน้ำที่กินเข้าไปเมื่อกี้ ไอจนตัวโยน จนอีกฝ่ายหัวเราะชอบใจ ไอบ้า! แกล้งคนอื่นมันสนุกนักเหรอไง ผมมองค้อนไปยังอีกฝ่ายทั้งๆ ที่ยังสำลักเอาเป็นเอาตาย





“ อ่ะๆ เลิกแกล้งแล้ว กลัวใครบางคนเขินจนขาดอากาศหายใจไปซะก่อน ”  ไอคุณชายหัวเราะจนพอใจแล้ว จึงเรียกพนักงานในร้านเพื่อเช็คบิล กว่าผมจะหยุดสำลักได้ก็กินเวลาไปหลายนาที ไม่พอนะ ยังสะอึกด้วย เอาซะหายใจแทบไม่ทัน ผมพยายามปรับลมหายใจให้เป็นปกติ จนเดินกลับมาที่รถก็ยังไม่หายสะอึกอยู่ดี ผมจึงปล่อยเลยตามเลย ขี้เกียจจะสนใจแล้ว





“ วันนี้นายจะนอนบ้านหรือจะกลับคอนโดเรา ” คำว่า 'คอนโดเรา' ทำให้ผมรู้สึกขนลุกชะมัด





“ ผมกลับกับคุณเลยดีกว่า ไหนๆ พรุ่งนี้ อึก ก็ต้องทำงาน ” ผมสะอึกเสียงดังจนไอคุณชายหลุดขำออกมา





“ ยังไม่หายสะอึกอีกหรือไง ”





“ ถ้าหายแล้วผมคงไม่มาสะอึกแบบนี้หรอกครับ อึก ”





“ เขินจนสะอึก เกิดมาฉันก็เพิ่งจะเคยเห็น ”





“ ก็เพราะใครล่ะ อึก คนเขากินน้ำอยู่ก็ยังจะพูดออกมาอีก ” ผมพูดเสียงดังขึ้น จึงทำให้เสียงสะอึกดังขึ้นตามไปด้วย ไอคุณชายที่ยังไม่หยุดขำ ก็ขำหนักเข้าไปอีก ผมจึงกรอกตาขึ้นอย่างเบื่อหน่ายกับร่างกายตัวเอง ยกแขนกอดอกแล้วหันหน้าไปมองข้างทาง ไม่สนใจคนขับอีก



เสียงเพลงคลอเบาๆ ไปตลอดทาง เราสองคนต่างก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก แต่ไม่รู้ทำไมตอนมากับตอนกลับที่คนละอารมณ์เลย ตอนนี้ผมบอกไม่ถูกว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร แต่รู้แต่ว่าความอึดอัดที่อยู่ในใจจางหายไปแทบจะทันทีเพียงแค่ได้ยินประโยคนั้นออกจากปากคนพูด สงสัยไอที่คุณแดเนียลกับไอแสงพูดมันคงจะจริง ผมคงจะ…ชอบไอคุณชายบ้านี่เข้าแล้วจริงๆ แหละ ทำให้ทุกๆ เรื่องของเขามีผลต่อความรู้สึกของผมได้อย่างง่ายดาย แต่ผมก็ปลอบใจตัวเองอาจจะเป็นเพราะความใกล้ชิดที่ทำให้ผมเผลอหวั่นไหวไป ถึงแม้ผมจะไม่เคยคบหาใครถึงขั้นลึกซึ้งขนาดนั้น แต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว ก็ต้องแอบเผื่อใจไว้ส่วนหนึ่งด้วย ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่เกิดอะไรร้ายแรงขึ้น แต่ผมก็ไม่สามารถพูดได้ว่า ระหว่างเราจะไม่มีอุปสรรคใดๆ เลย



คิดแล้วก็ใจหาย หากสุดท้ายผมกับเขาจะไม่สามารถเดินเคียงข้างกันได้จริงๆ



ผมหันหน้าไปมองคนขับที่อยู่ในความคิดของผมมาตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี้ ใบหน้าที่ผมแอบหลงใหลมาตั้งแต่แรกเจอ เหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต จนตอนนี้ได้มาอยู่ด้วยกัน ผมไม่เคยคาดคิดจริงๆ ว่าชีวิตนี้จะได้พบเจออะไรแบบนี้ นี่ถ้าครอบครัวผมรู้ หรือไอแสงรู้นี่ต้องตกใจกันมากแน่ๆ คิดถึงตอนนี้แล้วผมก็แอบหวั่นใจถึงอุปสรรคที่ผมคาดว่าจะต้องพบเจอซักวันในอนาคต



“ มองหน้าฉันจนไม่รู้ตัวเลยใช่ไหมว่าถึงคอนโดแล้ว ” ผมสะดุ้งตื่นจากภวังค์เมื่อได้ยินไอคุณชายพูด หันไปมองรอบตัวก็พบกับสิ่งแวดล้อมที่คุ้นตาที่ทำให้รู้ว่าถึงคอนโดแล้วจริงๆ ผมจึงรีบปลดเข็มขัดแก้เก้อ แล้วจึงเปิดประตูรถออกไปยืนสูดเอาอากาศเข้าปอดเพื่อไล่ความหวั่นไหวในใจออกไป เอาตัวตนตัวเองกลับมา เขินจนวิญญาณหลุดออกจากร่างแล้วเนี่ย



“ ผมขอตัวเข้าห้องก่อนนะครับ ” ผมเอ่ยกับคนเป็นเจ้าของห้องเมื่อเดินเข้ามาในห้องแล้ว ไอคุณมองหน้าผมนิดหนึ่งแล้วก็พยักหน้า ผมจึงเดินเข้าห้องโดยที่รู้สึกถึงสายตาลุ่มลึกมองตามมาจนกระทั่งปิดประตูห้อง



“ ค่อยหายใจหายคอคล่องหน่อย ให้ตายสิ ” ผมบ่นพึมพำกับตัวเองเบาๆ ตกใจในความรุกหนักของอีกฝ่าย กลายเป็นว่าสถานะของเราทั้งสองตอนนี้คืออยู่ในช่วงไหนกันแน่ ผมก็เริ่มไม่มั่นใจซักเท่าไหร่ การที่ไอคุณชายมาพูดกับผมแบบนี้ แสดงว่าเขาก็ต้องมั่นใจในความคิดตัวเองอยู่ไม่น้อย ใจหนึ่งผมก็แอบดีใจที่ได้รู้ความรู้สึกของเขา แต่อีกใจก็กลัวว่าพอถึงเวลาจริงๆ แล้วผมจะเสียใจในสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจ



ผมถอนหายใจ ช่างมันก่อนแล้วกัน ตอนนี้เอาเรื่องที่จำเป็นก่อน ที่เหลือค่อยมาคิดตอนนั้น



อีกไม่กี่วันจะถึงวันงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของท่านประธานแล้วก็ไอคุณชาย วันนั้นผมจะต้องรอบคอบให้มากขึ้น เพราะเป็นวันสำคัญของพวกเขามากทีเดียว เป็นงานเปิดตัวทั้งสินค้าใหม่และ…ทายาทของตระกูลโอฬารวิจิตรรัศมิ์เป็นครั้งแรก หลังจากที่เกิดเรื่องร้ายๆ กับตัวเขาซึ่งทำให้ต้องเลื่อนการรับตำแหน่งต่อจากท่านประธานเมื่อไม่กี่เดือนมานี้ก่อนที่ผมจะเข้ามาทำงาน



ถึงแม้ว่าท่านประธานจะจ้างคนคุ้มกันมาหลายคนก็ตาม แต่ผมซึ่งเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวของลูกชายเขาก็ต้องทำงานให้หนักขึ้น เนื่องจากเป็นคนสำคัญของงานนี้ หากมีอะไรที่ผิดพลาดเกิดกับตัวของลูกชายท่านประธาน นั่นก็เท่ากับว่าความพยายามที่ผ่านมาของผมนั้นล้มเหลว ตอนนี้ไอคุณชายเคร่งเครียดกับการดำเนินงานของฝ่ายจัดอีเวนท์ ทุกอย่างๆ ต้องผ่านตาเขาเท่านั้น เพราะผลงานนี้จะเป็นตัวชี้วัดถึงความเหมาะสมของเขาสำหรับตำแหน่งประธานคนต่อไป



ผมจึงอดที่จะกังวลใจไม่ได้ ช่วงนี้ในช่วงเย็นของทุกๆ วันผมจะต้องกลับเข้าไปที่ยิมของอาจารย์เพื่อฝึกร่างกายเพิ่มวันละสองชั่วโมง แต่ครั้งนี้อาจารย์อาจจะไม่ได้มาฝึกให้ผมด้วยตัวเอง เพราะติดภารกิจ แต่ก็ยังมีครูฝึกคนอื่นที่อาจารย์ฝากฝังไว้มาฝึกให้ผมแทน การที่ผมมายิมทุกวันนั้นทำให้ไอคุณชายบ่นอุบว่าผมกลับมาช้าหลังจากที่ส่งเขากลับคอนโดเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเอาจริงๆ ก็คือทำเพื่อเขาไหมล่ะ! แต่ถึงแม้ว่าจะฝึกขนาดไหน ความกังวลในใจผมกลับไม่ได้ลดลงเลย แต่ถ้าผมคิดในแง่ดี อย่างน้อยผมก็ได้ทำอะไรได้มากขึ้น ยังดีกว่าอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยแล้วกัน



วันนี้เป็นวันหยุด ผมจึงไม่ได้เข้ายิม เป็นวันพักผ่อนร่างกาย ไม่อย่างนั้นคงเดียงก่อนวันงานจริงๆ เพราะฝึกทีหนึ่งก็ไม่ใช่เบาๆ เลย ตั้งแต่ผมเริ่มทำงานก็ไม่ได้เข้าไปฝึกเลย เพราะงานยุ่งและยังจัดสรรเวลาให้ตัวเองไม่ค่อยได้ เพราะงานเลขาที่บริษัทเก่าเป็นอะไรที่แทบจะไม่มีเวลาว่างเลย ไหนจะเรื่องงาน ไหนจะต้องระวังตัวจากคุณอดีตเลขานั่นอีก จึงทำให้การฝึกของผมเว้นช่วงไปนาน พอได้มารื้อฟื้นตอนนี้ จึงทำให้ร่างกายผมต้องใช้เวลาปรับตัวไปพักใหญ่ ตอนนี้เพิ่งจะดีขึ้น จำได้ว่าวันแรกซึ่งก็คือไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากฝึกเสร็จ วันรุ่งขึ้นนี่เคล็ดขัดยอกไปทั้งตัว จนไอคุณถามว่าเป็นอะไรท่าทางเหมือนโดนใครอัดมา ซึ่งก็โดนอัดจริงๆ น่ะแหละ



ก๊อกๆ



เสียงเคาะประตูดังขึ้นหลังจากที่ผมอาบน้ำเสร็จ ผมจึงเดินไปเปิดประตูด้วยความแปลกใจ ปกติเจ้าของห้องไม่เคยเจาะแจะเลยหลังจากที่กินข้าวและแยกย้ายเข้าห้อง



“ มีอะไรหรือเปล่าครับคุณ ” เมื่อผมเปิดประตูก็พบกับเจ้าตัวที่ยืมอยู่หน้าห้อง



“ ฉันว่าจะชวนนายออกมาดูหนังกันซักหน่อย พอดีฉันนอนไม่หลับน่ะ ”





แต่ผมนอนหลับน่ะ…








สุดท้ายผมก็ย้ายสังขารตัวเองออกมานั่งอยู่บนโซฟาข้างนอกห้อง โดยมีตัวปัญหานั่งอยู่ข้างๆ



“ ทำไมถึงนอนไม่หลับล่ะครับ ” ผมถามขึ้นหลังจากที่นั่งดูเป็นเพื่อนเขามาสักพัก คนถูกถามไม่ได้พูดอะไรตอบ แต่หันกลับมาสบตากับผมที่มองไปก่อนอยู่แล้ว สีหน้าหนักใจที่น้อยครั้งเจ้าตัวจะเผยออกมา ทำให้ผมอดที่จะเป็นห่วงไม่ได้



“ ฉันกังวลนิดหน่อย ” ว่าแล้วคนพูดก็ถอนหายใจ แล้วกันกลับไปมองจอโทรทัศน์แล้วเอ่ยต่อ “ นายก็รู้ใช่ไหมว่างานเปิดตัวนี้เป็นงานครั้งแรกของฉัน ”





“ รู้ครับ ”





“ ฉันกลัวว่าจะเกิดอะไรร้ายๆ ขึ้นอีก เพราะงานนี้เป็นงานเปิดตัวของฉันด้วยเหมือนกัน ” คนพูดน้ำเสียงกังวลจนผมสัมผัสได้ อย่าว่าแต่เจ้าของงานเลย แม้แต่ตัวผมเองก็กังวลเหมือนกัน





“ ผมจะช่วยคุณอย่างสุดความสามารถเอง คุณห่วงแค่งานของคุณก็พอครับ ”





“ ฉันรู้ว่าฝีมือนายก็ไม่อ่อนด้อยกว่าใครๆ แต่ฉันก็ห่วงนายด้วยเหมือนกันนะ ” มือเรียวขาวเอื้อมมาวางแหมะอยู่บนหัวผมแล้วลูบเบาๆ ผมที่นั่งนิ่งค้างอยู่นั้นก็ไม่กล้าขยับตัว ปล่อยให้อีกฝ่ายลูบจนพอใจก่อนที่มือนั้นจะค่อยๆ ไล่ลงมาสัมผัสกับแก้มของผมอย่างแผ่วเบา ผมเคลิ้มไปกับสัมผัสนั้น จนใบหน้าของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมเคลื่อนเข้ามาใกล้ ผมไม่ได้ขยับออกห่าง นัยตาหวานที่ผมมองไม่เคยเบื่อเลื่อนมาอยู่ในระดับสายตาของผมพอดี จึงทำให้เราสองคนสบตากัน ระยะห่างที่ค่อยๆ ลดลงจนเหลือแค่เพียงแค่คืบ บรรยากาศที่เริ่มเปลี่ยนไป ทำให้ผมรู้สึกตื่นตัวขึ้นเล็กน้อย จึงหลับตาลง และแล้วริมฝีปากของเขาก็ประกบลงมาอย่างแผ่วเบา





ใจผมเต้นแรงราวกับจะทะลุออกจากอก หลังจากที่ได้สัมผัสแนบชิด ความร้อนเริ่มคืบคลานลามไปทั่วร่างกายช้าๆ มือของอีกฝ่ายที่ประคองผมอยู่ค่อยๆ ลูบไล้จากใบหน้าของผมลงมายังลำคอ ไหล่ และแผ่นหลัง ทำให้ผมเริ่มรู้สึกตื่นตัวมากขึ้น รสจูบที่อีกฝ่ายมอบให้เริ่มร้อนแรง และลึกซึ้ง และระหว่างที่ผมยังมึนๆ งงๆ อยู่นั้น ลิ้นอุ่นร้อนก็ควานเข้ามาภายใน





เสียงที่ดังมาจากโทรทัศน์ไม่ได้ทำให้เราสองคนสนใจอีกต่อไป ไอคุณชายเขยิบตัวเข้าหาผมมากขึ้น ผมที่ตอนนี้แทบจะประคองตัวไม่อยู่ ค่อยๆ เอนตัวนอนราบไปบนโซฟา โดยมีมือของคนที่อยู่ด้านบนประคองหลังคอผมทำให้ริมฝีปากแนบชิดกันยิ่งกว่าเดิม ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ อีกฝ่ายบดจูบหนักๆ หลายครั้งก่อนจะผละตัวออกไป





ผมนอนหอบเหมือนคนหายใจไม่ทัน สมองมึนเบลอจากการโดนจูบเมื่อครู่ ใบหน้าเห่อร้อนจนแทบจะระเบิดพอๆ กับใจที่เต้นรัวจนน่ากลัว ไม่กล้าพูดอะไรออกมาเลยซักคำเดียว





ไม่อยากจะบอกว่ารู้สึกดีจริงๆ เลยให้ตาย!





ได้แค่คิดในใจขณะที่ปรับลมหายใจให้ปกติ ส่วนไอคนที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้น่ะเหรอ นั่งมองอยู่ที่เดิมนั่นแหละ แปลกแต่สายตาลุ่มลึกที่ชวนให้ผมขนลุกว่าถ้าผมไม่ลุกขึ้นมาตอนนี้ คงจะโดนจับกดไปจริงๆ ผมจึงค่อยๆ ดันตัวที่อ่อนปวกเปียกขึ้นมานั่งได้ในท้ายที่สุด ผมพยายามทำใจให้นิ่งให้มากที่สุด เพราะไม่อยากโวยวายเหมือนคนโดนขโมยจูบ (ซึ่งจริงๆ แล้วก็เป็นฝ่ายสมยอมเอง) แต่ก็อดที่จะเหลือบไปมองคนข้างๆ ไม่ได้ เมื่อเห็นว่าเขานิ่งเงียบไปเลย ไม่คิดจะพูดอะไรหน่อยเลยหรือไง





“ อย่ามองฉันแบบนั้น ” คนนั่งเงียบเปิดปากในที่สุด ผมจึงเหลือบมองอีกครั้งด้วยความแปลกใจ





“ ฉันบอกว่าอย่ามองฉันด้วยท่าทางแบบนั้น ”  ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย สงสัยในคำพูดอีกฝ่าย แต่ก็ยังไม่ได้ละสายตาไปไหน





“ พูดไม่ฟัง คิดจะยั่วฉันหรือยังไงกัน ” คนห้ามพูดพึมพำเบาๆ แต่ผมกลับได้ยินอย่างชัดเจน






ผมทำหน้าเหลอหลาทันทีคนตรงหน้าพูดจบ ใครยั่วใครกันแน่ฟระ ดูคนตรงหน้านี่สิ ใบหน้าขาวที่ติดจะแดงหน่อยจากเลือดสูบฉีด ดวงตาหวานฉ่ำ ไหนจะริมฝีปากแดงๆ ที่เจ่อเล็กน้อยหลังจากที่เราสองคน…เอ่อ นั่นแหละ บรรยายมาขนาดนี้ ไหนลองบอกซิว่าใครยั่วใครกันแน่





“ ผมไม่ได้ยั่ว ” ผมพูดเสียงสูงขึ้นเหมือนคนร้อนตัว





“ หึ รู้สึกดีไหม ” อยู่ๆ คนตรงหน้าก็เปลี่ยนอารมณ์โดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว ทำให้ไอร้อนกลับขึ้นไปสู่ใบหน้าอีกครั้ง





“ ก็…ปกติแหละครับ ”  ผมตอบอ้อมแอ้ม หลบเลี่ยงสายตาที่มองมาราวกับจะเค้นหาความจริง





“ อ้อเหรอ เห็นกำเสื้อฉันซะแน่น นึกว่าจะมีอารมณ์ร่วมซะอีก ”





“ คุณมั่วแล้ว ผม…ออกจะเชี่ยวชาญในเรื่องแบบนี้ ผมรู้ได้ว่ารู้สึกดีหรือรู้สึกไม่ดี ” ผมเถียงข้างๆ คูๆ แม้ในใจไม่อยากจะยอมรับว่าไม่เคยจูบใครแล้วรู้สึกดีแบบนี้มาก่อน





“ สงสัยครั้งหน้าฉันต้องซ้อมใหม่ซะแล้ว ”





“ เฮ้ย ซ้อมใหม่อะไรกัน เห็นผมเป็นคู่ซ้อมหรือไง ”





“ คู่รักแทนได้ปะ ” เหมือนมีหมัดหนักๆ พุ่งเข้าหน้าผมอย่างแรง ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะหยอด หรือตั้งใจจะหยอก ผมก็เริ่มจะแยกไม่ออก แต่ตอนนี้ผมรู้ได้อย่างเดียวจริงๆ





ช็อค…ตายโดยสมบูรณ์
















ผมกำลังขับรถพาเจ้านายที่นั่งไขว้ห่างในมาดคุณชายอยู่ข้างหลังมุ่งหน้าสู่สถานที่จัดอีเวนท์ที่จัดขึ้น ณ ห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่งใจกลางเมือง วันนี้ไอคุณชายมีนัดเช็คสถานที่และความเรียบร้อยต่างๆ เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะถึงวันงานในวันรุ่งขึ้น มีการซักซ้อมขึ้นเวทีด้วยในส่วนของพิธีกรกับพรีเซนเตอร์ซึ่งเป็นดาราที่กำลังมีชื่อเสียงอย่างมากในขณะนี้ และผมซึ่งมีหน้าที่เช็คระบบความปลอดภัยต่างๆ ภายในและรอบๆ สถานที่จัดงานด้วยอีกชั้นหนึ่ง



พิธีกรที่ทางบริษัทจัดจ้างมานั้น เป็นคนที่บริษัทคุ้นเคยเป็นอย่างดี เนื่องจากทำงานร่วมกันมาโดยตลอด จึงทำให้การดำเนินการในส่วนของบทพูดและการพรีเซนท์สินค้าต่างๆ เป็นไปอย่างรวดเร็ว ประกอบกับดาราที่มาเป็นพรีเซนท์เตอร์ในครั้งนี้ เป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในระดับแถวหน้าของวงการ งานในวันรุ่งขึ้นจึงเป็นงานที่ผู้คนให้ความสนใจมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะทายาทของตระกูลอย่างไอคุณชายและท่านประธานของบริษัท ซึ่งเป็นบิดาจะมาเปิดตัวพร้อมๆ กันในงานอีกด้วย



ผมจึงอดที่จะตื่นเต้นและกังวลด้วยไม่ได้ เพราะการเปิดตัวนั้นหมายความว่า บุคคลสำคัญทั้งสองจะถูกเปิดเผยตัวตนสู่ภายนอก และอาจจะเป็นเป้าหมายให้กับคนที่กำลังปองร้ายได้ง่ายขึ้นอีกด้วย แต่คนที่กำลังจะถูกเปิดเผยตัวตนนั้นกลับนั่งไม่อนาทรร้อนใจอะไรเลย แถมยังบอกกับผมอีกด้วยว่า ‘ดีซะอีก จะได้ติดตามสืบกันต่อได้ซักที เพราะเบื่อที่จะคอยระแวงแล้ว’ โอ้ย ไม่ได้รู้สึกถึงความหวั่นใจของคนในบ้านรวมถึงผมด้วยเอาซะเลย



ทางด้านผู้เป็นแม่นั้นก็กำชับผมนักหนาให้ช่วยดูแลลูกชายของเขาอย่างใกล้ชิด เพราะเธอเป็นห่วงมาก กลัวลูกจะได้รับอันตรายอีก ผมจึงให้คำมั่นแต่ในใจก็อดเครียดไม่ได้ เพราะชีวิตของเขานั้นฝากฝังไว้ในมือทั้งสองของผม แถมยังเป็นคนสำคัญของบริษัทอีก ถึงคนภายนอกจะรับรู้แค่ผมเป็นเลขาส่วนตัวของเขา แต่ถึงอย่างนั้นแล้วเลขามันก็ไม่ได้จบแค่งานในบริษัทนี่นะ ครอบคลุมไปถึงชีวิตส่วนตัวเขาอีกด้วย



ผมเหลือบมองคนข้างหลังผ่านทางกระจกด้านหน้า ก็พบว่าเจ้าตัวกำลังนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดมองเอกสารในมือ น่าจะเป็นข้อมูลสำคัญของในวันพรุ่งนี้ บอกแล้วว่าทุกอย่างในงานต้องผ่านสายตาเขาก่อนเท่านั้นจริงๆ



“ นาย ฉันลืมเอกสารไว้ที่บริษัท นายวกกลับไปที่บริษัทก่อนได้ไหม ” คนนั่งหน้าเคร่งเครียดอยู่เมื่อกี้ เงยหน้าแล้วพูดกับผม ทำเอาผมเลื่อนสายตาที่แอบมองเขาอยู่กลับมามองถนนหน้ารถแทบไม่ทัน





“ ได้ครับ คุณลืมอะไรไว้ครับ ”





“ ลืมบทสคริปต์ของฉันน่ะ เมื่อวานลืมเอากลับมา กะว่าจะไปเอาวันนี้ก็เกือบลืมอีกแล้วเนี่ย ” ผมอือออในลำคอ ก่อนจะเปิดไฟเลี้ยวขับเบี่ยงไปเลนขวาสุดเพื่อที่จะกลับรถ เสียงมือถือของไอคุณชายดังขึ้น เขาหยิบขึ้นมาดูนิดหนึ่งก่อนจะกดรับ



“ ว่าไง ” เจ้าของโทรศัพท์เอ่ยทักคนปลายสาย





“ วันนี้เหรอ ” เขายกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกาข้อมือ ก่อนจะตอบไป





“ ได้ แต่ฉันอยู่ดึกมากไม่ได้นะ พรุ่งนี้มีงานสำคัญ ”





“ อืมๆ โอเค เจอกันที่ร้าน ”





ผมเหลือบมองคนข้างหลังอีกครั้งก็พบว่าเขาเอาเอกสารขึ้นมานั่งดูเหมือนเดิมแล้ว จึงไม่กล้าถามสิ่งที่สังสัยออกไป น่าจะเป็นเพื่อนกลุ่มเดิมของเจ้าตัวนั่นแหละ นานๆ เจอกันครั้งหนึ่งเพราะต่างคนก็ต่างยุ่งในภารกิจของตัวเอง ผมเคยเห็นหน้าค่าตาอยู่สองสามครั้ง (ไปนั่งเนียนๆ อยู่ข้างๆ โต๊ะของพวกเขาเพราะต้องตามประกบไอคุณชาย) ก็เป็นบรรดาคุณชายๆ เหมือนกันนั่นแหละ แต่ดีอย่างตรงที่พวกเขาไม่ได้ทำตัวเสเพลหรือกร่างไปทั่วเพราะตัวเองรวยอะไรเทือกๆ นั้น



แต่ผมบอกได้อย่างเดียวว่า หน้าตาดีกันทุกคนจริงๆ ! พระเจ้าไม่เคยให้ความเท่าเทียม ดูอย่างผมนี่สิ หล่อแล้วก็ต้องประทานพรให้ผมรวยมากด้วยสิ ถึงจะยุติธรรม เพราะเพื่อนๆ ของไอคุณชายแต่ละคนถ้าไม่เป็นเจ้าของธุรกิจร้อยล้านพันล้านแล้ว ก็เป็นข้าราชการระดับบิ๊กๆ ทั้งนั้น ผมรู้ได้ไงน่ะเหรอ ก็เพราะเคยเห็นหน้าพวกเขาในหนังสือพิมพ์น่ะสิ ทุกคนล้วนผ่านการขึ้นหนังสือพิมพ์กันมาแล้วทั้งนั้น ยกเว้นก็แต่เจ้านายผมเนี่ย ยังคงทำตัวลึกลับอยู่ ปล่อยให้สังคมกระหายใคร่รู้ในชีวิตส่วนตัว





“ เย็นนี้ฉันมีนัด นายไม่ต้องตามเฝ้าก็ได้นะ ” คนที่ผมนินทาอยู่ในใจพูดขัดความคิดของผม





“ ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมเข้าไปนั่งด้วยห่างๆ เหมือนเดิมนั่นแหละครับ ”





“ โอเค ตามใจนะ ถ้าเหนื่อยหรือง่วงนายก็กลับก่อนได้เลย ฉันให้เพื่อนฉันไปส่งได้ ”





“ ไม่ล่ะครับ เดี๋ยวคนบางคนจะหาว่าผมอู้งาน ”





“ หึ รู้ตัวก็ดี ” ผมแอบเบ้ปากเล็กน้อย แค่อู้งานครั้งเดียวที่จำฝังใจเลยนะ พอไม่ได้ดั่งใจก็หาเรื่องขุดเรื่องที่ผมไอหลับสัปหงกข้างๆ เขาในวันนั้นขึ้นมาลอยๆ อีก ผมจึงทำอะไรไม่ได้เพราะตัวเองดันไปสัปหงกแบบนั้นให้เขาเห็น แถมไม่รู้นานเท่าไหร่ด้วย อายชะมัดเลย



(อ่านต่อด้านล่าง)


หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 20!!! (20/1/64)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหมีวุ่นวาย ที่ 20-01-2021 09:28:43

“ รับอะไรดีคะ ”



“ ผมขอชามะนาวเย็นแล้วกันครับ ” ผมส่งเมนูที่อ่านผ่านๆ ไปให้พนักงานของร้าน ตอนนี้ผมนั่งอยู่ตรงมุมหนึ่งซึ่งมีไม้ประดับบังอยู่ แต่สามารถมองไปยังโต๊ะที่ไอคุณชายกับเพื่อนของเขานั่งได้อย่างชัดเจน โดยไม่ได้ต้องกลัวว่าจะถูกจับได้ หลังจากที่ผมขับมาถึงร้านก็ให้ไอคุณชายลงหน้าร้านก่อน แล้วตัวเองไปหาที่จอดที่ทางร้านจัดตรงด้านหลัง



ร้านนี้เป็นร้านประจำที่เวลานัดเลี้ยงกัน ซึ่งบอกได้เลยว่าด้วยรสนิยมและฐานะของเหล่าคุณชายทั้งหลายนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าร้านจะหรูขนาดไหน สังเกตได้ตั้งแต่ป้ายและทางเข้าร้าน หรูอลังการราวกับวัง ส่วนใหญ่แล้วคนไฮโซจะมาที่นี่กันเยอะ เพราะเป็นแหล่งรวมไฮโซด้วยกัน จึงไม่ต้องกลัวว่าจะมีปาปารัสซี่แอบถ่ายหรือโดนเมาท์ นอกจากซะว่าไฮโซจะเมาท์ไฮโซด้วยกันเอง



ผมมานั่งที่นี่ เวลาจะสั่งอาหารแต่ละทีต้องคิดแล้วคิดอีก ถึงแม้ว่าไอคุณชายจะบอกว่าจะจ่ายให้หลายรอบแล้วก็ตาม แต่มันก็ไม่ชินซักทีน่ะ อะไรที่ช่วยประหยัดได้ก็ต้องประหยัด (พ่อพระไปอีก) วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมต้องมานั่งร้านนี้อีก มุมเดิมและเมนูเดิมที่สั่งตลอด จนพนักงานหลายคนที่จำผมได้ก็เหล่มองด้วยความสนใจ เอ้ย แปลกใจ เพราะผมดูไม่ใช่ไฮโซเงินหนาอะไรเทือกๆ นั้น แต่มานั่งได้โดยสั่งแค่เมนูเดียว



แต่วันนี้ผมจะขอสั่งเพิ่มครับ ฮ่า



“ แล้วก็ขอฮันนี่สตรอเบอร์รี่ครีมชีสโทสต์ที่หนึ่งครับ ” อยากของหวานมาตั้งแต่เช้า ก็จะสมพรในครั้งนี้แหละครับ แถมกินฟรีซะด้วย จะรออะไรกันล่ะ



พอสั่งเสร็จ พนักงานก็ยิ้มๆ ให้เหมือนกันว่าโล่งใจที่ในที่สุดผมก็สั่งเพิ่มได้ซักที หลังจากที่สั่งแต่ชามะนาวในหลายครั้งที่ผ่านมา ผมหันกลับมามองไปที่โต๊ะของเหล่าคุณชายนั้นอีกครั้ง รู้สึกเหมือนครั้งนี้จะมีหนึ่งคนที่ไม่ได้มา เพราะปกติกลุ่มของพวกเขาจะมีกันอยู่ สี่คน ถ้วน บางทีท่านชายต่างๆ เหล่านั้นก็จะมาแฟนหรือกิ๊กก็ไม่ทราบได้มาด้วย เพราะหลายหน้าหลายตาซะเหลือเกิน



ไอคุณชายนั่งหันหน้ามาทางผมพอดี ทำให้ผมเห็นทุกอิริยาบถของเขาง่ายยิ่งขึ้น ผมหันซ้ายหันขวามองลาดเลาไปทั่วๆ ร้านตามปกติ แต่เอาจริงๆ นะครับ เท่าที่ผมเห็นและสังเกตได้ก็จะมีแต่คนที่แอบมองไปที่โต๊ะไอคุณชาย ไม่ว่าจะหญิงแท้หรือชายเทียมก็ตาม ผมก็อดที่จะขำออกมาไม่ได้ นี่ถ้าไอคุณชายรู้ว่าตัวเองถูกมองหลายครั้งขนาดไหน คงหัวเสียแน่ๆ เพราะเจ้าตัวรำคาญสายตาเหล่านั้น



“ คุณครับ ” ไหล่ซ้ายของผมถูกสะกิดเบาๆ ผมหันขึ้นไปมองคนสะกิด ก็ทำให้ผมตกใจอีกระลอก





“ อ้าว! นาย ” อีตาเพื่อนข้างห้องนั่นเอง อะไรจะบังเอิญบ่อยขนาดนั้น นี่ถ้าไม่ติดว่าเราไม่ได้รู้จักสนิทชิดเชื้อ ผมก็จะนึกว่าเขาแอบสะกดรอยตามมานะเนี่ย





“ บังเอิญจังเลยนะครับ ” คนตรงหน้าผมที่แต่งตัวดีขึ้นจนถ้ามองผ่านๆ คงจำไม่ได้ ยิ้มให้เล็กน้อยตามมารยาท





“ นั่นสิครับ แล้วนี่คุณจะกลับแล้วเหรอครับ ”





“ ใช่ครับ พอดีผมมาคุยงานกับลูกค้า นี่ก็เพิ่งเสร็จเลยจะกลับ พอดีเห็นคุณซะก่อน ” อีกฝ่ายถือวิสาสะเลื่อนเก้าอี้แล้วนั่งข้างๆ ผม ในขณะที่ผมกำลังอึ้งกับความบังเอิญนี้อยู่เลย ‘นนท์’ ที่กำลังนั่งจิ้มมือถืออยู่ตอนนี้ เป็นเพื่อนข้างห้องที่เพิ่งจะรู้จักกัน แต่ถ้ารวมความบังเอิญที่ผ่านๆ มาจนถึงครั้งนี้ก็สามครั้งเข้าไปแล้ว แถมบังเอิญเจอแต่ละทีนี่ไม่คาดคิดทั้งนั้น





“ แล้วนี่คุณรักมาทำอะไรเหรอครับ ” คนที่นั่งข้างๆ ถามขึ้นในขณะที่ยังกดมือถือในมืออยู่ แล้วผมจะตอบกลับไปว่ายังไงดีวะเนี่ย มาเฝ้าเจ้านายแบบนี้เหรอ





“ ผมมานั่งรอเพื่อนฆ่าเวลาน่ะครับ พอดีเพื่อนเขาติดธุระอยู่ ” สุดท้ายก็ต้องพึ่งเพื่อนผู้เป็นทุกสถานะ





“ เพื่อนที่ห้องใช่หรือเปล่าครับ ” ผมลอบกลืนน้ำลายเมื่อได้ยินเขาถาม นี่ผมลืมไปได้ยังไงเนี่ยว่าเขาเคยเห็นไอคุณชายแล้ว แล้วที่สำคัญคือเจ้าตัวปัญหานั่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนี้เอง โอ้ย! ทางที่ดีต้องอย่าให้เขาเห็นไอคุณชายจะดีกว่า





“ เอ้อ ไม่ใช่ครับ คนละคนกัน อันนี้เป็นเพื่อนสนิทผมเองครับ ฮะๆ ” ผมหัวเราะหน้าเกร็ง ตัวเกร็งไปหมด ไม่รู้ว่าทำไมจะต้องปิดบัง แต่ที่รู้แน่ๆ คือสัญชาตญาณผมไม่ค่อยไว้ใจไอคนตรงหน้านี้เอาซะเลย





อีกฝ่ายอือออในลำคอ แต่ก็ไม่ได้แย้งอะไร





“ เมื่อไม่กี่วันก่อนผมเจอผู้ชายอีกคนที่ชั้นเดียวกัน เขาบอกว่าเขาพักอยู่ข้างๆ ห้องผม คุณก็บอกว่าพักอยู่ห้องนั้นเหมือนกัน แชร์กันอยู่เหรอครับ ” นั่น เอาแล้ว จริงๆ แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องนักหนาอะไรที่จะบอก แต่ให้คนรู้ให้น้อยที่สุดน่าจะดีกว่า ยิ่งคนไม่เกี่ยวข้องด้วยแล้ว รู้เยอะไปแล้วผมเนี่ยแหละจะซวยเอา





“ อ๋อ จริงๆ แล้วผมแค่มาอยู่ชั่วคราวน่ะครับ พอดีห้องเก่ามันมีปัญหานิดหน่อย แต่เดี๋ยวก็จะย้ายไปแล้วล่ะครับ ” ผมตอบอย่างคลุมเครือ ไม่ให้อีกฝ่ายสงสัย ท่าทีฝ่ายตรงข้ามก็ไม่ได้มีอะไรน่าสงสัย ผมจึงเลยตามเลย





“ อ้อ คุณได้สร้อยคืนแล้วใช่ไหมครับ เจอกันคราวที่แล้วก็ลืมถามเลย ”





“ ได้คืนแล้วครับ ขอบคุณมากๆ เลยนะที่เอามาคืน พอดีเป็นของสำคัญด้วย ” ผมขโมยไอแสงมาต่างหาก





“ ดีแล้วล่ะครับ ผมเห็นมันตกอยู่ตรงใกล้ๆ ที่ทิ้งขยะพอดี เลยคิดว่าน่าจะเป็นของคุณ ”





“ แล้วคุณรู้ได้ยังไงครับว่าบริษัทผมอยู่ที่ไหนถึงเอามาคืนถูก ”





“ จริงๆ แล้วผมตามคุณไปน่ะครับ พอผมออกมาจากห้อง แล้วเห็นสร้อยตกอยู่ จึงรีบไปหาคุณที่ห้อง แต่ผมได้ยินเสียงเหมือนคนคุยกันตรงลิฟต์ คิดว่าน่าจะเป็นคุณ เลยเดินตามไปแต่ก็ไม่ทัน ” ฟังอีกฝ่ายเล่า ผมจึงคิดตามไปด้วย เหตุการณ์วันนั้นน่าจะเป็นวันเดียวกับที่ไอคุณชายมีอาการประหลาดๆ แล้วผมก็ไปนั่งสัปหงก…. ทำไมผมต้องมานั่งย้อนคิดถึงวันนั้นด้วยล่ะโว้ย คนอุตส่าห์จะลืม





“ ผมจึงรีบลงไปอาคารจอดรถ แต่ก็เห็นรถคุณกำลังลงไปอยู่ไวๆ จึงขับตามไปน่ะครับ ” หืม แล้วเขาแน่ใจได้ยังไงว่ารถคันนั้นมันจะเป็นของผมล่ะเนี่ย แต่ก็ช่างเถอะ คงจะตามไปจริงๆ นั่นแหละ ไม่อย่างนั้นจะรู้ได้ยังไงว่าผมทำงานอยู่ที่ไหน





“ ยังไงก็ขอบคุณอีกทีนะครับ ”





“ ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่วันนั้นคุณก็อยู่กับผู้ชายคนที่ผมเจอตอนอยู่คอนโด ”





“ อ๋อ เขาเป็นเพื่อนผมน่ะครับ ที่ว่าผมมาขอเขาอยู่ชั่วคราว ” ผมรีบตอบเพื่อไม่ให้เขาสงสัย





“ คนนั้นเจ้าของห้องสินะครับ ”





“ ใช่ครับ ” ผมหัวเราะแห้งๆ ให้เขาก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่อง “ แล้วนี่เดี๋ยวคุณจะไปไหนเหรอครับ ”





“ ผมว่าจะกลับคอนโดเลยครับ พอดีมีงานค้างนิดหน่อย ” ผมอือออในลำคอ ก่อนจะทำทีหันไปมองรอบๆ ร้าน แล้วมองไปยังโต๊ะของไอคุณชายด้วย แต่เมื่อมองไปก็พบว่าเจ้าตัวมองเขม็งมาก่อนอยู่แล้ว



เอือก



ผมลอบกลืนน้ำลายอีกครั้ง ก่อนจะหลบสายตามามองคนที่นั่งข้างๆ แทน





“ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ หน้าซีดๆ ”





“ มะ ไม่ได้เป็นอะไรครับ พอดีอากาศมันร้อนนิดหน่อย ”





“ ร้อน? ” อีกฝ่ายทำหน้างุนงงเมื่อได้ยินผมตอบ ผมขี้เกียจอธิบายต่อจึงขอตัวไปเข้าห้องน้ำซะเลย ผมรีบลุกขึ้นเดินราวกับคนที่มีชนักติดหลัง เมื่อหาทางไปห้องน้ำเจอแล้วก็ยิ่งรีบเดินเข้าไปอีก เมื่อเข้าไปถึงห้องน้ำแล้วก็รีบตรงไปที่อ่างน้ำมือ กวักน้ำขึ้นมาล้างหน้า เรียกความสดชื่นเข้าร่างกาย



“ เฮ้อ ค่อยยังชั่ว ” ผมมองหน้าตัวเองในกระจก ในหัวคิดถึงภาพที่ไอคุณชายจ้องมองมาเมื่อกี้ เหมือนคนกำลังจับผิดอะไรซักอย่าง แต่พอมาคิดๆ แล้วนี่ผมจะร้อนตัวทำไมฟระเนี่ย ตัวเองก็ไม่ได้ทำอะไรผิดซักหน่อย ทำไมต้องเกร็งเหมือนกับคนที่ถูกจับได้ว่าแอบทำอะไรผิดซักอย่าง ผมยกมือทึ้งผมตัวเองเบาๆ ทำไมเดี๋ยวนี้เวลาอยู่ต่อหน้าเขาทีไรผมไม่เป็นตัวของตัวเองเอาซะเลย



‘ นายกำลังชอบเขาเข้าให้แล้ว ’  อยู่ๆ คำพูดของคุณแดเนียลก็ผุดขึ้นในหัวอีกครั้ง ผมจึงรีบก้มตัวกวักน้ำขึ้นล้างหน้าตัวเองอีกครั้งเพื่อไล่ความหงุดหงิดออกไป



ผมเดินออกจากห้องน้ำ มองไปที่โต๊ะตัวเองแล้วเห็นคนคนเดิมยังนั่งอยู่ที่โต๊ะของผม จึงถอนหายใจก่อนจะเดินตรงเข้าไปด้วยท่าทางปกติ ไม่กล้ามองไปที่โต๊ะของไปคุณชายเลยจริงๆ อีกฝ่ายยิ้มให้เล็กน้อยเมื่อเห็นผมมานั่งที่โต๊ะ





“ ผมว่าจะถามหลายรอบแล้ว ขอเบอร์คุณหน่อยได้ไหมครับ ”







โปรดติดตามตอนต่อไป....



กรุ๊บกริ๊บกระชุ่มกระชวยหัวใจ อิอิ

ท่านชายเขาเริ่มรุกแล้วค่ะท่านนนน ฮิ้ววว


------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ปล. อย่าลอกงานเขียนน้า เพราะกว่าจะคิดพล็อตขึ้นมาได้ หัวแทบระเบิดเป็นโกโกครั้นช์บดละเอียด

เพราะฉะนั้นสงสารหนูโด้ยข่า

 :hao7:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 20!!! (20/1/64)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 21-01-2021 02:40:53
 :katai2-1:



เอาแล้วๆๆ
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 20!!! (20/1/64)
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 21-01-2021 20:25:59
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 20!!! (20/1/64)
เริ่มหัวข้อโดย: padthaiyen ที่ 31-01-2021 23:27:15
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 21!!! (23/2/64)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหมีวุ่นวาย ที่ 23-02-2021 11:50:48
ตอนที่ 21
" เหตุการณ์ไม่คาดฝัน "




ผมมองคนขอเบอร์นิ่งไม่ไหวติง ในใจรู้สึกถึงความปั่นป่วนข้างในยิ่งขึ้นเมื่ออีกฝ่ายยื่นมือถือของเขามาให้ ที่ปั่นป่วนไม่ใช่เขินหรืออายที่มีคนมาขอเบอร์หรืออะไรหรอกนะครับ แต่ผมแค่รู้สึกเสียวสันหลังเบาๆ เมื่อรับรู้ถึงสายตากดดันจากอีกโต๊ะไม่ใกล้ไม่ไกลกันพุ่งแรงมายังผม จนมือผมที่กำลังจะเอื้อมไปรับมือถือยังสั่นเล็กน้อยแต่ก็ไม่มีใครสังเกตเห็น นอกจากผมคนนี้ และอีกคน…



“ เอ่อ คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ หน้าซีดกว่าเดิมอีก ”



“ มะ ไม่เป็นไรครับ แต่เรื่องขอเบอร์… ”  ผมพยายามจะปฏิเสธอย่างสุภาพ



“ ไม่ต้องกังวลครับ ผมไม่โทรไปรบกวนแน่นอน ผมแค่อยากขอไว้เผื่อจะคุยกันเรื่องงานในอนาคตน่ะครับ และอีกอย่าง… ” คนตรงหน้าหยุดพูดแล้วยิ้มกว้างให้ “ เราเป็นเพื่อนข้างห้องกันนะครับ ถึงแม้คุณจะอยู่ไม่นาน แต่ผมก็อยากทำความรู้จักน่ะครับ ”



ผมหัวเราะฝืนๆ เมื่อเขาพูดถึงเพื่อนข้างห้องขึ้นมาอีก ถึงแม้ลำบากใจแน่ไหนก็ต้องยกนิ้วที่เหมือนอ่อนแรงกดเบอร์โทรให้เขาไป เพราะดูจากเจตนาแล้ว เขาน่าจะไม่มีอะไรน่าสงสัย และผมก็เกรงใจด้วยเพราะเขาขอมาขนาดนี้ จะให้ปฏิเสธก็ดูจะใจร้ายไปซักหน่อย หากต้องปฏิเสธเพราะความกังวลของผมเอง



“ ขอบคุณมากนะครับคุณรัก งั้นผมไม่รบกวนแล้วนะครับ คงต้องขอตัวก่อน ” แล้วคนที่ยิ้มอย่างมีความสุขเพราะได้เบอร์ของผมไปก็ลุกขึ้นแล้วบอกลาผมก่อนที่จะเดินจากไป ผมจึงนั่งกุมขมับ สายตาแอบมองลอดระหว่างแขนไปยังอีกโต๊ะ แต่ไอคุณชายไม่ได้มองมาแล้ว ผมจึงพอหายใจหายคอได้สะดวกยิ่งขึ้น



แล้วนี่สรุปทำไมกูต้องกลัวขนาดนี้ด้วยวะเนี่ย แฟนก็ไม่ใช่! (ทึ้งหัวหนักเข้าไปอีก)



ผมจึงเงยหน้าขึ้นมาพร้อมปั้นสีหน้าปกติเข้าไว้ แล้วมองไปรอบๆ ตรวจดูสถานการณ์เหมือนคนไม่ได้ทำอะไรผิด ก็ไม่ได้ทำอะไรผิดจริงๆ นิ! แค่คนมาขอเบอร์!!! แค่นั้นจริงๆ ไม่ได้มีอะไรในกอไผ่ เขาก็บอกอยู่ว่าต้องการคุยงาน



ระหว่างนั้นออเดอร์ที่ผมสั่งไว้ก็ถูกนำมาเสิร์ฟ ผมจึงก้มลงละเมียดละไมจานของหวานที่น่าเย้ายวนใจเหลือเกิน มือถือในกระเป๋าผมก็สั่นเล็กน้อย มีคนทักแชทมา ผมจึงหยิบขึ้นมาดู



‘ มีคนมาขอเบอร์แค่นี้ ดีใจจริงนะ ’   สายตาผมเลื่อนไปมองคนที่ทักมาช้าๆ มือถือในมือผมแทบร่วงเมื่อเห็นชื่อคนคนนั้น ผมเงยหน้าขึ้นมองโต๊ะนั้นอีกครั้ง แต่ไอคุณชายไม่อยู่แล้ว เอ๊ะ แล้วหายไปไหนเนี่ย มือถือผมสั่นอีกครั้ง ปรากฏเป็นข้อความของคนเดิม



‘ ฉันให้นายมาเฝ้า ไม่ใช่ให้นายมานั่งเล่น ’  ผมจึงลุกขึ้นมองไปรอบๆ เพื่อหาเจ้าตัว แต่ก็ไม่พบ จึงนั่งลงแล้วเลือกที่จะพิมพ์ถามแทน



‘ คุณอยู่ไหนครับ ’



‘ ข้างหลัง ’  พอเห็นว่าอยู่ไหนเท่านั้นแหละ หันคอแทบเคล็ด แล้วก็พบกับคนที่พิมพ์มาหาผมเมื่อกี้ยืนพิงกำแพงอยู่ข้างหลังห่างจากผมออกไปไม่กี่ก้าว อีกฝ่ายเก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกง เดินมาหาผมที่โต๊ะแล้วนั่งลง สายตาจ้องมองมานั่นทำให้ผมขนลุกเบาๆ



“ เอ่อ คุณไม่ไปนั่งกับเพื่อนแล้วเหรอครับ ” ผมเอ่ยถามอย่างเกร็งๆ เมื่อคนตรงหน้ามานั่งได้สักพัก



“ ลุกมาเข้าห้องน้ำน่ะ ”



“ อ่า ครับ ”  ผมเกาหัวแกรก ไม่รู้จะถามอะไรออกไปต่อดี เอาจริงๆ แล้ว ผมก็ตามอารมณ์คนตรงหน้าผมตอนนี้ไม่ถูกจริงๆ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย อย่างกับคนมีสภาวะอารมณ์ไม่คงที่ ดูอย่างตอนนี้สิ ก่อนหน้านี้ยังดีๆ อยู่เลย พอมาถึงตอนนี้ก็เหมือนผีเข้าซะอย่างนั้น รับมือยากจังแฮะ



“ ระวังตัวหน่อยก็ดีนะนายน่ะ ”



“ ผมก็ระวังให้คุณตลอดนะครับ ” พูดไปพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย นอกจากอู้งานคราวนั้นครั้งเดียว ผมไปอู้ที่ไหนให้เขาเห็นอีกละเนี่ย



“ ฉันหมายถึงตัวนายน่ะ ระวังตัวหน่อย ”



“ เดี๋ยวๆ ผมงง คุณหมายถึงอะไร ”



“ ไม่เห็นเหรอว่าใครนั่งมองอยู่ ยังมัวแต่หัวร่อต่อกระซิกกับคนอื่นอยู่ได้ ” อีกฝ่ายพูดเสียงสะบัดเล็กน้อย สีหน้าไม่พอใจ หรือว่าเขาจะหมายถึงคนที่ชื่อนนท์เมื่อกี้?



“ ผมไม่ได้ทำแบบนั้นซะหน่อย ก็เราบังเอิญเจอกันนี่ครับ จะให้ผมเสียมารยาทหรือไงกันล่ะ ”



“ ก็นั่นแหละ แต่ก็ให้มันพอดีๆ เมื่อกี้ยังจะให้เบอร์เขาไปอีก ”



“ อ้าว ก็เขาขอเพื่อจะคุยงาน ผมก็เลยให้ไปน่ะครับ ”



“ ก็ให้คนดูงานเขาคุยไปสิ หน้าที่นายคือดูแลฉันนี่ ” เมื่อได้ฟังแบบนี้แล้ว ผมจึงไม่รู้จะเถียงยังไง ถึงเถียงไปเขาก็ต้องเถียงกลับอยู่ดี คงไม่จบล่ะวันนี้ ผมจึงปลงใจ พยักหน้ารับเบาๆ ตอบรับไป เมื่อเห็นผมไม่มีท่าทีจะพูดอะไรต่อ ไอคุณชายจึงลุกขึ้นเพื่อจะเดินกลับไปที่โต๊ะ แต่ก่อนออกไปเขาก็หันกลับมา ก้มตัวลงมาใกล้ๆ หน้าผมแล้วกระซิบเบาๆ



“ ถ้ามีครั้งหน้าอีก ฉันจะลงโทษ นายคงรู้นะว่า ‘ลงโทษ’ ของฉันน่ะ คือยังไง ” พูดแล้วเจ้าตัวก็ยืดตัวขึ้นอีกครั้ง ก้มลงมองผมและส่งยิ้มหวานให้ แต่ไม่รู้ในความคิดของผมมันคือการแสยะยิ้ม จากนั้นก็เดินจากไป ทิ้งให้ผมผู้ที่ซึ่งร่างกายหยุดทำงานไปพร้อมกับคำว่า ‘ลงโทษ’ ของเขาไปแล้ว คิดถึงสัมผัสแนบชิดที่เราเพิ่งจะ…



ปุ๊ง! หน้าระเบิด!!!!









“ นายเตรียมตัวให้เรียบร้อยน่ะ แล้วรีบออกเลย ฉันอยากจะไปเช็คหน้างานนิดหน่อย ก่อนงานจะเริ่ม ” เจ้าของห้องผู้ซึ่งกำลังผูกไทด์อยู่หน้ากระจกใหญ่เอ่ยขึ้น ขณะที่ผมกำลังวิ่งวุ่นกับการเตรียมเอกสารของเจ้าตัว สคริปต์ทั้งหลายแหล่เก็บใส่กระเป๋าเอกสาร และจ้องมองดูตัวเองหน้ากระจกในห้องนอนเพื่อสำรวจความเรียบร้อยอีกครั้ง ก่อนจะหิ้วทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับงานสำคัญที่กำลังจะมาถึงในไม่กี่ชั่วโมงนี้



ใช้แล้วครับ วันนี้เป็นวันเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของโอฬาร กรุ๊ป และยังเป็นงานเปิดตัวทายาทของตระกูลโอฬารวิจิตรรัศมิ์อย่างไอคุณชายนี่ด้วย



งานนี้เจ้าตัวได้เชิญผู้คนใหญ่ๆ มากมาย ไม่ว่าจะระดับผู้บริหาร ดารานักแสดง หรือแม้กระทั่งผู้บริโภคทั่วไปก็สามารถเข้างานได้เช่นกัน โดยการโหลดแอพลิเคชั่นของโอฬาร กรุ๊ปที่มีชื่อเรียกว่าออลลี่ แล้วลงทะเบียนในนั้นเพื่อนำคิวอาร์โค้ด* มาสแกนที่หน้างานจึงจะสามารถเข้างานได้ ซึ่งเป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่าผู้คนสนใจอย่างล้นหลาม (ผมก็ไม่แน่ใจว่าเขาสนใจมาดูผลิตภัณฑ์หรือสนใจมาดูตัวคนกันแน่)



แต่งานนี้ผมบอกได้เลยครับว่ายิ่งใหญ่พอควร เพราะทายาทอย่างคุณชายที่ไม่เคยเปิดตัวที่ไหนมาก่อน และนักข่าวสำนักต่างๆ ก็ไม่สามารถเข้าถึงเจ้าตัวได้ กำลังจะมาเผยโฉมให้ผู้คนได้เห็น และได้สัมภาษณ์เป็นครั้งแรกในงานนี้ ทำให้สื่อสังคมให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ขนาดผมเองก็อดตื่นเต้นไม่ได้เหมือนกัน อีกส่วนหนึ่งก็คือกังวลด้วย เพราะไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าจะเกิดเหตุร้ายอะไรหรือไม่



ผมเปิดประตูห้องออกมา เดินตรงไปที่ลิฟต์ซึ่งมาพอดี เดินเข้าไปพร้อมกดปุ่มชั้น G ตามด้วยไอคุณชายที่อยู่ในสภาพเต็มยศตั้งแต่หัวจรดเท้า เนี๊ยบขนาดที่ว่าด้ายเส้นหนึ่งยังไม่มีหลุดเลยทีเดียว เดินเข้ามาในลิฟต์ด้วยท่าทางที่มั่นใจระดับล้าน ผมแอบเหล่ตามองด้วยความหมั่นไส้ไม่ได้จริงๆ แต่คนถูกเหล่มองก็เหมือนรับรู้ถึงสายตาของผม ยังมองกลับมาแล้วยักคิ้วให้อีกด้วย ผมจึงมองบนด้วยความระอาใจ



ใครน้อ ช่างให้ความสนใจไอคนหลงตัวเองนี่จริง



ผมเดินมาที่ลานจอดรถ ตรงไปยังที่จอดรถประจำ รถสัญชาติยุโรปสีดำมันปลาบซึ่งผมเพิ่งจะไปล้างให้เมื่อวานจอดอยู่เด่นหรากลางชั้น มองไปรอบๆ รถพร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อย ในใจรู้สึกแปลกยังไงชอบกล ผมจำได้ว่าเมื่อวานคลุมหน้ารถเอาไว้เพื่อกันฝุ่น แต่ทำไมวันนี้มันกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย ปกติก็ไม่เคยคลุมไว้หรอก แต่เมื่อวานผมนึกยังไงก็ไม่รู้คว้าผ้าคลุมจากท้ายรถมาคลุมเอาไว้ กลัวรถสกปรก



หรือผมจะจำผิด?



หรือมันปลิวหายไป?



ผมเกาหัวแกรกๆ ด้วยความงงระคนสงสัย



“ มีอะไรหรือไง ทำไมไม่ขึ้นรถ ” เจ้าของรถชะโงกหน้าออกมาทางกระจกเอ่ยถามผม หลังจากที่เห็นผมยืนงงอยู่ข้างๆ ฝั่งคนขับ



“ เปล่าครับ ผมแค่สงสัยนิดหน่อย แต่ไม่มีอะไรแล้วครับ ” ผมเปิดประตูข้างรถ พาตัวเองเข้าไปนั่งหน้าพวงมาลัย ก่อนจะสตาร์ทรถ แล้วขับลงไปตามปกติ



ขณะที่รถยนต์เคลื่อนออกไปจนสุดสายตา มีร่างๆ หนึ่งที่เดินออกมาจากมุมข้างๆ รถยนต์ที่จอดอยู่ไม่ไกลกัน จ้องมองด้วยสายตาที่ไร้ความรู้สึก แต่หากมองเข้าไปดีๆ แล้วนั้น จะเห็นความแค้นที่อัดแน่นอยู่ภายใน รอวันปะทุ ซึ่งก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเมื่อไหร่…จะถึงเวลานั้น


แต่บางทีนี่อาจถึงเวลานั้นแล้วก็เป็นได้...








ผมขับรถออกมาจากคอนโดไปได้สักพัก ผมฮัมเพลงที่ดังออกมาจากลำโพงรถเบาๆ เพื่อทำให้ตัวเองรู้สึกผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย จากอาการตื่นเต้นที่ทำให้ผมวอกแวกได้ง่ายเหลือเกิน ตามองไปทางกระจกหลัง ก็เห็นรถคันหนึ่งกำลังขับจี้อยู่ แล้วเลื่อนมามองหน้าปัดที่มีเข็มบ่งบอกถึงความเร็วของการขับก็เห็นว่ายังแตะไม่ถึง 60 เลย จึงเร่งเครื่องขึ้นช้าๆ ดีที่ว่าข้างหน้ารถโล่งคงเป็นเพราะยังเช้าอยู่มาก จึงไม่จำเป็นต้องผ่อนความเร็ว แต่ถึงอย่างนั้นแล้ว รถคันที่จี้ผมอยู่ข้างหลังก็แฉลบเข้าช่องไหล่ทางซ้าย แล้วแซงผมไปอย่างรวดเร็ว ทั้งๆ ที่มีอยู่แค่เลนเดียว ผมจึงก่นด่ามันอยู่ในใจ รีบไปตายเหรอไอน้องงง



ผมขับตามทางเรื่อยๆ ด้วยความเร็วที่เร่งขึ้นแตะเลขร้อยเลยไปนิดหนึ่ง มองไปยังกระจกหลังก็เห็นไอคุณชายคุยโทรศัพท์อยู่กับใครก็ไม่รู้ แต่ที่รู้น่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับงานวันนี้แน่ เพราะคิ้วขมวดวุ่นเชียว ผมจึงขำออกมาเล็กน้อย จนสายตาเลื่อนกลับมาที่ข้างหน้าเหมือนเดิม แต่ทันใดนั้น



“ เชี่ยยยยย ” ผมตกใจร้องออกมา เมื่อเห็นหมาสีน้ำตาลตัวหนึ่งไม่ไกลจากจุดที่ผมขับอยู่กำลังเดินข้ามถนนด้วยท่าทางละล้าละหลัง เพราะกลัวรถที่กำลังขับผ่าน ซึ่งตอนนั้นฝั่งที่ผมขับอยู่มีแค่รถผมคันเดียว แต่ดูท่าทางมันเหมือนจะวิ่งออกมา ผมจึงรีบเบรกด้วยความตกใจ แต่สิ่งที่ยิ่งตกใจมากกว่านั้นคือ



ความเร็วไม่ลดลงเลย!!!



“ เกิดอะไรขึ้น ” ไอคุณชายตะโกนถามหลังจากที่ผมร้องออกมาด้วยความตกใจ ผมที่ยังคงตกใจเรื่องหมา ซ้ำยังมาตกใจที่เบรกไม่ทำงานอีก ไม่มีคำพูดออกมาจากปากผม แต่มือที่กำพวงมาลัยอยู่เริ่มชื้นจากเหงื่อ พยายามจับทิศทางของหมาตัวนั้น แต่ถึงอย่างนั้นแล้วก็ทำได้ยาก เพราะหมาวิ่งมากลางทาง แล้วก็เหมือนจะถอยไปเหมือนเดิม



“ หักซ้ายๆ ลงข้างทาง!!! ” คนที่นั่งอยู่ข้างหลังตะโกนขึ้นเมื่อเห็นหมาตัวนั้นที่วิ่งกลับไปที่เดิม วิ่งมากลางทางอีกครั้ง ด้วยความกระชั้นชิดผมพยายามคุมสติแล้วหักซ้ายให้รถลงไปยังข้างทางที่มีหญ้าขึ้นเต็มพื้นที่ และพื้นเป็นดินแดงที่เปียกกลายเป็นโคลนจากฝนที่ตกเมื่อคืน มือจับพวงมาลัยแน่นไม่ให้หลุด เพราะไม่อย่างนั้นรถลอยคว้างแน่นอน ก่อนที่รถจะไถลไปตามข้างทาง และเริ่มผ่อนลงเนื่องจากดินโคลน สายตาผมพร่ามัวเพราะทุกอย่างมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วโดยที่ตัวผมไม่สามารถโฟกัสจับจุดได้ แต่อยู่ๆ รถที่กำลังชะลอความเร็วลงก็ไปชนอะไรซักอย่างอย่างแรง หัวผมถูกกระแทกด้วยด้วยของแข็ง จนผมรู้สึกชาไปทั้งศีรษะ และสติของผมที่หลุดลอยไปช้าๆ สิ่งสุดท้ายที่สัมผัสได้คือเสียงไอคุณชายที่ตะโกนมาจากด้านหลัง



“ รัก!!! ”



จากนั้นผมก็ไม่รู้สึกอะไรอีกเลย








ณ บ้านตระกูลโอฬารวิจิตรรัศมิ์



“ คุณ ทำไมลูกยังไม่โทรมาเลยล่ะ ไหนเมื่อวานคุณบอกว่าลูกบอกจะโทรมาบอกตอนจะออกจากคอนโด ” เสียงหญิงสาวผู้เป็นมารดาเอ่ยขึ้นถามสามีซึ่งกำลังจะก้าวขึ้นรถที่คนขับรถขับออกมาจอดที่หน้าประตูบ้าน



“ นั่นสิ ผมก็ลืมไปเลย เดี๋ยวลองโทรตามดูก่อน ” ชายวัยกลางคนหยิบโทรศัพท์มือถือที่ใส่อยู่ในกระเป๋าเอกสารขึ้นมา แล้วกดโทรออก เสียงสัญญาณดังอยู่นาน แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครรับ เขาจึงกดวาง หันหน้ามาทางภรรยาที่ยืนอยู่ข้างๆ



“ ลูกไม่รับ ” หญิงสาวได้ยินเช่นนั้น สีหน้าเริ่มวิตกกังวล ในใจก็ร้อนรน กลัวเกิดเหตุร้ายแรงกับลูกชายเหมือนเมื่อครั้งที่ผ่านมา



“ โทรอีกครั้งได้ไหม ฉันใจไม่ดีเลย ” น้ำเสียงสั่นเล็กน้อย ชายผู้เป็นสามีจึงกุมมือบอบบางนั้นไว้เบาๆ ก่อนจะยกมือถือขึ้นมากดโทรออกอีกครั้งด้วยในใจที่กังวลไม่ต่างกัน และอีกครั้งที่สัญญาณตัดไปโดยที่ไม่มีคนรับเหมือนเดิม



“ เนตรเป็นอะไรหรือเปล่านะคุณ หรือลูกจะลืมมือถือไว้ที่ห้อง ” สามีส่ายหัวช้า ด้วยรู้จักลูกชายดี ว่าลูกไม่มีทางลืมแน่ๆ เพราะที่ผ่านมาเจ้าตัวไม่เคยลืมของสำคัญก่อนออกจากบ้านเลยซักครั้ง มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะลืมสิ่งของที่สำคัญขนาดนั้นในวันงานแบบนี้ด้วย


เมื่อภรรยาเห็นแบบนั้น น้ำตาเริ่มคลอเบ้าช้าๆ ในใจห่วงลูกเหลือคณานับ ได้แต่มองร่างสูงข้างกายที่กดโทรครั้งแล้วครั้งเล่า คิดไปต่างๆ นาๆ ถึงเหตุการณ์ร้ายแรงที่อาจะเกิดกับลูกชายของตน แล้วยิ่งสะอื้นหนัก


“ คุณ ผมโทรหาบอดี้การ์ดของลูกก็ไม่ติดเหมือนกัน เลขาของผมก็บอกว่าติดต่อไม่ได้ ผมว่าเดี๋ยวจะโทรหาชัชก่อน ”  'ชัช' หรือ 'ชัชวาล' ผู้กำกับสถานีตำรวจ...ซึ่งเป็นคนสนิทของเขาเอง เขาเอ่ยพูดกับภรรยาของตัวเองท่าทางร้อนรน หันไปบอกคนขับรถให้ออกรถทันที ตัวเองจึงดึงภรรยาที่กำลังขวัญเสียเข้าไปนั่งในรถด้วยกัน หลังจากนั้นรถก็ทะยานออกสู่ถนนด้วยความเร็ว



ก่อนที่มือใหญ่จะกดโทรออกอีกครั้ง เสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้นบ่งบอกว่ามีคนโทรเข้ามาซะก่อน เขามองเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่คุ้นตา หันไปมองภรรยาของตนด้วยความแปลกใจ แต่ก็กดรับ



“ สวัสดีครับ ”



“ สวัสดีครับ คุณผาภูมิใช่ไหมครับ ”   เสียงปลายสายเอ่ยชื่อซึ่งเป็นชื่อเดียวกันกับตน จึงเอ่ยถามกลับไป



“ ใช่ครับ ”



“ ผมรับเรื่องมาจากผู้กำกับชัชวาลนะครับ ที่กำลังตามเรื่องคดีของลูกชายคุณน่ะครับ ”



“ ครับ มีความคืบหน้าบ้างไหมครับ ” เขารีบตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว เมื่อรู้ว่าปลายสายคือใคร



“ ผมจะแจ้งกับคุณผาภูมิว่า เราจับตัวคนร้ายที่ขับชนรถของลูกชายคุณได้แล้วนะครับ วันนี้ช่วงบ่ายๆ คุณพอจะมีเวลาเข้ามาที่สถานีตำรวจ…ซักหน่อยไหมครับ จะได้มาดูตัวคนร้ายครับ ”  เขาดีใจอย่างมากเมื่อได้ยินข่าวดีของวัน บีบมือภรรยาที่อยู่ในอุ้งมือเบาๆ แต่ถึงอย่างนั้น เขาดูนาฬิกาข้อมือตัวเอง ในใจพลันเกิดความยุ่งยากขึ้นเล็กน้อย เนื่องด้วยวันนี้เป็นงานเปิดตัวของบริษัทเขา ซึ่งเขาจะพลาดไม่ได้ แถมตอนนี้ยังติดต่อลูกชายของตนไม่ได้ ทั้งๆ ที่งานกำลังจะถึงเวลาในไม่กี่ชั่วโมงนี้แล้ว



“ ผมยังไม่แน่ใจว่างานจะเสร็จเมื่อไหร่ แต่ผมจะเข้าไปให้เร็วที่สุดครับ ” เขาเอ่ยกับคนปลายสายสองสามประโยคก่อนจะวางสายไป



“ คุณตำรวจโทรมาเหรอคะ ” ดาริกาเอ่ยกับผู้เป็นสามี เมื่อเห็นเขาวางสายจากคนปลายสาย



“ ใช่ คนของชัชเขาเจอคนร้ายที่ทำร้ายลูกเราได้แล้ว ” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นด้วยความดีใจอย่างที่สายตาปกปิดไม่มิด หลังจากความพยายามอย่างหนักมาสองสามเดือนนี้ อย่างน้อยสวรรค์ก็ยังเมตตาเขาให้เขาสามารถพบเจอเบาะแสของคนร้าย ในใจนึกถึงบิดาของเขาด้วยความหวังว่าหลังจากนี้เขาจะสามารถชีวิตได้อย่างโล่งใจมากขึ้น



“ จริงเหรอคะ ดีจริงๆ เราจะได้ไม่ต้องระแวงกันอีกแล้ว ”



“ แต่ตอนนี้เรายังต้องโทรหาลูกให้ติดก่อน เมื่อกี้ผมก็ลืมบอกคนของชัชคนนั้นไปเลย มัวแต่ดีใจ ” เขายกมือถือจะกดโทรเข้าเบอร์ที่โทรเข้ามาสายล่าสุดอีกครั้ง แต่หน้าจอก็ปรากฎขึ้นว่ามีสายเรียกเข้า เป็นชื่อที่เขากำลังร้อนใจโทรหาอยู่ตอนนี้



“ คุณ ลูกโทรกลับมาแล้ว! ” คราวนี้เขาโล่งใจอย่างเต็มที่ที่สามารถติดต่อคนที่เขาเป็นห่วงที่สุดได้แล้ว มือใหญ่รีบกดรับ แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไร ปลายสายก็พูดแทรกมาก่อน และน้ำเสียงร้อนรนนั้น เขาก็จับใจความได้และทำให้ยิ่งตระหนกตกใจทันที



“ ว่าอะไรนะ!!! ” เขาตะโกนอย่างดังจนทำให้ภรรยาที่นั่งอยู่ข้างๆ ตกใจตามไปด้วย เห็นท่าทางของสามีก็สามารถเดาได้ว่าจะต้องเกิดเรื่องร้ายแรงกับคนปลายสายเป็นแน่ มือที่คลายออกจากมือใหญ่ ประสานกันแน่นด้วยความกังวล สีหน้าเคร่งเครียดของผาภูมิ สามีเธอทำให้เธอเริ่มเสียขวัญอีกครั้ง



“ ลูกอยู่ตรงนั้นก่อนนะ ไม่ต้องกังวล พยายามเอาเขาออกจากรถให้เบาที่สุด เดี๋ยวพ่อจะรีบตามไปให้เร็วที่สุด ” ปลายสายพูดอะไรซักอย่างจากนั้นก็วางสายไป



“ ลูกเป็นอะไรคะคุณ! ”



“ คุณใจเย็นๆ อุบัติเหตุ ลูกไม่ได้เป็นอะไร แค่บาดเจ็บนิดหน่อย แต่พนักงานที่ชื่อ รัก คนที่ทำงานให้ลูกเราบาดเจ็บหมดสติไป แต่ลูกเราโทรแจ้งความเรียบร้อย เดี๋ยวเขาก็รีบไปช่วย ” น้ำเสียงทุ่มเอ่ยกับผู้เป็นภรรยาอย่างคร่าวๆ แล้วหันไปสั่งคนขับรถให้ไปยังที่เกิดเหตุที่ไม่ไกลจากคอนโดลูกของเขามากนัก


ขออย่าให้เป็นอะไรเลยนะ ขอให้สวรรค์เมตตาอีกซักครั้งเถอะ



หญิงสาวอธิษฐานขอพรในใจ




โปรดติดตามตอนต่อไป....



แงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง ToT

 :sad4:    :o12:


หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 21!!! (23/2/64)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 23-02-2021 23:29:40
 :hao5:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 22!!! (12/3/64)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหมีวุ่นวาย ที่ 12-03-2021 11:11:14
ตอนที่ 22
" ฉันยังไม่ได้บอกนายเลยว่า... "





“ ผมซึ่งอยู่ในฐานะเจ้าภาพของงาน และเป็นประธานของบริษัท กับลูกชายของผมก็ต้องขอขอบคุณทุกๆ ท่านที่เป็นเกียรติมาร่วมงานเปิดตัวสินค้าใหม่ของเราในวันนี้ ขอให้ทุกท่านสนุกกับกิจกรรมที่เราจัดขึ้นนะครับ ขอบคุณครับ ” คุณผาภูมิ และเนตรนภิศผู้เป็นลูกชายที่ยินอยู่ข้างๆ ก้มหัวเล็กน้อยให้กับแขกทุกๆ คนที่อยู่ด้านล่าง ทั้งสองเดินลงจากเวทีด้วยท่วงท่าภูมิฐาน ส่งหน้าที่ต่อให้กับพิธีกรและดารารับเชิญที่ยังคงต้องพูดสคริปต์ของตัวเองบนเวทีต่อ



“ พ่อครับ ผมขอตัวไปดูรักที่โรงพยาบาลได้ไหมครับ ” คนเป็นลูกชายเอ่ยถามบิดาทันที่เดินลงมาถึงด้านล่างที่ปูด้วยพรม ผาภูมิยกมือมองนาฬิกา เมื่อเห็นว่างานสำคัญในวันนี้กำลังจะจบลงในไม่ช้านี้แล้ว และลูกชายของตนก็ไม่มีหน้าที่อะไรในงานนี้แล้ว เลขาของเขาก็อยู่ช่วยอีกแรงหนึ่ง จึงพยักหน้าอนุญาต แต่ก็ยังมิวายเป็นห่วง



“ เดี๋ยวให้คนขับรถพาลูกไปนะ พ่อไม่ไว้ในสถานการณ์ตอนนี้ เมื่อกี้คนของอาชัชเขาโทรมาบอกพ่อว่าจะมาสอบปากคำกับลูกที่โรงพยาบาลเลย เดี๋ยวพ่อกับแม่จะตามไปสมทบทีหลัง ” บิดาพูดจบ ยกมือขึ้นมาตบบ่าร่างสูงตรงหน้าเบา สีหน้าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดกับลูกชายตนเมื่อเช้าก่อนที่จะเริ่มงานเปิดตัวสำคัญ



พอได้ยินลูกชายตัวเองพูดผ่านสายมา เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาจึงไม่รอช้ารีบสั่งให้คนขับรถพาไปยังที่เกิดเหตุ มือใหญ่กุมมือบอบบางของภรรยาตัวเองแน่นไปตลอดทาง เพื่อหวังให้ลูกชายและคนสนิทนั้นแคล้วคลาดปลอดภัย ถึงแม้ในใจจะวิตกไปแล้วก็ตาม



เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุ เขาก็พบกับรถของเจ้าหน้าที่มาถึงแล้ว จอดอยู่ข้างทางตรงหน้าจุดเกิดเหตุ เขาจึงรีบออกมาหาคนเจ็บ ก็พบว่าได้รับการปฐมพยาบาลเรียบร้อยแล้ว ลูกชายเขาไม่เป็นอะไรมาก แค่มีบาดแผลฟกช้ำเล็กน้อยตามร่างกาย และมีอาการเคล็ดขัดยอกนิดหน่อย เพราะเนตรเล่าให้ฟังว่าตอนที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็รีบดึงเข็มขัดนิรภัยขึ้นมาคาดทันที และรีบตะโกนให้รักซึ่งเป็นคนขับให้หักลงข้างทาง



โชคดีที่รักเองก็มีสติเช่นกัน พยายามจับพวงมาลัยให้แน่น เพื่อไม่ให้รถเสียการทรงตัว หากไม่อย่างนั้นแล้วคงอาจจะเกิดเหตุรุนแรงมากกว่านี้ก็เป็นได้ แต่เจ้าตัวที่เป็นคนขับกลับหมดสติทันทีที่รถได้รับการกระแทกจากหลักกิโลที่ตั้งอยู่ตรงนั้นพอดี ได้รับบาดเจ็บบริเวณศีรษะ ซึ่งยังไม่สามารถประเมินได้ว่าได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใด จึงรีบนำตัวเขาส่งโรงพยาบาลใกล้เคียงให้เร็วที่สุด



เมื่อร่างของบอดี้การ์ดของลูกชายถูกนำตัวไปแล้ว ตำรวจก็มาถึงพอดี ถามไถ่เล็กน้อยเบื้องต้น ก่อนที่เขา ภรรยาและลูกชายจะรีบมางานเปิดตัวที่สำคัญในวันนี้ ด้วยความฉุกละหุก พวกเขาจึงไปงานสายกว่าที่คาดเล็กน้อย แต่ก็โชคดีอีกที่พิธีกรรายการมีไหวพริบดี สามารถพูดคุยถ่วงเวลากับแขกไปให้ก่อน เมื่อเขาไปถึง จึงถึงคิวเขาขึ้นเวทีพอดี



โชคดีที่ไม่มีใครเป็นอะไรมาก แต่ก็ไม่มีใครการันตีได้ว่าจะไม่เกิดเหตุขึ้นซ้ำอีก เขาจึงขอแรงจากผู้กำกับชัชวาลที่สนิทกัน ส่งคนมาดูแลความปลอดภัยให้ทั้งที่บ้านและที่คอนโดของลูกชายเขาอย่างลับๆ ลำพังบอดี้การ์ดคนเดียว คงเสี่ยงเกินไป แถมเจ้าตัวยังต้องมาเจ็บตัวขนาดนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นหน้าที่ แต่ด้วยฐานะที่เป็นศิษย์ของอาจารย์ที่เขาเคารพ และด้วยความเอ็นดู จึงทำให้เขารู้สึกผิดไม่ได้ จึงปรึกษากับภรรยาเป็นบ่อเกิดของการเพิ่มกำลังตรวจตราในครั้งนี้



ตอนนี้เริ่มมีความหวัง เพราะคนของผู้กำกับคนสนิทสามารถจับตัวคนร้ายได้แล้ว กำลังสาวถึงคนเบื้องหลัง ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีคำสารภาพใดออกจากปาก แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย








ผู้ที่เพิ่งมาถึงห้องพักคนไข้ยืนจ้องมองร่างสมส่วนที่นอนราบอยู่เตียงนอนด้วยความสงบ เห็นรอยฟกช้ำประปรายที่เกิดจากอุบัติเหตุบนใบหน้า เขาขมวดคิ้วมุ่นด้วยความครุ่นโกรธ นึกไปถึงคนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องอันวุ่นวายนี้ ลากคนที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรมาบาดเจ็บหลายครั้งหลายครา เขาไม่เข้าใจว่าต้นเหตุคืออะไร และใครที่เป็นผู้ก่อเหตุทั้งหมดนี้ และทำไปเพื่ออะไร ถึงแม้จะเพิ่งกลับมาได้แค่เกือบครึ่งปี แต่เขาไม่เคยทำอะไรที่ไปขัดขาใครเขา ทำงานบนพื้นฐานความถูกต้อง และไม่เคยกดขี่หรือเอาเปรียบใคร เพราะฉะนั้นเขาเลยไม่เข้าใจว่าคนที่ทำเรื่องแบบนี้ต้องการอะไรกับคนอย่างเขากัน



เขาถอนหายใจหนัก มือข้างหนึ่งยกขึ้นไปเกลี่ยเส้นผมที่ปรกอยู่บนใบหน้าของคนเจ็บขึ้นอย่างแผ่วเบา ลูบแก้มตรงบริเวณที่มีรอยแผลเบาๆ ในใจเกิดความรู้สึกอยากมียาวิเศษที่สามารถทาแล้วหายเจ็บได้โดยพลัน ไม่อยากให้คนที่ตัวเองเป็นห่วงนั้นเจ็บมากไปกว่านี้ ตั้งแต่มาทำงานกับเขา เจ้าตัวต้องเสี่ยงกี่ครั้งแล้วเพื่อช่วยเหลือเขา ต้องทุ่มเทขนาดไหนที่จะปกป้องเขาให้พ้นจากภัยอันตราย ทั้งๆ ที่ตัวก็เล็กกว่าเขา แต่ไม่รู้ทำไมใจถึงได้ใหญ่ขนาดที่เขาแพ้ไปเลย



ความรู้สึกที่ล้นออกมาจากใจ เป็นตัวผลักดันให้เขาก้มตัวลง ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ร่างที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง จากนั้นก็หยิบยื่นสัมผัสอันแผ่วเบาบริเวณหน้าผากเนียน ถ่ายทอดความรู้สึกอยู่ภายในผ่านสัมผัสใกล้ชิดนั้น โดยที่ร่างที่นอนไร้สติไม่รู้เลยว่า บัดนี้คนที่เขาคอยปกป้องนั้นเป็นห่วงตัวเองมากขนาดไหน



รีบๆ ตื่นขึ้นมาซักทีสิ…รัก










“ แสดงว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำของใครบางคนที่ไม่ประสงค์ดีเหรอครับ ”



“ ใช่ครับคุณเนตร ทางเรามีการตรวจสอบรถยนต์ที่เกิดเหตุของคุณเนตรแล้วนะครับ ทำให้ทราบว่าสายเบรคถูกตัด เราจึงกำลังจะขออนุญาตทางคอนโดเพื่อตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณที่จอดรถชั้นนั้นครับ ” ชายร่างสมส่วนในเครื่องแบบสีกากียื่นกระดาษที่มีรูปถ่ายบริเวณส่วนสายเบรคที่ถูกตัดไปให้เขาดู มือขาวรับไป มองภาพนั้นพร้อมครุ่นคิดบางอย่าง



“ คุณพ่อผมบอกไว้ว่าคุณเจอคนร้ายที่ทำร้ายผมเมื่อครั้งที่แล้วใช่ไหมครับ ” เขาเงยหน้าเอ่ยถามเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งเป็นคนของอาชัชวาล ผู้กำกับคนสนิทของพ่อเขา และผู้ช่วยอีกคนหนึ่งที่ดูแลคดีของเขาอยู่



“ ใช่ครับ เราสืบไปจนสามารถตามตัวเขาได้ แล้วก็เป็นอย่างที่ผมคาดจริงๆ ครับ ว่าเหตุการณ์ครั้งนั้น มีคนอยู่เบื้องหลังครับ เพราะคนขับรถเขาสารภาพ แต่ยังไม่ยอมบอกว่าใคร ” สีหน้าหนักใจของคุณตำรวจถูกเผยให้เขาเห็น ยามที่นึกถึงคนร้าย ส่อเค้าความยากลำบากขึ้นเล็กน้อย เมื่อเขายังไม่สามารถไล่ตามคนที่อยู่เบื้องหลังได้ และยังไม่รู้ชัดถึงแรงจูงใจที่ได้ก่อเหตุร้ายแรงนี้ รู้แต่เพียงแค่ว่าคนร้ายที่ตอนนี้จับได้แล้วนั้น ถูกจ้างมาอีกทอดหนึ่ง และกำลังอยู่ในช่วงหนีกบดานอยู่ แต่ด้วยความพยายามของทีมเขา และการสืบพยานทั้งหลายก็สามารถไล่ตามจับได้ในที่สุด



“ แต่ในเมื่อคนร้ายถูกจับตัวได้แล้ว ประจวบพอดีกับผมเกิดเหตุ เป็นไปได้ไหมครับว่าครั้งนี้จะเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังเป็นคนกระทำเองแทน ” เขาพูดสิ่งที่อยู่ในความคิดของเขา พยายามนึกถึงความเป็นไปได้ของคนรอบตัวที่มีความแค้นกับครอบครัวเขาและตัวเขาเองมาก่อน



“ มีความเป็นไปได้ครับ แต่เขาก็อาจจะส่งคนมาเพิ่มก็เป็นได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นเราก็ต้องทำการสืบสวนต่อไปครับ ว่าสองเหตุการณ์นี้มีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่ ” คนสวมชุดเครื่องแบบหยุดพูดพักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อ “ ไม่ทราบว่าคุณเนตรต้องการคนดูแลความปลอดภัยเพิ่มเติมไหมครับ ” เจ้าของชื่อได้ยินดังนั้นก็เงียบไปครู่หนึ่ง ใช้ความคิด ก่อนจะตัดสินใจตกบางอย่าง



“ ไม่เป็นไรครับ ผมอยากจะให้แน่ใจว่าคนร้ายจะต้องกลับมาก่อเหตุอีกแน่นอน ผมอยากกลับมาใช้ชีวิตปกติให้เขาเห็น รอให้เขาเผยตัวออกมา ” ดวงตาหวานส่งสายตาหมายมั่นในบางสิ่ง พูดประโยคต่อไปด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นที่ทำให้คนฟังแอบขนลุกไม่ได้



และเมื่อถึงตอนนั้น…ผมจะเป็นคนจับเขาเอง











ราวกับเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า



ผมรู้สึกว่าตัวเองอยู่ที่สถานที่หนึ่งที่ปกคลุมไปด้วยความมืดมิด ตัวผมลอยเคว้งอยู่กลางอากาศที่ผมบอกไม่ถูกว่าเป็นอย่างไร รู้แต่ว่าร่างกายไม่สามารถขยับได้อย่างใจนึก และที่สำคัญผมมองไม่เห็นอะไรเลยซักอย่าง เหมือนผมถูกขังไว้ยังที่ที่ไม่มีแสงสว่างตกถึงเลย



เราตายแล้วอย่างนั้นเหรอ?



ผมคิดในใจเบาๆ แต่สิ่งที่ผมคิดกลับดังสะท้อนอยู่รอบตัวผม ทั้งๆ ที่ผมไม่ได้เอ่ยพูดอะไร และขณะที่ผมกำลังต่อสู้กับตัวเองในความคิดนั้น โสตประสาทผมกลับได้ยินเสียงเสียงหนึ่ง ซึ่งน่าแปลกที่ใจผมเต้นตึกตักอย่างกับคนที่คุ้นเคยและรอคอยเจ้าของเสียงนี้มาตลอด



‘ รัก นายได้ยินฉันไหม ’



ได้ยินสิ ชัดเต็มหูเลยล่ะ



‘ นายรีบๆ ตื่นมาซักทีสิ ’



ผมหลับอยู่อย่างนั้นเหรอ?



‘ ฉันยังไม่ได้บอกนายเลยนะว่าฉันรู้สึกยังไงกับนาย ’



ตึก ตึก ตึก ตึก
หัวใจผมเต้นแรงขึ้น ตอบรับคำพูดประโยคนั้น



' ฉันน่ะ…. ’



และที่เสียงนั้นก็ค่อยๆ เบาลง กลายเป็นเสียงที่ลอยไปกับสายลม จากนั้นผมก็ไม่ได้ยินอะไรอีก ทุกสิ่งทุกอย่างกลับมามืดและเงียบสงัดอีกครั้ง…











“ เออ นายไม่ต้องเป็นห่วงนะนันท์ พี่จะดูแลตัวเอง นายไม่ต้องกลับมา เดี๋ยวนายก็จะสอบแล้วนี่ ” เขาพูดกับคนปลายสาย ย้ำอีกครั้งเพื่อให้คนฟังสบายใจ ก่อนจะวางสายไป



น้องชายเขารู้เรื่องเหตุการณ์ทั้งหมดเพราะแม่ของเขาโทรไปเล่าให้ฟัง จริงๆ แล้วเขาอยากจะให้คนรู้ให้น้อยที่สุด เนื่องจากมันเป็นเหตุการณ์ที่สั่นคลอนถึงความปลอดภัยของครอบครัวเขา ทุกคนรอบตัวจับมามองเขาทุกย่างก้าว ด้วยฐานะซึ่งมีความสำคัญต่อบริษัทเป็นอย่างมาก และอีกอย่าง น้อยชายเขากำลังอยู่ในช่วงสอบ เขาไม่อยากให้น้องชายเสียสมาธิในช่วงเวลาที่ต้องการสมาธิอย่ายิ่ง



เขาถอนหายใจแรงเพื่อหวังจะขจัดความยุ่งยากในใจให้ออกไปด้วย หันไปมองคนที่นอนหลับตาพริ้มบนเตียง วันนี้ก็เป็นวันที่สามแล้วที่รักนอนสลบไสลไม่ได้สติ ความฟกช้ำตามใบหน้าและร่างกายเริ่มจางลงไปมาก เพราะเขาพยายามทายาให้อย่างแผ่วเบา และรวมถึงเช็ดตัวและผมที่เขาดึงดันกับพยาบาลว่าจะทำเอง



เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำทั้งหมดนี้ไปเพื่ออะไร



แต่เขารับรู้แค่ว่าตัวเองเต็มใจที่จะทำ ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่หน้าที่ของเขาเลย และไม่มีความจำเป็นต้องทำด้วย แต่เมื่อเขาได้เห็นรอยแผลต่างๆ เริ่มจางลง บางจุดหายเป็นปกติ มันก็ทำให้เขารู้สึกใจชื้นขึ้น อย่างน้อยร่างกายนี้ก็ยังดีขึ้น แม้เจ้าของร่างกายจะยังไม่ฟื้นก็ตาม



พ่อแม่เขามาเยี่ยมครั้งหนึ่งตอนวันแรกที่เกิดเหตุ แต่ด้วยภาระที่ยุ่ง เพราะหลังจากวันเปิดงาน ยอดขายของสินค้าตัวใหม่นี้ก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมถึงสินค้าตัวอื่นก็ได้รับความนิยมมากขึ้นและบริษัทเขาก็ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภค รวมถึงบริษัทพันธมิตรต่างๆ มากขึ้นจากการเปิดตัวประธานบริษัทซึ่งก็คือพ่อของเขาและตัวเขาเอง จึงทำให้เขาไม่มีเวลามาเยี่ยมมากนัก ไม่ใช่พ่อเขาเท่านั้นที่ยุ่ง แต่ตัวเขาก็ย้ายห้องทำงานจากบริษัทมาที่ห้องพักฟื้นคนไข้ห้องนี้เองเหมือกัน ดีอย่างหนึ่งที่มีคุณเลขาของพ่อเขาช่วยอีกมือหนึ่ง ทำให้การประสานงานต่างๆ เป็นไปอย่างราบรื่น เขาล่ะนับถือคุณเลขาของพ่อเขาคนนี้จริงๆ



ตอนนี้เขาย้ายข้าวของส่วนตัวของตัวเองมาด้วย เพราะเป็นเขาเองที่ดึงดันจะนอนเฝ้ารักเอง แทนที่จะเป็นครอบครัวของรักหรือเพื่อนสนิทของรักอย่างแสง ที่เมื่อรู้เรื่องทั้งหมดก็รีบพาคนที่บ้านมาเยี่ยมที่โรงพยาบาล แรกๆ แม่ของรักดูออกเลยว่าไม่พอใจมากที่เห็นลูกชายตัวเองบาดเจ็บจนไม่ได้สติ แต่เขาก็พยายามอธิบายจนท่านเข้าใจ ซึ่งเป็นเรื่องดีที่พ่อแม่ของรักไม่เอาเรื่อง เพราะรู้ดีอยู่ว่าลูกชายทำหน้าที่อะไร แต่เขาก็ยังไม่วางใจ ให้คำสัญญาหนักแน่นถึงความปลอดภัยของลูกชายของพวกท่านให้อนาคต จนคนเป็นพ่อเป็นแม่เกรงใจจนไม่รู้จะทำยังไง แต่เขาก็ยังยืนกรานเหมือนเดิม เพราะไม่อยากให้ท่านกังวลใจ จนท้ายที่สุดก็ขอเป็นคนเฝ้าคนเจ็บเอง โน้มน้าวจนครอบครัวและเพื่อนสนิทของรักจนยอมจากไป



เขาวางแฟ้มในมือที่คุณเลขาปลีกตัวนำมาให้ถึงโรงพยาบาลลงบนโซฟาที่เขาใช้พำนักชั่วคราวในตอนนี้ มองไปนอกหน้าต่าง ความมืดมิดเป็นตัวบ่งบอกว่าเขาทำงานเพลินจนไม่ได้ดูเวลาอีกแล้ว นิ้วมือบีบไปตรงระหว่างคิ้วเบาๆ ผ่อนคลายความเครียดที่เกิดขึ้นช่วงนี้ ทั้งเรื่องงานและเรื่องคดี จากนั้นก็ลากเก้าอี้ข้างโซฟาตัวหนึ่งไปไว้ข้างเตียง และทิ้งตัวลงบนนั้น มือเท้าคางลงบนเตียง มองใบหน้าสงบนิ่งของคนเจ็บที่ช่วงนี้ได้เห็นบ่อยเหลือเกิน



น่าแปลกที่ความรู้สึกของเขาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ทั้งที่ตอนแรกเขาจำได้ว่าตัวเองต่อต้านมากเพียงไร ไม่ทันไรความรู้สึกเหล่านั้นพลันเปลี่ยนเป็นความห่วงคะนึงหา ก่อนจะเริ่มรู้ตัวว่าตัวเองไม่สามารถอยู่ห่างจากเจ้าตัวได้แล้ว เขาได้แต่พร่ำคิดในใจว่าความรู้สึกนี้ของตัวเองชัดเจนมากแค่ไหน หรือเป็นแค่ความใกล้ชิดที่ทำให้เขาเคยชินกับการมีเจ้าตัวอยู่ข้างกาย และความรู้สึกคลุมเครือเหล่านั้นก็หายไปในทันทีที่เขาได้เจอกับวรรณอีกครั้ง ทั้งๆ ที่เขาก็ยังเจ็บปวดอยู่บ้าง แต่มันก็จางหายไปเร็วกว่าที่คิด โดยคนที่เขากำลังเป็นห่วงตอนนี้นั่นแหละเป็นต้นเหตุ ทำให้เขารู้สึกโล่งใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ราวกับคนคนนี้เองที่เป็นคนปลดปล่อยเขาจากอดีตที่ขมขื่น



เพื่อให้เขาก้าวเดินต่อไปได้อีกครั้ง



แต่ยังไม่ทันไร คนที่เป็นความหวังของเขาก็ถูกทำร้ายให้บาดเจ็บ ในใจของเขาก็ยิ่งเจ็บปวดยิ่งกว่า เมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นต้นเหตุของเหตุการณ์อันร้ายแรงนี้ เขาจึงสัญญากับตัวเองในใจว่าเขาจะไม่ยอมให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอีกแล้ว และเขาจะเป็นคนยุติปัญหานี้เอง ตอนนี้เขากำลังคอยจังหวะที่จะให้คนร้ายตายใจไปก่อน เพื่อที่จะกลับมาก่อเหตุอีกครั้ง เพราะแน่ใจแล้วว่าเป้าหมายของคนร้ายคือตัวเขาเอง ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าถ้าตัวเขายังปลอดภัยดี เหตุการณ์ต่อไปจะต้องเกิดขึ้นอีกเป็นแน่ แต่เขาแค่ยังไม่รู้ว่าจะออกมาเป็นรูปแบบไหน



เรื่องนี้เขาไม่ได้บอกให้พ่อแม่เขารู้ว่าเขายอมเสี่ยง แต่เพื่อที่จะสามารถจับคนร้ายได้ มันก็คุ้มที่จะเสี่ยงไม่ใช่หรือ?



เขาเอื้อมมือไปลูบใบหน้าหลับใหลนั้นอย่างแผ่วเบา ภาวนาแทบทุกวันให้เจ้าตัวตื่นขึ้นมาในเร็ววัน จนตัวเองไม่มีสมาธิกับงานเอาซะเลย ก่อนที่จะโน้มตัวขึ้นไปสัมผัสที่ริมฝีปากบางที่ซีดเซียวนั้นอีกครั้งอย่างที่ทำทุกวันตั้งแต่เจ้าตัวนอนสลบไสลอยู่อย่างนี้ เต็มเติมความรู้สึกโหวงในใจเพื่อให้รับรู้ว่าร่างนี้ยังอยู่กับเขา ยังไม่ได้หายไปไหน



เหมือนเขาเป็นเด็กน้อยที่กลัวจะถูกทอดทิ้งอย่างไรอย่างนั้น



เขาคิดในใจ หัวเราะออกมาเล็กน้อยเมื่อตัวเองหมายความแบบนั้นจริงๆ เขาลุกขึ้นกลับมานั่งที่เดิม และจ้องมองคนอยู่บนเตียงนั้นอย่างเหม่อลอย แสงไฟที่หัวเตียงและตรงโซฟาทำให้ทั้งห้องแทบจะตกในความมืดมิด เพราะเขาไม่ต้องการเปิดไฟทั้งห้อง กลัวรบกวนคนนอน แต่จริงๆ แล้วก็เป็นเขาอีกไม่ใช่หรือไงที่อยากให้ฝ่ายนั้นตื่นเร็วๆ?



“ เฮ้อ ตื่นเร็วๆ สินาย ฉันปลุกนายเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ เดี๋ยวฉันก็หักเงินเดือนนายซะเลยนิ อู้งานขนาดนี้ ” ผมพูดกับอีกฝ่ายเบาๆ และด้วยความที่เจ้าตัวรับรู้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ทำให้เขาเห็นว่าเปลือกตาที่หลับสนิทนั้น มีความเคลื่อนไหวเล็กน้อย



หรือเขาจะตาฝาด?



เขาเพ่งมอง ใจเต้นแรงด้วยความยินดี มองอีกครั้งเผื่อเห็นความเคลื่อนไหวนั้นอีกครั้ง และก็ถือว่าความหวังเริ่มเป็นจริง เปลือกตาที่กลับไปนิ่งเหมือนเดิมก็ขยับเล็กน้อย ก่อนที่ดวงตาที่ไม่ได้เห็นมาสามวันเต็มนั้นจะเปิดเผยสู่สายตา



“ นายฟื้นแล้ว ”




โปรดติดตามตอนต่อไป....

น้องรักกกกก ตื่นแล้ววว (ซับน้ำตาเบาๆ)

 :sad4:  :o12:

หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 22!!! (12/3/64)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 12-03-2021 22:51:47
 :mc4:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 22!!! (12/3/64)
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 13-03-2021 07:20:48
 :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 23!!! (1/4/64)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหมีวุ่นวาย ที่ 01-04-2021 11:47:18
ตอนที่ 23
" อยู่กินด้วยกัน? "




ผมกระพริบตาถี่เพื่อปรับแสงจากแสงสว่างที่ยังไม่คุ้นชิน ทั้งๆ ที่ห้องก็แทบจะตกอยู่ในความมืด มีเพียงแต่แสงไฟบนหัวเขาเท่านั้นที่เปิดสลัวๆ ไว้ ผมหลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นมาใหม่ เมื่อดวงตาเริ่มปรับให้คุ้นกับแสง มามองได้อย่างปกติแล้ว จึงลองเริ่มขยับตัว แต่ก็เต็มไปด้วยความยากลำบาก เพราะความปวดเคล็ดขัดยอกไปทั้งตัว ทำให้ผมหน้านิ่วเล็กน้อย แถมหัวก็ปวดจนจะระเบิดอยู่แล้ว



นี่เกิดอะไรขึ้นกับผมวะเนี่ย



ผมครางด้วยความเจ็บเบาๆ แต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อมือของผมถูกใครบางคนจับขึ้นมา ผมหันไปด้านข้างช้าๆ เพื่อมองว่าคนผู้นั้นคือใคร สิ่งแรกที่มองเห็นชัดเจนคือใบหน้าของชายคนหนึ่งที่คุ้นตา แต่แปลกที่ผมพยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก ทั้งๆ ที่ผมแน่ใจว่าต้องเคยเจอเขามาก่อนแน่นอน



ความแปลกหน้าที่แสนจะคุ้นเคย…



“ รัก? ” ชายคนเดิมที่จับมือผมแน่น เอ่ยเรียกชื่อผมด้วยความสงสัย สีหน้าดีใจที่ปิดไม่มิดนั้นซีดเผือดลงเล็กน้อย เมื่อเห็นผมไม่หือไม่อืออะไร เพียงแต่มองหน้าเขาเฉยๆ เท่านั้น





“ นายเป็นอะไรหรือเปล่า เจ็บตรงไหนไหม เดี๋ยวฉันจะเรียกพยาบาลเข้ามาให้นะ ”  คนพูดกำลังจะปล่อยมือ ผละตัวออกห่างเพื่อเดินตรงไปยังประตูห้อง แต่ผมกลับยืดมือเขาไว้แน่น กลัวว่าหากปล่อยมือเขาไปเขาอาจจะหายไปได้ในทันที ผมงุนงงกับตัวเองว่าทำไมความรู้สึกของผมต่อคนตรงหน้าว่าทำไมถึงรุนแรงขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ผมไม่รู้ชื่อของเขาด้วยซ้ำไป





“ นายปล่อยมือฉันก่อน ฉันไม่ไปไหนหรอก ฉันแค่จะออกไปตามพยาบาล ” ชายหนุ่มคนเดิมทำสีหน้าอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อยเอ่ยด้วยเสียงทุ้มหนักแน่น ผมจึงคลายใจค่อยๆ ปล่อยมือเขา เขาจึงเดินออกไปนอกห้อง



ผมยกมือขึ้นลูบศีรษะตัวเองเบาๆ ก็พบว่ามันถูกพันไว้ด้วยผ้าพันแผล แต่ก็จำไม่ได้ซักทีว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้าที่ผมจะมานอนบาดเจ็บอยู่ที่นี่ พยายามนึกจนอาการปวดเริ่มกำเริบ ผมจึงหยุดคิด และมองไปรอบๆ ห้อง ก็พบว่าเป็นห้องพักฟื้นห้องหนึ่งที่มีขนาดกว้างกว่าปกติ ผมมองเห็นตะกร้าบรรจุผลไม้มากมายที่วางเอาไว้ บ่งบอกว่าคงมีคนมาเยี่ยมเขาอยู่ตลอด แต่นึกไม่ออกจริงๆ ว่าตัวเองเป็นใคร นอกจากชื่อที่ชายคนเมื่อกี้เรียกก็เท่านั้น



นั่งอยู่บนเตียงได้ครู่หนึ่งก็มีคนเคาะประตูแล้วเปิดประตูตามเข้ามา คุณหมอ พยาบาล และตามด้วยร่างสูงที่เขาพยายามนึกอยู่ตั้งนานก็นึกไม่ออกซักทีว่าเป็นใคร





“ คุณรักเป็นยังไงบ้างครับ มีตรงไหนผิดปกติไหมครับ ”  คุณหมอในชุดกาวน์สีขาวเอ่ยถามผมด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย ผมหันหน้าไปมองเขาแล้วส่ายหน้าเบาๆ คนถามจึงแสดงสีหน้าสงสัยอะไรบางอย่างเมื่อเห็นปฏิกิริยาผม หันไปมองหน้าชายร่างสูงข้างตัว แล้วหันกลับมาพูดกับผมเหมือนเดิม





“ คุณรักพอจะจำได้ไหมครับว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ”  ผมไม่ตอบ พยายามนึกเหตุการณ์แต่ก็พบเจอแต่ความว่างเปล่า จึงส่ายหน้าอีกครั้ง คราวนี้เป็นชายคนดังกล่าวมีสีหน้าไม่สู้ดีเดินเข้ามาหาผมอย่างรวดเร็ว





“ นาย…จำได้หรือเปล่าว่าฉันเป็นใคร ”  น้ำเสียงสั่น มือขาวเอื้อมมากุมมือผมแผ่วเบา ยิ่งได้มองหน้าเขาใกล้ๆ แบบนี้ ผมก็ยิ่งคุ้นเคยมากขึ้น แต่ผมกลับจำไม่ได้ว่าเขาเป็นใคร อาการคล้ายคนที่เหมือนจะนึกออก แต่กลับติดอยู่ในปาก ผมขมวดคิ้วพยายามจ้องหน้าเขาเผื่อจะนึกอะไรขึ้นได้บ้าง แต่อาการปวดกลับกำเริบขึ้น จนผมร้องขึ้นมาเบาๆ





“ คุณรักอย่ากดดันตัวเองเลยครับ ผมว่าคุณพักผ่อนก่อนดีกว่า ตอนนี้ร่างกายคุณยังไม่พร้อม เดี๋ยวผมจะให้ยาแก้ปวดนะครับ เพราะคุณอาจจะมีอาการปวดตามเนื้อตัว ให้คุณทานอาหารให้เรียบร้อยแล้วค่อยทานยานะครับ ” คุณพยาบาลนำแก้วตวงยาที่มียาสีขาวเม็ดหนึ่งอยู่ข้างใน พร้อมด้วยน้ำวางลงบนโต๊ะข้างเตียง คุณหมอพูดต่อ



“ พยายามพักผ่อนให้ร่างกายฟื้นฟูเร็วๆ นะครับ ไม่ต้องกังวล อาการคุณจะดีขึ้นอย่างแน่นอนครับ ”  เมื่อพูดจบ คุณหมอจึงแตะแขนชายที่ยืนกุมมือผมอยู่เบาๆ เชิงบอกให้ออกไปคุยข้างนอก มือผมจึงถูกปล่อยให้เป็นอิสระอีกครั้ง ทั้งสามคนจึงเดินออกจากห้องไปพร้อมกัน ห้องกลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง



ผมเอนตัวลงนอนช้าๆ เบ้ปากเมื่อรู้สึกถึงความปวดตามร่างกายอย่างที่คุณหมอพูด สายตามองบนเพดาน แต่ในหัวกลับคิดวนเวียนอยู่กับแต่ใบหน้าซีดขาวของชายคนเมื่อกี้ ทำไมเขาถึงดูหวาดกลัวขนาดนั้นนะ? แล้วทำไมพอเห็นเขาทำสีหน้าแบบนั้นแล้วผมถึงรู้สึกปวดใจโดยไม่ทราบสาเหตุ? ความสัมพันธ์ของผมกับเขาเป็นยังไงกันแน่? แต่คิดอยู่นานแต่ก็ไม่มีท่าทีที่จะได้คำตอบ ไม่นานนักผมก็เริ่มรู้สึกตาหนักอึ้ง อาการเพลียก็ทำให้ผมหลับตาลง และหลับไปในที่สุด














“ คุณหมอจะบอกว่ารักมีอาการสมองเสื่อมชั่วคราวเหรอครับ? ” เนตรเอ่ยด้วยความตกใจเมื่อคุณหมอบอกอาการของรักที่เป็นอยู่ขณะนี้ หลังจากที่เขาเพิ่งจะฟื้นขึ้นมาได้ไม่นาน จึงๆ ตัวเขาเองก็แปลกใจในอาการของอีกฝ่ายมาตั้งแต่ลืมตามามองเขาแล้ว ความว่างเปล่าในดวงตาที่จ้องมองเขาทำให้เขารู้สึกหวั่นเล็กน้อย แต่ก็พยายามปลอบใจตัวเองว่านั่นคืออาการหลังฟื้นปกติธรรมดา แต่พอมาเห็นอาการต่อมาเรื่อยๆ ก็ทำให้คำตอบในใจเริ่มชัดมากขึ้น จนได้มาฟังจากปากคุณหมอเอง คำปลอบใจต่างๆ จึงถูกปัดออกไปจนเหลือแต่ความจริงที่เขาไม่อยากจะยอมรับ





“ ใช่ครับ เป็นอาการหลังฟื้นของผู้ป่วยที่ได้รับการกระทบกระเทือนทางสมอง แต่ผมบอกไม่ได้ว่าความจำของคุณรักจะกลับมาเมื่อไหร่ แต่ผมรับปากได้ว่าไม่นานหรอกครับคุณเนตร พยายามให้เขากลับไปอยู่บรรยากาศที่คุ้นเคยสักพัก เดี๋ยวความจำเขาก็กลับมาเองครับ ”  คุณหมอเอ่ยย้ำกับเขาอีกสองสามประโยค แล้วขอตัวกลับไปทำงานต่อ เขายืนนิ่งอยู่หน้าห้องพักผู้ป่วย พยายามทำใจที่จะเผชิญความจริงตรงหน้า



ทำไมทุกอย่างมันต้องตาลปัตรแบบนี้ เขาไม่เคยทำอะไรให้ใครเดือดร้อนซักหน่อย แล้วทำไมเขาต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย!



ความโกรธขึงบังเกิดภายในใจจนไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้ แต่ชายหนุ่มก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากนักในสถานการณ์ตอนนี้ที่เขายังไม่สามารถจับมือใครดมได้นอกจากคนร้ายที่จับได้แล้วคนนั้น ร่างสูงหลับตาแนบหน้าผากกับประตูห้องพักคนไข้เบาๆ พลันนึกถึงคนที่นอนอยู่ข้างใน แค่นึกถึงสายตาคู่นั้นที่มองเขาเหมือนเป็นคนแปลกหน้า ก็ทำให้เขาแทบหมดแรงจนไม่มีแรงจะทำอะไรแล้ว ทำไมพอเหตุการณ์เหมือนจะเริ่มเข้าที่เข้าทาง แต่สุดท้ายก็ยังต้องมาเจอเหตุการณ์ที่ทำให้ทุกๆ อย่างมันแย่ลง



ไม่รู้ว่าเขายืนอยู่ท่านั้นมานานแค่ไหน ไม่สนใจคนที่เดินผ่านไปผ่านมาจะมองเขายังไง เขาตั้งสติใหม่ พยายามให้กำลังใจตัวเองว่าเดี๋ยวมันก็คงดีขึ้น ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่มีวันให้รักลืมเขาไปได้ตลอดแน่นอน เมื่อคิดได้ดังนั้นก็เกิดแรงฮึดในใจที่จะกล้าเผชิญหน้าความจริงทั้งหมด มือจับลูกบิดประตูแล้วเปิดเข้าไป สิ่งที่เห็นตอนนี้ก็ทำให้เขาเผยรอยยิ้มน้อยๆ อย่างที่ไม่ได้เห็นมาสองสามวันนี้ ร่างคนป่วยเอนนอนคอพับไปข้างหนึ่ง ดูแล้วคงเมื่อยไม่น้อย เขาจึงปิดประตูอย่างที่สุด แล้วเดินเข้าไปประคองใบหน้าสงบนิ่งนั้นให้ตั้งตรงเป็นปกติ แล้วเอื้อมมือไปดึงรีโมตปรับเตียงนอนขึ้นมากดเอนหัวเตียงลงไปเล็กน้อยให้คนนอนได้สบายตัวขึ้น เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเขาก็นั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงตัวเดิม แล้วจ้องมองใบหน้านั้นอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจอะไรได้บางอย่าง มือขาวเรียวหยิบมือถือขึ้นมากดโทรหาคนคนหนึ่ง



“ ครับ ผมเนตรเองนะครับ ผมขอรบกวนอะไรบางอย่างได้ไหมครับ ”


















โอ้ย เบื่อจัง…



ผมบ่นในใจเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ของวัน ตั้งแต่ผมฟื้นขึ้นมาจากอุบัติเหตุ (คนที่ชื่อแสงเขาเล่ามาแบบนี้อ่ะนะ) ก็ไม่ได้เยื้องกรายไปไหนเลยนอกจากห้องน้ำ เตียงนอน และระเบียง ผมถอนหายใจเป็นรอบที่ล้านเหมือนกัน เมื่อนึกถึงคำสั่งของคนคนนั้นที่ทำให้ผมรู้สึกว่าผมเหมือนเป็นบริวารของเขายังไงชอบกล



ตอนนี้ความทรงจำผมก็ยังไม่คืนกลับเต็มร้อย แต่ผมเริ่มจำอะไรได้มากขึ้น เช่น ครอบครัวของผม แต่ก็ยังจำไม่ได้มากนัก แค่รู้สึกว่าคนนี้เป็นพ่อ คนนี้เป็นแม่ คนนี้เป็นพี่สาวผมเองก็เท่านั้น ผมคุ้นหน้าคุ้นตาหลายๆ คนที่มาเยี่ยมมาก อย่างคนที่ชื่อแสง ที่มันพูดคุยกับราวกับเราสนิทกันมาเป็นชาติ เขาบอกว่าเราสนิทแนบแน่นกันมากกว่านั้นซะอีก ชวนให้ผมรู้สึกขนลุกและสงสัยว่าสนิทของเขานี่ขั้นไหนกัน แต่ทุกคนก็ไม่ได้ทำให้ผมอึดอัดใจ กลับกันยังทำให้ผมใจชื้นขึ้นซะอีกที่คนมีคนคุ้นหน้าคุ้นตามาอยู่รอบๆ ตัว



แต่ตั้งแต่ที่ผมฟื้นขึ้นมาคราวนั้น ก็ผ่านมาสามวันแล้ว คนคนแรกที่ผมเห็นในวันนั้นกลับไม่มาให้ผมเห็นหน้าอีกเลย ใจห่อเหี่ยวเล็กน้อย เหมือนมีบางสิ่งบางอย่างขาดหายไป เมื่อนึกถึงสีหน้าซีดเผือดในวันนั้น ก็ทำให้ผมรู้สึกไม่สบายใจ เหมือนมีอะไรที่สำคัญบางอย่างที่อยู่ในความทรงจำนั้นซึ่งผมยังค้นหามันไม่เจอ ผมกระพุ้งแก้มอย่างหงุดหงิด เมื่อพยายามนึกเท่าไหร่ก็ยังจำไม่ได้ คุณหมอก็บอกผมว่ายิ่งผมพยายามมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งกดดันมากเท่านั้น เขาให้ผมพยายามอย่างพอดี ค่อยๆ เป็นๆ ไป ไม่งั้นผมนั่นแหละจะเจ็บตัว ซึ่งก็เจ็บจริงๆ ซะด้วย เพราะตอนนี้ความปวดนั้นเริ่มแผ่กระจายอย่างช้าๆ ลามไปทั่วศีรษะซะแล้วครับ เฮ้อ



ผมเท้าศอกลงอย่างเซ็งๆ บนขอบระเบียงที่กั้นสูงถึงอกผม มองไปยังวิวรอบๆ โรงพยาบาล คิดถึงเรื่องของตัวเองแต่ก็ยังจำอะไรได้ไม่มากนักนอกจากผมมีครอบครัวและเพื่อน ส่วนคุณเนตรนั้นยิ่งเข้าไปใหญ่ เจ้าตัวยังไม่ยอมเล่าอะไรให้ผมฟังเพราะผมยังไม่เห็นหน้าเขาเลยนั่นแหละ ก็เลยไม่รู้ซักทีว่าเขามีความสัมพันธ์ยังไงกับผม ถามคนอื่น แต่ละคนก็ไม่ยอมปริปากบอกอะไรซักอย่าง ทำเหมือนกับมันเป็นความลับสุดยอดอะไรประมาณนั้น



และตอนนี้ผมก็ยังออกไปไหนไม่ได้เพราะคุณเนตรคนดีคนเดิมของทุกคนนั้นสั่งผ่านแสงมาอีกทีว่าให้อยู่พักรักษาตัวในนี้ไปก่อนนั่นเอง บอกแล้วว่าผมเป็นเหมือนบริวารเขาจริงๆ เมื่อกี้แสงก็โทรมาบอกว่าเดี๋ยวจะเข้ามาเยี่ยม ให้ผมรอเขานิดหนึ่ง เพราะเขามีธุระต้องไปทำก่อน แล้วค่อยเข้ามาหาผม ผมจึงตอบรับกลับไป เพราะยังไงก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว



เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู ตามด้วยคุณพยาบาลที่เดินเข็นชั้นวางเครื่องอะไรไม่รู้เข้ามาตรวจอาการและวัดความดันตามปกติ ผมจึงเดินกลับเข้าไปนั่งบนเตียงอีกครั้ง คุณพยาบาลยิ้มให้เล็กน้อย บอกอาการของผมว่าปกติ หลังจากนั้นก็เดินเข็นรถคันเดิมออกไป ผมจึงกลับมานอนเปื่อยตามเดิมอีกครั้ง ก่อนจะบ่นเป็นครั้งที่ร้อยล้านในใจอีกครั้ง



เบื่อโว้ยยยยย













“ ไอรัก ตื่นโว้ย! ”  เสียงโวยวายปลุกผมให้ตื่นจากการเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ ผมหันไปมองต้นเสียงก็เห็นไอแสงเดินเข้ามาพร้อมหอบอะไรมาเยอะแยะก็ไม่อาจรู้ได้ ผมขยี้ตาด้วยความงัวเงีย จากตอนแรกที่เบื่อแทบตาย ดิ้นพล่านเป็นผีบ้าอยู่บนเตียง สุดท้ายกลับมาหลับได้ยังไงผมก็จำไม่ได้





“ กูพาคนรู้จักมึงมาด้วย มึงจำได้ไหม ”  ผมมองตามไปด้วยความสลึมสลือ ชายร่างสูงที่เดินตามหลังไอแสงก็ปรากฎสู่สายตา ผมเพ่งมองอีกครั้งเพื่อให้รู้ว่าเป็นใคร แต่ก็เพิ่งนึกได้ว่าตัวเองจำอะไรไม่ได้ก็ได้แต่หน้ามุ่ยขัดใจอยู่แบบนั้น





“ มึงคิดว่ากูจะจำได้ไหมเนี่ย ขนาดเรื่องตัวเองกูยังจำได้ไม่หมดเลย ”  สรรพนามเริ่มเปลี่ยนไปอย่างไม่รู้ตัว ไอแสงหันขวับกลับมาอย่างตกใจ ขนาดตัวผมเองยังตกใจไม่แพ้กัน





“ มึงจำได้แล้วเหรอ! ” อีกฝ่ายรีบปรี่เข้ามาด้วยท่าทางยินดีปรีดาซะเหลือเกิน แต่พอเห็นผมส่ายหน้าเท่านั้นแหละ ยังก็หน้าม่อยหันกลับไปวางของที่มันถือมาเต็มอ้อมอกเหมือนเดิม ผมอดขำกับท่าทางเด็กๆ ของมันไม่ได้ จากนั้นจึงกลับมาให้ความสนใจกับชายอีกคนที่ยืนมองผมนิ่งๆ ไม่พูดไม่จาอีกครั้ง





“ นี่ญาติกูไงมึงจำได้ไหม ”  คนที่เป็นญาติของแสงเดินเข้ามาหาผม พร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ เตียง ไอแสงจัดของอยู่ไม่นานจึงเดิมเข้ามาสมทบ





“ จำไม่ได้อ่ะ ”  ผมตอบเสียงอ่อยเพราะกลัวเสียมารยาท เพราะดูท่าอีกฝ่ายคงอายุมากกว่า ญาติของแสงเลิกคิ้ว ท่าทางสงสัยอะไรบางอย่าง





“ อ่ะๆ ไม่เป็นไร ไม่ต้องนึกละ เดี๋ยวมึงหัวระเบิดตายไปซะก่อน ”  นั่น แช่งผมอีก “ คนนี้ชื่อแดเนียล หรือมึงเรียกเขาว่าแดนก็ได้ เขาเป็นญาติกูที่อยู่ฮ่องกง และเคยเจอมึงแล้วเมื่อหลายเดือนก่อนก่อนที่เขาจะกลับฮ่องกงไป และเคยเจอครั้งแรกเมื่อหลายปีมาแล้ว ซึ่งวันนี้ก็กลับมาอีกครั้งเพราะรู้ข่าวของมึงจึงมาหา ”  ไอแสงแนะนำคนรู้จักของมันสั้นๆ อย่างกระชับใจความ ผมหันไปจะยกมือไหว้ตามมารยาท แต่คนที่ไอแสงเพิ่งจะแนะนำตัวให้นั้นยกมือขึ้นห้าม และอมยิ้มเล็กน้อย ผมจึงวางมืออย่างเก้อๆ ส่งสายตางุนงงให้อีกฝ่าย





“ ครั้งที่แล้วเจอฉัน นายก็ไหว้แบบนี้ นายนี่มารยาทดีจริงๆ ”  เมื่อฟังคำตอบซึ่งเป็นภาษาจีนของเขาก็ทำให้ผมถึงกับบางอ้อ ไอแสงขำเสียงดังจนผมหันไปมองแรง มันถึงยอมหยุดหัวเราะ แต่ก็ไม่วายยังได้ยินเสียงที่พยายามกลั้นขำของมันอยู่ดี





“ ผมติดนิสัยนี่ครับ ” ญาติของไอแสงยังคงอมยิ้มอยู่ ด้วยความกระดากอาย ผมจึงเสไปมองที่อื่นแทนที่จะมองเขา





“ นายจำอะไรไม่ได้เลยเหรอตอนนี้ ”  แดนยกแขนขึ้นกอดอกเอ่ยถามผม





“ ใช่ครับ แม้กระทั่งเรื่องของตัวผมเองยังจำไม่ได้เลยครับ ”  ผมตอบอย่างเนือยๆ เบื่อหน่ายในความเชื่องช้าของสมองตัวเอง ไม่รู้เพราะผมโง่อยู่แล้วหรือเพราะอุบัติเหตุอย่างที่เขาว่ากันแน่ แดนอือออในลำคอ ทำหน้าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา





“ ช่างมันเถอะ เดี๋ยวมึงก็จำได้เองแหละ กูไม่อยากเห็นเพื่อนมีอันเป็นไปซะก่อน ”  ไอแสงผู้ไม่ได้รับรู้ถึงบรรยากาศหม่นๆ รอบกายก็พูดแทรกขึ้น หมดมู๊ดดราม่ากันพอดี





“ นายนี่ก็จริงๆ เลยนะ ”  คุณแดนซึ่งผมเดาว่าเขาพอจะฟังออกบ้างส่ายหัวอย่างเอือมๆ





“ แล้วนี่เมื่อไหร่จะได้ออกจากโรง’บาล ”





“ โอ้ย ยากอ่ะแดน นี่ขนาดรักหายดีแล้วนะ เจ้ากรรม เอ้ย เจ้านายเขายังไม่ให้กระดิกตัวเลย อย่าว่าแต่ออกจากโรง’ บาลเลย เขาบอกอยากให้อยู่ในความดูแลของคุณหมอ ”  คุณเพื่อนผมสอดปากอธิบายเป็นภาษาต่างดาวแทน ไม่มานอนป่วยแทนเลยล่ะแหม รู้ทุกเรื่องอย่างกับสิงอยู่ในผิวหนังผมขนาดนี้





“ เจ้านาย? แล้วเขามาห้ามทำไมล่ะ ไม่ดีซะอีกเหรอ จะได้รีบกลับไปทำงาน ”  ชายหนุ่มตรงหน้าผมขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ อย่าว่าแต่เขาเลย ขนาดผมยังงงงวยอยู่ทุกวันนี้เลย ว่าไอคุณชายบ้านั่นจะขังผมอยู่ในนี้ทำไมกัน



ว่าแต่ผมไปเรียกเขา 'ไอคุณชาย' แบบนั้นได้ยังไงกันวะ



“ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ เอาจริงๆ ตั้งแต่ผมฟื้นมา ก็ยังไม่เห็นหน้าเขาเลยครับ ”  ผมรีบปัดความคิดนั้นออกไปก่อนจะเอ่ยตอบ





“ เอ้อ แปลกเหมือนกันนะ แต่ช่างเถอะ เขาคงรู้สึกผิดล่ะมั้ง แล้วนายจะเอาอะไรหรือเปล่า เดี๋ยวฉันจะกลับไปเอาให้ ”





“ คุณรู้เหรอว่าบ้านผมอยู่ไหน ”





“ เออว่ะ ฉันไม่รู้ ”  คนถูกถามชะงักไปเล็กน้อย ยกมือขึ้นเกาหัวแก้เก้อ หัวเราะเบาๆ





“ แต่กูรู้ หึ ”  กลายเป็นไอห่าแสงตอบขึ้นมาด้วยความมั่นใจแทน แสดงว่ามันสิงอยู่ในผิวหนังผมจริงๆ สินะ ไอเพื่อนตัวดีดันยิ้มกรุ่มกริ่มพเยิดหน้ามาทางผมแทน





“ มึง เอ่อ มองงี้หมายความว่าไง ”  ผมเผลอหลุดพูดคำหยาบออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจอีกแล้ว





“ มึงพูดกับกูอย่างที่สัญชาตญาณมึงให้พูดเถอะ พูดเพราะกับกูแล้วกูขนลุก ”





“ โอเค มีอะไรที่กูควรรู้เกี่ยวกับสายตาที่มึงมองกูเมื่อกี้ไหม ”





“ เพราะกูดันรู้ความลับมึงน่ะสิ ”





“ หา ความลับอะไรวะ ”  เรื่องราวบ้าบออะไรผมยังจำไม่ได้เลย จะไปมีความลับอะไรที่ไหนอีกวะ





“ หึๆ รับรองมึงช็อคแน่นวล ” เจ้าตัวว่าขณะที่ผมยังงงเป็นไก่ตาแตก ก่อนจะหันไปหาญาติตัวเองแล้วยิ้มให้อย่างที่สามารถจินตนาการได้ว่า



น่าขนลุกเบาๆ



“ นายเป็นอะไรนักหนาวะไอแสง มีอะไรก็พูดมาสิ ” กลายเป็นญาติของมันแทนที่ระอาในท่าทางยึกยักของมัน ไอแสงหันมาทางผมนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดภาษาเอเลี่ยนใส่กัน ผมที่ฟังไม่รู้เรื่องจึงได้แต่กอดอกเสหันไปทางหน้าต่าง ถอนหายใจอย่างอึดอัดที่สมองตัวเองว่างเปล่าเหลือเกิน เสียงกระซิบกระซาบยังคงดังอย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งที่อยู่ในหัวผมตอนนี้คือใบหน้าของชายคนนั้น ชื่อเนตร สินะ ความรู้สึกบางอย่างผุดขึ้นในตัวผม แต่ก็ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ เหมือนดีใจ ห่วงหา คิดถึง ทุกอย่างตีรวนปรวนเปรไปหมด สิ่งเหล่านี้ผมไม่เคยบอกใคร เพราะยังไม่แน่ใจกับมันมากนัก แต่ผมมั่นใจได้ว่ากับเขาคนนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน



“ชู่วว ) **^&^%#$%#%^&^&^* ( ”  ผมได้ยินไอแสงเอ็ดคุณแดเนียลให้เบาเสียงลง ก่อนจะกระซิบกระซาบกันต่อ น่ารำคาญจริงๆ เลยโว้ย ไอญาติคู่นี้





“ อะแฮ่ม ถ้าจะกระซิบกระซาบกันต่อไปแบบนี้ เชิญกลับไปได้เลยนะครับ ”  เมื่อผมพูดลอยๆ และแน่ใจว่าทั้งสองได้ยินแน่ๆ เพราะเสียงกระซิบเงียบลง พร้อมกับใบหน้าของทั้งสองหันมามองผม





“ เอ่อ ฉันขอโทษๆ พอดีไม่ได้กลับมาหาไอแสงนานเลยมีเรื่องคุยกันนิดหน่อย ”  สีหน้าของคนพูดกระอักกระอ่วนใจ ไม่รู้เพราะไปรู้อะไรมาหรือเพราะผมหงุดหงิดใส่กันแน่





“ โห่ ไม่สนุกเลย มึงอ่ะ ขัดอารมณ์พวกกูหมด ” ส่วนไอตัวต้นเหตุยังคงบ่นกระปอดกระแปด แถมโบ้ยความผิดใส่ผมอีก อีเวร





“ เออๆ มาเยี่ยมกูก็ต้องอยู่คุยกับกูสิ ไม่ใช่หนีไปกระซิบอะไรกันอยู่สองคน ”





“ ก็เรื่องมึงนั่นแหละ กูเล่าให้แดนฟังหมดเลย ”





“ เรื่องอะไรวะ ”





“ ก็เรื่องงานมึง เจ้านายมึง เรื่องอุบัติเหตุตั้งแต่ก่อนหน้านี้จนกระทั่งล่าสุด แถมจะ…พูดแล้วเขินแทน ”  ผู้ชายร่างควายถึกมาทำท่ากระมวดกระเมียดนี่มันเสนียดลูกตาจริงๆ เมื่อก่อนกูไปคบมันได้ยังไงวะเนี่ย ถามจริง





“ อย่าลีลา กูขนลุก แล้วก็อะไรอีก ”





“ ก็เรื่องที่มึงกับเจ้านายมึง….นั่นอ่ะ ” ผมนั่งฟังงงเป็นไก่ตาแตก ผมกับคุณเนตร? มีอะไรวะงง





“ นายก็บอกเขาไปซักทีสิ ไม่เห็นเหรอว่าเขางงขนาดนั้นอ่ะ ” คุณแดเนียลพูดอย่างระอาใจ เมื่อเห็นบทสนทนาดูจะวกไปวนมาไม่จบไม่สิ้น





“ มึงกับเขาย้ายมาอยู่กินด้วยกันไง ”



อยู่กิน



อยู่กิน…



อยู่กิน?



เฮ้ย! อย่าบอกนะว่า…



“ ใช่แล้วเพื่อนรัก มึงแอบซุกฟอแฟนไว้ไม่บอกเลยนะครับ แถมโปรไฟล์หรูเริ่ดขนาดนี้ นี่มันคางคกขึ้นวอชัดๆ ”  ผมอ้าปากค้าง เมื่อเพื่อนสนิทของผมพูดในสิ่งที่ผมคิดขึ้นมาทันที แต่ประโยคสุดท้ายนี่มันทะแม่งๆ นะ





“ มึง…ล้อกูเล่นรึเปล่า ”





“ กูจะล้อมึงทำไมล่ะ ก็มึงเคยบอกเองไม่ใช่เหรอว่ามึงโดนไล่ออกจากคอนโด แถมตอนมึงเล่าให้กูฟังยังอ้อมไปดาวอังคารอีก ดูมีพิรุธชิบหาย มิน่า ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ”  โอ้ มาย นี่ผมเป็นเกย์งั้นรึ ผมลูบหน้าลูบตาตัวเองอีกครั้ง แถมยังมองมือตัวเองอย่างกับคนไม่รู้จักตัวเองเลยจริงๆ ในเมื่อผมจำอะไรไม่ได้เกี่ยวกับตัวเองซักอย่าง แถมยังมารู้ความจริงสะท้านโลกแบบนี้อีก ช็อคครับ บอกตรงๆ





“ ไง ช็อคเลยสิ แดนยังตกใจเลยตอนรู้ความจริง แต่ยังตกใจไม่เท่ามึงอ่ะ ” แสงหัวเราะเบิกบานใจ มึงไม่ได้รู้เลยใช่ไหมว่ากูเครียดดด





“ แล้วมึงรู้ได้ไงวะ ”





“ ก็จะใครซะอีกอ่ะ เจ้านายมึง เอ๊ะ หรือเรียกแฟนมึงดี เขาบอกกูมาอ่ะ ตอนที่เขาวานให้กูไปหยิบข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวของมึงนิดหน่อยมาไว้ที่โรงพยาบาล กูช็อคกว่ามึงอีกตอนนั้น ” เจ้าตัวเอ่ยพลางยักไหล่ แล้วพูดต่อ “ พอกูไปถึงเท่านั้นแหละ โอ้โห เริศหรูอลังการ ห้องใหญ่ชิบหาย จนกูอยากเปลี่ยนใจเป็นเกย์บ้างเลย เผื่อเขาจะสนใจกูมากกว่า ” เท้าผมกระตุกโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่ไอตัวปัญหาคงรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง จึงผละตัวออกอย่างจากเตียง



“ เดี๋ยวกูถีบ ”





“ โถ ขนาดจำอะไม่ได้ยังทำหวง กูไม่ทิ้งน้องเกลกูไปหาเจ้านายมึงหรอกนะ แหม ”  น้องเกลนี่มันแฟนของมันเหรอวะ





“ แล้วเขาได้บอกไหมว่าไปไหน ”  ผมนึกขึ้นได้ว่าตัวเองคาใจเกี่ยวกับคนที่ชื่อเนตรคนนี้จึงถามออกไป





“ เขาไม่ได้บอกชัดเจนอ่ะ บอกแค่ว่ามีเรื่องต้องให้ไปจัดการ น่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับอุบัติเหตุของมึงหรือเปล่า เขาเลยวานกูให้กูมาเฝ้ามึงแทน ”





“ อย่างนั้นเหรอ ”





“ ดูแฟนมึงห่วงมึงมากเลยเนอะ กิ๊วๆ ”  เพื่อนผมทำเสียงล้อเลียนเมื่อพูดถึงคุณเนตร





“ กิ๊วพ่อง ”  แต่กลับได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจจากอีกฝ่ายแทน เวรเถอะ…




โปรดติดตามตอนต่อไป

งือออออ น้องรักกก พี่ขอโทษน้าาาา ทนๆปัญญาอ่อนไปก่อนซักตอนสองตอนนะจ้าาา
 :hao7:

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ปล. อย่าลอกงานเขียนน้า เพราะกว่าจะคิดพล็อตขึ้นมาได้ หัวแทบระเบิดเป็นโกโกครั้นช์บดละเอียด

เพราะฉะนั้นสงสารหนูโด้ยข่า

หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 23!!! (1/4/64)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 02-04-2021 00:55:43
 :hao5:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 24!!! (16/4/64)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหมีวุ่นวาย ที่ 16-04-2021 11:49:17
ตอนที่ 24
" ไม่รู้ว่าพลาดอะไรไปบางอย่างหรือเปล่า "





“ ทำแบบนี้จะดีหรือเนตร ” เสียงทุ้มหนักแน่นแต่บัดนี้น้ำเสียงเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจของชายวัยกลางคนซึ่งอยู่ในชุดเครื่องแบบเอ่ยขึ้น



“ ผมคิดดีแล้วครับ ถ้ามันจะเกิดอะไรขึ้นมา อย่างน้อยผมก็สามารถมั่นใจว่าจะไม่กระทบคนรอบข้าง ” ร่างสูงซึ่งนั่งอยู่ตรงข้าม สีหน้าแสดงความเด็ดเดี่ยวตั้งใจ เขาคิดตกมาหลายวันแล้ว ตั้งแต่บอดี้การ์ดของเขาประสบเหตุจนทำให้ตอนนี้สูญเสียความทรงจำไปชั่วคราว แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำให้เขาแทบล้มทั้งยืน เมื่อคิดถึงสายตาอันว่างเปล่าไร้ความรู้สึกเดิมๆ ต่อเขาเหมือนเมื่อก่อน ในใจพลันเจ็บปวดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ยิ่งกว่าตอนที่เขาเลิกกับวรรณซะอีก จนทำให้เขาตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่า ครั้งนี้เขาจะทำให้เด็ดขาด และจะให้มันจบลงให้ได้ ถึงแม้ว่าตัวเองจะเจ็บก็ตาม



“ แต่อย่างน้อยปรึกษาพ่อก่อนดีหรือเปล่า อากลัวว่าท่านจะตกใจเมื่อทราบเรื่อง ”



“ ผมยังไม่อยากทำให้ท่านกังวลครับอาชัช ผมอยากให้เรื่องนี้เป็นไปอย่างเงียบที่สุด คนที่ผมไว้ใจที่สุดที่สามารถรู้เรื่องได้ก็คงเป็นอาครับ ” เขาเลือกที่จะเอ่ยตรงๆ กับอาชัช หรือชัชวาล ผู้กำกับซึ่งเป็นเพื่อนคนสนิทของพ่อเขา เรื่องราวเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาก็ได้คนคนนี้แหละที่ดูแล ทั้งให้คนของเขามาช่วยเคลียร์ปัญหาอย่างตอนที่เขาถูกปองร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ก็เป็นคนของอาชัชเป็นคนช่วยดูแลคดีให้ ถึงแม้จะจับตัวคนร้ายไม่ได้ก็ตาม แต่ก็ถือว่ามีความคืบหน้า จึงทำให้เขากล้าที่จะปรึกษาการตัดสินใจของเขาในครั้งนี้



ชัชวาลถอนหายใจ แต่ก็ไม่ได้พูดแย้งอะไรออกมา เขามองตรงไปยังชายหนุ่มตรงหน้า เนตรก็เป็นเหมือนหลานของเขา เห็นมาตั้งแต่เด็กแต่เล็ก เขากับบิดาของเนตรเป็นเพื่อนที่คบกันมานาน ถึงแม้จะเลือกเส้นทางชีวิตคนละทางก็ยังไม่ทิ้งกันไปไหน จนต่างฝ่ายต่างมีครอบครัว มีลูกมีหลาน ก็ยังคงช่วยเหลือเกื้อกูลกันอยู่นี้เอง



ดูท่าคงไม่มีทางเปลี่ยนใจง่ายๆ



ใครๆ ต่างบอกว่าเนตรเหมือนชลธาร ผู้เป็นมารดา ทั้งหน้าตา รูปลักษณ์ภายนอก ความสุภาพน้อบน้อมต่างๆ แต่เขากลับมองว่าเหมือนบิดามากกว่า ด้วยนิสัยที่ดื้อเงียบ ความมุ่งมั่นเด็ดขาด เหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน ถอดแบบกันมาเลย ด้วยความที่เขารู้จักบิดาของเนตรมานาน มีหรือจะดูไม่ออก



“ ในเมื่อเนตรตัดสินใจแล้ว อาก็จะไม่ถามอะไรแล้วล่ะ แต่อาขอให้เนตรระวังตัวให้มาก ยิ่งเราไม่มีใครมาคอยตามคุ้มกันแล้ว จะประสบเหตุเมื่อไหร่ก็ได้ ถึงแม้จะมีคนของอาคอยตรวจตราก็ตาม ” เขาย้ำกับผู้เป็นหลานของเขาด้วยความห่วงใย เนตรเพียงพยักหน้าให้เท่านั้น แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เห็นได้ชัดว่าเขาก็เครียดและกังวลเช่นเดียวกัน แต่คงไม่เปลี่ยนใจแน่นอน เขาจ้องมองใบหน้าของหลานอีกครั้ง สงสัยคงต้องเพิ่มกำลังตรวจตราอีก เขาถึงจะวางใจ



“ ขอบคุณมากครับอา บุญคุณครั้งนี้ผมจะไม่ลืมเลยครับ ” เนตรเอ่ยเสียงหนักแน่น



“ บุญคุณอะไรกัน ไม่ต้องหรอก เนตรก็เหมือนลูกเหมือนหลาน แถมพ่อเนตรก็เป็นเพื่อนอา อาก็ต้องช่วยอยู่แล้ว ” ผู้เป็นอาพูดปัดเสียงขบขับ แต่ไหนแต่ไรหลานคนนี้ก็นิสัยแบบนี้ จริงจัง มั่นคง มุ่งมั่น พลางคิดถึงลูกชายตัวเอง หากลูกของเขาหนักแน่นเหมือนคนตรงหน้านี่จะดีขนาดไหนกันนะ…









ร่างสูงเดินมาตามทางที่มุ่งไปสู่ห้องพักฟื้นของคนสำคัญ ในใจพลันคิดไปต่างๆ นานาเกี่ยวกับสิ่งที่ตัวเองคิดจะกระทำ เขาเริ่มจับทิศทางการทำร้ายของคนร้ายได้แล้ว ส่วนใหญ่นั้นจะมุ่งมาทางเขาซะมากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นแล้ว ในที่ประชุมของบริษัทก็ไม่ได้มีพิรุธในเหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นกับเขาเลยซักนิด รวมถึงพ่อของวรรณด้วยเช่นกัน ที่ตั้งแต่รู้เรื่องก็รีบติดต่อหาพ่อของเขาทันที ถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง ไม่มีใครเผยท่าทางอะไรออกมาเลยทั้งๆ ที่รู้ว่าเขารอด แล้วจะเป็นใครกันที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้? แต่เขาก็ยังไม่แน่ไม่นอน ยังไม่ปักใจว่าคนในที่ประชุมนั้นจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ยังไงก็ตามเขายังคงต้องทำตามแผนในใจของเขาต่อไป



เขามั่นใจว่าคนร้ายจะต้องมีส่วนพัวพันกับตัวเขาแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงมุ่งร้ายไปทางครอบครัวของเขาแล้ว เพียงแต่เขายังนึกไม่ออกว่าเขาเคยไปทำอะไรใครให้เจ็บแค้นฝังใจหรือขัดแข้งขัดขาใครจนก่อเหตุเลวร้ายถึงชีวิตแบบนี้ได้ หากไม่นับเรื่องว่าที่ตำแหน่งประธานคนต่อไป เขาก็นึกถึงต้นเหตุไม่ออกแล้วจริงๆ



เขาถอนหายใจหนักๆ พลางเสยผมอย่างหงุดหงิด รีบอยากจะให้มันมาก่อเหตุอีกครั้งจนทนไม่ไหว เพราะครั้งนี้เขาจะไม่พลาดอย่างแน่นอน ต้องจับให้ได้เท่านั้น หากพลาดพลั้งนั่นหมายความว่าชีวิตของเขาคง…



ใบหน้าของคนสำคัญปรากฏในความนึกคิดทันที เขาไม่ปรารถนาจะให้ใครมาเสียใจกับตัวเขาอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวเขา หรือรักก็ตาม เขาจะต้องทำให้สำเร็จให้ได้



เมื่อหมายมั่นอย่างเด็ดขาดแล้ว ขาทั้งสองข้างของเขาก็เดินมาถึงจุดหมายพอดี เขาพยักหน้าเบาๆ กับชายคนหนึ่งซึ่งเป็นคนของอาชัช มาคอยดูแลรักให้กับเขา เมื่อส่องเข้าไปในตัวห้องผ่านกระจกใสขนาดเล็กหน้าประตู ในห้องมืดสนิท มีเพียงแสงไฟตรงข้างเตียงเท่านั้นที่เปิดอยู่ เขายกมือบิดประตูเปิดเข้าไปอย่างแผ่วเบา ไม่อยากรบกวนคนที่หลับสนิท หายใจสม่ำเสมออยู่บนเตียง พักนี้ที่เขากักตัวรักไว้ในห้องนี้ก็เพื่อมั่นใจว่าคนร้ายจะไม่เข้าไปทำร้ายรักอีก เขาตั้งใจกันรักให้ห่างจากตัวเขาที่เป็นตัวล่อชั้นดี ดึงคนร้ายให้ออกมาก่อเหตุอีกยามที่ไม่มีคนคอยตามติด ถึงแม้จะมีคนดูแลของอาชัชตามอยู่ห่างๆ แต่ก็เป็นตำรวจนอกเครื่องแบบที่มองผิวเผินก็กลืนไปกับคนทั่วไปดาษดื่น ไม่เป็นที่สะดุดตา หากว่าเกิดอะไรกับเขาก็สามารถเข้ามาช่วยได้ทัน



หลายวันมานี้ตั้งแต่เกิดเหตุก็ผ่านมาห้าวันแล้ว เหตุการณ์ทุกอย่างยังคงปกติ คุณดาราลักษณ์ เลขาของพ่อเขาและเลขาคนใหม่มาช่วยแบ่งเบางานของเขาแทนรักให้ชั่วคราว จึงไม่เป็นปัญหามากนักเมื่อรักไม่อยู่ เขาจงใจเข้ามาในห้องพักฟื้นในยามดึกเท่านั้น เพื่อให้รักได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ไม่ให้พะวงกับเรื่องอื่นเรื่องใด ปัญหาใหญ่ตอนนี้ก็คือการที่รักยังจำอะไรไม่ได้ เขาจึงให้เพื่อนของรักที่ชื่อแสงคอยมาเฝ้าและเยี่ยมเยียนอยู่เสมอ และข่าวที่น่ายินดีคือ รักพูดกับแสงอย่างที่ยามปกติพูดได้ ถึงแม้จะเป็นไปอย่างไม่รู้ตัว แต่นั่นก็คือสัญญาณที่ดีมากแล้วในยามนี้



นอกจากแสงแล้วก็มีครอบครัวของรักที่ผลัดกันมาเยี่ยมเยียน มาพูดคุยเพื่อให้คุ้นเคยในเร็ววัน แต่กับเขานั้น…เขายอมรับจริงๆ ว่ากลัว



กลัวว่าในนัยน์ตาคู่นั้นมันจะไม่มีที่ของเขาอีกต่อไป กลัวว่าความทรงจำที่มีค่าของรักจะไม่มีเรื่องราวระหว่างเรา



ผมยิ้มขำตัวเอง เมื่อก่อนมั่นใจตัวเองนักหนา ปัญหาใหญ่โตมากมายที่เคยฟันฝ่า กลับมากลัวกับเรื่องที่ในชีวิตนี้ไม่เคยแม้แต่จะคาดคิด…เรื่องที่มือทั้งสองของเขาควบคุมไม่ได้



ดังนั้นทุกคืนเมื่อเขาแน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายหลับไปแล้ว เขาจึงเข้ามาเงียบๆ มองใบหน้าที่แสนจะคิดถึงและห่วงหา รักยังคงเหมือนเดิม นอกจากรอยฟกช้ำที่มีอยู่จางประปรายแล้ว ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง…ใบหน้าธรรมดาๆ แต่กลับทำให้เขาทั้งรักทั้งชัง นี่เขาเป็นหนักขนาดนี้ได้อย่างไม่น่าเชื่อ



เขายกมือขึ้นลูบแก้มของคนหลับสนิทเบาๆ ปัดปอยผมที่ตกลงมาปรกหน้า รักเป็นคนติดหมอนข้าง เรื่องนี้เขารู้ จึงให้เพื่อนของรักนำมันมาให้ตั้งแต่วันแรก เพื่อจะได้นอนสบายขึ้น และก็อย่างที่เห็น หลับอุตุขนาดที่เขาเข้ามานั่งแล้วก็ยังไม่รู้ตัว รอยยิ้มจางๆ ผุดขึ้นบนริมฝีปาก มือยังคงลูบอยู่ที่เดิม เขาชอบความสบายใจที่เป็นอยู่ ณ ขณะนี้ เมื่อยามที่ไม่มีเรื่องราวใดๆ เข้ามาสอดแทรกความสุขของเขาตอนนี้ได้



เวลาเคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว เขามานั่งอยู่ตรงนี้มาได้กว่าสองชั่วโมงแล้ว มองจนคิดว่ามีกำลังใจมากพอไปจัดการเรื่องที่ยังค้างคาต่อ เขาจึงตัดสินใจลุกขึ้น และมองเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันหลังเพื่อเดินออกจากห้อง แต่ก็ต้องชะงักกับเสียงเบาๆ เสียงหนึ่ง เขาหันกลับมาเงี่ยหูฟัง ต้นตอมาจากคนที่เขามั่นใจว่ายังหลับอยู่ แต่สิ่งที่ออกจากปากของอีกฝ่าย กลับทำให้เขาตะลึง เขาก้มลงไปฟังอีกครั้ง



“ ….ไอคุณชาย…หายไป…อย่าไปนะ… ”  คิ้วได้รูปขมวดเล็กน้อย เหมือนมีเรื่องอะไรขัดใจอยู่ในความฝัน แต่คงยังละเมอออกมาเป็นประโยคเดิม แต่คนฟังนั้นกลับใจเต้นรัว ‘ไอคุณชาย’ ที่เจ้าตัวละเมอออกมาน่าจะเป็นตัวเขาหรือเปล่า ถ้าใช่ นั่นก็คงเป็นเรื่องราวดีๆ ของวันที่เกิดขึ้นแล้ว เพราะจิตใต้สำนึกรักคงยังไม่ลืมเขา เขายิ้มออกมาอย่างโล่งใจ ก้มหน้าลงไปแนบกับมือของคนละเมออย่างแผ่วเบา หลับตาซึมซับพลังงานบางอย่างที่ทำให้ใจเขากลับมาเต้นอย่างมั่นคงอีกครั้ง



เมื่อกำลังใจเต็มเปี่ยมแล้ว เขาจึงตัดสินใจหยิบกระดาษและปากกาเขียนข้อความหนึ่งลงไป เมื่อคนหลับตื่นมาได้อ่านแล้วไม่รู้ว่าจะรู้ถึงสิ่งที่เขาสื่อไหม แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอยากจะเขียนให้เจ้าตัวอ่าน เมื่อไม่อาจได้พบหน้า แต่ขอให้รักได้รับรู้ว่าตัวเขาไม่ได้ไปไหนไกล



ยังอยู่ใกล้ตัวเขาเสมอมา และจะตลอดไป…









“ รักจ้าาาา ตื่นยังงง ” เสียงโวยวายอันเป็นเอกลักษณ์ดังมาทางประตู ไม่ต้องบอกก็รู้ได้ทันทีว่าใครมา ไอแสงอาทิตย์ดับนั่นเอง จะใครกันล่ะ



“ หนวกหูน่า นี่มันโรง’ บาลนะโว้ย ” ผมบ่นเสียงกระปอดกระแปด แต่คนถูกบ่นก็ยังทำลอยหน้าลอยตาเหมือนประโยคเมื่อครู่ไม่ได้ออกมาจากปากผม



“ วันนี้กระผมหิ้วขนมหวานของเอ็งมาฝากด้วย แต่ไม่ได้ซื้อมาเองนะ มีคนฝากมาให้น่ะ หิ้วว ” แล้วมันก็พูดงุ้งงิ้งอะไรของมันไม่รู้คนเดียว ผมกรอกตาอย่างละอาใจ นี่ผมในช่วงที่จำไม่ได้ไปจับมันมาทำเพื่อนได้ยังไง ส่วนคุณแดนที่จู่ๆ มาหาเมื่อวาน จากที่เผาผมจนหนำใจกันแล้ว ไอแสงก็พาไปส่งสนามบินเพื่อบินกลับประเทศในเย็นวันนั้นเลย มันทำให้ผมรู้สึกอเมซิ่งมากว่า คนรายล้อมรอบตัวผมนี่มันเก็บเงินได้ตามพื้นถนนหรือไร ทำไมพวกเขาถึงรวยกันขนาดนี้!



“ มึงไม่อยากรู้เหรอว่าใครฝากมา ”



“ แล้วใครล่ะ ” ผมหันไปหยิบรีโมตทีวีมาเปลี่ยนช่อง อยู่มาห้าหกวัน ผมคงทำให้เรตติ้งของช่องต่างๆ พุ่งกระฉูดไปหมดแล้ว ผมถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย



“ ช่วยตื่นเต้นกับกูจะได้ไหมวะ ไม่สนุกเลย โธ่ ” แต่เมื่อไอคนบ่นเห็นผมมองตาเขม็ง จึงเลิกเล่นตัว เดินเอาขนมที่ใส่อยู่ในกล่องมาให้ผมดู ผมรับมันมาดู เป็นกล่องขนาดกลางที่มีรูปโลโก้ของร้านที่ผมก็ไม่รู้จักอยู่ดี ตัวกล่องหนักนิดหน่อย พอเปิดกล่องขึ้นมาดูผมก็ตาวาวขึ้นมาทันที ถึงผมจะสมองเสื่อม แต่เรื่องแบบนี้ผมก็ไม่สามารถลืมได้ลงนะ แต่เหมือนผมคุ้นๆ กับสิ่งของตรงหน้านี้อีกแล้ว



“ ตาเป็นประกายเลยนะมึง นี่คนฝากมาเขาอุตส่าห์ไปซื้อเองถึงที่เลยนะ ” คำว่า ‘คนฝาก’ ถูกพูดขึ้นมาเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ ผมจึงสะดุดใจมากขึ้น



“ ใครฝากมากล่ะ มึงก็บอกมาซักทีสิ ลีลาซะจริง ”



“ ก็จะใครซะล่ะ เจ้านายมึงไง ” ผมหันขวับไปหาคนพูดทันที เจ้านายนี่คือคุณเนตรที่ไอแสงเคยเล่าให้ฟังอย่างแน่นอน แล้วก็เป็นคนที่ทำให้ผมไม่สามารถเยื่องกรายออกจากห้องสี่เหลี่ยมที่แสนจะน่าเบื่อนี่ด้วย ถึงแม้มันจะกว้างกว่าห้องนอนผม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะอยากอยู่ซะหน่อย



“ เขา…มาหากูบ้างหรือเปล่า ” อะไรไม่รู้ดลใจให้ผมถามออกไป โดยที่ผมไม่รู้ตัวอีกแล้ว หัวใจที่เต้นปกติกลับเต้นเร็วขึ้นมาเล็กน้อย เหมือนผมคาดหวังอะไรบางอย่างที่ตัวผมก็บอกไม่ถูก



“ มาครั้งหนึ่ง แต่หลังจากนั้นเขาก็ยุ่งๆ เรื่องของเขา รวมถึงตัวการที่ทำให้มึงบาดเจ็บด้วย เลยไม่ได้มา แต่ก็เป็นคนให้กูดูแลจัดการเรื่องของมึงทุกอย่างเลย ”  ไม่ค่อยอะไรหรอกนะก็แค่ใจแฟบลงไปนิดหนึ่ง



“ แหม ห่อเหี่ยวทันทีเลยนะมึง นี่ขนาดสมองยังจำไม่ได้นะ ”  ไอแสงเพื่อนเวรก็คงยังแซะไม่เลิกไม่รา



“ พูดอะไรของมึง กูก็แค่ง่วง ” ผมยกกล่อง ‘ฮันนี่สตรอเบอร์รี่ครีมชีสโทสต์’ อ่านไม่ผิดหรอกครับ ตามนั้นแหละ ให้แสงไปใส่จาน คนบ้าอะไรสั่งเมนูนี้มาให้คนป่วยที่อยู่ในโรงพยาบาลกัน แต่ถึงอย่างนั้นแล้วก็ไม่สามารถปฏิเสธความหอมเย้ายวนของมันได้จริงๆ รออยู่สักพักมันก็เลื่อนโต๊ะกินข้าวที่วางขนมหวานมาอยู่ตรงหน้าผม



“ อ่ะ คุณชาย กระผมนำขนมหวานมาเสิร์ฟให้แล้วครับ ” ผมหันมาสนใจขนมต่อ ยกช้อนขึ้นตักกิน ก่อนที่ความรู้สึกอันคุ้นเคยมาอย่างจะแวบเข้ามาในหัวของผม ผมนั่งนิ่งไม่ไหวติง จนไอแสงหันมาทัก



“ เป็นอะไร เขาวางยาให้มึงเหรอ หน้าเหยแกขนาดนั้น ” ผมหันไปมองหน้ามัน แล้วรู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้ ก่อนที่ดวงตาผมจะมองภาพข้างหน้าไม่ค่อยชัดเพราะน้ำใสๆ ที่คลออยู่ในดวงตา ไอแสงตกใจรีบเดินจนแทบจะกระโดดมานั่งข้างๆ เตียงของผม พลางถามไม่หยุดปากว่าเป็นอะไร ผมส่ายหน้าให้คำตอบมัน เพราะไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองเป็นอะไร ทั้งๆ ที่มันก็อร่อย แต่ก็ไม่ถึงขั้นทำให้ผมน้ำตาไหลได้ขนาดนั้น รู้สึกในอกเกิดความตื้นตันแปลกๆ ที่บอกไม่ถูกอีกแล้ว เหมือนได้ลิ้มรสชาติที่คุ้นเคยและก็มีคนนั่งอยู่ตรงหน้าผม พร้อมกับมองหน้าผมด้วยสายตาที่ออกจะดุๆ แต่ผมไม่รู้ว่าอะไรเพราะอะไร ในหัวผมมันเลือนรางเหลือเกิน เกิดเป็นความเสียดแปลกๆ ในอก



“ กู…เหมือนเห็นภาพอะไรไม่รู้ในหัวว่ะ ” ผมพูดเสียงเครือๆ ออกไป



“ เหมือนกูกินอันนี้อ่ะ แล้วมีคนนั่งอยู่ตรงข้ามกู แต่กูนึกไม่ออกว่า…ใคร ” ผมพูดกระท่อนกระแท่นเพราะเริ่มจะสะอื้น มือของแสงลูบหลังผมเบาๆ เชิงปลอบ



“ กูนึกไม่ออก มันเลยทำให้กูเศร้าแบบนี้ กู…ไม่รู้ว่ากูพลาดอะไรไปบางอย่างหรือเปล่า ”



“ มึงใจเย็นๆ กูรู้ว่ามึงอยู่ในสภาวะนี้มันก็จะต้องเครียดเป็นธรรมดา แต่มึงต้องรู้ไว้ว่ายิ่งมึงกดดันตัวเอง มึงก็จะยิ่งแย่ยะเว้ย ”



“ กูรู้ แต่บางทีมันแวบขึ้นมาในหัว แต่กูก็ยังอยู่แบบนี้เหมือนเดิม จำอะไรไม่ได้ซักที กูอึดอัด ” ผมยกแขนขึ้นเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุด ผมรู้ว่าผมทำให้คนรอบข้างเป็นห่วง แต่มันก็หยุดไม่ได้จริงๆ เหมือนทำนบน้ำตามันแตกออกมาหลังจากที่ผมเก็บกดมันไว้ข้างใน ไม่แสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น แต่พอมาวันนี้ แค่นึกถึงความทรงจำบางอย่างได้ แม้จะเลือนราง แต่มันก็มีผลต่อความรู้สึกของผมอย่างมาก



“ เฮ้อ มึงนี่น้า ตั้งแต่ฟื้นมากูก็ยังแปลกใจว่ามึงไม่กลัวอะไรเลยเหรอ แต่พอเห็นมึงตอนนี้แล้วกูกลับเป็นห่วงกว่าจริงๆ มีอะไรก็พูดออกมาบ้างเถอะ อย่าเก็บไว้เลย ถ้ามึงอยากเจอหน้าเจ้านายมึง เดี๋ยวกูบอกเขาให้เอาไหม ” คำว่าเจ้านายที่ออกจากปากอีกฝ่ายทำให้ผมนึกถึงใบหน้าซีดเผือดตอนผมฟื้นขึ้นมาครั้งแรก น้ำตากลับยิ่งไหลมากกว่าเดิม



“ กู…บอกไม่ถูก กู… ”



“ มึงคิดถึงเขาใช่ไหม ร้องไห้ขนาดนี้ ” ผมชะงักนิ่งมองหน้าแสงผ่านม่านน้ำตา ใจเต้นตึกตักเป็นตัวยืนยันที่ดีที่ว่าผมเห็นด้วยกับสิ่งที่ฟังอยู่ ผมพยักหน้าเบาๆ พร้อมกับร้องไห้หนักกว่าเดิม



“ เอาล่ะๆ ไม่ต้องร้องแล้ว เดี๋ยวกูไปบอกเขาให้แล้วกัน เลิกๆ โทตส์จะแฉะเพราะน้ำตามึงอยู่แล้วโว้ย ”



“ ก็มันหยุดไม่ได้นี่หว่า ฮืออ ”



“ มึงนี่แม่ง เด็กน้อยจริงๆ พอๆ อ่ะ ทิชชู่ ” ไอแสงยื่นกระดาษทิชชู่จากกล่องที่สกรีนเป็นรูปโลโก้โรงพยาบาลมาให้ผม เช็ดหน้าไปพลางสูดน้ำมูกไป หน้าตาเปื้อนน้ำตาไปหมด สะอื้นฮึกฮักเพราะร้องไห้หนักเกินไป ผมพยายามหยุดร้องไห้ จนกระดาษทิชชู่ใกล้หมดกล่องผมถึงหยุดได้ในที่สุด



“มีมึงเป็นล้านคนในโลก ต้นไม้คงหมดโลก ใช้ทิชชู่เปลืองจริงๆ ไอห่า” ผมเหลือบตาที่ยังแดงก่ำจากการร้องไห้ไปมองค้อนเพื่อนสนิท ก่อนจะลุกขึ้นเพื่อไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำโดยมีไอแสงเดินพยุงตามไป



“ เดี๋ยวกูไปซื้อน้ำหวานให้มึงด้วยละกัน เผื่อจะอารมณ์ดีขึ้น เดี๋ยวกูมา ” คนพูดพูดจบก็ผละออกไป ผมโบกมือส่งสัญญาณบอกให้ไปเลยโดยที่ยังก้มลงล้างหน้าอยู่ สักพักผมก็ได้ยินเสียงประตู ก่อนที่ในห้องจะเงียบลงมีแต่เสียงโทรทัศน์ ผมเช็ดหน้าเช็ดตาเสร็จจึงเดินกลับมานั่งเหม่อต่อที่เตียง สักพักผมก็หันไปที่โต๊ะหัวเตียงเพื่อจะหยิบน้ำรินใส่แก้ว และสายตาผมก็ไปสะดุดที่โพสอิทสีกลืนไปกับโต๊ะแผ่นหนึ่ง ผมวางเหยือกน้ำแล้วมาดึงแผ่นนั้นขึ้นมาอ่าน



ข้อความหนึ่งถูกเขียนด้วยลายมือระเบียบเรียบร้อย บ่งบอกถึงความตั้งใจเขียน ผมอ่านข้อความนั้นจนไปถึงข้อความสุดท้าย และชื่อที่ลงกำกับอยู่ท้ายสุด ก็ทำให้ผมนิ่งงันไปอีกครั้ง น้ำตาที่เพิ่งจะหยุดไปได้สักพัก ก็พลันไหลลงมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เต็มไปด้วยความดีใจ ผมหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา ถ้าแลดูก็คงเหมือนคนบ้าเบาๆ แต่ตอนนี้ผมกลับไม่สนใจแล้วจริงๆ






“ เฮ้ย ไอห่ารัก มึงร้องไห้อีกแล้วเหรออ แล้วนั่น ยิ้มด้วย เพื่อนกูววว กลับมาก่อนน อย่าเพิ่งบ้านะโว้ย ” ไอแสงที่เพิ่งเดินเข้ามาพร้อมแก้วน้ำที่ผมคาดว่าน่าจะเป็นโกโก้เย็น รีบวางลงที่โต๊ะกินข้าว ก่อนจะหันมาเขย่าตัวผมแล้วโวยวาย



“ โอ้ย กูเจ็บโว้ย เลิกเขย่า ”



“ มึงบ้าไปแล้วใช่ไหม โธ่ เพื่อนกู ไม่น่าเลย ” มันพูดพร้อมกอดผมหน้าแนบกับนมมัน ผมขืนตัวอย่างแรงจนมันปล่อยผมออกจากอ้อมกอด แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังมองผมด้วยสายตาที่มั่นใจว่าผมจะต้องสติหลุดไปแล้วแน่นอน



“ กูไม่ได้บ้า ไอฟาย หน้ากูเจ็บไปหมดแล้วเนี่ย ” ผมลูบหน้าด้วยความเจ็บ มองหน้ามันอย่างเคืองๆ แต่สิ่งที่ผมเห็นคือมันก็ยังคลางแคลงใจในความสติหลุดของผมอยู่ ผมจึงเอาข้อความที่ผมเห็นเมื่อครู่แปะไว้ที่หน้าผากมันด้วยความหมั่นไส้ เพื่อให้มันอ่านดู



“ โอ้แม่เจ้าโว้ย! นี่มันคำขอแต่งงานหรือเปล่า! ” เมื่อมันอ่านจบตาโตๆ ของมันก็ยิ่งโตเข้าไปอีกหลายเท่า มันทำหน้าตกใจที่มากเกินจำเป็นหันมาทางผม ไอผมก็เขินสิครับ โธ่! ผมจึงเสหน้าไปมองหน้าจอทีวีที่ถูกปล่อยให้เปิดค้างไว้มานานนม



“ ไอเหี้ยรัก มึงกับเขาจริงจังกันขนาดนี้แล้วเรอะ ”



“ กูจะรู้ไหมวะเนี่ย มึงไปถามเขาสิ มาถามกูที่ยังปัญญาอ่อนอยู่แบบนี้อ่ะนะ ”



“ เหี้ย กูยังอึ้ง เกิดมายังไม่เคยมีใครเขียนโน้ตให้กูขนาดนี้เลยนะ ฮือ รัก กูอยากจะร้องไห้แทนมึงจริงๆ ” พูดจบมันก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้จริงๆ นี่สรุปแล้วมันดีใจหรือเสียใจกันแน่วะเนี่ย



“ กูตัดสินใจแล้วว่ากูจะเผชิญหน้ากับเขา มึงไปบอกเขาด้วยนะ ว่ามาเจอกูหน่อย ”



“ กูไม่รู้เขาจะว่างมาเจอมึงหรือเปล่านะ เพราะเขาดูยุ่งจริงๆ น่าจะต้องจัดการเรื่องคดีอ่ะ แถมยังมีงานที่บริษัทของเขาอีก ”



“ ไม่เป็นไร ตราบใดที่กูยังออกจากโรง’ บาลไม่ได้ กูก็ต้องได้เจอเขาก่อน ” ผมพูดอย่างหมายมั่นในบางสิ่งที่ผมตัดสินใจแล้ว แม้จะมีอุปสรรคเรื่องความทรงจำ แต่ผมก็จะฝ่าฟันมันไปให้ได้ เพราะจิตใต้สำนึกมันเอาแต่ร้องบอกผมว่า สิ่งที่ผมรู้สึก มันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยซักนิด นับวันยิ่งจะรุนแรงขึ้นทุกทีๆ เพราะฉะนั้นผมต้องแน่ใจอะไรบางอย่าง



“ โอเค๊ รับแซบ ” แสงทำท่าตะเบ๊ะเหมือนรับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา นั่นทำให้ผมหัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยความสุขใจ หลังจากได้รับรู้ถึงความรู้สึกของเขาแล้ว ในใจผมก็เหมือนมีใครมาปัดเป่าความอึดอัดแปลกๆ ให้ออกไป







‘ ฉันจะคอยอยู่ตรงนี้ ตรงข้างๆ นาย ตลอดไป และสัญญาว่าจะไม่หายไปไหนอีก
ถึงแม้ตอนนี้นายจะยังจำฉันไม่ได้ แต่ขอให้รู้ไว้ว่าความทรงจำที่หายไปนั้น ฉันจะเป็นคนนำกลับมาให้นายเอง ’

                                                                                                                           
                                                                                                        เนตร



โปรดติดตามตอนต่อไป....

งุ้ยยยยยยยย
จดหมงจดหมายก็มา

สวัสดีวันปีใหม่ไทยนะค้าาาาาา
ปีนี้งดเล่นน้ำเลย เพราะนังโควิดนี่แหละ! มันกลับมาอีกแล้วว
ก็รักษาสุขภาพดีๆนะคะ ใส่หน้ากากอย่างถูกวิธี แล้วก็ล้างมือบ่อยๆน้า แต่อย่าลืมทาครีมบำรุงมือด้วยนะ เดี๋ยวแห้ง 5555
รักทุกคนนะคะ ถึงแม้จะมาช้าไปหน่อย อิอิ

 :katai4:


หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 24!!! (16/4/64)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 16-04-2021 22:01:25
 :3123:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 24!!! (16/4/64)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 28-04-2021 14:06:28
 :L2: :L2:
มีอะไรหวานๆ ช่วงโควิดบ้างก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่เครียดหนักมากไป
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 25!!! (3/5/64)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหมีวุ่นวาย ที่ 03-05-2021 11:25:50
ตอนที่ 25
" หนี "





“ อ้าว คุณนั่นเอง กำลังจะไปทำงานเหรอครับ ” เพื่อนข้างห้องที่ชื่ออะไรซักอย่างเขาจำไม่เคยได้ซักทีเอ่ยทักเขา เมื่อพบกันบังเอิญที่ลิฟต์ชั้นจอดรถ





“ ใช่ครับ คุณล่ะครับ ” เมื่อคนทักเขาก่อนหยุดยืนคุยกับเขา เขาจึงจำต้องหยุดเดินด้วยอย่างเสียไม่ได้





“ ผมกำลังออกไปประชุมงานเหมือนกันครับ พอดีวันนี้นัดลูกค้าข้างนอก ”





“ พูดถึงเรื่องงาน ผมต้องขอบคุณคุณด้วยนะครับ งานที่ผ่านมานั้นจบลงด้วยดี ” เขาเอ่ยชมอย่างตรงไปตรงมา เพราะบริษัทออแกไนซ์ที่คนของเขาจัดหามานั้นเป็นเจ้าใหม่ที่มาแทนบริษัทเก่าที่เขายกเลิกสัญญาไป มีบริษัทหลายแห่งที่ติดต่อเข้ามาเมื่อคนของเขาประกาศจะจัดจ้างบริษัทออแกไนซ์เพื่องานเปิดตัวของเขาที่ผ่านไปเมื่อไม่นานมานี้ คัดตามคุณสมบัติแต่ละข้อ จากหลายสิบบริษัท จนเหลือไม่กี่บริษัท จนมาเป็นบริษัทของคนตรงหน้าเขานี้ เขาก็ต้องยอมรับว่าผลงานเขาดีจริงๆ





“ ไม่เป็นไรหรอกครับ ทุกอย่างจบลงด้วยดี ผมก็ต้องดีใจไปด้วย ว่าแต่ไม่มีอะไรผิดพลาดใช่ไหมครับ เห็นวันนั้นคุณมาช้าไปนิดหนึ่ง ”





“ พอดีเกิดเรื่องเล็กน้อยน่ะครับ แต่ก็ฉิวเฉียดเหมือนกัน เกือบจะไม่ทัน ยังดีที่ว่าคุณเลขาเขาจัดการกับคนบนเวทีไว้ก่อนจึงพอยืดเวลารอบของผมไปได้ ”





“ เล็กน้อยเหรอครับ ดีจังเลยน้า คุณเนตรนี่เก่งไปซะทุกอย่างเลย ขนาดเกิดอะไรร้ายแรงขึ้นยังสามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างดีเยี่ยม ผมล่ะนับถือคุณจริงๆ เลยนะครับ ” คำพูดแปลกๆ ที่ถูกเอ่ยมาจากฝ่ายตรงข้าม ทำให้เขาขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เขามั่นใจว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนั้นถูกปิดไว้อย่างดี เพราะพ่อเขากำชับกับอาชัชว่าอยากให้เรื่องเงียบ เพราะไม่อยากเป็นที่สงสัยของคนอื่น และหากเรื่องนี้ถูกเปิดเผยออกไปจะมีผลกระทบกับบริษัท รวมถึงตัวของคนร้ายก็เช่นเดียวกัน อาชัชจึงรับปากว่าจะจัดการให้ แต่พอมาได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูด เขาจึงแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป เพียงแค่ฟังเงียบๆ เท่านั้น





“ ผมก็พูดไปเรื่อย ต้องขอโทษด้วยนะครับ พอดีผมนับถือคุณจริงๆ แต่อาจจะพูดไม่เข้าหูคุณ อย่าถือสาเลยนะครับ ” เมื่อเห็นเขาเงียบไป อีกฝ่ายจึงพูดขึ้นอีกครั้ง





“ ไม่เป็นไรครับ ผมคงต้องขอตัวไปทำงานก่อนนะครับ พอดีมีเรื่องต้องเคลียร์แต่เช้า ” เขาเอ่ยขอตัวแล้วเดินไปที่รถคันใหม่ของเขา เนื่องจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาเกือบอาทิตย์ ทำให้รถคันเก่งของเขาถูกลากเข้าศูนย์ซ่อมแซมเป็นการใหญ่ รวมถึงระบบเบรก ที่ ‘เสีย’ โดยไม่ทราบสาเหตุ แต่จากข้อสันนิษฐานจากคนของอาชัช เขาจึงรู้ได้ว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นโดยความตั้งใจของคนร้าย ไม่ใช่ความบังเอิญอย่างแน่นอน





“ ครับ เดินทางดีๆ นะครับ ” อีกฝ่ายยิ้มรับพร้อมโค้งหัวเล็กน้อยเชิงบอกลา เขาจึงเดินเข้าไปในตัวรถแล้วสตาร์ทเครื่อง ก็ยังเห็นเพื่อนข้างห้องของเขายังคงยืนอยู่ที่เดิม ด้วยความแปลกใจที่ตัวเขาบอกไม่ถูก เขาออกรถไปช้าๆ แต่สายตาก็คงยังมองตรงไปที่กระจกหลัง แต่กลับเห็นแค่หลังไวๆ ของฝ่ายนั้นเท่านั้น แต่ความไม่สบายใจบางอย่าง ทำให้เขาเลือกที่จะไม่ปัดเรื่องนี้ทิ้งไป คิดถึงคำพูดที่เขาได้ยินมาเมื่อกี้ ยิ่งทำให้เขาสงสัยเข้าไปใหญ่ว่าเพื่อนข้างห้องคนนั้นต้องรู้อะไรบางอย่างแน่นอน



เขาไม่อยากเชื่ออะไรที่มันไร้หลักฐาน แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงไม่สามารถไล่ความคิดแย่ๆ นี้ออกจากหัวได้เลย ทั้งๆ ที่ดูแล้วไม่น่าจะมีความเกี่ยวข้องอะไรกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น



แต่อะไรก็ตามที่อาจจะเป็นเหตุนำไปสู่ความวุ่นวายทั้งหลาย เขาก็จำต้องเก็บความสงสัยนี้ไว้ เผื่อจะสามารถเป็นตัวแปรไขปัญหาทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ฝ่ายนั้นเผยตัวตนมาก็เท่านั้น…












‘ ไอผา เอ็งรับปากข้าทีว่าเอ็งจะช่วยดูแลลูกชายข้า เผื่อในวันใดวันหนึ่งข้าไม่สามารถดูแลมันได้ ’





‘ เฮ้ย พูดอะไรอย่างนั้นวะ เอ็งจะหนีเที่ยวหรือยังไง ’  เขาพูดพลางหัวเราะขันเล็กน้อย เมื่อได้ยินเพื่อนสนิทตัวเองพูดแบบนั้น แต่ทว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตอบอะไรกลับ ยกแก้วที่บรรจุน้ำสีอำพันขึ้นจิบ ยิ้มบางๆ มาให้ก็เท่านั้น เพื่อนเขาพูดย้ำกับตัวเขาอีกหลายครั้ง จนเขาจนใจต้องตอบรับอย่างเสียไม่ได้





‘ เออๆ ข้ารับปาก ว่าแต่ลูกชายเอ็งชื่ออะไรวะ เอ็งไม่เคยอุ้มมาให้ข้าเห็นหน้าค่าตาเลยนะ น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันกับเนตรลูกข้าหรือเปล่า ’ เพื่อนเขายิ้มมาให้อีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยชื่อลูกชายของตนเอง





‘ ชื่อ นนท์ น่ะ นนท์นที ’ รอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความสุข อย่างที่คนเป็นพ่อคนหนึ่งจะสามารถมีได้ เมื่อยามที่พูดถึงลูกตัวเอง เขาจึงเข้าใจได้ในทันทีว่าความรักที่มีต่อลูกของอีกฝ่ายมันมากมายขนาดไหน





‘ ว่างๆ ก็พาลูกเอ็งมาเจอข้าด้วยโว้ย เดี๋ยวเอ็งหนีเที่ยวแล้วข้าดูแลไม่ถูกคน ’





‘ เออๆ เดี๋ยวข้าพามา รับรองเอ็งจะต้องบอกว่าน่ารักไม่แพ้ลูกเอ็งแน่นอน ’ เขาหัวเราะเสียงดัง ก่อนที่ทั้งคู่จะแข่งกันชมลูกตัวเอง ไม่มีใครน้อยหน้าใคร เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขสำหรับคนที่เพิ่งจะเปลี่ยนสถานะเป็นพ่อมาหมาดๆ แต่ใครไหนเลยจะรู้ว่านั่นจะเป็นบอกลาของเพื่อนสนิท





จนกระทั่งเขาเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าความตายมันไม่เคยปราณีใครทั้งสิ้น….





‘ ไอนัย!!! เอ็งจะจากข้าไปแบบนี้ไม่ได้นะเว้ย!!! ’   เสียงร้องคร่ำครวญด้วยความเสียใจ น้ำตาลูกผู้ชายไหลพรากเต็มใบหน้า หากเขาก็ไม่ได้ใส่ใจมันซักนิด เมื่อเผชิญกับภาพตรงหน้าที่ทำให้เขาจำไม่มีวันลืม



ไม่มีวันลืม…





เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาในทันที เสียงหอบหายใจแรงจนปลุกผู้เป็นภรรยาที่นอนอยู่เคียงข้างให้ตื่นขึ้นมาด้วย





“ คุณ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ฝันร้ายเหรอ ” ฝ่ามือนุ่มลูบหลังสามีเบาๆ ปลอบโยนเขาให้ผ่อนคลาย





“ ผม…ผมว่าผมฝันถึงไอนัย ” เขาเปล่งเสียงแหบพร่าของตัวเอง เอ่ยบอกภรรยา





“ นัย? คุณวินัยเพื่อนคุณน่ะเหรอคะ ” เขาพยักหน้า นึกถึงความฝันเมื่อครู่ ภาพเรื่องราวต่างๆ เหมือนเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวาน ทั้งที่จริงเรื่องราวมันก็ผ่านมาตั้งหลายสิบปี ตั้งแต่เนตร ลูกชายเขาเพิ่งจะเกิดมาได้ไม่นาน เขาลูบหน้าตัวเองเบาๆ เพื่อเตือนสติตัวเองว่าเมื่อกี้มันแค่ฝันไปเท่านั้น แต่เขาไม่สามารถปัดรอยยิ้มของเพื่อนสนิทเขาในความฝันออกจากหัวได้เลย



นัย หรือ วินัย เพื่อนสนิทของเขาที่คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมต้น ในตอนนั้นวินัยเป็นคนเดียวที่ด่าว่าเขาในยามที่ความเลือดร้อนของวัยกำลังสำแดงฤทธิ์ของมัน มันคอยยื้อเขา คอยเตือนสติเขาในหลายคราไม่ให้เดินหลงเข้าไปในหนทางผิดๆ การที่เขาเติบโตมาอย่างดีได้ นอกจากพ่อแม่เขาแล้ว ส่วนหนึ่งก็ต้องขอบคุณมันด้วย หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็มีแต่มันคนนี้ที่เขาสนิทและไว้ใจที่จะฝากฝังหลายๆ อย่างไว้กับมัน



เพียงแต่ว่าหากในวันนั้นเขาไม่ขอให้มันช่วย เหตุการณ์ในวันนั้นก็คงไม่เกิดขึ้น ไอนัยก็คงมีชีวิตที่ดี เลี้ยงลูกชายให้เติบโต และมีชีวิตครอบครัวที่มีความสุข…



แต่เขาไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้ เขายังจำได้ดีถึงเหตุการณ์ในวันนั้น ในขณะที่เขาและภรรยากำลังไปร่วมงานเปิดสาขาของบริษัทหนึ่งที่เป็นพันธมิตรกับเขา เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นและหลังจากนั้นเขาก็แทบจะทรุดลงทันที เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าพาร่างของตัวเองมาในที่เกิดเหตุได้อย่างไร ร่างโชกเลือดของเพื่อนสนิทตัวเองที่นอนแน่นิ่งอยู่ในรถยนต์ ภาพนั้นยังติดอยู่ในความทรงจำเสมอ เมื่อทุกๆ อย่างมันเป็นความผิดของเขาเอง



หากในวันนั้นเขาไม่ขอให้มันช่วย…





“ เรื่องมันก็ผ่านไปนานมากแล้วนะคุณ ทำไมยังฝันอยู่อีกล่ะ ” เขาหันไปสบตากับภรรยา ตัวเขานั้นไม่รู้เลยจริงๆ ว่าทำไมเขาถึงฝันอยู่อีก ทั้งๆ ที่มันก็ผ่านมายี่สิบกว่าปีแล้ว





“ พูดถึงไอนัย หลังจากที่เกิดเรื่อง ผมก็ไม่ได้ข่าวคราวของลูกชายมันเลยนะ ไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง ” หลังจากที่เกิดเรื่อง ภรรยาของนัยก็ตรอมใจและจากไปหลังจากนั้นไม่นาน ญาติของวินัยก็ยื่นเรื่องขอใช้สิทธิ์ของครอบครัวในทางกฎหมาย ขอรับเลี้ยงดูต่อ เพราะเขาได้ข่าวมาว่าเพื่อนสนิทเขานั้นไม่ได้ทำพินัยกรรมใดๆ ทิ้งไว้เลย เขาซึ่งเป็นแค่คนนอก จึงไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องอะไรได้ จึงจำยอมให้ฝ่ายนั้นนำลูกชายไอนัยกลับไปเลี้ยงดู เขาก็ทำได้เพียงแค่ติดตามเรื่องอยู่อย่างห่างๆ แต่หลังจากงานศพของเพื่อนเขาเสร็จสิ้นไม่นานนัก เขาก็ได้ข่าวมาอีกว่าลูกชายของเพื่อนเขาถูกส่งตัวไปอยู่กับพี่ชายของไอนัยที่ต่างประเทศ และเขาก็ไม่ได้รับข่าวสารใดๆ จากฝ่ายนั้นอีกเลย





“ พูดถึงเรื่องนี้ ฉันไปได้ยินข่าวจากกลุ่มของเพื่อนๆ ฉันว่า ลูกชายของเพื่อนคุณกลับมาแล้วนะคะ แต่ฉันไม่แน่ใจ จึงไม่กล้าบอกคุณว่าใช่แน่ๆ หรือเปล่า ”





“ จริงหรือ งั้นเดี๋ยวผมจะให้คนตามสืบอีกที ” เขาพูดอย่างมีความหวัง เมื่อได้ยินภรรยาของตนพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา จึงทำให้เขาเชื่อว่าการที่เขาฝันถึงเพื่อนสนิทตัวเองนั้น ต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน



หากเป็นเช่นนั้นจริง เขาจะได้สานต่อสิ่งที่ยังค้างคาอยู่ในใจได้ซักที



















“ มึงงงงงง กูเบื่ออออ มีอะไรให้กูทำไหมว้าาาาา ”  ผมบ่นเป็นรอบที่ร้อยของวัน ในเมื่อตัวเองยังไม่ได้ออกจากไอห้องขาวๆ บ้านี่ซักที





นี่ก็เป็นวันที่ห้าแล้วที่ผมยังคงต้องติดแหงกอยู่ในนี้ และก็ไม่ได้เยื้องกรายไปไหนเลย มีแค่ไอเพื่อนแสงบ้านี่ที่ยังคงรับหน้าที่ส่งข้าวส่งน้ำและดูแลผมอยู่ตลอดห้าวันที่ผ่านมา ส่วนคุณแดเนียลนั่นหลังจากมาเยี่ยมผม ก็กลับไปทันทีในวันรุ่งขึ้น แสดงถึงออร่าความมีกะตังของเจ้าตัวได้เป็นอย่างดี ครอบครัวผมก็ยังมีผลัดกันมาหาบ้างแล้วแต่ใครจะว่างช่วงไหน แต่พอรู้ว่าผมไม่ได้เป็นอะไรมาก นอกจากอาการ ‘สมองเสื่อม’ จากนั้นก็ทิ้งช่วงระยะห่างการมาเยี่ยม ก็แสดงให้เห็นถึงความรักและความอบอุ่นของครอบครัวได้อย่างชัดเจนเลยทีเดียว (อืม)



“ โอ้ย ไอห่ารัก มึงก็รู้ว่ากูก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน ยังต้องมาติดแหงกเฝ้ามึงจนตัวกูจะป่วยซะเองอยู่แล้วเนี่ย ” และก็คำตอบเดิมๆ ปนด่าผมนิดๆ ที่ต้องมาดูแลผมจึงทำให้ไม่ได้ไปหายอดรักสุดสวาทปานจะขาดใจของมัน คงแทบจะลงแดงตายกันไปเลยทีเดียว





“ มึงแอบพากูออกไปหน่อยได้ไหมล่ะ ไปเจอเขาก็ได้ แบบอย่าให้ไอคุณ เอ่อ คุณเนตรนั่นรู้อ่ะ ” ผมเกือบจะหลุดคำว่า ‘ไอคุณชาย’ คำเรียกนี้ที่ผมคุ้ยเคยแปลกๆ ออกไป





“ แล้วเมื่อไหร่มึงจะจำได้ซักทีล่ะคร้าบบ เอ๋อแดกอยู่แบบนี้ ออกไปก็ไปทำร้ายคนอื่นเขาเปล่าๆ ”





“ ไอคุณเพื่อนครับ กูแค่สมองเสื่อม แต่อวัยวะส่วนอื่นกูไม่ได้เสื่อมตามไปด้วยนะครับ ทีนกูน่ะ อยากโดนซักทีดีไหม ” ผมเน้นย้ำคำว่า ทีน หนักๆ





“ ไม่อยากโว้ย แต่กูก็เบื่อไปกับมึงเนี่ย ไอสุดที่รักมึงนั่นก็เหมือนกัน รักกันปานจะกลืนกินขนาดไหนถึงต้องซ่อนตัวมึงไว้แต่ในห้องเนี่ย ”  นั่นสิ ผมก็อยากรู้เหมือนกัน จริงแล้วลึกๆ ผมก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกับผมแล้วมีความสัมพันธ์แบบไหนกันแน่ ทำไมทุกคนถึงปักใจเชื่อว่าผมกับคุณเนตรอะไรนั่นเป็น เอ่อ แฟนกันได้ (จริงๆ แล้วก็มีไอแสงกับคุณแดเนียลนั่นแหละที่รู้) ถึงแม้เขาจะทิ้งข้อความที่ชวนให้ผมเขินจนหน้าจะระเบิด จนตัวเองไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าลึกๆ แล้วตัวเองจะมีเสน่ห์อะไรแบบนี้ด้วย จากที่อ่อยหญิงมาตลอด แต่มาโดนเพศเดียวกันอ่อยนี่มันก็จะแบบว่าอึ้งไปประมาณหนึ่ง





“ เออออ นั่นแหละ กูแค่อยากจะออกไปสูดอากาศบ้าง ถือซะว่าเป็นโอกาสที่จะแอบไปส่องคุณเนตรละกัน ”





“ แล้วคุณเพื่อนจะออกไปยังไงล่ะครับ ไม่กลัวคนหน้าห้องเขาจับได้หรือไง ”





“ หา คนหน้าห้องอะไรวะ ”





“ โอ้ย ไอรัก เอ็งไม่รู้เหรอว่าแฟนมึงน่ะ เขาให้คนของเขามาเฝ้าหน้าห้องมึงตั้งแต่วันที่มึงเข้ามาในนี้แล้ว ” เมื่อเห็นผมแสดงสีหน้าเหลือเชื่อออกไป มันจึงทำหน้าเอือมระอา พร้อมกับถอนหายใจเบาๆ





“ ก็อย่างว่าแหละ แม้แต่จะชะโงกหน้าออกไปจากห้องมึงยังทำไม่ได้เลย จะไปรู้ได้ยังไง แต่นั่นก็เถอะ ถ้ามึงอยากออกไปจริงๆ ก็ต้องผ่านด่านหน้าห้องไปก่อน ”  ไอแสงที่เปลี่ยนจากสีหน้าซังกะตาย มาทำท่าทางครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว หรี่ตาจ้องมองหน้าผม ไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่ามันคงมีแผนการในใจอยู่เป็นแน่





“ มึงมีแผนหรือยังไง จ้องหน้ากูแบบนี้ ”





“ เออน่า รอกูประมวลผมแปป นี่เห็นเป็นมึงนะ กูถึงยอมช่วย ”  โหยย ไอห่า ไม่ค่อยทวงบุญคุณเลย เพื่อนกู ผมจึงพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ ก่อนที่จะตักของกินเข้าปาก ปล่อยให้มันคิดแผนการกู้โลกของมันต่อไป เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง มันจึงยกมือตบตักตัวเอง ดูมั่นใจในแผนการตัวเองระดับล้าน





“ เฮ้ยมึง กูมีแผน ”

















“ ไอคุณเพื่อนรัก มึงเสร็จหรือยัง ” เสียงเพื่อนผมดังออกมาทางนอกห้องประตู ผมซึ่งเปลี่ยนเสื้อเป็นชุดลำลองแทนชุดคนไข้เสร็จแล้ว หันมามองตัวเองในกระจกเพื่อสำรวจความเรียบร้อยอีกครั้ง และตะโกนตอบออกไป





“ เสร็จแล้วโว้ย เร่งจริง ” ผมเปิดประตูห้องน้ำออกมา เจอเพื่อนตัวเองนั่งไขว่ห้างรออยู่ที่โซฟา มันหันมามองผมที่เดินออกมาจากห้องน้ำ





“ อุปส์ ฮ่าๆๆๆๆ ”  มันก็หัวเราะทันทีเลยครับ





“ หัวเราะเหี้ยไรของมึงวะ นี่กูพยายามทำแทบตายนะโว้ย ”  มันก็ยังไม่นำพา ยังคงหัวเราต่อไป ด้วยความเก้อกระดาก ผมจึงเลี่ยงออกไปหยิบข้าวของส่วนตัวของผม และกอดอกมองมันที่ยังไม่หยุดหัวเราะซักที





“ ฮ่าๆ โทษทีมึงๆ พอดีกูหยุดไม่ได้ ฮ่าๆ ”  มันเดินเข้ามาหาผมพร้อมกับยกมือมาเสยผมให้มันคืนกลับสู่ทรงปกติของผม ถึงอย่างนั้นแล้วปากมันก็คงหัวเราะอยู่แบบนั้น





“ กูอุตส่าห์จัดทรงให้เป็นทรงที่คนจำกูไม่ได้แน่นอน มึงแม่ง ” ผมบ่นกระปอดกระแปดไปเรื่อย ยกมือเสยผมตัวเองอีกครั้งหลังจากที่เพื่อนผมมันเพิ่งจัดทรงไป





“ กูว่าจากที่จะจำมึงไม่ได้ จะกลายเป็นว่ามึงจะเป็นจุดสนใจในทันทีอ่ะดิ คิดว่ามึงเป็นโคนันเหรอ ดึงหูกระต่ายหน่อยเสียงก็เปลี่ยนแล้ว ฮ่าๆ ”





“ โอ้ย หยุดหัวเราะซักที มึงจะไปได้ยังวะ แข่งเอาโล่หรือไง ”



“ เออๆ หยุดแล้วๆ บ่นเป็นแม่เชียวนะมึง เดี๋ยวกูขอไปจัดการอะไรอีกนิดหนึ่ง เพื่อความแนบเนียน ”





“ จัดการอะไรวะ ”





“ เออน่า มึงนั่งเล่นอะไรรอไปก่อน เดี๋ยวกูมา ” พูดแล้วมันก็เดินออกจากห้องไป ทิ้งให้ผมนั่งงงๆ อยู่บนโซฟานั่นเอง

















“ คุณครับๆ ผมเป็นเพื่อนของรักนะครับ พอดีผมซื้อของมาให้คุณน่ะ ถือว่าเป็นคำขอบคุณที่ดูแลเพื่อนผมแล้วกันครับ ” ผมที่ยืนรออยู่หลังประตู แทบจะเดินถลาออกไปทันทีที่ไอแสงเริ่มทักคนหน้าห้อง แล้วเขาหันหน้าไปยังทิศทางที่ไอแสงยืนอยู่





ผมพยายามเดินไปด้วยฝีเท้าที่มั่นคง และไม่หันหลังกลับไปมอง จนเดินเลี้ยวมาถึงโซนลิฟต์ มั่นใจแล้วว่าพ้นจากรัศมีสายตาของคนหน้าห้องแล้วแน่ๆ จึงหยุดเดิน พยายามหายใจให้เป็นปกติหลังจากที่เดินกลั้นหายใจมาตลอดเส้นทางจนตะคริวจะแดกเพราะกลัวจะโดนจับได้ แอบยื่นหน้าไปเพ่งมองหน้าห้องตัวเอง ไอแสงยังคงยืนพูดคุยอยู่ในขณะที่คนของไอคุณชายถือของที่มันซื้อให้อยู่ในมือ ผมจึงกดลิฟต์เพื่อจะลงไปรอที่ร้านกาแฟชั้น 1 จากที่เตี๊ยมกันกับไอแสงเอาไว้



หลังจากที่มันให้ผมนั่งรอมันอยู่ในห้อง มันก็เดินออกจากห้องไปเพื่อลงไปซื้อของกินที่มันคงตั้งใจจะให้คนหน้าห้อง ซึ่งแผนของมันก็ง่ายแสนง่ายเหลือเกิน แค่มันจะพยายามชวนคุยและให้ของกับเขาเพื่อเบี่ยงความสนใจ และก็ให้ผมรีบเดินออกไปอย่างแนบเนียนที่สุด ฟังดูง่ายนะ แต่ก็เสี่ยงต่อการโดนจับได้เหลือเกิน ก่อนออกมาเพื่อนผมก็บอกอีกว่าไม่ต้องกลัวว่าคนหน้าห้องเข้ามาแล้วจะรู้ว่าผมแอบออกจากห้องไปแล้ว เพราะมันทำการจัดแจงเตียงนอนของผมเรียบร้อยแล้วครับ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันแอบไปจัดการตอนไหน



แต่ตอนนี้ก็ถือว่าแผนการมันสำเร็จลุล่วง เพราะผมออกมาจากห้องพักฟื้นได้แล้ว เย่!



เมื่อผมมาถึงร้านกาแฟเพื่อรอไอแสงปฏิบัติภารกิจ ผมก็เดินเข้าไปสั่งเครื่องดื่มรอ จริงๆ แล้วไม่ต้องสั่งก็ได้ เพราะมันคงไม่ต้องรอนานขนาดนั้น แต่ที่สั่งก็เพราะอยากแดกล้วนๆ เลยครับ ไม่มีเหตุผลอื่นใด



เมื่อเครื่องดื่มที่ผมสั่งเอาไว้ได้เรียบร้อยแล้ว ก็ปรากฏร่างของไอแสงเพื่อนผมพอดิบพอดี มันเดินมาหาผมประหนึ่งว่าเป็นสายลับ 007 ที่เพิ่งจะเสร็จสิ้นภารกิจของตัวเอง นี่ถ้าใส่แว่นใส่สูทด้วยนี่ เป๊ะเลยล่ะนะ ผมเบ้ปากใส่มันทันทีที่มันเดินเข้ามาในร้าน





“ อะไร นี่มึงสั่งของมึงแค่แก้วเดียวเหรอวะ ”





“ ก็เออน่ะสิ กาแฟร้านนี้แพงจะตาย มึงอยากแดกก็แดกกับกูเนี่ยแหละ ” ว่าแล้วผมก็ยกแก้วของผมให้มันไปกิน





“ โหไรวะ กูก็อุตส่าห์ช่วยมึง น้ำใจซื้อให้ซักแก้วก็ไม่มี นี่กูไม่ได้ทวงบุญคุณนะเว้ย ชิ ” พอบ่นเสร็จมันก็เดินสะบัดตูดออกไป พร้อมกับแก้วกาแฟของผมด้วย ใจน้อยผิดกับร่างควายๆ ของมันซะจริง แต่ถึงอย่างนั้นแล้วแทนที่ผมจะเดินออกไปนอกร้านพร้อมมัน กลับกลายเป็นว่าต้องเดินไปที่เคาท์เตอร์แทนเพื่อไปสั่งอีกแก้วที่มันชอบกิน เพื่อนผมไม่ได้ทวงบุญคุณเลยนะน่ะ ผมก็แค่ซื้อให้เพราะสงสารเฉยๆ (เฮ้อ)











“ แล้วนี่มึงจะพากูไปหาเขาที่ไหนวะ ” เมื่อเข้ามานั่งในรถของไอแสง ผมคาดเข็มขัดเรียบร้อยพร้อมยื่นแก้วกาแฟที่เพิ่งจะซื้อไปให้เพื่อนผม จากที่ทำหน้าเป็นตูด มันก็ดีอกดีใจใหญ่ กับอีแค่กาแฟแก้วนึง ผมล่ะปวดจิตจริงๆ





“ ก็จะให้ไปที่ไหนซะล่ะ ถ้าไม่ใช่ที่บริษัทเขาน่ะ ”





“ ไอห่า กูบอกให้แอบไป มึงเล่นจะเข้าไปบริษัทซะโจ่งแจ้งขนาดนั้น ”





“ ไม่ใช่บริษัทขนาดนั้นโว้ย แต่เป็นร้านข้างๆ บริษัทเขาต่างหาก ”





“ อ่าวเหรอ แล้วกูจะได้เห็นเขาเหรอวะ ”





“ ได้เห็นสิวะ กูรู้มาว่าวันนี้ที่รักมึงเขามีนัดที่ร้านข้างๆ บริษัท ”





“ มึงไปรู้ได้ยังไง เขาบอกมึงเหรอวะ ” ผมหันไปมองหน้ามันด้วยความสงสัย เมื่อเห็นมันพูดซะมั่นใจเหลือเกินว่าใช่แน่นอน





“ ไม่ได้บอกหรอก เผอิญกูมีแหล่งข่าวที่ดีน่ะ อิอิ ”





“ ใครวะ ”





“ ก็จะใครซะอีกอ่ะ เลขาของท่านประธานไงล่ะวะ ”  หา เลขาของท่านประธาน?





“ แล้วมึงไปรู้จักกับเขาได้ยังไงวะ นั่นเลขาท่านประธานเลยนะเว้ย ”  ผมถามเสียงสูง ตกใจเพราะรู้มาว่าท่านประธานที่รู้กันก็คือพ่อของไอคุณชาย แถมเลขาที่มันพูดนั่นก็เป็นของประธานบริษัทขนาดนั้น มันไปรู้จักสนิทสนมจนรู้ถึงตารางนัดของไอคุณชายได้ยังไง





“ แหมมึงนี่ก็ เพื่อนมึงหล่อขนาดนี้ ใครได้คุยก็เป็นต้องหลงเสน่ห์ไปหมดนั่นแหละ ”  เมื่อได้ยินมันพูดแบบนี้ ผมจึงหรี่ตาจ้องหน้ามันเพื่อเค้นถามคำตอบที่เป็นความจริง ไม่ใช่คำตอบที่เต็มไปด้วยความหลงตัวเอง มันที่กำลังขับรถอยู่หันมาเห็นผมจ้องหน้ามันไม่ยอมหยุด จึงทำเสียงจี๊จ๊ะ บ่นพึมพำๆ ก่อนจะยอมคายความจริง





“ จริงๆ แล้วคุณเลขาเขาให้เบอร์กูมาเพื่อให้กูรายงานสภาพของมึงเป็นระยะๆ เพราะเขาไม่วางใจ ส่วนที่กูรู้มาได้นั่นก็เป็นเพราะ กูถามเขาเพราะกูอ้างว่ามีธุระจะคุยกับสุดที่รักมึงนั่นแหละวุ้ย มึงนี่ ”





“ ก็แค่นั้น ” ผมหันหน้ากลับมามองหน้าถนนอีกครั้ง ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้ “ เออ แล้วมึงก็เลิกเรียกคุณเนตรว่าสุดที่รัก หรือแฟนกูซักที กูเลี่ยนหูโว้ย ”





“ แหมๆ เขินเหรอครับคุณเพื่อน กูก็แค่เรียกให้มึงรีบๆ จำได้เร็วๆ ไง เผื่อเมื่อก่อนจะชอบคำแบบนี้ ”  ไอแสงยกมือขึ้นมาผลักหัวผมเบาๆ ผมจึงเอื้อมมือไปชกต้นแขนของมันคืน คนโดนชกร้องโวยวายหนักมาก จนผมต้องหันหน้าไปมองข้างทางแทน ไม่สนใจมันอีก ภายในรถจึงมีแต่เสียงบ่นพึมพำของมันไปตลอดทาง




อ่านต่อด้านล่างจ้า












หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 25!!! (3/5/64)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหมีวุ่นวาย ที่ 03-05-2021 11:28:45
(ต่อ)




“ คุณเนตรครับ ผมโทรมาแจ้งว่าคุณรักกับเพื่อนคนที่ชื่อแสงออกจากห้องพักคนไข้ไปแล้วครับ ”  คนปลายสายซึ่งเป็นคนของอาชัชรายงานสถานการณ์ของรักตามปกติทุกวันเวลาที่ตัวเขาไม่อยู่ ตั้งแต่วันที่รักเข้าโรงพยาบาล แต่วันนี้ดูจะต่างออกไปเพราะอีกฝ่ายรายงานว่ารักออกไปข้างนอก ทั้งที่ปกติจะอยู่แต่ในห้องแท้ๆ



ออกไปทำไมกัน?



เขาขมวดคิ้วขุ่นเมื่อได้ยินรายงานอีกฝ่ายแจ้งมา ตอนแรกก็ร้อนใจ แต่ต่อมาก็นึกได้ว่าถ้าเพื่อนของรักไปด้วย คงไม่น่าห่วงอะไรมากนัก เพราะแสงก็เป็นอีกคนที่เขาวานให้ช่วยไปอยู่เป็นเพื่อนรักในระหว่างนี้ แต่ก็ยังไม่วางใจอยู่ดี เนื่องจากสถานการณ์ตอนนี้ยังอยู่ในระหว่างล่อให้เหยื่อมาติดกับ ถ้าเห็นว่ารักยังคงปกติดีคงจะโดนเพ่งเล็งอีกแน่นอน เพราะเขามั่นใจว่ารักน่าจะโดนพ่วงไปด้วยแน่ สังเกตจากเหตุการณ์แต่ละครั้งที่ผ่านๆ มา เนื่องจากเป็นบอดี้การ์ดในคราบเลขาของเขาจึงต้องอยู่กับเขาตลอดเวลา แถมยังมีเหตุให้มาอยู่ด้วยกันอีก



“ ไม่เป็นไร คุณก็ทำตามหน้าที่เหมือนเดิมแหละครับ เดี๋ยวผมจะจัดการเอง ขอบคุณมากนะครับ ”  เขาพูดกับปลายสายอีกสองสามประโยค แล้วจึงวางสายไป จากนั้นก็กดโทรหาเพื่อนของรักทันที ซึ่งฝ่ายนั้นน่าจะรับรู้สาเหตุที่รักอยากออกจากห้องในครั้งนี้แน่นอน



“ สวัสดีครับ ”   เขาถือสายรอไม่นานนัก แสงก็กดรับสาย





“ ผมเนตรนะครับ ผมโทรมาถามว่าคุณพารักออกจากโรง’ บาลเหรอครับ ”  เขายิงคำถามทันทีไม่เสียเวลาอ้อมค้อม





“ เดี๋ยวซักครู่นะครับคุณ ”   คนปลายสายพูดกับใครซักคนก่อนที่เขาจะได้ยินเสียงกุกกักๆ ซึ่งก็จับใจความได้ไม่ยากว่าเจ้าตัวคงจะขอตัวกับรักออกมาคุยห่างๆ นั่นเอง





“ ขอโทษที่ให้รอนะครับ พอดีรักอยู่ด้วย กลัวว่าเขาจะรู้ ”





“ ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่คุณพารักไปไหนครับ ”





“ คือ…เอาตรงๆ เลยนะครับ รักเขาขอออกมาเพื่อจะแอบหาคุณน่ะครับ ”  คำตอบจากคนปลายสาย ทำให้เขาแปลกใจอยู่ไม่น้อย ฝ่ายนั้นจะมาแอบดูทำไม ถ้าอยากจะเจอเขาก็บอกกันดีๆ ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องแอบเลย





“ คุณพาเขามาหาผมเลยก็ได้นี่ครับ ”





“ เอ่อ ความจริงผมก็ลำบากใจนะครับ แต่รักเขาคงไม่กล้าบอกคุณตรงๆ หรอกครับ คงยังสับสนอะไรหลายๆ อย่าง ”    จากตอนแรกที่แสงโทรมาเล่าให้ฟังว่าเมื่อวันก่อนรักร้องไห้เพราะคาดว่าเจ้าตัวน่าจะคิดถึงเขาและอยากเจอหน้าเขา มันทำให้เขาอดใจแทบไม่ไหวอยากจะไปหาซะเดี๋ยวนั้น แต่ติดอยู่ตรงที่ว่าเขาไม่สามารถทำอะไรกะโตกกะตากมากนัก เพราะเขาแน่ใจว่าตัวเองกำลังถูกเพ่งเล็งจากคนร้ายที่เขากำลังวางแผนให้มาติดกับอยู่ เขากลัวว่าฝ่ายนั้นจะรู้ว่ารักรักษาตัวอยู่ที่นั่น ถึงจะมีคนเฝ้าดูอยู่ตลอด แต่ถ้าตัวเขาไม่ได้ไปเห็นด้วยตัวเองก็คงเป็นห่วงอยู่ตลอด จึงจำต้องข่มกลั้นใจตัวเองให้ไม่ไปเจอก่อน





“ ผมเข้าใจครับ ว่าแต่ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน ”





“ ผมอยู่ร้านอาหารข้างๆ บริษัทคุณน่ะครับ พอดีผมถามคุณเลขาเขาแล้วเขาบอกมาว่าคุณมีนัดที่นี่ ”  แสงพูดถึงนัดของเขาในวันนี้ เขาจึงยกข้อมือที่สวมนาฬิกาขึ้นมาดูเวลา นั่นก็ทำให้เขาตกใจ เขานัดคนคบหลอกๆ ของเขาไว้ เพื่อตบตาคนร้ายที่อยู่เบื้องหลัง และกันให้รักออกห่างจากการตกเป็นเป้าหมายด้วย ถึงแม้มันอาจจะไม่ได้ผลอะไรมาก แต่นั่นก็อาจจะทำให้คนร้ายตายใจได้ว่าผมไม่ได้ระแวงอะไร ซึ่งนี่ก็ใกล้ถึงเวลานัดแล้ว และการที่รักอยู่ที่นั่นในเวลาเดียวกันเขา หากคนร้ายเห็น มันต้องรู้แน่ๆ ว่าเขาวางแผนอะไรไว้





“ คุณต้องพารักออกไปก่อนนะครับ ”   เขาพูดกับปลายสายอย่างร้อนรน





“ อ้าว ทำไมล่ะครับ ”





“ ผมนัดคนที่ผมเรียกมาคบหลอกๆ เอาไว้น่ะสิ เพราะผมได้รับแจ้งมาว่ามีคนพยายามติดตามผมอยู่ห่างๆ ถ้าวันนี้เขาเห็นรักล่ะก็เป็นเรื่องแน่ๆ ”





“ ตายห่าตายโหง พอดีรักเขาสั่งอาหารเพิ่งจะได้เลยครับ ตอนนี้น่าจะกำลังกินอยู่ แล้วผมจะกันออกไปยังไงดี ” แสงหลุดร้องโวยวายเบาๆ พยายามคิดหาทางให้รักออกจากร้านไปก่อน แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไรกลับไป มือถือเขาก็สั่นแจ้งเตือนว่ามีสายซ้อน เขายกมือถือขึ้นมาดูแล้วก็ต้องตกใจอีกครั้ง



คนปลายสายนั้นก็คือคนที่เขานัดอยู่นั่นเอง!





โปรดติดตามตอนต่อไป....



ปฏิบัติการตามหาผู้ชายที่หายไป 55555

จะสำเร็จหรือไม่ต้องมาตามลุ้นกัลลล



ช่วงนี้รักษาสุขภาพกันนะคะ โรคภัยไข้เจ็บมันเยอะแยะไปหมด

ทั้งโควิด ทั้งฝุ่น ทั้งภูมิแพ้  ทั้งหวัด บานตะไทจริงๆ

จริงๆจะให้อยู่แต่บ้านก็ทำไม่ได้ เพราะเราก็ต้องทำงานทำการ ซื้อของนู่นนี่

ยังไงก็ป้องกันตัวเองให้ได้มากที่สุดนะคะ ใส่หน้ากาก ล้างมือบ่อยๆ หากต้องออกจากบ้าน

ไรท์ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนนะคะ ขอให้ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากในตอนนี้ไปให้ได้น้า

เราจะฝ่าฝันความบ้าบอในตอนนี้ไปด้วยกันค่ะ สู้ๆ ทุกคนสู้ ไรท์ก็สู้ตายค่ะ! (ฟุบคาแป้นพิมพ์ ผ่าม!)

 :z2:

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ปล. อย่าลอกงานเขียนน้า เพราะกว่าจะคิดพล็อตขึ้นมาได้ หัวแทบระเบิดเป็นโกโกครั้นช์บดละเอียด
เพราะฉะนั้นสงสารหนูโด้ยข่า


หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 25!!! (3/5/64)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 03-05-2021 22:55:20
 :serius2:




เครียดๆๆ
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 26!!! (20/5/64)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหมีวุ่นวาย ที่ 20-05-2021 17:01:33
ตอนที่ 26
" เรามาเจอกันหน่อยได้ไหม? "




“ เฮ้ย ไอรักโว้ย มึงอยู่ไหนวะเนี่ย กูมองหาทั่วแล้วก็ไม่เห็น ”   ผมยกมือถือขึ้นมารับยังไม่ทันไรก็ต้องรีบเอาออกห่างจากหู เพราะเสียงปลายสายร้องโวยวายหนักมาก ผมนั่งอึอยู่ถึงกับอึหดเลยทีเดียว



“ กูอยู่ในห้องน้ำ มึงจะโวยวายทำไมเนี่ย ใครใช้ให้มึงออกไปคุยนานล่ะ กูปวดไม่ไหวเลยต้องเข้าห้องน้ำมาก่อน รอมึงกูคงปรู๊ดพอดี แค่นี้นะ กูอึก่อน เดี๋ยวออกไป ”  หลังจากพูดรวบรัดและตัดสายทีเดียว ผมก็หันมาตั้งสมาธิกับการอึอีกครั้ง เมื่อเสร็จกิจหนักแล้ว จึงเดินออกมาล้างมือ จู่ๆ เสียงเปิดประตูดังปังมากจากประตูห้องน้ำชายที่ผมกำลังเข้าอยู่นี้ ทำให้ผมตกใจหันไปมอง ก็พบกับไอแสงที่ทำท่าทางตื่นตระหนก เหมือนมันวิ่งหนีอะไรมาซักอย่าง



“ มึงเป็นอะไรของมึงวะ อย่าบอกว่าปวดหนักเหมือนกันนะ ”  ผมหันไปถามด้วยความแปลกใจในท่าทีของมัน



“ ปะ เปล่า กูไม่ได้ปวด กู…จะมาบอกมึงว่าเมื่อ เอ่อ ”



“ มีอะไรก็พูดๆ มาเถอะ ไอห่า กูจะรีบๆ ออกจากห้องน้ำแล้ว ”  เมื่อเห็นผมหันตัวกลับมาจะเดินผ่านตัวมันไปยังประตูห้องน้ำ มันก็รีบยื้อตัวผมไว้ทันที



“ คือ…กูจะบอกว่า เมื่อกี้คุณเลขาเขาโทรมาบอกว่าสุดที่รักมึงเขาเปลี่ยนนัดกะทันหัน ”  หืม ถึงกับโทรมาเลย นี่ไปสนิทกันถึงขั้นไหนกันเนี่ย แต่ผมก็ไม่ได้ถามอะไรกลับ ได้แต่อือออไป แล้วจะผลักประตูออกไปอีกครั้ง แต่มือของไอแสงก็ยังยื้อผมไว้อีกครั้ง



“ เอ๊า เขาเปลี่ยนที่เราก็ต้องเปลี่ยนด้วยสิ มึงมีอะไรหรือเปล่าเนี่ย ท่าทางแปลกๆ ”



“ เอ่อ มึงอย่าเพิ่งออกไปดีกว่า ”  อีกฝ่ายทำท่าอึกอักๆ เหมือนคนไปก่อเรื่องอะไรมาแล้วกลัวจับได้แบบนั้นแหละ



“ ปล่อยกู กูจะออกจากห้องน้ำโว้ย มึงไม่เหม็นเรอะ ”  ผมปัดมือมันออกอย่างรำคาญ เป็นบ้าอะไรของมันขึ้นมากันละเนี่ย เมื่อออกจากห้องน้ำมาได้ ผมก็เดินกลับไปยังที่โต๊ะที่ก่อนหน้านี้เรานั่งกันอยู่ อาหารมากมายที่ไม่รู้พวกผมสั่งไปได้ยังไงวางอยู่เต็มโต๊ะแล้วตอนนี้ แล้วทีนี้จะทำยังไงกันละนี่ ไอคุณชายเปลี่ยนสถานที่นัดไปแล้ว ผมก็คงต้องรีบจัดการอาหารบนโต๊ะนี่ก่อน เฮ้อ ทีหลังต้องย้ำกับตัวเองว่าอย่ากะตละสั่งอาหารตอนหิว



ผมเงยหน้าจะถามไอแสงว่าสถานที่ที่ไอคุณชายเปลี่ยนอยู่ที่ไหน แต่ภาพที่ปรากฎคือมันเอาแต่มองไปรอบร้านเหมือนกำลังหาใครอยู่ ผมจึงไม่ได้เปิดปากพูดอะไร แอบมองตามมันไป ดูซิ ว่ามันหาใครอยู่ ท่าทางมันแปลกๆ ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว เหมือนคนพยายามจะเลี่ยงอะไรซักอย่าง หรือว่าจะเป็นกิ๊กมันกันแน่ก็ไม่รู้



“ เย้ย! มะ มึงมองอะไร ทำไมไม่กิน ”  ไอแสงร้องตกใจเมื่อเห็นผมเพ่งสายตามองไปรอบข้างตามมัน



“ ก็กูเห็นท่าทางมึงมีพิรุธ กูก็เลยนึกว่ามึงแอบซ่อนกิ๊กของมึงไว้ที่นี่หรือเปล่า ”  มันไม่ตอบอะไรแต่ยกมือมาผลักหน้าผมให้หันไปหาของกินบนโต๊ะ แต่ผมก็ดันๆ มือมันออกจนมันหันมาบ่น



“ แดกๆ ไปมึงน่ะ ไม่ต้องมองมาก เดี๋ยวไม่ทันสุดที่รักมึงหรอก ” ผมปัดมือออก จิ๊ปากอย่างหงุดหงิดกับท่าทางของมันที่ชวนให้สงสัยเหลือเกิน แต่ประโยคหลังของมันก็ทำให้ผมรีบกินอย่างเสียไม่ได้ เดี๋ยวกลัวไม่ทันไอคุณชายแล้วความพยายามแอบออกมากในวันนี้จะเสียเปล่าเอา



“ ตายห่า ”  ไอแสงสบถเป็นเสียงพึมพำ นั่นทำให้ผมเงยหน้ามามองมันอีกครั้ง เห็นมันมองไปยังโต๊ะๆ หนึ่งซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของร้าน ห่างจากที่ผมนั่งอยู่ แต่ก็ไม่รู้ว่ามันมองอะไร เพราะมีหลายโต๊ะเหลือเกิน ผมจึงคิดว่าไอแสงคงเห็นคนรู้จัก ผมจึงละความสนใจ แต่เพียงเสี้ยวหน้าของคนที่นั่งอยู่ตรงมุมนั้น ทำให้ผมหันกลับไปมองอีกครั้งด้วยว่าใบหน้านั้นทำให้ผมคุ้นเคยอย่างมาก ผมไม่รู้ว่าตัวเองตาฝาดหรือเปล่า จึงเพ่งมองอีกครั้ง ยังไม่ทันที่จะเห็นอะไรชัดเจน จู่ๆ เสียงไอแสงเอ่ยทักพนักงานให้เก็บเงิน ผมหันขวับกลับมาทันที



“ เฮ้ย ไอห่า กูยังกินไม่หมดเลยนะเว้ย ”



“ เออน่าไอรัก มึงห่อกลับบ้านก็ได้ เดี๋ยวไม่ทันคุณเนตรเขา ”  สิ้นเสียงไอแสง มันก็รีบบอกให้พนักงานห่ออาหารที่ยังกินไม่หมดไปทันทีพร้อมยื่นบัตรเครดิตใบหรูของมันให้เขาไปด้วยทั้งที่เขายังๆ ไม่ทันเอาบิลมาให้ รวบรัดตัดบทจนผมงงงวยไปหมด จากนั้นมันก็ทำทีชวนผมคุย แต่ผมก็สังเกตเห็นเหงื่อมันซึมๆ ตามไรผม เหมือนกับคนกำลังระแวงอะไรซักอย่าง ผมยิ่งขมวดคิ้วสงสัยเข้าไปใหญ่ เมื่อพนักงานยื่นใบสลิปให้ มันก็รีบตวัดมือรับ ฉุดให้ผมลุกขึ้นทันที



ผมลุกขึ้นตามมันแบบงงๆ สมองคิดตามไม่ทัน ผมหันหลังกลับไปที่โต๊ะอีกครั้งเพื่อจะดูว่าลืมของหรือเปล่า เมื่อหันกลับมา ไม่รู้ทำไมผมรู้สึกเหมือนมีคนจ้องมอง ผมมองตามกลับไปแต่ก็ไม่เห็นอะไร จึงหันไปจะเดินตามเพื่อนผมที่กำลังบ่นๆ ให้ผมเดินตามมันไปเร็วๆ โอ้ย คุณครับ ร้านคนก็เยอะขนาดนี้ รีบเดินจะให้ฝ่าโต๊ะไปเลยหรือไงกัน



ผมบ่นมันในใจ แต่ก็เดินตามไป แต่เสียงพนักงานเรียกก็ทำให้ผมหันกลับไปอีกครั้ง



“ คุณลูกค้าครับ คุณลืมอาหารที่ห่อไว้น่ะครับ ”  เออว่ะ ผมนี่ก็ลืมไปเลยจริงๆ ว่าให้เขาห่ออาหารไว้



“ ขอบคุณมากครับ ”  พนักงานค้อมศีรษะให้ ผมยิ้มให้แล้วจึงเดินมุ่งไปที่หน้าร้านอีกครั้ง แต่สายตาผมดันไปสะดุดยังที่ที่หนึ่งอีกครั้ง ที่ที่เดิมกับตอนแรกที่ผมมองไม่ชัด หากครั้งนี้ชัดเจนจนไม่ต้องเพ่งเพราะอยู่ใกล้เพียงแค่ไม่กี่ก้าว



สายตาคู่หนึ่งที่มองมายังผมเช่นเดียวกัน ผมถูกความหวั่นไหวนั้นตรึงร่างเอาไว้นิ่งไม่ไหวติง พร้อมกับใบหน้าที่ผมคุ้นเคยอยู่ในใจแต่กลับยังจำเรื่องราวของเขาไม่ได้ ผู้คนมากมายรอบตัวไม่ได้อยู่ในสายตาของผมอีกต่อไป สิ่งที่อยู่ในหัวของผมอย่างเดียวก็คือ



นั่นคือ ‘ไอคุณชาย’ ไม่ผิดแน่



สัมผัสที่แขนทำให้ผมรู้สึกตัว ไอแสงเดินกลับเข้ามาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ดึงแขนของผมให้เดินตามไป ผมหันกลับไปมองอีกครั้งก็พบว่าสายตาคู่นั้นไม่ได้มองผมอยู่เหมือนเดิม เขาหันกลับไปยิ้มแย้มกับหญิงสาวที่นั่งตรงข้ามกับเขา ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมเพิ่งรับรู้ว่าเขาไม่ได้มาคนเดียว แต่กลับมีคนมากับเขาด้วย สีหน้ายิ้มแย้มอย่างมีความสุขนั่นทำให้ผมรู้สึกหน่วงในใจแปลกๆ ราวกับว่าผมเคยได้รับรอยยิ้มแบบนั้นมาก่อน และในขณะนี้รอยยิ้มนั้นมันไม่ได้เป็นของผมคนเดียวอีกต่อไป



ผม…รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจมอยู่กับความผิดหวังช้าๆ …









“ เฮ้ย ไอรัก ถึงแล้วเว้ย ” ผมถูกปลุกขึ้นจากภวังค์ หลังจากที่โดนจับยัดใส่รถของเพื่อนโดยที่ผมไม่ได้ขัดขืนอะไรทั้งสิ้น และระหว่างทางผมก็เอาแต่นั่งมองออกไปนอกหน้าต่างโดยที่ไม่ได้พูดอะไร นั่นทำให้ไอแสงเองก็พลอยเงียบไปด้วย ผมเดาว่ามันคงรู้ว่าความรู้สึกผมตอนนี้กำลังสับสนอยู่ ภาพของเหตุการณ์เมื่อครู่ใหญ่ที่ผ่านมานั้นยังอยู่ในความคิดผม ทั้งที่รู้ว่ามันอาจจะเป็นสิ่งที่ผมคิดไปเอง แต่มันไม่ห้ามใจไม่ให้คิดไม่ได้



ผมเดินก้าวออกจากรถ แล้วก็พบว่าตัวเองถูกนำมาส่งสถานที่เดิมที่ผมถูก ‘กักตัว’ มาตลอดเกือบทั้งสัปดาห์ ผมเชื่อมั่นว่าตราบใดที่ผมยังจำอะไรไม่ได้อยู่แบบนี้ คงจะเป็นไปได้ยากที่จะถูกปล่อยตัวออกไปให้ใช้ชีวิตตามปกติได้ แต่ถึงจะรู้อย่างนั้นแล้วผมก็แค่…



อยากกลับบ้านมากมายเหลือเกิน…



จู่ๆ ภาพที่ผมหน้ามุ่ย เสียงบ่นของผู้หญิงที่บอกกับผมว่าเขาเป็นแม่ ภาพที่ผมโดนตีเพราะไปขัดใจแม่ ภาพที่หญิงอีกคนที่บอกว่าเป็นพี่สาวหัวเราะสะใจ ภาพของชายที่บอกว่าเป็นพ่อยืนห้ามแม่อย่างขบขัน และอีกหลายๆ อย่างที่เกี่ยวเนื่องกันผุดขึ้นมาในหัวผมเป็นฉากๆ ราวกับเป็นหนังภาพยนต์เรื่องหนึ่ง ผมยกมือกุมหัวด้วยความเจ็บปวด นั่งลงยองๆ โดยที่มีไอแสงที่วิ่งพรวดเข้ามาประคอง พร้อมกับถามซ้ำไปซ้ำมาด้วยความเป็นห่วง ผมพยายามตั้งสติและตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ในทันที




“ มึง…พากูกลับบ้านที ”










“ ม๊า! ม๊าเอากางเกงในผมไปไว้ไหนหมดแล้วเนี่ย ”  ผมนุ่งผ้าเช็ดตัวเดินโท่งๆ ออกมาถามแม่ผู้บังเกิดเกล้าที่กำลังนั่งหัวเราะกับซีรี่ย์อะไรของเขาก็ไม่รู้



“ ม๊าก็ไม่ได้เอาไปไหนซักหน่อย ก็ยังอยู่ที่เดิม ใครจะเอาไปกันล่ะ กางเกงในเนี่ย ” ว่าแล้วคุณนายก็หันกลับไปมองหน้าจอทีวีต่อ พร้อมกับเสียงหัวเราะที่มีฤทธิ์ราวกับระเบิดปรมาณู ทำคนหูดับได้



“ แล้วผมจะเอากางเกงในที่ไหนใส่เนี่ย ของเมื่อวานก็ซักไปแล้ว ”



“ วุ้ย แกนี่ ก็ออกไปหาซื้อสิ จำได้หมดแล้วก็น่าจะจำได้นะว่าร้านอยู่ตรงไหน ” แม่คร้าบบบ นี่ผมเอง ลูกแม่ไงงงงง (ฮือ กระซิกๆ)



ใช่ครับ ความจำผมกลับมาแล้ว แต่ก็ยังไม่ครบร้อยเปอร์เซ็น เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาหลังจากเหตุการณ์ในร้านอาหารนั้น คงทำให้ผมสะเทือนใจจนอยากกลับบ้าน อยู่ๆ ความทรงจำเกี่ยวกับบ้านก็เลยกลับมาซะอย่างนั้น แต่ผมก็ยังไม่ได้กลับไปตรวจอาการดูซักที พอหลังจากกลับมาบ้านวันนั้น แม่ผมถึงกับน้ำตาแตกเป็นเขื่อน เพราะผมแค่เรียกเขาว่า ‘ม๊า’ ตามที่เรียกปกติ พ่อบอกว่าม๊ากังวลมาหลายวัน กลัวผมจะปัญญาอ่อน เอ้ย ความจำไม่ฟื้นคืนตามปกติ เขากลัวว่าผมจะจำคนในครอบครัวไม่ได้ วันนั้นจึงเป็นวันแห่งประวัติศาสตร์เลยก็ว่าได้ ที่เราสี่คนครอบครัวกอดกันร้องไห้ โดยมีไอแสงเนียนๆ มาโอบพี่สาวผมอีกที



ส่วนไอคุณชายนั้น ผมให้ไอแสงเป็นนกต่อไปบอกเขาเรื่องที่จะกลับมาอยู่ที่บ้าน เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร ผมจึงรีบกลับไปขนข้าวของจากโรงพยาบาลกลับมาคืนนั้นเลย ส่วนค่าพยาบาลเจ้าหน้าที่เพียงแต่บอกว่ามีคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนนั้นไปแล้ว ผมเดาว่าเขาน่าจะจัดการเรียบร้อยแล้ว ผมจึงคิดในใจว่าจะนำเงินไปคืนเขาให้ได้



ความจำที่คืนกลับมามีเพียงแค่เรื่องของครอบครัวเท่านั้น แต่เรื่องของ ‘เขา’ นั้น ยังคงเป็นศูนย์เหมือนเดิม จึงทำให้อะไรๆ ในตอนนี้ก็หยุดนิ่งไปหมด แต่บางทีมันก็มีแวบขึ้นมาบ้าง เหตุการณ์บางเหตุการณ์ที่ผมนึกได้ลางๆ ซึ่งมันก็โผล่มาเป็นพักๆ จึงทำให้ผมยังไม่สามารถปะติดปะต่อได้ และรอยยิ้มสุดท้ายที่ผมเห็นในร้านนั้นยังคงอยู่ในหัวผมตลอดเวลา



คุ้นเคยแต่ในขณะเดียวกันก็เหินห่าง…



ผมรีบสะบัดความคิดนั้นออกจากหัว ขณะแต่งตัวให้เรียบร้อยเพื่อจะออกไปซื้อกางเกงใน (ได้โปรดอย่าถามว่าตอนนี้ผมใส่ตัวไหนอยู่) เดินลงมาผ่านคุณนายเสียงทองที่ยังคงนั่งหัวเราะกับซีรี่ย์เรื่องที่ผมก็ยังแปลกใจว่าจะตลกอะไรปานนั้น แล้วใส่หูฟังต่อกับมือถือเปิดเพลง เตรียมตัวปั่นจักรยานคันโปรดออกไป เสียงตะโกนลอยมาจากบ้าน ทำให้ผมชะงักเท้า



“ รัก! ม๊าฝากซื้อชาเขียวฝาขาวด้วยนะ ฮ่าๆๆๆ ฮะๆๆ โอ้ย ขำ ” เฮ้อ ครับ ย้ำเป็นรอบที่เท่าไหร่ของเรื่องแล้วก็ไม่รู้ว่านั่น แม่ผมล่ะครับ









“ รับขนมจีบซาลาเปาเพิ่มไหมคะ ” เสียงสดใสน่ารักดังมาจากพนักงานหญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้า ผมยิ้มให้ก่อนที่จะส่ายหัว หญิงสาวหยิบของทั้งหมดคิดเงินแล้วใส่ลงถุงอย่างว่องไว แม้กระทั่งกางเกงในผมก็ตาม ไม่มีความกระดากอายใดๆ ทั้งสิ้น ผมซะอีกที่อายแทน กูต้องจำเป็นขนาดไหนต้องมาซื้อกางเกงในในร้านสะดวกซื้อ (แม่ไม่รักก็เงี้ย)



ผมจ่ายเงินแล้วถือถุงเดินออกมาหน้าร้าน คว้าจักรยานขึ้นคร่อมแล้วถีบเท้าออกไปช้าๆ บรรยากาศยามค่ำๆ แบบนี้ เย็นๆ สบายๆ ผมขี่ไปเรื่อยๆ พร้อมกับปล่อยให้หัวสมองโล่ง ไม่คิดอะไร ผมรู้สึกว่าช่วงนี้ผมมีเรื่องให้คิดทุกวัน แต่ถามว่าเครียดเรื่องอะไรผมกลับไม่สามารถไล่ลำดับความคิดได้ คิดแล้วก็แปลก พอเวลาตัวเองมีความสุข เจออะไรที่ตลกขบขันก็เล่าได้เป็นฉากๆ แต่พอให้ระบายความเครียดออกมากลับทำไม่ได้ซะงั้น ก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน



ผมขี่จักรยานออกนอกเส้นทางกลับบ้าน เลือกเส้นทางเลียบแม่น้ำที่สวนบริเวณใกล้เคียงกับหมู่บ้าน เมื่อก่อนก่อนที่จะย้ายไปอยู่คอนโด พอเวลามีอะไรไม่สบายใจ ผมจะชอบมาที่นี่เสมอ สวนแห่งนี้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของหลายๆ คนที่อยู่ในระแวกนี้ ต้นไม้ให้ร่มเงาร่มรื่น ลมพัดเอื่อยๆ สบาย แม้กระทั่งยามค่ำแบบนี้ ก็คงยังมีคนมาออกกำลังกาย หรือนั่งเล่นก็ตาม



ผมปั่นไปตามทางที่มุ่งหน้าเข้าสวน เลียบแม่น้ำไปเรื่อยๆ เพลงที่ดังออกมาจากหูฟัง สายตามองไปตามทาง ปล่อยความคิดให้ไหลไปตามทาง ไหลไม่ได้ไม่เท่าไหร่ก็มาหยุดชะงักที่คำว่า ‘ไอคุณชาย’ ผมถอนหายใจเบาๆ กับความจำที่ไม่คืนมาซักที เบื่อกับสมองตัวเองจนอยากจะตบมันเบาๆ ซักที เผื่อจะหายเดี้ยง ไม่ว่าจะใครก็ตามที่อยู่รายล้อมผมไม่สามารถให้คำตอบในเรื่องนี้ได้ซักคน แม้กระทั่งไอแสงที่ชอบเผือกเรื่องชาวบ้านยังไม่ยอมปริปาก ได้แต่บอกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับผมนั้นมีอะไรมากกว่าที่มันจะเล่าได้ ผมจึงได้แต่รอ รอจนกว่าตัวคนจะมาอธิบายให้ผมฟัง พอคิดถึงเรื่องนี้ผมก็หมดอารมณ์ปั่นจักรยานต่อ จึงเบี่ยงเส้นทางออกจากสวน ตรงกลับบ้าน



โดยไม่ได้รู้ตัวเลยว่าตัวเองนั้นโดนจับตามองตลอดเวลาตั้งแต่ออกจากบ้าน….








“ กลับมาแล้วคร้าบ ” ผมหิ้วถุงที่เพิ่งซื้อจากร้านสะดวกซื้อวางบนโต๊ะ คุณนายยังคงนั่งเพ่งหน้าจออยู่เหมือนเดิม ผมจึงหยิบของส่วนตัวออกมาแล้วขึ้นไปที่ห้องนอน จัดการอะไรเสร็จเรียบร้อยก็ออกมานั่งจุ่มปุกอยู่หน้าโน๊คบุ๊คของตัวเอง เปิดอ่านคอนเทนท์เกี่ยวกับโฆษณาออนไลน์ไปเรื่อยเพื่อหาความรู้เพิ่มเติม



ตอนนี้ผมไม่สามารถออกไปหางานทำได้ เนื่องจากเขาบอกว่าสมองยังไม่ปกติ ฟังดูเหมือนจิตไม่ปกติชอบกล พ่อกับแม่ผมจึงมอบหมาย (แกมบังคับ) ให้ผมมาช่วยงานที่บ้านไปพลางๆ เพื่อที่คุณๆ เขาจะได้เบาใจซักทีที่ได้เห็นลูกชายมาจับงานต่อจากเขา และก็จะได้อยู่สายตาพวกเขาตลอดเวลา ไม่ต้องมานั่งเป็นห่วง ผมก็เข้าใจความคิดของพ่อกับแม่นะ พอรู้เรื่องราวที่เกิดกับลูกตัวเอง พ่อแม่ที่ไหนอยากจะให้กลับไปทำงานแบบนั้นอีก



อีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญคือ พวกเขาจะได้จัดทริปไปสวีทหวานแหววกันโดยที่ไม่ต้องห่วงงาน (หวานจนผมที่โสด(?)อยู่นั้น หมั่นไส้ไปตามๆกัน)



ด้วยเหตุนี้ ผมจึงต้องมาหาข้อมูล เรียนรู้กิจการที่บ้าน อะไรที่พัฒนาได้ก็จะได้จัดการต่อไปเลย ส่วนพี่สาวผมเมื่อรู้ว่าผมจะมาทำงานที่บ้านก็ยิ้มแก้มแทบปริ บอกกับผมว่าเขาจะได้โดดงานได้บ้างซักที ดูความรักใคร่ของครอบครัวผมสิครับ เฮ้อ (ถอนใจแรง)



ผมอ่านอะไรไปเพลินๆ ตา ก็ได้ยินเสียงมือถือตัวเองดังขึ้น มาจากแอพพลิเคชั่นสีเขียวๆ ที่ไว้ใช้แชทกับคนอื่นๆ จึงหยิบขึ้นมาดู คิดน่าจะเป็นไอแสงทักมา แต่สิ่งที่คาดก็ต้องหยุดลง หัวใจกระตุกแรง เพียงแค่ได้เห็นชื่อคนที่ไม่เคยแม้แต่จะติดต่อกันตรงๆ ทักมา




‘ไอคุณชาย’
‘ นอนหรือยัง? ’   22:30 pm.



ผมเบิกตากว้างกับข้อความที่ได้รับ ขยี้ตาแล้วเพ่งมองอีกครั้งเผื่อตัวเองจะมาฝาด แต่ถึงอย่างนั้นข้อความก็ยังเหมือนเดิม เหมือนกับชื่อคนที่ทักมา



‘ ไม่ตอบ ’



เขาพิมพ์ส่งมาอีกครั้ง เมื่อผมอ่านแล้วหายไปนาน ผมจึงรีบกดพิมพ์ด้วยมือสั่นๆ ตอบกลับไป



‘ ยังครับ ’



พยายามสูดหายใจลึก บังคับจังหวะการเต้นของหัวใจที่มันเร็วจนน่ากลัวให้กลับมาปกติ



‘ ทำอะไรอยู่? ’



‘ กำลังอ่านบทความไปเรื่อยเปื่อยอ่ะครับ ’



‘ เกี่ยวกับอะไร? ’



‘ ก็ธุรกิจทั่วไปแหละ ’



‘ ของที่บ้านเหรอ? ’  ถามเยอะจริงๆ เลยวุ้ย



‘ ใช่ครับ พ่อแม่ผมเขาให้กลับมาช่วยเขาไปก่อน ’



หลังข้อความของผมขึ้นว่าอ่าน แต่ยังไม่ตอบ เขาหายไปสักพักจนเป็นผมเองที่กระวนกระวาย กำลังกดพิมพ์ข้อความส่งไปถาม แชทฝั่งของเขาก็ปรากฏขึ้นเป็นลิงค์หนึ่ง ซึ่งเป็นเว็บไซด์เกี่ยวกับเคล็ดลับการทำธุรกิจต่างๆ พร้อมด้วยข้อความของเขา



‘ อ่ะ ลองเอาไปอ่านดู ’



‘ เมื่อก่อนฉันชอบอ่าน ตอนกลับมาไทยใหม่ๆ ’



‘ ขอบคุณครับ ’



‘ จะไม่กลับมาทำงานกับฉันแล้วเหรอ? ’



‘ จริงๆ แล้ว ผมยังไม่รู้เลยว่าผมทำงานตำแหน่งอะไรในบริษัทคุณ ’



‘ ตำแหน่งของนายสำคัญมากสำหรับฉัน ’  ข้อความอันกำกวมของเขานี่มันชักยังไงๆอยู่นะ



‘ ไม่ใช่แค่ตำแหน่ง ตัวนายก็สำคัญเช่นกัน   โอ้ย คราวนี้ไม่กำกวมละครับ นายท่านเล่นยิงมากขนาดนี้ หน้านี่ไถโต๊ะจนจะถลอกเลยทีเดียว นั่งจ้องข้อความนั้นอยู่นาน



‘ หลับ? ’



‘ เปล่าครับ ’



‘ นายยังจำอะไรเกี่ยวกับตัวฉันไม่ได้ใช่ไหม? ’



‘ เราเป็นแฟนกันจริงๆ เหรอครับ? ’ ผมตัดสินใจถามในสิ่งที่ผมคาใจมาตลอดแทน ถึงแม้ว่ามันจะดูหน้าไม่อายก็ตาม สิ่งที่ผมได้ยินมานั้น เจ้าตัวไม่เคยมาคอนเฟิร์มกับผมเลยสักครั้ง (ถ้าไม่นับเรื่องข้อความในกระดาษนั่นอ่ะนะ) จนผมก็คิดเป็นตุเป็นตะไปเรื่อย จนพาลเป็นบ้าเป็นบอไปคนเดียวเนี่ย



‘ อืมมมม จะว่ายังไงดีล่ะ ’



‘ เอาจริงๆ ฉันก็ไม่เคยขอนายซักทีน่ะนะ ’  ผมสำลักน้ำลายตัวเอง ไอโขลกจนหน้าดำหน้าแดงกับคำที่แสนจะกำกวมของไอคุณชายนี่



‘ แต่ฉันก็ไม่มีอะไรจะปฏิเสธ จะเรียกแบบนั้นก็ย่อมได้ '




‘ แต่ผมเป็นผู้ชายนะครับ ’

 

 

‘ แล้วฉันเป็นผู้หญิงเหรอ? ’

 

 

‘ ไม่ใช่แบบนั้นครับ! ผมหมายถึงเราเป็นผู้ชายทั้งคู่ ’

 

 

‘ มันจะดีเหรอครับ? ’

 

 

‘ มันไม่มีนิยามว่าถูกหรือผิดหรอกนะเรื่องแบบนี้ ถ้าเราว่าดีมันก็ดี ไม่เกี่ยวกับคนอื่นนิ ’

 

 

‘ ฉันไม่ได้โลกยูนิคอร์นอะไรขนาดนั้นนะ แต่ฉันแค่เห็นว่าเรื่องแบบนี้มันขึ้นอยู่กับคนสองคนไม่ใช่เหรอ ตราบใดที่เราไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน แล้วมีตรงไหนที่ไม่ดีกันล่ะ? ’

 

 

อืมมม มันก็จริงอย่างที่เขาบอก ว่าแต่ โลกยูนิคอร์นนี่มันศัพท์ใหม่เหรอ?

 

 

‘ แล้วตอนก่อนที่ผมจะเกิดเหตุ ผมทำงานอะไรให้คุณล่ะครับ? ’

 

 

‘ นายทำหลายอย่างเลยแหละ ทั้งงานที่บริษัท งานที่บ้าน และก็ ’

 

 

‘ งานส่วนตัว ’

 

 

‘ งานส่วนตัวนี่อะไรครับ? ’

 



‘  :hao3: ’    อิโมจิแบบนี้คือหมายความว่าอะไร!

 

 

-_-

 

 

‘ ฮ่าๆ ฉันล้อเล่น ก็งานเลขาฉันเอง แต่ก็ใกล้ชิดกว่าปกตินิดหน่อย ’  คืออะไรของเขากันละนั่น

 

 

‘ แล้วผมเกิดเหตุได้ยังไงเหรอครับ? ’

 

 

‘ เรื่องนี้ ฉันอยากคุยกันตัวต่อตัวมากกว่า ’

 

 

 

‘ เรามาเจอกันหน่อยได้ไหม? ’

 

 

โปรดติดตามตอนต่อไป....

 

โดนหมัดความอ่อยหนักของท่านชายไปค่ะ

K.O.!!!

หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 26!!! (20/5/64)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 20-05-2021 20:37:15
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 26!!! (20/5/64)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 20-05-2021 22:27:28
 :hao5:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 26!!! (20/5/64)
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 21-05-2021 15:51:19
ตามมาอ่าน ตอนที่ 6 ละ
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 27!!! (10/6/64)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหมีวุ่นวาย ที่ 10-06-2021 16:53:16
ตอนที่ 27
" หึงฉันล่ะสิ "




ตื่นเต้นชะมัดเลย ให้ตาย!



ผมกำมืออันชื่นเหงื่อไว้แน่น ขณะนั่งรออยู่ในร้านกาแฟเจ้าประจำ คาเฟ่ของพี่อุ่นนั่นเองครับ น่าแปลกที่ผมก็จำเรื่องราวของพี่อุ่นได้เหมือนกัน ทั้งๆ ที่ผมกับเขาไม่ได้เจอกันบ่อยมากมายนักตั้งแต่เรียนจบมา พอผมมาถึงพี่อุ่นก็โวยร้านแทบแตกใหญ่ เพราะเขาเพิ่งจะได้ข่าวว่าผมประสบอุบัติเหตุจนสลบไปตั้งสามวัน แต่เพราะตัวเขาไม่สามารถปลีกตัวได้เลย ทั้งที่ร้านและที่บ้าน จึงไม่ได้ไปเยี่ยมเลยซักที พอเห็นผมแวะมา เลยเล่นใหญ่เลยทีนี้ กว่าผมจะอธิบายให้เขาเข้าใจได้ ก็เล่นทำให้ผมแทบอยากกลับไปสมองเสื่อมเหมือนเดิมอีกรอบซะจริง



“ น้ำมาแล้วจ้า น้องรัก ” เจ้าของร้านเดินถือถาดไม้สีเข้มที่มีของหวานและเครื่องดื่มวางอยู่บนนั้น พี่อุ่นนำมาวางบนโต๊ะเสร็จเรียบร้อยก็ยังไม่ได้เดินกลับไปที่เคาท์เตอร์ แต่เดินไปที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามแล้วนั่งลง ผมมองตามด้วยความสงสัย





“ พี่ไม่ต้องไปประจำที่เคาท์เตอร์เหรอครับ ”




“ วันนี้แฟนพี่มาช่วยน่ะ เลยเบาลงไปหน่อย ไม่งั้นล่ะก็ยุ่งตาลีตาเหลือกเลย ”  หืมม ผมก็เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าเขามีแฟนแล้ว เพราะปกติไม่เคยเห็นเขาที่ร้านเลย




“ พี่มีแฟนแล้วเหรอครับ ”




“ ใช่จ๊ะ คบมาตั้งนานแล้วแหละ หกเจ็ดปีได้แล้ว ”




“ โหพี่ ผมไม่รู้เลยนะเนี่ย งั้นพี่ก็มีตั้งแต่ผมยังเรียนอยู่เลยน่ะสิ ”  พี่อุ่นยิ้มเขินเมื่อเห็นผมตกใจหนักมาก




“ ใช่แล้ว จริงๆ เขางานยุ่งมาก นานๆ ทีจะปลีกตัวมาหาที่ร้านได้ ปกติเราเจอกันที่บ้านซะส่วนใหญ่ มีไปเที่ยวข้างนอกบ้างบางที ”




“ แล้วพี่ไม่คิดมากเหรอ แฟนพี่งานยุ่งขนาดนั้น เอ้อ ผมถามได้ไหมเนี่ย พี่อะไรหรือเปล่า ” ผมรีบขออนุญาต หลังจากถามคำถามที่ค่อนข้างจะส่วนตัวของพี่เขา แต่อีกฝ่ายส่งยิ้มกว้างแทนคำตอบ




“ ถามได้ ไม่ซีเรียสๆ ” พี่อุ่นหัวเราะกับท่าทีเกรงใจของผม “ ถ้าถามว่าพี่คิดมากไหมอ่ะเหรอ ก็มีบ้างนะช่วงแรกๆ แบบช่วงที่พี่ดาวน์อะไรแบบนี้ แต่เหมือนเขามองทะลุพี่จนหมดเปลือกอ่ะเอาจริงๆ เวลาที่พี่ไม่สบายใจเขาก็จะรีบมาหาพี่แล้วนั่งคุยกันตรงๆ เลย มันก็เลยทำให้พี่สบายใจว่าเขามั่นคงและจริงใจ และก็จนถึงตอนนี้น่ะ พี่ไว้ใจเขามากจนไม่คิดอะไรแบบนั้นแล้ว กลายเป็นเราไว้ใจซึ่งกันและกัน ตอนนี้พี่ก็มีความสุขดี ”




“ ดีจังเลยนะพี่ ความสัมพันธ์ที่จริงใจและไว้ใจกัน ”




“ ถามพี่แบบนี้ อย่าบอกนะว่า… ฮั่นแน่! เรากำลังอินเลิฟใช่ม้า ” หญิงสาวทำหน้ากรุ่มกริ่ม ส่งสายตาวิบวับจนผมหน้าเห่อร้อน ต้องรีบแก้ตัวเป็นการใหญ่ อธิบายอยู่นานจนเขายอมเดินกลับไปที่เคาท์เตอร์ แต่ก็ยังไม่วายหันกลับมายิ้มให้ผมแทนคำพูดว่าเขารู้ทัน ตอนนั้นเองที่ผมได้เห็นชายร่างสูงสมส่วนคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว นั่นคงจะเป็นแฟนพี่เขาสินะ ผมส่งยิ้มให้เมื่อเห็นเขาโบกมือทักทายมา ก่อนที่ตัวผมจะมานั่งตื่นเต้นอีกครั้ง ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูก็พบว่าใกล้จะถึงเวลาที่ผมนัดกับไอคุณชายแล้ว



ผมก้มลงมองตัวเองในเสื้อผ้าที่เลือกอยู่นาน เพราะไม่มั่นใจว่าตัวเองจะดูดีพอหรือเปล่า ไหนจะทรงผมที่เซ็ตอย่างบรรจงนี่อีก ทำอย่างกับคนจะมาเดตนั่นล่ะ



อะไรนะ เดต!!!!



นี่ผมกำลังคิดอะไรอยู่เนี่ยยยยย



ผมนั่งขยี้หัวตัวเอง เพราะไอความคิดบ้าๆ นี้อยู่นาน




“ เหาขึ้นเหรอไง ขยี้ซะขนาดนั้น ” เสียงอันคุ้นหูดังขึ้นข้างๆ ตัวผม ทำให้ผมชะงักกึก ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมามองต้นเสียง ใบหน้าอันแสนจะคุ้นเคยทั้งๆ ที่ผมยังจำเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเขาไม่ได้ แต่จิตใต้สำนึกของผมมันฟ้องทุกเมื่อเชื่อวันว่า ผมมีความรู้สึกดีมากๆ กับเขา มากๆ แบบมากๆ อ่ะ



ในขณะที่ผมยังคงนั่งตะลึงมองคนพูดอยู่นาน ร่างสูงก็เดินมานั่งตรงข้ามผม มองของกินบนโต๊ะครู่หนึ่ง แล้วก็เลื่อนสายตามามองผมที่ยังคงนั่งนิ่งเหมือนเดิม




“ นี่ จะมองหน้าฉันอีกนานไหมเนี่ย ” ผมสะดุ้งเล็กน้อย ยกมือขึ้นมาเกาหัวแก้เก้อ




“ อะ เอ่อ ขอโทษครับ คุณต้องการสั่งอะไรไหมครับ ” ผมรีบยกเมนูที่วางอยู่ข้างตัวผม ยื่นส่งให้คนตรงข้าม




“ อืมม เสียใจอ่ะ นายไม่สั่งเผื่อฉันเลย ” น้ำเสียงราบเรียบผิดกับความหมายของประโยค คนพูดยังคงถือเมนูเล่มนั้นแล้วพลิกหน้าไปมา ถอนหายใจเล็กน้อย สีหน้าเศร้าลง




“ ผม..ขอโทษ พอดีไม่รู้ว่าคุณชอบกินอะไร ก็เลย… ” อีกฝ่ายยกมือขึ้นห้ามไม่ให้ผมพูดต่อ




“ ช่างเถอะ ก็คงจะมีแต่เรื่องของฉันคนเดียวที่นายยังจำไม่ได้ซักที ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็ลุกขึ้นเดินถือเมนูไปที่เคาท์เตอร์ ทิ้งให้ผมกระวนกระวายใจในประโยคที่เขาพูด ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำไมจะต้องไปรู้สึกผิดขนาดนั้นด้วยเหมือนกัน




“ ผมขอโทษนะที่ทำให้คุณเดือดร้อน ” ผมรีบชิงพูดก่อนหลังจากที่เขาเดินกลับมานั่งลงที่เดิม




“ ไม่ต้องขอโทษหรอก มันไม่ใช่ความผิดนายซะทีเดียว ” แต่สีหน้าของคนพูดก็ยังคงเศร้าเหมือนเดิม ทำให้ผมยิ่งทำอะไรไม่ถูกเข้าไปใหญ่




“ คุณจะให้ผมทำอะไรก็ได้ แต่ผมขอร้องล่ะ ยกโทษให้ผมเถอะ ผมไม่รู้จะทำยังไงให้จำเรื่องคุณได้ซักที ”




“ จริงนะ ”




“ อะไรนะครับ ”




“ ที่ว่าบอกจะทำอะไรก็ได้น่ะ ” ถ้าผมไม่ได้ตาฝาดไป ทำไมผมถึงรู้สึกว่าหลังของไอคุณชายนั้นมีหางกระดิกไปมาอยู่ เหมือนสุนัขเวลาที่มันเจอของถูกใจ เอ่อ ไม่ได้ตั้งใจว่าว่าเขาเป็นหมาหรอกนะ




“ เอ่อ ก็ตามนั้นแหละครับ ”




“ หึๆ ” จากคนท่าทางเศร้าหมอง ตอนนี้กลับพลิกหน้าราวกับเป็นคนละคนกับเมื่อกี้ ไอคุณชายกอดอก ยกขาขึ้นไขว่ห้างพร้อมกระดิกเท้าเล็กน้อย แสยะยิ้มที่ชวนให้ผมขนลุกหน่อยๆ




“ เอาเถอะ เดี๋ยวเรื่องนี้เราค่อยว่ากัน ฉันจะมาเล่าเรื่องราวของนายก่อนที่จะเกิดเหตุให้ฟัง ”









“ ไง อึ้งเลยล่ะสิ ” ผมนั่งนิ่งหลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมดแบบฉบับสั้นและกระชับ บอกตรงๆ ว่าตัวผมที่ผ่านมาทำไปได้ยังไงกัน…




“ ผมขอถามตรงๆ ได้ไหมครับ ”




“ ว่ามา ”




“ ผม.. เอ่อ ตื้อคุณเข้าทำงานด้วยการแบบ เอ่อ ยะ อย่างนั้นจริงๆ เหรอครับ ” รู้สึกถึงความเห่อร้อนของใบหน้าทันทีที่วกเข้าเรื่องนี้ ไอคุณชายแสยะยิ้ม (อีกแล้ว) ก่อนจะพยักหน้า




“ ยังไม่พอนะ นายน่ะ รู้ตัวไหมว่าชอบแต๊ะอั๋งฉันมาก ย่องเข้าห้องฉันแทบทุกคืน ฉันไล่ยังไงก็ไม่ไป ตื้อจะมานอนกับฉันให้ได้เลย ” ผมไม่รู้จะทำหน้ายังไงเมื่อได้ยินแบบนั้น จริงอยู่หรอกที่เจ้าตัวหน้าตาหวานมาก แถมตัวขาวจั๊วแบบฉบับคุณชายเลยจริงๆ ขนาดผมในตอนนี้ยังแอบมองบ่อยๆ เลย แล้วตัวผมเมื่อก่อนคงจะ…





ฮือ อยากตาย




ผมยกมือขึ้นมาปิดหน้าด้วยความอายอย่างสุด กูทำไปได้ยังง๊ายย





“ แล้วเรา เอ่อ เป็นแฟนกันได้ยังไงครับ ” ไหนๆ ก็อายแล้ว อายให้มันสุดเลยละกัน




“ หึ ก็อย่างที่บอก ฉันยังไม่เคยขอนายอย่างเป็นทางการหรอก ” อีกฝ่ายยกกาแฟดำขึ้นมาดื่มช้าๆ “ แต่เราก็อยู่ด้วยกัน แล้วฉันก็โดนนายแต๊ะอั๋งบ่อยๆ ฉันก็เลยถือว่าเราเป็นแฟนไปเลยละกัน นายก็ไม่เคยเกี่ยงด้วย ” ผมก้มหน้ามองลงพื้น สรุปแล้วกูชอบผู้ชายแต่ต้นเลยหรือนี่ ถึงแม้สิ่งที่ไอคุณชายเล่ามันจะฟังดูทะแม่งๆ ก็ตาม แต่ถ้าวัดจากความรู้สึกตอนที่ผมเห็นเขาครั้งแรกเมื่อกี้นี้แล้ว บอกตามตรงว่าผมเริ่มจะเชื่อจริงๆ




“ นี่ เรื่องที่ฉันเล่ามาทั้งหมดนี่ มีแต่เรื่องนี้เหรอที่นายสงสัย ” ผมพยักหน้าทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่




“ ไม่ต้องช็อคขนาดนั้นหรอก ฉันไม่ได้รู้สึกไม่ดีหรืออะไรหรอกนะ ”




“ แต่…ผมก็ยังรู้สึกแย่อยู่ดี เหมือนผมเป็นโรคจิตยังไงก็ไม่รู้ ” ไอคุณชายหัวเราะ ผมถอนหายใจดังเฮือก ก่อนจะรู้สึกถึงสัมผัสแผ่วเบาที่ผม เมื่อเงยหน้าขึ้นมา ผมก็ต้องตกใจเพราะคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามผม โน้มตัวมาใกล้ๆ ผมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มือของเขายังคงลูบหัวผมอยู่ช้าๆ สีหน้าอ่อนโยนอย่างที่ผมไม่เคยเห็น ก็แน่ล่ะ ตั้งแต่ฟื้นมานี่ก็เป็นแค่ครั้งที่สองที่ผมได้เห็นหน้าเขาแบบตัวต่อตัว ตอนนี้ผมว่าหัวใจผมคงเต้นเหนื่อยน่าดู




“ หลงเสน่ห์ฉันอีกแล้วล่ะสิ ”




“ หยุดพูดเถอะครับ! ” อีกฝ่ายหัวเราะร่า โอ้ใจเอ๋ย อย่าเต้นแรงนักเลย แค่ได้เห็นรอยยิ้มของเขาก็ทำให้ผมเป็นเอามากแล้วล่ะนะเนี่ย ผมยกมือลูบหน้าอกเบาๆ พลางเตือนสติตัวเอง สติน่ะ สติ! ไอรักมึงช่วยดึงสติหน่อยย




“ เอาล่ะๆ ไม่แกล้งแล้ว ” ไอคนตัวขาวพยายามหยุดหัวเราะ แต่มุมปากก็ยังไม่วายจะยกขึ้นอยู่อย่างนั้น ผมจึงอดหน้ามุ่ยไม่ได้ แม่ง โดนแกล้งอีกแล้ว




“ แล้ว…คุณพอจะรู้ไหมว่า ทำไมถึงเกิดเหตุกับผมได้ล่ะครับ ทั้งๆ ที่ผมก็ไม่ได้มีเอี่ยวอะไรกับชีวิตส่วนตัวคุณ นอกจากเอ่อ…เป็นแฟนกันนั่นอ่ะ ”




“ อืมม ฉันพอจะรู้มาบ้างจากคนสนิทของฉัน ว่าคนร้ายคือใคร แต่ก็ยังไม่สามารถปักใจเชื่อได้ว่าเหตุจูงใจของมันคืออะไร แต่ที่แน่ๆ ที่นายโดนหางเลขไปด้วย ก็เพราะว่านายเป็นแฟนฉันนี่ล่ะ ” ผมขมวดคิ้วทันทีที่ฟังจบ




“ ทำไมล่ะครับ เพราะเขาหลงรักคุณเหมือนกันเหรอ ” พรืด ไอคุณชายขำเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับท่าน ผมจึงมองหน้าเขาด้วยความเอือมระอาสุดขีด เห็นผมเป็นตัวตลกหรือไง พูดอะไรก็ขำขนาดนี้เนี่ย




“ นายคิดว่าฉันมีเสน่ห์ต่อเพศเดียวกันขนาดนั้นเลย? ” คนพูดเอ่ยด้วยเสียงสั่นๆ เพราะกลั้นหัวเราะ




“ ก็…ถือว่าแบบนั้นก็ได้ครับ แต่เอ๊ะ คุณจะบอกว่าคนที่คุณสงสัยเป็นผู้ชายเหรอครับ ”




“ ใช่ ฉันว่าฉันรู้ตัวแล้วด้วยว่าใคร ฉันถึงจะมาบอกนายว่าให้ระวังตัว เพราะเขารู้จักนายค่อนข้างดี ” ใครกันวะ รู้จักดีผมด้วย ผมพยายามนึกหน้าของคนที่น่าสงสัย แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก หรือจะไอแสง? คนอย่างมันแค่นั่งทับมดก็น้ำตาไหลพรากแล้ว เพราะฉะนั้นไม่น่าจะใช่มัน แล้วนี่ผมจะมานั่งสงสัยเพื่อนตัวเองทำไมกันละเนี่ย ถ้ามันรู้ล่ะน้อยใจผมตายห่า พูดเลย



ผมรีบสะบัดความคิดติงต๊องออกจากหัว พอเงยหน้าขึ้นมองคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม ก็ชะงักกับสายตาที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว ตรึงสายตาผมให้มองอยู่อย่างนั้น ความอาลัย ความคิดถึง ความโหยหา สื่อออกมาจากสายตาคู่สวย ผมไม่รู้ว่าระหว่างที่ผมอยู่ในห้องพักคนไข้นั้น เขาเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้คำตอบนั้นผมว่าผมรู้แล้วล่ะ



คนตรงหน้าผมนี้ก็ทรมานไม่ต่างจากตัวผมเท่าไหร่เลย



เป็นเขาที่คอยระแวดระวังหลังให้ผม เป็นห่วงผมทุกย่างก้าว ถึงกับให้มีคนมาเฝ้า มีคนมาอยู่ด้วยไม่ให้ผมฟุ้งซ่าน แม้กระทั่งเรื่องของครอบครัวผมก็เป็นฝ่ายดูแลให้อย่างดี ผมไม่รู้ว่าเขาทำยังไง ใช้วิธีไหน แต่ที่รู้คือแทบทุกเรื่องในชีวิตผม ก็เป็นเขานั่นแหละที่เป็นคนดูแล



คนคนหนึ่งจะสามารถ ‘เป็นห่วง’ อีกคนได้มากมายขนาดไหน ถ้าไม่ใช่เพราะ….รัก



ทำไมผมถึงได้มั่นใจในคำคำนี้ซะจริง ขนาดที่ว่าผมยังจำอะไรเกี่ยวเขาไม่ได้ซักอย่าง หัวสมองลืม แต่ทว่าหัวใจมันก็คงยังทำงานของมันอยู่ร่ำไป ประโยคที่ว่า ความรู้สึกโกหกเจ้าของร่างไม่ได้ มันก็คงจะจริง เพราะตอนนี้ผมรับรู้ได้อย่างมั่นใจว่า คนตรงหน้าผมนี้เป็นคนสำคัญของผมจริงๆ




“ นายชอบตาฉันใช่ไหม ” จู่ๆ ก็เหมือนถูกลากให้ตกจากเหวบนสวรรค์…




“ ถามอะไรแบบนั้นครับ ”




“ หึ ก็เห็นชอบแอบมองบ่อยๆ ถ้าชอบขนาดนั้นฉันก็ไม่ว่าหรอกนะที่จะมามองใกล้ๆ น่ะ ” โอ้ยย ไอคนหลงตัวเอง!




“ ผมมองเพราะคุยด้วยเฉยๆ หรอก ” ผมเถียงข้างๆ คูๆ หลบสายตาเขา




“ หึๆ เอาเป็นว่าตอนนี้ในเมื่อนายออกจากโรง’ บาลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฉันเลยให้คนของฉันมาคอยดูแลความปลอดภัยให้อยู่ห่างๆ ” อย่าบอกนะว่าเป็นพี่หน้าห้องคนนั้น




“ เอ่อ จริงๆ แล้วก็ไม่ต้องก็ได้ครับ ผมเกรงใจ ”




“ นายไม่ไว้ใจ? ” คนถามเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย




“ เปล่านะครับ! เขาทำหน้าที่อย่างดี แต่ผมก็แค่ เอ่อ เกรงใจ ” ผมเสหลุบสายตามองมือตัวเองที่กุมกันไว้




“ ไม่ใช่เพราะนายไปก่อคดีอะไรไว้งั้นเหรอ ” เฮือก! ชิบหาย เขารู้ รู้ได้ยังไงกันเนี่ย!




“ ฮะๆ คดีอะไรครับ ผมไม่เห็นรู้เรื่อง ” ผมหัวเราะกลบเกลื่อน แต่ก็ไม่สามารถหลบสายตาคมกริบนั้นไปได้ ฝ่ายนั้นถอนหายใจเบาๆ




“ ฉันเป็นห่วงนายหรอกนะถึงพูด นายไม่รู้หรอกตอนที่คนของฉันมารายงาน ฉันตกใจขนาดไหน ” มือของผมที่วางอยู่บนโต๊ะถูกฝ่ามืออุ่นของเขากอบกุมไว้หลวมๆ “ ฉันรู้ นายคิดถึงฉันจนทนไม่ไหวใช่ไหมล่ะ ” ผมรู้สึกถึงความเห่อร้อนของหน้า ทำไมถึงเป็นคนที่พูดออกมาได้อย่างหน้าไม่อายอะไรขนาดนั้น




“ ผมก็แค่อยากออกไปสูดอากาศบ้าง อยู่เฉยๆ หลายวันโดยที่ไม่มีอะไรทำ มันผิดวิสัยผมครับ ” และผมก็เป็นคนที่แถได้ยอดเยี่ยมมาก แล้วก็ได้ยินเสียงเขาหัวเราะในลำคอ จึงรู้ได้เลยว่าเขารู้ทัน ให้ตายสิ!




“ เอาน่า อย่าทำหน้าบูดขนาดนั้น ฉันแค่ดีใจ ที่นายก็คิดถึงฉัน ” มือของผมถูกกระชับแน่นขึ้น และอยู่ๆ ผมก็นึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น ที่เขากับ…ผู้หญิงคนนั้นนั่งกินข้าวด้วยกัน ยิ้มแย้มให้กันอย่างมีความสุข และผมที่ยืนเคว้งราวกับพื้นที่ผมเหยียบอยู่นั้น มันค่อยๆ ถล่มลงร่วงลงไป หากไม่ได้ไอแสง ผมว่าคงยืนแช่อยู่ตรงอยู่นานจนโดนไล่เป็นแน่




“ เป็นอะไรไป นิ่งเชียว ” เสียงทุ้มดึงผมออกจากภวังค์




“ ผมขอถามอะไรอีกได้ไหมครับ ”




“ ว่า ”




“ วันนั้น…ในร้านอาหาร ผมเห็นคุณกับผู้หญิงนั่นกินข้าวด้วยกัน ” ผมตัดสินใจพูดเหตุการณ์ในวันนั้นขึ้นมา ขณะที่ผมกำลังจะเรียบเรียงคำพูดให้ตัวเองไม่ดูเป็นคนงี่เง่าที่เที่ยวเป็นบ้าไปเรื่อย




“ นั่นน่ะ เพื่อนที่เคยเรียนด้วยกันของฉันเอง ”




“ หา? ”




“ ตามนั้น มีคนตามฉันอยู่ช่วงนี้ และถ้าฉันคาดการณ์ไม่ผิด มันกำลังหาเป้าหมายใหม่มาแทนนายที่เดี้ยงไปแล้ว ”




“ สรุปแล้วคนร้ายมันหึงคุณใช่ไหมครับ ”




“ ไม่หรอก ฉันว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น แต่ตอนนี้ฉันกำลังให้คนไปสืบอยู่ คงจะรู้เร็วๆ นี้แหละ ” ผมรู้สึกว่าความมืดมัวในใจของผมมันหายไปในพริบตา ทันทีที่รู้ความจริง




“ ทำไม หึงฉันใช่ไหมล่ะ ทำหน้าโล่งอกขนาดนี้ ”




“ เหอะ ”




“ ดื้อแล้วยังปากแข็ง ระวังโดน ‘ทำโทษ’ ” ผมทำหน้าสงสัย คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้ยินคำว่า ‘ลงโทษ’ ออกจากปากเขา แต่ก็รู้สึกขนลุกโดยไม่ทราบสาเหตุ ด้วยรู้แน่ว่ามันคงไม่ใช่อะไรที่ดีนัก




“ อ้อ ลืมไป นายคงจำไม่ได้สินะ จะให้ฉันทบทวนความจำไหมล่ะ ”




“ ไม่ครับ! ” เขาหัวเราะลั่น





“ ของหวานมาแล้วค่า ” เหมือนเสียงสวรรค์มาโปรดเลยครับ พี่อุ่น! หญิงสาววางของหวานรวมถึงเครื่องดื่มลงบนโต๊ะ ผมมองพี่อุ่น ก็เห็นเขาส่งซิกทางสายตามาให้ผมประมาณว่า ‘หล่อเทพบุตรคนนี้คือใคร’ ผมจึงรีบเขม่นตาบอกให้รีบไป เดี๋ยวอธิบายให้ฟัง แต่ก่อนที่อะไรจะเป็นอะไร




“ ขอบคุณครับ ” พร้อมกับยิ้มหวานเต็มร้อยส่งตรงถึงคนเสิร์ฟ อย่าว่าแต่พี่อุ่นเลยที่หลงระเริง ตัวกูเองเนี่ยแหละที่จะไม่รอด




“ ฮืออ อย่ายิ้มให้พี่ พี่ยังไม่อยากนอกใจแฟน ” ถ้าหูผมไม่แว่วไปเอง ผมว่าผมได้ยินเสียงกระแอมนั่นดังมาทางเคาท์เตอร์ ส่วนไอคนตัวปัญหาก็หัวเราะน้อยๆ แล้วเลื่อนสายตามามองผมที่กำลังเคลิ้มอยู่สะดุ้งทันที เจ้าตัวยักคิ้วให้ทีหนึ่ง ผมจึงอดเบะปากใส่ไม่ได้




“ ว่าแต่คุณน้องเป็นเพื่อนของรักเหรอจ๊ะ ”




“ เพื่อนเหรอครับ อืมม จะว่ายังไงดีล่ะ ” ทำเสียงใสเป็นหนุ่มน้อย แต่สาบานว่าสายตาที่มองผมนั่นไม่น้อยแน่ๆ มันร้ายครับ! มันร้าย!




“ หรือว่า…. ” พี่อุ่นร้องเสียงหลง สีหน้าตื่นตระหนก ผมซึ่งกำลังงงๆ หน้าเหลอหลามองหญิงสาวที มองไอคุณชายที




“ ตามนั้นแหละครับ ” อยู่ๆ พี่อุ่นก็เขิน บิดตัวเป็นเกลียว มองผมด้วยสีหน้ากรุ่มกริ่ม ช่วยบอกกูที เขารู้อะไรกัน!




“ เอาล่ะๆ พี่ไม่กวนละ มีความสุขมากน้า พี่ฝากรักด้วยนะ เอ้อ น้องชื่ออะไรนะ ”




“ ดะ เดี๋ยวๆ พี่อุ่น… ” ผมรู้สึกทะแม่งๆ กับประโยคที่พี่อุ่นพูด กำลังจะถามแต่ก็โดนขัดขึ้นมาซะก่อน




“ ผมเนตรครับ เนตรนภิศ พี่คงเป็นพี่อุ่นใช่ไหมครับ ได้ยินรักเขาเรียก ”




“ ใช่จ้า พี่รู้จักกับรักมาตั้งแต่มันยังใส่ชุดนักเรียนม.ปลายอยู่เลย ดูสิ นี่เรียนจบมหา’ ลัยไปละ เฮ้อ พูดแล้วก็เหมือนดูลูกตัวเองโต ” เอ่อ พี่ครับ….




“ น่ารักใช่ไหมล่ะครับ ” เดี๋ยวววว พูดอะไรของมึง ไอคุณชายยยย




“ คิกคิก ท่าทางคุณเนตรจะหลงมันเอามากนะเนี่ย ”




“ หลงอะไรกันครับ! ” ผมที่เริ่มจับเสียงตัวเองได้ หลังจากที่หลงเสียงหายเพราะแทรกไม่ได้มาสักพัก




“ ฮ่าๆ ไม่ต้องเขินหรอกคุณน้อง มีผู้ชายเพอร์เฟคขนาดนี้มาถวายพานให้ถึงที่ คุณน้องก็อย่าเกรงใจเลย เดี๋ยวจะไม่ทันโดนคนอื่นเอาไปหรอกนะจ้า ” ว่าแล้วคนพูดก็เดินยิ้มจากไป เหลือแต่ผมที่กำลังอึ้ง กับไปตัวปัญหาที่มันนั่งไขว่ห้าง เท้าแขนกับพนักมองมายังผม วางมาดราวกับตัวเองเป็นมาเฟียหลุดออกมาจากในหนังยังไงอย่างนั้น




“ ชอบผมเหรอครับ ” ความองความอายหายไปจากตัวผมหมดแล้ว




“ คิดว่าไงล่ะ ” อีกฝ่ายทำท่าไม่สะท้าย แถมมองผมด้วยสายตาที่ทำให้หน้าผมเห่อร้อนขึ้นกว่าเดิม




“ ท่าจะ ชะ ชอบผมเอามากสินะครับ ” ผมยังคงมั่นหน้า (หน้าด้าน) ถามต่อไป ด้วยเสียงที่สั่นนิดๆ แต่แล้วก็ต้องเป็นฝ่ายแพ้อย่างราบคาบ




เพราะรอยยิ้มพิฆาตหัวใจ (ผม) ของเจ้าตัวนั่นแหละ!





โปรดติดตามตอนต่อไป....


งื้ออออ ไอคุณชายลูกกกก เบาๆหน่อย ไรท์จะละลายยย (เขียนเองเขินเอง) ><

 :-[   :impress2:



หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 27!!! (10/6/64)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 10-06-2021 18:22:08
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 27!!! (10/6/64)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 11-06-2021 22:59:16
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 28!!! (30/6/64)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหมีวุ่นวาย ที่ 30-06-2021 13:28:47
ตอนที่ 28
" เจ้าของหัวใจไง "





  (เนตรนภิศ พากย์)


“ ท่าจะ ชะ ชอบผมเอามากสินะครับ ” ท่าทางมั่นใจแบบเงอะๆงะๆของเจ้าตัวทำให้เขาเกือบหลุดหัวเราะออกมา ถ้าไม่ใช่ว่าต้องแกล้งเก๊กไปก่อน เขาคงน้ำตาเล็ดไปแล้ว เขาไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แต่ยิ้มให้เท่านั้น และรู้ด้วยว่าอีกฝ่ายแพ้ใบหน้าเขาเอามากๆ
 


และนั่นไง ก็ไม่ได้เหนือความคาดเดาของเขาเลย อีกฝ่ายหลบตาเขาจ้าละหวั่น แถมหน้าสังเกตนิดหนึ่ง ก็จะเห็นว่าแก้มของรักขึ้นสีนิดๆด้วย
 


เขานึกครึ้มในใจอกตัวเองเงียบๆ ไม่ได้อารมณ์ดีแบบนี้มานานเท่าไหนแล้วนะ อาจจะตั้งแต่เกิดเรื่องได้ละมั้ง แค่ไม่กี่นาทีในตอนนี้ที่ได้อยู่กับรัก ก็ปัดเป่าทุกความเครียดและความกังวลในใจเขาหายไปหมด ถึงแม้ว่าความจำเกี่ยวกับเขาจะยังไม่คืนมาก็ตาม
 


ความจำน่ะมันเรียกคืนได้ แต่นิสัยหรือให้เรียกบ้านๆก็สันดานของคนน่ะ มันเปลี่ยนกันยาก เพราะฉะนั้นแล้วต่อให้ความจำเขาหายไปหรือจะความจำเสื่อมไปตลอดชีวิตยังไงก็ตามแต่ อุปนิสัยเขาก็ยังคงเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง นี่เป็นจุดหนึ่งที่ทำให้เขารู้ได้ว่ารักจริงใจ ไม่ได้เข้าหาเพราะสิ่งนอกกายที่เขามี
 


เขายังไม่เคยบอกกับรักว่าเขาแอบตามเจ้าตัวอยู่ห่างๆมาตั้งแต่รักออกจากโรงพยาบาล ล่าสุดก็ตอนที่รักออกไปซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อแล้วแวะเข้าไปที่สวนข้างบ้าน ตอนแรกเขาก็ตกใจนึกว่ารักหลงทาง เพราะเห็นขี่จักรยานวนไปวนมาหลายรอบ เหมือนคนไม่มีที่จะไป แต่พอเฝ้าดูนานๆไปก็เข้าใจว่า เจ้าตัวคงจะขี่เล่นเฉยๆ
 


“ เอาล่ะ สิ่งที่ฉันจะพูดกับนายมีเท่านี้แหละ ” เขาตัดสินใจจบบทสนทนาเท่านี้ก่อน เพราะรู้ว่าไม่มีเวลามากนัก และรู้ด้วยว่าอีกไม่นานคนที่แอบตามเขามาจะรู้ซะก่อนว่าผมมาหารักและยังคงติดต่อรักอยู่ ก่อนจะออกมาจากบริษัท คนของเขารายงานมาว่าฝ่ายนั้นพยายามตามเขาอยู่ ซึ่งเขาก็สลัดหลุดไปตอนช่วงที่เกิดอุบัติเหตุบนถนน จึงมาหารักได้อย่างโล่งใจ แต่ก็ยังไม่สามารถวางใจได้เช่นกัน



“ คุณจะกลับแล้วเหรอครับ ” เขาจะไม่อะไรเลยนะ ถ้าไม่เห็นท่าทาง ‘หงอย’ แบบที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวซะก่อน



“ ใช่ ฉันแอบออกมาแปปนึงเฉยๆน่ะ เดี๋ยวฉันมีไปประชุมต่อ ”



“ เอ่อ แล้วหลังจากนี้ผมจะสามารถติดต่อคุณได้อีกไหมครับ ”



“ นายมีเบอร์ฉันแล้วนิ ไลน์ก็มี ติดต่อฉันได้ทุกเมื่อ ”



“ จริงนะครับ ” เขาหัวเราะในลำคอที่เห็นเจ้าตัวดีใจกับเรื่องเล็กน้อยเท่านี้



“ ฉันดีใจนะเนี่ยที่นายก็คิดถึงฉันเหมือนกัน ”



“ หา! ใครดีใจกัน ผมก็แค่ เอ่อ กลัวคุณชิ่งหนีปล่อยให้ผมสมองเสื่อมอยู่แบบนี้ก็เท่านั้นเอง ” อีกฝ่ายเฉไฉไปเรื่อย แต่ก็ยังปิดความดีใจบนหน้าไม่มิด แบบนี้จะให้เขาอดใจไหวยังไง ให้ตาย! อยากฟัดชิบเลยโว้ย
 


เอ้ย คิดอะไรของเขาเนี่ย อะแฮ่มๆ
 


“ อ้อเหรอ งั้นฉันบอกได้เลยว่าฉันไม่ชิ่งหนีไปไหนหรอก ยังไงซะเราก็เป็นแฟนกัน ”



“ ไอบ้า! เอ้ย ขอโทษครับ คุณพูดเบาๆสิ จะพูดดังเพื่ออะไร คนอื่นเขาได้ยินหมดแล้ว ” รักพูดตะกุกตะกัก ท่าทางอายอย่างเห็นได้ชัด จนเขากลั้นขำไม่อยู่ เพิ่งรู้ว่าการแกล้งคนตรงหน้าเขาก็เป็นงานอดิเรกไปแล้ว



“ เอ๊า เขาจะได้รู้ไงว่านายมีเจ้าของแล้ว ”



“ ของเขิงบ้าบออะไรกัน ผมไม่ใช่หมาแมวนะจะได้มีเจ้าของ ”



“ เจ้าของหัวใจไง ”



“ โอ้ย! ไม่พูดกับคุณแล้ว พูดไม่รู้เรื่อง ” หน้ามุ่ย ถ้าไม่สังเกตเห็นใบหูแดงๆนั่น คงนึกว่าเจ้าตัวขัดใจจริงๆนะนั่น อดใจไม่ไหว ยื่นมือไปบีบแก้มของอีกฝ่ายอย่างหมั่นเขี้ยว รักปัดมือแถมโวยวายแบบเขินๆ เขาจึงหัวเราะออกมา ยังไม่วายโดนมองแรงใส่ด้วย แต่ก็ไม่แคร์หรอก ถ้าได้เห็นหลายๆอย่างในตอนนี้ เก็บเกี่ยวให้ได้ที่สุดเผื่อในวันที่เขาไม่ได้เจอรัก
 


และก็ไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุอะไรขึ้นอีก แต่เขาสัญญาว่าจะไม่ทิ้งรักไว้ข้างหลังแน่นอน
 
 
 
 








 

“ คุณเนตรครับ ผมได้รับเรื่องมาจากคนของคุณชัชวาลว่าตอนนี้เขาได้เบาะแสบางอย่างเกี่ยวกับคนร้ายครับ ” เสียงของเลขา  ดึงความสนใจของเขาจากกองเอกสารบนโต๊ะ เขายื่นมือไปรับซองเอกสารสีน้ำตาล แล้วดึงแผ่นกระดาษออกมาดู รูปภาพและข้อมูลที่ปรากฏบนเอกสารที่อยู่ในมือของเขานี้ ทำให้เขาชะงักนิ่งทันที
 


“ นายแน่ใจใช่ไหมว่านี่คือข้อมูลที่ถูกต้อง ” เขาเงยหน้าจากเอกสารถามเลขาที่ยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้า



“ ใช่ครับ เขาส่งมาให้เราเมื่อเช้านี้ครับ ” เขาไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม เพียงแต่บอกให้เลขาออกจากห้องไปก่อน จากนั้นก็นั่งครุ่นคิดอยู่กับตัวเองพักใหญ่
 


จากการคาดเดาของเขานั้น หากอ้างอิงตามในเอกสาร ก็ไม่ได้คาดเคลื่อนกันมากนัก แต่ประวัติของคนร้ายก็ทำให้เขาตกใจ เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็นคนใกล้ตัวมากขนาดนี้ และเรื่องนี้พ่อเขาต้องร้อนใจแน่นอน เพราะคนคนนี้มีความเกี่ยวพันกันกับเพื่อนของพ่อเขา เขาจำนามสกุลของเพื่อนพ่อคนนี้ได้ ที่ตั้งแต่จำความได้ก็มาหาพ่อกับตัวเขาบ่อยครั้ง จนกลายเป็นอาที่สนิทสนมและคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
 


เขาชอบเรียกว่า อานัย
 


เขาถอนหายใจหนักหน่วง หลับตาลง เอนตัวแนบไปกับพนักพิงเก้าอี้ ในใจพลางคิดว่า เขาจะบอกเรื่องนี้กับพ่อยังไงดี ไม่ให้พ่อสะเทือนใจ จนโทษตัวเองเหมือนช่วงแรกๆที่เกิดเหตุขึ้นกับเพื่อนของพ่อคนนี้ เขากับแม่เอาแต่กังวลจนไม่มีกะจิตกะใจไปสนใจอย่างอื่นเลย เพราะพ่อสนิทกับอานัยคนนี้มาก มากจนเรียกได้ว่าเป็นพี่น้องกันเลย หากรู้ว่าคนร้ายเกี่ยวเนื่องกันกับอานัย พ่อกับเขาจะทำอย่างไรให้เรื่องราวมันจบโดยที่ไม่มีฝ่ายไหนต้องเจ็บปวดอีกต่อไป
 


เขานึกไปถึงวันนั้น เขาจำได้ว่าอานัยกำลังจะมารับเขาที่โรงเรียนแทนพ่อกับแม่ที่ติดธุระเลี่ยงมารับไม่ได้จริงๆ ระหว่างรออามาถึง เขาก็นั่งรอเล่นกับเพื่อนคนอื่นที่รอคนมารับอยู่เหมือนกัน รอจนคนรอบข้างกลับไปจนหมดแล้ว ก็ยังไม่เห็นวี่แววของอา คุณครูก็มาถามเขาหลายครั้ง จนทำให้เขาเริ่มกลัวจับใจ กลัวว่าจะไม่มีใครมารับแล้วทิ้งเขาอยู่ที่โรงเรียนคนเดียว หลังจากนั้นไม่นานก็มีคนมารับเขา ซึ่งคนคนนั้นไม่ใช่อานัยที่เขารู้จัก แต่เป็นลุงคนขับรถของพ่อเขา ซึ่งที่จริงแล้วควรจะอยู่รับส่งพ่อกับแม่  แต่ ณ ตอนนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าทำไมลุงคนขับรถถึงมารับเขาได้
 


จนกระทั่งเวลาผ่านไปไม่กี่นาทีขณะที่นั่งรถกลับ ทางที่กลับบ้านปกติ กลายเป็นโรงพยาบาลแทน ด้วยความงุนงง เขาจึงถามลุงคนขับรถ แต่ยังไม่ทันจะถามก็โดนป้าอุ่นจูงมือเข้าไปในห้องๆหนึ่ง เขาเห็นพ่อของเขาทรุดตัวลงหน้าห้องอะไรซักอย่างที่เขาในวัยนั้นยังไม่ค่อยรู้อะไรมากนัก เขาเห็นแม่นั่งยองปลอบพ่อไปด้วยน้ำตาที่นองหน้าเช่นเดียวกับพ่อของเขา
 


เขาเงยหน้าขึ้นไปมองคนที่จูงมือ ก็พบว่าป้าอุ่นก็ทำหน้าเศร้าสร้อยไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก อาชัชเพื่อนอีกคนของพ่อก็ยืนอยู่ไม่ห่างจากผมมากนัก ด้วยความที่เขายังไม่เข้าใจอะไร จึงเดินเข้าไปแล้วกอดพ่อกับแม่ของเขาไว้ เมื่อคนทั้งสองเห็นเขาก็ยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม เขาไม่รู้จะทำยังไงจึงร้องไห้กับพวกท่านด้วย
 


จนมาภายหลังเขาถึงรู้ว่าอานัยคนที่ยิ้มให้เขาอย่างใจดีทุกครั้งที่เจอคนนั้น….ไปเสียแล้ว
 


พ่อวานให้อามารับตัวเขาเอง และระหว่างทางก็เกิดอุบัติเหตุขึ้น คนขับรถส่งของมีอาการมึนเมาจากการดื่มสุราก่อนที่จะมาทำงาน ทำให้รถเกิดเสียหลัก พุ่งเข้าชนรถของอาอย่างแรง จนตกลงหนองน้ำข้างทาง ส่วนคนขับรถส่งของนั้นกลับหนีไปโดยไม่ลงมาดูดำดูดี กว่ารถฉุกเฉินจะมา อานัยก็ขาดอากาศหายใจ ทนพิษบาดแผลไม่ไหว เสียชีวิตไปก่อนหน้านั้นไม่นาน
 


ซึ่งเหตุนี้ทำให้พ่อของเขาโทษตัวเองอย่างหนัก รวมถึงตัวเขาที่ยังเด็ก ยังไม่ได้รู้เรื่องราวมากมาย ก็รู้สึกแย่เช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่าคนชนจะถูกจับได้หลังจากเกิดเหตุไม่นาน แต่ถึงอย่างนั้นชีวิตของอานัยก็ไม่สามารถยื้อกลับมาได้ กว่าพ่อจะทำใจได้เวลาก็ล่วงเลยมาเกือบปี ส่วนตัวเขากว่าจะรู้เรื่องราวชัดเจนก็เมื่อผ่านมาหลายปีแล้วหลังจากที่อานัยเสียไป ซึ่งเขาก็เพิ่งได้ยินจากปากพ่อว่าอามีลูกชายคนหนึ่งซึ่งเขาก็ไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน หลังจากนั้นลูกชายก็อยู่ภายใต้ความดูแลของญาติอานัยอีกทีหนึ่ง ตอนนั้นพ่อเขาก็ทำอะไรไม่ได้มาก ได้แต่ปล่อยให้ทางญาติรับตัวเด็กไป และเรื่องก็เงียบไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นเลย
 


พ่อเขาไม่เคยลืมอานัยเลย ทุกปีต้องจัดทำบุญใหญ่ และบอกว่าอยากจะให้เขาบวชหลังจากจัดการเรื่องเรียนอะไรเสร็จเรียบร้อย แต่ตอนนี้เขายังไม่ได้บวชให้ ไม่ใช่ว่าเขาลืม แต่เพราะเกิดเหตุขึ้นซะก่อน จึงตั้งใจว่าหลังจากจัดการเรื่องร้ายๆในตอนนี้ แล้วจะบวชให้อย่างหมดห่วง
 


แต่เรื่องร้ายๆที่เกิดในตอนนี้กลับเกิดเพราะคนที่เขาไม่คาดคิดเลยจริงๆ
 


นนท์นที….
 


เพื่อนข้างห้องของเขาและคนของบริษัทที่เขาจัดจ้างให้มาดูเรื่องงานวันเปิดตัว
 


ทำไมเขาจะไม่สงสัยว่าทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นมันจะบังเอิญอะไรขนาดนั้น เขายังอุตส่าห์เตือนรักว่าให้ระวังเลยด้วยซ้ำ แต่เพราะความประมาทของเขาเองทั้งนั้น ในเมื่อสงสัยแต่ก็ไม่ได้ลงมือทำอะไร พอเกิดเรื่องแล้วถึงค่อยคิดหาวิธีแก้
 


เสียงโทรศัพท์มือถือปลุกเขาขึ้นจากภวังค์ ชื่อคนโทรเข้ากลับยิ่งทำให้เขาหนักใจเข้าไปอีก
 


“ ครับพ่อ ”



“ เนตร พ่อรู้เรื่องมาจากอาชัชแล้วนะ ” ปลายสายเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย เขารู้ว่าท้ายที่สุดแล้วพ่อก็ต้องรู้เรื่อง แต่ก็ไม่คาดคิดว่าจะรวดเร็วถึงขนาดนี้



“ ครับ ” เสียงปลายสายเงียบไปอึดใจหนึ่ง เขาจึงเอ่ยออกไปอีกครั้ง “ ผมเสียใจนะครับพ่อ แต่ผมแค่อยากให้พ่ออย่าโทษตัวเองนะครับ ”



“ พ่อรู้ แต่เรื่องราวทั้งหมดมันก็เกิดขึ้นจากพ่อทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นลูกเขาจะ…. ”



“ พ่อครับ ผมรู้นะว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวผมมันจะเป็นเหตุการณ์ที่มีคนอยู่เบื้องหลัง และถึงแม้คนที่กระทำจะเป็นเขา แต่มันก็ไม่สมเหตุสมผมที่จะก่อเหตุครับพ่อ ” เขาพยายามอธิบายอย่างใจเย็นเพื่อที่จะไม่ทำให้เรื่องราวแย่ลงไปกว่านี้



“ แล้วลูกจะทำยังไงต่อไป ”



“ ผมว่าผมจะลองคุยกับเขาอย่างจริงจังครับ ” เขาตัดสินใจไม่บอกความจริงว่าตอนนี้เขาพยายามใช้ตัวเองเพื่อล่ออีกฝ่ายออกมา การเสี่ยงในครั้งนี้ถึงแม้อีกฝ่ายจะเดาออกหรือไม่ก็ตาม แต่คนของอาชัชถึงได้สืบเรื่องได้อย่างรวดเร็วว่าคนร้ายที่แท้จริงคือใคร เพราะจากเบาะแสของคนร้ายก่อนหน้านี้ที่จับกุมได้ ยอมสารภาพหลังจากที่เจ้าหน้าที่เค้นอยู่นาน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่รู้ชื่อของคนวานจ้างอยู่ดี เพราะการจ้างในครั้งแรกที่ทำให้ตัวเขาเกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่ในตอนนั้น คนวานจ้างได้แต่ใช้โทรศัพท์มือถือที่ใช้ครั้งเดียวทิ้งติดต่อมา ส่วนเงินก็ใช้เป็นการฝากเงินผ่านตู้เอทีเอ็มแทน จึงทำให้ยากต่อการตามสืบ แต่เจ้าหน้าที่ได้เก็บรวมรวมหลักฐานทั้งหมดที่มี รวมถึงการตามสืบเรื่องราวในตอนนี้ ทุกอย่างมันชี้เป้าไปที่คนคนเดียวกัน



“ เขาจะยอมเหรอลูก ในเมื่อเขาฝังใจขนาดนี้ ” คนเป็นพ่อเอ่ยด้วยเสียงกังวล



“ ผมจะพยายามครับพ่อ ผมจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องร้ายๆกับใครอีกแล้ว ”  เขาพูดอย่างหมายมั่น ในใจคิดถึงคนที่รับความเจ็บปวดแทนเขามาตั้งแต่ได้รู้จักกัน



“ ถ้ามีอะไรที่พ่อพอจะช่วยได้ รีบบอกพ่อนะ อย่าเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง พ่อไม่อยากเสียใจทีหลังอีกแล้วนะลูก ” เขาฟังจบแล้วชะงักเล็กน้อย หากมันก็สายเสียแล้ว เพราะตอนนี้ตัวเขาได้ตัดสินเอาตัวเองเป็นเดิมพัน ไม่ว่าเรื่องราวมันจะกลายเป็นร้ายหรือจบลงด้วยความโล่งใจ เขาก็จะทำให้มันยุติให้ได้ เขาเงียบอยู่สักพักจนปลายสายเอ่ยทักอีกครั้ง
 


‘ ผมขอโทษที่ต้องโกหกนะพ่อ ’
 


“ ครับพ่อ ”





โปรดติดตามตอนต่อไป....


คุณเนตรจะทำอะไรรรรร ไม่นะ!

 :serius2:



หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 28!!! (30/6/64)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 30-06-2021 21:20:07
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 28!!! (30/6/64)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 30-06-2021 23:07:17
 :hao7:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 28!!! (30/6/64)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหมีวุ่นวาย ที่ 23-07-2021 15:23:47
ตอนที่ 29
" เกรงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นแล้ว "





เขาเจ็บปวดทรมานมานาน



ครั้งนี้จะได้แก้แค้นให้สมกับความเจ็บปวดนั้นซักที



ฉากหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขของพวกนั้นทำให้เขาแทบอยากจะทำลายมันให้สิ้นซาก ทำไมถึงมีแต่เขาที่เจ็บปวด! เขาทำอะไรผิดอย่างนั้นหรือ ทำไมพวกนั้นต้องพรากทุกสิ่งอย่างไปจากเขา!



ความมืดในใจมันกัดกร่อนร่างกายและจิตใจอยู่ทุกเวลา มันทำให้ความแค้นยิ่งฝังลึกเข้าไปอีก จนถึงตอนนี้เขาแทบไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขาอีกแล้ว เขาเริ่มยิ้มน้อยลง และไม่ไว้ใจใครทั้งนั้นแม้กระทั่งญาติของเขาเอง



เขาจำภาพที่พ่อถูกคลุมผ้าขาว นอนราบไร้ลมหายใจอยู่บนเตียงได้ดี แม้ว่าตอนนั้นเขาจะยังเด็ก แต่ไม่รู้ทำไมภาพมันติดตาเหลือเกิน หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เห็นภาพนั้นซ้ำอีก แต่มันเป็นร่างของแม่เขาแทน เขาเอาแต่จ้องอยู่อย่างนั้น น้ำตาเหือดแห้งไม่ไหลซักหยดเดียว แต่ใครไหนเลยจะรู้เลยว่า ภายในใจของเด็กน้อยคนหนึ่งมันบิดเบี้ยวไปแค่ไหน เขาถูกจูงไปไหนต่อไหนโดยที่เขาไม่ได้สนใจแม้แต่นิด สิ่งที่อยู่ในหัวเขาอย่างเดียวเลยคือ ร่างที่ถูกผ้าขาวคลุมอยู่ก็เท่านั้น



เขาได้รู้จักกับญาติของพ่อเป็นครั้งแรกก็ตอนนั้น ใบหน้าพวกเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่เขารู้ในใจพวกนั้นกลับเอาแต่พยายามผลักไสเขา มันน่าตลกสิ้นดีที่รู้แบบนั้น ก่อนที่เขาจะถูกพาตัวไปต่างประเทศ ด้วยพินัยกรรมที่ไม่มีตัวตน ทรัพย์สินของพ่อแม่เขาก็ถูกรุมทึ้งจากผู้ที่หวังจะครอบครอง แต่ตามกฎหมายมันไม่สามารถทำได้ทันที ญาติของเขาเลยประกาศตัวเองขึ้นเป็นผู้จัดการมรดกจนกว่าตัวเขาจะบรรลุนิติภาวะ และก็ได้รับการอนุมัติจากศาล หลังจากนั้นเขาจึงโดนลากมาที่บ้านของญาติพ่อคนหนึ่งที่ต่างประเทศ จากบรรยากาศที่อบอุ่น ใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้ม ก็กลายเป็นนรกบนดินทันที ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเป็นของเขาก็ถูกคนพวกนั้นฉกฉวยเอาไป ด้วยความเป็นเด็ก เขาจึงไม่รู้เรื่องอะไร กว่าเขาจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็โดนปลอกลอกไปเกือบหมดแล้ว



พอโตขึ้น โชคดีที่ญาติของพ่อคนหนึ่งยังคงมีสำนึกพอที่จะบอกให้เขารู้ถึงมรดกของพ่อ และสิ่งที่ญาติที่เหลือทำกับเขา หลังจากนั้นเขาก็วางแผนอย่างเงียบๆ วานคนสนิทของพ่อช่วยเอาสิ่งที่เป็นของเขาที่เหลือจาก ‘ผู้จัดการมรดก’ ซึ่งพวกนั้นจัดการโดยไม่มีความปราณีต่อตัวเขาใดๆ ทั้งสิ้นนั้นคืนกลับมา จนสุดท้าย หลังจากฝ่าฟันบรรดานรกพวกนั้นมาได้ เขาก็รีบบินกลับไทยทันทีเพื่อลงนามความเป็นเจ้าของที่แท้จริง



และเมื่อทุกๆ อย่างเสร็จสิ้นเรียบร้อย เขาจึงได้หายใจได้อย่างโล่งปอดเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีตั้งแต่ที่พ่อแม่เขาจากไป และก็ด้วยการช่วยเหลือของญาติคนนั้น เขาจึงได้พบกับพวกนั้นอีกครั้ง พวกที่เป็นต้นเหตุให้โลกของเขาดิ่งลงเหว ความทรงจำอันเลวร้ายเริ่มปรากฏขึ้นอีกครั้ง เขาจึงตัดสินใจดำเนินการแผนต่อไปในใจอย่างเงียบๆ โดยที่ญาติเขาคอยระวังหลังให้



แต่ทำไมเขาถึงทำอะไรพวกนั้นไม่ได้เลย! ทำไมชีวิตพวกนั้นถึงยังปกติสุข ยังรักใคร่กัน เขาเกลียดภาพบรรยากาศแบบนั้นซึ่งมันต่างจากโลกของเขาโดยสิ้นเชิง



เขาสับสนในใจทุกครั้งที่ตัวเองจะทำตามแผนที่วางไว้ มองมือสั่นๆ ของตัวเองหลังจากที่ทำให้ฝ่ายนั้นพังพินาศ



มันควรจะสะใจสิ ไม่ใช่มารู้สึกแบบนี้!



ญาติเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ในชีวิตของเขาย้ำถึงเหตุการณ์อันเลวร้ายๆ ในอดีตที่ผ่านมาทุกครั้ง ภาพของพ่อที่นอนจมกองเลือดยังคงตามหลอกหลอนในหัว แต่ไม่รู้ทำไม



ทำไมเขาต้องมานั่งรู้สึกผิดกับอะไรที่ครอบครัวนั้นควรจะได้รับอย่างสาสมด้วย มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้สิ เขาต้องแก้แค้นให้พ่อ แก้แค้นให้กับครอบครัวตัวเองที่มันแหลกสลายพังไปเพราะไอคนไม่กี่คนพวกนั้น



หึ คนเลวแบบเขามันต้องเป็นแบบนี้แหละ ในเมื่อกาลเวลามันไม่ช่วยอะไรให้ดีขึ้น เขาจะเป็นคนกำหนดมันเองแล้วกัน



แต่แล้วเขาก็ไปรับรู้ความลับของพวกนั้นโดยบังเอิญ หึ คงเป็นคนสำคัญมากสินะ ขอให้ได้รับรู้ไว้ว่า ยิ่งสำคัญเท่าไหร่ เขาก็จะยิ่งทำลายมันให้ได้!



ภาพคนมากมายเดินสวนทางกันโดยที่ต่างฝ่ายไม่รู้จักกันแม้แต่น้อย แต่สำหรับเขา เขาเดินสวนทางกับคนคนหนึ่งบ่อยซะยิ่งกว่าเจอคนรู้จักซะอีก ซึ่งอีกฝ่ายไม่ได้รู้ตัวว่าตัวเองกำลังถูกเพ่งเล็ง เขาเฝ้ามองจนแน่ใจแล้วว่าสิ่งที่เขาได้รับรู้มาจะไม่ผิดแน่นอน และหลังจากนั้นก็รีบลงมือทันที และผลที่ตามน่ะหรือ



คนคนนั้นความจำเสื่อมไปแล้วน่ะสิ ดี! ยิ่งเลวร้ายเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เขาจะรอดูทุกๆ อย่างของพวกนั้นพังพินาศอย่างช้าๆ



และตอนนี้เขาก็ยืนดูผลงานชิ้นล่าสุดที่เขาเพิ่งจะลงมือหมาดๆ คนสำคัญของพวกนั้นยังคงใช้ชีวิตปกติสุขหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาล ไม่รู้เพราะโง่หรือบ้ากันที่พวกนั้นก็ยอมให้ออกง่ายๆ ทั้งที่รู้ว่ามีเขาคอยจ้องมองอยู่



ถึงแม้คนของเขาจะถูกจับได้ ถึงแม้ตัวเขาจะเสี่ยงที่จะโดนจับเหมือนกันก็ตาม และถึงแม้พวกนั้นพยายามจะตบตาเขามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้เขาเห็นถึงความสำคัญของคนคนนั้นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น



หึ คิดไม่ถึงว่าคนสำคัญจะเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ ผิดคาดจริงๆ



รอยยิ้มหยักลึกที่มุมปาก



อย่าหาว่าเขาใจร้ายก็แล้วกันนะ



เนตร….





















(ณรัก พากย์)


“ขอบคุณครับคุณลูกค้า เดี๋ยวทางเราจะรีบจัดส่งให้ครับ เปิดบิลไปพร้อมกันเลยครับ ครับ สวัสดีครับ” ผมวางสายจากลูกค้าคนสำคัญ ซึ่งสั่งเครื่องไหว้ชุดใหญ่หลายร้อยชุดเพื่อเตรียมตัวสำหรับเทศกาลสำคัญของจีนที่กำลังจะมาถึง ตอนนี้ผมหัววุ่นไปหมด พอใกล้ๆ เทศกาลทีไร อยากจะดึงทึ้งหัวเป็นร้อยรอบ หัวล้านไปสิบปี



ผมกลับมาทำงานที่บ้านจนถึงตอนนี้ก็เป็นเดือนที่สามแล้วครับ มีเหนื่อยบ้างเบาบ้างสลับๆ กันไป ตามประสางานระบบครอบครัว พ่อแม่และพี่สาวก็พร้อมใจกันยินดีเป็นล้นพ้นเหลือเกิน ที่ผมตัดสินใจจะกลับมาทำงานที่บ้าน ตอนนี้คนที่โดนรับน้องหนักที่สุดก็คงหนีไม่พ้นเป็นตัวผมเอง เพราะตั้งแต่กลับมาทุกคนก็พร้อมหยิบยื่นงานของตนมาให้ผมดูแล ทั้งๆ ที่ผมบอกชัดเจนแล้วว่าผมดูแลเรื่องลูกค้าให้ แต่งานจุกจิกอย่างเช่นเอกสารหรือบัญชีต่างๆ ผมคงให้พี่สาวผมดูแลต่อ แต่ก็ยังมิวายโยนงานมาให้ผมดูแล พร้อมกำชับอีกนะว่า เขาไว้ใจผมแค่คนเดียว ให้พนักงานคนอื่นดูแลก็ไม่เหมือนผมดูแล เดี๋ยวก็จิ๊กตังค่าขนมเอาซะเลยนิ



ผมเอนตัวพิงเบาะเก้าอี้ ตั้งแต่วันที่ผมไปเจอไอคุณชายก็ผ่านมาเกือบสองอาทิตย์ได้แล้ว หลังจากวันนั้นเราก็ติดต่อกันผ่านแอพพลิเคชั่นสีเขียวมาตลอด จนตอนนี้ผมเริ่มสนิทใจกับเขามากขั้น เขาก็ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับธุรกิจ เช่นควรปรับตรงไหน ควรรับมือกับลูกค้ายังไง อะไรประมาณนี้ มันก็จะเหมือนเข้าคอร์สกับนักธุรกิจในแวดวงการดังหน่อยๆ ที่สำคัญคือฟรี หึ!



เขาเล่าเรื่องราวมากมายช่วงก่อนที่ผมจะความจำเสื่อมให้ฟัง อย่าเรียกว่าเล่าเลย เรียกล้อผมดีกว่า ซึ่งก็ต้องบอกก่อนเลยว่ามันน่าเหลือเชื่อมาก ครั้งก่อนที่ว่าเหลือเชื่อแล้ว ครั้งนี้ยิ่งดับเบิ้ลไปอีก การที่ผมจะไป เอ่อ รักคนอย่างไอคุณชายได้นั้น มันอิมพอสสิเบิลมาก! ไม่ต้องสงสัยอะไรหรอก อะไรคือการที่เขาหลงตัวเองได้มากมายขนาดนั้น ไหนก็จะว่าผมหลงรักเขาก่อนเพราะเขาหน้าสวย ไหนจะชอบแต๊ะอั๋งเขาเป็นประจำ (ย้ำบ่อยมาก) ไหนจะรุกเขาจนเขาแทบทนไม่ไหวอยากจะจับผมกดลงเตียงแล้วอะบราคาดะบร้า เดี๊ยวววว นี่มันภาษาอะไรอะไรกัน!



อะแฮ่มๆ เราข้ามจุดๆ นี้ไปกันดีกว่านะครับ



แล้วเขาก็เล่าให้ฟังอีกว่า จริงๆ แล้วผมจะต้องไปร่วมงานแต่งเพื่อนเก่าของเขาด้วย ซึ่งคนไหนผมก็ไม่รู้อ่ะ ซึ่งชุดเขาก็เป็นคนซื้อให้แล้ว และก็อยากให้ผมไปกับเขามาก แต่เขาบอกว่าเพราะผมปัญญาอ่อนอยู่เลยเว้นให้ (หื้ม) ไอคุณชายเลยต้องไปคนเดียวเปล่าเปลี่ยวหัวใจ ผมจึงได้แต่งงๆ แต่ก็ไม่อะไรมาก เพราะผมก็ไม่ถนัดออกงานงานเว่อวังอะไรนี้อยู่แล้ว



เสียงเตือนข้อความเข้าของมือถือผมดังขึ้น ผมจึงเอื้อมไปหยิบขึ้นมาดู นั่นไง เพิ่งนึกถึงปุ๊ป เจ้าตัวก็โผล่มาปั๊ป




‘ คุณชายเจ้าปัญหา ’

‘ ทำอะไรอยู่? '   16:22 pm



‘ ทำงานครับ ’



' เหนื่อยไหม '    ผมรู้สึกถึงความอุ่นวาบขึ้นมาในใจ เมื่อได้เห็นประโยคของคนที่ส่งมา



‘ ก็นิดหน่อยครับ แต่เหนื่อยน้อยกว่าคุณแน่ๆ ฮ่าๆ ’



‘ แน่นอน นี่ใคร ติวเตอร์ของนายไง ’



‘ คร้าบบ คุณครู ’



‘ วันนี้ตอนเย็นว่างไหม ’   ผมลุกขึ้นมานั่งตัวตรง เอื้อมหยิบปฏิทินมาดู



‘ ก็ไม่น่าจะติดอะไรนะครับ ’



‘ งั้นมาเจอกันหน่อยสิ ’   ผมยิ้ม ก่อนจะก้มลงพิมพ์ตอบ แต่แล้วก็ต้องชะงักกับประโยคที่อีกฝ่ายพิมพ์มาก่อน



‘ คิดถึง ’



รู้สึกหน้าร้อนๆ ยังไงชอบกล













“ ไอรัก กูว่าวันนี้มีอะไรแปลกๆ ปะวะ ”  ไอแสงผู้ซึ่งในช่วงนี้ติดสอบห้อยตัวผมราวกับปรสิต กินเลือดผมเป็นอาหาร เพราะได้รับส่วย เอ้ย คำสั่งจากไอคุณชายว่าให้มาดูลาดเลาให้ผม ถึงแม้เขาจะจ้างคนดูแลอยู่ห่างๆ ไว้ ก็คนเดียวกับที่เฝ้าหน้าห้องพักคนไข้นั่นแหละครับ แต่ก็นั่นแหละ ไม่เว่อวังก็ไม่ใช่ตัวเขาล่ะ และตอนนี้ผมกำลังไปหาไอคุณชายเจ้าปัญหาโดยที่มีเพื่อนของผมตัวติดไปด้วยเพื่อไปรับส่วย เอ้ย ไปส่งผมนั่นเอง (ไม่ค่อยหวังผลประโยชน์เลย) ที่ร้านเจ้าเก้าเจ้าเดิม ร้านพี่อุ่นนั่นเอง



“ แปลกๆ อะไรวะ ”  ไอแสงยื่นหน้าเข้ามากระซิบข้างหูผม



“ ไม่รู้ว่ะ กูรู้สึกเหมือนถูกจ้องยังไงชอบกล ” ผมหันไปมองรอบตัว ก็เพิ่งนึกได้ว่ามีคนของไอคุณชายตามมาด้วย



“ ก็คนที่คุณเนตรจ้างมานั่นไง เดินตามเราอยู่ห่างๆ ข้างหลังอ่ะ ”  พอผมพูดแบบนั้นเท่านั้นแหละ ไอแสงถึงกับบางอ้อทันที หันไปมองคนที่จ้องมายังพวกเราอีกครั้ง พร้อมส่งยิ้มแหยๆ ไปให้ฝ่ายนั้น มันก็รู้ว่าเรามีชนักติดหลังอยู่นั่นเอง แหม สีหน้าเปลี่ยนเร็วยิ่งกว่าผิวกิ้งก่าอีกนะมึง



“ เอ้อ กูก็ว่าหน้าคุ้นๆ มองซะจนผิวหนังที่หลังกูถูกทิ่มแทง ”



“ มึงนี่ก็เวอร์เก่งง เขาก็มองลาดเลาทั่วไป ไม่ได้จ้องขนาดนั้นซะหน่อย ”



“ กูพูดจริงนะเว้ย ดูสิขนกูลุกเลย ”  ไอแสงรีบยกแขนขึ้นมาให้ผมส่องขนมัน เออแฮะ มันลุกอยู่จริงด้วย



“ เขาคนนะไอห่า ไม่ใช่วิญญาณสัมภเวสี ”  พอไอเพื่อนตัวดียังจะทำท่าเถียงอยู่ ผมจึงยกมือห้าม แล้วรีบลากคอมันเดินมาตามผม ก่อนที่มันจะเลยเวลานัดเนี่ย! คนยิ่งตื่นเต้นอยู่ ฮู้วว



“ แหม อยากจะไปหาผัว เอ้ย หาแฟนขนาดนั้นเลยเหรอครับเพื่อน โอ้ย ”  ผมรีบยกมือตบกบาลไอคนข้างตัว จนเจ้าตัวร้องออกมา



“ มึงจะพูดทำซากไรเนี่ย เงียบๆ สิ เดี๋ยวคนอื่นได้ยิน ”



“ หึๆ ไอควายครับ ใครมันจะไปได้ยินครับ กูถามมม อายก็บอกมา เหอะ! กระม้วนกระเมี้ยนอยู่นั่น ”



“ นี่ โดนไปอีกที พูดมาก! ”  ผมตบมันย้ำไปอีกที มันหันมาถลึงตามองผมอย่างเคืองๆ ก่อนสายตามันจะเลยไปทางด้านหลัง แล้วสะดุ้งเล็กน้อย แล้วรีบหันมาหาผม



“ มีอะไรวะ เจอวิญญาณอาฆาตอีกหรือไง ”



“ ข้างหลังนั่นไง อาฆาตกว่าวิญญาณอีก โธ่ จะช่วยมึงแท้ๆ ยังโดยเพ่งเล็งไปด้วยซะงั้น ทำคุณบูชาโทษจริงๆ ”



“ กูล่ะงง มึงคิดไปเองเปล่าวะ กูก็เห็นเขาก็ปกติ ไม่เห็นจะอาฆาตอะไรอย่างที่มึงบอกเลย ” ผมหันไปก็เห็นเพียงแต่เขามองมา สายตาปกติ ค้อมหัวให้เล็กน้อย



“ ฮุ้ย ก็มึงมันคนสำคัญของนายเขา แล้วกูมันใช่ไหมล่ะ! ” แล้วมันก็สะบัดหน้าไปอีกด้าน วันนี้เพื่อนกูมาแปลกเว้ยเฮ้ย มีมางงมางอน



“ มึงงอนเขาเหรอวะ ”



“ งอนเชี่ยไรล่ะ ทำไมกูต้องงอน ”  แหม เสียงสูงเชียว



“ มึงจะงอนไม่ได้นะเว้ย มึงต้องเข้าใจนะว่า... ”  ผมมองหน้ามันนิดหนึ่งขณะเดินอยู่  “ กูอ่ะสำคัญไง ฮ่าๆๆๆๆ ” มันรีบคล้องคอผมแล้วล็อคแน่น



“ จ้า ไอคนสำคัญ! คนไม่สำคัญคนนี้ขออนุญาตหมั่นไส้หน่อยนะจ้า ”



“ โอ้ยย หายใจไม่ออกกก ” ผมรีบยกมือตบแขนมันอย่างไวก่อนที่จะหายใจไม่ออกจริงๆ



“ กรุณาปล่อยคุณรักด้วยครับ ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นมาจากด้ายหลัง ทำให้ผมกับคนที่ประทุษร้ายผมอยู่ชะงักไปด้วยกันทั้งคู่ ก่อนที่ไอแสงจะรีบปล่อยแขนราวกันโดนน้ำร้อนลวก



“ เอ่อ ไม่เป็นไรครับคุณ ผมแค่เล่นกับเพื่อนผมเฉยๆ เราเล่นแรงแบบนี้แหละครับ ” ผมรีบพูดขึ้นพร้อมกับส่งซิกให้เพื่อนรีบเออออตาม



“ ชะ ใช่ครับคุณบอดี้การ์ด ผมก็แค่เล่นกับไอรักเพื่อนผมเฉยๆ ฮ่าๆ ” ไอแสงเกาหัวอย่างมึนๆ เออออตาม คุณบอดี้การ์ดที่ไอแสงเรียกได้แต่พยักหน้านิ่งๆ เบาๆ แล้วผายมือบอกให้เราเดินต่อ ผมกับไอแสงเลยเดินกันต่ออย่างมึนๆ ด้วยกันไปทั้งคู่ และผมก็ได้ยินเสียงคนพึมพำข้างตัว



“ เหอะๆ คุณรัก คุณรัก หมั่นไส้โว้ย! ”














“ เดี๋ยวกรุณานั่งรอคุณเนตรสักครู่นะครับ ผมจะนั่งอยู่โต๊ะห่างๆ ไปไม่ไกล มีอะไรเรียกได้ตลอดเลยนะครับ ” ผมพยักหน้าให้คุณบอดี้การ์ดในชุดลำลอง ตัวเขาจึงเดินไปนั่งโต๊ะที่เยื้องออกไปไม่ห่างจากโต๊ะผมเท่าไหร่ หันไปมองคนที่ทำหน้าตูดตลอดตั้งแต่เดินเข้ามาในร้านก็ได้แต่ถอนใจ สงสัยวันนี้มันอารมณ์คงบ่จอย สาเหตุก็….คงมาจากชายใส่สูทคนนั้นล่ะมั้ง ผมก็แอบแปลกใจนิดหน่อย เพราะร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นมันหน้าบูดขนาดนี้เพียงเพราะแค่โดนว่า สงสัยครั้งนี้มันคงไม่ชอบจริงๆ ล่ะมั้ง



ผมยกมือถือขึ้นมาส่งข้อความหาคุณเนตรว่าถึงที่หมายแล้ว ก่อนจะวางลงที่โต๊ะ แล้วหันไปมองคนที่นั่งข้างตัวผมอีกครั้ง ก็ได้แต่เห็นหน้าตูดๆ ของมันเหมือนเดิม



“ มึงเป็นอะไรของมึงวะ นี่งอนจริงๆ เรอะ ”



“เหอะ งอนอะไร กูไม่เคยงอนเว้ย ” พูดเสร็จมันก็สะบัดหน้าพรืดไปอีกทาง นี่ไม่งอนเลยยยย ผมเชื่อมากกกก ตัวถึกทึนดิบเถื่อนอย่างกับนักเพาะกล้าม มานั่งงอนเป็นสาวน้อย ผมนี่ขนเท้าลุกเลย



“ จ๊ะๆ ไม่งอนก็ไม่งอน แล้วมึงเป็นอะไรไหนบอกกูหน่อยสิ ”



“ กูก็ไม่ได้เป็นอะไรซักหน่อย กูปกติ ”  โอ้โฮ! นี่ปกติเหรอ ถ้ามึงไม่ปกตินี่จะขนาดไหนวะ



“ เอาน่ามึง คุณเนตรเขาก็คงกลัวเกิดเหตุอะไรอีก มึงจะไปอะไรกับเขามาก ช่างๆ เขาไปเถอะ ” มันหันมาถลึงตาใส่ผม



“ ใครบอกมึงว่ากูโกรธเขา ”



“ อ้าว ไม่โกรธคุณเนตร แล้วมึงโกรธคุณบอดี้การ์ดเหรอไง ” แล้วมันก็หันพรืดไปอีกทางอีกครั้ง เออเว้ย สรุปมันโกรธคุณบอดี้การ์ดนี่เอง



“ หรือโกรธกู แล้วนี่สรุปมึงมึงโกรธจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย ”



“ โว้ย! เลิกถาม กูหายแล้วๆ โอเค๊ ” ไอแสงพูดอย่างเหนื่อยหน่ายใจ



“ เออดีๆ กูก็ขี้เกียจง้อ ”



“ เออ! ” แล้วมันก็สะบัดพรืดไปอีกครั้ง โอเค สรุปมันโกรธผมแล้วคราวนี้



















(เนตรนภิศ พากย์)


ร่างสูงยกมือถือขึ้นมาดูหน้าจอ เมื่อมือถือส่งเสียงเตือนว่ามีข้อความเข้า ก่อนจะยิ้มบางๆ กับข้อความที่เห็น รักส่งมาบอกว่าถึงแล้ว แถมยังส่งรูปตัวเองกับเพื่อนมาให้ ถ้ามองดีๆ ตรงมุมขวาของภาพก็ยังติดบอดี้การ์ดที่อาชัชส่งมาดูแลรักอีกด้วย เขาเก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกง ก่อนจะรีบเดินไปยังรถยนต์ของตัวเองที่จอดไว้ตรงที่ประจำ



เขาสแกนนิ้วปลดล็อครถ สายตามองไปรอบลานจอดรถรอบหนึ่ง แล้วหย่อนตัวเข้าไปนั่งในรถ สตาร์ทรถขับออกจากบริษัทไปอย่างรวดเร็ว ระยะทางจากบริษัทกับร้านคาเฟ่ของพี่อุ่น พี่คนสนิทของรัก ค่อนข้างห่างกับพอสมควร ยิ่งถ้าในช่วงเย็นๆ แบบนี้ด้วยละก็ คงต้องใช้เวลาสักพัก บังเอิญวันนี้เขาติดประชุมด่วนกับลูกค้าคนสำคัญพอดี จึงออกช้ากว่าที่คิด เขาเลยรีบส่งข้อความหารักและบอดี้การ์ดว่าเขาอาจจะไปถึงสาย ให้สั่งอาหารไปก่อนเลยไม่ต้องรอ



เขากับรักค่อนข้างที่จะสนิทขึ้นกันกว่าตอนทีเจอกันครั้งแรก อาจจะเป็นเพราะนิสัยของรักไม่ได้เปลี่ยน และอาจจะเป็นเพราะลึกๆ แล้วรักยังคงรู้สึกดีๆ กับเขาอยู่เหมือนกัน ถึงแม้ความทรงจำจำหายไป แต่จิตใต้สำนึกยังคงระลึกได้เสมอ คงจะเป็นแบบนั้น เขาจึงวางใจว่ารักจะไม่ลืมเขาแน่นอน



มือแข็งแรงจับอยู่ที่พวงมาลัยเกร็งขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเขารู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง สายตามองไปที่กระจกหลังทันที รถเก๋งคันหนึ่งตามหลังเขามาติดๆ เรียกได้ว่าหากเขาเบรคกะทันหันคงชนกันได้เลย เขาพยายามเพ่งมองผ่านทางกระจกหลังสลับกับมองทางข้างหน้าตลอด เพราะเริ่มไม่ไว้ใจในสถานการณ์ เขามั่นใจว่าวันนี้ที่เขาจะไปหารักไม่มีทางที่ใครจะรู้ได้แน่นอน เพราะเขาไม่ได้บอกใครเลยทั้งนั้น แม้กระทั่งเลขาของเขาเอง จะมีก็แค่รัก แสง แล้วก็บอดี้การ์ดของรัก



เมื่อสัญญาณไฟจราจรข้างหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดง เขาหยุดรถนิ่ง สายตายังคงมองไปที่กระจกหลังตลอดเวลา เพราะรถคันข้างหลังยังคงตามติดเขาอยู่ตลอด จนค่อนข้างที่จะมั่นใจแล้วแน่ๆ ว่าคนขับมันขับตามเขาแน่นอน เขาหยิบมือถือขึ้นมาส่งข้อความถึงอาชัช ก่อนที่จะตัดสินใจเบี่ยงออกนอกเส้นทางเดิมเมื่อสัญญาณไฟเขียวปรากฎขึ้น ขับมาเรื่อยๆ จนหลุดออกจากย่านตัวเมือง สองข้างทางกลายเป็นหญ้ารกๆ คันข้างหลังก็คงยังขับตามมาติดๆ และพยายามจะเลื่อนรถมาด้านข้างเพื่อเบียดให้เขาจอด เขาเร่งเครื่องให้เร็วขึ้นให้พ้นจากตัวรถของอีกฝ่าย หน้าปัดความเร็วตอนนี้เข็มชี้เลยเลขที่จำกัดความเร็วไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่สามารถผ่อนความเร็วลงได้เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะหากเขาแตะเบรก นั่นหมายความว่าอีกฝ่ายจะสกัดรถเขาได้ในทันที



เสียงมือถือดังขึ้น แต่เขาไม่สามารถหยิบขึ้นมารับได้ อาจจะเป็นรักหรืออาชัชเขาก็ไม่สามารถรู้ได้เลย ตอนนี้สติเขาเพ่งอยู่กับการขับให้หลุดจากการตามของรถคันด้านหลังนี้ให้ได้ อุณหภูมิภายในรถเริ่มสูงขึ้นเนื่องจากร่างกายของเขาตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา



แต่อยู่ๆ ในหัวเขาดันมีความคิดขึ้นมาอย่างหนึ่ง



หากเขาคาดการณ์ไม่ผิด ความเป็นไปได้ที่คนขับนั้นจะเป็นนนท์นทีนั้นสูงมากเลยทีเดียว และในเมื่อเขาจงใจจะใช้ตัวเองเป็นตัวล่อ และตัวการก็อยู่ตรงนี้แล้ว ทำไมเขาไม่เจอกับอีกฝ่ายตัวต่อตัวไปเลยเพื่อยุติความขัดแย้งทั้งหมดนี้เลยล่ะ?



เขารู้ดีว่ามันอันตราย แต่ในเมื่อคนที่อีกฝ่ายแค้นนักหนาก็คือครอบครัวเขา เขาเองก็เป็นคนหนึ่งที่นนท์นทีต้องการเอาคืน เพราะฉะนั้นแทนที่จะเอาแต่หนี ทำไมไม่เผชิญหน้ากันไปเลย ให้เรื่องมันจบที่ตรงนี้



สายตาแน่วแน่จ้องไปทางกระจกหลังอีกครั้ง เมื่อรถของอีกฝ่ายเบี่ยงออกข้างเพื่อจะแซงรถของตนอีกครั้ง เขาสูดหายใจลึก แล้วเลื่อนเท้าไปแตะเบรกทันที!



ไม่ว่าผลสรุปมันจะเป็นอย่างไร เขาจะต้องทำให้มันยุติให้ได้



แม้คำว่า ‘จบ’ มันจะหมายถึงชีวิตเขาก็ตาม



















(ณรัก พากย์)


“ เฮ้ยมึง กูติดต่อคุณเนตรเขาไม่ได้เลยว่ะ ” ผมเอามือถือออกห่างจากหู เมื่อสายถูกตัดไปโดยที่ไม่มีใครรับเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้



“ อ้าว จริงดิ เขาติดประชุมอยู่หรือเปล่า ”



“ ไม่น่านะ เพราะตอนกูไลน์ไปอ่ะ เขายังบอกกูอยู่เลยว่ากำลังจะออกจากบริษัท ” ผมขมวดคิ้ว ความกังวลใจที่อยู่ๆ ก็ผุดขึ้นในใจโดยไม่ทราบสาเหตุ ผมลุกขึ้นแล้วเดินไปหาคุณบอดี้การ์ดที่นั่งอยู่ที่โต๊ะไม่ไกลกันทันที



“ คุณบอดี้การ์ดครับ ”



“ เรียกผมว่าศรเฉยๆ ก็ได้ครับ มีอะไรหรือเปล่าครับคุณรัก ” ผมพยักหน้าเล็กน้อยด้วยความกระวนกระวายใจ



“ คือผมติดต่อคุณเนตรไม่ได้เลยอ่ะครับ คุณพอจะทราบไหมว่าเขาอยู่ที่ไหนแล้วตอนนี้ ”



“ ล่าสุดที่ผมติดต่อไปคือประมาณสิบนาทีที่แล้วครับ ตอนนั้นคุณเนตรบอกว่าอีกยี่สิบนาทีจะถึง ” อีกฝ่ายหยิบมือถือขึ้นมากด แล้วยื่นให้ผมดูประวัติการโทร ซึ่งมันก็คือประมาณสิบกว่านาทีที่แล้ว แต่ตอนนี้ผมพยายามโทรหาไอคุณชายจนจะสิบนาทีแล้ว ยังติดต่อไม่ได้เลย ถ้าคำนวณตามเวลาที่ไอคุณชายบอกคุณศรมา นั่นก็แสดงว่าตอนนี้เขาก็น่าจะต้องถึงที่นี่แล้ว



“ ผมพยายามโทรกี่รอบก็ไม่มีใครรับเลยครับคุณศร ผมสังหรณ์ใจว่าจะเกิดเรื่องอะไรหรือเปล่า ”



“ เดี๋ยวขอผมโทรเช็คกับเจ้านายผมก่อนนะครับคุณรัก ใจเย็นไว้ก่อนครับ อย่าเพิ่งวิตกอะไรไป ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็ขอมือถือกลับไปโทรหาเจ้านายเขา ผมจึงเดินกลับไปที่โต๊ะของตัวเอง ไอแสงมองมาทางผมแล้วเลิกคิ้วถาม ผมจึงส่ายหน้าให้มันแทนคำตอบ สีหน้ามันจึงเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย แล้วมองไปทางคุณศร



“ ใจเย็นๆ นะเว้ยไอรัก อย่าเพิ่งคิดมาก เขาอาจจะทำโทรศัพท์หายหรือเปล่า ”



“ ไม่น่าจะใช่ว่ะมึง กูกลัวว่ะมึง ไม่รู้ว่ากลัวอะไรเหมือนกัน กูแค่รู้สึกว่าสิ่งที่กูเป็นอยู่ตอนนี้ มันกำลังจะเกิดกับคุณเนตรเหมือนกัน ” ผมฟุบหน้าลงกับฝ่ามือ แล้วถอนหายใจเบาๆ จากที่ไอคุณชายเคยเล่าให้ฟัง ผมรู้สึกมาตลอดว่าต้นเหตุที่เคยทำร้ายผมนั้น คงเป็นใครที่เราคาดคิดไม่ถึง ซึ่งอาจจะใกล้ตัวเรามากจนเรามองข้ามไป แต่เขาไม่เคยเล่ารายละเอียดลึกๆ หรือเบาะแสต่างๆ ที่เขามี เพราะเขาบอกว่าไม่อยากให้ผมเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งอันตรายนี้แล้ว



ในหัวผมคิดไปต่างๆ นานา กลัวว่าไอคุณชายจะถูกทำร้าย หรือเกิดอุบัติเหตุอะไรหรือเปล่า ซึ่งบอกตรงๆ ว่ามันไม่ได้เป็นเรื่องดีเลยทั้งนั้น



และก่อนที่ผมจะวิตกกังวลไปไกลจนเลยเถิด คุณบอดี้การ์ดก็เดินมาหาที่โต๊ะผม สีหน้าไม่ได้บ่งบอกเลยว่าเรื่องที่จะแจ้งนั้นเป็นเรื่องดี



“ คุณรัก คุณแสงครับ ผม…เกรงว่าคุณเนตรจะเกิดเรื่องแล้วครับ ”







โปรดติดตามตอนต่อไป


คุณเนตรรรร ไม่นะะะะะ

 :serius2:



ขอพื้นที่พูดคุยกับรีดเดอร์ (ที่ยังคงอ่านกันอยู่ TT ซาบซึ้ง) ซักนิดนุงงง

ไรท์ขอขอบคุณทุกๆคนมากน้า ที่ยังติดตามกันมาจนถึงตอนนี้ ทั้งๆที่อาจจะมาช้าจนน่าตบก็ตาม ขออำไพพพ ฮืออ

เขียนจนมาถึงตอนที่ 29 นี้ ก็ใกล้จะจบแล้วน้าา เหลืออีกไม่กี่ตอน แต่ละตอนมันช่างยาวนานเหลือเกินนน

ไรท์อยากจะบอกว่าทุกๆคนเป็นกำลังใจของไรท์มากจริงๆนะคะ ทั้งรีดเดอร์ที่เมนท์ตลอด หรือรีดเดอร์ที่เข้ามาอ่านเฉยๆก็ด้วย

ตอนนี้สถานการณ์โควิดบ้านเรามันน่ากลัวมากๆ ไรท์ก็ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนเลย เพราะโดนเลื่อน ฮือ ชีวิตมันเศร้า

ยังไงไรท์ก็ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนกลับไปนะคะ ไม่ว่าจะท้อแท้แค่ไหนก็ขอให้พัก แล้วสู้ต่อไปค่ะ

ดูแลตัวเองกันด้วย รักษาสุขภาพดีๆ

ใครต้องออกไปนอกบ้าน ก็ระมัดระวังกันด้วยนะคะ เพราะเราก็ยังต้องใช้ชีวิตอ่ะเนอะ เข้าใจเลย

ขอบคุณทุกๆคนมากเลยค่า เลิฟยูว โซมัชชชช

 :mew1:




หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 29!!! (23/7/64)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 24-07-2021 09:37:57
 :beat:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 30!!! (14/8/64)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหมีวุ่นวาย ที่ 14-08-2021 19:00:52
ตอนที่ 30
" เสียงๆนั้น... "





(คุณอาชัช พากย์)


“ ผู้กำกับครับ คุณรักแจ้งผมมาว่าเขาติดต่อคุณเนตรไม่ได้ครับ ” เสียงปลายสายเอ่ยขึ้นแทบจะทันทีที่เขารับสาย ชายวัยกลางคนนิ่งขึงไปเล็กน้อย เนื่องด้วยก่อนหน้าที่บอดี้การ์ดของเขาหรือศร ที่ลูกชายเพื่อนสนิทเอ่ยปากขอร้องเขาว่าให้ส่งคนไปดูแลรัก เพราะกำลังตกอยู่ในอันตราย จากใครซักคนที่เขากับเนตรมั่นใจแล้วว่าต้องใช้แน่นอน สืบสาวหาเบาะแสอยู่นาน จนสุดก็รู้ตัวซักทีว่าเป็นใคร


และพอความจริงถูกเปิดเผย เขาก็ต้องตกใจไม่แพ้ไอ้ภูมิและเนตร เพราะใครจะรู้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น กลับกลายเป็นเด็กคนหนึ่งที่เขาเคยเจอมาเมื่อหลายปีมาแล้ว จากเหตุการณ์ที่ทำให้เพื่อนของเขาแทบล้มทั้งยืน จนเขาที่สนิทกับมามันมาตั้งเกือบยี่สิบปี ยังไม่เคยเห็นท่าทีของมันแบบนั้นมาก่อนเลย



เด็กคนนั้นที่ยืนหน้าเศร้าหมองอย่างที่สงสารข้างๆ แม่ของเจ้าตัวอยู่ตลอดเวลาแต่ไม่มีน้ำตาซักหยด มีเพียงความโศกเศร้าที่ฉายออกมาจากสายตาคู่นั้นที่สบตาเขาเพียงชั่วครู่ ก่อนจะหลุบตาลงแล้วยืนแบบนั้นจนจบงานโดยที่ไม่ขยับเขยื้อนตัวเลยซักนิด



ผ่านไปสิบกว่าปี เด็กคนนั้นที่ท่าทางเศร้าสร้อยคนนั้นกลายมาเป็นผู้ที่เป็นต้นเหตุของสิ่งเลวร้ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของเพื่อนเขา เขาแทบไม่อยากจะเชื่อเมื่อรู้ความจริง



เมื่อครู่ก่อนที่จะรับสายศร เขาได้รับข้อความมาจากเนตร ด้วยประโยคที่ว่า ‘ผมกำลังถูกตาม’ ประโยคเดียวที่ทำให้เขาตกใจแทบจะขับรถตามไปหาจุดที่เนตรอยู่เลยทันที ตามตัวติดตามสัญญาณที่เขากับเนตรตกลงกันว่าจะติดไว้ที่มือถือของเนตร เมื่อเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นจะได้ช่วยได้ทันที แต่เขาก็ตั้งสติ แล้วประสานงานกับเจ้าหน้าที่ที่อยู่บริเวณที่ใกล้กับเคียงกับจุดที่เนตรอยู่มากที่สุดแล้วส่งคนเข้าไปช่วยเหลือก่อน ส่วนตัวเขานั้นจะพยายามติดต่อหาเพื่อนเขาก่อนแล้วจะตามไปสมทบ



แต่ศรก็โทรมาซะก่อน เขาจึงลังเลว่าจะบอกรักดีหรือไม่ว่าเนตรกำลังตกอยู่ในอันตราย แต่เขาก็จำใจต้องบอก เพราะหากปิดรักต่อไป ก็กลัวว่าเจ้าตัวจะกระวนกระวายใจจนผลีผลามทำอะไรลงไปโดยที่จะทำให้ตัวเองเกิดอันตรายได้ คราวนั้นเหตุการณ์อาจจะยิ่งไปกันใหญ่ เขากำชับให้ศรดูแลฝ่ายนั้นให้ดี อย่าให้คลาดสายตา และให้รออยู่ที่บ้าน ห้ามไปไหนเป็นอันขาด ไม่รู้ว่าคนร้ายจะวานจ้างใครมาอีกบ้าง



หลังจากวางสายไป เขาจึงหลับตาทำใจอยู่พักหนึ่งแล้วโทรหาเพื่อนสนิทของเขา เสียงสัญญาณดังอยู่สองสามครั้งก่อนที่อีกฝ่ายจะรับสาย



ไอภูมิ ข้ามีอะไรจะบอก ”







(เนตรนภิศ พากย์)


เอี๊ยดดดดดด



เสียงล้อครูดกับพื้นถนนอย่างแรงดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัดเนื่องจากเป็นบริเวณที่รถผ่านสัญจรค่อนข้างน้อย รถหรูสัญชาติยุโรปสีควันบุหรี่หยุดนิ่งทันทีที่คนขับเหยียดเบรกจนมิด



เขานั่งกำพวงมาลัยแน่น ความตึงเครียดเริ่มก่อตัวอย่างรวดเร็วในนาทีที่เขาเห็นรถเก่ากลางใหม่คันหนึ่งเบี่ยงออกจากหลังรถเขาไปข้างหน้าแล้วเบรกกะทันหันแทบจะทันทีกับที่เขาหยุดรถ และก็ไม่มีวี่แววว่าจะมีรถคันไหนผ่านมาทางนี้ด้วย เพราะมันเป็นเส้นทางลัดไปไหนซักที่ที่รอบๆ นั้นเต็มไปด้วยหญ้า



เป็นสถานที่ที่เขาเสี่ยงจะโดนเก็บได้ง่ายเสียจริง



อะไรดลใจให้เขาขับมาทางนี้กันนะ นี่ก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน คิดแค่ว่าอยากจะจบๆ เรื่องนี้ไปซะ



ก่อนที่เขาจะเบี่ยงออกมาเส้นทางนี้ เขาได้ส่งข้อความหาอาชัชแล้วว่าเขากำลังถูกตาม ก็ไม่รู้ว่าทางนั้นจะว่ายังไงเหมือนกัน มัวแต่มองทางอย่างเดียว เพราะรถคันที่อยู่ตรงหน้าเขาเล่นตามมาตลอด เรียกได้ว่าจงใจให้เขารู้ตัวเลยก็ว่าได้ ตอนนี้ก็ได้แต่รอดูท่าทีว่าอีกฝ่ายจะเอายังไง จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีใครลงมาจากรถคันข้างหน้าเขาเลย เขารู้ดีว่าไม่ควรลงไป เพราะไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นจะเล่นตุกติกอะไรหรือไม่ เผลอๆ อยู่ดีๆ รอให้เขาเผลอตัวแล้วมันอาจจะซุ่มยิงอยู่ หรืออะไรก็ตามแต่ที่เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายตั้งใจวางแผนมาให้เขาตกอยู่ในอันตราย และเขาก็ดันเต็มใจตกลงไปในหลุมพรางของมันด้วยสิ นี่ก็ยังคิดๆ อยู่ว่าเขาพลาดหรือเปล่าที่ตัดสินใจโดยที่ไม่ได้ปรึกษาใคร



ไฟท้ายของรถคันข้างหน้าเขาดับลง ไม่นานนักประตูฝั่งคนขับก็ถูกเปิดออก ร่างของคนคนหนึ่งที่เขาตามสืบคนรู้ตัวว่าเป็นใครก็ก้าวออกมาจากรถ มองจากตรงนี้ก็เห็นได้ว่าในมือของคนคนนั้นไม่มีอะไรอยู่ แต่ก็ไม่ได้แปลว่ามันจะไม่พกอาวุธ แต่เขาก็ยังไม่ได้ขยับตัวเพราะต้องการจะดูท่าทีว่าคนข้างนอกนั้นจะมาไม้ไหน



นนท์นทีเดินตรงมายังรถเขาด้วยท่าทีเอื่อยๆ ไม่ทุกข์ร้อนใจใดๆ ถึงแม้ว่าตนเองกำลังจะทำเรื่องอะไรร้ายแรงหรือไม่ก็ตาม สีหน้าไม่แสดงอารมณ์จนเขาที่มองอยู่ในรถยังนึกกลัวอยู่ลึกๆ ด้วยไม่แน่ว่าตัวเองควรจะออกจากรถดีหรือเปล่า สักพักคนหน้าตายข้างนอกก็เดินมาถึงหน้ารถเขา พร้อมกับกวักมือให้เขาลงจากรถ


บอกตรงๆ ว่าเขาไม่ได้เก่งเรื่องการต่อสู้ใดๆ เพียงแค่ป้องกันตัวได้เท่านั้น ไม่เหมือนรักที่จะตัวเล็กกว่าเขาค่อนข้างเยอะแต่กลับแข็งแรง เพราะฉะนั้นหากนนท์นทีจะทำอะไรก็ตามที่เป็นการทำร้ายเขานั้น บอกเลยว่าเขาคงจะยื้อเวลาได้ไม่นานนัก ก่อนที่เขาจะหมดแรง


เขานั่งหลับตาเรียกกำลังใจให้ตัวเองก่อนจะตัดสินใจไม่ดับรถแล้วคว้าเอากุญแจออกมาด้วย ถึงแม้ว่ารถมันอาจจะดับถ้าไม่ได้สัญญาณของกุญแจเป็นเวลานาน แต่ก็ยังสามารถยื้อเวลาได้หน่อยถ้าเกิดอะไรขึ้นมา เขาก็จะได้ขึ้นรถแล้วขับออกไปได้ทันที



“ ไง ” นนท์นทีเอ่ยทักเขา แต่เขาก็ไม่ได้ตอบอะไรนอกจากมองอีกฝ่ายก็เท่านั้น



“ รู้ใช่ไหมว่าผมเป็นใคร ”



“ รู้สิ รู้ดีทีเดียว ” ผมตอบด้วยน้ำเสียงติดจะเหยียดนิดๆ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เดือดร้อนที่ผ่านๆ มา บอกตามตรงว่าเขาแค้นใจที่คนตรงหน้าก่อเรื่องให้คนรอบตัวเขามากมาย แต่ก็อย่างว่าแหละ แค้นไปแค้นกลับ เรื่องมันก็ไม่จบสักที เขาจึงพยายามใจเย็น



“ จะโทษผมไม่ได้นะ ก็ในเมื่อผมเป็นฝ่ายถูกกระทำก่อน ”



“ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ผมขอถามนะว่าที่ผ่านมาคุณรู้บ้างไหมว่าพ่อของผมเขาทรมานแค่ไหนกับเหตุการณ์ที่ทำให้พ่อคุณต้องตาย ”



“ แล้วผมขอถามกลับนะ ว่าพวกคุณสนใจบ้างไหมว่าหลังจากนั้นผมจะเป็นตายร้ายดียังไง!คุณไม่รู้หรอกว่าผมก็ทรมานเหมือนกัน!  ใช่สิ คนตายมันก็ตายไปแล้ว คนไม่เคยเสียอะไรอย่างพวกคุณมันจะไปรู้อะไร! ” คนตรงหน้าเขาตะโกนอย่างแค้นใจ สีหน้าเริ่มบิดเบี้ยวอย่างคนที่สูญเสียมาอย่างสาหัส “ คุณรู้ไหมว่าหลังจากนั้นผมต้องเจอกับอะไรบ้าง หึ! ไม่เลยล่ะสิ เห็นมีความสุขกันเหลือเกิน ”



“ ผมเสียใจจริงๆ ไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ ” เขาได้แต่พูดออกไปอย่างจนใจ ไม่รู้จะพูดอะไรออกไปให้คนตรงหน้ารู้ว่าครอบครัวเขาเสียใจขนาดไหน ในเมื่อเจ้าตัวฝังใจแค้นขนาดนี้



“ คนไม่เคยเสียอะไรมันก็พูดง่ายนี่ ”



“ แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ไม่ควรลากคนที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ”



“ หึ! เป็นยังไงล่ะ รสชาติของความเจ็บปวด ดิ้นพล่านเลยใช่ไหมล่ะ ” เขากำหมัดมือแน่นขึ้นเมื่อได้ยินที่อีกฝ่ายพูดด้วยความสะใจ



“ เอาจริงๆ ผมก็ไม่คิดว่าคุณจะดวงดีรอดมาได้ถึงตอนนี้นะ ”



“ เป็นฝีมือของคุณจริงๆ ” คนฟังหัวเราะลั่น



“ แล้วคิดว่าเป็นใครล่ะ คุณนี่ก็ฉลาดนะ อุตส่าห์สืบจนรู้ นึกว่าจะปล่อยให้ผมเล่นงานคุณอยู่ฝ่ายเดียว ” นนท์นทีหันหลังเดินกลับไปที่รถของตัวเอง อ้อมไปเปิดประตูฝั่งของคนนั่งข้างคนขับแล้วมองมาทางเขาที่ยืนอยู่ที่เดิม บุ้ยหน้าให้เข้าไปในรถ เขายืนมองชั่งใจอยู่พักหนึ่งก่อนจะเดินตามไป ความคิดในหัวตีกันสับสนวุ่นวายไปหมด กลัวนนท์นทีจะวานจ้างให้ใครไปทำร้ายคนในครอบครัวเขาหรือรักอีกหรือเปล่า เขาไม่ได้กลัวว่าตัวเองจะเป็นอะไรไป แต่กลัวคนข้างหลังเขาจะสติแตกมากกว่าหากรู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ตอนนี้



แต่ในเมื่อเขาตัดสินใจแล้ว ครั้งนี้เขาจะต้องจบเรื่องนี้ให้ได้



เมื่อเขานั่งเข้ามาในรถ นนท์นทีก็หัวเราะรอบหนึ่งก่อนจะปิดประตู แล้วเดินอ้อมมาฝั่งของคนขับ ก่อนจะสอดตัวเข้ามาด้านใน จากนั้นรถก็เคลื่อนตัวไปข้างหน้า ทิ้งให้รถของเขาอยู่ภายหลัง แถมยังไม่ได้ดับเครื่องด้วย เขาจึงภาวนาให้อาชัชหรือคนของอาชัชมาเจอก่อนที่ใครจะมาเจอแล้วกัน



“ คุณจะพาผมไปไหน ” เมื่อเห็นว่าคนขับไม่มีท่าทีที่จะบอกใบ้อะไรเลย แถมยิ่งทีบรรยากาศภายนอกรถยิ่งมืดสนิท มีเพียงแสงไฟจากหน้ารถเท่านั้น ระยะวิสัยทัศน์ของผมจึงถูกจำกัด



“ นั่งเงียบๆ ไป จะบอกให้นะว่าเห็นผมไม่ถืออาวุธแบบนี้อย่าคิดว่าผมไม่มี ” คนขับพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งไม่บ่งบอกอารมณ์ สายตามองตรงไปแต่ข้างหน้า



หลังจากนั้นบรรยากาศภายในรถก็เงียบยิ่งกว่าเป่าสาก ไม่มีใครคิดจะพูดอะไรออกมา จริงๆ ถ้าดูสถานการณ์ตอนนี้เขาแอบเชื่อว่านนท์นทีคงจะไม่ทำอะไรไปมากกว่าพาให้เขาไปสถานที่ซักที่หนึ่ง มันคงจะไม่บ้าพอที่จะฆ่าเขาในรถ แล้วก็ยังมีสัญญาณตามตัวที่ติดอยู่ในมือถือของเขาด้วย จึงทำให้เขาใจชื้นขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยก็ยื้อเวลาให้อาชัชจับสัญญาณเขาได้



รถยนต์เก่ากลางใหม่คันนี้แล่นมาเรื่อยๆ จนเข้าสู่ตัวเมืองอีกครั้ง เขาเริ่มที่จะคุ้นๆ ทางอยู่บ้าง แต่ก็ยังเดาไม่ออกว่าปลายทางนั้นจะเป็นที่ใด ตอนนี้คนที่เขานึกห่วงคือรัก ถึงแม้จะมีบอดี้การ์ดและแสงตามติดอยู่ แต่เขากลัวว่าถ้ารักรู้ว่าเขาอยู่ทีไหนแล้วอะไรกำลังจะเกิดขึ้นกับเขา รักจะเสียใจมาก (ถ้าเขาไม่คิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไป) และด้วยนิสัยของรัก จะพยายามเอาตัวเองมายังที่ที่เขาโดนลากมาก็เป็นได้ และนั่นก็จะทำให้สถานการณ์แย่ลง ถ้าหากนนท์นทีเห็นตัวของรัก



จากถนนใหญ่สู่ซอยขนาดสองเลนส์ที่รถสามารถวิ่งสวนกันได้ และลึกเข้าไปในซอยรายล้อมไปด้วยบ้านขนาดกลางคล้ายทาวน์โฮมสองชั้น ดูแล้วก็ไม่มีวี่แววว่าหลังไหนจะร้าง เพราะทุกหลังก็ยังมีไฟเปิดอยู่ มีรถจอด แล้วก็ยังเห็นคนชีวิตกันตามปกติ เขาจึงแปลกใจว่าสรุปเจ้าตัวจะพาเขาไปที่ไหน และแล้วรถก็มาจอดอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากปากทางเข้า คนขับรถหันมาหาเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะดับเครื่องแล้วเปิดประตูเดินออกไป เขามองตามออกไปก็เห็นมันกำลังไขประตู เปิดอ้าไว้แล้วตรงเข้าไปในบริเวณของบ้าน



เขารีบเอามือถือขึ้นมากเช็คว่ามีใครติดต่อมาแล้วหรือยัง ก็ปรากฎว่ายังคงเป็นเบอร์ของรักเหมือนเดิม ซึ่งเขายังไม่อยากจะให้รักรับรู้ ถึงแม้เจ้าตัวคงจะตงิดใจแล้วก็ตาม มันเสี่ยงเกินไป และก็ข้อความขออาชัช!เขารีบเปิดขึ้นมาดูก็เห็นข้อความที่พิมพ์ไว้หลังจากที่เขาส่งไปไม่นานว่า ‘ระวังตัว จะตามไป’ เขาพลันโล่งใจที่อาชัชรับรู้แล้ว รีบเก็บมือถือใส่กระเป๋า แล้วเดินออกจากรถ เข้าไปในตัวบ้าน



นนท์นทีนั่งอยู่บนโซฟาในห้องซึ่งเขาคาดว่าน่าจะเป็นห้องรับแขก เจ้าตัวนั่งนิ่งมองไปยังกำแพงห้องซึ่งเมื่อเขาเดินเข้ามาในห้องแล้วถึงเห็นว่ามีรูปรูปหนึ่งที่แขวนไว้ เขายืนมองรูปอยู่หน้าห้อง ชายหญิงคู่หนึ่งกอดกันและยิ้มอย่างมีความสุข ฝ่ายหญิงอุ้มเด็กคนหนึ่งไว้ ยิ้มยีฟันที่ยังขึ้นไม่ครบของตัวเอง อารมณ์ที่ถ่ายทอดออกจากรูปนั้นเขาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของครอบครัว นี่คงเป็นบ่อเกิดความแค้นที่ทำให้ความสุขในภาพเหล่านี้พังพินาศไปโดยน้ำมือของครอบครัวเขาเอง



“ คุณคิดว่าเมื่อก่อนพวกผมมีความสุขขนาดไหน ” คนที่นั่งเหม่อเหลือบสายตามามองผมแล้วถามขึ้น แต่ผมไม่ได้ตอบอะไร เพราะผมรับรู้ถึงความเจ็บปวดผ่านน้ำเสียงของคนถาม



“ เมื่อก่อนตั้งแต่ผมจำความได้ ผมมีความสุขมาก พ่อกับแม่รักผมมาก และเราก็ไปเที่ยวด้วยกันบ่อยมาก จนถึงตอนนี้ผมไม่เคยลืมเลยว่าเสียงหัวเราะของพวกเขาดังกึกก้องในใจผมมากขนาดไหน ”



“ ….. ”



“ แต่พอหลังจากนั้นไม่นาน ชั่วพริบตาเดียวที่ผมยังไม่ทันได้รับรู้ว่าความตายมันกะทันหันขนาดไหน ทุกๆ อย่างก็หายไปหมด ”



“ …... ” คราวนี้คนที่พูดอยู่ฝ่ายเดียว ลุกขึ้นเดินไปที่รูปแล้วลูบมันเบาๆ



“ พ่อกับแม่หายไป กลายเป็นคนที่ยังอยู่ซึ่งผมไม่เคยเจอหน้าค่าตามารายล้อมรอบตัวผมเต็มไปหมด ”



“ ผม…. ” ทว่าอีกฝ่ายพูดแทรกขึ้นมาก่อน



“ ทุกคนเข้ามาหาผมด้วยความกระหายที่ฉาบความเป็นมิตรไว้บนใบหน้า สูบทุกอย่างที่พ่อกับแม่ผมมี จนเกือบจะหมด โชคดีที่ผมรู้ตัวก่อน คุณคิดว่าหากผมยังโง่ต่อไป ผมจะเป็นยังไงต่อไป ”



“ …… ”



“ ก็คงไม่ได้มาอยู่ตรงหน้าคุณตรงนี้ คุณก็คงไม่เจ็บ รักก็คงไม่เจ็บ ครอบครัวคุณก็คงมีความสุข ” น้ำเสียงของคนพูดเริ่มเปลี่ยนไป เกรี้ยวกราดมากขึ้น ตามองตรงมายังเขาที่ยืนอยู่ที่เดิม พร้อมกับปืนในมือที่เล็งมาทางเขาเช่นเดียวกัน



“ ผมรู้ว่าคุณเสียใจที่ทุกๆ อย่างเกิดจากครอบครัวผม แต่ผมขอให้คุณรู้ไว้ว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิด ผมเองเมื่อได้รู้เรื่องทั้งหมดก็เสียใจเหมือนกัน " เขาพยายามตั้งสติ แล้วพูดออกไปให้มากที่สุด ไม่รู้ว่าคนของอาชัชจะมาเมื่อไหร่ จะรู้หรือไม่ว่าเขาอยู่ที่นี่ แต่ถึงอย่างไรก็ตามต้องถ่วงเวลาให้ได้มากที่สุด



“ ผมนึกคิดอยากจะฆ่าพวกคุณไปให้รู้แล้วรู้รอด ความแค้นของผมจะได้จบลงซักที ” นนท์นทีพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ แล้วเดินเข้ามาหาเขาช้าๆ



“ แต่คุณรู้ไหมว่าผมทำไม่ได้!!! ” พร้อมกับหมัดหนักๆ แทนที่จะเป็นปืนที่ถืออยู่อีกข้างกระแทกเข้าที่หน้าของเขา เขาเซไปเล็กน้อย ความเจ็บปวดเริ่มลามทั่วใบหน้า



“ ผมทำแบบนั้นไม่ได้ ผมไม่รู้ว่าทำไม ”



“ แต่ผมคิดว่าผมรู้นะ ” เขาเช็ดเลือดที่ซึมออกจากมุมปาก แล้วสะบัดหัวไล่ความมึน



“ คุณเป็นคนดี คุณนนท์ คุณทำไม่ลงหรอกเรื่องแบบนั้น ”



“ คุณจะไปรู้อะไร! สิ่งที่ผมทำลงไปคุณยังบอกว่าเป็นคนดีอีกงั้นเหรอ ” นนท์นทีถอยหลังไปเล็กน้อยก่อนจะยกปืนเล็งมาที่เขาอีกครั้ง



“ ถ้าคุณเลวจริง คุณคงฆ่าผมไปตั้งแต่อุบัติเหตุครั้งแรกแล้ว คุณตั้งใจให้คนที่คุณจ้างชนฝั่งคนนั่งแทนที่จะเป็นฝั่งคนขับ ”



“ แต่คุณก็เกือบตาย ”



“ แต่ก็ไม่ตาย ครั้งที่สองคุณก็ตั้งใจให้คนของคุณขี่มอเตอร์ไซด์มาเฉี่ยวผม แต่ผมก็ไม่เป็นอะไร ”



“ อันนั้นผมแค่อยากจะก่อกวนเฉยๆ ”



“ ส่วนครั้งที่สามคุณก็ตั้งใจตัดสายเบรก แต่คุณรู้อยู่แล้วว่าระหว่างทางจากคอนโดผมไปสถานที่จัดงานมันไม่ได้ไกลมาก และทางมันตรงอย่างเดียว ระยะทางแค่นั้นมันจะทำให้ผมบาดเจ็บได้แค่ไหนกัน ” นนท์นทีได้แต่มองเขาแต่พูดอะไรไม่ออก ซึ่งเขาเดาว่าสิ่งที่พูดคงจะถูกต้องทั้งหมด



“ และครั้งนี้ จริงๆ คุณจะฆ่าผมตั้งแต่ผมลงจากรถตอนนั้นเลยก็ได้ เพราะแถวนั้นไม่มีกล้องวงจรปิด แต่คุณก็ไม่ทำ ” แววตาสับสนที่เขามองเห็นได้ชัดเจนทำให้เขายิ่งมั่นใจเข้าไปอีกว่าอีกฝ่ายไม่มีความตั้งใจที่จะฆ่าเขาเลยแม้แต่น้อย ซึ่งเขามั่นใจได้ยังไงบอกตามตรงว่าเขาก็ไม่รู้ แต่พอได้มายืนอยู่ตรงหน้าคนที่ได้ชื่อว่าจะพยายามฆ่าเขาหลายรอบแล้ว ท่าทางหลายๆ อย่างของคนนี้ทำให้สัญชาตญาณของเขาบอกว่าคนนี้ไม่ได้อันตรายอย่างที่คาด พูดอีกก็คือมันแค้นแต่แค่ทำไม่ลง



“ ผมจึงมั่นใจได้ไง ว่าคุณเป็นคนดีนนท์นที ผมขอร้องอย่าเอาความแค้นมาบดบังอนาคตของคุณเลย คุณเก่ง คุณมีฝีมือ อนาคตของคุณไกลแน่นอน ผมแค่รู้สึกว่าเราสามารถช่วยกันได้ถ้าเราพยายามไปด้วยกัน ” ผมเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายขึ้นกว่าเดิม ด้วยความลังเลก็ทำให้มันเดินถอยหลัง



“ คุณไปเอาความมั่นใจมากจากไหนกัน ผมอาจจะฆ่าคุณต่อจากนี้ก็ได้ ”



“ ผมจะไม่พูดอะไรทั้งนั้น หากครั้งนี้คุณยอมปล่อยความแค้นทั้งหมด เรื่องทั้งหมดนี้ผมจะถือว่าไม่เคยเกิดขึ้น ผมจะช่วยเหลือคุณเท่าที่ผมช่วยได้ ” คนตรงหน้าผมยังคงนิ่งและเล็งปืนมาทางผมอยู่เหมือนเดิม สายตาสับสนนั้นยังคงเหมือนเดิม



“ ถือว่าผมขอร้อง ผมไม่อยากให้อะไรๆ มันเลวร้ายไปมากกว่านี้ ผมไม่อยากให้อนาคตดีๆ ของคุณต้องมามัวหมอง ” แล้วมันก็ได้ผล นนท์นทีค่อยๆ ลดปืนในมือลง ผมจึงหายใจหายคอได้โล่งอกซักที



แต่ทันใดนั้นเอง…



“ แต่ผมคงไม่ยอมหรอกนะคุณเนตร! ” น้ำเสียงแข็งกระด้างดังมาพร้อมกับชายคนหนึ่งปรากฎขึ้นทางด้านหลังของเขา



“ คุณอา… ” นนท์นทีเอ่ยขึ้นด้วยความงุนงง ส่วนตัวเขาก็งงไม่แพ้กัน เพราะเขาไม่รู้จักคนตรงหน้านี้ซักนิดเลย



“ คุณคงไม่รู้จักผมหรอก เพราะผมไม่เคยเจอคุณ และไม่ได้มีความแค้นอะไรกับคุณเป็นการส่วนตัว ”



“ แล้วทำไม… ”



“ คุณนี่ก็หนังเหนียวนะ หลานผมอุตส่าห์จะฆ่าคุณหลายรอบแต่ก็ยังรอดมาได้ ” เขารู้สึกเหมือนคุ้นๆ กับฉากนี้ยังไงชอบกล



“ คุณอามาที่นี่ได้ยังไงครับ ” คนข้างตัวผมถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ยังคงงงงวยอยู่



“ ก็ฉันรู้ว่าแกคงจะใจอ่อนเหมือนแม่แกไง หึ โกรธเขา แต่ไม่ยอมทำอะไรซักอย่าง! นี่ถ้าฉันไม่มา แกก็คงยอมเขาไปแล้วใช่ไหม ”



“ แต่ผม…ไม่อยากทำอีกต่อไปแล้วครับ ผมทรมาน ” นนท์นทีพูดสั่นเครือ



“ งั้นแกก็ตายตามมันไปแล้วกัน ” คุณอาของนนท์ยกปืนขึ้นพร้อมเล็งมาทางเขาทันที ตอนนี้บอกตรงๆ ว่าเขาเริ่มกลัว เพราะสถานการณ์เริ่มเลวร้ายลงหลังจากที่ชายคนนี้โผล่มา



“ คุณอา! ทำแบบนี้ทำไมครับ! ”



“ ฉันไม่น่าช่วยแกเลย แต่ถ้าฉันปล่อยให้แกโดนคนพวกนั้นสูบเงินแกไป ฉันก็ไม่ได้อะไรเลยน่ะสิ! ” เขาสาบานว่าตอนนี้นนท์นทีช็อคไปแล้วหลังจากที่ได้รู้เหตุผลทั้งหมด



“ เพราะงั้นฉันเลยเฝ้ารอ รอให้แกทำตามแผนของแกไป จนสุดท้ายแกพังพินาศไป สมบัติทุกอย่างมันจะได้ตกมาเป็นของฉันไง ”



“ คุณเลยยั่วยุให้นนท์ทำทุกอย่างลงไป เพราะคุณหวังจะฮุบสมบัติทุกอย่างของหลานคุณงั้นเหรอครับ ” เขาพูดแทนนนท์นทีที่ตอนนี้ช็อคจนพูดไม่ออกแล้ว เขาเข้าใจว่าอีกฝ่ายคงไว้ใจคุณอาคนนี้มาก เพราะเป็นคนทำให้เขารอดพ้นจากเงื้อมือพวกคนชั่วทั้งหลาย แต่สุดท้ายกลับมารู้ความจริงว่าคุณอาก็หลอกใช้ตัวเขาเองเหมือนกัน



“ หุบปากมึงไปเลย! จะบอกให้นะว่าพ่อมึงนั่นแหละ เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด แต่ก็ดี สุดท้ายแล้วสมบัติของพ่อไอนนท์มันก็จะได้ตกมาอยู่กับกู ”



“ คุณนี่มันเลวจริงๆ ”



“ มีปากก็พูดไปเถอะ เดี๋ยวมึงก็จะไม่ได้พูดแล้ว ” คุณอายกปืนในมือของตัวเอง ก่อนจะเล็งมาทางเขา นิ้วมือกดลงไปช้าๆ โดยที่เขาก็ไม่ได้ขยับตัวไปไหน ทันใดนั้นคนข้างตัวเขาที่นิ่งเงียบมาตลอดก็วิ่งเข้าไปแย่งปืนในมือของญาติตัวเอง




ปัง!!!




“ คุณอา ห้ามยิง! ” กระสุนเฉียดตัวเขาไปแบบเส้นยาแดงผ่าแปด เมื่อคนตัวเล็กกว่าคุณอาพุ่งตัวเข้าไปพยายามยื้อแย่งปืนอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาที่ยืนนิ่งด้วยความตกใจ จึงรีบยกมือถือขึ้นมาโทรหาอาชัชทันที



“ คุณอาชัชครับ อยู่ไหนแล้วครับ ผมต้องการความช่วยเหลือด่วน ” เขาพูดด้วยความร้อนรน ตาก็มองความวุ่นวายตรงหน้า กลัวว่านนท์นทีจะเป็นอะไรไป



“ คนของอาถึงแล้วเนตร อยู่ข้างนอก รอสัญญาณจากอาอยู่ ตอนนี้อาก็อยู่หน้าประตูบ้านแล้วเหมือนกัน กำลังพังเข้าไป ”



“ เข้ามาเลยครับ! ”



“ มึง! โทรหาตำรวจเหรอไอเนตร ” คุณอาใช้แรงผลักนนท์นทีที่สะบักสะบอมไปอีกทาง ก่อนจะเล็งปืนมาทางเขาอีกครั้ง



“ เฮ้ยไอนนท์ เดี๋ยวมึงได้ตายสมใจแน่! ” นนท์นทีพยายามกลับมาแย่งปืนในมือของญาติตัวเองอีกครั้ง เขาจึงพยายามหาช่องจังหวะเข้าไปช่วยบ้าง



“ เนตร! ” ประตูหน้าบ้านถูกพังจนล้ม ตามด้วยอาชัชและคนของเขารีบกรูกันเข้ามา ในนาทีที่เขาและนนท์นทีพยายามยื้อแย่งปืนกับอาของนนท์อยู่ การปรากฏอย่างกะทันหันของตำรวจ ทำให้พวกเราหยุดชะงัก ในจังหวะนั้นเอง คุณอาก็ถีบตัวนนท์นทีอย่างแรง ทำให้อีกฝ่ายล้มลงกระแทกพื้น แล้วก็แย่งปืนกลับมาได้สำเร็จ และเล็งมาทางตัวเขาอย่างแน่วแน่อีกครั้ง



“ ผมขอให้คุณวางปืนลงด้วยครับ ” อาชัชเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เดินก้าวเข้ามาพร้อมกับปืนในมือเช่นเดียวกันคุณอา



“ คิดเหรอว่าไอเนตรกับหลานกูมันจะรอด กูตายพวกมันก็ต้องตายไปด้วย! ” คนพูดหัวเราะอย่างเย้ยยัน ทำให้เขาซึ่งช่วยพยุงร่างของนนท์ขึ้นมาต้องยืนนิ่งๆ เพราะไม่รู้ว่าคุณอาจะบ้าเลือดลั่นไกเมื่อไหร่ บรรยากาศภายในห้องเริ่มกดดันขึ้นตั้งแต่เจ้าหน้าที่เข้ามารายล้อมรอบพวกเรา



“ คุณอา แค่ก อย่าทำแบบนี้เลยครับ ” นนท์พยายามพูดอย่างลำบาก หลังจากโดนกระแทกไปหลายครั้ง



“ หึ ก่อนหน้านี้โกรธแค้นจะเป็นจะตายจนต้องให้กูช่วย พอมาตอนนี้เสือกเป็นคนดีแล้วเหรอไง ”



“ ผม….ไม่อยากทำมัน แค่ก อีกต่อไปแล้วครับ ถ้าคุณอาอยากได้สมบัติผมมากนัก ผมยกให้เลยก็ได้ครับ แค่ก แต่คุณอาอย่าทำแบบนี้เลย ”



“ พูดง่ายนี่ แล้วที่ผ่านมามึงจะพยายามแก้แค้นครอบครัวของไอเนตรทำไม ”



“ หยุดเถอะ คะ ครับคุณอา ” คนข้างตัวเขาเริ่มสะอื้นร้องไห้ พยายามอ้อนวอนญาติคนสุดท้ายที่ตัวเองไว้ใจ



“ มึงไม่ได้ต้องมาขอร้องกู ไอนนท์ มันสายไปแล้ว ” เขาเหลือบตาไปเห็นอาชัชส่งซิกให้สัญญาณกับคนของเขาให้อ้อมไปข้างหลังของคุณอาอย่างเงียบๆ เตรียมพร้อมเข้าชาร์ท เป็นนาทีที่ทำให้เขาระทึกใจจนไม่กล้าขยับร่างกายเลยแม้แต่นิด ในจังหวะที่คนของอาชัชจะเข้าจับกุมตัวคุณอานั้นเอง




ปัง!!




เสียงปืนดังกึกก้องขึ้นมา พร้อมกับร่างของคุณอาที่ถูกเจ้าหน้าที่กดลงพื้น คนถูกจับหัวเราะด้วยความสะใจ ทุกอย่างเกิดขึ้นไวไปหมด เขามองเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างงุนงง เห็นนนท์นทีเบิกตาค้างมองเขา ทำให้เขาต้องก้มลงมองตัวเอง



เลือดแดงฉานชุ่มเต็มเสื้อของเขา…



ไอคุณชาย!!! / เนตร!!! ” สองเสียงของใครซักคนที่ผมแสนคุ้นเคยดังขึ้นมาจากอีกทาง แล้วสักพักเมื่อความเจ็บปวดคืบคลานแทนความชา ตัวเขาก็ล้มลง



“ ไอคุณชาย ไอคุณชาย ” เขาลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก สายตามองเห็นคนที่ตัวเองนึกคิดอยู่ตลอดเวลาปรากฏอยู่ตรงหน้า รักที่เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ตบแก้มเบาๆ รู้สึกสัมผัสของมือที่จับมือของเขาแน่น



“ มองผมสิ! ห้ามหลับตานะ! ” คนที่โอบตัวผมอยู่ยังคงตบแก้มปลุกเขาให้รู้สึกตัว



“ เนตรฝืนใจไว้นะ รถพยาบาลใกล้จะถึงแล้ว ” ร่างกายของเขารับรู้ได้ช้าลง เสียงของใครหลายคนแทรกเข้ามาซึ่งเขาเริ่มจับใจความไม่ได้ ภาพตรงหน้าเริ่มเลือนราง



และความรู้สึกสุดท้าย



ความอบอุ่นของมือคู่นั้นที่จับมือของเขาแน่น



หยดน้ำตาไหลตกลงมาบนหน้า



เขา….ไม่อยากทำให้เสียใจเลย หยุดร้องไห้เถอะ…



หยุดร้องไห้เถอะนะรัก



เพราะมันทำให้เขาทรมานยิ่งกว่าความเจ็บปวดใดๆ…






โปรดติดตามตอนต่อไป


มุแงงงงงงงง พี่เนตรรรรร หนูขอโทษที่ทำให้เจ็บตัวน้าาาา

 :serius2:


หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 30!!! (14/8/64)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 17-08-2021 19:51:14
 :pig4:
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 30!!! (14/8/64)
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 25-08-2021 22:44:03
 :mew1: o13
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 30!!! (14/8/64)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 10-09-2021 22:31:24
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 31!!! (14/9/64)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหมีวุ่นวาย ที่ 14-09-2021 16:28:44
ตอนที่ 31
" ขอเพียงแค่เขาปลอดภัยก็พอ "




“ คุณรัก คุณแสงครับ ผม…เกรงว่าคุณเนตรจะเกิดเรื่องแล้วครับ ” คุณศรเดินมาบอกผมด้วยสีหน้าไม่สู้ดี ผมซึ่งกำลังจะกดมือถือติดต่อไอคุณชายผุดลุกขึ้นยืนทันทีที่ได้ยิน



“ ไอคุณ…คุณเนตรเป็นอะไรครับ! ” ผมถามด้วยความตื่นตระหนก ในใจเริ่มรู้สึกหวั่น ความรู้สึกแปลกๆ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้กำลังทำให้ผมกระวนกระวายใจ



“ ผมยังไม่สามารถบอกอะไรคุณได้มาก แต่ขอให้คุณตามผมมาก่อนครับ ” ว่าแล้วคุณบอดี้การ์ดก็นำทางผมกับไอแสงไอที่รถ แล้วขับออกไปทันที บรรยากาศกดดันทำให้ผมกับแสงนิ่งเงียบ ไม่มีใครเลือกที่จะพูดอะไร ซึ่งผิดวิสัยของพวกเรามากๆ แต่บอกตรงๆ ว่าตอนนี้ผมกลัวไปหมด ถึงแม้จะจำเรื่องราวของไอคุณชายไม่ได้ แต่ไม่รู้ทำไมในใจผมถึงเป็นห่วงได้มากมายขนาดนี้ มือทั้งสองข้างของผมบีบกันแน่น คุณศรก็ติดสายตลอดเวลา ซึ่งปลายสายก็น่าจะเป็นใครซักคนที่ส่งข่าวมาเมื่อก่อนหน้านี้บอกว่าคุณเนตรกำลังเกิดเรื่อง



ท่ามกลางการจราจรที่ติดขัด เพราะเป็นเวลาที่คนแห่กันออกมาจากสถานที่ทำงาน ทำให้รถที่ผมนั่งอยู่นี้ขยับได้ไม่มาก เวลาที่ผ่านไปกับความกังวลในใจของผมที่มันมากขึ้นทุกๆ วินาที ตอนนี้ผมเริ่มส่งข้อความหาไอคุณชายเรื่อยๆ ด้วยความหวังที่ว่าเขาจะตอบ หรือไม่ตอบก็ได้ อ่านเฉยๆ ก็ได้ ให้ผมรู้ถึงความเคลื่อนไหวของเขาก็ยังดี อย่างน้อยก็ทำให้ผมชื้นใจว่าเขายังปลอดภัยดี แต่ไม่ว่าผมจะส่งข้อความไปเยอะเท่าไหร่ ปลายทางก็ยังนิ่งเงียบ นี่แหละทำให้ผมกลัว



ไอแสงที่นั่งเงียบมาตลอดก็ตบไหล่ผมพร้อมบีบเบาๆ ผมจึงหันไปหามัน ไม่รู้ทำไมเห็นหน้ามันตอนนี้แล้วเกิดอยากจะร้องไห้ขึ้นมาจริงๆ นี่ผมอ่อนแอขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมกระพริบตาถี่ไล่น้ำตา แล้วสูดหายใจลึกเพื่อเรียกกำลังใจให้ตัวเอง ต้องเชื่อมั่นว่าคนดีๆ อย่างไอคุณชายต้องไม่เป็นอะไร



เพราะถ้าเขาเป็นอะไรขึ้นมา ใจผมคงต้องแย่แน่



“ คุณรักใจเย็นๆ นะครับ คุณเนตรต้องไม่เป็นอะไรครับ ตอนนี้เจ้านายผมกำลังส่งคนเข้าไปช่วยเหลือ คาดว่าน่าจะใกล้ถึงแล้วครับ ” เสียงของคุณศรเอ่ยขึ้นในขณะที่ผมกำลังต่อสู้กับตัวเองในใจ



“ ผม…แค่อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาครับ ”



“ ตอนนี้สิ่งที่ผมสามารถบอกคุณได้ก็คือเขาถูกจับตัวไปครับ ”  จับตัวไป? คนอย่างไอคุณชายที่มีคนดูแลมากมายขนาดนั้นเนี่ยนะ?



“ แล้วทางคุณรู้ตัวคนร้ายแล้วใช่ไหมครับ ” ไอแสงถามแทนผมที่กำลังตกใจ



“ ตอนนี้รู้แล้วครับ ”



“ ตอนนี้คุณศรจะพาพวกผมไปไหนเหรอครับ ” คนขับรถเงียบไปพักหนึ่ง



“ ผมได้รับคำสั่งให้พาพวกคุณกลับบ้านครับ ”



“ ผมคงกลับบ้านแล้วได้แต่รอข่าวคราวของคุณเนตรอย่างเดียวไม่ได้หรอกนะครับ ”



“ มันอันตรายครับคุณรัก ”



“ ผมรู้ครับ แต่ผมไม่สามารถกลับบ้านได้จริงๆ ครับตอนนี้ ”



“ ผม….เป็นห่วงเขาครับ ” ผมพูดน้ำเสียงจริงจัง จนคิดว่าในชีวิตนี้ตัวเองไม่เคยจริงจังแบบนี้มาก่อน จนไอแสงมองมาอย่างอึ้งๆ ผมจึงกระดากนิดหน่อย เลยกระแอมๆ เล็กน้อย ก่อนที่เพื่อนผมมันจะหัวเราะเบาๆ แถมยังเลิกคิ้วลิ่วตามาให้ผมอีก



“ เรื่องนี้ผมตัดสินใจให้ไม่ได้นะครับ แต่ผมขอถามเจ้านายผมก่อน ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็กดลงที่ปุ่มอะไรซักอย่างบนหน้าจอ คาดว่าน่าจะเป็นปุ่มโทร ซึ่งตอนนี้ระบบเสียงเชื่อมต่อกับบลูทูธที่สวมอยู่ในหูของเขา ทำให้เราไม่ได้ยินเสียงปลายสาย ผมยกมือขึ้นจะตบหัวไอแสงที่มันยังล้อผมไม่เลิกซักที แต่มันก็ไหวตัวทัน แล้วยังหัวเราะคิกคักใส่ผมอีก ไอเพื่อนชั่ว!



“ แหมๆ คุณเพื่อนรักครับ ไม่ทราบว่าพลังอนุภาพของความรักมันกำลังสำแดงฤทธิ์ใช่ไหมครับ เลยยอมรับออกมาตรงๆ ขนาดนี้ แมนขนาดดด ”



“ เงียบไปเลยมึง คุณบอดี้การ์ดเค้าคุยโทรศัพท์อยู่ไม่เห็นหรือไง ” ผมตอบน้ำเสียงกระซิบ



“ ทำดุๆ โด่ว เขินก็บอกมา เพื่อนไม่ว่าหรอก ” แล้วมันก็หัวเราะเยาะเย้ยครับ ผมเลยยกเท้าถีบเข้าให้ มันเลยยอมเอามือปิดปาก แต่ก็ยังปิดรอยยิ้มกรุ่มกริ่มของมันไม่มิด



“ เขินเก่งง ฮ่าๆ ” ผมถลึงตามองมัน ก่อนจะเลิกสนใจมันถาวร



“ คุณรักครับ ” ผมรีบหันมาหาคุณศรที่เพิ่งจะวางสายจากเจ้านายเขา


“ เขาว่ายังไงบ้างครับ ”



“ เขาบอกว่าตอนนี้รู้สถานที่ที่คนร้ายลักพาตัวคุณเนตรแล้วครับ… ”



“ สรุปแล้วเราสามารถไปได้ไหมครับ ” ผมรีบถามทันทีที่คุณบอดี้การ์ดพูดยังไม่ทันจะจบประโยค



“ แหมมึงก็ ใจเย็นๆ ดิวะ เขากำลังจะพูดต่อเนี่ย แต่ก็อย่างว่าแหละน้า ” แล้วมันก็จบด้วยคำพูดคลุมเครือของมัน ซึ่งผมก็เอือมระอาเกินว่าที่จะอ้อล้อต่อเถียงกับมัน หันไปสนใจคุณบอดี้การ์ดแทน



“ ผมสามารถพาคุณรักกับเพื่อนไปได้ครับ แต่เจ้านายเขาย้ำมาว่าให้เราอยู่แต่บนรถ ห้ามลงไปเป็นอันขาดครับ ”



“ เอ่อ แบบนั้นก็ได้ครับ ”



“ คุณรักต้องรับปากนะครับว่าจะไม่เข้าไปเป็นอันขาด ”



“ ครับ ผมรับปาก ”



ไขว้นิ้วไว้ข้างหลัง แล้วพูดต่อในใจว่า...



‘ ถ้าผมทำได้อ่ะนะครับ ’















“ บ้านหลังนี้เหรอครับ ” เราเข้ามาในหมู่บ้านที่ผมคาดว่าน่าจะค่อนข้างแพงไปทางมาก ซึ่งก็บ่งบอกอยู่แล้วว่าคงจะมีแต่คนมีกะตังเท่านั้นที่อยู่ และขับมาเรื่อยๆ ผมก็ยิ่งตาโตเข้าไปกันใหญ่ ลืมความกังวลในใจไปครู่หนึ่ง พอมาถึงจุดที่คนร้ายนำตัวไอคุณชายมาไว้ ผมมองไปรอบๆ บ้าน ก็พบว่ามันก็คือบ้านเดี่ยวทั่วๆ ไปที่ไว้สำหรับอาศัย ไม่ใช่สถานที่ที่จะก่อเหตุได้เลย บ้านหลังอื่นๆ คงยังไม่รับรู้ถึงเหตุการณ์ร้ายแรงนี้ด้วย เพราะแต่ละหลังยังคงเงียบไม่มีใครมายืนออเป็นไทยมุงเลยซักคน



ด้านหน้าของตัวบ้านมีรถของเจ้าหน้าที่จอดอยู่มากมาย แต่ทุกคันไม่มีเปิดไฟ หรือแสดงสัญญาณไฟใดๆ ทั้งสิ้น เนื่องด้วยว่าคงกำลังเตรียมตัวบุกเข้าไป ผมเห็นเจ้าหน้าที่สวมชุดดำถือปืนจำนวนหนึ่งรอสัญญาณอยู่หน้าประตูบ้าน และมีบางคนประจำจุดอยู่รอบๆ ตัวบ้าน ผมรู้สึกลุ้นระทึกลึกๆ เพราะไม่เคยเห็นฉากแบบนี้มาก่อน นอกจากในหนัง แถมสถานการณ์ตรงหน้ายังกดดันเพราะเราไม่รู้ว่าข้างในจะเป็นยังไงบ้าง



ก็ขอให้ไอคุณชายยังคงปลอดภัยด้วยเถอะ



“ เชี่ย อย่างกับในหนัง ”  ไอแสงพึมพำออกมาอย่างอึ้งๆ ซึ่งผมก็เห็นด้วยกับมัน เพราะเหตุการณ์ข้างหน้ามันอารมณ์แบบนั้นเลยอ่ะครับ แต่พอได้อยู่ในที่เกิดเหตุจริงๆ กลับรู้สึกถึงความรู้สึกของตัวละครเลยว่าเครียดขนาดไหน (ก็ว่าไปนั่น)



“ ผมจะจอดอยู่ตรงนี้นะครับ พวกเราต้องรออยู่ในนี้เท่านั้น ” ผมพยักหน้าให้คุณศร ก่อนจะมองไปยังจุดหน้าบ้านอีกครั้ง ใจเต้นแรงตลอดเวลาเพราะรับรู้ถึงความเครียดขึงที่เริ่มก่อตัวอยู่ภายใน ขามันก็สั่นตลอดเวลาจนอยากจะเปิดประตูแล้ววิ่งเข้าไปให้มันรู้แล้วรู้รอด แต่ต้องหักห้ามใจเพราะไม่อยากไปเป็นภาระของใคร



“ ไอรัก กูว่างานนี้แม่งไม่หมูว่ะ มึงดูเจ้าหน้าที่ดิ เยอะเบอร์นี้ ”



“ กูกลัวว่ะมึง กลัวว่าไอคุณชายจะเป็นอะไรไป ” ผมพูดแล้วมองไปยังตัวบ้านอีกครั้ง จากจุดที่ผมอยู่นี้มองไม่เห็นสถานการณ์ข้างในเลยแม้แต่นิด เห็นแค่ว่าตัวบ้านเปิดไปสว่างเหมือนบ้านทั่วไป ไอแสงเอื้อมมือมาตบไหล่ผมเบาๆ



เมื่อเวลาผ่านไปไม่นานนัก ก็มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งหยิบสิ่งของออกมาจากกระเป๋า ผมเดาว่าน่าจะเป็นมือถือ จากนั้นก็ส่งสัญญาณมืออะไรซักอย่างซึ่งผมมองแล้วไม่เข้าใจ ทันใดนั้นอีกสองคนก็พุ่งตัวเข้าไปพังประตูทันที! เสียงประตูพังดังเล็ดลอดเข้ามาถึงในรถ ผมกับไอแสงมองกันอย่างตื่นตะลึง เพราะประตูบานใหญ่ๆ บานนั้นแต่ใช่คนแค่สองคนในการพัง โอ้มาย นี่ผมไม่รู้เลยว่ามันเป็นเพราะประตูบางเกินไปหรือคนมันบึกเกินไปกันแน่



คงน่าจะเป็นอย่างหลังน่ะนะ



เจ้าหน้าที่หลายคนวิ่งเข้าไปในบ้านทันทีที่พังประตูเข้าไป ส่วนบางคนเฝ้าอยู่ข้างนอกตรวจตราดูรอบตัวบ้าน ผมมองตามแสงสว่างที่เล็ดลอดออกมาจากในตัวบ้านผ่านบานประตูซึ่งนอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้น เงาคนวูบวาบไปมา แต่ก็ไม่รู้ว่าตัวไอคุณชายอยู่จัดไหนของตัวบ้าน มือของผมจับบานประตูรถแน่น พยายามหักห้ามใจไม่ให้ขัดคำสั่งแล้วเปิดประตูวิ่งลงจากรถไป ผมคิดอย่างขัดใจ ทำไมผมถึงช่วยอะไรไม่ได้เลยนะ ทั้งๆ ที่เรื่องการต่อสู้ผมก็ฝึกฝนมาตลอด แต่ทำไมพอถึงเวลาจริงๆ ถึงเกิดเรื่องได้ตลอดเวลา จะปกป้องคนอื่นแต่กลับต้องให้คนอื่นมาเจ็บตัวไปด้วย



โอเค ผมยอมรับว่าตอนนี้ผมว้าวุ่นสุดขีดเลย ความคิดในหัวตีกันวุ่นวายไปหมด สถานการณ์เลวร้ายขั้นสุดขนาดไหนผมก็คิดไปไกลกว่านั้นแล้วล่ะ พอคิดว่าหากเกิดเหตุการณ์แบบที่คิดจริงๆ แล้ว ในใจผมก็กลัวไปหมด จนกระวนกระวายใจ อยู่นิ่งไม่ได้เลยซักนาทีเดียว เกลียดช่วงเวลาแบบนี้ซะจริง มันทำให้ผมรู้สึกจะเป็นบ้า คงเป็นอาการแพนิคอย่างหนึ่งที่ทุกๆ คนคงเคยเผชิญ



ผมลดกระจกลงมาเล็กน้อย คุณบอดี้การ์ดหันหลังมามองผมทันที ผมยิ้มแห้งๆ ให้เขา



“ ผมอยากสูดอากาศข้างนอกน่ะครับ ในนี้มันอึดอัด ผมหายใจไม่ค่อยคล่องเลย ” พอผมพูดจบ คนนั่งข้างหน้าพยักหน้าเชิงรับรู้แล้วหันกลับไป ไอแสงหันมามอง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ผมจึงเคลื่อนสายตาไปมองที่ตัวบ้านอีกครั้ง



และขณะที่ผมกำลังคิดอะไรวุ่นวายไปอยู่นั้น



ปัง!!!



เสียงนี้ผมคุ้นเคยดี ถึงแม้จะไม่เคยสัมผัสมัน แต่ผมได้ยินมันทุกครั้งเมื่อดูหนังแอกชั่นสุดระห่ำ ที่พระเอกต้องต่อสู้กับตัวร้าย หรือในละครที่ม๊าผมชอบดูก็มีเหมือนกัน ที่ต้องมีฉากคนร้ายพยายามจะทำร้ายใครซักคนในตอนท้ายเมื่อทุกอย่างถูกเปิดโปงแล้ว เหมือนทุกอย่างหยุดนิ่ง แม้กระทั่งลมหายใจของผมเอง เมื่อเสียงนั้นดังขึ้น เหมือนสติของผมจะถูกมันพรากออกไปจากร่างด้วยเช่นกัน



ผมไม่รู้ตัวว่าตัวเองเปิดประตูลงมาตอนไหน คุณบอดี้การ์ดและเพื่อนผมจะตะโกนออกมาว่ายังไง หรือฝ่าเจ้าหน้าที่ที่เฝ้าตามจุดอยู่ตรงหน้าตัวบ้านได้ยังไงเหมือนกัน แต่ในใจผมตอนนี้มุ่งไปหาคนที่อยู่ในความคิดของผมตลอดเวลาเรียบร้อยแล้ว ไม่รู้แม้กระทั่งตัวเองมาถึงจุดเกิดเหตุโดยที่ไม่รู้เลยว่าอยู่ตรงไหนได้ยังไงด้วยซ้ำ ก่อนที่สติผมจะขาดผึง เสียงปืนกลับดังขึ้นอีกครั้ง แต่ทว่าคราวนี้มันดังขึ้นกว่าเดิม



เพราะเหตุการณ์มันอยู่ตรงหน้าผมแค่นี้เอง



ปัง!!!



“ ไอคุณชาย!!!! ” ผมตะโกนสุดเสียงเมื่อเห็นว่าเจ้าตัวยังคงยืนนิ่งเหมือนไม่รู้ตัวว่าตัวเองถูกยิง ตัวผมพรวดพราดเข้าไปประจวบพอเหมาะทันทีที่ไอคุณชายล้มลง เสียงคนร้ายหัวเราะดังลั่น เสียงร้องไห้ของคุณนนท์ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงมาอยู่ตรงนี้ได้ ดังระงมไปทั่วห้อง ในสายตาของผมมีแต่ใบหน้าซีดขาวของคนในอ้อมกอดของผมเท่านั้น ผมพยายามตบแก้มเขาเบาๆ ให้เขาลืมตา ฉวยมือของเขามากุมไว้แน่นแล้วพยายามเรียกชื่อเจ้าตัว ในหัวของผมเหมือนว่างเปล่าไปหมด ผมคิดอะไรไม่ออกเลยแม้แต่นิด รู้แต่ว่าใจผมมันบีบรัดไปหมด น้ำตาไหลออกมาไม่รู้ตัว



ผมใช้มืออีกข้างฉีกแขนเสื้อตัวเองเพื่อมากดแผลของไอคุณชายที่เลือดไหลออกมาไม่หยุด มือสั่นเหมือนเรี่ยวแรงหายไปหมด ก่อนจะได้ยินเสียงพยาบาลตะโกนเข้ามาว่าให้ออกห่างจากคนเจ็บ แต่ผมยังดึงดันที่จะกุมมือของอีกฝ่ายไว้แน่น



แต่แม้ว่าจะจับแน่นขนาดไหน



สุดท้ายก็จำต้องหลุดออกจากกันอยู่ดี…



ร่างสูงของไอคุณชายถูกยกขึ้นเปลคนเจ็บ มีบุรุษพยาบาลสองคนเข็นออกไปอย่างรวดเร็ว ผมรีบวิ่งตามออกไป แต่ก็ถูกคนที่ไม่รู้ใครเป็นใครบังจนผมวิ่งไล่ตามไม่ทัน จนคนเจ็บถูกยกขึ้นรถฉุกเฉินแล้วแล่นออกไปแล้ว ผมยังคงยืนโง่อยู่ที่เดิม ผมยกมือสั่นๆ ของตัวเองขึ้นมาลูบหน้าลูบตาของตัวเอง ความเปียกชื้นบนใบหน้าก็ทำให้ผมเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองร้องไห้อยู่ และเมื่อยิ่งเช็ด น้ำตากลับยิ่งไหลออกมามากกว่าเดิม สะอื้นหนักมากขึ้น เมื่อหยุดไม่ได้ ผมก็ก้มหน้าลงให้น้ำตามันไหลสะใจไปเลยละกัน



ไหล่ผมถูกใครซักคนกอดไว้ ก็คงเป็นไอแสงนั่นแหละ แต่วินาทีนี้ผมไม่สนใจอะไรแล้ว ร้องมันให้ตายไปเลยละกัน



“ ไอเหี้ยรัก มึงใจเย็นๆ น้ำจะท่วมแล้ว ” ผมเงยหน้ามองหน้ามัน เห็นมันทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เหมือนกันเลยเอื้อมมือไปผลักหัวมันเบาๆ



“ ว่าแต่คนอื่น ตามึงก็แดงเหมือนกันนั่นแหละ นั่นไอคุณชายกูนะ มึงไม่เกี่ยว ”



“ โหย กูพิศวาสตายห่าแหละ กูแค่สงสารมึง ดูมึงสิ ต้องแรงควายขนาดไหนวะ ฉีกเสื้อไปซับเลือดเขาได้น่ะ” จบประโยคนั้นก็ทำให้ผมยิ่งร้องไห้ออกมามากกว่าเดิม



“ มึงแม่ง ”



“ เฮ้ย! อย่าร้อง กูพูดเล่น ไม่เอาๆ ละ เลิกร้อง เมื่อกี้คุณอะไรนะ บอดี้การ์ดของมึงอ่ะ ” ผมสูดน้ำมูก กลั้นสะอื้นก่อนจะเอ่ยตอบเสียงสั่นๆ



“ คุณศร ”



“ นั่นล่ะ เขาบอกว่าให้มึงรีบกลับไปที่รถ เดี๋ยวเขาจะพาไปที่โรง’ บาล ” ว่าแล้วมันก็กอดไหล่ลากตัวผมเดินออกจากบริเวณบ้านกลับไปที่ตัวรถ ระหว่างที่เดินไอแสงมันก็ปลอบผมโดยการลูบๆ ไล้ๆ จนผมรู้สึกจั๊กจี้แทนที่จะซึ้งในน้ำใจมัน คราวนี้เลยตบหัวมันไปเลยจริงๆ จนมันร้องโอ้ย หันมามองตาขวาง เลยทำให้ผมหัวเราะได้หน่อย



“ เห็นว่ามึงเศร้าอยู่หรอกนะ กูจะไม่เอาคืน ” ผมยิ้มบางกับตัวเอง ไอแสงเป็นเพื่อนคนเดียวของผมที่ผมคบมานานขนาดนี้ มันทั้งผ่านอะไรกับผมมามากมาย อย่างในตอนนี้ที่ผมกำลังเผชิญอยู่ หากไม่บอกว่ามันเป็นเพื่อนที่โคตรสนิทก็ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาเรียกมันแล้ว



“ ขอบคุณนะมึง ” ผมหันไปพูดเบาๆ กับมัน



“ ไม่เป็นไรเว้ย ” แล้วมันก็ฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฟันผุของมันมาให้ ตอนนี้หัวเราะทั้งน้ำตาเป็นยังไง ผมก็เพิ่งจะรู้แหละนะ



“ เลี้ยงข้าวกูมื้อนึงก็พอ ” กำลังจะซึ้งเลยเชียว















“ ตอนนี้คุณเนตรกำลังอยู่ในห้องไอซียูครับคุณรัก ” คุณบอดี้การ์ดบอกกับผมเมื่อเรามาถึงที่โรงพยาบาลแล้ว อีกฝ่ายเดินนำหน้าพวกผมเพื่อพาไปยังห้องฉุกเฉินที่ร่างของไอคุณชายถูกมาเข้าไปในนั้นเป็นที่เรียบร้อย ไอแสงยังคงโอบไหล่ผมอยู่ จนตอนนี้บอกตรงๆ เลยคือกลัวสายตาคนรอบข้างเหลือเกิน ถ้าดูภายนอกคือไอแสงตัวสูงและหนากว่าผมอยู่ค่อยข้างเยอะ และผมซึ่งตัวสูงน้อยกว่า (ผมจะไม่บอกว่าเตี้ยกว่าเป็นอันขาด) มันเลยทำให้ถ้าใครที่ไม่รู้จักผมคงจินตนาการไปไกลแล้ว



อย่างตอนนี้ที่มีเด็กผู้หญิงวัยรุ่นคนหนึ่งนั่งรออยู่ตรงเก้าอี้ระหว่างทางที่จะไปห้องไอซียูมองผมสลับกับไอเพื่อนห่าข้างตัวผมไปๆ มาๆ หน้าตาขัดเขินเล็กน้อย ไม่ต้องบอกเลยว่าในหัวของเธอคิดไปไกลถึงขนาดไหน ผมจึงจับแขนไอแสงแล้วดึงออก แต่มันก็ยังไม่วายยกขึ้นมาพาดไหล่ผมใหม่แล้วบอกกับผมว่าผมยังไม่หายสะอื้น มันอยากจะปลอบจนกว่าผมจะหาย ผมอยากจะตบหัวมันเหลือเกิน แต่ติดอยู่ที่ตอนนี้อยู่ที่โรง’ บาล ทำเสียงดังไม่ได้ แถมมันก็ดื้อด้าน เลยปล่อยเลยตามเลยไปเลยละกัน แม่ง



พอเดินมาเรื่อยๆ เสียงดังจากภายนอกก็เริ่มเบาลง จนหลงเหลือแต่ความเงียบที่ผมไม่ชอบเอาซะเลย ถ้าใครเคยมาห้องไอซียูแล้วจะรู้ดีว่าบรรยากาศมันเป็นยังไง ความเย็นจากครื่องปรับอากาศในโรงพยาบาลว่าเย็นแล้ว พอเข้ามาให้เขตนี้ผมกลับรู้สึกว่ามันยิ่งเย็นขึ้นไปอีก หรือมันอาจจะเป็นบรรยากาศที่อึมครึมด้วยหรือเปล่าผมก็ไม่แน่ใจ แต่มันชวนให้รู้สึกแย่ชะมัด



ผมเดินตามทางไปเรื่อยๆ จนถึงแผนกห้องไอซียู ที่หน้าห้องมีญาติคนไข้รายล้อมจำนวนหนึ่ง บ้างก็นั่งรอ บ้างก็ยืนรอ แต่คนที่สะดุดผมอย่างจังเลยก็คือ พ่อของไอคุณชายที่เคยเรียกผมเข้าไปคุยก่อนที่จะจ้างผมให้มาเป็นบอดี้การ์ดของเจ้าตัว ข้างกายท่านประธานก็เป็นแม่ของไอคุณชาย ส่วนผู้ชายหน้าตาดีอีกคนหนึ่งที่โอบไหล่คุณแม่อยู่ก็คงเป็นน้องชายที่ชื่อนันท์อะไรซักอย่างนี่แหละ



ไอแสงปล่อยมือออกจากตัวผมโดยอัตโนมัติ เพราะบรรยากาศที่อึดอัดนี่แหละ ผมกับเพื่อนแสงเดินตัวลีบๆ เข้าไปหาพวกเขา แต่ก็ยังไม่กล้าทักด้วยความเคร่งเครียดที่แผ่ออกมาจากตัวท่านประธานก็ยิ่งทำให้ผมป๊อดเข้าไปอีก จนคุณแม่หันมาทางผมแล้วเห็นผมโดยบังเอิญ ผมถึงเดินเข้าไปไหว้ ดูจากตาแดงก่ำก็ทำให้ผมรู้ว่าคงเพิ่งจะร้องไห้หนักมาหมาดๆ ท่านยิ้มให้ผมนิดหนึ่งก่อนจะสะกิดให้ท่านประธานรับรู้ถึงการมาของผม



“ เอ่อ สวัสดีครับ ” อีกฝ่ายพยักหน้าเชิงรับรู้



“ อ้าว พี่นั่นเอง สวัสดีครับ ” น้องชายของคุณเนตรหันมาทักทายผม ซึ่งผมก็แทบยกมือรับไหว้ไม่ทัน



“ ศรมาส่งเหรอ ” ผู้เป็นพ่อถามผมนิ่งๆ



“ ใช่ครับ ตอนนี้รออยู่ด้านนอกครับ ” ท่านพยักหน้าอีกครั้ง แล้วหันกลับไปทำสีหน้าเคร่งเครียดอีกครั้งยามมองเข้าไปข้างในห้องฉุกเฉิน จากนั้นบทสนทนาก็จบลงโดยที่ผมกับแสงยืนอยู่ที่เดิม ทุกคนรอคอยด้วยจุดประสงค์เดียวกัน



คนที่อยู่ในนั้น…



ขอให้เขาปลอดภัยด้วยเถอะ ชีวิตนี้ผมไม่เคยอยากได้อะไรจนต้องอธิษฐานในใจ อันที่จริงผมไม่เคยเชื่ออะไรเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้เลยด้วยซ้ำ เพราะผมเชื่อว่าทุกอย่างจะได้มาก็เกิดจากความพยายามของตัวเอง แต่ในวินาทีนี้ ผมกลับอยากให้สิ่งที่ผมไม่เคยศรัทธาช่วยทำให้คำอธิษฐานผมเป็นจริงสักครั้ง



ไม่ว่ามันจะต้องแลกกับอะไร ผมก็ยอม



ขอเพียงแค่เขาปลอดภัยก็พอ




โปรดติดตามตอนต่อไป


มุแงงงงงง เค้าขอโทษนะตัววววว  :sad4:




หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 31!!! (14/9/64)
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 14-09-2021 21:49:00
 :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 32!!! (18/10/64)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหมีวุ่นวาย ที่ 18-10-2021 14:23:41
ตอนที่ 32
" เด็กใหม่ "





“ ไอรักโว้ย เดินๆ อย่าเหม่อสิวะ นี่มันกลางถนนนะมึง ” ผมหันไปมองคนพูดทันทีที่ได้ยินเสียงมันโวยวาย แล้วก็เพิ่งจะตระหนักได้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังรอสัญญาณไฟสำหรับคนเดินตรงกลางสี่แยก และรูปคนตัวสีเขียวบนสัญญาณกำลังเดินเหมือนบอกกับผมยิกๆ ว่า ‘มึงก็เดินซักทีสิโว้ย เดี๋ยวกูก็เปลี่ยนเป็นแดงซะหรอก’ อะไรประมาณนี้



“ เออๆ โทษๆ กูเหม่อไปหน่อย ” ไม่รู้เพราะมันไม่ทันใจหรือเปล่า ไอแสงเดินย้อนกลับมาดึงแขนผมเดินต่อเองเลย



“ มึงนี่นะ ต้องให้กูตามประกบตลอด ไม่งั้นโดนรถซิวไปแล้วเนี่ย ” แล้วมันก็บ่นๆๆ ส่วนผมก็ฟัง แต่เหมือนคนใจไม่อยู่กับตัวซักเท่าไหร่



ใช่แล้วครับ ตอนนี้ผมกำลังจะเดินทางไปโรงพยาบาลที่ไอคุณชายกำลังรักษาตัวอยู่ วันนี้ก็เป็นคนที่สามแล้วครับที่เขายังหลับไม่มีสติ แต่หมอก็บอกนะว่าคนไข้พ้นขีดอันตรายแล้ว อาจจะเป็นเพราะตอนเกิดเหตุเจ้าตัวเสียเลือดมากเกินไป จนเกือบจะช็อค ด้วยความโชคดี มาถึงหมอก่อนที่จะเกิดอะไรร้ายแรงไปซะก่อน แต่ถึงอย่างนั้นตอนนี้เขาก็ยังไม่ฟื้นเลย



“ ………………………. เฮ้ย นี่มึงฟังอยู่มั้ยเนี่ย ” คนลากแขนผมหยุดเดินแล้วหันมาถามผม



“ เออออออ ฟังอยู่ มึงก็เลิกบ่นหน่อยสิวะ กูหูชาแล้วเนี่ย ”



“ นี่กูหวังดีหรอกนะ เหอะ ” น่ะ สะบัดหน้าพรืดกลับไปแล้วลากแขนผมเดินอีกครั้ง



ไอแสงเพื่อนผมไปเป็นเพื่อนผมทุกครั้งที่มาเลย ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันไปเอาเวลามาจากไหนเยอะแยะมาอยู่กับผมก็ไม่รู้ ผมเคยบอกให้มันกลับไปทำงาน เพราะกิจการที่บ้านมันก็เยอะมากมายก่ายกอง แถมตอนนี้พ่อแม่มันก็เกษียณแล้วอีก ยิ่งทำให้มันไม่น่าจะปลีกตัวออกมาอยู่กับผมได้ แต่พอผมไล่มันให้กลับไป มันก็ตอบประมาณว่ามันมอบหมายงานให้คนหนึ่งแล้ว ซึ่งผมก็งงๆ ว่ามันไปหาคนมาจากไหนวะ เพราะเท่าที่จำได้มันมีพี่แค่คนเดียว แถมพี่มันตอนนี้ก็กำลังจะแต่งงาน ยิ่งไม่มีเวลาเข้าไปอีก และมันก็ค่อยไว้ใจให้ใครมาทำงานแทนมัน พอถามไปมันก็บ่ายเบี่ยงไม่ยอมตอบ ปากหนักเก่งเหลือเกิน ผมก็เลยเลยตามเลยละกัน



“ อ้าว คุณรัก สวัสดีค่ะ ” คุณเลขาคนเก่งของไอคุณชายนั่นเอง เพิ่งออกมาจากห้องไอคุณชาย



“ สวัสดีครับคุณเลขา มาเยี่ยมคุณเนตรเหรอครับ ”



“ อ้อ ใช่ค่ะ พอดีท่าประธานฝากให้เอาของมาให้ด้วยน่ะค่ะ เลยถือโอกาสมาเยี่ยมซะเลย แล้วนี่ไปไงมาไงคะนี่ ”



“ ผมกับนี่ ไอแสงครับ จำได้ใช่มั้ยครับ ” อีกฝ่ายยิ้มกว้างมาให้แทนคำตอบ “ มาเยี่ยมคุณเนตรเหมือนกันครับ ว่าจะถามอาการคุณหมอด้วย ” คุณเลขาทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกอะไรได้



“ ดิฉันลืมบอกไป ท่านประธานท่านฝากถามมาด้วยค่ะว่าคุณรักสะดวกจะมาเฝ้าหรือเปล่า เพราะตอนนี้ท่านกับครอบครัวกำลังวุ่นวายกับคดีความน่ะค่ะ ถ้าคุณรักเฝ้าได้ ท่านก็วางใจค่ะ ”



“ ได้เลยครับ ผมว่าจะถามอยู่พอดี ”



“ ดีเลยค่ะ ถ้าอย่างงั้นดิฉันจะเรียนกับท่านให้ทราบเลยนะคะ ว่าแต่คุณรักขาดเหลืออะไรบอกดิฉันได้เลยนะคะ ท่านประธานบอกไม่ต้องเกรงใจเลยค่ะ ” ผมยิ้มให้นิดหนึ่งก่อนตอบปฏิเสธ หลังจากนั้นเราก็พูดคุยกันนิดหน่อย ส่วนใหญ่จะเป็นไอแสงมากกว่าที่จะพูด เสนอหน้าทุกๆ ห้าวินาที แหม เจอหน้าคนสวยหน่อย หน้าบานเป็นกระด้ง



“ งั้นดิฉันไม่รบกวนเวลาแล้วนะคะ ถ้ามีอะไรติดต่อดิฉันได้ตลอดเลยนะคะ ”



“ ได้เลยครับ เดินดีๆ นะคร้าบ ” คุณเลขายิ้มแล้วผงกหัวให้เล็กน้อยแล้วเดินออกไป ผมหันไปมองไอคนที่ยิ้มจนปากจะฉีกไปถึงหูด้วยความเอือมระอา ก่อนที่ความหมั่นไส้จะเอาชนะความอดทนผมได้ ยกมือขึ้นไปผลักหัวไอคนเจ้าชู้แบบที่ไม่ค่อยออมแรงซักเท่าไหร่



“ โอ้ย ไอรัก มึงผลักหัวกูทำไมเนี่ย ” มันหันมามองค้อน พลางลูบหัวตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง



“ กูหมั่นไส้โว้ย มึงจะกระลิ่มกระเหลี่ยใส่ใครช่วยดูอายุหน่อย คุณเลขาเขาจะเป็นแม่มึงได้อยู่แล้วนะ ไอห่า ”



 “แหม กูก็ไม่ได้อะไรขนาดนั้นมั้ยล่ะ ก็เห็นเขาน่ารักดี เขาก็เอ็นดูกู โธ้ มึงคิดอะไร ” ปากบอกแบบนั้นแต่หน้านี่ไม่ได้แสดงตามนั้นเลยครับคุณเพื่อน



“ เออๆ เดี๋ยวคืนนี้กูจะนอนนี่นะ มึงจะเอาไง ”



“ เอาไงอะไรล่ะ ถึงเวลาสวีทของเพื่อน กูก็ต้องปลีกตัวเองออกมาสิครับ ”



“ สวีทอะไรของมึงล่ะ เขาฟื้นมาให้กูสวีทใส่หรือไง ไอนี่ ” ผมขี้เกียจเถียงกับมัน เลยหันไปวางของลงบนโต๊ะที่ตั้งอยู่อีกฝั่งของห้อง ที่กั้นด้วยกำแพงแบ่งโซนเป็นอีกโซนนั่งเล่น และโซนครัว ใช่ครับ ฟังไม่ผิด นี่คือห้องพักฟื้นคนไข้ล่ะครับ ย้ำอีกทีว่าเป็นห้องวีวีไอพีเลยก็ว่าได้ (วีไอพีมันยังน้อยเกินไป) ห้องนี่ใหญ่ว่าห้องนอนที่บ้านผมซักอีก คุณเลขาของไอคุณชายเป็นคนประสานงานกับทางโรงพยาบาลเพื่อให้เจ้าตัวได้พักฟื้นในห้องที่ดีที่สุดห้องหนึ่งของโรงพยาบาล ซึ่งคืนละเท่าไหร่ผมก็ไม่กล้าถาม แต่ผมว่ามันคงแพงกว่าค่าครองชีพของผมไปหลายเท่า



“ แล้วประมาณบ่ายๆ กูก็กลับออฟฟิศละ ไปทำงานต่อ งามท่วมหัวละตอนนี้ ” ไอแสงพูดพลางเปิดฝาขวดน้ำเปล่ายกขึ้นมาดื่ม



“ อ้าว ไหนบอกมึงมีคนช่วยแล้วไม่ใช่เหรอ ”



“ ก็มี แต่แม่งไม่ได้เรื่องเลยไอห่า หน้าเอ๋อๆ ตลอดเวลา มองมันไปกูก็ขัดใจชิบเป๋ง ” ผมขมวดคิ้ว แปลกใจกับคำธิบายของมัน คำว่า ‘มัน’ คงหมายถึงเป็นผู้ชาย นั่นมันโตหรือยังวะนั่น



“ แล้วมึงจะจ้างมาทำไมวะ ”



“ ก็….มันติดหนี้กูนิดหน่อยว่ะ เลยเอาตัวมันมาใช้งานแก้ขัด ”



“ หา? อะไรยังไง ไหนเล่ามาดิ๊ มันไปทำอะไรมึง ”



“ ก็แบบว่า มันบังเอิญขี่จักรยานแล้วไม่ดูตาม้าตาเรือ มาเฉี่ยวรถกูที่จอดอยู่เฉยๆ มึงคิดดูดิ คนเรามันต้องเอ๋อขนาดไหนอ่ะ ” ผมฟังแล้วจินตนาการภาพตาม จักรยานชนกับรถโคตรหรูของมัน ดูไม่จืดจริงๆ ว่ะ



“ แล้วแม่งก็ดันไม่มีเงินมาจ่ายชดใช้กู ”



“ แต่มึงก็มีประกันไม่ใช่เหรอวะ ไม่เห็นต้องไปเอาอะไรกับเขาเลยนี่หว่า มึงก็บอกประกันไปว่าเฉี่ยวกับกำแพงก็จบละ รวยๆ ตามฉบับของมึงอ่ะ ”



“ ก็แม่ง…น่าหมั่นไส้นี่หว่า คนอะไรเอ๋อชิบหาย หน้าแหยน้ำตาคลอเบ้าเลยตอนกูเดินออกมาดูรถ ถ้าเป็นคนอื่นไม่ใช่กูคงหลอกมันไปถึงไหนต่อไปแล้ว ” มันเล่าไปทำหน้ารำคานไป “ แล้วแบบกูก็หงุดหงิดอยู่ตอนนั้น มันก็พูดตะกุกตะกักอะไรของมันก็ไม่รู้ กูรำคานเลยดึงแม่งมาทำงานเลยละกัน ” เออแหะ มึงรับสมัครพนักงานด้วยวิธีนี้เหรอวะเนี่ยเพื่อนกู



“ ละเขาเรียนจบละเหรอ มึงถึงลากมาทำงานได้เนี่ย ”



“ จบแล้ว มันกำลังหางานพอดี ”



“ เอองั้นก็ดีแหละ พอมันเป็นงานแล้วมึงจะได้สบายขึ้น ”



“ กูกลัวว่ากูคงปวดหัวหนักกว่าเดิมน่ะสิวะ ”



“ อะไรของมึงวะเนี่ย มึงก็ปล่อยๆ เขาไปจะได้สบายหัว ไปแกล้งเขาทำไมล่ะวะ ” ผมทำหน้าเอือมก่อนจะหันไปจัดแจงที่นอนของตัวเองคืนนี้ เป็นโซฟาข้างๆ เตียงของคนไข้ตามปกตินั่นแหละ แต่ดูของที่นี่มันจะนุ่มกว่าปกติแฮะ ดูจากการเด้งดึ๋งเวลาผมตบโซฟา ดูท่าน่าจะหลับสบายกว่าเตียงนอนที่บ้านด้วยล่ะมั้งเนี่ย



“ ก็แบบ…เออออ นั่นแหละ แก้ขัดไปก่อน มันก็ดูไว้ใจได้อยู่ ” มันตอบแล้วหลบสายตาเสมองแก้วน้ำบนโต๊ะกินข้าว ดูท่าทางมันมีพิรุธนะเนี่ย ผมหรี่ตามองมัน



“ อะไรของมึง มองกูแบบนั้นหมายความว่ายังไงวะ ” ผมไม่ตอบ แต่ยักไหล่ให้มันแทน ผมเดินไปที่เตียงคนไข้ซึ่งตอนนี้มีร่างสูงสมส่วนของไอคุณชายนอนหลับตาพริ้มอยู่ ไม่ยอมฟื้นซักที แต่สีหน้าดูดีกว่าวันที่ผ่านๆ มา ผมจึงเบาใจขึ้นกว่าเดิมเพราะอาการไม่ได้มีอะไรดูน่าจะร้ายแรง ห่วงก็แต่ว่าเมื่อไหร่จะฟื้นขึ้นมาก็เท่านั้น หลับนานไปละนะ ไอคุณชายวุ่นวาย



มันน่าแปลกที่ผมยังจำเรื่องราวของคนตรงหน้านี่ไม่ได้ซักที ทั้งๆ ที่มันก็ผ่านมาซักพักแล้ว ไม่เชิงว่าจำไม่ได้ แต่บางครั้งมันเหมือนมีภาพเหตุการณ์ที่ทีผมกับเขาผุดขึ้นมาในหัว แต่ผมจำไม่ได้ว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เรื่องราวเป็นยังไง แต่แค่รู้ว่ากำลังทำอะไรในตอนนั้นก็แค่นั้น ไม่ได้ว่าจำได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น และเกิดอะไรต่อหลังจากนั้น เหมือนสมองผมกำลังค่อยๆ ฟื้นหรือเปล่าผมก็ไม่แน่ใจ แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปในตัวผมที่ผมรู้สึกได้เลยก็คือ ผมเริ่มปล่อยวางกับมันไปแล้ว ผมรู้สึกแค่ยิ่งไปกดดันมันก็ยิ่งไม่มีอะไรดีขึ้นเลยซักนิด หลังจากที่ผมค่อนข้างสนิทกับไอคุณชายมากขึ้น ผมกลับรู้สึกมีความสุขมากกว่าจะไปนั่งเร่งรีบให้ตัวเองจำได้



ไม่รู้สิ ผมก็แค่รู้สึก…มีความสุขกับปัจจุบัน มีความสุขกับชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้



แต่ถามว่าผมอยากจะจำได้มั้ย ผมก็อยากจำได้อยู่แล้ว แต่แค่ผมไม่ได้รีบอะไรกับมันแล้วล่ะ เรื่อยๆ ตามสไตล์ละกัน อยากจะจำได้เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นแหละครับ



“ เออ ไอรัก แล้วนี่มึงจำเรื่องของคุณเนตรเขาได้ยังวะ ”



“ เฮ้อ ก็ยังเลยว่ะ แค่แบบมีบางทีกูก็เห็นภาพในหัวอ่ะ แต่นึกไม่ออกว่ามันเกิดเมื่อไหร่ ”



“ มึงมีจิตสัมผัสหรือไงวะ มีภาพขึ้นในหัวด้วยเนี่ย ” พูดแล้วมันก็ขำเล็กน้อย



“ บ้าบออะไรล่ะมึง ”



“ เออๆ ช่างเถอะ แค่มึงไม่เครียดก็พอแล้ว ”



“ ฮื่อ กูก็ยังเครียดๆ นั่นแหละ ” ผมยักไหล่ “ แต่ช่างเหอะ กูก็ขี้เกียจด่าตัวเองให้อารมณ์เสียละ ”



คุยกันสักพัก เสียงมือถือไอแสงก็ดังขึ้น ผมเห็นมันยกขึ้นมาดูหน้าจอแล้วทำหน้าเหมือนรำคาญ แต่ก็รับสาย นานๆ ทีจะเห็นมันอารมณ์นี้นะเนี่ย เพราะนอกจากผมแล้วมันก็หน้าระรื่นกับคนโน้นคนนี้ไปเรื่อย



“ มึงนี่ เอ๋อเป็นอย่างเดียวหรือไงเนี่ย ก็บอกแล้วไงว่าให้โทรไปหาเขาเลย ไม่ต้องส่งอีเมลล์ไป….ก็เออน่ะสิเพิ่งจะตื่นรู้เบิกบานหรือไง…..เออ ช่างมันเถอะ อย่าให้พลาดนะโว้ย ” มันบ่นกับปลายสายไปชุดใหญ่ แล้วสักพักมันก็วางสาย ไอแสงยกนิ้วขึ้นมากดๆ ตรงขมับ ท่าทางหมดอาลัยตายอยาก



“ เป็นไรวะ เด็กนั่นโทรมาเหรอ ”



“ กูอยากจะบ้าวันละสามเวลาหลังมื้ออาหาร ” เห็นท่าทางมันแบบนี้ก็ทำให้ผมอดขำไม่ได้ ที่ผ่านมามีแต่ผมที่บ่นมัน แต่พอมาตอนนี้เหมือนมันรับกรรมทั้งหมดที่ทำกับผมไว้อ่ะนะ



“ ทำไม มันทำอะไรให้วะ ”



“ ก็แม่งมันอ่ะ พี่ที่ออฟฟิศบอกมันแล้วว่าให้โทรหาลูกค้าเจ้านี้ไปเลย เพราะเขาไม่ค่อยตอบอีเมลล์ ไม่ค่อยว่างเช็คอ่ะประมาณนั้น แต่มึงดู มันเสือกไปส่งอีเมลล์หาเขา แล้วทีนี้เขาก็โทรมาด่าพี่เขาอ่ะดิ ว่าทำไมขอราคานานเป็นชาติ ”



“ แล้วพี่เขาก็ด่ามันอ่ะนะ ”



“ เออ แม่งโทรมาบอกว่ามันโดนเขาด่า เสียงเหมือนจะร้องไห้ ชาติที่แล้วมันทำบุญด้วยน้ำตาหรือไงวะ ” ผมหัวเราะออกมาทันที่มันพูดจบ



“ ก็น้องเขายังใหม่ มึงนี่ก็ดุจริง แต่ฟังๆ ไปมึงนี่ก็เหมือนพ่อเลยนะ เหมือนมีลูกให้โทรมาฟ้อง ”



“ พ่องมึงสิ กูอยากจะบ้า ”



“ มึงก็ไล่เขาออกไปก็สิ้นเรื่อง ปวดหัวขนาดนี้มึงจะเก็บไว้อีกทำไมวะ ”



“ ก็แม่งไม่มีเงินมาใช้กู กูก็ต้องใช้แรงงานมันสิ ” มันพูดพลางเอามือถือขึ้นมากดอีก แล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ บทจะเปลี่ยนอารมณ์แม่งก็เปลี่ยนเลยทันที กูตามไม่ทันจริงๆ สงสัยผู้หญิงไลน์มาอีกล่ะสิ กิ๊กคนที่เท่าไหร่ของมันแล้วล่ะเนี่ย



“ ทำอย่างกับในละครน้ำเน่า ระวังสุดท้ายจะไปลงเอยกับมันล่ะ ”



“ หึ อย่างกูนี่ต้องสวย เอ็กซ์ สะบึมอารมณ์เท่านั้น ไอเด็กเวรที่แบนอย่างกับโดนสิบล้อทับ กูไม่เอาหรอกโว้ย ” ฟังสเป็คมันแล้วกลับมาเป็นผมที่ต้องกุมขมับแทน



“ กูเริ่มสงสารน้องเขาแล้วจริงๆ ว่ะ ”



“ อย่าไปสงสารมันเลย เดี๋ยวพอมันชดใช้จนหมด กูจะรีบถีบออกไปเลยทันที ”



“ เออ กูจะคอยดู ”








หลังจากที่ไอแสงลีลาอยู่พักใหญ่ สุดท้ายมันก็งัดตัวเองกลับไปได้ในที่สุด (อิดออกมานานเพราะเริ่มขี้เกียจ) ผมจึงนั่งๆ นอนๆ อยู่ในห้อง มีบ้างที่พยาบาลเข้ามาเพื่อตรวจอาการของคุณเนตร แต่ส่วนใหญ่ห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงแค่เสียงรายการจากในโทรทัศน์คลอๆ ก็เท่านั้น ถามว่าสบายหูไหม มันก็สบายหูนะ เพราะมันเงียบจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นแล้วผมก็แอบเหงา เพราะที่ผ่านมาตัวเองไม่เคยรู้สึกว่าอยู่คนเดียวขนาดนี้มาก่อน ถึงแม้ว่าร่างของไอคุณชายจะนอนแผ่อยู่บนเตียงคนไข้เลยก็ตาม



ผมเข้าใจความรู้สึกแล้วล่ะ ว่าตอนที่ตัวเองฟื้นมาหลังจากที่ประสบอุบัติเหตุ ไอคุณชายทรมานขนาดไหน แล้วไหนจะความจำเสื่อมอีก เลยกลายเป็นว่าตอนนี้ผมรู้ซึ้งมากเลยทีเดียว



ผมนั่งเหม่อมองไอคุณชายไปพลางฟังเสียงเพลงจากในโทรทัศน์ไป จะว่าไปผมก็ไม่เคยเห็นใบหน้าตอนหลับของเจ้าตัวเลยสักครั้ง หรือเมื่อก่อนผมเคยวะ จู่ๆ ภาพเหตุการณ์ก็ผุดขึ้นในหัวผมราวกับเปิดสวิตช์อัตโนมัติ ผมนิ่วหน้าเล็กน้อย เมื่อความเจ็บเสียดเกิดขึ้นทันทีที่ผมนึกภาพในหัวตัวเอง ผมเห็นภาพตัวเองนอนอยู่ที่ห้องห้องหนึ่ง มืดสนิท คงเป็นเวลากลางคืน แล้วก็เห็นไอคุณชายก็นอนอยู่ข้างๆ ผมตกใจตื่นแล้วก็ทำอะไรซักอย่างให้ไอคุณชายเจ็บ น่าจะล้มหรือเปล่า พยายามเพ่งไปกับมัน แต่เหมือนผมยิ่งโฟกัส ภาพความทรงจำก็ยิ่งเลือน จนสุดท้ายมันก็หายไป เหมือนความฝันเลย ตอนนี้คือหัวผมแบล้งโดยสมบูรณ์



สงสัยว่าผมกับไปคุณชายเคยอยู่ด้วยกันแบบที่ไอแสงพูดจริงๆ



เฮ้อ พูดไปมันก็แอบอึดอัดใจตัวเองนิดหนึ่ง คือเท่าที่ผมจำได้เกี่ยวกับตัวเอง ไม่รู้สึกเลยว่าตัวเองจะชอบผู้ชายได้ แถมที่บ้านก็ยังไม่รู้ด้วย ที่จะรู้ก็คือเพื่อนผมไอแสง คุณแดน แล้วก็ตัวไอคุณชายก็เท่านั้น เท่ากับว่าคนรู้น้อยมาก เลยทำให้มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ ไหนจะครอบครัวของไอคุณชายนี่อีก ยิ่งใหญ่ขนาดนี้แล้วพวกเขาจะยอมรับได้เหรอวะถามจริง



ผมนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่นาน จนเพิ่งรู้ตัวเองว่านั่งเหม่อไปนานมาก ก็ตอนถึงเวลาตรวจของคุณพยาบาลเนี่ยแหละ ผมจึงลุกออกไปเพื่อจะล้างหน้าเรียกความสดชื่นให้ตัวเอง แล้วคิดว่าจะลงไปหาอะไรลงท้องซักหน่อย ชักจะเริ่มหิว



พอผมออกมาจากห้องน้ำ คุณพยาบาลก็ตรวจเสร็จออกไปกันหมดแล้ว ผมจึงเดินเข้าไปเพื่อจะไปหยิบกระเป๋าตัง คุ้ยๆ กระเป๋าอยู่นานก็หาไม่เจอ จำได้ว่าหยิบมาด้วยหน่า คุ้ยไปคุ้ยมาก็นึกขึ้นได้ว่า ตายห่า กูเผลอฝากไว้กับไอแสง ตอนที่ควักออกมาจ่ายค่าของ แล้วขี้เกียจเก็บใส่กระเป๋าเป้ตัวเอง เลยฝากไอแสงยัดใส่กระเป๋ากางเกงมัน กะว่าถึงห้องแล้วค่อยเอาคืน



แล้วดูสิ สุดท้ายกูก็ลืม



ผมนึกขัดใจตัวเอง ทำไมถึงขี้ลืมแบบนี้วะ สมองเสื่อมไม่พอยังถดถอยอีกหรือนี่



ผมนั่งหน้านิ่วกว่าเดิม คนเป็นนิ่วยังหน้านิ่วน้อยกว่าผมล่ะเอาจริง เลยได้แต่นั่งจุ้มปุกอยู่ที่เดิม เพิ่มเติมเลยเลื้อยลงนอนเลยละกัน คนหล่อขัดใจ ตังก็ไม่มี ว่าแล้วก็ยกมือถือกดโทรไปหาไอแสงเพื่อนยากด่ามันซักหน่อยละกัน



“ โหล ว่าไงเพื่อน จากกันแปปเดียวก็คิดถึงกูละเหรอ ”   ดูประโยคแรกที่มันพูดทักทาย ผมหน้าเบ้ทันที



“ จ๊ะ คิดถึงมากกก คิดถึงกระเป๋าตังกูในกระเป๋ากางเกงมึงมากกกก”



“ อุ้ย เออว่ะ กูก็ลืม นี่ก็ยังอยู่ในกระเป๋ากางเกงกูอยู่เลย ”



“ ไอคนกากกกก ”



“ โทษๆ ฮ่าๆ เดี๋ยวให้คนเอาไปคืนให้นะมึง รอแปปนึง ”



“ เออๆ เร็วๆ นะมึง กูหิวอยากกินขนม ”



“ เชๆ เลยฮะเพื่อน ปรู้ดเดียวกระเป๋าจะไปอยู่ตรงหน้ามึงทันที ” ปรู้ดเดียวอะไรของมันวะ แล้วมันก็วางสายไป นึกแปลกใจว่ามันจะให้ใครเอามาให้กันวะ สงสัยคงเรียกลีแมนมั้ง



ผมละความสนใจอยากมือถือ ถอดรองเท้าแล้วกำลังจะแผ่นอนลงไปบนโซฟาที่ขอย้ำอีกทีว่านุ่มมากอีกครั้ง แต่แล้วตัวเองก็รู้สึกทะแม่ง เหมือนไม่ได้อยู่คนเดียว แต่เออจะอยู่คนเดียวได้ไง ไอคุณชายก็นอนอยู่ข้างๆ นี่หว่า ผมสะบัดหัวแล้วล้มตัวลงไปนอน



ผมกดเปลี่ยนช่องไปมาได้สักพัก ก็ยังไม่หายรู้สึกแปลกๆ เลยหันกลับไปมองไอคุณชาย แต่รายนั้นก็ไม่มีการตอบสนองอะไร เลยเริ่มที่จะขนลุกขึ้นมาหน่อยๆ นี่มันกลางวันอยู่นะโว้ย ช่วยรบกวนอย่าเพิ่งทำกูหลอนได้ไหม กูยังต้องนอนเฝ้าไอคุณชายนะวันนี้ คนยิ่งกลัวๆ อยู่ ฮือ



ผมค่อยๆ เอื้อมมือไปดึงผ้าห่มอันหนานุ่มมาห่อหุ้มตัวเอง ที่ใช้คำว่าห่อหุ้มคือห่อหุ้มจริงๆ นะ ห่อตั้งหัวจรดเท้าเหลือเพียงแต่ลูกกะตา เพราะยังต้องใช้มองอยู่ เผื่อมีอะไรโผล่มาจะได้ซ่อนตัวทัน (ผีน่าจะหาไม่เจอ) เมื่อเซทตัวและรู้สึกว่าตัวเองปลอดภัยมากพอแล้ว เลยค่อยผ่อนคลายตัวเอง และด้วยความที่แอร์เย็นฉ่ำ การได้นอนบนที่นอนนุ่มๆ ดั่งปุยฝ้ายนี้ก็ทำให้ผมเคลิ้ม หนังตาหย่อน ขณะที่กำลังจะหลับไปแล้วนั้น ผมก็ได้ยินเสียงกุกกักๆ มาจากทางหน้าประตู เลยสะดุ้งตื่นมาอีกครั้งพร้อมกับผ้าห่มที่เป็นปราการด่านชั้นหน้า ผมลุกขึ้นแล้วแอบมองไปทางประตูโดยมีกำแพงบังตัวผมอยู่



แต่พอโผล่หัวออกไปดู ก็ไม่เห็นมีอะไร ผมเลยรีบล้มตัวลงนอนแล้วคลุมโปงทันที ปลอบใจตัวเองว่าเสียงอาจจะมาจากห้องข้างๆ แล้วพยายามหลับตาให้ลืมทุกสิ่งอย่างไปซะ หายใจเข้าหนอ หายใจออกหนอ แต่แล้วการตั้งจิตสมาธิก็ไม่เป็นผล เมื่อผมได้ยินเสียงแว่วมาจากข้างๆ อีกครั้ง



“ พะ พี่ครับ ” เท่านั้นแหละ บทสวดทุกอย่างที่เคยเรียนมาตั้งแต่สมัยประถมมาหมดเลยครับ



“ ธัมโม พุทโธ สังโฆ เกเหกสวดาหกดรน่หำสด่ำนยดบยำดน ”



เท่านั้นยังไม่พอ ไอผีบ้าที่ไหนไม่รู้ยังมาจับขาผมเบาๆ แล้วเขย่าอีก ฮือออออ ปล่อยโผ้มมมม



ผมหดขาอย่างรวดเร็วแล้วตั้งสมาธิท่องบทสวดแบบฉบับของผมอีกครั้ง ทั้งที่ในใจร่ำไห้อย่างเหลืออด กูว่ากูก็ไม่ได้เป็นคนจิตอ่อนขนาดนั้นนะ กระซิกๆ



“ พี่ครับ หนะ นี่ผมมาเอาของมาให้ เอ่อ ”  ไอตัวข้างนอกยังคงพูดขึ้นมาอีกครั้ง ผมหลับตาปี๋คลุมโปงไปแล้ว เพราะฉะนั้นผมจะไม่เห็นอะไรทั้งนั้น แต่เอ๊ะ ประโยคที่ไอตัวอะไรไม่รู้พูดขึ้นมา ทำให้ผมรู้แจ้งว่า…



พรึบ



ผมเลิกผ้าห่มออกจากใบหน้าอย่างรวดเร็ว แล้วมองไปทางต้นเสียง ก็พบกับผี เอ้ย ชายคนหนึ่ง น่าจะอายุน้อยกว่าผม ตัวขาวจั๊ว หน้าตาหงิมๆ (คือนิยามแบบคนน่าจะขี้กลัว) ตัวไม่สูงมาก น่าจะสูงน้อยกว่าผมนิดหนึ่ง แต่ตัวบางๆ น่าจะลมพัดตัวก็ปลิวได้เลย ยืนตัวลีบยื่นสิ่งของที่ผมแสนจะคุ้นตาเหลือเกินมาให้ กระเป๋าตังผมนั่นเองครับ



“ คะ คือคุณแสงให้ผมเอาของมาให้พี่น่ะครับ ” พูดเสียงเจี๋ยมเจี๊ยมประหนึ่งผมเป็นนายท่านมาจากที่ไหนซักแห่ง เด็กคนนี้น่าจะเป็นไอเด็กคนที่มีเรื่องกับไอแสงแน่นอน



“ เอ้อ ขอบคุณนะ แล้วนี่มายังไง ” ผมลุกขึ้นนั่งแล้วเอื้อมไปหยิบกระเป๋าตังตัวเองมาจากมือขาวๆ คู่นั้น



“ ผมขี่จักรยานมาครับ ”



“ ไอคันที่ชนอ่ะนะ ” ด้วยความปากไวของผมเลยโพล่งถามออกไป เลยนึกอยากตีปากตัวเองเมื่อเห็นคนตัวขาวหน้าผมนี่หน้าเจื่อนลงไปถนัดตาเลย แถมตายังเริ่มแดงๆ นี่อีก



“ เอ้ย พี่ขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจจะว่าเลย แค่ถามเฉยๆ ” ผมยกมือไม้ขึ้นโบกปฏิเสธกันพัลวัน ส่วนไอเด็กนี่ก็ยกมือขึ้นป้ายตาเบาๆ



“ ไม่เป็นไรครับ มะ มันก็เป็นความผิดผมเอง ” คนพูดสั่นเครือเล็กน้อย



“ ไม่เป็นไรหรอก ไอแสง เอ้ย คุณแสงเป็นเพื่อนพี่ ไอที่พูดกระโชกโฮกฮากแบบนั้น เชื่อเถอะมันไม่ได้เป็นคนไม่ดีอะไรขนาดนั้น ” แต่แค่เลวในสายตากูเท่านั้นเอง



“ ครับ งั้นผม…ขอตัวก่อนนะครับ ” ว่าแล้วก็ค้อมตัวให้ผมเล็กน้อย แล้วรีบเดินออกไปจากห้องทันที ผมมองตามไปด้วยสายตาที่เวทนานิดๆ พลางคิดในใจ



โถ เด็กน้อย



ไม่รู้ซะแล้วว่าไอแสงเวลาโมโหจริงๆ แล้วเลวร้ายขนาดไหน




โปรดติดตามตอนต่อไป


นุ้งงงงงง เด็กของเสี่ยแสง (รึเปล่าน้า) 555555
ช่วงนี้ต้องขอโทษรีดเดอร์ทุกคนด้วยน้า ที่ไรท์มาอัพช้ามากๆ
เพราะงานยุ่งมาก ปัญหาเยอะแยะบานตไทเต็มไปหมด
กว่าจะเสร็จก็พลังหมด หัวสมองแบลงค์ไปเป็นที่เรียบร้อย
เลยแบบไม่มีอารมณ์มานั่งอัพนิยายที่ดองจนอร่อยแล้วเลย 55555
ยังไงก็ไม่หายไปเเน่นอนน้า อัพจนจบเเน่นอนค่ะ ชัวร์!
อย่าหายไปไหนกันน้าา ไรท์คิดถึงง :)
รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ ไรท์เป็นห่วงงง :)
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 32!!! (18/10/64)
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 18-10-2021 22:04:01
 :mew1: :mew1: :mew1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 32!!! (18/10/64)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 25-10-2021 23:02:47
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 33!!! (5/11/64)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหมีวุ่นวาย ที่ 05-11-2021 10:09:20
ตอนที่ 33
" โชคชะตาที่อาจจะไม่มีคุณ...ก็ตาม "







“ รู้ใช่ไหมว่าวันนี้ฉันเรียกเธอมาเพราะอะไร ” ผมมองไปยังคนพูดที่นั่งอยู่บนโซฟาตรงข้าม สายตาหนักแน่นที่บ่งบอกถึงวัยที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย ผมเสตาหลุบมองตักตัวเองอย่างไม่ทราบสาเหตุว่าทำไมตนต้องนึกหวั่นใจด้วย ทั้งๆ ที่ผมก็ไม่รู้ซักหน่อยว่าท่านประธานเรียกผมมาทำไมกัน




“ ผม…ไม่รู้ครับ ” ผมตอบไปตามตรง มือประสานกันแน่นจนซีดขาว บรรยากาศที่น่าอึดอัดนี้มันคืออะไรกันเนี่ย!




เมื่อเช้าตอนที่ผมนั่งเฝ้าไอคุณชายอยู่ตามปกติ อยู่ๆ ผมก็ได้รับสายจากคุณดาราลักษณ์ว่าท่านประธานต้องการพบผม ให้ผมเข้าไปที่บริษัทวันนี้ตอนเวลาเที่ยงวัน ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ท่านประธานจะอยากพบผมไปทำไม อยากทราบอาการคุณเนตรก็ไม่น่าใช่ เพราะคุณเลขาโทรมาถามอาการเขาทุกวันอยู่แล้ว หรือเรื่องส่วนตัวของผมเหรอ ผมก็ว่าไอคุณชายน่าจะยังไม่ได้บอกท่านประธานแน่นอน ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ไว้ใจให้ผมดูแลลูกชายเขาหรอก เพราะผมคาดว่าเขาน่าจะไม่ยอมรับอย่างแน่นอน พูดแล้วก็รู้สึกขลาดๆ ยังไงชอบกล เรื่องของผมกับไอคุณชายนี่จะเป็นยังไงต่อไปก็ไม่รู้ หากทุกคนรู้เรื่องหมดแล้ว




เฮ้อ ตูอยากจะบ้าวันละสิบรอบ




สรุปแล้วท่านประธานต้องการพบผมเพราะอะไรกันนะ นั่งคิดจนหัวจะแตกก็ยังคิดไม่ออก แต่ที่รู้แน่ๆ ก็คงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเจ้าตัวที่นอนหลับตาไม่รู้เรื่องนี่อย่างแน่นอน




เมื่อใกล้ถึงเวลาที่นัดหมายไว้ ผมจึงบอกคุณบอดี้การ์ดหน้าห้องว่าผมจะไปที่บริษัท เขาพยักหน้าเชิงรับรู้แล้วบอกผมว่าไม่ต้องห่วงทางนี้ เขาจะดูแลให้ ผมจึงเบาใจลง ขณะที่รอลิฟต์อยู่นั่นเอง อยู่ๆ น้องชายของคุณเนตรก็ก้าวออกมาจากลิฟต์ตัวเดียวกับที่ผมจะลง ผมจึงชะงัก เจ้าตัวบอกว่าจะมาเยี่ยมพี่ชาย พร้อมกับส่งรอยยิ้มกว้างมาให้ เชื่อแล้วว่าลูกชายบ้านนี้นี่มีรอยยิ้มที่เป็นพิษภัยต่อคนอื่นซะจริง มันเปล่งประกายยิ่งกว่าหลอดไฟเหนือหัวผมซะอีก นี่ขนาดคนตรงหน้าผมเป็นผู้ชาย ผมยังรู้สึกเลยว่าขัดเขินนิดหน่อยตอนที่ร่างสูงส่งยิ้มพิมพ์ใจให้ (นี่ตูกลายเป็นสาวแตกไปแล้วเหรอวะเนี่ย)




หลังจากนั้นผมก็บอกลาคนอายุน้อยกว่าแล้วก้าวเข้าลิฟต์ไป ในหัวก็ยังไม่วายคิดถึงเรื่องที่ท่านประธานต้องการพบผม ผมก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าทำไมเมื่อกี้ไม่ถามน้องชายเขาไปเลยวะ เผื่อเจ้าตัวจะรู้ แต่ก็ช่างเถอะ เขาอาจจะไม่รู้ก็ได้มั้ง ผมคิดปลอบใจตัวเอง




ไม่รู้ว่าตัวเองคิดมากขนาดที่เดินทางมาถึงบริษัทแล้วเพิ่งจะรู้ตัว โอ้โห นี่ถ้าไอแสงอยู่ด้วยคงแบบด่าผมถึงโครตเหง้า มันชอบด่าผมตรงที่เวลาผมคิดมากหรือมีเรื่องให้ต้องคิด ผมจะชอบเดินเหม่อไม่รู้ตัว หรือทำอะไรก็ตามแต่แบบไม่รู้ตัว จนทำเสร็จแล้วนั่นแหละ สติถึงมา มันบอกว่าวันไหนถ้าได้ข่าวว่าผมถูกกระชากกระเป๋า หรือโดนรถเฉี่ยว จะไม่สงสัยเลย (ดูมันแช่งผมสิครับ)




หลังจากนั้นเหตุการณ์ก็เกิดอย่างที่กำลังดำเนินอยู่เนี่ยแหละครับ




“ เอ่อ ท่านคะ คุณรักหน้าซีดหมดแล้วค่ะ เดี๋ยวดิฉันขออนุญาตพูดแทนนะคะ ” คุณดาราลักษณ์ผู้ที่นั่งอยู่โซฟาด้านข้างผมพูดแทรกขึ้น เธอช่วยชีวิตผมเลยก็ว่าได้ ผมเพิ่งมารู้ตัวว่าตัวเองเผลอกลั้นหายใจมานานก็ตอนนี้แหละ “ คืออย่างนี้ค่ะคุณรัก พอดีท่านประธานอยากจะแจ้งให้ทราบว่าคุณรักอาจจะไม่ต้องมาทำงานแล้วนะคะ ” ผมหันควับไปมองคุณเลขาทันทีที่ฟังประโยคนั้นจบ




“ อะ อะไรนะครับ ”




“ อย่างที่คุณรักทราบนะคะ ตอนนี้เรื่องราวคลี่คลายลงแล้ว ถึงแม้ว่าคดีความจะยังไม่จบเพราะเราต้องทำตามกฎหมายตามลำดับขั้นตอน แต่ก็ถือว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่มีอะไรต้องน่าเป็นห่วงแล้วค่ะ ”




“ แล้วผมต้องทำยังไงต่อครับ ”




“ ไม่ต้องทำอะไรเลยค่ะ นอกจากรับค่าตอบแทนไปตามที่ตกลงในสัญญา แล้วจากนั้นคุณรักก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติเลยค่ะ ” นี่แสดงว่าเขายังไม่รู้เลยนะเนี่ยว่าผมกลับมาทำงานที่บ้านได้พักใหญ่แล้ว ทำไมไอคุณชายไม่ได้บอกอะไรพวกเขาสักอย่างเลย แถมตอนนี้ผมยังไม่รู้อะไรไปมากกว่าที่ไอคุณชายเล่าให้ฟังคร่าวๆ ว่าก่อนที่จะเกิดเหตุผมทำงานอะไรให้เขา (ถ้าไม่รวมเรื่องที่ผมชอบลวนลามเขาอ่ะนะ) แถมผมก็เพิ่งจะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัวเขา ถึงผมจะคุ้นๆ หน้าแต่ก็คงยังนึกไม่ออก ถ้าเจ้าตัวไม่แนะนำให้ฟังก่อนหน้านี้ สงสัยวันนี้ผมคงเอ๋อแดกแน่นอน




“ ฉันต้องขอบใจเธอมากนะที่อุตส่าห์ดูแลลูกชายมาตลอด จนเธอเองก็โดนลูกหลงไปด้วย แต่ในเมื่อตอนนี้คนร้ายก็ได้รับโทษแล้ว ฉันก็เลยไม่อยากรบกวนเธออีก ส่วนเรื่องค่าตอบแทน ฉันจะให้คุณดาราเป็นคนจัดการให้ จากนี้ไปเธอจะได้กลับไปสู่ชีวิตปกติซักทีนะ ” ท่านประธานพูดกับผมอย่างจริงใจ จนบรรยากาศอึดอัดก่อนหน้านี้อันตธานหายไปเลยทันที สงสัยผมแค่คงยังไม่คุ้นชินก็เท่านั้น




“ แล้วอีกอย่าง ฉันคงไม่รบกวนเธอให้มาเฝ้าลูกชายฉันแล้วล่ะ เธอควรเอาเวลาไปทำอย่างที่เธอสมควรทำได้แล้ว แล้วก็จากนี้ไปถ้าเธอต้องการช่วยเหลืออะไร บอกผ่านคุณดารามาได้เลย ถ้าฉันช่วยได้ฉันก็จะช่วย ฉันไม่ชอบติดหนี้บุญคุณใครน่ะ ” พอได้ยินประโยคว่าไม่ต้องมาเฝ้าไอคุณชายแล้ว ผมนิ่งไปทันที




นั่นมันหมายความว่าจากนี้ไปผมอาจจะไม่มีโอกาสได้อยู่ใกล้ไอคุณชายแล้วแบบนั้นใช่ไหม




ผมรู้สึกโหวงแปลกๆ อย่างไม่ทราบสาเหตุทั้งๆ ที่ก็รู้อยู่ว่าไอคุณชายพ้นขีดอันตรายแล้ว รอพักฟื้นไม่กี่วันเท่านั้น หลังจากนั้นก็อาจจะได้เจอกันข้างนอกตามปกติ แต่มันก็ยังรู้สึกเหมือน….ใจหายหรือเปล่านะ? เหมือนจากนี้ไปเราอาจจะต้องอยู่ไกลกัน ไอคุณชายอาจจะงานยุ่งจนไม่มีเวลามาเจอก็ได้ หรือไอคุณชายอาจจะเกิดเปลี่ยนใจจากผม แล้วถ้าเป็นแบบนั้น…




ผมจะทำยังไงต่อไปดี




ผมเอ่ยขอบคุณพร้อมทั้งไหว้บอกลาท่านประธานและคุณเลขาก่อนที่จะพาตัวเองเดินออกมาจากห้อง อาจจะว่าใจลอยก็เป็นได้ คุณเลขาเดินออกมาส่งผมที่หน้าลิฟต์แถมยังเอ่ยถามผมอย่างไม่สบายใจว่าผมมีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า อาจจะเพราะเธอคงเห็นท่าทางเหม่อลอยของผม ผมยิ้มกว้างให้เชิงบอกว่าผมสบายดี จากนั้นเราก็พูดคุยกันนิดหน่อยก่อนที่ลิฟต์จะมา ผมเดินเข้าไปข้างในแล้วยกมือไหว้เธออีกที จนประตูลิฟต์ปิดนั่นแหละ เรี่ยวแรงที่ฝืนยืนหยัดไว้อยู่ถึงหมดลง ผมเอนตัวพิงกำแพงลิฟต์แล้วหลับตาลง พร้อมกับความเปียกชื้นนิดๆ ที่หางตา ผมเหนื่อยเกินกว่าจะคิดอะไรออกแล้วตอนนี้




ไม่น่าเชื่อว่าขนาดผมยังจำเรื่องเกี่ยวกับเจ้าตัวไม่ได้ทั้งหมด แต่ผมยังรู้สึกขนาดนี้ มันแย่ซะจนผมไม่สามารถฝืนยืนต่อไหวได้เลย ผมนั่งยองลงไปพร้อมกับยกมือปิดหน้า ผมไม่ได้ร้องไห้ แค่เหนื่อยนิดหน่อย แต่ผมคิดว่าผมน่าไหว




ก็แค่ต้องก้าวเดินต่อไปข้างหน้าเองไม่ใช่เหรอ




ไม่ว่าอะไรจะเปลี่ยนไปหลังจากนี้ จะถือว่าเป็นโชคชะตาของผมแล้วละกัน




โชคชะตาที่อาจจะมีหรือไม่มีไอคุณชาย…ก็ตาม














“ โอ้ย เจ้างั่ง ทำไมนายเซ่อขนาดนี้ ก็แค่ยกมาไว้ตรงนี้แล้วนายก็หยิบใหม่ไม่ได้เหรอไง ทำไมต้องหยิบมาหมดพร้อมกันขนาดนี้ ถ้ามันหกจะทำยังไง หา! ” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดจากคนผิวเข้ม ทำให้ยิ่งดูน่ากลัวเข้าไปอีก ถึงแม้จะหน้าตาดีก็ไม่ได้ทำให้ความน่ากลัวนี้ลดลงไปเลย ยิ่งเจ้าตัวขมวดคิ้ว หน้าบึ้งตึงด้วยแล้ว ส่วนคนที่ถูกว่าอ่ะเหรอ ตัวเล็กกว่า แถมผิวขาวกว่า หน้าตาดูเซ่อซ่า เอ่อ ไม่สิ ดูใสซื่อ ซะเหลือเกิน เลยทำให้ภาพตรงหน้าผมเหมือนเสือจะขย้ำกระต่ายน้อยอะไรแบบนั้นเลยล่ะ




“ ก็…ผมถือไหวก็เลยถือมาหมดเลย ” คำตอบจากคนตัวเล็ก ทำให้คนตัวโตกว่าทำเสียงจิ๊จ๊ะด้วยความไม่พอใจ พร้อมยังถลึงตาดุใส่อีกฝ่ายจนลนลานไปหมด ผมยิ้มขำกับเหตุการณ์ตรงหน้า ไอแสงจะรู้ไหมเนี่ยว่าเวลาอยู่กับคนคนนี้ตัวเองทำตัวแตกต่างจากคนอื่นๆ มากมายขนาดไหน ถึงแม้มันอาจจะดูโฉดไปหน่อยอ่ะนะ นี่ถ้าแฟนเก่าคนที่ทำให้มันเสียใจจนใจโฉดได้ขนาดนี้มาเห็นสภาพแบบนี้ สงสัยคงรักหัวปักหัวปำ




“ มึงไม่ต้องมาขำเลยไอรัก มึงดูสิว่ามันเซ่อขนาดไหน ” แต่มันกลับทำให้ผมขำหนักยิ่งขึ้น เพราะอะไรน่ะเหรอ ผมรู้สึกว่าถึงแม้ไอแสงมันจะกระโชกโฮกฮากไปซักหน่อย แต่ถ้าสังเกตดีๆ มันทำไปเพราะเป็นห่วงนั่นแหละ ดูจากท่าทางมันก็รู้แล้ว




“ อ้าว มึงก็ไปว่าน้องเขา เขาถือมาไหวก็ดีแล้วไง นี่ก็ไม่ได้หกอะไรนิ ดูสิทุกจานยังอยู่ครบ น้ำแกงไม่หกซักหยดเดียวเลย ” น้องคนที่ว่าหันมาส่งสายตาเป็นประกายให้ผม มันเลยทำให้ไอแสงที่หน้าหงิกอยู่แล้ว หน้าหงิกเข้าไปอีก ทำท่าทางฮึดฮัดเหมือนเด็กน้อยที่ถูกทำให้ขัดใจ ผมถือว่าเป็นบุญตานะเนี่ย เพราะตั้งแต่เป็นเพื่อนมันมา น้อยมากที่มันจะทำตัวแบบนี้ให้ผมเห็น มันเลยยิ่งทำให้ผมหัวเราะไม่หยุด อีกนิดผมว่าตัวเองจะเป็นบ้าได้แล้วล่ะ




เมื่อเช้าที่บ้านผมเขาถือโอกาสที่วันนี้เป็นวันหยุดไปทำบุญกัน แต่สงสัยผมคงเป็นคนบาปเลยบอกกับพวกเขาไปว่าผมง่วงอยากนอนต่อ ให้พวกเขาไปกันได้เลย พ่อกับแม่แล้วก็พี่สาวผมก็บ่นๆ ตามประสาคนอายุเยอะ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรปล่อยผมนอนต่อ แต่ผมก็ไม่ได้นอนต่อหรอกครับ บอกตรงๆ ว่าผมขี้เกียจเท่านั้นเองนั่นแหละ ผมเลยกำลังคิดว่าตัวเองจะไปหาอะไรกินข้างนอก แล้วถือโอกาสไปชอปปิ้งเสื้อผ้าซะเลย รู้สึกว่าที่ผ่านมาตัวเองไม่มีเวลาซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆ บ้างเลย แบบอยากกลับไปเป็นคนคูลๆ เหมือนเมื่อก่อนบ้าง เพราะตั้งแต่ทำงานกับไอคุณชายไม่มาเวลาใส่เสื้อสบายๆ บ้างเลย




อา ผมเผลอคิดถึงคนคนนั้นอีกแล้ว




เมื่อตระหนักได้ว่าเผลอตัวอีกแล้ว ผมเลยซึมๆ ไป แต่อยู่ๆ แพลนผมก็ต้องปิดไปเพราะไอแสงถือโอกาสที่เป็นวันหยุดหรือวันอะไรของมันไม่รู้เหมือนกัน มาหาผมถึงที่บ้าน แถมไม่มาตัวเปล่า หิ้วอาหารที่ไม่รู้ว่ามันไปซื้อมาจากไหนมาด้วย ตอนแรกผมเห็นมันอยู่หน้าบ้านผมยังนึกแปลกใจ เพราะมันบอกว่าช่วงนี้ยุ่งเพราะใกล้จะปิดไตรมาศอะไรซักอย่างของมันแล้ว เลยทำให้มันแทบปลีกตัวไปนั่งดริ้งกับผมไม่ได้เลย แต่วันนี้กลับมาปรากฎตัวอยู่หน้าบ้านผมซะอย่างนั้น แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้มาคนเดียว ยังหอบหิ้วเด็กตัวขาวมาด้วย นี่ผมก็ยังแปลกใจอีกเหมือนกันว่ามันจะพาเด็กนี่มาทำไมกัน




“ เอ้อมึงไอรัก แล้วคุณเนตรคนดีของมึงเขาฟื้นยังวะ ” ชื่อของคนที่เพื่อนสนิทถามขึ้นทำให้ผมนิ่งไปทันที อยากจะบอกมันเหลือเกินว่าผมไม่ได้รับรู้ข่าวสารเขามาเป็นอาทิตย์แล้วตั้งแต่ที่ท่านประธานเรียกผมเข้าไปพบวันนั้น ผมบอกไอแสงแค่ว่าผมไม่ต้องเข้าไปทำงานที่บริษัทของไอคุณชายแล้ว เพราะมีคนมาทำแทนแล้ว แถมสัญญาผมก็หมดแล้วด้วย มันก็ถามผมว่าไม่ต่อเหรอ รายได้ดีขนาดนี้แล้วยังอยู่ใกล้ชิดกับไอคุณชายอีก ผมไม่กล้าเล่ารายละเอียดมากนัก เลยเลี่ยงๆ ตอบมันไปว่าผมอยากกลับมาทำงานที่บ้านเต็มตัวแล้ว




“ เป็นอะไรวะ อย่าบอกนะว่ามึงไม่ได้ไปเยี่ยมเขาเลยอ่ะ ” เมื่อเห็นท่าทางผมเงียบไป มันเลยถามผมอีกที




“ ก็…เออดิ ไม่ได้ไปเยี่ยมเลย ” แม้กระทั่งเขาฟื้นแล้วหรือยัง อาการเป็นยังไงผมยังไม่รู้เลย




“ อ้าว ทำไมวะ อย่าบอกนะว่ามึงโกรธอะไรเขาอ่ะ ”




“ กูจะไปโกรธอะไรเขาวะ ก็แค่กู…ไม่มั่นใจว่ะ ” คำตอบของผมทำให้ไอแสงทำหน้าแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร มันคงเดาออกว่าผมยังไม่อยากเล่า ซึ่งมันก็ถูกแล้วนั่นแหละ ผมยังทำใจไม่ค่อยได้เลยที่จะคิดถึงหรือจะเป็นห่วงไอคุณชาย ผมแค่รู้สึกไม่มั่นใจอีกต่อไปแล้วว่าผมยังเป็นที่ต้องการหรือเปล่า ฝ่ายนั้นก็ไม่ได้โทรมาแจ้งข่าวของไอคุณชายกับผม ส่วนไอคุณชายก็หายไปเลย ผมจึงอดไม่ได้ที่จะเตรียมใจว่าผมคงจะถูกลืมในไม่ช้า




ไอแสงไม่ได้ดึงบทสนทนาอีก เพียงแต่หันไปว้ากใส่คนน่าสงสารเหมือนเดิม เมื่อเห็นว่ามันแกะปูไม่เป็น ไอคนทำเข้มก็บ่นกระปอดกระแปด แต่ก็ยื่นมือไปแย่งชิ้นปูมาจากมือขาวแล้วเริ่มแกะให้ ผมอดอมยิ้มกับคนทั้งสองไม่ได้ เป็นคู่ที่ดูตลกเหลือเกิน




เมื่อเราทั้งสามจัดการกับมื้ออาหารเสร็จ ไอแสงก็สวมวิญญาณเป็นผู้บัญชาการเลยทันที ออกคำสั่งให้คนตัวเล็กล้างถ้วยชามให้หมดนี้ ซึ่งมันเยอะบานตะไทมาก เพราะไอเพื่อนผมมันเล่นซื้ออะไรไม่รู้เยอะแยะมากิน ผมเลยรีบบอกมันว่าผมล้างเองได้ ผมเห็นเด็กมันทำท่าหงอยอย่างเห็นได้ชัด พลางส่งสายตาให้ผมอีกแล้ว (ฮือออ ผมแพ้สายตาแบบนี้) แต่เพื่อนสนิทผมก็ไม่นำพา ตัดความหวังของเจ้านี่ทันที (ถ้ามันมีเสียงประกอบคงได้ยินเสียงกรรไกรตัดเชือกอย่างแรงจนขาด) ผมเลยได้แต่ยิ้มแห้งๆ ให้เจ้าตัวเท่านั้น พร้อมกับส่งใจให้ เอาเป็นว่าสู้ๆ แล้วกันนะไอน้อง




คนตัวโตลากผมให้ออกจากลานประหาร ผมแอบหันไปมอง ก็เห็นเพียงแต่ด้านหลังที่ไหล่ลู่ลงซะน่าสงสาร ผมจึงได้แต่ถอนหายใจ




“ ทำไมมึงต้องร้ายกับน้องเขาตลอดเลยวะ ” คนถูกถามก็ได้แต่ยักไหล่




“ ก็กูแบบหมั่นไส้อ่ะ เด็กบ้าอะไรชอบทำตัวปวกเปียกเหลือเกิน ”




“ โดนซะ ไอห่า ชอบทำร้ายเด็ก ” ผมเลยมอบความเอ็นดูให้มันซักทีโดยการตบหัวมันซะ มันร้องโอดโอ้ยซะเกินจริง ผมเลยยกมือจะโบกหัวมันอีกรอบ จนมันกราบแทบอกผมถึงยอมลงให้ทีหนึ่ง แต่ก็ยังเบะปากล้อเลียน




“ ร้ายไปให้ตลอดเถอะนะมึง เดี๋ยวเกิดน้องเขาทำจานแตกบาดมือเลือดกระฉูดขึ้นมา กูนี่แหละจะระ…. ” และเมื่อผมพูดยังไม่ทันขาดคำ




เพล้ง!




“ ไอเชี่ย! ” เพื่อนสนิทผมร้องขึ้นอย่างตกใจ ลุกขึ้นพรวดแล้วเดินไปยังที่เกิดเหตุอย่างว่องไว ผมมองตามไปด้วยอาการเหวอสุดขีด ไม่ได้อยากจะเชื่อว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังพูดนั้นจะสมพรปาก เอ้ย จะเกิดขึ้นจริง ด้วยอารามตกใจทำให้ผมตกใจนิดหนึ่ง ก่อนรีบลุกขึ้นเดินตามไปเหมือนกัน




“ โอ้ย! เบาๆ เบาๆ สิพี่ ผมเจ็บนะ ” เสียงโวยวายแบบผู้ดี (แบบเบาๆ น่ะ) ดังขึ้นตอนที่ผมเดินไปถึงห้องครัวพอดี เห็นไอแสงยกมือขาวๆ ที่เปื้อนเลือดของน้องเค้ายกขึ้นมาดูพร้อมกับใช้ทิชชู่ซับเบาๆ แต่ด้วยขนาดของมือมันเนี่ยแหละที่เป็นปัญหา ดูเหมือนเป็นมันซะเองที่กำลังทารุณน้องเขา




“ เดี๋ยวกูเอายามาให้ รอแปปนึงนะครับน้อง… ” เออว่ะ ผมไม่เคยถามชื่อน้องเขาเลยนี่หว่า นี่ผมนั่งกินข้าวกับคนที่ไม่แม้แต่จะรู้ชื่อแต่คุยกันแบบเหมือนรู้จักกันเป็นชาติแล้วนี่นะ




“ มันชื่อเมฆ ชื่อจริงชื่อ ม่านเมฆ นามสกุล… ”




“ พอเลยมึง ชื่อก็พอแล้วโว้ย ” ผมรีบพูดขัดขึ้นมาก่อนที่ไอแสงมันจะนั่งพล่ามประวัติของน้องเขาออกมาซะก่อน ผมเดินออกไปเอากล่องพยาบาลที่วางไว้ตรงมุมนอกห้อง แล้วเดินถือกลับเข้าไปห้องครัวใหม่ แต่ยังไม่ทันได้ยื่นกล่องให้เลย ผมก็ต้องชะงักแล้วยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูซะก่อน ก่อนจะอมยิ้มกับภาพตรงหน้า




“ มึงเนี่ยนะชอบทำให้กูเป็นตกใจเรื่อยเลยนะ ”




“ กะ ก็ผมไม่ได้ตั้งใจนิ มันหลุดมือตอนล้างอ่ะ ”




“ ซุ่มซ่าม ”




“ ผมไม่ได้ซุ่มซ่ามนะ! ”




“ ไม่ได้ซุ่มซ่ามแล้วอะไร ซื่อบื้อเหรอไง ”




“ นี่คุณ หยุดว่าผมเลยนะ ”




“ แค่นี้ทำงอนเหรอ ”




“ ใครบอกผมงอน! ”




“ แล้วทำไมแก้มแดง ”




“ ผมแก้มแดงตรงไหน ”




“ เนี่ยๆ แก้มแดงอีกละ เขินกูเหรอ ”




“ โอ้ย ผมไม่พูดกับคุณแล้ว! ”




“ ฮ่าๆ หน้ามึงแดงหมดแล้ว ”




ไอแสงเอ๋ย มึงจะกลืนน้ำลายตัวเองก็คราวนี้แหละน่า





โปรดติดตามตอนต่อไป....


เปิดตัวคู่ใหม่ค่าา...
.
.
.
หรือเปล่าน้าาาาาาา 55555555

 :hao6:

หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 33!!! (5/11/64)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 05-11-2021 19:19:50
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 33!!! (5/11/64)
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 05-11-2021 20:28:11
 :mew2: :hao7:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 34!!! (8/12/64)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหมีวุ่นวาย ที่ 08-12-2021 10:44:02
ตอนที่ 34
" สายตาทั้งสองคู่ประสานกันก็ตอนนี้เอง "




(เนตรนภิศ พากย์)

“ แม่ครับ ผมไม่ได้เป็นมากอะไรซักหน่อย ไม่ต้องให้เขามาดูแลผมถึงขนาดนี้เลย ” เนตรเอ่ยอย่างจนใจ เมื่อเห็นแม่เขากระวีกระวาดให้นางพยาบาลคอยอยู่จัดการดูแลจิปาถะให้เขาตลอดตั้งแต่เขาฟื้นมา





“ ก็แม่กลัวนี่นา กว่าเนตรจะฟื้นได้ก็เล่นเอาแม่กับพ่อแล้วก็น้องใจหายใจคว่ำกันไปหมด ” แม่เขาโวยวายเล็กน้อย ผิดวิสัยที่ปกติจะใจเย็น เขาอึ้งไปนิดหนึ่งเพราะไม่ค่อยได้เห็นแม่เสียงดังกับเขาซักเท่าไหร่ สงสัยคราวนี้จะกลัวจริงๆ เขานอนพิงหัวเตียงที่ถูกปรับให้สูงขึ้นมาพอให้เขาสบายตัว มองแม่เขาที่มาหาเขาแต่เช้าและยังไม่ได้นั่งลงซักที เพราะวุ่นวายกับบรรดาของกิน ของเยี่ยมทั้งหลายที่เขาก็ไม่รู้ของใครเป็นของใครบ้าง เพราะหลายคนนั้นมาเยี่ยมเขาตอนที่เขายังไม่ได้สติ พอฟื้นขึ้นมาก็เห็นของเยอะแบบนี้แล้ว ก็ได้แม่แล้วก็เจ้านันท์นั่นแหละที่คอยทยอยขนกลับไป





“ แม่เขาดีใจมากฮะพี่เนตร พี่ต้องมาเห็นตอนที่พี่ยังไม่ฟื้น พอเสร็จจากเรื่องคดีแม่เขามานั่งเฝ้าไม่ยอมไปไหนเลย นั่งจนรากฝังลึกถึงชั้นใต้ดินแล้ว ” น้องชายเขาโผล่หน้าออกมาจากห้องน้ำแล้วฟ้องเขารัวๆ





“ ตานันท์ เดี๋ยวเถอะนะ แซวแม่เหรอ ” แม่โวย





“ โอ้ย กระผมมิบังอาจหรอกคร้าบ ” เจ้านันท์ตะโกนมา เขาขำพรืดพอได้เห็นแม่ทำตาค้อนปะหลับปะเหลือกไปทางน้องชายจนกระเทือนแผล ร้องโอ้ยเบาๆ





“ เป็นอะไรลูก! เจ็บแผลเหรอ เรียกพยาบาลเร็วนันท์ ” และเป็นอีกครั้งที่เห็นแม่กระวนกระวายจนปล่อยของที่อยู่ในมือ เดินเร็วพรวดมาจนถึงเตียงเขา น้องชายเขาก็เดินออกมาจากห้องน้ำแทบจะทันที แต่เมื่อเห็นเขาหัวเราะแทนที่จะเจ็บ คนเป็นแม่ก็โวยวายอีกเล็กน้อย แล้วตีที่แขนเขาเบาๆ และแล้วเขาก็ร้องโอ้ยอีกครั้ง สรุปว่าทั้งสามคนก็หัวเราะไปตามๆ กันลั่นห้องพักฟื้น ทำให้ศรที่เฝ้าอยู่ภายนอกห้องได้ยินเสียง มองเข้ามาผ่านช่องกระจกประตู





แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ทอดแสงผ่านหน้าต่างเข้ามาภายในห้อง โอบล้อมพวกเขาสามคนที่ยิ้มหัวเราะไปด้วยกัน บรรยากาศของความสุขที่กำลังอบอวลไปทั่วทำให้คนดูแลที่มองอยู่นั้นพลันคลายใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หันกลับมาแล้วยิ้มเล็กน้อยพลางคิดในใจ





ต่อจากนี้ไปขอให้มีแต่ความสงบสุขซักทีนะ




















“ เป็นยังบ้างล่ะเนตร ” อาชัชที่เสร็จสิ้นจากคดีความของเขา แวะมาเยี่ยมหลังจากที่แม่กลับไปได้ไม่นานนัก ไม่แน่ใจว่าระหว่างทางได้เจอกันหรือเปล่า





“ ดีขึ้นเยอะแล้วครับ อยู่ในห้องจนเฉาไปหมดแล้ว ” เขาตอบน้ำเสียงขบขัน ทำให้อาชัชที่นั่งอยู่ด้านข้างไม่ไกลนักหัวเราะขึ้นมา





“ พักฟื้นเถอะหลานเอ้ย นี่พอพ่อเธอรู้เรื่อง แทบจะพุ่งมาถอนหัวหงอกอาเลยทีเดียว วางแผนลับหลังมัน ไปทำให้หลานบาดเจ็บ ”





“ ถ้าจะโทษก็โทษผมเถอะครับอา ผมเป็นคนขอร้องอาเอง ” เขายกมือไหว้ขอโทษคนอาวุโสกว่า





“ ขอท่งขอโทษอะไรกัน อาเต็มใจช่วย เห็นเป็นลูกเป็นหลาน แถมพ่อเธอยังเป็นเพื่อนของอา เคยช่วยเหลืออามาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ เรื่องแค่นี้ทำไมอาจะต้องปฏิเสธ ” คนเป็นอาโบกมือบอกปัด





“ ผม…ขอถามนิดหนึ่งได้ไหมครับ ” เขาเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ แต่เหมือนอาชัชจะรู้ทันความนัยของเขา





“ เรื่องของคนคนนั้นใช่ไหม ” เขาพยักหน้าเบาๆ





“ อาของนนท์นทีได้รับโทษทางกฎหมาย ศาลตัดสินจำคุก 20 ปีไม่มีประกันตัว อันนี้น่าจะเป็นเพราะตัวของนนท์นทีตัดสินใจเองด้วยที่จะไม่ประกันตัว ส่วนเจ้าตัวตอนแรกก็โดนดำเนินคดีเหมือนกัน แต่พ่อเธอยอมความจึงได้รับการยกเว้น ”





“ แล้วตอนนี้เขาไปอยู่ไหนครับ ”





“ อืม เรื่องนี้อาก็ไม่แน่ใจ แต่ได้ยินพ่อเธอบอกอามาอยู่เหมือนกันว่าจะรับผิดชอบชีวิตเขาต่อไป เพราะตัวเองตั้งมั่นไว้มาตลอด ” เขานึกถึงตอนที่พ่อเคยบอกไว้ว่าลูกชายของอานัยไปอยู่ต่างประเทศ แล้วหลังจากนั้นพ่อก็ไม่รับรู้เรื่องราวใดๆ ต่อจากนั้น เพราะครอบครัวฝ่ายนั้นปิดข่าว แทบจะสืบอะไรต่อไม่ได้เลย





“ ก็คงจะต้องทำตามสมควรนะครับ เรื่องนี้ผมไม่ได้เห็นว่ามันเป็นปัญหาอะไร เป็นสิ่งที่ควรทำอยู่แล้ว ”





“ กลัวแต่ว่าทางนั้นเขาจะยอมรับไหมล่ะสิ ” ประโยคนายตำรวจใหญ่เอ่ยขึ้นเป็นสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ในใจเช่นเดียวกัน หากแต่ว่านนท์นทียอมรับ พ่อเขาก็คงวางใจเพราะตัวเองจะได้สานต่อได้จริงๆ แต่ถ้าเป็นอย่างที่เขากำลังคิดแล้วนั้น กลัวแต่ว่าฝ่ายนั้นจะปฏิเสธ และพ่อเขาก็จะต้องมานั่งกังวลอีกครั้ง





เขารู้มาตลอดว่าความทุกข์ในใจพ่อนั้นไม่สามารถวางไปเฉยๆ ได้ถ้ายังไม่ได้ทำตามที่ตนเองตั้งใจไว้ นั่นก็คือเรื่องของลูกชายอานัยคนนี้ แต่พอได้มารู้เรื่องราวทั้งหมดรวมถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาทำให้พ่อเขาเครียดอย่างเห็นได้ชัด ก็คงจะโทษตัวเองที่เป็นต้นเหตุทั้งหมดนี่ล่ะ แต่เขาก็คอยย้ำตลอดว่ามันไม่ใช่เพราะพ่อคนเดียว สิ่งที่หลอมรวมให้นนท์นทีมีความแค้นได้ขนาดนี้ ก็คงจะเป็นเพราะญาติฝ่ายนั้นด้วย ถึงแม้จะรู้ดีว่านั่นก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ก็คนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมายอย่างพ่อเขามีหรือจะไม่รู้





แต่ถึงอย่างนั้นพอได้รู้ว่าเบื้องหลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือคนที่พ่อเขาพยายามตามหามาเนิ่นนานก็ยิ่งตอกย้ำให้ตัวเขารู้สึกผิดขึ้นมากไปอีก แต่เขาก็ยินดีที่เห็นพ่อไม่ได้โกรธแค้นอะไร กลับยิ่งจะรีบเร่งทำตามสิ่งที่ตนตั้งใจมาตลอด นั่นเป็นสัญญาณที่ดี ตัวเขานั้นเองก็ยินดีด้วยเช่นกัน เพราะถือว่าตัวเองก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องราวทั้งหมด





เห็นทีแล้วเขาคงจะต้องเจอกับคนคนนั้นสักครั้ง เผื่อว่าฝ่ายนั้นจะยอมใจอ่อนตอบรับความช่วยเหลือของพ่อเขา ถึงแม้ตัวเขานั้นจะไม่ได้เดือดร้อนเรื่องชีวิตความเป็นอยู่อะไรมากมาย แต่เรื่องนี้มันละเอียดอ่อน เพราะฉะนั้นพวกเขาต้องได้พูดคุยทำข้อตกลงกันก่อน





พอตัดสินใจได้แล้ว เขาก็รีบส่งข้อความให้เลขาเขาไปค้นข้อมูลที่อยู่ของนนท์นทีทันที





อาชัชกลับไปได้สักพักแล้ว ตอนนี้เขาอยู่ในห้องพักฟื้นคนเดียว คาดว่าเดี๋ยวอีกไม่กี่ชั่วโมง คนที่บ้านเขาก็คงจะมากันอีก เขายิ้มบางเมื่อนึกถึงครอบครัวตัวเอง ตอนนี้คงได้โล่งอกโล่งใจกันได้สักที ตัวเขาเองก็คลายใจลงไปเยอะเมื่อเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาได้คลี่คลายลง เรื่องเจ็บตัวก็คงจะยุติลง เขาเบื่อโรงพยาบาลเต็มที อยากจะกลับไปทำงานจะแย่แล้ว





เสี้ยวหนึ่งของความคิด เขากลับนึกถึงใบหน้าของคนที่ไม่ได้เจอกันเลยตั้งแต่เกิดเรื่อง ตลกดีที่ตอนนี้ตัวเขาสลับบทบาทกัน ก่อนหน้านี้ไม่นานเขายังต้องมาเฝ้าดูอาการของคนคนนั้นอย่างเงียบๆ และก็กลับไปอย่างเงียบๆ โดยแค่คิดว่าไม่อยากให้คนคนนั้นเดือดร้อนใจกับเรื่องร้ายๆ แต่ตอนนี้เขากลับเข้าใจความรู้สึกของคนที่คอยเฝ้ารอ เฝ้าคิดถึงตลอดแล้วล่ะ ว่ามันเป็นยังไง และก็แอบน้อยใจที่อีกฝ่ายไม่โผล่หน้ามาให้เห็นเลย





ตอนนี้เขาคิดถึงคนคนนั้นเอามากๆ เลยล่ะ





เขาถอนหายใจเบาๆ เมื่อคิดถึงตอนที่พ่อเขามาบอกว่าได้ยกเลิกสัญญาว่าจ้างกับรักไปแล้วตั้งแต่ตอนที่เขายังไม่ฟื้น พอเขารู้แบบนั้นแล้ว มันเหมือนมีใครมาบีบหัวใจเลยซะจริงๆ ฟังดูเหมือนมันเกินจริง แต่พออยู่ในสถานการณ์ตอนนั้นแล้วมันไม่เกิดจริงเลยซักนิด เท่ากับว่าตอนนี้ระหว่างเขากับรักไม่มีอะไรมาเชื่อมโยงกันได้แล้ว เมื่อคิดได้แบบนั้นในหัวเขาพลันว่างเปล่าทันที ด้วยความที่ตัวเองยังบาดเจ็บ จึงทำให้เขาอ่อนไหวมากกว่าที่คิด ทุกคนที่มาเยี่ยมรวมถึงเพื่อนๆ เขาไม่ได้ติดใจอะไรในท่าทีเซื่อมซึมเล็กน้อยของเขา เพราะคิดว่าเขายังบาดเจ็บ





แต่ถึงอย่างนั้นใครไหนจะรู้เลยว่า ที่เจ็บน่ะไม่ใช่บาดแผลเลย





ตั้งแต่วันที่เขาฟื้นจนถึงตอนนี้ เขาได้แต่นั่งคิดทุกวันว่าต่อจากนี้เขาจะทำยังไงกับความสัมพันธ์ที่ยังไม่มีใครรู้นอกจากเขา รัก แล้วก็เพื่อนของรัก รวมถึงเจ้าของร้านกาแฟอย่างพี่อุ่นนี้ดี แต่ถึงอย่างนั้นในตอนนี้เขากลับนิ่งสงบมากขึ้น ไม่ได้ว้าวุ่นใจเหมือนตอนแรกๆ แล้ว แต่ก็คงยังไม่ได้วางใจหากยังไม่ได้เจอหน้ารักซักครั้ง ไม่รู้ตอนนี้เจ้าตัวจะร้องไห้น้ำมูกโป่งอยู่ หรือจะแฮปปี้ที่ชีวิตไม่ต้องมาเสี่ยงชีวิตกับเขาอีกแล้ว ถ้าเป็นอย่างหลังที่ตัวเขาคงเป็นคนที่ร้องไห้น้ำมูกโป่งแน่ๆ





รอให้ออกจากโรงพยาบาลก่อนแล้วกัน แล้วหลังจากนั้นเขาจะลองเสี่ยงดูสักตั้ง ไม่ว่าอะไรจะเกิดเขาก็จะให้รักกลับมาหาเขาอีกให้ได้ เขาจะพยายาม





ใจเขาเหมือนกลับมาเต้นแรงอีกครั้งพอคิดว่าได้ต้องเจอรักในเร็วๆ นี้





เขาก็รีบเร่งอยากออกจากที่นี่ซะตอนนี้เลยจริงๆ



















และหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ได้ออกมาสัมผัสกับแสงแดดภายนอกจริงๆ สักที พอออกจากโรงพยาบาลเขาก็รีบกลับบริษัทเพื่อไปเคลียร์งานทั้งหลายแหล่ รวมถึงโปรเจ็คที่คั่งค้างไว้รอเขากลับมาสานต่อ ต่อให้โดนแม่ว่ายังไง แต่ด้วยความที่เขาร้อนใจย่อมยอมที่จะขัดใจแม่แล้วกลับไปทำงานทันที ถึงแม้คุณเลขาของพ่อ รวมถึงเลขาคนใหม่ที่เข้ามาแทนที่รักจะจัดการเรื่องงานไปบ้างแล้วบางส่วน แต่มันก็มีหลายอย่างที่รอให้เขากลับไปอนุมัติอยู่เหมือนกัน ไหนจะต้องวางแผนสำหรับโปรเจ็คใหม่ต่อไปในอนาคตอีก จึงเป็นที่มาว่าทำไมเขายังไม่กลับไปหารักเลยซักที แถมยุ่งจนไม่มีเวลาแม้แต่จะกลับบ้าน ต้องนอนค้างที่บริษัทอยู่หลายวัน





จนถึงตอนนี้งานก็ได้เคลียร์ไปเกือบหมดแล้ว ถึงแม้จะยังไม่ได้ถือว่าตัวเขาจะสามารถวางใจได้ แต่ก็โล่งใจไปได้เปราะหนึ่ง





แต่ก็มีอีกเปราะหนึ่งใหญ่ๆ ที่ใจเขายังคลายไม่ได้ซักที





เขาเอามือบังแสงหรี่ตามองท้องฟ้า หลับตาสูดหายใจเหมือนเรียกกำลังใจให้ตัวเอง พลางคิดถึงคำพูดหลายๆ คำที่เตรียมพร้อมมาเพื่อการนี้ เครียดยิ่งกว่าโปรเจ็คงานก็คงเป็นวันนี้แหละ ตลกดีที่เมื่อก่อนตัวเขาออกจะเป็นคนที่มั่นใจตัวเองไปซะทุกอย่าง พร้อมลุยได้ทุกสถานการณ์ไม่ว่าจะยากหรือง่ายตามประสาคนในวัยที่กำลังไฟแรง แต่พอได้มามีความรู้สึกดีๆ แบบนี้กับใครซักคน ตัวเองกลับกลัว (หรือให้เรียกกันง่ายๆ ก็คือ อาการป็อดนั่นแหละ) เอาซะง่ายๆ





เขายกมือขึ้นมาดูนาฬิกา ก็พบว่าอีกไม่นานจะถึงเวลาเลิกงานของรักแล้ว และตอนนี้เขาก็อยู่หน้าบ้านของเจ้าตัวด้วยเช่นกัน กำลังชั่งใจดีว่าจะกดกริ่งแล้วเข้าไปรอที่บ้านเลย หรือจะนั่งอยู่ในรถแล้วรอรักกลับมาดี





นอกจากปอดแหกเบาๆ เรื่องรักแล้ว ยังต้องมาเป็นบ้าอะไรไม่รู้กลับเรื่องแค่นี้ด้วย เขาล่ะหงุดหงิดตัวเองซะจริง





“ อ้าว คุณเจ้านายของรักนี่นา มาทำอะไรตรงนี้คะ ” เสียงทักทายดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้เขาสะดุ้งนิดๆ แล้วรีบหันหลับไป ก็พบกับหญิงสาวที่เขาเคยพบมาก่อนหน้านี้แล้ว





“ สวัสดีครับคุณน้า พอดีผม… ” เขายกมือขึ้นสวัสดีแม่ของรักก่อนที่จะพูดต่อ แต่ยังไม่ทันจะพูดจบ อีกฝ่ายคงเห็นอาการเก้อกระดากของเขาจึงพูดขึ้นมากซะก่อน





“ มาหารักใช่ไหมคะ ” เธอตอบยิ้มๆ





“ เอ่อ ครับ ”





“ ถ้าอย่างนั้นก็เข้ามารอในบ้านก่อนก็ได้นะคะ เดี๋ยวอีกแปปนึงเขาก็กลับมาแล้วล่ะค่ะ ” เจ้าของบ้านพูดพลางไขกุญแจประตูรั้วหน้าบ้าน แล้วหันหลังมาโบกมือให้เขาตามเข้าไป ขาทั้งสองของเขาจึงขยับตามไป เดินเข้าไปถึงในตัวบ้านที่ครั้งหนึ่งเคยมาแล้ว แต่ยังไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม แม่ของรักบอกให้เขานั่งรออยู่ที่โซฟาห้องรักแขก แล้วจึงกุลีกุจอเตรียมน้ำเตรียมของว่างมาให้เขา ถึงแม้เขาจะห้ามแล้วว่าไม่ต้องลำบาก แต่ถึงอย่างนั้นแล้วก็ยังห้ามคุณน้าผู้มีพลังเหลือล้นคนนี้ไม่ได้เลย เพราะตั้งแต่เข้ามาก็มีของกินเล่นมากมายมาวางให้ตรงหน้าโดยไม่ขาดสายเลยจริงๆ





“ เนี่ยนะ อันเนี้ยเจ้ารักมันชอบมากกก ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน นี่น้าก็ซื้อไว้ให้มันเนี่ยแหละ แต่เห็นว่าหนูมา น้าก็เลยเอาออกมาให้กินก่อนละกัน มันคงไม่กล้าโวยวาย ” คุณน้ายังคงพูดเจื้อยแจ้วให้เขาฟัง เขาก็รับฟังยิ้มๆ ไม่ได้พูดอะไร แต่หากเขาก็ไม่ได้รำคาญอะไร เพราะรู้ด้วยว่าอีกฝ่ายเอ็นดูเขาเหมือนลูกเหมือนหลาน





“ เอ้อ น้าก็มัวแต่พูดมากไปเรื่อยไม่ได้ถามหนูเลยว่ามาหารักมีเรื่องอะไรหรือเปล่าจ๊ะ ”





“ ผม….มาเยี่ยมเขาเฉยๆ น่ะครับ เห็นว่าเขาไม่ได้ทำงานที่บริษัทผมแล้ว ” เขาตอบพลางหลบตาอีกฝ่ายไปมองกรอบรูปที่วางเรียงรายอยู่บนตู้โชว์แทน ใครจะได้กล้าบอกล่ะว่าคิดถึงเลยอยากมาหาลูกชายเขาน่ะนะ





“ แล้วตอนทำงานกับหนูลูกชายน้าไม่ได้ไปก่อเรื่องอะไรไว้ใช่ไหมจ๊ะ เห็นมันแบบนี้อ่ะนะ ข้างในมันก็เหมือนเด็กน้อยแหละ ขี้โวยวายเป็นที่หนึ่ง มีอะไรขอให้ได้โวยวายไว้ก่อน ” เขาหัวเราะนิดหนึ่งพอได้ฟังแบบนั้น ตัวเขาก็พอดูออกแหละว่าเจ้าตัวเป็นคนยังไง แต่ก็ไม่ได้เห็นว่ามันเป็นปัญหาอะไร ออกจะขำซะด้วยซ้ำพอได้เห็นท่าทางแบบนั้น





“ ไม่หรอกครับ เขาก็ทำงานดีมาก ผมก็เลยสบายขึ้นหน่อยเพราะเขานี่แหละครับ ”





“ เฮ้อ อย่าว่าน้าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะ จนถึงป่านนี้แล้วมันก็ยังไม่เห็นมีฟงมีแฟนมากับเขาซักที นี่น้าก็กลัวๆ อยู่เหมือนกันว่ามันอาจจะอกหักช้ำใจจากแฟนคนก่อนจนไม่อยากมีไปแล้วหรือเปล่าก็ไม่รู้ ” คำว่า ‘แฟนคนก่อน’ นี่สะกิดใจเขาอย่างจัง เขาไม่เคยถามรักถึงเรื่องคนเก่าๆ ที่ผ่านมาเลย ตัวเขาก็ไม่เคยเล่าฝั่งของเขาด้วยเช่นเดียวกัน เหมือนต่างฝ่ายต่างมาไม่เคยรู้อดีตที่ผ่านมาเลย พอได้ยินแบบนี้เขาจึงอดที่จะคันยุบยิบในใจอยากรู้อยากเห็นไม่ได้





“ ผมถามได้ไหมครับว่าทำไมเขาถึงเลิกกัน ”





“ น้าก็ไม่ค่อยรู้ลึกถึงรายละเอียดเท่าไหร่นะ แต่แค่รู้มาจากพี่สาวเจ้ารักว่าเหมือนฝ่ายหญิงคงกลัวว่าในอนาคตรักจะดูแลเขาได้ไม่ดีพอ เลยบอกเลิกแล้วไปคบคนที่ดีกว่าน่ะนะ น้างี้นะโกรธมากเลยที่เขามาดูถูกลูกชายแม่ขนาดนี้ ” พอได้ฟังแบบนี้เขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมรักถึงมีท่าทีที่ไม่มั่นใจตลอดเวลาอยู่กับเขา อีกฝ่ายคงกลัวที่เขาจะทอดทิ้งเหมือนกันเลยพยายามที่จะพึ่งพาตัวเองให้ได้มากที่สุด





“ แย่จริงๆ เลยนะครับ ” เขาพึมพำออกมาตามความรู้สึกจริงๆ





“ แล้วนี่ช่วงนี้ก็ไม่รู้มันเป็นอะไร ทำตัวเหมือนอกหักทั้งๆ ที่น้าก็ไม่เห็นมันมีใครเลย ”





“ รักเป็นอะไรเหรอครับ ”





“ ก็ซึมๆ น่ะ ไม่ค่อยร่าเริงเหมือนเดิม น้าก็ดูออกมาซักพักแล้วล่ะ ตั้งแต่เกิดเรื่องนั้น ” หญิงวัยกลางคนเล่าให้เขาฟังพลางปลอกมะม่วงในมือให้เขา “ ตอนนี้มันก็ยิ่งหนักกว่าเดิมอีก ข้าวก็กินน้อยลง เหมือนคนตรอมใจอะไรแบบนั้นน่ะ ” นั่นทำให้เขาร้อนใจกับอาการของรัก ยิ่งไม่เห็นเจ้าตัวมาสักพักขนาดนี้ ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นยังไงบ้าง พอได้ยินจากปากของคุณน้าเขาเลยเริ่มเป็นห่วงหนักขึ้นแล้วจริงๆ





“ แล้วถ้ารักเขามีแฟนขึ้นมาจริงๆ คุณน้าจะว่ายังไงครับ ”





“ ก็ไม่อะไรหรอก แค่ดูแลกันและกันได้ ไม่ทำให้ลูกชายน้าผิดหวังอีกก็เป็นพอแล้ว น้าไม่อะไรมากหรอก ” เขาพลันรู้สึกเหมือนมีชนักติดหลังยังไงชอบกลพอได้ฟังจากปากของคุณน้า ถึงอีกฝ่ายจะบอกว่าไม่อะไรมาก แต่ถ้ามารู้ความจริงขึ้นมาจะรับได้หรือเปล่านั่นแหละ





เครียดยิ่งกว่างานที่บริษัทมีปัญหาก็เรื่องนี้นั่นแหละ





“ เพื่อนเจ้ารักก็อีกคน แสงน่ะ หนูรู้จักไหม ” เขาพยักหน้า “ รายนั้นก็เจ้าชู้เหลือเกิน เห็นรักมาเล่าให้ฟัง น้าก็สงสัยจริงๆ ว่าชีวิตนี้จะไปหยุดอยู่ที่ใครละนั่น ” เขาหัวเราะเบาๆ เมื่อคนที่นั่งอยู่ข้างเขาเอ่ยถึงเพื่อนของรักคนนั้น ดูหน้าก็รู้แล้วว่าเจ้าชู้ขนาดไหน หน้าหล่อคนเข้ม แถมฝีปากยังแพรวพราวขนาดนั้นเป็นหญิงคนไหนก็ชอบ ตอนที่เกิดเหตุกับรัก ขนาดไม่ได้รู้จักกับตัวเขามากมาย ยังสามารถคุยกับเขาได้เหมือนคนรู้จักกันเลย





เขากับคุณน้าสนทนากันต่อ ส่วนใหญ่จะเป็นพฤติกรรมแสบๆ ของรักในสมัยก่อน ทำให้เขารับรู้ความเป็นไปของอีกฝ่ายในอดีตมากขึ้น เวลาผ่านไปไม่นานนักก็เริ่มมีเสียงความเคลื่อนไหวมาจากภายนอกบ้าน นั่นหมายความว่าคนที่เขากำลังเฝ้ารอกลับมาแล้วหรือเปล่า พอคิดได้แบบนั้น ใจเขาพลันเต้นรัวอย่างกับคนที่เพิ่งไปวิ่งรอบสวนลุมฯมาสิบรอบ





“ กลับมาแล้วม๊า อ้าวคุณ ” ทว่าคนที่โผล่หน้าเข้ามากลับไม่ใช่รัก เขาจึงแสดงสีหน้าผิดหวังออกไปอย่างไม่รู้ตัว





“ สวัสดีค่ะ มาหารักเหรอคะ ” เขายกมือไหว้รับคำสวัสดีของอีกฝ่าย





“ ใช่แล้วดี แล้วนี่ไอรักมันอยู่ไหน ทำไมยังไม่กลับมาซักที ที่คุณเขามารอนานแล้วเนี่ย คุยกับม๊าเพลินเลย ” คุณน้าตอบให้เขาพลางลุกขึ้นไปหยิบมะม่วงอีกลูกมาให้เขา





“ โอ้ย มันก็เอ้อระเหยของมันนั่นแหละม๊า นี่ก็ไม่รู้แวบไปเดินทอดน่องที่ไหนอีก ทำตัวเป็นพระเอกเอ็มวีไปได้พักนี้ ” พี่สาวของรักบ่นกระปอดกระแปด เดินเข้าไปที่ห้องครัว





“ รักเขาเดินกลับแบบนี้ทุกวันเลยเหรอครับ ” เขาสบโอกาสจึงถามขึ้น





“ ก่อนหน้านี้ก็ไม่เป็นแบบนี้หรอกค่ะ ไม่รู้ช่วงนี้เป็นอะไรชอบเดินเหม่อๆ วันก่อนเพื่อนมันก็มาเล่าให้ฟังว่าเหม่อจนเกือบโดนรถเฉี่ยว ”





“ เฮ้ย ทำไมม๊าไม่เคยรู้เรื่องเลย อันตรายนะนั่น สงสัยต้องเรียกมาคุยหน่อยซะแล้ว ” ไม่ใช่แค่คุณน้า เขาก็ตกใจเช่นเดียวกัน แล้วนี่เดินทอดน่องกลับมาคนเดียว ไม่ใช่ว่าไปเดินเหม่อที่ไหนอีกหรอกนะ





“ งั้นผมขอตัวไปหาเขาก่อนนะครับ ” เขาลุกขึ้นทันที เอ่ยกับคุณน้าและพี่สาวของรัก ไม่ได้สนใจพวกเขาที่ห้ามปราม รีบเดินออกจากบ้าน ในขณะที่กำลังจะเอื้อมมือไปบิดลูกบิดประตูเพื่อเปิดอยู่นั้น ประตูก็เปิดออกมาก่อนโดยคนที่อยู่อีกฝั่งซะแล้ว





“ กลับมาแล้วคระ….. ” น้ำเสียงของคนมาใหม่หยุดชะงัก พร้อมกับตัวเขาที่ยืนเอื้อมมือนิ่งอยู่อย่างนั้น





สายตาทั้งสองคู่ประสานกันก็ตอนนี้เอง







โปรดติดตามตอนต่อไป



งุ้ยยยยยยย มันกร๊าวใจมาก คุณเค้าได้เจอกันแว้ววววว

 :impress2:

หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 34!!! (8/12/64)
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 08-12-2021 22:20:59
 :mew2: :hao7:
หัวข้อ: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 35!!! (18/1/65)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหมีวุ่นวาย ที่ 18-01-2022 09:43:32
ตอนที่ 34
" คืนนี้ฉันขอค้างที่นี่ได้ปะ "





“ อ้าว รัก กลับมาซะช้าเลย คุณเนตรเขามารอเจอลูกน่ะ ” เสียงแม่รักดังเข้ามาโสตหูของเขา แต่ดูเหมือนเจ้าของชื่อจะช็อคตาค้างไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่น

 

“ ไง ” เขาตัดสินใจทักเจ้าตัวก่อน เท่านั้นแหละ เหมือนวิญญาณเข้าร่างเล็กกว่าตรงหน้าทันที

 

“ คุณ….คุณมาได้ยังไงครับ ”

 

“ ก็ขับรถมาน่ะสิ เห็นรถฉันจอดอยู่ข้างหน้าบ้านหรือเปล่าล่ะ ” เขาตอบยิ้มๆ และครึ้มใจหน่อยๆที่เห็นสายตาค้อนน้อยๆตอบกลับมา

 

“ ผมหมายถึง… ”

 

“ ฉันตั้งใจมาเจอนาย ”

 

“ เจอผม? ” เขายักไหล่ตอบประโยคคำถามเสียงสูงนั่น

 

“ มาๆ เจ้ารัก แกก็มัวแต่ยืนอยู่หน้าบ้านอยู่นั่น เข้ามาก่อนสิ ” แม่ของรักพูดแทรกเข้ามา ทำให้คนถูกเรียกถอนหายใจเบาๆแล้วเดินเบี่ยงตัวเขาเข้าไปในตัวบ้าน เขายืนเรียกกำลังใจให้ตัวเองก่อนจะเดินตามเจ้าตัวไป

 

รักวางของลงบนโต๊ะกินข้าว สายตาวาวเมื่อเห็นบรรดาของกินต่างๆที่จริงๆแล้วเตรียมไว้เพื่อเขานั่นล่ะนะ สักพักเหมือนคนเห็นแก่กินจะนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้เขายืนหัวโด่อยู่ในห้องโถง เลยกวักมือเรียกให้เขาเดินไปหา

 

น่ารักจริงๆเลยน่า

 

“ คุณกินข้าวมาหรือยัง ” จริงๆก็อิ่มไปนิดหนึ่งแล้วแหละ แต่เพราะอยากนั่งด้วยกันเลยปฏิเสธไปก่อนละกัน

 

“ ยังเลย ”

 

“ งั้นถ้าไม่ได้รังเกียจอาหารพวกนี้ คุณกินกับผมก็แล้วกันนะ ” คนพูดก็ผละตัวออกไปเอาจานชามมาตักข้าวใส่ แล้วยื่นมาให้เขา หลังจากนั้นเจ้าตัวก็เดินมาพร้อมชามข้าวของตัวเอง นั่งลงตรงข้ามเขา

 

“ ทำไมถึงคิดว่าฉันรังเกียจล่ะ ”

 

“ ก็…ไม่รู้สิ ผมก็นึกว่าคุณไม่เคยกินอาหารแบบนี้ ”

 

“ หืม เมื่อก่อนตอนอยู่ด้วยกัน ฉันก็เคยกินอาหารที่นายทำบ่อยออก ” เขาสังเกตเห็นว่าคนนั่งตรงข้ามชะงัก เขาจึงนึกขึ้นได้ว่าเจ้าตัวคงยังจำไม่ได้แน่ๆ แอบถอนหายใจนิดหน่อย แต่ในความจริงนี้มันกลับเป็นแรงฮึดให้เขาได้อย่างน่าแปลกใจเหมือนกัน เขาคิดว่าครั้งแรกเริ่มต้นได้ ครั้งนี้ก็ต้องเริ่มต้นได้อีกเหมือนกัน คิดซะว่าเป็นความท้าทายอย่างหนึ่งในชีวิตก็แล้วกัน แถมรักก็ดูมีท่าทีเริ่มจะรู้สึกกับเขาอยู่ด้วย

 

คนสองคนนั่งกินข้าวเงียบๆอยู่ในสายตาของอีกสองสาวแม่ลูก ที่แอบๆด้อมๆลอบมองอยู่ตรงหน้าประตูมาได้สักพักใหญ่

 

“ ม๊า หนูว่านะ คุณเนตรคนนี้นี่แปลกๆอยู่นะ ” คนเป็นลูกสาวพูดขึ้นหลังจากที่แอบสังเกตท่าทีเจ้านายของน้องชายเธอมาตั้งแต่เข้าบ้าน เจ้านายที่ไหนเขาจะมาเยี่ยมลูกน้องถึงบ้านกัน แล้วยิ่งมานั่งกินข้าวโต๊ะเดียวกันอีก แถมแอบมองน้องเธออยู่เงียบๆด้วยแล้วนั่น สายตาแบบนั้น มองจากไกลๆยังรู้เลยว่ารู้สึกยังไงน่ะ!

 

“ ฮื่อ คิดเหมือนกันเลย แกว่ามั้ยว่าน้องชายแกไปอ้อยเขาหรือเปล่าวะ ” คนเป็นแม่ก็ไม่อยากจะบอกว่าเธอก็รู้สึกอยู่เหมือนกัน นี่ถ้าป๊ากลับมาจากนัดออกกำลังกายกับเพื่อนแล้วเจอภาพแบบนี้นะ อยากจะรู้จริงๆว่าเจ้าตัวจะดิ้นเร่ายังไง

 

ก็แหม อีตาพ่อนั่นหวงลูกชายอย่างกับอะไรดี

 

“ หนูว่า…เขาปิ๊งน้องชายหนูแน่ๆม๊า คอนเฟิร์ม ว่าแต่ม๊ารู้จักคำว่าอ้อยด้วยเหรอ ”

 

“ ม๊าก็จำๆมาจากในละครนั่นแหละ แหม ไอดี แกเพิ่งจะรู้เหรอไง ครั้งที่แล้วตอนที่คุณเนตรเขามาบ้าน ตอนนั้นแกน่าจะไม่อยู่ เขามาตามง้อไอรักถึงบ้านเลยนะเว้ย ผ่านมาหลายเดือนแล้วนะตั้งแต่ตอนนั้นอ่ะ ” คนเล่าก็เล่าอย่างเมามัน ส่วนคนฟังก็ทำตาโต แถมไม่ใช่แค่ตา ยังลามมาถึงปากด้วย

 

“ โห นี่แสดงว่าเจ้านายไอรักนี่มันปิ๊งน้องชายหนูมานานแล้วเหรอ! ”

 

“ ก็ใช่น่ะสิ แกมันไม่รู้อะไร แถมฉุดลากไอรักออกจากบ้านไปหน้าตาเฉยเลย ม๊าออกมาก็ไม่เห็นมันอยู่แล้ว ”

 

“ ตายยยยละ ไอรักมันไอทำเสน่ห์อะไรมาหรือเปล่านั่นน่ะ ไม่น่าเชื่อ ”

 

“ ม๊าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าลูกชายมันจะอาภัพกับผู้หญิง แล้วมามีโชควาสนากับผู้ชายได้แบบนี้ อยากจะเป็นลมแต่ก็ตื่นเต้นจนเลือดลมไหลพล่านเกิน เป็นลมไม่ได้ ”

 

“ ม๊านี่ก็พูดไป สรุปดีใจที่ไอรักมันไปสอยหนุ่มหล่อรวยมาได้ว่างั้น ” พี่สาวรักพูดดัก

 

“ อย่ามาทำเป็นรู้ดี แกก็เหมือนกันใช่หรือเปล่าล่ะ ”

 

“ แน่นอนสิ หนูนี่อยากจะกรี๊ดตอนได้รู้เรื่องราว ม๊าไม่รู้อะไร ตอนนี้หนูติดนิยายวายงอมแงม ”

 

“ นิยายไว วาย นิยายอะไรของแก ” แม่ของรักถามอย่างงงๆ

 

“ ก็นิยายชายชายไงคะ ” คนฟังร้องอ๋อ แล้วไม่ได้ต่อความอะไรอีก สายตาทั้งสองคู่มองกลับยังสองชายที่ถูกนินทาระยะกระชั้นชิดอีกครั้ง แต่ก็ไม่รู้ว่าพลาดอะไรไปหรือเปล่า คนกินก็ยังกินข้าวกันอยู่เหมือนเดิม แต่ทำไมคนของเรามันหน้าแดงขนาดนั้นละนั่น

 

 

 

“ คุณก็รีบๆกินรีบๆกลับบ้านซักทีสิ ” เขามองคนพูดที่หน้าแดงด้วยความขบขัน คนตรงเขาหน้าแดงจัดจนอยากจะเอื้อมมือไปดึงแก้มซะเหลือเกิน เขาหัวเราะเบาๆ ต้นเหตุของอาการที่รักเป็นอยู่นี้ไม่ใช่ใครที่ไหนเลย ก็คงเป็นเสียงกระซิบกระซาบเบาๆกันอยู่หน้าประตูนั่นแหละนะ สองคนที่แอบอยู่นั้นคงไม่รู้ว่าเสียงกระซิบที่แทบจะกลายเป็นเสียงพูดปกติได้ลอยเข้าหูของพวกเขาเรียบร้อยแล้ว กำลังจะเริ่มปฏิบัติการจีบอย่างที่หมายมั่นอีกครั้งแล้วเชียว แต่ดันมาได้ยินเสียงคนกระซิบกันซะก่อน เลยไปไม่ถูกเลย แต่เขาก็ดีใจนะที่รู้ว่าที่บ้านของรักไม่ได้กีดกันเรื่องนี้ซักเท่าไหร่ จะหนักใจก็แต่บ้านของเขานั่นแหละ

 

“ ระวังจะติดคอนะรัก รีบกินขนาดนั้น ช้าๆก็ได้ ” เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปรามคนที่ตั้งหน้าตั้งตากินนี้ เดี๋ยวถ้าสำลักขึ้นมาหน้าตาคงดูไม่จืด หน้าแดงแล้วคงแดงขึ้นไปอีก ถึงแดงแบบนี้ในสายตาเขาจะว่าน่ารักก็เถอะนะ

 

“ อุดอูดไอเอย (หยุดพูดไปเลย) ” คนพูดขณะที่เคี้ยวข้าวเต็มปาก

 

“ นั่นๆ เป็นเด็กเหรอไง ใครให้พูดตอนข้าวเต็มปาก ” รักไม่ตอบอะไรกลับมาแต่ส่งสายตาค้อนกลับมาให้แทน ปากก็เคี้ยวข้าวตุ่ยๆหน้าก็บึ้งๆ ทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่กับเด็กยังไงชอบกล ไม่เคยเห็นรักในท่าทางแบบนี้เลยแฮะ เมื่อก่อนออกจะดูเป็นทางการกว่าอยู่นิดหน่อย เพราะด้วยสถานภาพการทำงานแล้วด้วย

 

เขายกมือให้เป็นเชิงบอกว่ายอมแพ้ แล้วให้รักกินข้าวจริงๆซักที กลัวว่าจะติดคอซะก่อน

 

กินให้เสร็จแล้วแกล้งทีเดียวละกัน  อืมม

 

“ ช่วงนี้นายเป็นยังไงบ้าง ไม่ไปเยี่ยมฉันที่โรง’บาลเลยนะ ”

 

“ เอ่อ ผมยุ่งๆน่ะครับ ” รักหลุบตาลง เขี่ยเศษข้าวที่ใกล้จะหมดแล้วในชาม

 

“ จริงเหรอ ” เขาแสร้งถาม ในใจรู้อยู่แล้วแหละว่าโกหก แสงเล่าให้เขาฟังหมดแล้วว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง รวมถึงเรื่องสัญญาจ้างนั่นด้วย ถึงแม้เขาจะรู้สึกผิดว่าเป็นต้นเหตุทำให้รักเกิด ‘อาการแปลก’ ในช่วงนี้ก็ตาม แต่ก็นะ เขาก็แอบดีใจนิดหนึ่งว่าตัวเองก็สำคัญสำหรับรักเหมือนกัน

 

“ ผมเริ่มกลับมาทำงานที่บ้านด้วยครับ ยังไม่เข้าที่เข้าทางก็เลยวุ่นวายไปหมด ”

 

“ ก็ดีแล้ว เดี๋ยวนายก็ค่อยๆเรียนรู้ได้เองแหละ ว่าแต่นายจะไม่ถามฉันหน่อยเหรอไงว่าเป็นยังไงบ้าง ” เขาแกล้งหยอก

 

“ ไม่เห็นอยากรู้เลย ” รักตอบแต่เหมือนพึมพำกับตัวเองเบาๆมากกว่า เสยกน้ำขึ้นมาดื่ม

 

“ น้อยใจจัง ฉันยังคิดถึงนายจนต้องมาที่นี่เลยนะ ” แล้วนั่น คนตรงหน้าสำลักน้ำเป็นที่เรียบร้อย เขาหัวเราะดัง รีบหยิบทิชชู่ข้างตัวแล้วยื่นให้ รักรับไปแล้วมองค้อนหนักๆกลับมา เขาลุกขึ้นแล้วโน้มตัวไปตบหลังให้เบาๆ เจ้าตัวเบี่ยงตัวออกถึงแม้จะไอจนน้ำหูน้ำตาไหลไปหมดแล้วก็ตาม

 

“ แหม แค่นี้ก็ต้องเขินจนสำลักน้ำด้วย ”

 

“ ผม แคกๆ ไม่ได้เขิน! แคกๆๆ ” เถียงไปสำลักไป น่าเอ็นดูซะจริง

 

“ เอาเถอะๆ เดี๋ยวนายจะตายซะก่อน ฉันไม่แกล้งแล้วก็ได้ ”

 

รักหน้าบึ้งหนักกว่าเดิม รีบลุกขึ้นคว้าถ้วยชามที่จัดการซัดเรียบหมดแล้วมาซ้อนๆกัน แต่ไม่ยักจะเอาชามของเขารวมไปด้วย เดินยกไปที่อ่างล้างจาน เขาใจกระตุกนิดหนึ่งนึกว่าตัวเองแกล้งแรงไป รีบเดินถือชามของตัวเองตามรักไป แต่พอมายืนข้างๆเจ้าตัว เขาก็ทันสังเกตเห็นแก้มขึ้นริ้วแดงอย่างเห็นได้ชัด เขายิ้มกว้างขึ้นมาทันที

 

“ มา เดี๋ยวฉันล้างให้ ตอบแทนที่นายอุตส่าห์เชิญฉันมากินข้าว ” เขาพยายามหุบยิ้ม แต่ไม่รู้ทำไมถึงหุบไม่ได้ซักที ทั้งที่เขาพยายามแล้วนะ ให้ตาย

 

“ คุณไปนั่งเงียบๆเลยไป ”

 

“ อย่าไล่ฉันสิ ฉันเสียใจนะ ”

 

“ นี่! คุณกวนสมาธิผมอยู่นะ ” รักที่ก้มหน้าก้มตาล้างจานชามอย่างขะมักเขม้น เงยหน้าขึ้นมาโวยวายใส่เขา

 

“ โห เพิ่งรู้ว่าการล้างจานมันต้องใช้สมาธิขนาดนั้น ” เขาพูดน้ำเสียงยียวน

 

“ ฮื่อ ไปนั่งรอเฉยๆเลยไป ”

 

“ ไม่เอาอ่ะ อยากอยู่กับนาย ” เขาไม่พูดเปล่า เอาตัวไปเบียดเบียนร่างเล็กกว่าทันที ก็ทำยังไงได้อ่ะ อยากอยู่ด้วยกันจริงๆนี่นา รักไม่ได้เหวี่ยงอะไรกับมา แต่ฟังเสียงขัดจานชามในอ่างนั้นแล้ว มั่นใจได้ว่าคงกำลังด่าผมอยู่ในใจ แล้วเอาจานชามที่น่าสงสารนั้นจำลองเป็นหน้าผมอยู่เป็นแน่

 

" นี่ " เขาเรียกเสียงเบา แต่ก็คนข้างๆไม่หือไม่อืออะไร งั้นเข้าประเด็นเลยละกันนะ

 

“ คืนนี้ฉันขอค้างที่นี่ได้ปะ ”

 

เคร้ง!

 

จานที่อยู่ในมือของรักล่วงลงอ่างเป็นที่เรียบร้อย แต่ไม่แตกแฮะ ส่วนตัวคนที่ทำหล่นอ่ะเหรอ หันขวับมามองเขาเหมือนเห็นเขากลายร่างเป็นไอรอนแมนอย่างไรอย่างนั้นอ่ะ เขายืนยักไหล่เหมือนตัวเองไม่ได้พูดอะไรผิดออกไป ก็มันจริงนี่นา เขาแค่ขออนุญาตเองนะ ไม่ได้ลามปามอะไรซักหน่อย

 

“ นายยังไม่ตอบคำถามเลยนะ ”

 

“ คุณ….ถามอะไรของคุณอ่ะ ”

 

“ ก็ขอค้างไงคืนนี้ที่บ้านนาย ได้หรือเปล่า ” เขาถามอีกครั้ง เท้ามือกับขอบเคาท์เตอร์ ยื่นหน้าเข้าไปใกล้คนที่ยืนช็อคไปแล้ว เขาขำออกมานิดหน่อย ก่อนจะยื่นมืออีกข้างไปดึงแก้มคนเรียกสติกลับมา รักปัดมือเขาเบาๆ ร้องโวยวาย

 

“ ไม่ได้ คุณก็มีบ้าน กลับไปนอนบ้านตัวเองสิ ”

 

“ แต่บ้านฉันมันไม่มีนายนี่นา ”

 

“ อะ ไอบ้า หยุดพูดไปเลยนะ ” รักหันกลับไปล้างจานในอ่างต่อ แต่ดูเหมือนจะล้างดีเกินไป เสียงล้างจานเอี๊ยดอ๊าดเลย กลัวว่าผิวจะลอกติดไปด้วยนะนั่น

 

“ มาๆ เดี๋ยวฉันล้างให้ ล้างแบบนี้คืนนี้ก็คงไม่เสร็จ ” เขาดึงตัวคนมายืนข้างๆ ส่วนตัวเองก็เข้าไปล้างแทนที่  ล้างอยู่ไม่นาน ทุกอย่างก็สะอาดเอี่ยมอ่อง หันไปมองคนที่ยืนเงียบเป็นใบ้มาตลอด ก็พบว่าหายไปไหนไม่รู้ซะแล้ว

 

เขินจนทนไม่ได้เลยหรือยังไงละนั่น

 

เขาเดินฮัมเพลงมือเปียกๆเพราะชี้เกียจเช็ดออกมาด้านนอกห้อง มองหาเจ้าคนขี้เขินที่เขินจนวิ่งหนีหายไปแล้ว แต่ก็ไม่พบ พบก็แต่คุณน้าที่นั่งดูทีวีอยู่ เขาจึงเดินเข้าไปหาแล้วกำลังจะนั่งลงที่พื้นพรมด้านข้างโซฟา

 

“ อุ้ย คุณเนตร มานั่งข้างบนด้วยกันก็ได้ค่า น้าไม่ได้ถืออะไรขนาดนั้น ” คุณน้ารีบห้ามคนตัวสูงทันที

 

“ อ๋อ ไม่เป็นไรครับคุณน้า ผมเห็นพรมมันนุ่มดีเลยอยากลองนั่งเฉยๆครับ ”

 

“ เนี่ย อย่าหาว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะ ที่คุณเนตรมาวันนี้ จริงๆแล้วไม่ใช่แค่มาหาไอรักมันใช่ไหมคะ ” เขาชะงักนิดหนึ่งก่อนจะมองหน้าคนถาม ในหัวกำลังตีกันวุ่นว่าจะตอบยังไงให้คุณน้าเข้าใจดีว่า เขาน่ะมาง้อคนงอนน่ะครับ

 

“ เอาล่ะๆ น้าเข้าใจนะ น้าก็เห็นไอรักมันมาแต่อ้อนแต่ออก ไม่เคยเห็นมันมีอาการแบบนี้เลย แฟนคนเก่าตอนเลิกกันมันเฮิร์ตพักหนึ่ง แต่แป๊ปเดียวมันก็กลับมาลั่นล้าได้แล้ว แต่กับคุณเนี่ย มันเหมือนอย่างกับผีตายซาก วันๆเหมือนไม่มีชีวิตจิตใจ ซึมกะทือเหมือนคนอยากเหล้าจนลงแดงแบบนั้นแหละ ” เขาหัวเราะนิดหน่อยกับคำเปรียบเปรยของคุณน้า

 

“ น้าว่า เอ่อ ถ้าคุณเนตรจะ แบบว่า ชอบ…มันแบบนั้นน่ะ ในทางแบบนั้นน่ะนะ น้าก็…ไม่ได้ห้ามอะไรหรอกนะ แต่แบบว่า ขออย่างเดียวได้ไหม ”

 

“ คุณน้าพูดมาเถอะครับ ไม่ต้องเกรงใจ ”

 

“ น้าขอแค่ให้คุณเนตรดูแลมันดีๆก็พอ น้าไม่ได้ว่าจะขายลูกชายง่ายๆอะไรแบบนั้นนะ แต่เท่าที่น้าสังเกตแล้ว ไอรักมันไม่เคยเป็นแบบนี้กับใครมาก่อน น้าเลยเชื่อว่ามันก็คงมีความรู้สึกแบบนั้นกับเราเหมือนกัน ” คุณน้ามองตรงมาที่เขา แล้วยิ้มให้เล็กน้อย

 

“ ผมไม่อยากให้แค่คำสัญญาปากเปล่า แต่ผมจะทำให้เห็นเองครับคุณน้า ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

 

“ แต่ว่านะ น้าก็อดกังวลไม่ได้น่ะ ” คนอายุมากกว่าขมวดคิ้วพลางถอนหายใจ

 

“ เรื่องอะไรเหรอครับ ”

 

“ ก็เรื่อง… ”

 

“ ทำอะไรอยู่น่ะแม่ ละนั่นใครน่ะ ” คุณน้ายังไม่ทันพูดจบประโยดดี ก็ปรากฏชายวัยกลางคนคนหนึ่งตรงหน้าทางเข้าห้องโถง

 

“ อ้าวป๊า กลับมาไวจังวันนี้ นี่คุณเนตร เจ้านายของไอรักมัน ” เขาหันไปไหว้ป๊าของรัก อีกฝ่ายรับไหว้แล้วหันไปวางของบนโต๊ะใกล้ๆกัน

 

“ คุณเนตรนี่ที่ลูกชายผมไปเป็นบอดี้การ์ดให้ใช่ไหม ”

 

“ ใช่ครับ ” คนฟังทำเสียงอืมในลำคอ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรกลับอีก แต่ถือโอกาสนั้นนั่งคุยเรื่องธุรกิจทั่วไปตามประสาผู้ชายทำธุรกิจ พ่อของรักถือเป็นคนที่หนักแน่นและมีเหตุผลมากคนหนึ่งพอมาได้ฟังอะไรหลายๆอย่างจากเขา ประสบการณ์หลายๆอย่างที่เขาไม่เคยประสบ เวลาผ่านไปเนื่องนาน อีกฝ่ายก็ขอตัวไปพักผ่อน โดยที่คุณน้าพยักพเยิดให้เขาขึ้นไปชั้นสอง ซึ่งเป็นห้องของรักนั่นเอง แถมเจ้าตัวยังหัวเราะคิกคักกับพี่สาวรักที่มานั่งบนโซฟาตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้

 

การที่แม่อีกฝ่ายไฟเขียวแล้วอะไรๆก็ง่ายขึ้นแบบนี้นี่เอง

 

คิดไม่ผิดที่เข้าทางที่บ้านซะจริง

 

 

 

โปรดติดตามตอนต่อไป....

การเป็นสาววายไม่ผิดนะคะ อิอิ


สวัสดีปีใหม่ค่าทูกคนนนนนนน

มันก็เลยมาครึ่งเดือนแล้วอ่ะนะ 555555

ไรท์ขอโทษน้าที่มาช้าไป(ไม่)นิด กลัวคนอ่านหายไปหมด ซึ่งก็น่าจะรอจนไม่อยากรอแล้วอะไรแบบนั้น

อย่าเพิ่งหายกันไปเลยยย ไรท์ก็พยายามเค้นสมองอันยุ่งเหยิง เขียนให้ได้มาแต่ละตอน T T

บางทีก็ลืมบ้าง ยุ่งบ้าง ขี้เกียจบ้าง สลับกันไป แต่ในที่สุดก็ออกมาเป็น 1 ตอน แล้วก็มาลงทันทีเลย

กลัวนิยายโดนลบทิ้ง เพราะดองนานเกิน 55555555

ยังไงไรท์ก็ขอให้ทุกคนแฮปปี้ดี้ด้าตลอดทั้งปี 2022 นี้นะคะ สิ่งอะไรที่ไม่ดี ไม่อยากจดจำก็ปล่อยๆปลงๆมันออกไป

เริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ ในปีใหม่ๆนี้ สิ่งใดที่ตั้งใจหมายมั่นไว้ ก็ขอให้สำเร็จสมจิตสมใจเด้อค่ะ

ขอบคุณทุกๆคนนะคะที่ยังติดตามกันอยู่ T T


 คนอ่าน >>  :z6:

หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 35!!! (18/1/65)
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 18-01-2022 16:18:36
มีความสุขเช่นกันครับ
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 35!!! (18/1/65)
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 18-01-2022 17:09:47
 :mew4: o13
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 35!!! (18/1/65)
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 19-01-2022 00:54:30
ตามอยู่ครับ
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 36!!! (21/2/65)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหมีวุ่นวาย ที่ 21-02-2022 17:28:10
ตอนที่ 36
"จะไม่ให้ออกไปเด็ดขาดเลย"







ก็อกๆ




ผมสะดุ้งนิดหน่อยกับเสียงเคาะประตู ต้องเป็นไอคุณชายหน้ามึนนั่นแน่ๆ เดี๋ยวนี้ตั้งแต่โดนยิงสลบไปรู้สึกนิสัยเปลี่ยนไปตั้งเยอะ มันไปกระทบสมองด้วยเหรอวะนั่น เมื่อกี้ก็นั่งล้อผมอยู่ได้ คนจะกินข้าวแท้ๆ (แต่ก็กินหมดนะครับ แหะๆ)



เสียงประตูดังขึ้นอีกครั้ง ผมถอนหายใจแล้วลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูให้คนข้างนอก



“ไอรัก มัวแต่ทำอะไรอยู่เนี่ย”



แต่คนข้างนอกที่ว่ากลับไม่ใช่คนที่นึกถึง…



“อ้าวม๊าเองเหรอ”




“ก็ใช่น่ะสิ ม๊าจะมาบอกว่าคุณเนตรเขาฝากมาบอกแกว่าเขากลับก่อนนะ เขามีธุระต้องไปทำต่อ”  ธุระ? ป่านนี้เนี่ยอ่ะนะ



“อะ อ่อๆ โอเคๆ ม๊าไปนอนเถอะ”  ม๊าทำหน้าสงสัยแวบหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร เดินเลยถัดไปอีกห้อง



ผมปิดประตูก่อนจะเดินคอตกกลับมานั่งที่เตียงตามเดิม อะไรของเขาวะ บทจะมาก็มาไม่ทันให้ตั้งตัว บทจะไปก็ไปซะเฉยๆ กูล่ะตามอารมณ์ไม่ทัน เมื่อกี้ก็อุตส่าห์นั่งเตรียมใจอยู่ตั้งนาน



เฮ้ยๆ มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิวะ! กลับไปนั่นแหละดีแล้ว ใช่ ดีแล้วๆ คราวนี้ผมก็จะนอนได้อย่างสบายใจซักที ไม่ต้องมานั่งใจวุ่นวายกับไอตัวปัญหาอีก



เฮ้อ ว่าแล้วก็นอนดีกว่า











“อ้าว ไอรัก เป็นอะไร ทำหน้าเมื่อยขนาดนั้น อึไม่ออกเหรอ”  นี่มันคำทักทายตอนเช้าสมัยไหนกันวะเนี่ย



“เมื่อวานน่าจะกินอิ่มไปหน่อยอ่ะม๊า วันนี้เลยรู้สึกไม่ค่อยสบายท้อง”



“เออๆ ไปหาหยูกหายากินด้วยล่ะ เดี๋ยวป่วยขึ้นมาอีก จะมีคนเป็นห่วงซะเปล่าๆ ”  ผมหับขับไปมองหน้าม๊าทันที แต่เจ้าตัวก็ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ยืนเช็ดจานชามอยู่ที่เคาท์เตอร์หน้าห้องครัว ผมเลยส่งค้อนอันเบอเริ่มให้ไปซะเลย หึ



“แล้วนี่เจ๊เขาไปไหนเนี่ย หรือยังไม่ลงมาอ่ะม๊า”



“ไปวิ่งมั้ง เดี๋ยวนางรักสุขภาพจะตาย ก็อย่างว่าแหละ อายุอานามก็ปาเข้าไปเกือบเลขสามละยังไม่มีใครซักที”  จะว่าไปมันก็จริงนะ เจ๊ดีพี่สาวเขาอายุมากกว่าเขาตั้งห้าหกปี แต่ไม่ยักจะเห็นพาฟงพาแฟนมาให้เห็นซักที ไม่รู้สเป็คสูงไปหรือไม่มีใครเอา ฮ่าๆ



ผมตักข้าวมาแล้วนั่งลงบนโต๊ะที่มีกับข้าววางรายล้อมเต็มไปหมด ประหนึ่งตั่งไว้ให้ฮ่องเต้มารับประทาน บ้านผมก็เป็นแบบนี้แหละครับ คนจีน เรื่องกินเรื่องใหญ่ไม่เป็นรองใคร มาอยู่บ้านทีไรผมน้ำหนักขึ้นทุกที เพราะอดใจให้ไม่ตักข้าวเข้าปากไม่ได้ แต่ก็ถือว่าเป็นโชคดีอย่างหนึ่งที่ม๊ากับเจ๊ดีทำอาหารเก่ง คนง่อยๆ อย่างผมเลยเหมือนได้พึ่งใบบุญ



นั่งไถๆ มือถือไปได้สักพัก แชทของไอแสงยอดชายก็โผล่ขึ้นมา ผมเลยรีกดเข้าไปดู หนอย หายหน้าหายตา มันบอกประมาณว่ามันจะจัดสัมมนาของบริษัทมัน ที่จัดเหมือนกันทุกปีน่ะแหละ เป็นการขอบคุณที่ทำงานเหนื่อยๆ กันมาทั้งปี มันถามผมว่าจะไปหรือเปล่า สงสัยมันกลัวผมปฏิเสธมั้ง เลยย้ำมาอีกประโยคหนึ่งว่า



‘ฟรีทุกอย่าง กินไม่อั้น’



โอ้โห ไอเวร เห็นตูเป็นคนยังไงเนี่ย เอาเรื่องแบบนี้มาล่อ ฉุนหนักผมก็รีบตอบไปสิ



‘ไป!!!’  จะเหลือเหรอ ฮ่าๆ



นั่งคุยกับมันไปสักพักใหญ่ตามประสาคนไม่ได้เจอกันหลายวันแล้ว ตั้งแต่มันยกโขยงเอากับข้าวกับปลามาเซ่นผมถึงบ้านนั่นแหละ หลังจากนั้นผมก็มัวแต่เป็นบ้าเป็นบอกับไอคุณชายนี่แหละแม่ง บ้าจริงๆ เลย นี่พูดแล้วก็ขึ้น เมื่อวานก็ปล่อยให้ผมนั่งสติแตกกับตัวเองตั้งนาน สุดท้ายก็กลับไปดื้อๆ เนี่ย ออกจากหัวผมได้แล้วไป ชิ่วๆ!



“เป็นอะไรไอรัก ผีเข้าเหรอ สะบัดหัวจะหลุด”  ม๊าผมเดินมาหยิบซาลาเปาแล้วเดินกลับไป ผมเลยบ่นอุบอิบ นี่ก็ไม่เคยเข้าข้างลูกหรอก พอเห็นไอคุณชายหน่อยก็แทบจะถีบหัวส่งผมแล้วเอาไอนั่นมาเป็นลูกแทน



“เออม๊า เดี๋ยวเสาอาทิตย์นี้ผมไปเขาใหญ่กับบริษัทไอแสงมันนะ”



“ไปทำอะไร เธอไปทำงานกับเขาด้วยเหรอไง”  นั่นไง แขวะอีกแล้ว



“ก็มันชวน มันบอกฟรีทุกอย่าง ผมไม่ต้องออกซักบาทเดียว เป็นม๊าม๊าไม่ไปเหรอไง”



“ม๊าไม่ได้หน้าเงินเหมือนเธอนี่”



“เอออออ ผมหน้าเงินเองแหละ สรุปผมไปนะ เดี๋ยวขากลับมันมาส่งลูกชายสุดที่รักของม๊าคนนี้ถึงหน้าบ้านเลย”  ม๊าผมทำหน้าเอือม ก่อนจะหันไปสนใจกับซีรี่ย์จีนในทีวีต่อ



เนี่ยแหละ ชีวิตที่น่าสงสารของผมล่ะ














“เฮ้ย ไอรัก มาๆๆ มานั่งข้างป๋านี่มา”  เสียงของเพื่อนรักผมเจ้าเก่าเจ้าเดิมตะโกนมาเมื่อเห็นผมกำลังจะเดินเข้าบ้านมัน



“เวรเถอะเพื่อน กูไปนั่งกับแม่มึงดีกว่า”  ผมตอบแล้วรีบเดินหนี มันเลยทำเสียงจิ๊จ๊ะ แล้วเดินปรี่มาล็อคคอผมแล้วลากทั้งตัวผมทั้งสัมภาระไปไว้ในรถคันเดียวกับมันทันที



“อ้าวๆ แสง! ทำไมทำกับเพื่อนแบบนั้นล่ะลูก”  แม่ของไอแสงที่นั่งอยู่ในรถอีกคันพูดเอ็ดไอยอดชายที่มันกำลังทำร้ายร่างกายของอยู่



“นี่ผมเอ็นดูมันนะแม่”  ไอแสงพูดก่อนจะลูบหัวผมเบาๆ ผมเลยตีมือมันเพียะใหญ่



“โอ้ย ไอรัก กูเจ็บ หนอย จะเล่นใช่ปะ”  แขนที่ล็อคคอผมอยู่เลยยิ่งรัดแน่นขึ้น



“พอๆ ละคู่นี้ จะได้ไปกันไหมเนี่ย”  พี่สาวของแสงดันตัวผมกับไอแสงขึ้นรถ ผมเลยหายใจหายคอโล่งซักที หันไปทำหน้าหาเรื่องใส่มันอีกรอบ แล้วขึ้นรถไป แต่ถามว่ารอดพ้นจากเงื้อมือมันไหม ก็ไม่อ่ะ เพราะมันนั่งข้างๆ ผมนี่เอง เฮ้อ



เสียงพูดคุยปนเสียงโหวกเหวกโวยวายจากคู่ผมกับแสงดังขึ้นตลอดแทบจะตลอดเวลาเดินทาง เลยทำให้บรรยากาศครึกครื้นหรือน่ารำคาญมากกว่าหรือเปล่าผมก็ไม่แน่ใจ แต่ที่รู้แน่ๆ คือพี่สาวไอแสงเสียบหูฟังปิดกั้นโลกตัวเองไปเรียบร้อยแล้วล่ะครับ สงสารก็สงสาร ทำไงได้ล่ะ ใครใช้ให้ผมกับมันเกิดมานิสัยพูดไม่หยุดขนาดนี้



เมื่อคณะเดินทางพร้อมกับรถของพวกผมเดินทางมาถึงรีสอร์ตชื่อดังแห่งหนึ่งในเขาใหญ่ ทริปนี้ครอบครัวมันก็ทุ่มทุนอยู่นะ เพราะเล่นเข้าพักในรีสอร์ตที่ผมเพิ่งมาเห็นตอนถึงเนี่ยแหละ คือแพงมากบานตะไท คิดไม่ผิดจริงๆ ที่ตัดสินใจมา



“ถึงงงงงซักที”  ผมเดินออกมาจากรถแล้วบิดขี้เกียจแรงๆ ทีหนึ่งแก้เมื่อย นี่ขนาดตัวเองไม่ได้ขับนะเนี่ย ยังเมื่อยขนาดนี้ แต่แล้วแรงกระแทกจากทางด้านหลังของผมก็ทำให้ผมถึงกับเกือบหน้าคะมำ มันถีบผมนั่นเอง



“เกะกะคนจะลงรถ เอ้อ ไอนี่”  มันพูดพลางยักไหล่ ผมเลยได้แต่ด่ามันในใจ เดินไปยังเคาท์เตอร์รีเซปชั่นของรีสอร์ตที่มีคนออกันเต็มอยู่แล้ว เห็นผู้ดูแลอยู่สองสามคนกำลังจัดการแจกจ่ายห้องให้กับพนักงาน และไม่นานผมก็ได้การ์ดห้องมาหนึ่งใบ แต่พอถามไอแสง มันกลับบ่ายเบี่ยงว่าไม่ได้นอนกับผม ผมเลยงงอยู่นาน สรุปมันไปนอนกับใครวะ แล้วทำไมมันปล่อยผมนอนคนเดียวกันล่ะเนี่ย!



“ไอรักๆ กูไปห้องก่อนนะ แล้วเดี๋ยวเจอกัน”  ผมได้แต่ยืนพยักหน้างงๆ ให้ไอเพื่อนบ้านี่ จนมันหายตัวไปแล้วนั่นแหละ ถึงได้เริ่มเดินไปห้องของตัวเองบ้าง หิ้วกระเป๋าใบน้อยๆ ประสาคนพอมีอันจะกินเดินไปอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย สาวก็ไม่มี เพื่อนก็ยังมาเทอีก ชีวิตมันจะรันทดอะไรขนาดนั้นครับท่าน



“โอ้ย ของอะไรมันจะหนักขนาดนี้วะเนี่ย ตอนจัดก็ไม่ได้เอาอะไรมาเยอะนี่หว่า”  ผมพยายามเอาบัตรแตะเซ็นเซอร์ประตู แต่ด้วยความที่ของพะรุงพะรังเหลือเกินเลยแตะไม่ถึงซักที กำลังจะปล่อยของในมือทุกอย่างลงแล้วแตะบัตร แต่อยู่ๆ ก็มีมือขาวๆ ของใครไม่รู้ เอื้อมมือมาจากด้านหลังมาแตะบัตรให้ ผมสะดุ้งตกใจหันกลับไปก็เจอลำคอขาวๆ อยู่ใกล้แค่เพียงสายตา ไม่กล้าไล่สายตาขึ้นไปเลยทีเดียว รีบหันกลับมาแล้วถือของพะรุงพะรังจ้ำอ้าวเข้าห้องทันที ปล่อยของทุกอย่างในมือแล้วรีบปิดประตู แต่ก็ช้ากว่าคนด้านนอกอยู่ดี



“ตกใจอะไรของนาย เห็นผีเหรอไง”  คนบุกรุกห้องยืนจังก้าอยู่กลางห้อง ไม่ถามเปล่ายังวางของของตัวเองเสร็จสรรพ ไม่ทันให้ผมได้เตรียมใจ



“คุณ…คุณมาทำอะไรที่นี่ครับ? ”



“ก็มาเที่ยวน่ะสิ เห็นว่ามาทำอะไรล่ะ”



“รู้ได้ยังไงว่าผมพักอยู่ห้องนี้”  ไอคุณชายไม่ตอบแต่เดินเข้ามาหาผมช้าๆ กดดันให้ผมค่อยๆ ก้าวถอยหลังจนข้างหลังไม่มีที่จะให้ถอยแล้วนั่นแหละ ตาเหลือบมองทันรอยยิ้มชั่วร้ายตรงมุมปากของอีกฝ่ายเข้าพอดี มันวางแผนไว้อยู่แล้วใช่ไหมเนี่ย!



“หืม เมื่อก่อนเห็นชอบมองตาฉันออก ทำไมตอนนี้ถึงไม่กล้ามองแล้วล่ะ”  หน้าของไอคุณชายอยู่ใกล้กับผมแค่คืบ ผมนี่เกรงคอจนตะคริวจะกินอยู่แล้ว พยายามบังคับตาตัวเองให้มองไปด้านหลังของไอบ้านี่แทนที่จะมองปากสวยๆ นั่น อย่ามองนะ อย่ามอง ฮือ (สะกดจิตตัวเอง)



“อยากรู้ไหมว่าฉันรู้ห้องของนายได้ยังไง”



“ไม่…ไม่อยาก”  ผมตอบเสียเบา



“จริงหรือ”  ผมพยักหน้าให้แทน พยายามดันตัวอีกฝ่ายให้ออกไป แต่ไม่รู้ทำไมมือตัวเองระทวยเหลือเกินนนน ไอคุณชายหัวเราะในลำคอเบาๆ แล้วเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้กว่าเดิม! ผมตกใจหลับตาแน่น ตัวเกร็งไปทั้งตัวแล้วครับท่านผู้โช้มมม



แต่ก่อนที่ผมจะหัวใจวายตายคาอกเขาไปก่อน ตรงหน้าผากของผมก็เกิดสัมผัสบางเบาที่ผมรู้ว่ามันคืออะไร ทุกสิ่งอย่างชะงักเหมือนหยุดเวลาไว้ เข้าใจแล้วว่าทำไมในละครที่ม๊าผมชอบดูฉากนี้ต้องทำเหมือนสิ่งรอบข้างเลือนหายไป ดอกไม้ปลิวว่อน ทุกอย่างหยุดเคลื่อนไหวทันที ผมเข้าใจแล้วครับ ต่อไปผมจะไม่ด่าอีกแล้วนะครับ เพราะตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนแบบนั้นเลยครับ



“หึๆ ไง นิ่งเลย นี่แค่ตรงหน้าผากเองนะ ฉันไม่ได้ล่วงเกินอะไรนายเลยนะ” ผมลืมตาค้าง จุดสายตาอยู่ที่ปากของอีกฝ่าย สติสะตังเลื่อนลอย ผมรู้สึกว่าตัวเองค่อยๆ เลื่อนหน้าออกไปข้างหน้า จุดสายตายังคงอยู่ที่ปากแดงๆ จุดเดิม หูแว่วๆ เหมือนได้ยินเสียงไอคุณชายเรียก แต่ผมไม่ได้ยินอะไรอีกแล้ว



สัมผัสบางเบาเหมือนที่หน้าผาก แต่กลับกลายเป็นว่ารอบนี้ผมดันเอาปากตัวเองไปหยุดอยู่ที่ริมฝีปากคู่เดิมที่ผมคอยแอบมองอยู่ตลอดนั้นเอง ก่อนที่สติสัมปะชัญญะของผมจะกลับมา อีกฝ่ายยกมือขึ้นจับต้นคอผม ริมฝีปากบดแนบแน่นกว่าเดิม



ร้อนแรงแต่หากอ่อนโยน



ถ้าจะเปรียบก็คงเปรียบได้เป็นคำประมาณนี้แหละมั้ง ฟังดูเหมือนขัดๆ กัน แต่ก็นั่นแหละ บอกแล้วว่าสติผมไม่ค่อยอยู่กับล่องกับลอยเท่าไหร่ สัมผัสอุ่นชื้นค่อยๆ รุกล้ำเข้ามาอย่างช้าๆ ผมรู้สึกแค่ว่าตัวเองถูกดันถอยหลังติดกำแพง มือไม้จับไหล่ของคนตรงหน้าแน่น อีกฝ่ายดึงตัวผมให้สัมผัสแนบแน่นกว่าเดิม จนผมเริ่มหายใจติดขัด เริ่มขืนตัวเบาๆ ไอคุณชายจึงหยุดแล้วดันตัวผมออกห่าง



หัวใจผมเต้นแรงเหมือนคนไปวิ่งมาซักสิบรอบ จนผมหายใจแทบไม่ทัน ได้ยินเสียงไอคุณชายขำเบาๆ ผมหันไปมองแบบคนไม่สบอารมณ์ นี่จูบหรือสูบชีวิตครับคุณท่าน!



“ทำไม แค่นี้ระทวยเลยเหรอไง ไหนบอกเคยมีแฟน” ผมไม่ตอบแต่ค่อยๆ ผลักตัวอีกฝ่าย เดินไปหยิบข้าวของตัวเองวางลงที่โต๊ะ หางตาเห็นแค่ไอคุณชายเดินเข้ามา แต่ผมก็ไม่สนใจแล้ว ตั้งหน้าตั้งตารื้อของในกระเป๋าออกมาจัดวาง ใครไหนจะรู้เลยว่า เห็นผมไม่สบอารมณ์ขนาดนี้ แต่ในใจผมนั้น อายจนไม่มีหน้าไปมองใครได้อีกแล้ว ฮือ



จะโทษใครล่ะ ก็โทษตัวเองไง เริ่มก่อนเองด้วย แถมยังมานั่งเป็นบ้าเป็นบออยู่แบบนี้ ตูอยากจะบ้าตายวันละร้อยรอบ อยากอุดจมูกตัวเองตายไปเฉยๆ เลยได้ไหม



“เฮ้อ นายนี่น้า”  ไอคุณชายที่ไม่รู้มานั่งข้างผมตั้งแต่เมื่อไหร่ จับมือผมแล้วดึงให้ผมหันตัวไปหาเขา ผมขืนตัวไว้ แต่สุดท้ายก็ต้านแรงไม่ไหว เลยต้องเลยตามเลย คราวนี้ต่อให้ผมได้จ้องปากสมใจเลยโดยไม่ต้องแอบมอง แต่พื้นพรมในห้องก็น่ามองกว่าเป็นไหนๆ



“มองหน้าฉัน”  ผมเมินในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด เพ่งมองไปที่พรมอย่างเอาเป็นเอาตาย ให้ตายตูก็ไม่มองหน้ามันหรอกว้อย!



“รัก”  ใจกระตุกเลยทีเดียว



“รัก”  ไม่เคยรู้สึกกลัวชื่อตัวเองขนาดนี้มาก่อน



“ระ…”  ไม่ไหวแล้วว้อย! ไม่รอให้เขาพูดจบ ผมก็หันไปแหวทันที



“นี่ เลิกเรียกซักทีสิครับ! เรียกอยู่ได้”



“ก็บางคนมันไม่หันมาซักที ไอฉันก็ต้องเรียกสิ”  ยังมาทำตาแพรวพรายใส่อีก แม่ง แล้วตูก็แพ้สายตามันอยู่วันยังค่ำ



“แล้วนี่ทำไมถึงรู้ว่าไอแสงมีสัมมนาวันนี้ล่ะครับ อย่าบอกว่าคุณไปหามันมานะ”



“ก็….นั่นแหละ ฉันมีธุระกับเขานิดหน่อย เลยติดต่อไป ก็เลยรู้ว่านายก็จะมานี่ด้วย”  คนตรงหน้าผมเล่าไปลูบมือผมไป มีอะไรน่าลูบวะนั่น



“ไปสนิทกันตอนไหนเนี่ย”



“ก็ตั้งแต่นายหายไปนั่นแหละ ฉันก็นึกว่านายได้ฉันแล้วก็ทิ้ง เพื่อนนายก็สงสารฉันเลยช่วยไง”



“ไอคำว่าได้แล้วทิ้งคืออะไรครับ!”  ผมขึ้นเสียงทันที แต่ไอคุณชายบ้านี่มันคงไม่รู้สึกอะไรอ่ะ ตั้งหน้าตั้งตาหัวเราะอยู่ตรงนั้นแหละ



นี่เป็นครั้งแรกในรอบไม่รู้กี่เดือนที่ผมได้มองหน้าตาที่ผมคุ้นเคยแบบใกล้ชิดอย่างนี้ ดวงตาที่ผมสะดุดใจตั้งแต่แรก ไหนก็ปากแดงๆ ที่ผู้ชายไม่ควรจะมีนี่อีก เป็นใบหน้าที่ผมมองทีไรก็แพ้จริงๆ นั่นแหละ ขนาดนักร้องเกิร์ลกรุ๊ปของเกาหลีที่ผมว่าหลงแล้ว ยังไม่เท่าคนตรงหน้านี้เลย ให้ตายสิโวย!



“มองหน้านี่อยากได้อะไรครับคุณรัก”



“อย่ายื่นหน้าเข้ามาใกล้แบบนี้สิโว้ยครับ!”



“ฮ่าๆๆ ”



“อารมณ์ดีเหลือเกินนะ ไอคนหน้าตายตอนแรกหายไปไหนละล่ะ” ผมอดไม่ได้ที่จะแขวะ



“ถ้าฉันจะแสดงความรู้สึกอะไรออกไปให้ใครสักคนได้รับรู้ คนคนนั้นก็ต้องเป็นคนที่ฉันวางใจ” ไอคุณชายมองตาผมขณะพูด ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ขึ้นอีก ใกล้จนผมเห็นสีตาที่สวยงามคู่นั้น



“.....”



“และคนคนนั้นก็จะต้องเป็นคนที่ฉันอยากจะให้เข้ามาอยู่ในโลกของฉัน.....”



“.....”



“จะไม่ให้ออกไปเด็ดขาดเลย”







โปรดติดตามตอนต่อไป



ฮึ่ยยยยย มันหมั่นเขี้ยวววววว อยากกัดดดด



ใกล้จะถึงความจริงแล้วน้า นิยายที่ดำเนินเรื่องมากว่าปีนิดๆก็จะจบลงแล้ววว อีกไม่กี่ตอนเอง T T

คิดถึงก็ใจหาย แต่รีดเดอร์ทุกคนก็คงอารมณ์แบบ 'รีบๆจบซักที จะดองไปไหน' ใช่มั้ย 555555

อย่าเพิ่งหายไปไหนกันหน่าาาา

 :call:

หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 36!!! (21/2/65)
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 21-02-2022 21:54:09
 :o8: :impress2: :mew1:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 36!!! (21/2/65)
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 10-03-2022 18:14:18
โอยยยยยย เขิน
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 37!!! (5/4/65)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหมีวุ่นวาย ที่ 05-04-2022 18:07:25
ตอนที่ 37
" เรา ต้อง คุย กัน "




" ทุกท่านครับ การรับประทานอาหารในค่ำคืนนี้คุณเนตรขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงทุกคนเองนะคร้าบ แต่เห็นใจดีขนาดนี้ ผมซึ่งเป็นประธานของการจัดสัมมนาในครั้งนี้ ขอบอกก่อนเลยนะว่า ห้ามย้ายไปบริษัทเขาเด็ดขาดเลยนะครับ " เสียงหัวเราะครื้นเครงเมื่อไอแสง หรือท่านประธานของบริษัทที่มันว่าอยู่นั่นพูดจบ ผมฟังแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ ไอเพื่อนผมนี่ เหล้าเข้าปากทีไร แม่งหลุดตลอด



เมื่อประธานกล่าวบทแล้ว จากนั้นพิธีกรที่ได้รับมอบหมายก็ขึ้นมาทำหน้าที่ต่อ ส่วนผมซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับบริษัทมันก็นั่งจุ่มปุกอยู่ตรงโต๊ะมันนั่นแหละ โต๊ะวีวีวีไอพีอ่ะน่ะครับ อิอิ แต่ที่น่าหงุดหงิดคือ



ไอคุณชายนี่มันดันนั่งติดผมเลย ตัวนี่เบียดจนอีกนิดจะอันเชิญขึ้นมาประทับบนหัวผมละครับ แหม่



" นี่คุณ เขยิบไปอีกนิดนึงได้หรือเปล่าครับ เบียดผมขนาดนี้ ผมกินไม่ถนัด " ผมหับไปกระซิบกับไอคนหน้าสวย เอ้ย หน้าตายที่นั่งข้างๆ ผม แต่ก็ไม่นำพาครับ เพราะอีกฝ่ายยังลอยหน้าลอยตาทำเป็นไม่ได้ยิน



" เฮ้ย ไอรัก ไปลีลาศหน่อยปะวะ ครั้งนี้บริษัทกูมาในธีมยุค 90 นะเว้ย " เออ ไม่น่าล่ะ ตอนที่ใกล้จะถึงเวลาเปิดงาน มันเอาชุดสูทธรรมดามาให้ผมใส่นั่นแหละ แต่ที่ไม่ธรรมดาคือดันเป็นลายสก็อตสีฟ้าสดใสเลยล่ะครับ จะให้เปรียบกับท้องฟ้า ผมก็อายเหลือเกิน แต่ทำไงได้ล่ะ ผมซึ่งมีจุดมุ่งหมายมาแดกฟรีอย่างเดียวก็ใส่ๆ ไป นึกว่ามันเป็นชุดที่เขาใส่ทั่วไปตอนมาออกงานสัมมนา นี่ถ้าผมไม่เกิดมาขาวคือดับได้เลยนะ บอกเลย



แต่ที่น่าอิจฉาคืออะไร ก็ไอคนหน้าไม่อายที่นั่งข้างผมนี่แหละ ชุดสูทก็ใส่มาเหมือนกับผม แค่คนละสี ของเขามันเป็นสีกาแฟ แต่พอมาอยู่บนร่างนี้แล้วทำไมออร่ามันพุ่งไปไกลเกินร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมงขนาดนี้ล่ะวะ มันอยุติธรรม! ยอมไม่ได้โว้ย!



" เออๆ เดี๋ยวเดินออกไป ละมึงจะไปไหนเนี่ย ไม่ติดโต๊ะเลยนะ "



" เออน่ะ กูมีคนให้ต้องตาม " ว่าแล้วมันก็รีบเดินลิ่วๆ ไป ผมยังไม่ทันถามให้หายสงสัยเลย ไปติดสาวที่ไหนอีกละนั่น



" ว่าแต่คุณเถอะ ไม่ออกไปเต้นหน่อยเหรอครับ นี่ผมจะโดนอานิสงค์จากการลวมลามทางสายตาของคนรอบโต๊ะเผื่อเเผ่มาด้วยละครับ " ผมเลิกสนใจเพื่อนตัวเอง ละหันไปถามคุณเนตรที่ฮ็อตฉ่าเป็นกระทะร้อนของงานนี้จริงๆ



" รอนายขออยู่ " คำตอบของคุณท่านนี่น่าจับต่อยให้หน้ามีสีซะจริง



" งั้นรอไปเถอะครับ ผมจะออกไปหาสาวเต้นด้วยละ " ผมขยับตัวจะลุกขึ้น แต่ยังไม่ทันที่ขาผมจะก้าวออกไป คนที่รอผมขออยู่ก็ดึงมือผมโดยที่ผมยังไม่ทันตั้งตัวลากดุ่มๆ ท่ามกลางสายตาของคนเป็นกองทัพ รู้ตัวอีกทีผมก็มาอยู่ตรงใจกลางฟลอร์เต้นแล้ว ซึ่งไอผู้ร้ายนี่ทำหน้าตายอยู่ตรงหน้า แต่สายตามันนี่สิ



นี่มันโจรในคราบเจ้าชายชัดๆ!



" นี่คุณ! ลากผมมานี่ทำไมครับ " ผมรีบสะบัดมือออก แล้วจะเดินออกจากจุดสนใจของคนรอบข้างตรงนี้ แต่ไอโจรนี่ยังยึดมือผมครับ มันไม่ยอมให้ผมออกไปครับ อยู่ๆ ขนที่ผมไม่ค่อยจะมีก็พลันลุกพรึบทั่วร่างกาย ผมรู้สึกถึงสายตาของบรรดาเพศแม่ที่นั่งอยู่รอบข้างลุกเป็นไฟบรรลัยกัลป์ กูจะโดนแดกไหมเนี่ย โอ้ย ม๊าช่วยด้วยยย ผมอายจะตายแล้ว



" เดี๋ยวก่อนสิรัก เต้นกับฉันซักเพลงนะ " ผมรู้สึกเกลียดตัวเองที่แพ้สายตาของมันเหลือเกิน



สุดท้ายผมก็ต้องมายืนก้าวขาหยุดก้าวขาหยุดไปกับไอคุณชายเนี่ย ไม่นึกไม่ฝันว่าวิชาลีลาศที่ผมได้คะแนนสอบเต็มจากทักษะความพริ้วของร่างกายนี่จะได้ใช้กับคนที่ไม่คาดคิดอีกต่างหาก ผมรับรู้ถึงสายตาของคนที่เต้นกับผมจ้องมองอยู่ตลอด แต่ก็เลือกที่จะจ้องลำคอเขาแทน สบายใจกว่าเยอะ



เสียงเพลงจังหวะหวานๆ เปิดคลอไปด้วยทำให้บรรยากาศทั่วงานดูจะโรแมนติกไปเลยทั้งๆ ที่ก่อนหน้าเสียงโวกเวกดังไปทั่ว ตรงบริเวณไม่ไกลจากที่ผมกับคุณเนตรยืนเต้นอยู่นี้ ก็มีคนมาเต้นหลายคู่ แต่คงไม่มีคู่ไหนที่กล้าเข้ามาเต้นใกล้เราเกิน 2 เมตร ไม่รู้เพราะรังเกียจ หรือเขินอาย ผมว่าน่าจะเป็นอย่างหลังซะมากกว่า เพราะไม่ว่าคู่ไหนก็มีเหลือบมองมาทางนี้อยู่เป็นพักๆ แล้วกลับไปทำหน้าฟิน มันคืออะไรกันครับ เป็นผมเป็นตัวตลกเหรอ โธ่ถัง



ก็เลยทำให้คู่ของผมนั้นเด่นเกินจะหาใครเทียบจริงๆ โดยที่คู่เต้นที่อยู่รอบๆ กลายเป็นตัวประกอบในฉากได้อย่างง่ายดาย ระดับนี้แล้ว คู่พระนางของ ลา ลา แลนด์คงต้องถอยเวทีให้คู่ผมละล่ะฮะ



จริงๆ แล้วผมก็แปลกใจที่ตัวเองไม่ได้นึกรังเกียจอะไรกับการที่ถูกลากมาเต้นนะ แถมยังรู้สึกดีอีกต่างหากที่เขาเลือกที่จะเต้นกับผมแทนที่จะเป็นผู้หญิงสวยๆ ที่กำลังรอเขาเข้าไปขอเต้นรำ โว้ย ยิ่งคิดก็ยิ่งน่าอายที่ตัวเองมีความคิดเปรียบเทียบกับผู้หญิง!



" เป็นอะไร สะบัดหัวซะเเรง หมุนจนมึนหัวเหรอไง "



" เปล่าครับ " ผมตอบแบบอ้อมๆ แอ้มๆ ใครจะไปกล้าบอกล่ะวะ ว่าเพราะเอ็งน่ะ



" เมื่อยยัง ไปหาที่เงียบๆ นั่งคุยกันไหม " ผมรีบเงยหน้าขึ้นมองคนชวนทันที ประโยคแบบนี้นี่เหมือนเคยได้ยินจากในละครที่ม๊าชอบดู ไม่คิดว่าชีวิตจริงจะโดนพูดแบบนี้ใส่ด้วย เอาเข้าจริงคือไม่คิดว่าจะโดนผู้ชายขอเต้นรำอ่ะนะ ถ้าไม่นับตอนเรียนนะ



" กล้ามองหน้าฉันแล้วเหรอ "



" ใครบอกผมไม่กล้าล่ะครับ "



" ก็ใครซะอีกอ่ะ จ้องแต่คอฉัน จนฉันนึกว่าอยากจะสิงคอฉันละ " ไอคุณชายหัวเราะเบาๆ



" เหอะ ก็ใครใช้ให้คุณตัวสูงชะรูดกันล่ะ ระดับสายตาผมมันก็เท่านี้อ่ะ "



" เราออกจากที่นี่กันเถอะ " ตัดประเด็นเสร็จ คุณเขาก็ลดมือลงแล้วกลับสู่สภาพเดิมอีกครั้งคือฉุดกระชากลากถูกผมออกจากลานเต้นไป โดยมีสายตารอบข้างจ้องเหมือนเดิม จุดสนใจจริงๆ ให้ตายเถอะ



" คุณจะพาผมไปไหนเนี่ย "



" ก็ไปหาที่เงียบๆ คุยกันไง "



" คุณจะคุยอะไรก็ไปคุยที่โต๊ะได้นี่ครับ! " แต่เหมือนคนฟังมันจะหูตึงไปชั่วขณะ ก็ยังจะดั้งด้นลากผมต่อไป เออ! ลากไปให้แตะขอบฟ้าเลยนะ แม่ม



ผมมัวแต่อารมณ์บูดไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัว จนตัวเองถูกพามาที่ลานแห่งหนึ่ง ส่วนไหนของรีสอร์ตก็ไม่รู้ รู้แต่มันเวิ้งมาก มองไปรอบๆ คือมืดไปหมด แต่มีแสงไฟสีส้มเป็นระยะๆ และเก้าอี้ไม้ตั้งตามทางเดิน สรุปแล้วคนลากผมมานี่จะลากมาคุยหรือฉุดมาทำมิดีมิร้ายนี่ก็คาดเดาไม่ได้เลยจริงๆ



" ฉันไม่ได้พานายมาทำอะไรหรอกน่า ทำท่าทำทางซะ " นั่งทางในเก่งจริงวุ้ย



" ผมก็ไม่ได้กลัวซะหน่อย "



" ปากแข็งเก่ง ฝึกมาจากไหน จะได้ไปเรียนมั่ง "



" ถามมั่ง แล้วทำไมเดี๋ยวนี้คุณกวนจัง ไปทำอะไรมา "



" ก็ไม่ได้ทำอะไร แค่ตัวตนของฉันก็แบบนี้แหละ " เหรอวะ เห็นหน้าตายแบบนี้ไม่ยักจะรู้ว่ามีเชื้อกวนตีน



ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แต่หันไปรับลมเย็นๆ ที่พัดมาเป็นระยะๆ แทน เขาใหญ่กลางคืนนี่มันเย็นเหมือนกันนะ ทั้งๆ ที่กลางวันร้อนแดดเปรี้ยงซะขนาดนั้น ผมมาที่นี่นับครั้งได้เลยเพราะเมื่อก่อนตอนที่ยังมีงานมีการทำไม่ค่อยว่างหรอก มัวแต่ไปให้เขาโขกสับอยู่นั่น ก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน พอได้มาสถานที่กลางป่ารายล้อมด้วยหุบเขาแบบนี้มันทำให้ผมรู้สึกดีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน



หรือว่าเพราะคนข้างๆ นี่กันวะ



" ทำหน้าสยองอีกละ นายนี่วันวันนึงกะจะมีซักกี่อารมณ์กัน " โอเค หมดมู้ดละครับ



" ละคุณจะมาจ้องหน้าผมทำไมกันล่ะครับ นู่น วิวสวยๆ เยอะแยะก็มองไปสิ "



" หึ เขินเหรอ "



" เขินก็บ้าแล้วครับ ผมผู้ชายนะ จะมาเขินกับแค่โดนผู้ชายจ้องหน้าแค่นี้ได้ไง " ยกเว้นคุณคนนึงนะ ฮือ เขินอยู่ในใจเป็นหมื่นล้านกระบวนท่า แต่แสดงออกไปไม่ได้ซักนิด



" แต่ฉันกลับไม่คิดแบบนั้นนะ "



" แล้วคิดยังไงล่ะครับ "



" ไม่รู้สิ เอาจริงๆ ฉันก็ไม่ได้ชอบผู้ชายหรอกนะ ที่ผ่านมาก็มีแฟนเป็นผู้หญิงมาตลอด ก็มามีแต่นายเนี่ยแหละที่ผิดแผกไปจากคนที่แล้วๆ มา "



" เดี๋ยว คุณมั่วแล้ว ไปรวมผมอยู่ในบรรดาสต็อกของคุณได้ยังไง "



" ก็... " อยู่ๆ ผมก็รู้สึกถึงพลังงานบางอย่างที่กำลังเข้ามาใกล้ผม



" เอ่อ ก็ อะไรครับ "



" ก็...เป็นตอนนี้เลยได้ไหมล่ะ "



" ปะ เป็นอะไรครับ "



" ก็ แฟนไง "



ปิ๊ง ปิ๊ง (กระพริบตาสองที)



เอาไอสายตาหวานๆ ที่น่าหวาดกลัวนั่นออกไปเดี๋ยวนี้นะเว้ย!



" ผม...ไม่รู้ครับ เดี๋ยวเราเข้าไปในงานดีกว่านะครับ เดี๋ยวไอแสงมันหาเราไม่เจอ ฮ่าๆ " กูไม่รู้ กูกูู้สถานการณ์ที่ทำให้ใจผมเต้นท่าบ้าบอแบบนี้ด้วยหัวเราะไปก่อน เคยได้ยินไหมครับ หัวเราะกลบเกลื่อนน่ะ



" ไอแสงเพื่อนนายน่ะเหรอ "



" ใช่ครับ ไอนี่มันยิ่งชอบเป็นห่วงผมอยู่ เดี๋ยวมันไม่เจอผมจะอาละวาดงานแตกเอา " ไถจนเนื้อหลุดละกู ขอโทษนะไอแสงเพื่อนรัก ถึงตัวมึงจะไม่อยู่ แต่ก็ช่วยกูก่อนละกันนะ



" อืมมม ก็เห็นตามติดพนักงานตัวเล็กๆ คนนึงอยู่โน่นน่ะ " ไอคุณชายบุ้ยหน้าไปอีกทางที่มืดพอๆ กัน เห็นไอแสงยืนกระหนุงกระหนิงกับใครสักคนอยู่ ด้วยระยะทางที่ไกลและแสงสว่างอันน้อยนิด ทำให้ผมมองไม่ชัดว่าใคร ไอคุณชายแม่งเห็นได้ไงวะ แต่ว่าก็คุ้นๆ อยู่นะ



แต่เดี๋ยวก่อน ไอเพื่อนผมนี่มันไปติดเด็กที่ไหนกันวะนั่น ตั้งแต่เมื่อไหร่กันวะ! (โมโหกลบเกลื่อนอีกแล้ว)



" เอ้อ นั่นแหละ เรากลับกันเถอะครับ " ผมก็ยังยืนยันคำเดิมครับ กลบเกลื่อนเท่านั้นที่เอาตัวรอดได้



" ไม่ นายต้องตกลงกับฉันก่อน "



" แต่ว่า..."



" เรา ต้อง คุย กัน ก่อน " ครับ เจ้าชะตาชีวิตได้ชี้ขาดแล้วล่ะครับ



โอเค๊ คุยก็ได้เว้ย



" เอาเลย ว่ามาเลยครับ จะให้ตกลงอะไร "



" เป็นแฟนกัน "



" ได้ เอ้ย! เดี๋ยวก๊อน ขอกันง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอครับ " ลิ้นผมพลิกไม่ทันเลยครับคุณ



" ง่ายๆ แบบนี้แหละ นายมันบื้อ ไม่เข้าใจซักที "



" แต่ผมเป็นผู้ชายนะ "



" แล้วไง ฉันก็เป็นผู้ชาย "



" ตะ แต่คุณเป็นไฮโซนะ แถมสังคมก็กว้างขวาง จะมาคบผู้ชายอย่างผม มันจะดูไม่ดีเอานะครับ " ผมพูดเสียงอ่อย เพราะรู้ดีว่ามันเป็นเรื่องจริง ถึงแม้เนื้อผมจะเต้นเป็นจังหวะสามช่าตั้งแต่ได้ยินคำว่าแฟนแล้วก็ตาม น่าเกลียดจริงๆ วุ้ย จิตใต้สำนึกกูเนี่ย



" ฉันเป็นแค่นักธุรกิจธรรมดานะ ไม่ใช่เจ้าชายมาจากไหน ทำไมจะคบผู้ชายไม่ได้ " ทำไมวันนี้มันขี้เถียงจังวะเนี่ย!



" ก็...นั่นแหละครับ แล้วพ่อแม่คุณจะไม่ว่าเหรอ แบบนี้ "



" พ่อแม่มีเหตุผลกับฉันเสมอ เพราะฉะนั้นถ้าเราคบกันแล้ว เราจะต้องไปอธิบายให้พวกท่านฟังด้วย "



" นี่เราจะข้ามขั้นไปถึงด่านพ่อแม่เลยเหรอครับ " เราจะเริ่มเล่นเกมเป็นแค่ตัวเกมส์สกิลกากๆ เเล้วข้ามไปตีบอสด่านสุดท้ายไม่ได้นะเว้ย!



" ด่านอะไรของนาย พ่อแม่ฉันท่านก็กันเอง ตอนที่นายเดี้ยงอยู่โรง'บาล เขาก็เคยไปเยี่ยมนายนะ "



" แต่... "



" ไม่ต้องแต่แล้ว นายมันทั้งบื้อทั้งดื้อ เป็นแฟนฉันนั่นแหละ จะได้ลงโทษได้ซักที คันไม้คันมือนานละ " ไอท่าทางถูมือแล้วทำหน้าทำตาจะเขมือบตัวผมนั่นคืออะไร



ฮือ ทำตัวไม่ถูกเลย เกิดมาก็เพิ่งเคยเจอคนขอเป็นแฟนแบบรวบรัดขนาดนี้แหละ คือไม่ต้องถามคำตอบกันก็ได้มั้ง ถ้าจะบังคับตัดจบกันขนาดนี้













" ไอรัก "



" .... "



" ไอรักโว้ย!!! "



" เฮ้ย อะไรวะ! " ผมสะดุ้งตกใจตอนเพื่อนผมตะโกนใกล้ๆ หู ไอบ้านี่ เล่นพิเรนท์ห่าอะไรของมันวะ ใจหายใจคว่ำหมด ผมลูบอกตัวเองเบาๆ



" ก็เรียกตั้งนานแล้ว มัวแต่เหม่อจนแมลงวันจะบินเข้าปากละ สงสารแมลงวัน "



" โห มึงเพื่อนกูหรือเปล่าวะ สงสารแมลงวัน ไอคนเหี้ย "



" เกิดมามีชีวิตแค่แปปเดียว แล้วยังโดนล่อลวงให้บินเข้าปากมึงอีก แค่นี้ก็ไม่รู้จะสงสารขนาดไหนแล้ว " มึงพูดแบบนี้ ตบกบาลกูยังจะรู้สึกดีกว่าอีก ไอเวง



" แล้วมีอะไรถึงมาวอแวกูได้เนี่ย แล้วเด็กมึงไปไหน " ผมหันซ้ายหันขวามองหาเด็กมันที่เมื่อวานเห็นแวบๆ ตอนที่ผมโดนไอคุณชาย ขอ เอ่อ นั่นแหละ ไม่พูดถึงละกระดากปาก (เขินก็ไม่กล้าพูดหรอก)



เมื่อคืนนี้หลังจากฉากนั้นปุ๊ปผมก็ไม่ได้ตอบอะไรเขาไป แต่คำตอบก็คงกึ่งๆ ยอมรับไปแล้วนั่นแหละ ผมก็ไม่กล้ามองหน้าเขาอีกเลย ให้ตายเถอะตูอยากร้องไห้ มันน่าอายอะไรเช่นนี้ หลายๆ คนคงคิดว่าผมเล่นตัวอะไรประมาณนี้ใช่ไหมล่ะ ผมเดาออกเถอะ



ซึ่งเมื่อเช้าคุณเนตรตื่นแต่เช้า ผมจำได้แต่ว่าผมนอนอยู่แล้วโดนปลุกเบาๆ ช่วงเวลาที่สะลึมละลือนั้นก็ได้ยินเเต่เสียงนุ่มๆ ทุ้มๆ ให้ความรู้สึกดีเหมือนเสียงกล่อมนอน (อย่าถือสาความง่วงผมเลยครับ) จับใจความได้แค่ว่าเขาจะขอกลับก่อน ต้องเข้าบริษัทอะไรนี่ล่ะ จากนั้นก็เงียบๆ ไปแล้วผมก็มีความรู้สึกอุ่นๆ ที่ตรงหน้าผาก พอเสร็จภาพก็ตัดไปอีกประหนึ่งทีวีโดนดึงปลั๊กออก



พอผมตื่นขึ้นมาอีกทีหนึ่งก็ไม่เห็นร่องรอยของไอคุณชายแล้ว แต่เห็นข้อความในไลน์ที่ส่งมาตั้งแต่เช้าจากไอคุณชายตามที่ผมบอกไปข้างต้นนั่นแหละ ตอนนี้ผมเลยมานั่งแกร่วอยู่ตรงแถวห้องอาหารของรีสอร์ต โดยมีไอแสงมาวุ่นวายนี่แหละครับ



" เด็กอะไร มึงอย่ามามั่ว " แหมมมมมม ไปถึงดาวอังคารได้เลยนะผมอ่ะ



" ก็เมื่อวานกูเห็นอยู่ตรงสวนแถวๆ ที่จัดงานเมื่อวานนี่แหละ ถึงกูจะสายตาสั้นแต่กูจำได้ว่าร่างถึกๆ ควายๆ นั่นคือมึง "



" ก็...เออนั่นแหละ แล้วคุณเนตรเขาไปแล้วเหรอ " หึๆ ผมทำหน้ากรุ่มกริ่มจนไอแสงหูแดง ฮ่าๆ ดำๆ อย่างมึงยังหูแดงได้อ่ะ คิดแล้วกันว่ามันเขินขนาดกลบเม็ดสีตัวเองได้เลย



" เดี๋ยวกูตบคว่ำ มึงเลิกทำหน้างี้ได้แล้ว "



" ก็บอกกูมาก่อนดิว่าน้องคนนั้นเขาเป็นใคร "



" ก็คนนั้นอ่ะแหละ มึงก็เคยเห็น เคยไปบ้านมึงด้วยไง " มันพูดอ้อมแอ้ม แต่เดี๋ยวก่อนนะ น้องคนที่เคยไปบ้านผม แล้วผมเคยเห็น ก็มีอยู่คนเดียว...



" เฮ้ย! น้องเมฆคนนั้นอ่ะเหรอ "



" เออ นั่นแหละ "



" เชี่ยย มึงเปลี่ยนเเนวเหรอวะ " ผมตกใจเสียงดังจนไอแสงเอามือมาอุดปากผม จนผมเพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองช็อคเกินเบอร์จริงจัง



" มึงเบาๆ ดิไอเหี้ย ที่บ้านกูยังไม่รูัเลยเนี่ย " ขอผมช็อคแปป ไอแสงที่ผมรู้จักดีคือคนที่ม้อหญิงไปเรื่อย เปลี่ยนหญิงบ่อยขนาดที่ตัวเองยังจำชื่อได้ไม่หมด คนนั้นอ่ะนะ โอ้มาย



" มึงกูช็อค "



" มึงอย่าเวอร์ได้ไหมเนี่ย "



" อ้าว ก็จริงๆ อ่ะ ใครจะไปคาดคิดวะ "



" ก็เหมือนมึงไง " จึกเลยครับท่าน



" เออๆ กูเข้าใจมึง ไม่เป็นไรหรอกมึง กูยังเครียดเลยตอนนี้เนี่ย "



" เครียดอะไรวะ กูก็เห็นมึงดี๊ด๊าออก แฟนมาเซอร์ไพรส์ อิอิ " อิอิ พ่องง



" มึงคิดดูนะ ที่บ้านกูยังไม่เท่าไหร่ ที่บ้านไอคุณเนตรเนี่ยดิ กิจการก็ใหญ่โต มีหน้ามีตาในสังคมกว้างขวางขนาดนั้น แล้วคุณเนตรนี่ก็ค่อนข้างเป็นที่รู้จักในสังคมอีก ถึงแม้เขาจะทำตัวเหมือนคนกลัวกล้องก็ตาม "



" กูก็เข้าใจมึงนะที่มึงจะเครียดอ่ะ แต่มึงต้องคิดแบบนี้นะ ตัวมึงก็ไม่ได้แย่ ไม่ได้ถึงขนาดที่คนอื่นจะต้องดูถูกเปล่าวะ ที่บ้านมึงก็มีกิจการ มีเงิน ตัวมึงก็โอเคดี ดูแลตัวเองและที่บ้านได้ แล้วมึงจะคิดมากอะไรวะ "



" ก็นั่นแหละ แต่แบบกูก็ยังกลัวอยู่ดีว่าสังคมของเขาจะไม่ยอมรับกู " ผมลูบมือตัวเองไปมา ตามประสาคนคิดมาก



" แล้วมึงจะสนใจสังคม คนภายนอกทำไมล่ะ เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของมึงสองคน ถ้าที่บ้านมึงและคุณเนตรมึงยังไม่มีใครเดือดร้อน แล้วมึงจะกลัวน้ำปากคนอื่นทำไม " ผมฟังอย่างใช้ความคิด



มันก็เป็นเรื่องจริงอย่างที่ไอแสงว่านั่นแหละ จริงๆ ผมก็ไม่ควรมานั่งเครียดก็ถูก มันควรจะเป็นเรื่องที่ผมกับไอคุณชายต้องมานั่งฟันฝ่ามันไป ถ้าเราจำเป็นต้องทำจริงๆ อ่ะนะ



" แล้วอีกอย่างนะ การคบกันของมึงสองคนมันไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนซะหน่อย มึงก็ไม่ได้ทำตัวเหลวแหลก เกาะเขากินหรืออะไรนี่หว่า มึงจะกลัวทำไม มั่นใจหน่อยดิ "



โหย ซาบซึ้ง



ขอผมซาบซึ้งหน่อยเถอะ



" ทำหน้าเหมือนลูกหมาขอส่วนบุญเลยว่ะ กูขนลุก "



เวรเถอะ




โปรดติดตามตอนต่อไป


มาแว้ววววว นี่เร่งสปีดแบบสุดยอดแล้วนะ

อย่าเพิ่งด่ากันนน 55555

อีกไม่กี่ตอนเองก็ใกล้จะจบแล้ว

(คนอ่านบอกกูรอจะรากงอกละโว้ยยยย)

 :katai4:

หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 37!!! (5/4/65)
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 05-04-2022 20:12:45
 o13 :mew1: :o8:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 37!!! (5/4/65)
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 15-05-2022 14:01:20
เป็นแฟนแล้ว
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 37!!! (5/4/65)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหมีวุ่นวาย ที่ 16-05-2022 13:44:29
ตอนที่ 38
" บุกบ้าน 'แฟน' "





หลังจากเหตุการณ์การขอเป็นแฟนอย่างลุ่นระทึก ณ ลานมืดๆ ไร้คนของรีสอร์ตที่เขาใหญ่ในวันนั้น ก็ผ่านมาสองอาทิตย์ได้แล้วครับ ไอตัวร้ายที่ปล่อยผมใจเต้นเป็นจังหวะเพลงเปิดงานซูเปอร์โบวล์ของคุณแม่เจโล ก็ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ๆ จะมาหาถึงที่บ้านก็มา แถมคนในบ้านผมยังรู้เห็นเป็นใจอีกต่างหาก

 

นี่มันเข้าข่ายมีหนอนบ่อนไส้ชัดๆ ให้ตาย

 

จนตอนนี้เขาได้กลายเป็นขวัญใจของที่บ้านผมไปแล้วเรียบร้อยครับ ไม่เว้นแม้แต่ป๊าของผมที่ดูจะโหด นิ่ง ขรึม และไว้ท่าหน่อยๆ ก็ยังโดนออร่าความเจ้าเล่ห์ เอ้ย ความละมุนละไมวันทาของเจ้าตัวโจมตีไม่เหลือ ก็เล่นหอบหิ้วของต่างๆ นาๆ ที่ป๊าผมชอบมาให้แบบนี้ ไม่รู้ไปสืบมาจากไหนว่าชอบ ขนาดของบางอย่างที่ผมเห็นเขาหิ้วมา ยังเพิ่งรู้เลยว่าป๊าชอบ ไอนี่มันคนจริงจริงๆ

 

หลังจากนั้นก็เข้าง่ายออกง่ายประหนึ่งเป็นบ้านหลังที่สองของเจ้าตัวไปเลย จบแบบสวยงามในคราบน้ำตาของผมคนซวยคนนี้นี่เอง

 

 

ติ้ง ติ้ง


 
คุณชายเจ้าปัญหา

‘ ทำอะไรอยู่ที่รัก? ’ 16:22 pm

 

 
ตายยากจริมๆ
 

 

‘ ที่รักอะไร สยอง! ’

 

‘ โหย เสียใจอ่ะ โดนที่รักพูดแบบใส่ ’

 

‘ เหอะ แล้วนี่กินข้าวยัง ’

 

‘ ยังเลย แต่ว่าจะชวนนายไปกินข้าวด้วยกัน ’  หืม เดี๋ยวก่อน เกือบจะหกโมงเย็นแล้วจะชวนไปกินอะไรอีกนี่

 

‘ ตอนนี้เลยเหรอ ’

 

‘ ใช่ และช่วยเปิดประตูให้หน่อยครับ ฉันอยู่หน้าบ้าน ’  เฮ้ยยยย พักก๊อนน มึงจะมาถึงหน้าบ้านโดยไม่บอกกูก่อนแบบนี้ไม่ได้นะโว้ย

 

ผมรีบกระวีกระวาดลุกจากที่นอนไปเปิดประตู แล้วรีบวิ่งลงไปข้างล่างอย่างว่องไว ทำลายสถิติการวิ่งที่เคยทำมาทั้งชีวิต จนมาเห็นไอบ้านี่มันกำลังเดินเข้ามาในบ้าน



โดยคนเปิดประตูคือแม่ตัวเอง!
 

 
เจ้าตัวยิ้มร่ามาแต่ไกล ออร่าความหล่อนี้พุ่งพร่านจนทำให้พี่สาวและแม่ของผมที่นั่งอยู่ไม่ไกลเคลิ้มกันเลยทีเดียวเชียว กูล่ะหมั่นไส้มึงจริงๆ กับคนที่บ้านกูก็ไม่เว้นนะ ไอหน้าหล่อ

 

" คุณแม่ครับ ผมขออนุญาตพารักไปกินข้าวนะครับ "

 

" อุ้ย ได้เลยจ้ะ ไม่ต้องเกรงใจ แต่ถ้าจะค้างก็บอกม๊าก่อนนะจ๊ะลูก " โดยที่ลูกบังเกิดเกล้าของตัวเองยืนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ตรงนี้ คุณแม่ทำอะไรลงไป๊

 

" ได้เลยครับคุณแม่ งั้นผมไม่เกรงใจแล้วนะครับ " แล้วก็จบประโยคด้วยรอยยิ้มงามๆ หนึ่งที เดินตรงเข้ามาคว้าผมเดินออกไป แล้วก็ไม่ลืมเอาของฝากที่้ข้างในเป็นอะไรก็ไม่รู้ยื่นให้ม๊าผม แต่ที่รู้คือคนรับของยิ้มหน้าบาน หลังจากนั้นก็เดินออกมา เปิดรถ ยัดตัวผมลงไป แล้วเจ้าตัวก็จัดการพาตัวเองเข้ามานั่งในรถเสร็จสรรพและสวยงาม

 

ที่สำคัญสัมภารกในชีวิตกูกระเป๋าตังกูยังอยู่บนห้องครับ ชีวิต

 

" สรุปคุณจะพาผมไปไหนเนี่ย " ผมที่เพิ่งจะหาเสียงและสติตัวเองเจอเอ่ยถามไอตัวต้นเหตุที่นั่งอยู่ฝั่งคนขับ

 

" ไปเจอพ่อกับแม่ " นั่น สติที่เพิ่งย้อนคืนได้วิ่งหายออกไปอีกแล้วครับท่าน

 

" เฮ้ย! มะ ไม่ได้ดิ ทำไมไม่บอกผมก่อน "

 

" ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ใจเย็นๆ ตะโกนซะฉันตกใจหมด " ต้องเป็นผมไหมที่ต้องตกใจ ฮือ ก้มดูสภาพตัวเองที่ไม่ได้ดูดีอะไรเลยวันนี้ เพราะทำงานหัวฟูมาตั้งแต่เช้า

 

" คุณพาผมไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนได้หรือเปล่า อย่างน้อยก็ให้ผมอาบน้ำก่อนก็ยังดีนะ "

 

" ไม่ต้องหรอก แบบนี้ก็ดูดีแล้ว " แล้วเจ้าคนบงการชีวิตก็หันมายิ้มพิมพ์ใจให้ แต่คราวนี้ผมไม่หลงกลหรอกโว้ย

 

" ขอร้องแหละ ให้ผมมั่นใจซักนิดก็ดี นี่ไปเจอพ่อแม่แฟนเลยนะ "

 

" เขินเลยแฮะ ได้ยินนายพูดชัดๆ แบบนี้ครั้งแรก "

 

" เออนั่นแหละ ให้ผมไปจัดการตัวเองก่อน โอเคนะ " พูดไปก็เริ่มเขินไปเหมือนกันแล้วเหมือกัน บ้าบอ

 

" ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันแวะคอนโดของฉันให้ แต่นายต้องรีบหน่อยนะ เพราะพ่อแม่กับน้องชายฉันรอเราอยู่ "

 

" นี่คือกะจะเปิดตัวเลยใช่ไหมแบบนี้ ไม่ทันให้ผมตั้งตัวเลย "

 

" ก็นะ แฟนฉัน ทั้งที ฉันก็ต้องรีบสิ "

 

โอเค เข้าใจพร้อมกัน (แดง) ทั่วหน้า ลาก่อย

 

 

 

 

 
หลังจากขัดสีฉวีวันที่คอนโดของคุณเนตรเรียบร้อย เราก็พากันฟันฝ่าความแน่นหนาของรถตอนเวลาคนเลิกงานมาได้เรียบร้อยครับ แล้วตอนนี้...

 

เราก็อยู่หน้าบ้านไอคุณชายเป็นที่เรียบร้อยครับท่านผู้โชมมม

 

ถึงบรรยากาศที่บ้านของที่นี่จะกันเองขนาดไหน กูไม่รู้ครับ กูเกร็งสู้ไว้ก่อน ฮือ

 

" อ้าว เนตร หนูรัก มากันแล้วเหรอ " หญิงวัยกลางคนซึ่งเป็นคุณแม่ของคนข้างตัวผมนั่นเองเอ่ยทักเมื่อเห็นพวกผมเดินเข้ามาในตัวบ้าน ผมไหว้สวัสดีงามๆ เผื่อจะสามารถเรียกคะแนนได้ ซักนิดก็ยังดี อีกฝ่ายรับไหว้แล้วยิ้มใจดีส่งมาให้

 

" ครับแม่ แล้วนี่รอกันนานไหมครับ "

 

" ไม่นานเลย นี่แม่กับป้าอุ่นเพิ่งจะยกกับข้าวมาวางบนโต๊ะเอง เนตรพาน้องไปวางของ ล้างมืออะไรให้เรียบร้อยไป พ่อกับน้องรออยู่ที่โต๊ะแล้ว " ฮือออ พอคุณน้าพูดถึงพ่อ ร่างกายผมก็เกร็งขึ้นมาทันทีทันใด ราวกับรู้ชะตากรรมกันเลยทีเดียว

 

เหมือนไอคุณชายจะรับรู้ถึงความไม่สบายใจของผม เลยจับมือผมไว้ ผมหันขึ้นไปมองหน้าขาวๆ ของเจ้าตัวแล้วแบะปากทีหนึ่ง อีกฝ่ายก็ไม่นำพาความเศร้าของผมเลย แถมหัวเราะให้ผมอีกต่างหาก คนมันเครียดอยู่นะเว้ย!

 

" ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ต้องกังวล ทำตัวตามสบายเถอะ นายน่ารักอยู่แล้ว ใครๆ ก็ต้องชอบ " ในนาทีนี้ ต่อให้ชมผมเยอะขนาดไหน ผมก็ลอยไม่ขึ้นแล้วล่ะ

 

" แต่ถ้าที่บ้านคุณไม่ชอบล่ะ ผมต้องทำยังไง " คนตรงหน้าไม่ตอบอะไร แค่ย่อตัวจนหน้าของเขาเสมอกันกับผม มองผมด้วยสายตาที่ชอบทำให้สติสตังหายเหลือเกิน ก่อนจะเผยรอยยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก มือเอื้อมมาแตะแก้มผมแล้วลูบเบาๆ

 

" ฉันก็จะทำให้ชอบเอง นายไม่ต้องห่วง "

 

น่าแปลกที่ความกังวลในใจของผมมันถูกพัดปลิวออกไปหมดเลย

 

พลังของเขานี่มันร้ายกาจจริงๆ

 

 

 

 

 

 

 

" หนูรักกินกับข้าวจานนี้สิลูก ป้าอุ่นเขารู้ว่ารักชอบเลยทำให้เป็นพิเศษเลยนะ "

 

ผมเพิ่งจะรู้จักป้าอุ่นก็ตอนที่ไอคุณชายพาผมมาที่โต๊ะทานข้าว ซึ่งมีพ่อและน้องชายของคุณเนตรที่ชื่อนันท์ ผมเคยเจอทั้งคู่มาแล้ว เหลือแต่ป้าอุ่นที่ผมเพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก หญิงวัยกลางคนเหมือนกันกับคุณน้า แต่น่าจะมีอายุเยอะกว่า ท่าทางปราดเปรียวซึ่งดูก็รู้ได้ทันทีว่าแข็งแรงมาก เดินออกมาต้อนรับผมอย่างเป็นกันเอง จนผมรู้สึกว่ากำลังคุยกับคนในบ้านของตัวเองจริงๆ ป้าอุ่นเป็นคนจูงมือผมมานั่งที่โต๊ะ แถมยังกระซิบปลอบใจผมอีกต่างหากว่าไม่ต้องกลัว ราวกับรู้ใจผมจริงๆ

 

" อร่อยมากครับคุณน้า ขนาดผมว่าม๊าผมว่าทำอร่อยแล้ว เจอของป้าอุ่นนี่สงสัยผมคงต้องขอพึ่งท้องไว้ที่นี่แทนแล้วล่ะครับ " คุณน้าฟังแล้วหัวเราะออกมาทันที

 

" ดีเลยครับพี่รัก มาบ่อยๆ เลย ผมจะได้มีเพื่อน นี่ตั้งแต่กลับมาอยู่บ้าน ผมก็ไม่ได้เจอเพื่อนเลย เง้าเหงา " นันท์ที่นั่งข้างๆ ผมทำท่าทางเหมือนจะมากอด แต่โดนมือขาวๆ ที่เอื้อมมาดันตัวออกไป ซึ่งเจ้าของมือที่ว่านี้ก็นั่งอยู่ข้างๆ ผมเช่นเดียวกัน เท่ากับว่าตอนนี้ผมกำลังโดนสองพี่น้องนี่ขนาบข้างกันอยู่ล่ะครับ

 

" ให้มันน้อยๆ หน่อยไอนันท์ เดี๋ยวจะโดนเตะ "

 

" เห็นไหม แม้แต่พี่ผมก็โหดกับผมซะแล้ว หัวเดียวกระเทียมลีบจริงเลยผม " นี่ถ้ามีคนที่่หัวอ่อนกว่านี้มาเจอคนอย่างน้องชายคุณเนตรนี่คงต้องโดนล่อลวงง่ายแน่ๆ ท่าเยอะเหลือเกิน

 

" พอๆ ทะเลาะกันเป็นเด็กไปได้ " คุณน้ามาห้ามทัพสองพี่น้อง

 

" แล้วตอนนี้รักทำอะไรอยู่ล่ะ " คุณผาภูมิหรือผู้เป็นพ่อของคุณเนตรเอ่ยถามผมเป็นครั้งแรกตั้งแต่ผมมานั่งอยู่หน้าโต๊ะนี้ ผมชะงักเล็กน้อย เข้าสู่โหมดจริงจังทันที มองหน้าไอคุณชาย และอีกฝ่ายก็พยักหน้าให้ผมเบาๆ ผมจึงตอบออกไป

 

" ผมช่วยงานป๊ากับม๊าอยู่ครับ ที่บ้านผมมีกิจการเกี่ยวกับเครื่องสักการะไหว้เจ้า รวมถึงสินค้าต่างๆ ที่ต้องไหว้ตามเทศกาลใหญ่ๆ ครับ "

 

" อืม ดีแล้ว ช่วยงานที่บ้านก็ถือเป็นประสบการณ์อย่างหนึ่ง ก่อนหน้าที่จะทำงานให้เจ้าเนตร เห็นว่าเป็นเลขามาก่อนใช่ไหม "

 

" ใช่ครับ อยู่ที่บริษัท...ครับ ทำอยู่ได้ปีกว่าก็ออกครับ "

 

" แล้วทำไมถึงไปเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ท่านได้ล่ะ ฉันสงสัยมานานแล้ว " เหมือนไอคุณชายก็เคยถามคำถามนี้กับผมเหมือนกัน แต่ผมก็ไม่เคยบอกไปจริงๆ หรอกว่าเพราะอะไร มันน่าอายจะตาย โธ่ แต่มาถึงวินาทีนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะปิดบังต่อไปหรือเปล่า

 

" เอ่อ เพราะว่า...ผมเคยโดนลวมลามจาก เอ่อ... " ผมหยุดพูดเพราะความกระดากจริงๆ

 

" พูดมาเถอะ ฉันไม่ว่าหรอก "

 

" คือ...เมื่อก่อนตอนเรียนผมโดนผู้ชายแต๊ะอั๋งหรือไม่ก็โดนลวนลามบ่อยครับ แล้วทีนี้พอถึงวันหนึ่งผมทนไม่ไหวแล้วก็เลยตั้งว่าจะไปหาที่เรียนวิชาป้องกันตัวเพื่อจะได้ป้องกันตัวเองจากไอพวกนี้น่ะครับ " รวมถึงไอตัวข้างๆ นี่ด้วยครับ จับมือผมไม่ปล่อยจริงๆ

 

" อืมม ก็เข้าใจได้อยู่นะ อาจารย์เขาชอบลูกศิษย์แบบเธอมาก เขาบอกว่าเธอมีประกายความมุ่งมั่นบางอย่างที่เขาประทับใจ อาจจะไม่ใช่เพื่อการเเข่งขัน แต่เพื่อปกป้องอะไรซักอย่าง "

 

" ผมโดนอาจารย์ฝึกสอนจนตัวช้ำไปหมดเลยครับตอนนั้น แต่ผมก็ยังมุ่งมั่นต่อไปเพราะผมต้องทำให้ตัวเองผ่านพ้นไปจากเหตุการณ์นั้นๆ ให้ได้ ผมเลยต้องอดทนครับ " สีหน้าของคุณพ่อของไอคุณชายดูผ่อนคลายลงหลังจากฟังคำตอบของผม

 

" แต่แม่ว่าน้าแม่เข้าใจนะว่าทำไมรักถึงชอบเจอเหตุการณ์อะไรแบบนั้น " คุณน้าพูดขึ้น หันมามองหน้าผมยิ้มๆ ไอคุณชายเลิกคิ้วเล็กน้อยหันไปมองแม่ตัวเอง

 

" ก็ดูหน้าน้องสิ หน้าตาน่ารักขนาดนี้ ตอนแม่เจอครั้งแรก แม่นี่หมั่นเขี้ยวอยากบีบแก้มมาก แต่ต้องเก็บอาการไว้ เพราะมันดูไม่ดี "

 

" ไม่ได้ฮะแม่ คนนี้ผมห้ามจริงๆ " ลูกชายคนโตของบ้านยกมือขึ้นปัดป้องมือของแม่ตัวเองที่ทำท่าจะเอื้อมมือมาจับหน้าผม ส่วนผมน่ะเหรอ แดงทั้งหน้าเรียบร้อยโรงเรียนจีนไปแล้วครับ พูดอะไรออกไปเนี่ยไอบ้า ช่วยอายพ่อแม่ด้วยโว้ย

 

" แหม จับนิดจับหน่อยไม่ได้เลยนะลูกคนนี้ "

 

" คนมันหวงครับ ต้องเข้าใจผมหน่อย "

 

" โธ่ พี่ชายผมจะเป็นฝั่งเป็นฝาไปซะแล้ว เหลือผมสินะเนี่ย พี่รักปลอบใจผมที ผมต้องเหงาแน่ๆ เลย " นันท์ที่นั่งอยู่ข้างขวาของผมเอนตัวมาซบไหล่ผมเบาๆ ส่วนไอคนข้างซ้ายผมน่ะเหรอ นั่งไม่ติดที่แล้วครับ และแล้วผมก็ได้เห็นสงครามสายเลือดขนาดย่อมของสองพี่น้อง ได้แต่ยิ้มอ่อนแล้วยกมือห้ามทัพไว้ ก่อนที่จาน ชาม ช้อน ส้อม จะได้ปลิวว่อนก็คราวนี้แหละ แอบเหลือบมองไปหาคุณพ่อคุณแม่ของคนที่ทะเลาะกันอยู่ ก็เห็นแต่สีหน้ายิ้มๆ ขบขำกับการล้อเล่นของสองพี่น้อง ผมก็เบาใจไปได้เปราะหนึ่ง

 

ดูท่าการมาเจอที่บ้านคุณเนตรในครั้งนี้ คงไม่แย่อย่างที่กลัว

 

 

 

 

 

 

" วันนี้ค้างที่บ้านไหมจ๊ะ หนูรัก " คุณแม่ของไอคุณชายเดินเข้ามาในครัว ขณะที่ผมวางจามชามของตัวเองข้างๆ ซิงค์ล้างจาน โดยที่มีป้าอุ่นกำลังดันตัวผมออกไปเพราะผมบอกแกไว้ว่าจะช่วยล้าง เจ้าตัวสบโอกาสที่ผมหันไปจะตอบคุณน้ารีบหยิบจานชามของผมไปแล้วจัดการล้างเองเป็นที่เรียบร้อย

 

" เอ่อ ผมอาจจะไม่ค้างครับ ยังไม่ได้บอกที่บ้านเลยครับว่าจะค้าง "

 

" จริงๆ ถ้าจะค้างก็ได้นะ เดี๋ยวแม่โทรไปบอกที่บ้านหนูให้เอาไหม "

 

" ไม่เป็นไรครับคุณน้า เดี๋ยวเอาไว้ครั้งหน้าดีกว่าครับ ผมไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาเลย " ผมรีบโบกไม้โบกมือห้ามเป็นพัลวัน เพราะคุณน้าเล่นหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาจริงๆ บ้านนี้นี่คิดอะไรปุ๊ปทำปั๊ปเหมือนกันเลยจริงๆ

 

" เรียกคุณแม่สิ มาคุณน้าอะไร แม่ได้ยินหลายรอบแล้วนะ "

 

" ก็...ผมว่ามันดูข้ามขั้นไป "

 

" ก็หนูเป็นแฟนลูกเนตรของแม่ ก็ต้องเรียกว่าแม่ถูกแล้วไงจ๊ะ " ผมได้ยินเสียงป้าอุ่นหัวเราะเบาๆ ทางด้านหลัง ในขณะที่ผมช็อคเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ สรุปแล้วบ้านนี้คือรู้กันหมดแล้วใช่ไหมเนี่ย

 

" คุณผู้หญิงคะ เบาๆ หน่อยค่ะ หนูรักยืนตาปากค้างไปหมดแล้วนั่น "

 

" ก็ฉันทนไม่ไหวแล้วน่ะ ได้ยินหนูรักเรียกว่าคุณน้าแล้วมันขัดใจจริงๆ แต่ตอนนี้ขอแม่บีบแก้มหน่อยนะ ไม่ไหวแล้วเหมือนกัน " ว่าแล้วก็ยื่นมือเข้ามาบีบแก้มผมจริงๆ คุณแม่ค้าบ ผมไม่ใช่มะหมาสี่ขานะค้าบบ

 

" แม่ ผมบอกแล้วว่าห้ามจับหน้ารักไงครับ " ไอคุณชายโผล่มาจากไหนไม่รู้ เข้ามาดันตัวผมไปไว้ข้างหลังตัวเอง

 

" โธ่ ลูก สงสารแม่เถอะ แม่ทนไม่ไหวแล้ว อยากบีบแก้ม หมั่นเขี้ยว "

 

" ดูสิรักหน้าแดงหมดเลยแม่ เดี๋ยวถ้าแก้มช้ำนะ ผมก็จับมั่งไม่ได้แล้วสิ " อ้าว อะไรวะนั่น

 

" เห็นไหม ลูกก็คิดเหมือนแม่ใช่ไหมล่ะ ทำเป็นว่าแม่ "

 

" เอ่อ ผมขอตัวไปข้างนอกก่อนแล้วกันนะครับ ไม่รบกวนดีกว่าครับ " ว่าแล้วก็รีบชิ่งออกไปแล้วทิ้งสองแม่ลูกไว้ข้างหลัง

 

 

 

 

 

 

 
(เนตรนภิศ พากย์)

" ลูกตัดสินใจดีแล้วใช่ไหมเนตร " ผู้หญิงที่ผมเคารพรักที่สุดในชีวิตเอ่ยถามผมขึ้น หลังจากที่มองรักเดินกึ่งวิ่งออกไปข้างนอกห้อง

 

" ผมตัดสินใจดีแล้วแม่ ต่อให้รักเป็นผู้ชาย แต่เราก็เคยผ่านเหตุการณ์แย่ๆ มาด้วยกันตั้งเยอะ ผมก็ไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง แต่รู้ตัวอีกทีมันก็เกิดขึ้นแล้วครับ " ผมยิ้มบางๆ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับรัก

 

" เอาเถอะ ถึงแม่จะตกใจมากตอนที่ลูกมาสารภาพกับแม่ว่ารักหนูรัก ตอนนี้ก็ยังพยายามทำใจอยู่ แต่พอมาได้เห็นบรรยากาศในวันนี้ แม่ก็ต้องยอมรับจริงๆ ว่าหนูรักน่ะน่ารักมาก " แม่ของเขาหัวเราะออกมาเล็กน้อย

 

" ตอนแรกผมก็ไม่นึกว่าพ่อกับแม่จะยอมรับได้ง่ายขนาดนี้ นึกว่าจะต้องจับมือรักหนีออกจากบ้านซะแล้ว "

 

" แหม พ่อกับแม่เลี้ยงลูกโตมาขนาดนี้ มีหรือจะไม่เข้าใจ แม่เคารพการตัดสินใจของลูกเสมอ แต่เดี๋ยวขอเอาหนูรักไปอวดเพื่อนแม่หน่อยนะ "

 

" อย่าเยอะเกินไปนะ ผมหวง " แม่ของเขาตีแขนเขาเบาๆ แล้วบ่นพึมพำว่าเขาขี้หวง เขาเอนตัวกอดแม่หลวมๆ แล้วนึกดีใจที่มีครอบครับที่เข้าใจตัวเขาดีขนาดนี้ ถึงแม้ว่าการที่มีคนรักเป็นเพศเดียวกันจะยังไม่ได้รับการยอมรับในวงกว้าง แต่มันก็ทำให้รู้ว่าไม่ว่าความคิดเห็นของคนภายนอกจะเป็นอย่างไร ขอแค่คนใกล้ตัวเราเข้าใจเราก็พอแล้ว รวมถึงเขาก็ยังรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากๆ ที่ได้เจอรัก และได้มารู้จักกัน จนตอนนี้ได้มารักกัน

 

ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรต่อไป เขาขอไม่คาดหวังแล้วกัน แต่ตอนนี้ขอตักตวงความสุขไว้ก่อนแล้วกัน

 

อีกอย่าง ตอนนี้มันเพิ่งจะเริ่มต้น เด็กน้อยของเขายังต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับเขาอีกเยอะ รวมถึง...

 

เรื่องนั้นด้วยแหละเนอะ

 

:)

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

เปิดตัวอย่างสวยงามมมมค่ะ

ไฟเขียวแบบนี้ คุณเนตรเราก็ยิ้มหน้าบานสิเนี่ยยย

 :-[

หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 39!!! (29/6/65)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหมีวุ่นวาย ที่ 29-06-2022 17:05:51
ตอนที่ 39
" เพราะไวน์เป็นเหตุ "





“ ครับพ่อ ผมกำลังเตรียมตัวออกจากคอนโดแล้วครับ ” น้ำเสียงนุ่มทุ้มเอ่ยตอบปลายสาย ขณะที่กำลังเลี้ยวรถออกลงมาจากที่จอดรถของคอนโดที่พักอาศัย



“ ครับๆ ไม่ลืมครับ นี่เขาก็นั่งอยู่ข้างๆ ผมนี่แหละพ่อ ” ปลายสายเอ่ยย้ำมาสองสามประโยคก็วางสายไป



เขาถอดหูฟังไร้สายออกแล้ววางลงช่องวางของขนาดเล็กตรงประตูรถฝั่งคนขับ สายตามองออกไปข้างหน้า รถรามากมายที่อยู่บนท้องถนน ผู้คนที่สัญจรไปมา บ้างก็กำลังเดินข้ามถนน บ้างก็ยืนคุยกับคนรู้จักในร้านค้าต่างๆ บ้างก็ยืนอยู่คนเดียว รอคอยใครบางคน สี่แยกไฟแดงที่คุ้นเคยเนื่องจากเป็นทางที่จ้องขับรถผ่านทุกวันหลังเลี้ยวออกจากคอนโด



หลังจากผ่านเหตุการณ์มามากมาย ทั้งดี ทั้งร้าย ปะปนกันไป เรื่องราวในอดีตที่พยายามดิ้นรนเพื่อหลุดพ้น เรื่องราวในอนาคตที่เขากำลังรอคอยเพื่อ ‘สิ่งดีๆ’ ที่อยากจะเข้าไปมีส่วนร่วมในทุกๆ วัน ทุกๆ วินาที



และสิ่งดีๆ ที่ว่ามานั้น ก็นั่งหลับสบายใจพริ้มอยู่ข้างๆ เขานี่เองแหละ



หลังจากที่พาคนรักหมาดๆ ไปเปิดตัวกับที่บ้านเขาเป็นที่เรียบร้อย รักที่ตอนแรกประหม่าจนน่าเอ็นดูเหลือเกินในสายตาเขา ทั้งขี้เขิน ทั้งกล้าๆ กลัวๆ ตอนที่อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาในบ้านเขานั้น ตอนนี้กลับกลายเป็นลูกรักที่พ่อกับแม่เขาโอ๋เป็นที่เรียบร้อย เหตุเพราะรักมีนิสัยที่พ่อแม่เขารู้สึกอยากเข้าหาอย่างบอกไม่ถูก ประโยคนี้เขาไม่ได้เป็นคนรู้สึกไปเองนะ พ่อแม่เขาต่างหากที่เป็นคนพูดออกมา หลังจากที่เขาพารักเข้าไปพักผ่อนที่ห้องนอน แล้วลงมาปรึกษาหารือกับคนในครอบครัว ไอนันท์ที่เพิ่งเคยเจอรักจริงๆ จังๆ ครั้งแรก (ไม่นับตอนที่บุกไปหารักที่ห้องครั้งนั้น ซึ่งเขาก็เพิ่งจะรู้ในวันนั้นเองนี่แหละ) ยังบอกเลยว่า



‘ รักษาไว้ดีๆ นะครับพี่เนตร ไม่อย่างนั้นผมฉกไปแนะนำกับเพื่อนผมแน่ๆ ’



ไม่ต้องรอให้น้องชายพูดจบ เขาก็จัดการห้ามปรามทางสายตาเป็นที่เรียบร้อย แน่นอนล่ะ เขามันคนขี้หวง ขี้ห่วง ขี้หึงพ่วงมาด้วยอีกต่างหาก ซึ่งข้อหลังที่ก็เพิ่งมารู้ตัวเหมือนกันว่าตัวเองจะมีนิสัยแบบนี้จริงๆ อยู่ด้วย เมื่อคิดได้แบบนี้ เขาก็ส่ายหัวอย่างอ่อนใจในตัวเองนิดหน่อย เพราะคนข้างๆ นี้แท้ๆ ทำให้นิสัยบางอย่างของเขาแสดงออกมาโดยที่ไม่รู้ตัวเลย



สัญญาณไฟเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียว รถยนต์ซีดานสัญชาติยุโรปสีดำมันปลาบก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปข้างหน้า ด้วยกลัวจะทำให้คนที่นั่งหลับตาพริ้มนั้นตื่น เขาจึงขับค่อนข้างช้า ทั้งๆ ที่ตัวเองก็มีงานสำคัญรออยู่แท้ๆ พอคิดถึงตรงนี้ก็ยิ่งตลกตัวเองเข้าไปใหญ่ รักขนาดนี้คนรักเขาต้องสัมผัสได้ซักทีแล้วล่ะนะ



ขับรถไปเรื่อยๆ จนถึงที่หมาย เขาจัดการจอดรถไว้ตรงช่อง ‘กรรมการบริหาร’ ที่ชั้นแรกของตึก เป็นที่โซนที่จอดรถของผู้บริหารทั้งชั้น เมื่อจอดตรงช่องเรียบร้อยแล้ว เขาก็หันกลับมาจ้องสิ่งมีชีวิตที่หลับลึกข้างกายเขาทันที ขนาดจ้องขนาดนี้ยังไม่รู้สึกตัวอีก แต่การที่เจ้าตัวมีสภาพแบบนี้เขาก็เข้าใจได้อยู่ และไม่โกรธเลยซักนิด เพราะอะไรน่ะเหรอ



ก็เมื่อคืนเขา ‘จัดหนัก’ ไปหน่อยน่ะสิ



คิดมาถึงเหตุการณ์เมื่อคืนก็ทำให้เขายิ้มกว้างออกมาอย่างหยุดไม่ได้ หากใครที่อยู่ข้างนอกเห็นเขาอารมณ์ขนาดนี้ คงต้องตกใจช็อคเหมือนเห็นผี เพราะเขาไม่เคยหลุด มาดคุณเนตร ผู้ที่แสนเคร่งขรึมแบบนี้ให้ใครเห็นเลย (รักเคยบอกไว้แบบนี้) การที่ยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีแบบนี้ นอกจากที่บ้านแล้วคงไม่มีใครได้เห็นแน่ๆ



เมื่อวานเขาและรักตั้งใจไว้ว่าจะฉลองให้กับความประสบความสำเร็จของโปรเจ็คแรกที่เขาและพนักงานหลายแผนกลงแรงกันมาระยะหนึ่ง หลังจากที่เปิดตัวผลิตภัณฑ์พร้อมกับตัวเขาไปแล้วนั้น แม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น แต่พวกเขาก็สามารถฝันฝ่ามันไปได้ เมื่อจบไตรมาสแรก ผลงานจากการลงทุนอันเหน็ดเหนื่อยนี้ ก็ทำให้เขาและคนในบริษัทหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้ถึงเป้าที่วางแผนไว้ แต่ก็นับว่าเป็นก้าวแรกที่ประสบความสำเร็จในฐานะกรรมการบริหารคนใหม่ที่เข้ามาแทนที่พ่อของเขา ทำให้อดีตประธานบริษัทยินดีอย่างยิ่งที่จะก้าวลงจากตำแหน่งหลังจากที่ทำหน้าที่เป็นหัวเรือของบริษัทมาอย่างยาวนาน ถึงคราวต้องพักผ่อนอย่างจริงจังซักที



วันนี้เป็นวันหยุดของบริษัท หลังจากที่กลับจากไปเยี่ยมครอบครัวของเขาและรักซึ่งนัดกันมาทานข้าวที่บ้านเขาเมื่อช่วงบ่ายแก่ๆ เขาและรักก็ตรงกลับคอนโดทันที พวกเขาวางแผนไว้ว่าจะฉลองแบบกันเองที่คอนโด ไม่ต้องออกไปข้างนอก อาหารมากมายที่นำออกมาเรียงรายบนโต๊ะอาหารในห้องครัวของคอนโดเขา ทำให้เขาที่กำลังถอดผ้ากันเปื้อนที่สมอยู่วางพาดไว้บนเก้าอี้อดยิ้มออกมาไม่ได้ เป็นมื้อแรกที่ตั้งใจทำขนาดนี้ เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างบานใหญ่ก็เห็นว่าแสงแดดเริ่มคล้อย บ่ายแก่ๆ แล้ว



‘ โอ้โห หอมมมมมมจริงๆ เลย ’  ร่างสูงโปร่งของรักเดินออกมาจากห้องพร้อมผ้าขนหนูผืนเล็กในมือที่กำลังเช็ดผมชื้นของตัวเอง



‘ นายคนภูมิใจนะ ฉันลงครัวเองเลยนะวันนี้ ’  เขาตอบพร้อมหยิบจาน ช้อม ส้อม สำหรับสองคนมาวางไว้บนโต๊ะทานข้าว



‘ ขอบคุณครับคุณพ่อ ’  เจ้าตัวพูดพลางยกมือไหว้อย่างสวยงาม ทำให้เขาอดที่จะดึงตัวคนที่ทะเล้นเหลือเกินในความคิดเขาเข้ามาประชิดตัวไม่ได้ ผ้าขนหนูที่อยู่ในมือตกลงพื้น คนที่เมื่อกี้ยังมีท่าทีผ่อนคลายกลับตัวเกร็งจนเขาแอบหัวเราะในใจ



เก่งไม่ออกแล้วสิเจ้าตัววุ่นวาย



‘ ว่ายังไง หืม ไหว้สวยๆ ที่อกฉันอีกรอบให้เป็นบุญตาอีกทีสิ ’ เขาก้มลงมองคนเก่งของเขาที่ยืนตัวแข็งเอาแต่ก้มหน้าก้มตาไม่พูดจา



‘ ว่าไง ที่รัก ’  เขาแกล้งพูดเหย้าแหย่อีกทีให้คนปากเก่งรีบทำตามที่เขาบอก จนเจ้าตัวทนไม่ไหวรีบดิ้นหลุดออกจากอ้อมกอดของเขา แล้วเดินไวๆ ไปหยิบไวน์แดงที่พ่อของเขาให้มาพร้อมแก้วไวน์ แล้วไปนั่งที่โต๊ะกินข้าว เขาหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้



‘ รีบๆ มากินเร็ว หิวจะแย่แล้วเนี่ย ’  รักบ่นพึมพำกับตัวเองพร้อมเรียกเขาให้รีบเดินไป



เสียงช้อนส้อมกระทบกับจานเบาๆ และเสียงพูดคุยของพวกเขาดังมาเป็นระยะๆ จวบจนมื้อพิเศษนี้เสร็จสิ้น รักซึ่งอาสาจะเป็นคนจัดการกับกองจานชามที่ต้องล้างเอง เขาไม่บังคับอะไรปล่อยให้เจ้าตัวทำไป เดินหยิบขวดไวน์ที่แช่ในถังน้ำแข็งซึ่งเย็นจนได้ที่ พร้อมแก้วไวน์ตรงไปยังระเบียงโซนห้องนั่งเล่น บริเวณนั้นมีเก้าอี้นั่งเล่น 2 ตัว และโต๊ะตัวเล็ก รักชอบเก้าอี้นี้มาก ถึงกับบ่นว่าอยากมีเป็นของตัวเองที่บ้านบ้าง เขาจำได้ว่าตัวเองบอกกับรักว่า ‘ที่นี่ก็บ้านของนายไง’ ทำเอาคนบ่นถึงกับไปไม่เป็นเลยทีเดียว เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ตอนนั้นเขาก็ยิ้มออกมาอีกครั้ง



ช่วงนี้เขากลายเป็นคนยิ้มง่ายไปโดยที่ไม่รู้ตัว พอนึกถึงเหตุการณ์ที่มีเขากับคนรักหรือเวลาไหนก็ตามที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน สีหน้าเขาจะละมุนไปเองคล้ายกับมันเป็นธรรมชาติของเขาแล้วอย่างไรอย่างนั้น เลขาของอดีตประธานอย่างคุณดาราลักษณ์ ซึ่งตอนนี้กลายเป็นเลขาของเขาไปเรียบร้อยแล้วเอ่ยประโยคนี้ขึ้นมาขณะที่กำลังยื่นเอกสารสำคัญมาให้เขาตรวจสอบในวันหนึ่ง เขาชะงักแล้วเงยหน้ามองคนพูดทันทีพร้อมกับความแปลกใจ แต่ก็เห็นแต่สีหน้ายิ้มแย้มที่เหมือนจะแซวของคุณเลขา ทำเอาเขาก็แอบเขินนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร



ก็มันเป็นเรื่องจริงนี่นา จะให้แย้งยังไงกันล่ะ เขามีความสุขมากจริงๆ ในตอนนี้



‘ มาแอบยิ้มอะไรอยู่ตรงนี้คนเดียวเนี่ยครับคุณชาย ’  เขาหันกลับมามองคนที่อยู่ในความคิดของเขา แล้วยิ้มให้อีกที จนคนตรงหน้าแอบเขินหน่อยจนริ้วแดงบนแก้มปรากฏให้เห็นเล็กน้อย เขารู้ว่ารักแพ้ใบหน้าของเขามากมาตั้งแต่ต้น ซึ่งเขาก็ชอบเอาจุดที่ได้เปรียบของเขาตรงนี้มาแกล้งเล่นตลอด



‘ พอดีคิดเรื่องของนายอยู่นั่นแหละ ’



เจ้าตัวเสมองแก้วไวน์ที่เขารินให้ แล้วเดินมาหยิบขึ้นจิบ พลางเอนตัวนั่งลงบนเก้าอี้นุ่มข้างกายเขา นั่งดื่นด่ำกับวิวกลางคืนของเมืองที่แสนจะวุ่นวายนี้ แต่ก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเมืองที่ขึ้นชื่อว่าไม่เคยหลับไหล ลมเย็นที่พัดผ่านมาให้เย็นสบาย ทำให้เขาและรักนั่งจิบไวน์เงียบๆ โดยที่ไม่มีบทสนทนาใด บางคนอาจจะอึดอัดกับบรรยากาศนี้ ต้องหาเรื่องมาพูดกลบความเงียบ แต่เขากลับสบายใจแม้อาจจะต้องนั่งเงียบกันสองคน ไม่ใช่ไม่มีอะไรพูด แต่มันเป็นบรรยากาศอย่างหนึ่งที่บอกไม่ถูก และเขาก็ชอบที่จะใช้ช่วงเวลาแบบนี้กับคนรัก



‘ ผมถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ ’  คนที่นั่งเงียบมาพักใหญ่เอ่ยปากถาม เสียงเอื่อยยานนิดหน่อย แสดงว่าคงกรึ่มได้ที่แล้วแหละ เขาพยักหน้าเล็กน้อย คนถามก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะทำท่าเหมือนทำใจหรือเตรียมใจอะไรมาซักอย่าง



‘ เอ่อ คือ เราก็เป็นแฟนกันแล้ว ผมก็ไม่มี ประสบการณ์ด้านนี้อ่ะนะ แต่ว่า… ’  สีหน้าอ้ำอึ้งๆ ของรักทำให้เขาแปลกใจนิดหน่อยว่าคนรักของเขาสงสัยอะไร แต่พอเห็นสีหน้าที่เริ่มแดง ซึ่งไม่รู้เพราะไวน์ที่จิบเข้าไปไม่รู้กี่แก้วหรือเขินกับสิ่งที่กำลังจะพูด แต่ถึงอย่างนั้นแล้ว เขากลับเริ่มเดาได้ถึงสิ่งที่คนรักต้องการจะพูด



คบกันมาระยะหนึ่งแล้ว ถึงจะไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะมาก แต่ก็ถือว่ามีสถาะเป็นคนรักกัน เรื่องธรรมชาติที่คนข้างกายเขาต้องการรู้ก็คงไม่พ้นเรื่องบนเตียงนั่นล่ะนะ



เขานึกสงสัยนิดหน่อยว่าคนขี้เขินอย่างรัก อยู่ๆ ก็อยากจะถามเรื่องนี้ขึ้นมา แต่เขาจะไม่ช่วยพูดหรอกนะ แกล้งทำเป็นไม่รู้ ให้เจ้าตัวเริ่มเองก่อนบ้างแบบนี้แหละ สนุกดี หึๆ



‘ มีอะไรหรือเปล่า ’



‘ เอ่อ คือว่า ผมอยากรู้ว่าผู้ชายสองคน แบบว่า… ’  ก่อนที่หน้าคนที่กำลังจะถามจะแดงจนเขานึกกลัวว่าจะระเบิดออกมาแล้วนั้น เลิกแกล้งแล้วดีกว่า



‘ เซ็กส์น่ะเหรอ ’  กลับกลายเป็นว่าการช่วยของเขาทำให้คนหน้าแดงตัวแดงกว่าเดิมอีก



‘ ทำไม นายอยากรู้รึไง ’



‘ ก็ เอ่อ ผมก็ไม่เคยด้านนี้มาก่อน ก็…อยากรู้นิดหน่อย ’  เขาวางแก้วไวน์ในมือ แล้วหันมามองหน้าคนที่แดงไปแล้วทั้งตัวเป็นที่เรียบร้อย เจ้าตัวลกนิดหน่อยเมื่อเห็นเขาจ้องมองมา เสหลบสายไปมองวิวที่ตอนนี้ไม่ได้สลักสำคัญไปเท่ากับประเด็นที่รักยกขึ้นมาถาม



เอาตามตรงเขาก็ไม่เคยคบผู้ชายมาก่อนเหมือนกัน เพิ่งจะรู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองก็สามารถชอบผู้ชายได้ แต่การชอบเพศเดียวกันในความหมายของเขาไม่ได้หมายความว่าจะชอบได้ทุกคน ลองจินตนาการเขากับผู้ชายคนอื่นก็คงขนลุกเอาได้เหมือนกัน แต่พอกับรักเขากลับเต็มใจที่จะยอมรับมันได้ซักอย่างนั้น น่าจะพิเศษตรงนี้แหละ แต่พอมาถึงเรื่องธรรมชาติของคนคบกันอย่างเรื่องบนเตียงนี่ก็ต้องบอกเลยว่าไม่เคยมีประการณ์กับคนเพศเดียวกันเลย ที่ผ่านมาเมื่อตอนสมัยเรียน ถ้าไม่ได้คบใครก็จะวันไนท์แสตนด์บ้างเป็นครั้งคราว ไม่บ่อยนัก ตามประสาวัยรุ่น แต่ป้องกันอย่างดีทุกครั้ง และทุกครั้งก็เป็นผู้หญิงหมดเลย



ยอมรับเลยว่าก็แอบกังวลนิดหน่อยพอมาเป็นกับรักซึ่งตอนนี้ขยับขึ้นมาเป็นคนรักแล้วเรียบร้อย เคยจะศึกษาอยู่บ้าง แต่ก็ได้แต่ตามเว็บไซต์ แต่พอเห็นเป็นผู้ชายคนอื่นเขาก็ดูจนจบไม่ได้ซักครั้ง เลยทำให้ได้แต่อ่านประสบการณ์ของคนอื่นไปเรื่อย



แต่คราวนี้สงสัยต้องงัดเอาออกมาใช้เพื่อ ‘ฝึกฝน’ บ้างแล้วล่ะมั้ง



‘ อยากลองกับฉันไหมล่ะ? ’





แล้วจากนั้นเขาก็จำไม่ค่อยชัดเจนแล้วว่ามันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ ด้วยฤทธิ์ของไวน์ที่ดื่นเข้าไปเกือบหมดขวด ทำเอาเขากับรักเร่าร้อนจนแอลกอฮอลในเส้นเลือดทำงานหนัก บทจูบที่กล้าๆ กลัวๆ ของรักทำให้สัญชาตญาณดิบของเขาสำแดงออกมา ไม่บ่อยนักที่เขาจะปล่อยให้ตัวเองเพลิดเพลินไปกับบทรักจนคุมตัวเองไม่ได้แบบนี้



เขาเงยหน้าขึ้นจากลำคอขาวตรงหน้า เลื่อนใบหน้าขึ้นไปบดจูบริมฝีปากบางของอีกฝ่ายอีกครั้ง และผละออกจากร่างซึ่งออกจะสั่นนิดหน่อยของรัก คนที่นอนหอบอยู่ที่เก้าอี้มองเขาที่ผละออกอย่างไม่เข้าใจ ก่อนที่จะร้องออกมาอย่างตกใจเบาๆ เมื่อเขาย่อตัวอุ้มขึ้นมา



เห็นตัวบางแบบนี้ แอบหนักเหมือนกันแฮะ



รักยกมือขึ้นมาคล้องคอทันทีเพราะกลัวตก เลยทำให้เขาเห็นใบหน้าน่ารักนั้นได้ชัดเจนขึ้น สีหน้าเย้ายวนซึ่งเจ้าตัวก็คงไม่ได้ตั้งใจแสดงสีหน้าออกมา อาจจะเป็นเพราะฤทธิ์ไวน์หรือเพราะบทจูบเมื่อครู่นี้ก็เป็นได้ มันกลับทำให้เขายิ่งต้องบดกรามแน่นแล้วรีบก้าวเข้าห้องไปโดยที่จะไม่ลืมปิดประตูระเบียง ห้องนอนที่อยู่ถัดออกไปไม่ไกล คือเป้าหมายของเขาในค่ำคืนนี้



สองแขนแข็งแรงวางร่างคนเมากรึ่มได้ที่บนเตียงนอน คนตัวเล็กกว่ายกมือขึ้นมาปิดหน้า ไม่เคยคิดว่าผู้ชายจะอายจนตัวแดงได้ขนาดนี้ เขามองคนใต้ร่างด้วยความรู้สึกโครตจะปั่นป่วน อาจจะเป็นเพราะฤทธิ์ไวน์หรือความอยากของเขาก็ไม่สามารถรู้ได้ รู้แต่ว่าภายในห้องที่สลัวเพราะเปิดแต่โคมไฟหัวเตียงและร่างขาวๆ ที่นอนหอบหายใจอยู่บนเตียง คลิปวีดีโอที่เคยคิดที่จะศึกษาดูแทบเทียบไม่ติด!



‘ คุณเนตร… ’  ก่อนที่เขาจะแนบริมฝีปากลงบนปากแดงๆ ตรงหน้า อีกฝ่ายก็เอ่ยพูดขึ้นมาซะก่อน



‘ เรียกฉัน เนตร ก็พอ ’  เขาบดจูบแนบแน่นอีกครั้ง พึมพำเบาๆ ว่าเปิดปากให้รักได้ยิน ความเงอะงะของคนรักทำให้เขานึกเอ็นดู เลยจุ๊บปากดังจ๊วบแบบหมั่นเขี้ยวเล็กน้อยถึงปานกลาง



มือสอดมือใต้เสื้อผ้าสำรวจบนผิวเรียบลื่นของคนใต้ร่าง ลูบไล้บางเบาพอให้อีกฝ่ายสั่นสะท้าน ริมฝีปากบางสวยขบเบาๆ ไล้ตามลำคอแดงจากฤทธิ์ไวน์ สูดกลิ่นหอมจากร่างข้างใต้ เลื่อนลงมาเรื่อยจนถึงแผ่นอกขาว เขาเหลือบมองขึ้นไปด้านบน รักยังคงใช้สองแขนปิดหน้าบังตา หอบหายใจถี่



เห็นภาพแบบนี้แล้วเลือดลมในกายยิ่งไหลพล่านซะจริง



นัยน์ตาสวยจ้องมองคนรักอย่างลึกล้ำ มือขาวค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อของใต้ร่าง รักสะดุ้งเล็กน้อย สายตาตื่นตระหนกมองมาที่เขา ทำให้เขายิ่งต้องกัดฟันแน่นไม่ให้ตัวเองเผลอไผลตามอารมณ์จนรุนแรงมากนัก ก้มลงจูบปลอบประโลม ยึดสองมือที่บังหน้าไว้ของอีกฝ่าย ซึ่งยังคงหลับตาปี๋ เขาขำน้อยๆ นึกเอ็นดู คนอะไรยิ่งมองยิ่งชวนให้ใจอ่อนได้ตลอดเวลา



ร่างเปลือยเปล่าตรงหน้าชวนให้หลงไหล ณ จุดๆ นี้ ยอมรับเลยว่าเขาคงรอให้รักพร้อมก่อนไม่ไหวจริงๆ สองมือลูบไล้ไปตามผิวเรียบลื่น ยิ่งต่ำลงไป รักยิ่งหอบสะท้าน มือของอีกฝ่ายยืดมือเขาไว้อย่างอ่อนแรง เหงื่ออ่อนผุดไปทั่วใบหน้า สายตาปรือมองเขามันช่างยั่วเหลือเกิน



อุณหภูมิร่างกายพุ่งขึ้นสูงสวนทางกับลมเย็นจัดจากเครื่องปรับอากาศ เขาค่อยๆ สัมผัสแก่นกายของอีกฝ่าย



 ' อึก อ๊ะ… นะ เนตร '  มือรูดรั้งเบาๆ ค่อยไต่ระดับความเร็ว อีกฝ่ายเท้าจิกเกร็ง ยึดหมอนแน่น สั่นเทิ้ม แผ่นหลังยกเกร็งน้อยๆ เสียงครวญครางดังออกจากปากอิ่มได้รูป เขาก้มลงบดจูบอีกครั้ง ปลายลิ้นรุกล้ำอ่อนหวาน เวลาผ่านไปไม่นานนักคนใต้ร่างก็เสร็จไปก่อนรอบหนึ่ง หอบหายใจหนัก



' ไม่ได้ทำนานเหรอ ขุ่นเชียว ’  เขาพูดยั่วเย้า แล้วก็ได้รับสายตาค้อนขวับมาทันที



' แล้วทำไมผมถึงโป๊อยู่คนเดียวเนี่ย ’  นั่นไง โดนแหวเลย



' ใจเย็นๆ สิคนดี ’  คนพูดว่าพลางค่อยถอดเสื้อตัวเองไปพลาง เห็นสายตาฉ่ำเยิ้มของรักจดจ้องไปตามอิริยาบถของเขาแล้วอยากฟัดให้ช้ำชะมัดเลย ให้ตาย นี่ถ้าไม่จับมอมก็คงไม่ได้เห็นรักในมุมแบบนี้



จวบจนปราการชั้นสุดท้ายถูกถอดออกไป เขาก้มลงไปแยกขาของรัก พร้อมทั้งแทรกตัวเข้าไปบดเบียดร่างข้างใต้ รับรู้ถึงความเกร็งอย่างชัดเจน จึงลูบต้นขาปลอบประโลมเบาๆ พอให้คลายความกลัว รู้แหละว่าครั้งแรกที่เป็นฝ่ายรับ มันอาจจะเจ็บมากอย่างที่เขาเคยหาข้อมูลมา แต่พอเอาเข้าจริงมันก็ทำให้เขาหวั่นๆ เหมือนกันเพราะดูเหมือนต้องเตรียมพร้อมหลายอย่าง



ร่างสูงชะงักไปเล็กน้อย นึกขึ้นได้ว่าต้องใช้เจลหล่อลื่น จึงผละตัวขึ้นมาหมายจะเอื้อมมือไปหยิบเจลที่เขาแอบเตรียมไว้ในเก๊ะโต๊ะข้างเตียงนอน ทว่ามือของอีกฝ่ายกลับยึดต้นแขนของเขาไว้ซะก่อน หันกลับมาก็เห็นรักทำหน้าตื่นๆ



' จะ…ไปไหน ’



' เอาสิ่งนี้ครับ ’  มุมปากยกยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่ เขาเอื้อมไปหยิบสิ่งที่ต้องการ เมื่ออีกฝ่ายเห็นของที่อยู่ในมือ เหมือนรับรู้ได้ว่าขั้นตอนต่อไปคืออะไร คว้าหมอนมาปิดหน้าทันที เขาหัวเราะเบาๆ พลางเทเจลเย็นชโลมนิ้วมือให้ชุ่ม



' ไม่ต้องกลัวนะรัก ผ่อนคลาย ฉันจะทำเบาๆ ’  อีกฝ่ายส่งเสียงอืมในลำคอ เห็นแต่ลำคอแดงๆ เขาคลึงส่วนอ่อนไหวแผ่วเบาคล้ายจะปลอบโยน ค่อยๆ สอดนิ้วเข้าไปอย่างเชื่องช้า ความฝืดเคืองทำให้เขานิ่วหน้าเล็กน้อย



ร่างสูงเลื่อนตัวขึ้นไปจับหมอนให้พ้นออกจากหน้ารัก กดจูบบนริมฝีปากที่เผยอค้างไว้ รักกระชับสองแขนกอดคอเขาเขาแน่น หลับตาปี๋ เขาเบี่ยงเบนให้อีกฝ่ายสนใจแต่รสจูบ นิ้วยาวเริ่มสอดเข้าออกเร็วขึ้น



' อ๊ะ ฮึก บะ เบา… ’



' ทนหน่อยนิดนึงนะ เดี๋ยวจะเจ็บเอา ’



จากหนึ่งนิ้วเพิ่มเป็นสองนิ้ว และก็เพิ่มเป็นสามนิ้ว สอดใส่เร็วบ้าง ช้าบ้าง ยั่วเย้าอารมณ์ จากสีหน้าของคนรักที่เหยแกเพราะความอึดอัด เปลี่ยนเป็นเคลิ้มคล้อยตาม ความปวดขึงที่แก่นกลางเริ่มประท้วงหนักขึ้นจนจะทนแทบไม่ไหว พลันดึงมือออก แยกขาของคนใต้ร่างออกให้กว้างขึ้น สวมถุงยางให้ตัวเองอย่างรวดเร็ว



' จะเข้าไปนะรัก อย่าเกร็งนะครับคนดี ’  รักสะอื้นฮักด้วยแรงอารมณ์ พยักหน้าช้าๆ เมื่อเห็นดังนั้นเขาค่อยๆ กดส่วนอวบหนาชำแรกเข้าไปช้าๆ อีกมือลูบเฟ้นแผ่นอกขาวซ้ายขวาสลับกัน คนตัวสูงกว่าก้มลงซุกต้นคอหอม รอจังหวะให้คนรักผ่อนคลายความเกร็ง ดันสะโพกเข้าไปสุดในทีเดียว!



' อ้า ไอ คะ คุณชาย! ’



' ครับที่รัก ’  เขาดุนจมูกที่แก้มขาวปลอบประโลม แช่ช่วงล่างไว้สักพัก เพื่อให้อีกฝ่ายชินกับช่องทางที่คับแน่น



' เบา ฮึก ทำเบาๆ เจ็บ ’



' รู้แล้วครับๆ ’



ยิ่งดึกมากเท่าไหร่ ความมัวเมาจากฤทธิ์ไวน์แดงก็ยิ่งสำแดงมากขึ้น สองร่างแนบชิดกอดรัดบนเตียงที่ยับย่น คนข้างบนขยับกายเข้าออกเนิบนาบ ความคับแคบของช่องทางรักก็ทำให้เขาจุกอยู่เหมือนกัน อีกฝ่ายกลั้นเสียงคราง มือที่เคยกอดรัดเขาไว้กำผ้าปูไว้แน่น จนเขาต้องจับมาประสานมือไว้เหนือหัวของคนรัก กลัวว่าจะจิกผ้าปูขาดหมด สะโพกแข็งแรงเร่งจังหวะกระแทกบดเบียดลึก



และยิ่งลึกเท่าไหร่ คนของเขาก็ยิ่งกลั้นเสียงครางหนักเท่านั้น



' ไม่กลั้นเสียงสิ ไม่มีใครอยู่ซักหน่อยจะอายทำไม ’ เขาจูบปากบวมเจ่อจากการขบกัดเล็กน้อย พลางถอนตัวออกจนเกือบสุดแล้วกระแทกกลับไปอีกครั้ง ราวกับจะแกล้งอีกฝ่าย



' อ๊า ’



คราวนี้เขาเร่งจังหวะเร็วขึ้น เสียงเนื้อหนังกระทบกันผสมเสียงเฉอะแฉะฟังแล้วน่าอาย แต่ในตอนนี้โสตประสาทของเขากลับไม่ได้ยินเสียงใดๆ แล้วนอกจากเสียงหอบกระเส่าดังข้างหู รักครวญครางอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่ ในขณะที่เขาก็ขยับสะโพกถี่ยิบ รัวเร็ว จนร่างของรักถูกดันขึ้นไปจนหัวเกือบจะกระแทกกับหัวเตียง เขายื่นมือขึ้นไปบังไว้ทัน ก่อนที่จะยืดตัวขึ้นแล้วดึงเอวของอีกฝ่ายให้เขยิบลงมากลางเตียง



อารมณ์ที่พุ่งขึ้นสูงส่งผลให้แก่นกายของคนรักแข็งตัวทั้งๆ ที่ไม่ได้แตะต้อง เนตรยกขาข้างหนึ่งของรักพาดไว้บนไหล่ ท่านี้ทำให้สอดใส่ได้ลึกกว่าเดิม หยาดเหงื่อผุดมากมายตามร่างกาย



' อ๊ะ ผะ ผมจะ เสร็จ ’  อีกฝ่ายบีบต้นแขนของเขาแน่น พลางแอ่นอกขึ้นเป็นระยะ ขาข้างหนึ่งเหยียดเกร็ง



' อืม อึก ไปพร้อมกัน ’



สะโพกสอบขยับรัวสักพัก จับเอวอีกฝ่ายขยับกระแทกแรงอีกสองสามครั้งก่อนที่รักจะถึงฝั่งก่อน หยาดน้ำขาวขุ่นพุ่งเลอะเต็มหน้าท้องขาว และเป็นอีกครั้งที่คนใต้ล่างเสร็จไปอีกครั้ง ส่วนคนด้านบนยังคงดันสะโพกบดเบียดลึก แช่ค้างไว้แล้วโน้มตัวลงมานอนซบอกของคนรัก หอบหายใจหนัก



เวลาผ่านไปร่วมนาที เขาดันตัวเองขึ้นมามองอีกฝ่าย เปลือกตาบางปิดอยู่ หายใจสะท้านเล็กน้อย ผิวกายแดงเถือกเลย ร่างสูงถอนตัวตนออกมาจากช่องทางรักที่บวมช้ำเล็กน้อย ดึงถุงยางออกมารัดปากถุงแน่นแล้วโยนทิ้งไปที่ถังขยะข้างเตียง พลางเอ่ยเรียกคนรักเบาๆ



' รักครับ ’  คนถูกเรียกยังคงนิ่ง น่าจะหลับไปแล้วแน่ๆ ท่าทางแบบนี้



เขาลุกขึ้นเดินไปห้องน้ำ และออกมาพร้อมกับผ้าชุบน้ำหมาดๆ เช็ดทำความสะอาดทั่วกายของคนรักอย่างอ่อนโยน เมื่อแน่ใจว่าสะอาดพอแล้วก็นำผ้าไปล้างผึ่งไว้ ตัวเดินกลับมาที่เตียง นอนลงข้างๆ อีกฝ่ายที่หลับสนิทไม่รู้เรื่องใดๆ ดึงแผ่นหลังให้เข้ามาชิดอ้อมอก และหลับตาลงช้าๆ



ความรู้สึกผุดขึ้นมาบางเบา เขาก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ารู้สึกอย่างไร แต่ว่าตอนนี้เหมือนเขากับคนในอ้อมแขนได้สนิทแนบแน่นมากกว่าเดิมไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว ครั้งแรกกับผู้ชาย และก็กับรักที่ผ่านเหตุการณ์อะไรกันมาตั้งมากมาย มันมากมายจริงๆ เขาเกือบลืมไปแล้วว่าความทรงจำของอีกฝ่ายยังคงกลับมาไม่ร้อยเปอร์เซ็น แต่ก็ช่างปะไร ตอนนี้ความสุขอยู่ที่ ณ ขณะนี้ต่างหาก ต่อให้จำเขาไม่ได้ตลอดไป เขาก็จะสร้างความทรงจำใหม่ให้เอง



คิดในใจพลางกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น คนถูกกอดละเมองืมงำประท้วงว่าอึดอัดทำให้คนกอดอมยิ้ม ก่อนจะหลับสนิทตามไปอีกคน











“ คุณทำหน้าอะไรของคุณเนี่ย หน้าหื่นชะมัด ” คนหลับตายตื่นขึ้นมาตอนไหนไม่รู้เอ่ยเสียงงัวเงีย มือเอื้อมมาหยิบขวดน้ำเปล่าไปจิบ



“ คิดถึงเมื่อคืน ” เท่านั้นแหละ คนนั่งข้างกันสำลักทันที เขาหัวเราะเสียงดังจนอีกฝ่ายชกเบาๆ ที่แขน มองตาค้อน บ่นงึมงำๆ กับตัวเอง



“ นี่ถึงแล้วเหรอ ถึงแล้วทำไมไม่เรียกล่ะ ”



“ ก็เห็นหลับสนิทเลยไม่กล้าปลุก ” เขายกมือไปแตะหน้าผากของรักเบาๆ



“ ตัวอุ่นๆ นะ เดี๋ยวกินข้าวละกินยาด้วย ฉันเตรียมมาไว้ให้ในกระเป๋า ” อีกฝ่ายพยักหน้าเบาๆ ค่อยๆ ลุกออกไปจากรถ เขารีบปิดรถแล้วออกไปประคองรัก ขำเบาๆ กับท่าทางเดินที่ลำบากเหลือเกิน



“ ไม่ต้องมาขำเลยนะ เพราะคุณนั่นแหละ ”



“ แต่ก็ดีไม่ใช่หรือไง ตัวเองเสร็จแล้วก็หลับไปเลย ปล่อยให้เรามานั่งเช็…. โอ้ย ” รักกระทุ้งศอกเข้าที่หน้าท้อง ก่อนจะรีบเดินหนีไป



“ เดี๋ยวคืนนี้โดนอีกแน่ ” เขาหัวเราะพร้อมขู่ตามหลังไป ตาไวเห็นหูขึ้นสีแดงของคนรัก



เขารีบเดินตามอีกฝ่ายไป ช่วยประคองเอวเบาๆ พอไม่ให้ประเจิดประเจ้อมากนัก เดี๋ยวคนอื่นจะรู้ว่าไปผ่านสมรภูมิอะไรกันมา ถึงแม้ว่าเขาอยากจะประกาศให้โลกรู้มากเลยก็เถอะ



ก็นะ



คนมันรักอ่ะนะ ให้ทำยังไง





โปรดติดตามตอนต่อไป

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด เค้าได้กันแล้วค่ะคุณผู้โชมมมมมมมม

 :hao6:

หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 39!!! (29/6/65)
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 29-06-2022 18:31:10
 :pighaun: :haun4:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 39!!! (29/6/65)
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 01-07-2022 00:25:35
 :hao5:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 39!!! (29/6/65)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 01-07-2022 01:24:23
 :katai4: :katai5: :ling1:
หัวข้อ: Re: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด --- แจ้งข่าวนิดนึงค่าาา --- (5/9/65)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหมีวุ่นวาย ที่ 05-09-2022 10:29:14


ไรท์ขอแจ้งข่าวนิดนึงนะคะ


พอดีว่าตอนนี้มีอัพนิยายประมาณ 3-4 แพลตฟอร์ม


ตอนนี้ตั้งใจว่าจะลองลงตอนที่ตั้งค่าเป็นแบบจ่ายคอยน์ด้วย


จึงขอเรียนให้รีดเดอร์ทุกคนทราบว่านิยายเรื่องนี้ไรท์ขอลงตอนถัดไปที่กำลังจะลงนี้เป็นตอนสุดท้ายเพื่อเป็นบทสรุปของนิยาย


และจะเป็นตอนจบของนิยายเรื่องนี้นะคะ


ต้องขอขอบคุณรีดเดอร์ทุกคนที่ติดตามกันมาโดยตลอด ถึงไรท์จะมาอัพช้าก็ตาม T T


ขอบคุณที่ให้โอกาสนักเขียนมือใหม่คนนี้น้า


สำหรับคนที่เข้ามาอ่านและเข้ามาคอมเมนท์ทุกคน ขอบคุณจากใจจริงๆค่ะ ทำให้ไรท์มีกำลังใจที่จะเขียนต่อมาเรื่อยๆ


ถ้ามีนิยายเรื่องใหม่มา สัญญาว่าจะมาอัพให้อ่านกันอีกครั้งนะคะ (ถ้าไรท์มีเวลาแต่งต่อนะคะ 5555)


รักทุกคนม๊ากมากกกกเลยค่ะ


 
:pig4:   :mew1: